Translate

09 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ พระพุทธานุญาตให้มอบปาริสุทธิ พระพุทธานุญาตให้มอบฉันทะ

  [๑๘๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน สงฆ์จักทำอุโบสถ. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ยังมีภิกษุอาพาธ ท่านมาไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิ.

วิธีมอบปาริสุทธิ

    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบปาริสุทธิ อย่างนี้:-
   ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี  แล้วกล่าวคำมอบปาริสุทธิอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบปาริสุทธิ ขอท่านจงนำปาริสุทธิของ
               ข้าพเจ้าไป ขอท่านจงบอกปาริสุทธิของข้าพเจ้า.
   ภิกษุรับด้วยกาย รับด้วยวาจา รับด้วยทั้งกายและวาจาก็ได้ เป็นอันภิกษุอาพาธมอบ ปาริสุทธิแล้ว. ไม่รับด้วยกาย ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยทั้งกายและวาจา ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธ
   มอบปาริสุทธิ. ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุทั้งหลายพึงใช้เตียงหรือตั่ง หามภิกษุอาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์ แล้วทำอุโบสถ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้คิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวกเราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นก็จักถึงมรณภาพ ดังนี้ ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไปทำ
   อุโบสถในสำนักภิกษุอาพาธนั้น แต่สงฆ์เป็นวรรค ไม่พึงทำอุโบสถเลย ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิ หลบไปจากที่นั้น ภิกษุอาพาธพึงมอบปาริสุทธิแก่รูปอื่น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิสึกเสียในที่นั้นแหละ ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้อง
   อันติมวัตถุ ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐาน
   ไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์ ปฏิญาณเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ปฏิญาณเป็นผู้ ฆ่ามารดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี
   ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์ ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ภิกษุอาพาธพึงมอบปาริสุทธิแก่รูปอื่น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิหลบไปเสียในระหว่างทาง. 
   ปาริสุทธิไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิสึกเสียในระหว่างทาง ถึงมรณภาพ ... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปาริสุทธิไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิเข้าประชุมสงฆ์แล้วหลบไปเสีย ปาริสุทธิเป็นอันนำมาแล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิเข้าประชุมสงฆ์แล้ว สึกเสีย ถึงมรณภาพ ... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปาริสุทธิเป็นอันนำมาแล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิเข้าประชุมสงฆ์แล้ว หลับเสียไม่ได้บอก เผลอไปไม่ได้บอก เข้าสมาบัติไม่ได้บอก ปาริสุทธิเป็นอันนำ
   มาแล้ว. ภิกษุผู้นำปาริสุทธิไม่ต้องอาบัติ.
   ดูกรกุมารทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปาริสุทธิแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิเข้าประชุมสงฆ์แล้ว  แกล้งไม่บอก ปาริสุทธิเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปาริสุทธิ ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธานุญาตให้มอบฉันทะ

   [๑๘๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรกุมารทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน สงฆ์จักทำกรรม. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูล
   พระผู้มีพระภาคว่า ยังมีภิกษุอาพาธ ท่านมาไม่ได้ พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรกุมารทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบฉันทะ.

วิธีมอบฉันทะ

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบฉันทะอย่างนี้:-
   ภิกษุอาพาธนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำมอบฉันทะอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าขอมอบฉันทะ ขอท่านจงนำฉันทะของข้าพเจ้าไป ขอท่านจงบอกฉันทะของ ข้าพเจ้า.
   ภิกษุรับด้วยกาย รับด้วยวาจา รับด้วยทั้งกายและวาจาก็ได้ เป็นอันภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว. ไม่รับด้วยกาย ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยทั้งกายและวาจา ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธ
   มอบฉันทะ. ถ้าได้ภิกษุผู้รับอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุทั้งหลายพึงใช้เตียงหรือตั่งหามภิกษุอาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์แล้วทำกรรม.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้คิดอย่างนี้ว่า ถ้าพวกเราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นก็จักถึงมรณะภาพ ดังนี้ ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไป
   ทำกรรมในสำนักภิกษุอาพาธนั้น แต่สงฆ์เป็นวรรค ไม่พึงทำกรรมเลย ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะหลบไปเสียจากที่นั้น ภิกษุอาพาธพึงมอบฉันทะแก่รูปอื่น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะสึกเสียในที่นั้นแหละ ถึงมรณภาพเสีย ปฏิญาณเป็นสามเณร  ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้
   ต้องอันติมวัตถุ ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา  ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ  ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐาน ไม่ทำคืนอาบัติ ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์
   ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์ ปฏิญาณเป็นสัตว์ดิรัจฉาน ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์ ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์ ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ภิกษุอาพาธพึงมอบฉันทะแก่รูปอื่น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะหลบไปเสียในระหว่างทาง ฉันทะไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะสึกเสียในระหว่างทาง ถึงมรณะภาพ ... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ฉันทะไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะเข้าประชุมสงฆ์แล้วหลบไปเสีย ฉันทะอันเป็นนำมาแล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะเข้าประชุมสงฆ์แล้วสึกเสีย ถึงมรณภาพ ... ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ฉันทะเป็นอันนำมาแล้ว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะเข้าประชุมสงฆ์แล้วหลับเสียไม่ได้บอก เผลอไปไม่ได้บอก เข้าสมาบัติไม่ได้บอก ฉันทะเป็นอันนำมาแล้ว.
      ภิกษุผู้นำฉันทะไม่ต้องอาบัติ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบฉันทะแล้ว ถ้าภิกษุผู้นำฉันทะเข้าประชุมสงฆ์แล้วแกล้งไม่บอก ฉันทะเป็นอันนำมาแล้ว. แต่ภิกษุผู้นำฉันทะ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในวันอุโบสถ เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มอบปาริสุทธิมอบฉันทะด้วยเผื่อสงฆ์จะมีกรณียกิจ.

พวกญาติเป็นต้นจับภิกษุ

[๑๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ถึงวันอุโบสถ หมู่ญาติได้จับภิกษุรูปหนึ่งไว้. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในวันอุโบสถ หมู่ญาติจับภิกษุในศาสนานี้ไว้.
   หมู่ญาติเหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ทำอุโบสถเสร็จ. ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ หมู่ญาติเหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน 
   พอภิกษุนี้มอบปาริสุทธิเสร็จ.
   ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ หมู่ญาติเหล่านั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณานำภิกษุนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอพระสงฆ์ทำอุโบสถเสร็จ. ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค
   ไม่พึงทำอุโบสถ ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่งในวันอุโบสถ พระราชาทั้งหลายได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้ ... พวกโจรได้จับ ... พวกนักเลงได้จับ ... พวกภิกษุที่เป็นข้าศึกได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้
   พวกนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้สักครู่หนึ่ง
   พอภิกษุรูปนี้ทำอุโบสถเสร็จ. ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน
  พอภิกษุรูปนี้มอบปาริสุทธิเสร็จ. 
   ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้
   พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอท่านกรุณานำภิกษุรูปนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอพระสงฆ์ทำอุโบสถเสร็จ. ถ้าได้ตามขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค ไม่พึงทำอุโบสถเลย ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.

ภิกษุวิกลจริต

[๑๘๔] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงประชุมกัน กรณียกิจของสงฆ์มีอยู่. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้
   กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ยังมีภิกษุชื่อคัคคะ เป็นผู้วิกลจริต ท่านไม่มา พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุวิกลจริตนี้มี ๒ จำพวก คือ ภิกษุที่วิกลจริตระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง ระลึก
   ไม่ได้เสียเลยทีเดียวก็มี มาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้าง มาสู่สังฆกรรมบ้าง ไม่มาบ้าง ไม่มาเสียเลยทีเดียวก็มี.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุวิกลจริตเหล่านั้น รูปใดที่ยังระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง มาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้าง มาสู่สังฆกรรมบ้าง ไม่มาบ้าง. เราอนุญาตให้อุมมัตตกสมมติแก่ภิกษุวิกลจริตเห็นปานนั้น.

วิธีให้อุมมัตตกสมมติ

      ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงให้อุมมัตตกสมมติอย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาให้อุมมัตตกสมมติ

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะเป็นผู้วิกลจริต ระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง มาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้าง
   มาสู่สังฆกรรมบ้าง ไม่มาบ้าง. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้อุมมัตตกสมมติ แก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือ คัคคะภิกษุระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม
   ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจากคัดคะภิกษุ พึงทำอุโบสถได้
   พึงทำสังฆกรรมได้. นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุชื่อคัคคะเป็นผู้วิกลจริต ระลึกอุโบสถได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง ระลึกสังฆกรรมได้บ้าง ระลึกไม่ได้บ้าง มาสู่อุโบสถบ้าง ไม่มาบ้าง มาสู่สังฆกรรมบ้าง
   ไม่มาบ้าง. สงฆ์ให้อยู่บัดนี้ซึ่งอุมมัตตกสมมติแก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือคัคคะภิกษุระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์
   พร้อมกับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจากคัคคะภิกษุ จักทำอุโบสถก็ได้ จักทำสังฆกรรมก็ได้. การให้อุมมัตตกสมมติแก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือ คัคคะภิกษุระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึก
   ไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจากคัคคะภิกษุ จักทำ
   อุโบสถก็ได้ จักทำสังฆกรรมก็ได้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   อุมมัตตกสมมติอันสงฆ์ให้แล้ว แก่คัคคะภิกษุผู้วิกลจริต คือคัคคะภิกษุระลึกอุโบสถได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม ระลึกสังฆกรรมได้ก็ตาม ระลึกไม่ได้ก็ตาม มาสู่อุโบสถก็ตาม ไม่มาก็ตาม
   มาสู่สังฆกรรมก็ตาม ไม่มาก็ตาม สงฆ์พร้อมกับคัคคะภิกษุ หรือเว้นจากคัคคะภิกษุ จักทำอุโบสถก็ได้ จักทำสังฆกรรมก็ได้ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง 
ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.

วิธีทำอุโบสถ ๓ อย่าง

๑. สวดปาติโมกข์
   [๑๘๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุต้องทำอุโบสถ ดังนี้
   ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๔ รูป จะพึงทำอุโบสถอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป สวดปาติโมกข์.
๒. ทำปาริสุทธิอุโบสถ
   สมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จึงภิกษุเหล่านั้น ได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป สวดปาติโมกข์ ก็พวกเรามีอยู่
   เพียง ๓ รูป จะพึงทำอุโบสถอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแต่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถแก่กัน.

วิธีทำปาริสุทธิอุโบสถสำหรับภิกษุ ๓ รูป

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงทำปาริสุทธิอุโบสถ อย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

ญัตติกรรมวาจา

   ท่านทั้งหลายเจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๕ ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงทำปาริสุทธิอุโบสถแก่กันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า 
   นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วบอกความ
   บริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า:-

คำบอกความบริสุทธิ์

   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.
   ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วบอกความบริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า:-
   ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำ
ผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำ
ผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านทั้งหลายจำ
ผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.
   สมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูปสวดปาติโมกข์  ให้ภิกษุ ๓ รูป
   ทำปาริสุทธิอุโบสถแก่กัน  ก็พวกเรามีเพียง ๒ รูป  จะพึงทำอุโบสถอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ทำปาริสุทธิอุโบสถ.

วิธีทำปาริสุทธิอุโบสถสำหรับภิกษุ ๒ รูป

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงทำปาริสุทธิอุโบสถอย่างนี้:-
   ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว บอกความบริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุผู้นวกะอย่างนี้ว่า:-

คำบอกความบริสุทธิ์

   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ฉันบริสุทธิ์แล้ว เธอ ขอเธอจำฉันว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.
ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว บอกความบริสุทธิ์ของตน ต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ว่า:-
   ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว
   ผมบริสุทธิ์แล้ว ขอรับ ขอท่านจำผมว่า ผู้บริสุทธิ์แล้ว.
๓. อธิษฐานอุโบสถ
   สมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่รูปเดียว จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป สวดปาติโมกข์ ให้ภิกษุ ๓ รูปทำปาริสุทธิ-
   อุโบสถแก่กัน ให้ภิกษุ ๒ รูป  ทำปาริสุทธิอุโบสถ ก็เรามีอยู่เพียงรูปเดียว จะพึงทำอุโบสถอย่างไรหนอ. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว.
   ภิกษุนั้นพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือจะเป็นโรงฉัน มณฑป หรือโคนต้นไม้ก็ตาม  
   แล้วตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ ปูอาสนะ ตามประทีปไว้ แล้วนั่งรออยู่.  ถ้ามีภิกษุเหล่าอื่นมาพึงทำอุโบสถร่วมกับพวกเธอ ถ้าไม่มีมา พึงอธิษฐานว่า  วันนี้เป็นวันอุโบสถของเรา 
   ถ้าไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว ๓ รูปสวดปาติโมกข์ไม่ได้  ถ้าขืนสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้ว ๒ รูปทำปาริสุทธิอุโบสถไม่ได้  ถ้าขืนทำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จะนำปาริสุทธิของภิกษุรูปหนึ่งมา แล้วอีกรูปหนึ่งอธิษฐานไม่ได้  ถ้าขืนอธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.

แสดงอาบัติก่อนทำอุโบสถ

   [๑๘๖] ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติในวันอุโบสถ.  เธอได้มีความปริวิตกในขณะนั้นว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงทำอุโบสถ ดังนี้ 
   ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ จึงบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ต้องอาบัติในวันอุโบสถ. 
   ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ผมแสดงคืนอาบัตินั้น.
   ภิกษุผู้รับพึงถามว่า ท่านเห็นหรือ?
   ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น.
   ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า ท่านพึงสำรวมต่อไป.

สงสัยในอาบัติ

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ ในวันอุโบสถ.  ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว กล่าวอย่างนี้
   ว่า แน่ะเธอ  ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

แสดงสภาคาบัติไม่ตก

   [๑๘๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์แสดงสภาคาบัติ.  ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
      พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงแสดงสภาคาบัติ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา  ภิกษุฉัพพัคคีย์รับแสดงสภาคาบัติ.  ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงรับแสดงสภาคาบัติ  รูปใดรับแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ.

ระลึกอาบัติได้เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์

   [๑๘๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเมื่อกำลังสวดปาติโมกข์ ระลึกอาบัติได้ จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงทำอุโบสถ
   ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.  จึงบอกเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์อยู่ ภิกษุในศาสนานี้ระลึกอาบัติได้.  ภิกษุนั้นพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า  อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ลุกจากที่นี้แล้วจักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อกำลังสวดปาติโมกข์อยู่ ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ. ภิกษุนั้นพึงบอกกะภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า แน่ะเธอ ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมด
   สงสัยเมื่อใด  จักทำคืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถ ฟังปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย.

สงฆ์ต้องสภาคาบัติ

   [๑๘๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ สงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติจึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะแสดงสภาคาบัติ
   ไม่ได้  จะรับแสดงสภาคาบัติไม่ได้  ดังนี้ ก็สงฆ์หมู่นี้ ล้วนต้องสภาคาบัติแล้ว  พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง
   ถึงวันอุโบสถ สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้
   ต้องสภาคาบัติ.  ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะกลับมาทันในวันนั้นด้วยสั่งว่า อาวุโส เธอจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืนอาบัติในสำนักเธอ
   ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  ถ้าไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

ญัตติกรรมวาจา

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ เห็นภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์  ไม่มีอาบัติเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักเธอเมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถสวดปาติโมกข์ แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้นเป็นปัจจัย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ. 
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ หมดความสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้น  เมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงทำอุโบสถ สวดปาติโมกข์ แต่ไม่พึง
   ทำอันตรายแก่อุโบสถ เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สงฆ์ในศาสนานี้จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง เป็นผู้ต้องสภาคาบัติ. 
   ภิกษุเหล่านั้นส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่าอาวุโส เธอจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา  พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักเธอ.  ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้
   นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปชั่วระยะกาล ๗ วัน ด้วยสั่งว่า อาวุโส เธอจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้น ในสำนักเธอ.
   [๑๙๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์ทั้งหมด ต้องสภาคาบัติ. สงฆ์หมู่นั้นไม่รู้จักชื่อ  ไม่รู้จักโคตรของอาบัตินั้น.  มีภิกษุรูปอื่นมาในอาวาสนั้น เธอเป็นพหูสูต
   ชำนาญในคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา ละอาย รังเกียจผู้ใคร่ต่อสิกขา. ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุนั้น แล้วได้เรียนถามข้อความนี้กะภิกษุนั้น
   ว่า ภิกษุรูปใด  ทำอย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่ออะไร ขอรับ?
   พระพหูสูตตอบอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปใด ทำอย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ ขอรับ ท่านต้องอาบัติชื่อนี้แล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย. ภิกษุรูปนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า  มิใช่ผมแต่ผู้เดียวที่ต้องอาบัตินี้ ขอรับ สงฆ์หมู่นี้ล้วนต้องอาบัตินี้ทั้งนั้น.
   พระพหูสูตกล่าวอย่างนี้ว่า  ภิกษุรูปอื่นที่ต้องอาบัติแล้ว หรือมิได้ต้อง จักช่วยอะไรท่านได้ ขอรับ นิมนต์ท่านออกจากอาบัติของตนเสียเถิด ขอรับ.
   จึงภิกษุนั้นได้ทำคืนอาบัตินั้นตามคำของพระพหูสูต แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ครั้นแล้ว ได้แจ้งความข้อนี้กะภิกษุเหล่านั้นว่า  อาวุโสทั้งหลาย ได้ทราบมาว่า  ภิกษุรูปใดทำอย่างนี้ด้วย
   อย่างนี้ด้วย  ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ พวกท่านต้องอาบัติชื่อนี้แล้ว ขอรับ จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย.  แต่ภิกษุเหล่านั้นไม่ปรารถนาจะทำคืนอาบัตินั้น ตามคำของพระผู้บอก. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ. สงฆ์หมู่นั้นไม่รู้จักชื่อ ไม่รู้จักโคตรของอาบัตินั้น.  มีภิกษุรูปอื่นมาในอาวาสนั้น  เธอเป็นพหูสูต ชำนาญในคัมภีร์  ทรงธรรม
   ทรงวินัย ทรงมาติกา เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา ละอาย รังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา. ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปหาภิกษุนั้น แล้วได้เรียนถามภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า  ภิกษุรูปใดทำอย่างนี้ด้วย
อย่างนี้ด้วย   ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่ออะไรขอรับ?
   พระพหูสูตตอบอย่างนี้ ว่าภิกษุรูปใดทำอย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ ขอรับ ท่านต้องอาบัติชื่อนี้แล้ว จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย.
   ภิกษุรูปนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า มิใช่ผมแต่ผู้เดียวที่ต้องอาบัตินี้ ขอรับ สงฆ์หมู่นี้ล้วนต้องอาบัตินี้ทั้งนั้น.
   พระพหูสูตกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปอื่นที่ต้องอาบัติแล้วหรือมิได้ต้อง จักช่วยอะไรท่านได้ ขอรับ นิมนต์ท่านออกจากอาบัติของตนเสียเถิด ขอรับ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุนั้นทำคืนอาบัตินั้น ตามคำของพระพหูสูต แล้วเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ครั้นแล้วบอกภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ได้ทราบมาว่า ภิกษุรูปใด
   ทำอย่างนี้ด้วย อย่างนี้ด้วย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติชื่อนี้ พวกท่านต้องอาบัติชื่อนี้แล้ว ขอรับ จงทำคืนอาบัตินั้นเสีย.  ถ้าภิกษุเหล่านั้น  จะพึงทำคืนอาบัตินั้น ตามคำของภิกษุผู้บอก
   ทำได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี  ถ้าจะไม่พึงทำคืน ภิกษุนั้นไม่ปรารถนา ก็ไม่พึงว่ากล่าวภิกษุเหล่านั้น. โจทนาวัตถุภาณวาร จบ.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโปสถขันธกะ

พระพุทธานุญาติให้มอบปาริสุทธิเป็นต้น

อรรถกถาปาริสุทธิและฉันทะ
   ข้อว่า กาเยน วิญฺญาเปติ มีความว่า ภิกษุผู้อาพาธย่อมให้รู้ คือย่อมให้ทราบการให้ปาริสุทธิ ด้วยอวัยวะใหญ่น้อยอันใดอันหนึ่ง ก็แลเมื่ออาจเปล่งวาจา ย่อมให้รู้ด้วยวาจา เมื่ออาจทั้ง ๒ ประการ ย่อมให้รู้ทั้งกายวาจา. 
      ข้อว่า สงฺเฆน ตตฺถ คนฺตฺวา อุโปสโถ กาตพฺโพ 
   มีความว่า ถ้าภิกษุผู้อาพาธเช่นนั้นมีมาก สงฆ์พึงตั้งอยู่ตามลำดับกระทำภิกษุผู้อาพาธทั้งปวงไว้ในหัตถบาส. ถ้าภิกษุผู้อาพาธมีในระยะไกล สงฆ์ไม่พอ วันนั้นไม่ต้องทำอุโบสถ อันสงฆ์ผู้เป็นวรรคไม่พึงทำอุโบสถแท้. 
   ข้อว่า ตตฺเถว ปกฺกมติ มีความว่า ภิกษุผู้นำปาริสุทธิ ไม่มาสู่ท่ามกลางสงฆ์ จะไปในที่บางแห่งจากที่นั้นที่เดียว. 
   ข้อว่า สามเณโร ปฏิชานาติ มีความว่า ภิกษุผู้นำปาริสุทธิ ปฏิญญาอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นสามเณร หรือบอกข้อที่ตนเป็นสามเณรจริงๆ หรือตั้งอยู่ในภูมิแห่งสามเณรในภายหลัง. ในบททั้งปวงก็นัยนี้. 
   ข้อว่า สงฺฆปฺปตฺโต ปกฺกมติ มีความว่า ภิกษุผู้นำปาริสุทธิถึงหัตถบาสของภิกษุ ๔ รูปกำหนดอย่างต่ำที่สุด ผู้ประชุมกันเพื่อประโยชน์แก่อุโบสถแล้ว หลีกไปเสีย.
   ในบททั้งปวงก็นัยนี้. 
   ก็แลวินิจฉัยในการนำปาริสุทธินี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ปาริสุทธิของภิกษุผู้มากรูป อันภิกษุรูป ๑ นำมาแล้ว เป็นอันนำมาแล้วแท้. แต่ถ้าภิกษุผู้นำนั้น พบภิกษุอื่นในกลางทาง จึงให้ปาริสุทธิของภิกษุทั้งหลายที่ตนรับมาด้วย ปาริสุทธิของตนด้วยปาริสุทธิของภิกษุผู้นำนั้นเท่านั้น ย่อมมา ส่วนปาริสุทธินอกจากนี้จัดเป็นปาริสุทธิดังโซ่ล่ามแมว ปาริสุทธินั้นย่อมไม่มา. 
   ข้อว่า สุตฺโต น อาโรเจติ มีความว่า ภิกษุผู้นำปาริสุทธินั้นมาแล้วหลับเสีย ไม่บอกว่า ปาริสุทธิ 
   อันภิกษุโน้นให้แล้วเจ้าข้า. 
วินิจฉัยในข้อว่า ปาริสุทฺธิหารกสฺส อนาปตฺติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าภิกษุผู้นำปาริสุทธิ แกล้งไม่บอก เธอต้องทุกกฎ ส่วนปาริสุทธิเป็นอันนำมาแล้วแท้. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่เธอ 
   เพราะมิได้แกล้งไม่บอก และอุโบสถของเธอทั้ง ๒ รูป เป็นอันทำแล้วเหมือนกัน. 
   วินิจฉัยในการให้ฉันทะเล่า ย่อมเป็นเช่นกับวินิจฉัยที่กล่าวแล้วในการให้ปาริสุทธินั่นแล. 
วินิจฉัยในข้อว่า ปาริสุทฺธึ เทนฺเตน ฉนฺทมฺปิทาตุํ นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   หากว่า ภิกษุผู้อาพาธให้ปาริสุทธิเท่านั้น ไม่ให้ฉันทะ อุโบสถย่อมเป็นอันสงฆ์ทำแล้ว แต่สงฆ์ทำกรรมอันใด กรรมอื่นนั้นไม่เป็นอันสงฆ์ได้ทำ. ภิกษุผู้อาพาธให้แต่ฉันทะเท่านั้น 
   ไม่ให้ปาริสุทธิ ทั้งอุโบสถทั้งกรรมของภิกษุสงฆ์ เป็นอันสงฆ์ทำแล้วแท้ แต่อุโบสถของภิกษุผู้ให้ฉันทะ ไม่จัดว่าอันเธอได้ทำเลย. ถ้าแม้ภิกษุบางรูปอธิษฐานอุโบสถในแม่น้ำหรือในสีมาแล้ว จึงมา เธอย่อมไม่ได้เพื่อจะอยู่เฉยด้วยคิดว่า เราทำอุโบสถแล้ว ต้องให้สามัคคีหรือฉันทะ. 
   ข้อว่า สรติปิ อุโปสถํ นปิ สรติ มีความว่า บางคราวก็ระลึกได้ บางคราวก็ระลึกไม่ได้. 
   ข้อว่า อตฺถิ เนว สรติ
   มีความว่า ภิกษุบ้ารูปใด ระลึกไม่ได้เสียเลยโดยส่วนเดียว กิจที่จะต้องให้สมมติแก่ภิกษุบ้ารูปนั้น ย่อมไม่มี. 
   หลายบทว่า โส เทโส สมฺมชฺชิตฺวา
ได้แก่ พึงกวาดประเทศนั้น. 
   สองบทว่า โส เทโส เป็นปฐมาวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. คำว่า ปานียํ ปริโภชนียํ เป็นอาทิ มีเนื้อความชัดแล้ว. ก็เพราะเหตุไรเล่า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำนั้นไว้? เพื่อแสดงกิจมีบุพพกรณ์เป็นต้นแห่งอุโบสถ. เพราะเหตุนั้น พระอรรถกถาถาจารย์ทั้งหลายจึงกล่าวว่า :- 
   การปัดกวาด ตามประทีป ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ พร้อมทั้งปูลาดอาสนะเหล่านี้ เรียกว่า บุพพกรณ์ของอุโบสถ. 
   กรรม ๔ อย่างนี้ ท่านเรียกว่า บุพพกรณ์ ด้วยประการฉะนี้.  นำฉันทะ ปาริสุทธิ บอกฤดู นับภิกษุ สอนนางภิกษุณี เหล่านี้ บุพพกิจแห่งอุโบสถ. 
   กรรม ๕ อย่างนี้ ท่านกล่าวว่า บุพพกิจ เพราะจะต้องทำภายหลังบุพพกรณ์. วันอุโบสถ ๑ ภิกษุผู้เข้ากรรมมีจำนวนเท่าไร ๑ สภาคาบัติไม่มี ๑ บุคคลควรเว้นไม่มีในหัตถบาสสงฆ์นั้น ๑ รวมเรียกว่า ปัตตกัลละ แปลว่า ความพรั่งพร้อมถึงที่. 
   ลักษณะ ๔ ประการนี้ ท่านเรียกว่า ปัตตกัลละ. 
   ข้อว่า เตหิ สทฺธึ มีความว่า พึงทำบุพพกรณ์เป็นต้นเหล่านี้แล้วทำอุโบสถกับภิกษุทั้งหลายผู้มาแล้วเหล่านั้น. 
วินิจฉัยในข้อว่า อชฺช เม อุโปสโถ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าเป็นวัน ๑๕ ค่ำจะอธิษฐานว่า อชฺช เม อุโปสโถ ปณฺณรโส แปลว่า วันนี้อุโบสถวัน ๑๕ ค่ำของเรา ดังนี้บ้าง ก็ควร. แม้ในอุโบสถวัน ๑๔ ค่ำ ก็นัยนี้แล. 
   คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า ภิกษุผู้มีอาบัติติดตัวไม่พึงทำอุโบสถ นี้ บัณฑิตพึงทราบสันนิษฐานว่า ข้อนั้นเป็นอันพระองค์ทรงบัญญัติแล้ว ด้วยคำว่า ยสฺส สิยา อาปตฺติ เป็นอาทิ ๑ ด้วยบัญญัติการให้ปาริสุทธิอุโบสถ ๑.  อรรถกถาปาริสุทธิและฉันทะ จบ. 

พระพุทธ แสดงอาบัติก่อนทำอุโบสถ

อรรถกถาวิธีแสดงอาบัติ
   คำว่า อิตฺถนฺนามํ อาตฺตึ มีความว่า บรรดาอาบัติมีอาบัติถุลลัจจัยเป็นต้น พึงระบุชื่ออาบัติตัว ๑ กล่าวอย่างนี้ว่า ถุลฺลจฺจยํ อาปตฺตึ, ปาจิตฺติยํ อาปตฺตึ. 
   คำว่า ตํ ปฏิเทเสมิ นี้ แม้กล่าวว่า ตํ ตุมฺหมูเล ปฏิเทเสมิ ข้าพเจ้าแสดงคืนซึ่งอาบัตินั้นในสำนักท่าน ดังนี้ ย่อมเป็นอันกล่าวชอบเหมือนกัน. ส่วนคำว่า ปสฺสสิ นี้ พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ปสฺสสิ อาวุโส ตํ อาปตฺตึ เธอเห็นอาบัตินั้นหรือ?
   ปสฺสถ ภนฺเต ตํ อาปตฺตึ ท่านเห็นอาบัตินั้นหรือ? 
   ก็คำว่า อาม ปสฺสามิ นี้ แม้กล่าวอย่างนี้ว่า อาม ภนฺเต ปสฺสามิ ขอรับ ข้าพเจ้าเห็น. อาม อาวุโส ปสฺสามิ เออ ข้าพเจ้าเห็น, ย่อมเป็นอันกล่าวชอบแล้วเหมือนกัน. 
ส่วนวินิจฉัยในคำว่า อายตึ สํวเรยฺยาสิ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าภิกษุผู้แสดงแก่กว่า ภิกษุผู้รับอาบัติพึงกล่าวว่า อายตึ สํวเรยฺยาถ ท่านพึงระวังต่อไป. ฝ่ายผู้แสดงได้รับตอบอย่างนั้นแล้ว พึงกล่าวว่า สาธุสุฏฺฐุ สํวริสฺสามิ ดีละ ข้าพเจ้าจักสำรวมด้วยดี ดังนี้ทีเดียว. 
วินิจฉัยในข้อว่า ยทา นิพฺเพมิตโก นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
ในอันธกอรรถกถา ท่านแก้ว่า ถ้าเป็นผู้ไม่หมดความสงสัยทีเดียว แม้จะแสดงระบุวัตถุ ก็ควร วิธีแสดงในอาบัติที่สงสัยนั้นดังนี้ :- 
   เมื่อพระอาทิตย์ถูกเมฆบัง ภิกษุฉันพลางมีความสงสัยว่า นี่จะเป็นกาลหรือวิกาลหนอ? ภิกษุนั้นพึงระบุวัตถุอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้ามีความสงสัย ฉันแล้ว ถ้ามีกาล 
   ข้าพเจ้าต้องทุกกฎมากหลาย ถ้าไม่มีกาล
   ข้าพเจ้าต้องปาจิตตีย์มากหลาย 
   ดังนี้แล้ว พึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าต้องอาบัติเหล่าใด เป็นทุกกฎมากหลายก็ดี เป็นปาจิตตีย์มากหลายก็ดีเพราะวัตถุนั้น ข้าพเจ้าแสดงอาบัติเหล่านั้นในสำนักท่าน.
   ในอาบัติทั้งปวงก็นัยนี้. 
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว สภาคาปตฺติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ภิกษุทั้ง ๒ รูปต้องอาบัติใดด้วยวัตถุรวมกันมีวิกาลโภชนะเป็นต้น, อาบัติเห็นปานนั้น ท่านเรียกว่า วัตถุสภาค ฝ่ายภิกษุผู้ต้องเพราะวิกาลโภชนะเป็นปัจจัย ย่อมควรเพื่อแสดงในสำนักของภิกษุผู้ต้องเพราะอนติริตตโภชนะเป็นปัจจัย. 
   อันอาบัติที่มีวัตถุร่วมกันนี้เล่า ซึ่งภิกษุแสดงแล้ว เป็นอันแสดงแล้วด้วยดีทีเดียว, แต่เธอทั้ง ๒ ย่อมต้องอาบัติทุกกฎอื่น คือผู้แสดงต้องเพราะเหตุที่แสดง และผู้รับต้องเพราะเหตุที่รับ, อาบัติทุกกฎที่ต้องเพราะแสดงและรับนั้น เป็นอาบัติมีวัตถุต่างกัน, เพราะฉะนั้น สมควรแสดงกะกันและกันได้. 
วินิจฉัยในข้อว่า สามนฺโต ภิกฺขู เอวมสฺส วจนีโย นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   ในอันธกอรรถกถาแก้ว่า พึงบอกภิกษุผู้เป็นสภาคกันเท่านั้น. จริงอยู่ เมื่อบอกแก่ภิกษุผู้เป็นวิสภาคกัน ความบาดหมาง ความทะเลาะและความแตกแห่งสงฆ์เป็นต้น ย่อมมีได้ เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรบอกแก่เธอ แต่พึงทำความผูกใจ ว่า เราออกจากที่นี่แล้วจักทำคืน ดังนี้แล้ว ทำอุโบสถเถิด. 
อรรถกถาวินิจฉัยในอนาปัตติปัณณรสกะ พึงทราบดังนี้ :- 
   ข้อว่า เต น ชานึสุ มีความว่า ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นไม่รู้ว่า ภิกษุทั้งหลายเข้าสีมาแล้ว หรือไม่รู้ว่ากำลังเข้า. 
   ข้อว่า อถญฺเญ อาวาสิกา ภิกฺขู อาคจฺฉนฺติ มีความว่า ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นไปสู่บ้านหรือป่าด้วยกรณียกิจบางอย่างแล้ว มาสู่สถานที่ภิกษุเหล่านั้นนั่งแล้ว. 
   ข้อว่า วคฺคา สมคฺคสญฺญิโน มีความว่า พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่น ชื่อว่าเป็นวรรค เพราะภิกษุเหล่าอื่นนั้นล่วงล้ำสีมาเข้ามา แต่พวกเธอ ชื่อว่าเป็นผู้มีความสำคัญว่า พร้อมเพรียงเพราะไม่ทราบข้อที่ภิกษุเหล่าอื่นนั้นล่วงล้ำสีมาเข้ามา.
อรรถกถาวินิจฉัยในอนาปัตติปัณณรสกะ จบ.

06 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎกมหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธกะ จะแสดงธรรมท่ามกลางสงฆ์ต้องได้รับอาราธนาก่อน ถามพระวินัยต้องตรวจดูบริษัทก่อน

[๑๖๘] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ได้รับอาราธนา แสดงธรรมในท่ามกลางสงฆ์.   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.    พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ได้รับอาราธนา ไม่พึงแสดงธรรมในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดแสดง ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระแสดงธรรมเอง หรือให้อาราธนาผู้อื่นแสดง.

ถามพระวินัยท่ามกลางสงฆ์ต้องได้รับสมมติก่อน

   [๑๖๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ยังไม่ได้รับสมมติ ถามพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุยังไม่ได้รับสมมติ ไม่พึงถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดถาม ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้ว ถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์ได้.

วิธีสมมติเป็นผู้ถาม

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงสมมติอย่างนี้. ตนเองสมมติตนก็ได้ ภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่นก็ได้.
   อย่างไรเล่า ชื่อว่าตนเองสมมติตน?
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติตน

   พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าขอถามพระวินัยต่อผู้มีชื่อนี้.
   อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตน.
   อย่างไรเล่าชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น?
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติผู้อื่น

   พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ขอผู้มีชื่อนี้ ถามพระวินัยต่อผู้มิชื่อนี้.
   อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น.
   ถามพระวินัยต้องตรวจดูบริษัทก่อน สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ได้รับสมมติแล้ว ถามพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์. พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ แม้ที่ได้รับสมมติแล้ว ตรวจดูบริษัท พิจารณาดูบุคคลแล้วจึงถามวินัยในท่ามกลางสงฆ์. สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ยังไม่ได้รับสมมติ วิสัชนาพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ยังไม่ได้รับสมมติ ไม่พึงวิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดวิสัชนาต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่ได้รับสมมติแล้ว วิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์.

วิธีสมมติเป็นผู้วิสัชนา

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุพึงสมมติอย่างนี้. ตนเองสมมติตนก็ได้ ภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่นก็ได้.
   อย่างไรเล่า ชื่อว่าตนเองสมมติตน?
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติตน

   พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันผู้มีชื่อนี้ถามถึงพระวินัยแล้ว ขอวิสัชนา.
   อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตน.
   อย่างไรเล่า ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น?
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติผู้อื่น

   พระสงฆ์เจ้าข้า ขอจงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ผู้มีชื่อนี้อันผู้มีชื่อนี้ถามถึงพระวินัย
   แล้ว ขอวิสัชนา.
   อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุอื่นสมมติภิกษุอื่น.

วิสัชนาพระวินัยต้องตรวจดูบริษัทก่อน

   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ได้รับสมมติแล้ว วิสัชนาพระวินัยในท่ามกลางสงฆ์. พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น  คุกคามจะฆ่าเสีย. 
      ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุแม้ที่ได้รับสมมติแล้ว ตรวจดูบริษัท พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงวิสัชนาวินัยในท่ามกลางสงฆ์.

โจทก์ต้องขอโอกาสต่อจำเลย

  [๑๗๐] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์โจทภิกษุผู้มิได้ทำโอกาสด้วยอาบัติ. 
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงโจทภิกษุผู้มิได้ทำโอกาสด้วยอาบัติ รูปใดโจท ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โจทก์ขอให้จำเลยทำโอกาส ด้วยคำว่า ขอท่านจงทำโอกาส ผมใคร่จะกล่าวกะท่าน ดังนี้ แล้วจึงโจทด้วยอาบัติ.

ก่อนโจทต้อง-พิจารณาดูบุคคล

   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ขอให้พระฉัพพัคคีย์ทำโอกาสแล้ว โจทด้วยอาบัติ. 
      พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย. 
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้โจทแม้เมื่อจำเลยทำโอกาสแล้ว พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงโจทด้วยอาบัติ.

ก่อนขอโอกาสต้อง-พิจารณาดูบุคคล

   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์คิดว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก ขอให้พวกเราทำโอกาสก่อนดังนี้ จึงรีบขอให้ภิกษุทั้งหลายที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติ ทำโอกาสในอธิกรณ์ที่ไม่เป็นเรื่องไม่มีเหตุ. 
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงขอให้ภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ ทำโอกาสในอธิกรณ์ที่ไม่เป็นเรื่อง ไม่มีเหตุ รูปใดขอให้ทำ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้พิจารณาดูบุคคลก่อน จึงขอให้ทำโอกาส.

เรื่องห้ามทำกรรมไม่เป็นธรรม

   [๑๗๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ทำกรรมไม่เป็นธรรมในท่ามกลางสงฆ์. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุไม่พึงทำกรรมไม่เป็นธรรมในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดทำต้องอาบัติทุกกฏ.
   พระฉัพพัคคีย์ยังขืนทำกรรมไม่เป็นธรรมอยู่ตามเดิม.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คัดค้าน ในเมื่อภิกษุทำกรรมไม่เป็นธรรม.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก พากันคัดค้าน ในเมื่อพระฉัพพัคคีย์ทำกรรมไม่เป็นธรรม. 
   พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำความเห็นแย้งได้. ภิกษุทั้งหลายทำความเห็นแย้งในสำนักพระฉัพพัคคีย์เหล่านั้นนั่นแหละ. 
      พระฉัพพัคคีย์ได้อาฆาต เคืองแค้น คุกคามจะฆ่าเสีย. 
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔-๕ รูปคัดค้านให้ภิกษุ ๒-๓ รูป ทำความเห็นแย้ง ให้ภิกษุรูปเดียวนึกในใจว่า กรรมนั้นไม่ควรแก่เรา.

แกล้งสวดปาติโมกข์ไม่ให้ได้ยิน

   [๑๗๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์แกล้งสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ไม่ให้ได้ยิน. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันภิกษุผู้สวดปาติโมกข์ไม่พึงแกล้งสวดไม่ให้ได้ยิน รูปใดสวดไม่ให้ ได้ยิน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ท่านพระอุทายีเป็นผู้สวดปาติโมกข์แก่สงฆ์ แต่มีเสียงเครือดุจเสียงกา. ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้วว่า 
   ภิกษุสวดปาติโมกข์ต้องสวดให้ได้ยินทั่วกัน ก็อาตมามีเสียงเครือดุจเสียงกา อาตมาจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่สวดปาติโมกข์ พยายามสวดด้วยตั้งใจว่าจะสวดให้ได้ยินถ้อยคำทั่วกัน เมื่อพยายาม ไม่ต้องอาบัติ.

ห้ามสวดปาติโมกข์ในบริษัท-ที่มีคฤหัสถ์

   [๑๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเทวทัตต์สวดปาติโมกข์ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย.
      ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ในบริษัทที่มีคฤหัสถ์ปนอยู่ด้วย รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

ต้องได้รับอาราธนาจึงสวดปาติโมกข์ได้

   [๑๗๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ไม่ได้รับอาราธนาสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ได้รับอาราธนา ไม่พึงสวดปาติโมกข์ในท่ามกลางสงฆ์ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตปาติโมกข์ให้เป็นหน้าที่ของพระเถระ. อัญญติตถิยภาณวารที่ ๑๑ จบ.

หน้าที่สวดปาติโมกข์

   [๑๗๕] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระนครราชคฤห์ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกโดยมรรคาอันจะไปเมืองโจทนาวัตถุ เสด็จจาริกโดยลำดับ ลุถึงเมืองโจทนาวัตถุแล้ว. ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง มีภิกษุอยู่ด้วยกันมากรูป. 
   บรรดาภิกษุเหล่านั้นพระเถระเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. 
   ท่านไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์ จึงภิกษุเหล่านั้นคิดกันว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้แล้วว่า ปาติโมกข์เป็นหน้าที่ของพระเถระ
   ก็พระเถระของพวกเรารูปนี้เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไม่รู้อุโบสถ หรือ วิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์ พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปใดเป็นผู้ฉลาด สามารถ เราอนุญาตปาติโมกข์ให้เป็นหน้าที่ของภิกษุรูปนั้น.

ทรงให้ส่งภิกษุไปศึกษาปาติโมกข์

   [๑๗๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ มีภิกษุอยู่ด้วยกันมากรูป ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด.
   พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
   ท่านตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุทั้งหลายจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๒ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
   แม้ท่านก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลายเราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุทั้งหลายจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๓ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
   แม้ท่านก็ตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. ภิกษุเหล่านั้นได้อาราธนาจนถึงพระสังฆนวกะ โดยวิธีนี้แหละว่า ขอคุณจงสวดปาติโมกข์.
   แม้เธอก็ตอบอย่างนี้ว่า ผมสวดปาติโมกข์ไม่ได้ ขอรับ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันอุโบสถ ภิกษุในศาสนานี้อยู่ด้วยกันมาก ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถหรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระ
    ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.
   ท่านตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๒ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ.    แม้ท่าน ก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. พวกเธอจึงอาราธนาพระเถระรูปที่ ๓ ว่า ขอพระเถระจงสวดปาติโมกข์ ขอรับ. แม้ท่านก็ตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เราสวดปาติโมกข์ไม่ได้. 
      พวกเธอได้อาราธนาจนถึงพระสังฆนวกะ
   โดยวิธีนี้แหละว่า ขอคุณจงสวดปาติโมกข์. แม้เธอรูปนั้นก็ตอบอย่างนี้ว่า ผมสวดปาติโมกข์ไม่ได้ ขอรับ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า จะพึงส่งภิกษุรูปไหนหนอไป แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุผู้นวกะไป.
   ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมไป. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้วจะไม่ยอมไปไม่ได้ รูปใดไม่ยอมไป ต้องอาบัติทุกกฏ.

พระพุทธานุญาตให้เรียนปักขคณนา

   [๑๗๗] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองโจทนาวัตถุตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จกลับมายังพระนครราชคฤห์อีก.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ดิถีที่เท่าไรแห่งปักษ์ เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย. 
   ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้เพียงนับปักษ์ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ 
   ไฉนจะรู้คุณความดีอะไรอย่างอื่นเล่า. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้เรียนปักขคณนา.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงเรียนปักขคณนาแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทุกๆ รูปเรียนปักขคณนา.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ชาวบ้านถามภิกษุทั้งหลายที่กำลังเที่ยวบิณฑบาตว่า ภิกษุมีจำนวนเท่าไร เจ้าข้า? ภิกษุทั้งหลายตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกอาตมาไม่รู้เลย.
   ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม้พวกกันเอง พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ก็ยังไม่รู้ ไฉนจักรู้ความดีอะไรอย่างอื่นเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นับภิกษุ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า เมื่อไรหนอเราพึงนับภิกษุ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า เราอนุญาตให้นับภิกษุด้วยเรียกชื่อหรือให้จับสลากในวันอุโบสถ.

พระพุทธานุญาตให้บอก-วันอุโบสถ

   [๑๗๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายไม่รู้ว่าวันนี้เป็นวันอุโบสถ ไปบิณฑบาต ณ หมู่บ้านที่ไกล. พวกเธอมาถึงเมื่อกำลังสวดปาติโมกข์ก็มี มาถึงเมื่อสวดจบแล้วก็มี. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอกว่า วันนี้เป็นวันอุโบสถ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงบอก แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุเถระบอกแต่เช้าตรู่.
    สมัยต่อมา พระเถระรูปหนึ่ง เวลาเช้าตรู่ระลึกไม่ได้.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอก แม้ในเวลาภัตตกาล. แม้ในเวลาภัตตกาล พระเถระนั้นก็ระลึกไม่ได้. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บอกในกาลที่ตนระลึกได้.

บุพพกรณ์และบุพกิจในโรงอุโบสถ

   [๑๗๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง โรงอุโบสถรก. พวกพระอาคันตุกะพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงไม่กวาดโรงอุโบสถเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้กวาดโรงอุโบสถ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงกวาดโรงอุโบสถ แล้วจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุเถระบัญชาภิกษุนวกะ.
   ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมกวาด. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่กวาดไม่ได้ รูปใดไม่กวาด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   สมัยต่อมา ในโรงอุโบสถ ไม่มีใครปูอาสนะไว้.
   ภิกษุทั้งหลายนั่งที่พื้นดิน.
   ทั้งตัวทั้งจีวร เปื้อนฝุ่น.
    ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปูอาสนะในโรงอุโบสถ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอ พึงปูอาสนะในโรงอุโบสถแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุนวกะ.
   ภิกษุนวกะทั้งหลายอันพระเถระบัญชาแล้วไม่ปูอาสนะ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่ปูอาสนะไม่ได้ รูปใดไม่ปู ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ในโรงอุโบสถ ไม่ได้ตามประทีปไว้. เวลาค่ำคืนภิกษุทั้งหลาย<i>เหยียบกายกันบ้าง</i> <i>เหยียบจีวรกันบ้าง  แล้วกราบ</i>ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตามประทีปในโรงอุโบสถ. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ภิกษุรูปไหนหนอพึงตามประทีปในโรงอุโบสถ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เถระบัญชาภิกษุนวกะ. ภิกษุนวกะทั้งหลาย อันพระเถระบัญชาแล้วไม่ยอมตามประทีป. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่อาพาธอันพระเถระบัญชาแล้ว จะไม่ตามประทีปไม่ได้ รูปใดไม่ตามประทีป ต้องอาบัติทุกกฏ.

จะไปไหนต้อง-อาปุจฉาก่อน

   [๑๘๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุหลายรูปด้วยกันเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไปสู่ทิศ ไม่อำลาพระอุปัชฌาย์ อาจารย์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้หลายรูปด้วยกันเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด ไปสู่ทิศ ไม่อำลาพระอุปัชฌาย์ อาจารย์. พวกเธออันพระอุปัชฌาย์ อาจารย์พึงถามว่าท่านทั้งหลายจักไปไหน?
   จักไปกับใคร?
   ถ้าพวกเธอเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด พูดอ้างถึงภิกษุเหล่าอื่นที่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาดด้วยกัน พระอุปัชฌาย์ อาจารย์ ไม่พึงอนุญาต ถ้าอนุญาต ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าพวกเธอเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด อันพระอุปัชฌาย์ อาจารย์ ไม่อนุญาต ถ้ายังขืนไป ต้องอาบัติทุกกฏ.

พึงสงเคราะห์พหูสูต

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้อยู่ในอาวาสแห่งหนึ่งมากรูปด้วยกัน ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด.
   พวกเธอไม่รู้อุโบสถหรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์. ภิกษุรูปอื่นมาในอาวาสนั้น เป็นผู้คงแก่เรียน ชำนาญในคัมภีร์ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกาเป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา มีความละอาย รังเกียจ ใคร่ต่อสิกขา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ภิกษุเหล่านั้นพึงสงเคราะห์ อนุเคราะห์ ปราศรัย บำรุงเธอด้วยจุณดิน ไม้ชำระฟัน น้ำบ้วนปากถ้าไม่สงเคราะห์ อนุเคราะห์ ปราศรัย บำรุงด้วยจุณดิน ไม้ชำระฟัน น้ำบ้วนปาก ต้องอาบัติทุกกฏ.

ทรงให้ส่งพระไปเรียนปาติโมกข์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันอุโบสถ ภิกษุในศาสดานี้อยู่ด้วยกันมากรูป  ล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์หรือวิธีสวดปาติโมกข์.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อ หรือโดยพิสดารมา.
   ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นทุกๆ รูปพึงพากันไปสู่อาวาสที่มีภิกษุรู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์ ถ้าไม่พากันไป ต้องอาบัติทุกกฏ.

กรร ทรงอนุญาตให้จำพรรษาในอาวาสที่มีผู้สวดปาติโมกข์ได้

   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ อยู่จำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งมากรูปด้วยกันล้วนเป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด. พวกเธอไม่รู้อุโบสถ หรือวิธีทำอุโบสถ ไม่รู้ปาติโมกข์ หรือวิธีสวดปาติโมกข์.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียง พอจะจะกลับมาทันในวันนั้น ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา.
   ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ พึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปชั่วระยะกาล ๗ วัน ด้วยสั่งว่า ดูกรอาวุโส เธอจงไปเรียนปาติโมกข์โดยย่อหรือโดยพิสดารมา. ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้นอย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ได้ ภิกษุเหล่านั้นไม่พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสนั้น ถ้าขืนอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโปสถขันธกะ

สมจะแสดงธรรมท่ามกลางสงฆ์ต้องได้รับอาราธนาก่อน

อรรถกถาอัชเฌสนา
บทว่า อนชฺฌิฏฐา
      ได้แก่ ไม่ได้รับบัญชา หรือไม่ได้รับเชิญ. 
   ก็ในอัชเฌสนาธิการนี้ การเชิญ เนื่องด้วยภิกษุผู้เชิญแสดงธรรมซึ่งสงฆ์สมมติก็มี เนื่องด้วยพระสังฆเถระก็มี. เมื่อภิกษุผู้เชิญแสดงธรรมนั้นไม่มี ภิกษุเรียนพระสังฆเถระแล้ว หรืออันพระสังฆเถระอัญเชิญแล้ว ย่อมได้เพื่อกล่าวธรรม. 
   พระสังฆเถระเล่า ถ้าในวัดที่อยู่มีพระธรรมกถึกมาก, พึงสั่งตามลำดับวาระ. ภิกษุผู้ซึ่งท่านสั่งว่า เธอจงสวดธรรม ก็ดี ว่า เธอจงแสดงธรรม ก็ดี ว่า เธอจงให้ธรรมทาน ก็ดี พึงกล่าวธรรมได้ทั้ง ๓ วิธี แต่ภิกษุผู้ได้รับคำสั่งว่า จงสวด ย่อมได้เพื่อสวดเท่านั้น ผู้ได้รับคำสั่งว่า จงแสดง ย่อมได้เพื่อแสดงเท่านั้น ผู้ได้รับคำสั่งว่า จงสวดสรภัญญะ ย่อมได้เพื่อสวดสรภัญญะเท่านั้น. 
   ฝ่ายพระเถระเล่าผู้นั่งบนอาสนะสูงกว่า ย่อมไม่ได้เพื่ออัญเชิญ. ถ้าพระสังฆเถระเป็นอุปัชฌาย์ และพระธรรมกถึกเป็นสัทธิวิหาริก และพระอุปัชฌาย์นั่งบนอาสนะสูง สั่งสัทธิวิหาริกนั้นว่าเธอจงสวด. พึงตั้งใจสาธยายแล้วสวดเถิด.
   แต่ถ้าในสำนักอุปัชฌาย์นี้ มีภิกษุหนุ่มมาก, พึงตั้งใจว่า เราสวดแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้วสวดเถิด. 
   ถ้าพระสังฆเถระในวัดที่อยู่ให้สวดแต่นิสิตของตนเท่านั้น, ไม่อัญเชิญภิกษุเหล่าอื่นที่สวดไพเราะบ้าง, ภิกษุเหล่าอื่นพึงเรียนท่านว่า ท่านผู้เจริญ พวกผมขอให้ภิกษุชื่อโน้นสวด.
   ถ้าท่านตอบ สวดเถิด หรือท่านนิ่งเสีย สมควรให้สวดได้. แต่ถ้าท่านห้าม ไม่ควรให้สวด. 
   หากว่า เริ่ม ธรรมสวนะ แต่เมื่อพระสังฆเถระยังมิได้มา, เมื่อท่านมากลางคัน กิจที่จะต้องหยุดขอโอกาส ไม่มี. 
   อนึ่ง เมื่อสวดแล้วจะอธิบายเนื้อความ พึงขอโอกาสท่านแล้ว จึงอธิบายก็ได้. ไม่หยุดเลยอธิบายทีเดียวก็ได้ แม้ในพระสังฆเถระผู้มากลางคัน เมื่อกำลังอธิบายก็มีนัยเหมือนกัน.
   ถึงในอุปนิสินนกถาพระสังฆเถระเป็นเจ้าของ, เพราะฉะนั้น พระสังฆเถระนั้นพึงกล่าวเอง, หรือสั่งภิกษุอื่นว่า เธอจงกล่าว ก็แลพระเถระนั่งสูงกว่าไม่ควรสั่ง. แต่ว่าจะสั่งแก่มนุษย์ทั้งหลายว่า ท่านจงกล่าว ควรอยู่ชนทั้งหลายถามภิกษุผู้รู้จักตน 
   ภิกษุนั้นพึงขอโอกาสพระเถระก่อนจึงค่อยตอบ. ถ้าพระเถระได้รับตอบว่า ท่านผู้เจริญ ชนเหล่านี้ถามปัญหากะผม ดังนี้แล้ว สั่งว่า ตอบเถิดก็ดี นิ่งเสียก็ดี จะตอบก็ควร. 
     แม้ในการอนุโมทนาเป็นต้นในละแวกบ้าน ก็นัยนี้แล. 
   ถ้าว่าพระสังฆเถระอนุญาตว่า เธอพึงกล่าวในวัดที่อยู่หรือในละแวกบ้านเถิด ไม่ต้องบอกเล่าฉันละ เป็นอันได้ข้ออ้าง, สมควรกล่าวได้ในที่ทั้งปวง. แม้เมื่อจะทำการสาธยายเล่า 
   ก็ต้องขอโอกาสพระเถระเหมือนกัน. เมื่อขอโอกาสองค์ ๑ แล้วกำลังสาธยาย องค์อื่นมาอีก กิจที่จะต้องขอโอกาสอีก ย่อมไม่มี. หากว่า เมื่อผูกใจว่าเราจักพัก แล้วหยุดอยู่ พระเถระมา,
   เมื่อเริ่มอีกต้องขอโอกาส แม้เมื่อกำลังสาธยายธรรมที่ตนเริ่มไว้แล้ว แต่เมื่อพระสังฆเถระยังมิได้มา ก็นัยนี้แล. พระสังฆเถระองค์ ๑ อนุญาตแล้วว่า ไม่ต้องขอโอกาสฉันละ ท่องตามสบายเถิด ดังนี้ สมควรสาธยายตามสบาย แต่เมื่อพระสังฆเถระองค์อื่นมา ต้องขอโอกาสท่านก่อนจึงสาธยาย. 
     ข้อว่า อตฺตนา วา๑- อตฺตานํ สมฺมนฺนิตพฺพํ 
   มีความว่า พึงสมมติตนด้วยตนเองก็ได้. แต่เมื่อจะถาม ต้องแลดูบริษัท ถ้าอุปัทวะไม่มีแก่ตน; พึงถามวินัย. 
      ข้อว่า กเตปิ โอกาเส ปุคฺคลํ ตุลยิตฺวา
   มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุ แม้เมื่อตนขอโอกาสแล้ว ต้องพิจารณาอย่างนี้ว่า อุปัทวะจากบุคคลนี้จะมีแก่เรา หรือไม่มีหนอ? ดังนี้ แล้วจึงโจทด้วยอาบัติ. 
    ข้อว่า ปุคฺคลํ ตฺลยิตฺวา โอกาสํ กาตุํ 
   มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุพิจารณาอย่างนี้ว่า ผู้นี้จะกล่าวอาบัติเฉพาะที่เป็นจริงเท่านั้น หรือจะกล่าวที่ไม่เป็นจริงหนอ ดังนี้แล้ว จึงค่อยให้โอกาส. 
   บทว่า ปฺรมฺหากํ ได้แก่ เราทั้งหลาย ก่อน. 
   บทว่า ปฏิกจฺเจว ได้แก่ ก่อนกว่าทีเดียว. 
   กรรมไม่เป็นธรรมมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล. 
   บทว่า ปฏิกฺโกสิตุํ ได้แก่ เพื่อห้าม. 
   ข้อว่า ทิฏฺฐิมฺปิ อาวิกาตุ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุประกาศความเห็นของตนในสำนักภิกษุอื่นอย่างนี้ว่า กรรมนี้ไม่เป็นธรรม นั่นไม่ชอบใจข้าพเจ้า. 
   คำว่า ๔ รูป ๕ รูปเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเพื่อต้องการมิให้มีอันตรายแก่ภิกษุเหล่านั้น. 
   ข้อว่า สญฺจิจฺจ น สาเวนฺติ มีความว่า แกล้งสวดค่อยๆ
   ด้วยตั้งใจว่า ภิกษุเหล่าอื่นจะไม่ได้ยินด้วยประการใด เราจักสวดด้วยประการนั้น. บทว่า เถราธิกํ มีความว่า เราตถาคตอนุญาตปาติโมกข์ ให้มีพระเถระเป็นใหญ่. 
     อธิบายว่า เพื่อเป็นกิจ เนื่องด้วยพระเถระ. 
   บาลีว่า เถราเธยฺยํ ก็มี แปลว่า ให้มีพระเถระเป็นเจ้าหน้าที่. เพราะเหตุนั้น พระเถระพึงสวดเองก็ได้ พึงเชิญภิกษุอื่นก็ได้. 
   ในอธิการว่าด้วยการอัญเชิญปาติโมกข์นี้ วิธีเชิญมีนัยดังกล่าวแล้วในการอัญเชิญธรรมนั่นแล. 
๑- พระบาลีวินัยเป็น อตฺตนา ว.
 แต่ อตฺตนา วา น่าจะถูกกว่า.

หน้าที่สวดปาติโมกข์เป็นต้น

อรรถกถาอัชเฌสนา
วินิจฉัยในข้อว่า โส น ชานาติ อุโปสถํ วา เป็นอาทิดังนี้ :- 
   พระเถระนั้นไม่รู้จักอุโบสถ ๓ อย่าง โดยต่างด้วยจาตุททสิกอุโบสถ ปัณณรสิกอุโบสถและสามัคคีอุโบสถ และไม่รู้จักอุโบสถ ๙ อย่าง โดยต่างด้วยสังฆอุโบสถเป็นต้น ไม่รู้อุโบสถกรรม ๔ อย่าง ไม่รู้ปาติโมกข์ ๒ อย่าง ไม่รู้ปาติโมกขุทเทส ๙ อย่าง. 
   ในข้อว่า โย ตตฺถ ภิกฺขุ พฺยตฺโต ปฏิพโล นี้ มีวินิจฉัยว่า ปาฏิโมกข์พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้ฉลาดแม้ยังหนุ่มก็จริงแล. ถึงกระนั้น ในข้อนี้ ควรทราบอธิบายดังนี้ :- 
   ถ้าปาฏิโมกขุทเทส ๕ หรือ ๔ หรือ ๓ ของพระเถระ ยังจำไม่ได้ ส่วน ๒ อุทเทสเป็นของไม่บกพร่อง ชำนาญดี คล่องปาก ปาติโมกข์คงเนื่องด้วยพระเถระ.
   แต่ถ้าแม้เพียงเท่านี้ ท่านย่อมไม่อาจเพื่อทำให้ชำนาญได้ ย่อมเป็นหน้าที่ของพระภิกษุผู้ฉลาดเทียว. สองบทว่า สามนฺตา อาวาสา ได้แก่ อาวาสใกล้เคียงกัน. 
   บทว่า สชฺชุกํ
   มีความว่า เพื่อประโยชน์แก่การมาในวันนั้นเอง. 
   วินิจฉัยในข้อว่า นวกํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ นี้ว่า ภิกษุใดสามารถจะเรียนได้ พึงบังคับภิกษุเห็นปานนั้น อย่าบังคับภิกษุที่โง่. 
   บทว่า กตมี๑- ภนฺเต นี้
   มีอธิบายว่า ดิถีเป็นที่เต็มแห่งดิถีทั้งหลายเท่าไร ชื่อว่า ดิถีที่เท่าไร คือกี่ค่ำ. มนุษย์ทั้งหลายหมายเอากุศลกรรมที่เนื่องด้วยพระผู้เป็นเจ้า ถามว่า ภิกษุมีประมาณเท่าไรขอรับ? 
   ข้อว่า สลากํ วา คาเหตุํ  มีความว่า เราตถาคตอนุญาตให้ภิกษุถือเอา คือรวมสลากแล้วนับ. 
   บทว่า กาลวโต ได้แก่ ต่อกาลทีเดียว.
   ความว่า แต่เช้าทีเดียว.
   ในข้อว่า ยํ กาลํ สรติ นี้ มีความว่า แม้ในเวลาเย็นจะบอกว่า วันนี้อุโบสถ ท่านทั้งหลายจงมาประชุม ก็ควร. แม้ในข้อว่า เถเรน ภิกฺขุนา นวํ ภิกฺขุํ อาณาเปตุํ นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ภิกษุผู้ทำกรรมบางอย่างก็ดี ภิกษุผู้ช่วยภาระอย่างหนึ่งตลอดกาลในกาลทุกเมื่อทีเดียวก็ดี ภิกษุผู้สรภาณกะและธรรมกถึก เป็นต้นรูปใดรูปหนึ่งก็ดี พระเถระไม่ควรสั่งบังคับ เพื่อกวาดโรงอุโบสถ ส่วนภิกษุที่เหลือพึงสั่งบังคับตามวาระ คือผลัดเปลี่ยนกัน หากว่า ภิกษุผู้ได้รับคำสั่งแล้ว 
   จะไม่ได้ไม้กวาดแม้เป็นของยืมไซร้ พึงวานกัปปิยการกหักกิ่งไม้ทำให้ควรแล้วกวาด เมื่อเธอไม่ได้แม้ซึ่งกัปปิยการกนั้น เป็นอันได้ข้ออ้าง. ถึงในการสั่งบังคับเพื่อให้ปูลาดอาสนะ ก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. 
   ฝ่ายภิกษุผู้รับคำสั่งแล้ว ถ้าอาสนะในโรงอุโบสถไม่มี พึงขนมาจากสังฆิกาวาส ปูลาดแล้ว ต้องขนไปคืน. เมื่ออาสนะไม่มีจะปูเสื่อลำแพนก็ดี เสื่ออ่อนก็ดี ย่อมควร ถึงเมื่อเสื่ออ่อนไม่มีก็พึงวานกัปปิยการกให้ช่วยหักกิ่งไม้ ทำให้ควรแล้วปูลาดเถิด เมื่อเธอไม่ได้กัปปิยการก เป็นอันได้ข้ออ้าง.
   ในการตามประทีปเล่า พระเถระก็พึงสั่งบังคับตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล. และเมื่อจะสั่งบังคับ ต้องบอกว่า น้ำมันหรือไส้หรือตะเกียง มีอยู่ในโอกาสโน้น เธอจงถือเอาสิ่งนั้นๆ มาตามประทีป.
   หากน้ำมันเป็นต้น ไม่มี ภิกษุผู้รับคำสั่งต้องแสวงหามา เมื่อแสวงหาแล้วไม่ได้ เป็นอันได้ข้ออ้าง. อีกอย่างหนึ่ง จะพึงติดไฟให้โพลงบนกระเบื้องก็ได้. 
   ข้อว่า สงฺคเหตพฺโพ มีความว่า ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงสงเคราะห์ ด้วยถ้อยคำอันไพเราะอย่างนี้ว่า ท่านมาแล้วก็ดีแหละ ขอรับ ที่นี่ภิกษาหาได้ง่าย แกงและกับข้าวก็มี อย่าต้องเป็นกังวลเลย นิมนต์อยู่เถิด พึงอนุเคราะห์เนื่องด้วยการพูดจากันบ่อยๆ พึงเกลี้ยกล่อมด้วยให้เธอให้คำตอบว่า ขอรับผมจักอยู่. 
   อีกประการหนึ่ง พึงสงเคราะห์และอนุเคราะห์ด้วยปัจจัย ๔ พึงเกลี้ยกล่อมด้วยถ้อยคำอันไพเราะ. 
   อธิบายว่า พึงเจรจาให้เสนาะหู พึงให้บำรุงด้วยสิ่งของต่างๆ มีจุณเป็นต้น. ข้อว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ถ้าสงฆ์แม้ทั้งมวลไม่ทำไซร้, ต้องทุกกฎทั้งหมด. 
   ในอธิการนี้ พระเถระทั้งหลายก็ไม่พ้น พวกภิกษุหนุ่มก็ไม่พ้น. ภิกษุทั้งปวงพึงให้เปลี่ยนวาระกันบำรุง เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่บำรุงในวาระของตน. แต่ภิกษุผู้เป็นพหุสูตนั้น อย่าพึงยินดีวัตรมีการกวาดบริเวณและให้ไม้สีฟันเป็นต้นของพระมหาเถระทั้งหลาย. 
   แม้เมื่อข้อที่เธอได้ยินดี มีอยู่ พระมหาเถระทั้งหลายก็ควรมาสู่ที่บำรุงทั้งเย็นเช้า. แต่ภิกษุผู้พหุสูตนั้นรู้ความมาของพวกท่านแล้ว พึงไปสู่ที่บำรุงของพระมหาเถระทั้งหลายเสียก่อน. ถ้าภิกษุผู้สหจร ซึ่งเป็นอุปัฏฐากของเธอมีอยู่ เธอพึงห้ามเสียว่าอุปัฏฐากของผมมี ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ขวนขวายน้อยอยู่เถิด. 
   แม้ถ้าว่า ภิกษุผู้สหจรของเธอไม่มี.
   แต่ภิกษุรูปหนึ่งหรือ ๒ รูป ผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรในวัดที่อยู่นั่นเอง กล่าวว่า ผมจักทำกิจที่ควรทำแก่พระเถระเอง ภิกษุที่เหลือจงอยู่เป็นผาสุกเถิด ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งปวง. 
     ข้อว่า โส อาวาโส คนฺตพฺโพ 
   มีความว่า อาวาสนั้นอันภิกษุทั้งหลายผู้เขลา ไม่ฉลาด พึงไปทุกกึ่งเดือน เพื่อประโยชน์แก่การทำอุโบสถ 
   ก็อาวาสนั้นแล ควรไปทั้งเหมันตฤดูและคิมหฤดูทีเดียว แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเป็นต้นว่า ผู้เขลาไม่ฉลาดจำพรรษา ดังนี้ ก็เพื่อแสดงกิจที่ควรทำในฤดูฝน. 
   ในพระบาลี ข้อว่า น ภิกฺขเว เตหิ ภิกฺขูหิ ตสฺมึ อาวาเส วสฺสํ วสิตพฺพํ มีความว่า ในการเข้าพรรษาแรก อย่าจำพรรษาปราศจากภิกษุผู้สวดปาฏิโมกข์. 
   หากว่าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้นหลีกไปเสียหรือสึกเสียหรือทำกาลกิริยาเสีย ต่อเมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาแล้ว เมื่อภิกษุอื่นที่สวดได้มีอยู่นั่นแล จึงควรจำพรรษาหลัง 
   เมื่อไม่มี ต้องไปในอาวาสอื่น เมื่อไม่ไป ต้องทุกกฎ. แต่ถ้าภิกษุผู้สวดปาติโมกข์นั้นหลีกไปเสียหรือสึกเสียหรือทำกาลกิริยาเสีย ในการเข้าพรรษาหลัง พึงอยู่ในที่นั้นตลอด ๒ เดือน. 
๑- พระบาลีวินัยเป็น กติมี,  ฏีกาวิมติโนทนีก็เป็น กติมี.
อรรถกถาอัชเฌสนา จบ.

05 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุโบสถขันธก พระมหากัสสปเถระเดินทางไปทำอุโบสถ

 [๑๖๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมาจากอันธกวินทวิหาร สู่พระนครราชคฤห์เพื่อทำอุโบสถ ในระหว่างทางข้ามแม่น้ำ เกือบถูกน้ำพัดไป จีวรของท่านเปียก.
   ภิกษุทั้งหลายได้ถามท่านพระมหากัสสปว่า อาวุโส เพราะเหตุไร จีวรของท่านจึงเปียก? ท่านตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย ผมมาจากอันธกวินทวิหารสู่พระนครราชคฤห์ เพื่อทำอุโบสถ ณ ที่นี้ ได้ข้ามแม่น้ำ ในระหว่างทาง เกือบถูกน้ำพัดไป 
   เพราะเหตุนั้น จีวรของผมจึงเปียก.
   ภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร.

วิธีสมมติจีวรวิปปวาส

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติติจีวรวิปปวาส

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกันมีอุโบสถเดียวกัน.
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร. นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร.
   การสมมติสีมานี้ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด 
ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สีมานั้นสงฆ์สมมติให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน.
   จีวรเหล่านั้นหายบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง. ภิกษุ
ทั้งหลายมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมอง.
   ภิกษุทั้งหลายจึงถามกันอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย เพราะเหตุไร พวกท่านจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมองเล่า?
   ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกผมทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสมมติติจีวราวิปปวาสแล้ว จึงเก็บจีวรไว้ในละแวกบ้าน ณ ตำบลนี้ จีวรเหล่านั้นหายเสียบ้าง ถูกไฟไหม้บ้าง ถูกหนูกัดบ้าง เพราะเหตุนั้น 
   พวกผมจึงมีแต่ผ้าไม่ดี มีจีวรเศร้าหมอง.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้วให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์จงสมมติสีมานั้นให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน.

วิธีสมมติจีวรวิปปวาส

ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ก็แล พึงสมมติติจีวราวิปปวาสสีมาอย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาสมมติจีวราวิปปวาส

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน. นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์สมมติอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร 
เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน.
   การสมมติสีมานี้ให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้าน ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   สีมานั้นสงฆ์สมมติให้เป็นแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวร เว้นบ้านและอุปจารแห่งบ้านแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
   [๑๖๓] พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุจะสมมติสีมา พึงสมมติสมานสังวาสสีมาก่อน ภายหลังจึงสมมติติจีวราวิปปวาส.
   เมื่อจะถอนสีมา พึงถอนติจีวราวิปปวาสก่อน ภายหลังจึงถอนสมานสังวาสสีมา.

วิธีถอนติจีวราวิปปวาส

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      ก็แล พึงถอนติจีวราวิปปวาสอย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาถอนติจีวราวิปปวาส

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้นใด อันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงถอนแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น. นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้นใด อันสงฆ์สมมติไว้แล้ว สงฆ์ถอนอยู่บัดนี้ซึ่งแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น การถอนแดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.   แดนไม่อยู่ปราศจากไตรจีวรนั้น สงฆ์ถอนแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.

วิธีถอนสมานสังวาสสีมา

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      ก็แล พึงถอนสมานสังวาสสีมาอย่างนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-

กรรมวาจาถอนสมานสังวาสสีมา

   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน ให้มีอุโบสถเดียวกัน ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงถอนสีมานั้น.นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สีมานั้นใดอันสงฆ์สมมติไว้แล้ว ให้มีสังวาสเสมอกัน ให้มีอุโบสถเดียวกัน สงฆ์ถอนอยู่บัดนี้ซึ่งสีมานั้น การถอนสีมามีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกันนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.  สีมามีสังวาสเสมอกัน 
   มีอุโบสถเดียวกันนั้น อันสงฆ์ถอนแล้ว ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.

อพัทธสีมา

   [๑๖๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ยังไม่ได้กำหนดสีมา ภิกษุเข้าอาศัยบ้านหรือนิคมใดอยู่ เขตของบ้านนั้น เป็นคามสีมาบ้าง เขตของนิคมนั้น เป็นนิคมสีมาบ้าง
   สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ในบ้านหรือนิคมนั้น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าในป่าหาคนตั้งบ้านเรือนมิได้ ชั่ว ๗ อัพภันดรโดยรอบ เป็นสัตตัพภันดรสีมา สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกันในป่านั้น.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม่น้ำทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้ สมุทรทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้ ชาตสระทั้งหมด สมมติเป็นสีมาไม่ได้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในแม่น้ำ ในสมุทร หรือในชาตสระ ชั่ววักน้ำสาด โดยรอบแห่งมัชฌิมบุรุษ เป็นอุทกุกเขปสีมา สีมานี้มีสังวาสเสมอกัน มีอุโบสถเดียวกัน ในน่านน้ำนั้น.

สีมาสังกระ

   [๑๖๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สมมติสีมาคาบเกี่ยวสีมา. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติไว้ก่อนแล้ว กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติแล้วในภายหลัง กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้น
    ไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาคาบเกี่ยวสีมา รูปใดสมมติคาบเกี่ยว ต้องอาบัติทุกกฏ.

สีมาทับสีมา

   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สมมติสีมาทับสีมา. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สีมาอันภิกษุเหล่าใด สมมติไว้ก่อนแล้ว กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นเป็นธรรม ไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ สีมาอันภิกษุเหล่าใดสมมติแล้วในภายหลัง กรรมนั้นของภิกษุเหล่านั้นไม่เป็นธรรม กำเริบ ไม่ควรแก่ฐานะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสมมติสีมาทับสีมา รูปใดสมมติทับ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้จะสมมติสีมา เว้นสีมันตริกไว้ แล้วสมมติสีมา.

วันอุโบสถ ๒

   [๑๖๖] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า วันอุโบสถมีเท่าไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายวันอุโบสถนี้มี ๒ คือ อุโบสถมีในวัน ๑๔ ค่ำ อุโบสถมีในวัน ๑๕ ค่ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันอุโบสถ ๒ นี้แล.

การทำอุโบสถ ๔ อย่าง

   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า การทำอุโบสถมีเท่าไรหนอแล แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การทำอุโบสถนี้มี ๔ คือ การทำอุโบสถเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม ๑ การทำอุโบสถพร้อมเพรียงโดยไม่เป็นธรรม ๑ การทำอุโบสถเป็นวรรคโดยธรรม ๑ การทำอุโบสถพร้อมเพรียงโดยธรรม ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใดเป็นวรรคโดยไม่เป็นธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต. ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใด ที่พร้อมเพรียงโดยไม่เป็นธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต.
   ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใด เป็นวรรคโดยธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต. ในการทำอุโบสถ ๔ อย่างนั้น การทำอุโบสถนี้ใดที่พร้อมเพรียงโดยธรรม การทำอุโบสถเห็นปานนั้นควรทำ และเราก็อนุญาต.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแหละพวกเธอพึงทำในใจว่า จักทำอุโบสถกรรมชนิดที่พร้อมเพรียงโดยธรรม ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล.

ปาติโมกขุเทศ ๔

   [๑๖๗] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลาย ได้มีความปริวิตกว่า ปาติโมกขุเทศมีเท่าไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ปาติโมกขุเทศนี้มี ๕ คือ ภิกษุสวดนิทานจบแล้ว  พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๑.
   สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ จบแล้ว พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๒.
   สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ สวดสังฆาทิเสส ๑๓ จบแล้วพึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๓.
   สวดนิทาน สวดปาราชิก ๔ สวดสังฆาทิเสส ๑๓ สวดอนิยต ๒ จบแล้ว พึงสวดอุเทศที่เหลือด้วยสุตบท 
   นี้เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๔.
   สวดโดยพิสดารหมด เป็นปาติโมกขุเทศที่ ๕.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปาติโมกขุเทศ ๕ นี้แล. ทรงห้ามสวดปาติโมกข์ย่อ สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสวดปาติโมกข์ย่อ ดังนี้ 
       จึงสวดปาติโมกข์ย่อทุกครั้ง.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.

ทรงอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อเมื่อมีอันตราย

   สมัยต่อมา ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่านในวันอุโบสถ. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจสวดปาติโมกข์โดยพิสดาร จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.

อันตราย ๑๐ ประการ

   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ แม้เมื่ออันตรายไม่มี ก็สวดปาติโมกข์ย่อ. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีอันตราย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ย่อ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อมีอันตราย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อ.
อันตรายในเรื่องนั้นเหล่านี้ คือ
   ๑. พระราชาเสด็จมา ๒. โจรมาปล้น
   ๓. ไฟไหม้      ๔. น้ำหลากมา
   ๕. คนมามาก    ๖. ผีเข้าภิกษุ
   ๗. สัตว์ร้ายเข้ามา ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา
   ๙. ภิกษุอาพาธหนักจะถึงเสียชีวิต
   ๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ย่อในเพราะอันตรายเห็นปานนี้ เมื่อไม่มีอันตราย 
  ให้สวดโดยพิสดาร.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโปสถขันธกะ

 วันอุโบสถ ๒

อรรถกถาอุโบสถและอุโบสถกรรม
   ในอุโบสถสอง๑- นี้ คือ อุโบสถวันที่ ๑๔ และอุโบสถวันที่ ๑๕ เมื่อทำบุพกิจแห่งอุโบสถวันที่ ๑๔ แล้วพึงบอกว่า อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโส แปลว่า อุโบสถวันนี้ที่ ๑๔. 
   วินิจฉัยในอุโบสถกรรม ๔ มีข้อว่า อธมฺเมน วคฺคํ เป็นอาทิ. หากว่าในวัดที่อยู่เดียวกัน เมื่อภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูปนำฉันทะและปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ หรือเมื่ออยู่ด้วยกัน ๓ รูป ๒ รูปนำฉันทะและปาริสุทธิของรูปหนึ่งมา แล้วสวดปาติโมกข์, อุโบสถกรรมย่อมเป็นวรรคโดยอธรรม. 
   แต่ถ้าทั้ง ๔ รูปประชุมกันทำปาริสุทธิอุโบสถ, ๓ รูปหรือ ๒ รูปสวดปาติโมกข์ อุโบสถกรรมชื่อพร้อมเพรียงโดยอธรรม. 
   ถ้าอยู่ด้วยกัน ๔ รูป ๓ รูปนำปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ, หรืออยู่ด้วยกัน ๓ รูป ๒ รูปนำปาริสุทธิของรูปหนึ่งมาแล้ว ทำปาริสุทธิอุโบสถ, อุโบสถกรรมชื่อเป็นวรรคโดยธรรม. 
   แต่ถ้าภิกษุ ๔ รูปอยู่ในวัดที่อยู่เดียวกัน ประชุมกันทั้งหมดสวดปาติโมกข์, ๓ รูปทำปาริสุทธิอุโบสถ, ๒ รูปทำปาริสุทธิกะกันและกัน, อุโบสถกรรมชื่อพร้อมเพรียงโดยธรรม. 
   จาตุทฺทสิโก จ ปณฺณรสิโก จาติ เอตฺถ จาตุทฺทสิกสฺส
   ปุพฺพกิจฺเจ อชฺชุโปสโถ จาตุทฺทโสติ วตฺตพฺพํ ฯ
   อธมฺเมน วคฺคนฺติ อาทีสุ สเจ เอกสฺมึ วิหาเร จตูสุ ภิกฺขูสุ วสนฺเตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา
ตโย ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ
ตีสุ วา วสนฺเตสุ เอกสฺส ฉนฺทปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา เทฺว
ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ อธมฺเมน วคฺคํ อุโปสถกมฺมํ โหติ ฯ
   สเจ ปนจตฺตาโรปิ สนฺนิปติตฺวา ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ตโย วา เทฺว วา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ
   อธมฺเมน สมคฺคํ นาม โหติ ฯ
   สเจ จตูสุ ชเนสุ เอกสฺส ปาริสุทธึ อาหริตฺวา
ตโย ปาริสุทฺธิ อุโปสถํ กโรนฺติ ตีสุ วา ชเนสุ เอกสฺส
ปาริสุทฺธึ อาหริตฺวา เทฺว ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ธมฺเมน
วคฺคํ นาม โหติ ฯ   สเจ ปน จตฺตาโร เอกตฺถ วสนฺตา สพฺเพว สนฺนิปติตฺวา ปาฏิโมกฺขํ อุทฺทิสนฺติ ตโย ปาริสุทฺธิ-
   อุโปสถํ กโรนฺติ เทฺว อญฺญมญฺญํ ปาริสุทฺธิอุโปสถํ กโรนฺติ ธมฺเมน สมคฺคํ นาม โหตีติ ฯ 
๑- แต่ในโยชนา เอตฺถ โยควจเนและเป็นอาธารในวตฺตพฺพํ.
อรรถกถาอุโบสถและอุโบสถกรรม จบ.

ปาติโมกขุเทศ ๕

อรรถกถาปาติโมกขุทเทส
ข้อว่า นิทานํ อุทฺทิสิตฺวา อวเสสํ สุเตน สาเวตพฺพํ มีความว่า 
   ครั้นสวดนิทานนี้ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ ฯเปฯ อาวิกตา หิสฺส ผาสุ โหติ แล้ว พึงกล่าวว่า อุทฺทิฏฐํ โข อายสฺมนฺโต นิทานํ. ตตฺถายสฺมนฺเต ปุจฺฉามิ. กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา? ทุติยมฺปิ ปุจฺฉามิ ฯปฯ เอวเมตํ ธารยามิ๑- 
   แล้วพึงสวด ๔ อุทเทสที่เหลือด้วยสุตบท อย่างนี้ว่า สุตา โข ปนายสฺมนฺเตหิ จตฺตาโร ปาราชิกา ธมฺมา ฯปฯ อวิวทมาเนหิ สิกฺขิตพฺพํ. ปาฏิโมกขุทเทส ๔ ที่เหลือ พึงทราบตามนัยนี้. 
สัญจรภัยนั้น ได้แก่ ภัยเกิดแก่มนุษย์ผู้ท่องเที่ยวไปในดง. 
   วินิจฉัยในอันตราย ๑๐ คือ ราชันตรายเป็นอาทิ. 
   ถ้าเมื่อภิกษุทั้งหลายคิดว่า เราจักทำอุโบสถ นั่งประชุมกันแล้ว พระราชาเสด็จมา นี้ชื่อว่าราชันตราย. พวกโจรพากันมา นี้ชื่อโจรันตราย. ไฟป่าลามมาหรือไฟเกิดขึ้นในอาวาส นี้ชื่ออัคคยันตราย. ฝนตกหรือน้ำหลากมา นี้ชื่ออุทกันตราย. มนุษย์มากันมาก นี้ชื่อมนุสสันตราย. ผีเข้าภิกษุ นี้ชื่ออมานุสสันตราย. 
   สัตว์ร้ายมีเสือเป็นต้นมา นี้ชื่อวาฬันตราย. สัตว์มีพิษมีงูเป็นต้นกัดภิกษุ นี้ชื่อสิรึสปันตราย. ภิกษุอาพาธหรือทำกาลกิริยา หรือพวกคนมีเวรกัน ปองจะฆ่า จับภิกษุนั้น นี้ชื่อชีวิตันตราย. มนุษย์ประสงค์ให้ภิกษุรูปเดียวหรือหลายรูปเคลื่อนจากพรหมจรรย์ จับเอาไป นี้ชื่อพรหมจริยันตราย. 
   ในอันตรายเห็นปานนี้ พึงสวดปาติโมกข์ย่อได้. จะพึงสวดอุทเทสที่ ๑ หรือสวด ๒ อุทเทส. ๓ อุทเทส, ๔ อุทเทส เบื้องต้นก็ตาม. ในอุทเทสเหล่านี้ มีอุทเทสที่ ๒ เป็นต้น เมื่ออุทเทสใดยังสวดไม่จบ มีอันตราย อุทเทสแม้นั้น พึงสวดด้วยสุตบททีเดียว. 
๑- นิทานุทเทส ไม่น่าจะต้องถาม ดูอธิบายในวินัยมุขเล่ม ๒ กัณฑ์ที่ ๑๗.
อรรถกถาปาติโมกขุทเทส จบ.