หมู่บ้านชาวนา
![]() |
|
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย จนกระทั่งพระกุมารเจริญวัย ในสมัยต่อมาภายหลัง ครั้งหนึ่งพระกุมาร ได้เสด็จไปเพื่อทอดพระเนตรหมู่บ้านชาวนาพร้อมด้วยบุตรอำมาตย์ อื่นๆหลายคน ครั้นทอดพระเนตรการทำนาแล้ว จึงเสด็จเข้าไปยังอุทยานอีกแห่งหนึ่ง

ในอุทยานนั้น พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ลำพังพระองค์เดียว มีพระทัยประกอบด้วยความรู้ เสด็จย่างพระบาท(จงกรม) ไปพลางพิจารณาไปพลาง ได้ทรงเห็นต้นหว้าต้นหนึ่งน่าเลื่อมใส น่าชม พระโพธิสัตว์ จึงบทรงนั่งขัดสมาธิใต้ร่มเงาต้นหว้านั้น
ครั้นแล้วจิตของพระโพธิสัตว์ก็ได้ถึงไอกาครตา คือมีกระแสอารมณ์เดียว และได้ถึงวิเวกคือแยกจิตออกจากกามทั้งหลายที่เป็นอกุศลธรรมอันลามก ทรงบรรลุปรถมธยาน ที่ประกอบด้วยวิตรรก วิจาร และปีติสุข อันเกิดแต่วิเวก แล้วพระองค์ทรงบรรลุทวิตียธยาน เพราะระงับวิตรรกวิจารเสียได้ เพราะมีจิตผ่องใส เพราะมีจิตเป็นเอโกติภาวะ ไม่มีวิตรรก ไม่มีวิจาร มีแต่ปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิ แล้วพระองค์ทรงวางเฉย เพราะความไม่ยินดีในปีติ ทรงมีสมฤติปรชานะอยู่ และพระองค์ทรงเสวยสุขทางกาย แล้ว พระองค์ผู้ควรเคารพ ทรงแจ่มแจ้งวางเฉย มีสมฤติ อยู่เป็นสุข ทรงบรรลุตฤตียธยานอันปราศจากปีติ แล้วพระองค์ทรงบรรลุจตุรถธยาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข มีแต่อุเบกษา มีสมฤติ และความบริศุทธ เพราะละสุขและทุกข์ และเพราะเสามนัสยเทารมนัสเดิมตั้งอยู่ไม่ได้
ขณะนั้น ยังมีพระฤษีพาเหียร(ภายนอกพุทธศาสนา) 5 ตน สำเร็จอภิชญา 5 มีฤทธิ์เดินทางมาในอากาศจากทิศใต้ จะไปทิศเหนือ เมื่อพระฤษีเหล่านั้นเหาะไปเบื้องบนราวไพรที่พระโพธิสัตว์ประทับ ก็เป็นเหมือนถูกสกด ไม่สามารถจะเหาะไปได้ เกิดขุมขนซาบซ่าน ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
1 ในที่นี้ เราทั้งหลาย สามารถทำลายภูเขาที่มียอดเป็นแก้วมณีหรือเป็นเพชร และเขาเมรุซึ่งสูงสุดกว้างขวางให้อัตรธานไปได้ในชั่วขณะเดียว เหมือนช้างทำลายหมู่ต้นมะม่วงที่รกรุงรัง ในที่นี้เราทั้งหลายอาศัยเบื้องบนอาจไปได้ในเมืองสวรรค์ เมืองยักษ์ เมืองคนธรรพ์ โดยไม่ขัดข้อง แต่บัดนี้เรามาถึงราวไพรแล้ว สง่าราศีของใครทำกำลังฤทธิ์ให้หยุดชะงักไปเล่า ท่านผู้เจริญ ดั่งนี้ ฯ
ครั้งนั้นเทพธิดาตนหนึ่ง ซึ่งอยู่ที่ราวไพรนั้น ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์กับพระฤษีเหล่านั้น ว่า
2 พระกุมารเกิดในราชตระกูลแห่งพระเจ้าแผ่นดิน เป็นพระโอรสแห่งศากยราช มีรัศมีเหมือนแสงอาทิตย์อ่อน มีรัศมีเหมือนสีกระพุ้งดอกบัวซึ่งบานแล้ว มีพระพักตร์งามเหมือนดวงจันทร์ เป็นผู้ประเสริฐที่สุดในโลก ทรงเป็นผู้รู้ พระองค์อาศัยป่านี้เข้าธยาน เทวดา คนธรรพ์ พระยานาค และยักษ์ บูชาแล้ว พระองค์ทรงบำเพ็ญคุณให้เจริญมาแล้วตั้งร้อยโกฏิภพสง่าราศีของพระองค์ทำกำลังฤทธิ์ให้หยุดชะงัก ดั่งนี้ฯ
ดั่งนั้น พระฤษีเหล่านั้น จึงมองลงมาเบื้องล่างก็ได้เห็นว่า พระกุมารรุ่งเรืองอยู่ด้วยสง่าราศี และเดช พระฤษีเหล่านั้นจึงคิดว่า นี่ใครหนอนั่งอยู่(ที่นั่น?) เป็นไวศรวัณเจ้าแห่งทรัพย์ใช่ไหม หรือว่าเป็นอัศวินมาระ(กามเทพ)เจ้าแห่งกาม หรือเป็นพระยานาค หรือเป็นองค์อินทร์ผู้ทรงวัชระ หรือเป็นรุทระเจ้าแห่งกุมภัณฑ์ หรือเป็นกฤษณะผู้มีอุตสาหะใหญ่ยิ่ง หรือเป็นจันทร์เทพบุตร หรือเป็นอาทิตย์มีรัศมีตั้งพัน หรือเป็นพระราชาจักรพรรดิ์? และในเวลานั้นพระฤษีเหล่านั้นได้กล่าวคำเป็นบทประพันธ์ดังต่อไปนี้
3 พระกุมารองค์นี้ มีรูปร่างเกินกว่าไวศรวัณ พิเศษกว่ากุเพระ พระกุมารองค์นี้มีรูปเหมือนองค์อินทร์ผู้ทรงวัชระ และเหมือนจันทร์ สุริยะ หรือเหมือนกามเทพผู้เป็นเจ้าแห่งกาม หรือเหมือนรุทระหรือกฤษณะ พระกุมารองค์นี้ มีสง่าราศี มีอวัยวะงามวิจิตรด้วยลักษณะหาค่ามิได้ หรือจะเป็นพระพุทธ ดังนี้ฯ
ครั้นแล้ว นางเทพธิดานั้น ก็ได้ตอบพระฤษีเหล่านั้นด้วยคำเป็นบทประพันธ์ ว่า
4 สง่าราศีใด อาศัยอยู่ในไวศรวัณ หรืออยู่ในองค์พันเนตร(องค์อินทร์) หรืออยู่ในดลกบาลทั้ง 4 หรือยู่ในพระยาอสูร(พระพิโรจน์หรือเวปจิตติ) หรืออยู่ในสหัมบดีพรหม อยู่ในกฤษณะ สง่าราศีนั้นเมื่อมาเผชิญกับพระโอรสศากยแล้ว ย่อมไม่ถึงส่วนเสี้ยวแม้แต่น้อยหนึ่งเลยฯ
ครั้งนั้นแล เมื่อพระฤษีทั้งหลายได้ยินคำของนางเทพธิดานั้นแล้ว ก็ได้ลงมายืนที่พื้นดิน เห็นพระโพธิสัตว์ผู้รุ่งเรืองดังกองไฟ ด้วยกายไม่หวั่นไหวกำลังเข้าธยานอยู่พระฤษีเหล่านั้นได้เพ่งพินิจพระโพธิสัตว์แล้ว สรรเสริญด้วยคำเป็นบทประพันธ์
ในพระฤษีทั้ง 5 ตนนั้นฤษีตนหนึ่งกล่าวว่า
5 เมื่อโลกเร่าร้อนด้วยไฟคือเกลศ พระกุมารองค์นี้แล ปรากฏเป็นธารน้ำลึก จะยังโลกนั้นให้ประสบธรรม ซึ่งโลกจะได้รับความรื่นรมย์ฯ
อีกตนหนึ่งกล่าวว่า
6 เมื่อโลกมืดด้วยอัญญาน(อวิทยา) พระกุมารองค์นี้ ปรากฏเป็นดวงประทีป จะยังโลกนั้นให้ประสบธรรม ซึ่งโลกจะได้รับแสงสว่างฯ
อีกตนหนึ่งกล่าวว่า
7 เมื่อโลกอยู่ในมหาสมุทรคือความโศกอันเป็นที่กันดาร พระกุมารองค์นี้ ปรากฏเป็นสำเภาอันประเสริฐสุด จะยังโลกนั้นให้ประสบธรรม ซึ่งทำให้ข้ามพ้นมหาสมุทรได้ฯ
อีกตนหนึ่งกล่าวว่า
8 เมื่อโลกทั้งหลายถูกผูกมัดด้วยเครื่องผูกมัดคือเกลศ พระกุมารองค์นี้ปรากฏเป็นผู้แก้ จะยังโลกนั้นให้ประสบธรรม ซึ่งทำให้โลกพ้นจากเครื่องผูกมัดฯ
อีกตนหนึ่งกล่าวว่า
9 เมื่อโลกทั้งหลายลำบากด้วย ชรา พยาธิ พระกกุมารองค์นี้ปรากฏเป็นหมอวิเศษ จะยังโลกน้นให้ประสบธรรม ซึ่งแก้ไขให้โลกพ้นจากการเกิดและการตายฯ
ครั้งนั้นแล พระฤษีเหล่านั้นสรรเสริญพระโพธิสัตว์ ด้วยคำเป็นบทประพันธ์อันไพเราะ แล้วทำประทักษิณพระโพธิสัตว์ 3 รอบ แล้วจึงหลีกไปโดยทางอากาศแม้พระราชาศุทโธทนะ เมื่อไม่ทรงเห็นพระโพธิสัตว์ ก็ไม่ทรงสบายพระหทัยเพราะพระโพธิสัตว์ พระองค์จึงตรัสว่า กุมารไปไหน? เราไม่เห็นกุมารในที่นั้นหมู่มหาชนต่างพากันวิ่งวุ่นเสาะหาพระกุมาร ต่อมา อำมาตย์คนสุดท้าย ก็พบพระกุมารทรงนั่งขัดสมาธิเข้าธยานอยู่ที่ร่มเงาต้นหว้า ในเวลานั้น เงาไม้ทั้งปวงคล้อยไปแล้ว แต่เงาต้นหว้าไม่ละพระกายพระโพธิสัตว์ อำมาตย์ผู้นั้น เห็นแล้ว อัศจรรย์ใจ มีความชื่นชมยินดี จิตใจเพื่องฟู มีใจเป็นสุขสันติบรรเทิง เกิดปีติโสมนัส จึงรีบเร่งขมีขมันเข้าเฝ้าพระราชาศุทโธทนะกราบทูลด้วยคำเป็นบทประพันธ์ว่า
10 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ ขอพระองค์จงทอดพระเนตร พระกุมารนี้ ทรงเข้าธยานที่ร่มเงาต้นหว้า ทรงงามด้วยสง่าราศี และด้วยเดชเหมือนองค์ศักระ(องค์อินทร์) หรือพรหม
11 เงาของต้นไม้ที่พระกุมารผู้มีลักษณะประเสริฐประทับนั่งอยู่นั้น ไม่ละพระกุมารผู้เป็นบุรุษประเสริฐสุด กำลังเข้าธยานอยู่ฯ
ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะได้เสด็จไปยังต้นหว้านั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็น พระโพธิสัตว์รุ่งเรืองด้วยสง่าราศี และเดช ครั้นแล้วพระองค์จึงตรัสเป็นบทประพันธ์ ตั่งต่อไปนี้
12 กุมารนี้ประทับอยู่เหมือนไฟบนภูเขา และเหมือนดวงจันทร์มีหมู่ดาวห้อมล้อม เมื่อเราเห็นกุมารเข้าธยานรุ่งเรืองด้วยเดช ร่างกายของเราสั่นไปหมดฯ
13 ในคราวที่พระองค์เกิดเป็นมุนี ในคราวที่พระองค์ทรงเข้าธยาน มีเดชรุ่งเรืองเหมือนเปลวไฟ ข้าแต่พระผู้เป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระผู้เป็นนายกพิเศษ ข้าพเจ้าขอไหว้พระบาททั้งสองของพระองค์แม้หนึ่งครั้งสองครั้ง ฯ
ในที่นั้นเด็กที่หาตรีผลา(สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม) ส่งเสียงเอะอะ อำมาตย์ทั้งหลาย พูดกับเด็กเหล่านั้นว่า อย่าเอะอะไป อย่าเอะอะไป เด็กเหล่านั้นได้ พูดว่า อะไรกันนี่
อำมาตย์ทั้งหลายจึงพูดว่า
14 เงาต้นไม้นั้น ไม่ละพระกุมารสรวารถสิทธ ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าแผ่นดิน ผู้มีรัศมีในอากาศ มีลักษณะงามประเสริฐ ทรงไว้ซึ่งความเลิศ กำลังเข้าธยานไม่ไหวติงเหมือนภูเขาอยู่ในวงกลมถูกปกคลุมด้วยความมืดรางๆ(เงา) ฯ
ในข้อนี้ท่านกล่าวไว้ว่า
15 เมื่อย่างเข้าเดือนเชษฐมาส(มิถุนายน) วสันตฤดู(ฤดูใบไม้ผลิ) หน้าร้อน ดอกไม้กำลังบาน ดาษดาไปด้วยดอกไม้ใบไม้อ่อนก้องกังวาลไปด้วยเสียงนกกระเรียน นกยูง นกแก้ว นกสาลิกา เจ้าหญิงศากยทั้งหลายผู้เจริญยิ่ง ย่อมพากันออกมาเดินเล่น ฯ
16 มีเด็กหญิงทั้งหลายแวดล้อมพูดชวนพระโพธิสัตว์ด้วยความรัก ว่า ข้าแต่พระกุมาร ถ้ากระไร เราไปเที่ยวป่าเพื่อชมป่ากันเถอะ พระองค์จะประทับอยู่ในวังเหมือนพราหมณ์ทำไม มิฉะนั้นเราจะไปหาสาวชาวนากันเถอะๆ
17 พระกุมารผู้เป็นสัตว์บริศุทธยิ่ง แวดล้อมไปด้วยสนมกำนัลประมาณ 500 มิได้กราบทูลให้พระมารดาพระบิดาทรงทราบ พระมารดาพระบิดไม่ทรงทราบ เสด็จออกไปยังหมู่ชาวนาในเวลาเที่ยง ฯ
18 มีสุมทุมพุ่มหว้าต้นหนึ่ง แผ่กิ่งก้านสาขากว้างขวางออกไปเป็นอันมาก อยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหมู่บ้านของพระเจ้าแผ่นดินผู้ประเสริฐพระกุมารผู้ตื่น(รู้)อยู่เสมอ ล่วงพ้นจากความทุกข์ทอดพระเนตรเห็น ทรงพระตำหนิว่า ชาวนามีทุกข์มาก ฯ
19 พระองค์เสด็จเข้าไปสู่ร่มเงาต้นหว้า มีพระหทัยควบคุมไว้แล้วทรงเอาหญ้าปูเป็นอาสนที่โคนต้นหว้าด้วยพระองค์เอง แล้วจึงนั่งขัดสมาธิทำพระกายให้ตรง พระโพธิสัตว์ทรงเข้าธยานทั้ง 4 เป็นอย่างดี ฯ
20 พระฤษี 5 ตนไปทางอากาศ ไม่สามารถเพื่อจะผ่านยอดหว้าได้ พระฤษีเหล่านั้นทนอยู่ไม่ได้ และสิ้นความถือตัวความกระด้าง จึงแลไปข้างล่างพร้อมกันหมด ด้วยคิดว่า ฯ
21 เราทั้งหลาย สามารถชำแรกภูเขาเมรุอันประเสริฐ และจักรวาลทั้งหลายไปได้ เราได้ด้วยกำลังเร็ว แต่พวกเราเหล่านั้นไม่สามารถข้ามต้นหว้าไปได้ ใครนี่หนอ เป็นตัวการณ์ในที่นี้ วันนี้จะมีใครในที่นี้ ฯ
22 พรฤษี(เหล่านั้น)ได้ลงมายืนอยู่ที่พื้นดิน แล้วมองไปเห็นพระโพธิสัตว์ โอรสศากยที่โคนต้นหว้านั้น มีแสงสว่าง มีเดช มีรัศมี เหมือนรัศมีทองชมพูนท นั่งขัดสมาธิเข้าธยานอยู่ในที่นั้น ฯ
23 พระฤษีเหล่านั้น มีความนับถือประนมมือสับนิ้วขนศีรษะน้อมตัวลงทำอัญชลีกรรรมกราบลงโดยลำดับ (พูดว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้มีกำเนิดดี สาธุ พระองค์เป็นประธานที่ดีของโลกด้วยความกรุณา ของพระองค์จงตรัสรู้โดยเร็ว จงนำสัตว์ทั้งหลายไปในอมฤต ฯ
24 เงาดวงอาทิตย์ปกคลุมไม่ละพระสุคต พุ่มหว้าอันประเสริฐย้อยลงมาเหมือนใบบัว เทพยดาหลายพันยืนประนมมืออยู่แล้ว ต่างก็กราบไหว้พระบาททั้งสองของพระองค์ผู้ทำให้หมดสงสัย ฯ
25 ส่วนคนในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ ก็ค้นหาไต่ถามกันว่า พระกุมารของเราไปไหน แล้วทูลพระมารดาสะใภ้ว่า ได้ค้นหาแล้วไม่พบ แล้วพากันไปทูลถามพระนรบดีว่า พระกุมารไปไหน ฯ
26 พระราชาศุทโธทนะ ละล่ำละลักถามพระสนมกำนัล ยามเฝ้าประตู และคนอื่นๆรอบด้านว่า กุมารของเราออกไปข้างนอก ใครเห็นบ้าง พวกเหล่านั้นกราบทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดี ได้ยินว่า พระกุมารผู้ประเสริฐ เสด็จไปหมู่บ้านชาวนา ฯ
27 พระราชาศุทโธทนะกระงกกระเงิ่นรีบเสด็จออกไปพร้อมด้วยศากยทั้งหลาย มุ่งหน้าเสด็จเข้าไปสู่ภูเขาหมู่บ้านชาวนา ได้ทองพระเนตรเห็นพระกุมารผู้กระทำประโยชน์ รุ่งเรืองอยู่ด้วยสง่าราศี เหมือนดวงอาทิตย์ตั้งโกฏิ พลุ่งขึ้น ฯ
28 พระองค์ทิ้งพระมกุฎ พระขรรด์ และฉลองพระบาท ประนมนิ้วทั้ง 10 ไว้เหนือพระเศียร ทรงอภิวาทพระกุมารนั้น ตรัสว่า สาธุ พระฤษีผู้ใหญ่ยิ่ง ได้พูดไว้เป็นความจริงแท้ว่า พระกุมารจะเสด็จออกภิเนษกรมณ์(ออกบวช) เพราะเหตุแห่งความตรัสรู้อันประจักษ์แจ้ง ฯ
29 เทวดาที่เลื่อมใสทั้งหลาย 1200 ถ้วน และหมู่แห่งศากยทั้งหลาย 500 ได้เห็นความสำเร็จแห่งมหาสมุทรคือคุณในพระสุคต พากันกล่าวว่า พระองค์ทรงอุบัติมาเพื่อความตรัสรู้ ด้วยพระหทัยอันแน่วแน่ ฯ
30 พระกุมารนั้น ยังแผ่นดินมนุษยโลกให้สะเทือนโดยไม่เหลือ ทรงมีสมฤติ สัมปรชานะ ต่อจากนั้น ทรงตื่นอยู่ด้วยสมาธิ พระองค์เป็นพรหมผู้ประเสริฐ มีความรุ่งเรืองได้เรียกพระบิดามาว่า ข้าแต่พ่อ ต่อไปนี้พ่อจงเลิกแสวงหาลูกจากหมู่บ้านชาวนาเสียเถิด ฯ
31 ถ้าใครทำทอง ลูกจะโปรยทองมาให้ ถ้าใครทำผ้า ลูกนี่แหละจะให้ผ้า หรือว่าใครทำข้าว ลูกนี่แหละจะโปรยข้าวมาให้ ข้าแต่พ่อผู้เป็นใหญ่แก่คนทั้งหลาย ขอพ่อจงจัดการให้ดี ในชาวโลกทั้งปวง ฯ
32 พระองค์ทรงตักเตือนพระบิดาหับหมู่ชนแล้ว ในขณะนั้น ทรงทอดพระเนตรไปยังพระบุรีอันประเสริฐอีก พระกุมารผู้เป็นสัตว์บริศุทธยิ่งได้เสด็จตามประชาชนมาประทับอยู่ในพระบุรี มีพระหทัยประกอบด้วยเนษกรมณ์(คิดจะออกบวช) ดังนี้ ฯ
อัธยายที่ 11 ชื่อกฤษิครามปริวรรต (ว่าด้วยหมู่บ้านชาวนา) ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น