แสดงศิลป
![]() |
|
กระนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพระกุมารเจริญวัยขึ้นแล้ว พระราชาศุทโธทนะ ครั้งหนึ่งประทับนั่งอยู่ในหอประชุมพร้อมด้วยหมู่ศากยทั้งหลาย ในที่นั้นศากยทั้งหลายชั้นเฒ่าๆได้ทูลพระราชาศุทโธทนะว่า
ข้อที่พระองค์พึงทรงทราบก็คือ พระกุมารสรวารถสิทธนี้ พราหมณ์ผู้เป็นโหร และเทวดาผู้ทำนายแม่นยำ ได้พยากรณ์ไว้อย่างนี้ว่า

ถ้าพระกุมารออกอภิเนษกรมณ์ จะได้เป็นตถาคตอรหันตสัมยักสัมพุทธ แต่ถ้าไม่ออกอภิเนษกรณ์ ก็จะได้เป็นพระราชาจักรพรรดิ์ ทรงชนะกองทัพ 4 เหล่า เป็นพระธรรมราชาตั้งอยู่ในธรรม
ประกอบด้วยรัตนะ 7 ประการ รัตนะ 7 ประการเหล่านี้จักมีแต่พระราชาจักรพรรดิ์นั้น คือจักรรัตนะ หัสติรัตนะ อัศวรัตนะ มณีรัตนะ นารีรัตนะ คฤหบดีรัตนะ ปรินายกรัตนะ รัตนะ 7 ประการเป็นอย่างนี้ พระราชาจักรพรรดิ์ จะมีโอรส 1000 องค์ ล้วนแกล้วกล้าสามารถ มีรูปกำยำ ย่ำยีทหารฝ่ายอื่นได้ พระราชาจักรพรรดิ์นั้นจะชนะเลิศ จะทรงปกครองผืนแผ่นดินนี้โดยไม่มีอาชญา ไม่มีศัสตราพร้อมด้วยธรรม เพราะฉะนั้นเราจะต้องทำที่ประทับให้แก่พระกุมาร ในที่ประทับนั้นจะต้องห้อมล้อมด้วยหมู่สตรี พระกุมารจะได้อยู่ด้วยความยินดี จะได้ไม่ออกอภิเนษกรณ์ เมื่อทำได้ตั่งนี้ วงศ์จักรพรรดิ์ของเราทั้งหลาย จะได้ไม่ขาดสูญ พระราชาตั้งโกฏิจะได้นับถือเราหมด และปราศจากโทษ
ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะตรัสว่า เมื่อจะทำอย่างนี้ ก็ต้องให้พระกุมารนั้นพิจารณาดูนางสาวคนไหน ที่สมควรแก่พระกุมาร
ในที่ประชุมนั้น มีศากยประมาณ 500 แต่ละองค์กล่าวว่า ธิดาของข้าพเจ้าสมควรแก่พระกุมาร ธิดาของข้าพเจ้ารูปงาม
พระราชา (ศุทโธทนะ) ตรัสว่า กุมาร (ของเรา)เข้าถึงยาก (เอาใจยาก) นั่นเราต้องรู้จักกุมารไว้ก่อนแล้ว ธิดาของท่านคนไหนจะถูกใจกุมาร
ครั้นแล้ว ศากยทั้งหมดเหล่านั้น ก็ประชุมกันแล้วบอกความงามของธิดาเหล่านั้นแก่พระกุมาร พระกุมารตรัสกับศากยเหล่านั้นว่า โปรดฟังคำตอบในวันที่ 7
ครั้นแล้ว พระโพธิสัตว์ทรงพระดำริว่า
1 เรารู้อยู่แล้วว่า กามมีโทษหาที่สุดมิได้ เป็นต้นเค้าประกอบด้วยสงคราม ประกอบด้วยจองเวร ประกอบด้วยความโศก และความทุกข์ กระทำให้เกิดภัย เช่นกับใบไม้ที่เป็นพิษ และเช่นกับคนถือดาบ ฯ
2 เราไม่มีความกำหนัดยินดีในกามคุณ และไม่ชอบอยู่ท่ามกลางเรือนที่มีสตรี ไฉนหนอเราจะอยู่ในป่านิ่งๆ มีจิตสงบด้วยสมาธิสุขในธยาน ดังนี้ ฯ
พระโพธิสัตว์นั้น ทรงเริ่มต้นพิจารณาด้วยอุปายโกศล (ความฉลาดในอุบาย) ทรงพิจารณาถึงการอบรมบ่มนิสัยสัตว์ทั้งหลาย เกิดมหากรุณาขึ้นมาในเวลานั้น ทรงตรัสเป็นคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
3 ดอกบัวทั้งหลาย ย่อมเจริญขึ้นในโคลนตมที่เลอะเทอะ พระราชาย่อมได้รับการนับถือบูชาในท่ามกลางฝูงชน ด้วยการโปรดดอกบัวนั้น เมื่อใดพระโพธิสัตว์ทั้งหลายได้รับกำลังแห่งบริวาร เมื่อนั้นพระองค์ย่อมนำสัตว์ตั้งหมื่นโกฏิไปในอมฤต ฯ
4 อนึ่ง พระโพธิสัตว์เหล่าใดในอดีตเป็นผู้มีความรู้ เคยมีเมีย มีลูก มีบ้านเรือนมาแล้ว แต่ไม่กำหนัดในราคะ ไม่คลาดจากความสุขในธยาน ผิฉะนั้นเราจะศึกษาในคุณสมบัติ ของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ฯ
5 และหญิง ไม่ใช่คนสามัญ เป็นผู้เกื้อกูลแก่เรา ไม่มีความริษยามีคุณสมบัติคือพูดคำสัตย์ หญิงใด คิดที่จะอำนวยความสำเร็จลุล่วงให้แก่เราไม่มีความประมาท บริศุทธดีด้วยรูป ด้วยกำเนิด ด้วยตระกูล และด้วยโคตร ฯ
6 พระกุมารได้เขียนเป็นคำประพันธ์ว่า นางที่ประกอบด้วยคุณประโยชน์ หญิงใดเป็นอย่างนี้ พระบิดาจงเลือกหญิงนั้นให้หม่อมฉัน หม่อมฉันไม่ต้องการคนสามัญ คนไม่สังวรณ์ระวังตัว หญิงใดมีคุณดังกล่าว พระบิดาจงเลือกหญิงนั้นให้หม่อมฉัน ฯ
7 หญิงใดมีรูปร่าง และวัยอันประเสริฐ แต่ไม่เมาในรูป มีจิตเมตตา เหมือนแม่สะใภ้ (พระนางประชาบดีโคตมี) ยินดีในการเสียสละ มีปรกติให้ทานแก่สมณะพราหมณ์ ข้าแต่พระบิดา ขอพระองค์โปรดเลือกหญิงเช่นนั้นให้หม่อมฉันฯ
8 หญิงใดไม่มีความเล่นตัว ไม่ใช่สาวเทื้อ (สาวที่ไม่มีใครแต่งงานอยู่จนแก่เป็นสาวทึมทึก) ไม่มีโทษในตัว ไม่จองหอง ไม่ริษยา ไม่มีมายา ไม่คลาดจากความเที่ยงตรง (ชื่อสัตย์) ไม่อภิรมย์ยินดี ในผู้ชายอื่นแม้ในระหว่างหลับฝันไป ยินดีแต่สามีของตน นอนไม่ประมาท ฯ
9 ไม่หยิ่งผยอง ไม่ลำพอง ไม่คะนอง ไม่มีมานะถือตัว และปราศจากการถือตัวแม้กับคนรับใช้ก็ยอม ไม่ติดสุรา ไม่ติดรสอาหาร ไม่ติดเสียงและกลิ่น ไม่มีความโลภ ปราศจากความเพ่งเล็งอยากได้สิ่งของของผู้อื่นยินดีแต่ทรัพย์ของตน ฯ
10 ตั้งอยู่ในความสัตย์ ไม่กลับกลอก บิดพริ้ว ไม่ลำพองพองตัว ปิดบังความอายด้วยเสื้อผ้า ไม่ถือมงคลตื่นข่าว ประกอบอยู่ในธรรมทุกเมื่อ มีความบริศุทธด้วยกาย วาจา ใจ ทุกเมื่อ ฯ
11 และไม่มากไปด้วยความเกียจคร้าน และไม่หลงถือตัวประกอบด้วยปัญญาเครื่องพิจารณา ทำอะไรเรียบร้อยดี ประพฤติธรรมทุกเมื่อ รักพ่อผัวแม่ผัวเหมือนรักองค์ศาสดา ยอมตัวเป็นทาสีภรรยา(เมื่อชนิดเป็นคนรับใช้) รักสามีเหมือนรักตนเอง ฯ
12 รอบรู้ในศาสตร์ เฉลียวฉลาด และรู้จักคำนวณ นอนภายหลัง ลุกขึ้นจากการนอนก่อน ประพฤติตามความเมตตา แม้มีฐานะเป็นแก่ก็ไม่ปดลูก ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์ โปรดเลือกหญิงเช่นนี้ให้หม่อมฉัน ฯ
ครั้งนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระราชาศุทโธทนะได้อ่านคำประพันธ์นี้แล้ว จึงเรียกปุโรหิตมาตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ท่านจงไปในมหานครกบิลพัสดุ์ จงเข้าไปยังบ้านเรือนทั้งหมด พิจารณาดูหญิงสาว นางสาวคนใดมีคุณสมบัติเหล่านี้ จะเป็นนางสาวกษัตริย์ หรือนางสาวพราหมณ์ นางสาวไวศยะหรือนางสาวศูทรก็ตาม จงแจ้งนางสาวนั้นให้เราทราบ นั่นเป็นเพราะเหตุไร? เพราะกุมารไม่ต้องการตระกูล ไม่ต้องการโคตร กุมารต้องการคุณสมบัติอย่างเดียว
และในขณะนั้น พระองค์ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ดั่งต่อไปนี้
13 นางสาวคนใดมีคุณสมบัติเหล่านี้ จะเป็นพราหมณ์ เป็นกษัตริย์ เป็นไวศยะ หรือเป็นศูทร ท่านจงแจ้งหญิงนั้นให้เราทราบ ฯ
14 กุมารของเราไม่สนใจตระกูล ไม่สนใจโคตร ใจของกุมารนั้นยินดีอยู่แต่ในคุณสมบัติ ในความชื่อสัตย์ และในธรรมนั้น ดังนี้ ฯ
ครั้งนั้นแล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุโรหิตนั้น ได้ถือเอาคำประพันธ์ที่เขียนไว้นั้นไปในมหานครกบิลพัสดุ์ พิจารณาดูจากเรือนนี้สู่เรือนนั้น เดินสำรวจหญิงสาว ยังไม่พบหญิงสาวที่ประกอบด้วยคุณสมบัติอย่างที่ว่า (และยังไม่พบหญิงสาวประกอบด้วยคุณสมบัตินั่นเทียว) ปูโรหิตนั้นเที่ยวไปโดยลำดับ แล้วย่างเข้าสู่นิเวศน์ของเจ้าทณฑปาณีผู้เป็นศากย จึงเข้าไปสู่นิเวศน์นั้น ได้หญิงสาวคนหนึ่ง มีรูปงามน่าเลื่อมใส น่าดู ประกอบด้วยผิวพรรณดังว่านิลุบล(บัวเขียว)งามอย่างยิ่ง ไม่สูงเกินไป ไม่เตี้ยเกินไป ไม่อ้วนเกินไป ไม่ผอมเกินไป ไม่ขาวเกินไป ไม่ดำเกินไป กล่าวได้ว่าเป็นสตรีรัตนะตั้งอยู่ในปฐมวัย
ขณะนั้น เด็กหญิงนั้นได้จับเท้าทั้งสองของปุโรหิตไว้แล้วพูดว่า ข้าแต่พราหมณืท่านมีธุระอะไร
ปุโรหิต พูดว่า
15 พระโอรสของพระราชาศุทโธทนะสวยงามอย่างยิ่ง ทรงไว้ซึ่งลักษณะดี 32 ประการ ประกอบด้วยคุณและเดช พระองค์ได้เขียนคำประพันธ์ไว้ดังนี้ เพื่อคุณสมบัติของหญิงสาวทั้งหลาย หญิงสาวคนใดมีคุณสมบิตเหล่านี้แล้ว นางจะได้เป็นหม่อม(เมีย)ของพระองค์ท่านแล ดังนี้ ฯ
ปุโรหิตนั้น มอบลายพระหัตถ์นั้นแก่นาง
ครั้งนั้น เด็กหญิงนั้น อ่านลายพระหัตถ์ที่เป็นคำประพันธ์นั้นแล้วก็ยิ้มออกมาแล้วกล่าวเป็นคำประพันธ์กับปุโรหิตนั้นวา
16 ข้าแต่พราหมณ์ คุณสมบัติอันสมควรทั้งหมด ย่อมมีอยู่ในข้าพเจ้า พระกุมารผู้มีความสุภาพเรียบร้อย มีรูปร่างสวยงามนั้น จงเป็นสามีของข้าพเจ้า ถ้าท่านไม่ประวิงการไว้แล้ว ขอท่านจงบอกแก่พระกุมารเถิด ข้าพเจ้าจะไม่อยู่กับคนสามัญชั้นต่ำ ดังนั้น ฯ
ครั้งนั้นแล ปุโรหิตนั้น เข้าเฝ้าพระราชาศุทโธทนะ กราบทูลเนื้อความนั้นว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หญิงสาวซึ่งสมควรแก่พระกุมารนั้น ข้าพระองค์ได้พบแล้ว ตรัสว่า หญิงนั้นเป็นลูกของใคร กราบทูลว่า นางเป็นธิดาของเจ้าทัณฑปาณีผู้เป็นศากยนั่นเอง ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะทรงพระดำริว่า กุมาร ยากที่จะเข้าถึง และเขาเชื่อมั่นในความงาม โดยมากหญิงที่ไม่มีคุณสมบัติ มักจะเข้าใจว่าตนมีคุณสมบัติ อย่ากระนั้นเลย เราจะให้เขาจัดทำพวกมาลัยดอกอโศก กุมารจะให้พวงมาลัยดอกอโศกนั้น แก่เด็กหญิงทั่วไปโดยลำดับ ในการนั้น จักษุของกุมารจดจ่ออยู่ในเด็กหญิงคนใด เราจะเลือกเด็กหญิงคนนั้นให้แก่กุมาร
ครั้นแล พระราชาศุทโธทนะจึงตรัสสั่งให้ทำพวงมาลัยดอกอโศก ล้วนแล้วด้วยทอง เงิน และรัตนะต่างๆ ครั้นทำเสร็จแล้ว ตรัสสั่งให้ตีระฆังป่าวประกาศในมหานครกบิลพัสดุ์ว่า ในวันที่ 7 พระกุมารจะแสดงพระองค์ และจะประทานพวงมาลัยดอกอโศกแก่เด็กหญิงทั้งหลาย ในการนี้ ขอให้เด็กหญิงทั้งหวงมาประชุมกันที่หอประชุม
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้นถึงวันที่ 7 พระโพธิสัตว์เสด็จเข้าไปยังหอประชุม ประทับนั่งบนอาสนอันเจริญ แม้พระราชาศุทโธทนะ ทรงแต่งตั้งสายลับไว้ว่า จักษุของกุมารจดจ่ออยู่ในเด็กหญิงคนใด จงบอกเด็กหญิงคนนั้นแก่เรา
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กหญิงในมหานครกบิลพัสดุ์มีอยู่เท่าใด ทั้งหมดเหล่านั้นก็พากันไปยังหอประชุมที่พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ เมื่อชมพระโพธิสัตว์ และเพื่อรับพวงมาลัยดอกอโศก
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ทรงประทานพวงมาลัยดอกอโศกแก่เด็กหญิงทั้งหลายเหล่านั้นตามที่ได้พากันมาแล้ว แต่เด็กหญิงเหล่านั้นไม่สามารถเพื่อจะทนต่อสง่าราศี และเดชของพระโพธิสัตว์ได้ ครั้นรับพวงมาลัยดอกอโศกแล้ว ต่างก็รีบหลีกไปโดยเร็ว ฯ
ครั้งนั้น นางสาวศากยคนหนึ่งชื่อโคปา เป็นธิดาของเจ้าทัณฑปาณีผู้เป็นศากยนางนำหน้า มีหมู่ทาสีแวดล้อม ได้เข้าไปยังที่หอประชุมที่พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ครั้นเข้าไปแล้ว ก็ได้ยืนอยู่ที่หนึ่ง มองพระโพธิสัตว์อย่างไม่กระพริบตา ดังนั้น พอพวงมาลัยดอกอโศกทั้งปวง พระโพธิสัตว์ประทานแล้ว นางจึงเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ มีใบหน้ายิ้มแย้ม พูดกับพระโพธิสัตว์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระกุมาร เขาเหล่านั้น เท่ากับถูกหม่อมฉันไล่ออกไป พระองค์รังเกียจหม่อมฉันหรือไม่
พระกุมารตรัส ฉันไม่รังเกียจเธอ เธอมาทีหลังเขาต่างหาก และแล้วพระองค์ก็ถอดพระธำมรงค์ราคาหลายแสนประทานให้แก่นาง
นางทูลว่า ข้าแต่พระกุมาร หม่อมฉันควรแก่ของสิ่งนั้นจากสำนักของพระองค์หรือ ตรัสว่า ของเหล่านี้เป็นเครื่องประดับของเรา เธอจงรับไว้ นางทูลว่า หม่อมฉันจะประดาบพระกุมารไม่ได้หรือ? หม่อมฉันจะขอประดับพระกุมาร ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้วนางหลีกไป
ครั้นแล้ว สายลับทั้งหลายเหล่านั้นก็เข้าไปเฝ้าพระราชาศุทโธทนะ กราบทูลให้ทรงทราบเรื่องราวนั้นว่า ข้าแต่พระนฤบดี นางสาวศากยคนหนึ่งชื่อโคปา เป็นธิดาของเจ้าทัณฑปาณีผู้เป็นศากย จักษุของพระกุมารจดจ่ออยู่ที่นางนั้น และทั้งสองได้สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง
พระราชาศุทโธทนะ ทรงฟังคำนั้นดั่งนี้แล้ว จึงส่งปุโรหิตให้เป็น ทูตไปหาเจ้าทัณฑปาณีผู้เป็นศากยว่า นางที่เป็นธิดาของท่านนั้น จงยกให้แก่กุมารของเราเถิด
เจ้าทัณฑปาณี ตรัสว่า พระกุมารตรัสว่า พระกุมารผู้ควรเคารพเจริญอยู่ด้วยความสุขในพระราชวัง และธรรมเนียมแห่งตระกูลของเราทั้งหลายมีว่า จะต้องให้ธิดาแก่ผู้มีศิลป ผู้ไม่มีศิลปไม่ให้ อนึ่ง พระกุมาร ไม่รู้ศิลป ไม่รู้วิธีในการรบการต่อสู้ด้วยกลศาสตร์ (ชั้นเชิงศิลป)ในการใช้ดาบและธนู ดังนั้นเราจะให้ธิดาแก่คนที่ไม่รู้ศิลปได้อย่างไร ฯ
ถ้อยคำนี้ ปุโรหิตได้กราบทูลให้พระราชาศุทโธทนะทรงทราบดั่งนี้แล้ว พระราชาศุทโธทนะจึงทรงพระปริวิตกว่า เรื่องนี้เราได้รับเตือนจากผู้มีธรรมเนียมประเพณีเสมอกันถึง 2 ครั้งแล้ว คำที่เราพูดว่า ทำไม ศากยกุมารทั้งหลายจึงไม่เข้าใกล้ลูกของเรา ก็ได้รับคำตอบว่า จะให้เข้าใกล้อึ่งอ่างได้อย่างไร บัดนี้พระราชาศุทโธทนะ นั่งซบเซาด้วยทรงปริวิตกอย่างนี้แล้ว
พระโพธิสัตว์ทรงทราบข่าวนั้นแล้ว จึงเข้าเฝ้าพระราชาศุทโธทนะ ครั้นแล้วจึงทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดี ทำไม พระองค์ประทับยืนมีพระทัยหดหู่อย่างนี้
พระราชาตรัส อย่าถามเลยลูก
พระกุมารทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดีพระองค์ควรบอกเรื่องทุกประการโดยแท้ พระโพธิสัตว์ทูลถามพระราชาศุทโธทนะจนกระทั่งถึง 3 ครั้ง
ครั้นแล้ว พระราชาศุทโธทนะ จึงตรัสบอกเรื่องนั้นแด่พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ได้ทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดี มีไหมใครๆในนครนี้ สามารถที่จะเข้ามาแสดงศิลปกับหม่อมฉันได้ ?
ครั้นแล้ว พระราชาศุทโธทนะ มีพระพักตร์ชื่นบานตรัสกับพระโพธิสัตว์ว่า
ดูกรลูก ลูกสามารถเข้ามาแสดงศิลปได้อีกหรือ ? พระโพธิสัตว์ทูลว่า ข้าแต่พระนฤบดีหม่อมฉันสามารถเข้ามาแสดงได้อย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ขอให้พระองค์ประชุมพวกที่รู้ศิลปทั้งปวง หม่อมฉันจะเข้ามาแสดงศิลปด้วยตนเอง ต่อหน้าพวกที่รู้ศิลปเหล่านั้น
ครั้นแล้ว พระราชาศุทโธทนะ ตรัสสั่งให้ตีฆ้องร้องป่าวในมหานครกบิลพัสดุ์ อันประเสริฐว่า ในวันที่ 7 กุมารจะเข้ามาแสดงศิลปด้วยตนเอง ขอให้ผู้รู้ศิลปทั้งหลายพึงไปประชุมกันที่นั่น
ในวันที่ 7 ศากยกุมารทั้งหลายประมาณ 500 ได้ประชุมกันที่นั้น และนางสาวศากยชื่อโคปาธิดาของทัณฑปาณีผู้เป็นศากย ได้ยกธงชัย และธงปตากล่าวว่า ใครก็ตามชนะในการรบการต่อสู้ด้วยกลศาสตร์ในการใช้ดาบและธนู ธงนี้จะเป็นของผู้นั้น
ในที่นั้น กุมารชื่อเทวทัต ก็ได้ออกจากนครนำหน้าศากยกุมารทั้งปวง อนึ่ง ช้างเผือกมีจำนวนมากได้เข้าไปสู่นคร เพื่อประโยชน์แก่พระโพธิสัตว์ในที่นั้น กุมารเทวทัตเมาด้วยความริษยา และด้วยความทะนงตนว่ามีกำลังสามารถ เขาจึงเอามือซ้ายจับงวงช้างตัวประเสริฐนั้นไว้แล้วแบมือขวาตบลงทีเดียว ช้างตาย ฯ ในขณะที่ช้างตายแล้วนั้น กุมารชื่อสุนทรนันทะได้ย่างเข้ามาเห็นช้างนั้นตายอยู่ ที่ประตูเมือง จึงถามว่า นี่ใครฆ่าช้าง มหาชนที่นั้น บอกว่า กุมารเทวทัต กุมารสุนทรนันทะ พูดว่า เทวทัตทำไม่ดี แล้วจึงจับช้างที่หางลากไปจากประตูเมือง
ในขณะนั้น พระโพธิสัตว์ขึ้นอยู่บนรถเสด็จเข้ามา ได้เห็นช้างตายตัวนั้น ตรัสถามว่า นี่ใครฆ่าช้าง มหาชนทูลว่า กุมารเทวทัต พระองค์ตรัสว่า เทวทัตทำไม่ดี แล้วตรัสถามต่อไปว่า ใครลากช้างออกมาจากประตุเมืองนี้อีก มหาชนทูลว่า กุมารสุนทรนันทระ พระองค์ตรัสว่า สุนทรนันทะทำดีแล้ว แต่ว่าสัตว์ตัวนี้ตัวมันใหญ่ เมื่อมันเน่าแล้วจะเหม็นไปทั่วนคร
ครั้นแล้ว พระกุมาร พระบาทข้างหนึ่งอยู่บนรถเหยียดพระบาทข้างหนึ่งลงบนแผ่นดิน เอาพระอังคุฐพระบาท(นิ้วหัวแม่เท้า) คีบช้างนั้นที่หางเหวี่ยงข้ามกำแพงไป 7ชั้น และคู 7 คู ตกลงในที่ประมาณโกรศ (1000วา) ภายนอกนคร สถานที่ซึ่งช้างตกนั้นเป็นโพรงใหญ่ เรียกกันว่า หัสติคต (ช้างตกหรือช้างไปถึง) ตราบเท่าทุกวันนี้
เทพยดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ได้ส่งเสียงเฮฮาตั้งแสนอื้ออึงแสดงความบรรเทิงร่าเริง ได้โยนผืนผ้าขึ้นไป และเทพบุตรทั้งหลายที่ไปในอากาศ ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
17 พระกุมารนี้ได้เหวี่ยงพระยาช้างพ้นคูเมืองไปถึง 7 คู ออกไปนอเมืองของตน ด้วยพระอังคุฐพระบาท เหมือนพระยาช้างเมามันเดินไปเอง ฯ
18 พระกุมารนี้ จะเหวี่ยงร่างกายอันตั้งขึ้นแล้วครั้งเดียวออกไปนอกเมือง คือ นอกโลก ด้วยพระปรีชาดี ด้วยกำลังแห่งมานะ และด้วยกำลังแห่งปรัชญา ฯ
ครั้งนั้นแล ศากยกุมารทั้งหลายประมาณ 500 พากันออกจากนครเข้าไปยังพื้นแผ่นดินซึ่งเป็นสถานที่อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งศากยกุมารทั้งหลายแสดงศิลป แม้พระราชาศุทโธทนะก็เสด็จเข้าไปยังผืนแผ่นดินซึ่งศากยผู้เฒ่าๆทั้งหลายรออยู่ และมหาชนจำนวนมากรออยู่ คนทั้งหมดเหล่านั้น อยากดูศิลปพิเศษของพระโพธิสัตว์ของศากยกุมารทั้งหลายอื่นๆ
ศากยกุมารทั้งหลายในที่นั้น ถูกบังคับแล้วนั่นเอง จึงรู้หนังสืออย่างเฉียบแหลม ศากยกุมารเหล่านั้น ย่อมประเสริฐในทางหนังสือพร้อมกับพระโพธิสัตว์ ในที่นั้นอาจารย์วิศวามิตรถูกศากยเหล่านั้นแต่งตั้งให้เป็นพยายยืนยันว่า ท่านนั้นจงพิจารณาดูทีหรือว่า ในที่นี้ กุมารคนไหนจะประเสริฐในความรู้หนังสือ ไม่ว่าจะเป็นวิชาเลข หรือสุดยอดวิชาหนังสือเป็นส่วนมาก ครั้งนั้นอาจารย์วิศวามิตรได้พิจารณาแล้วได้เห็นว่าพระโพธิสัตว์มีความแตกฉานในวิชาหนังสือ จึงกล่าวเป็นคำประพันธ์ว่า
19 ตัวหนังสือไม่ว่าจะเป็นชนิดใด มีอยู่เพียงใดในมนุษยโลก เทวโลก คนธรรพโลก หรืออสุเรนทรโลก พระกุมารนี้ เป็นสัตว์บริศุทธเรียนจบในโลกทั้งปวงนั้น ฯ
20 แม้นามทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย และข้าพเจ้า เราไม่รู้จะเขียนสิ่งเหล่านั้นได้ เราไม่รู้จักตัวอักษร พระกุมารนี้รู้จักเขียนสิ่งเหล่านั้น เป้นมนุษย์ในดวงจันทร์ ข้าพเจ้าพิจารณาในข้อนี้แล้ว เห็นว่า พระกุมารนี้ย่อมรุ่งเรือง ฯ
ศากยทั้งหลายกล่าวว่า
พระกุมารประเสริฐในวิชาหนังสือไปก่อนเถิด และพระกุมารควรประเสริฐในวิชาคำนวณของผู้เชี่ยวชาญด้วย ในที่นั้น มีมหาอำมาตย์ผู้หนึ่งชื่อ อรรชุน เป็นศากย จบวิชาคำนวณ อำมาตย์ผู้นั้น ถูกแต่งตั้งให้เป็นพยานว่าท่านนั้น จงพิจารณาดูทีหรือว่า ในที่นี้ กุมารคนไหนจะประเสริฐในวิชาคำนวณ พระโพธิสัตว์ก็ตั้งโจทย์ขึ้นในที่นั้น ยังมีศากยกุมารคนหนึ่งคิดคำนวณ แต่คำนวณไม่ได้ ศากยกุมารตั้งแต่คนหนึ่ง สองคน สามคน สี่คน ห้าคน สิบคน ยี่สิบคน สามสิบคน สี่สิบคน ห้าสิบคน จนถึงห้าร้อยคน คิดคำนวณ แต่คำนวณไม่ได้ในทันทีทันใด
ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ตรัสว่า ท่านทั้งหลาย ตั้งโจทย์ขึ้น ข้าพเจ้าจะคิดคำนวณบ้าง ในที่นั้นมีศากยกุมารคนหนึ่ง ตั้งโจทย์ขึ้นแก่พระโพธิสัตว์ แต่ตนเองคำนวณไม่ได้ แล้วศากยกุมารตั้งแต่สองคน สามคน สี่คน ห้าคน สิบคน ยี่สิบคน สามสิบคน สี่สิบคน ห้าสิบคน จนถึงห้าร้อยคน ก็ตั้งโจทย์ขึ้นในทันใดนั้น แต่ตนเองคำนวณไม่ได้ให้พระโพธิสัตว์คิดคำนวณ
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
อย่าถกเถียงกันเลย ให้ทั้งหมดรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน แล้วตั้งโจทย์ให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะคำนวณ ศากยมุมารในที่นั้น 500 คนจึงตั้งโจทย์ขึ้นซึ่งเคยมีมาแล้วด้วยอุทาหรณ์ปรประกอบด้วยถ้อยคำเป็นอันมาก ส่วนพระโพธิสัตว์เป็นผู้ไม่งมงาย ทรงคำนวณแล้ว ศากยมุมารทั้งหมดคำนวณ คำนวณไม่ได้ แต่พระโพธิสัตว์คำนวณได้ถูกต้องแล้ว
ครั้งนั้น มหาอำมาตย์นักคำนวณ ชื่อ อรรชุน ถึงความอัศจรรย์ใจ จึงกล่าวเป็นคำประพันธ์ดั่งต่อไปนี้
21 สาธุ ข้าแต่พระองค์ผู้มีปรัชญา ศากยกุมาร 500 คนเหล่านี้ เป็นผู้ชำนาญในทางคำนวณ ตั้งปัญหาถามแล้ว พระกุมารทรงรู้ได้รวดเร็ว ฯ
22 และพระกุมารนี้มีปรัชญา มีความรู้ มีชญาน มีสมฤติ มีความคิด เช่นนี้ วันนี้ พระองค์ทรงศึกษาวิชาคณิตศาสตร์ มีปัญญาดังว่ามหาสมุทร ฯ
ครั้นแล้ว หมู่แห่ศากยทั้งหมด เข้าไปพบอาจารย์ ได้รับความอัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง และกล่าวคำนี้เป็นเสียงเดียวกันว่า ดูกรท่านทั้งหลายผู้เจริญ พระกุมารสรวารถสิทธ ชนะแล้ว ชนะแล้ว แล้วทั้งหมดก็ลุกขึ้นจากอาสน ทำกระพุ่มมืออัญชลีกรรมไหว้พระโพธิสัตว์แล้ว กราบทูลกับพระราชาศุทโธทนะว่า ข้าแต่มหาราชเป็นลาภของพระองค์แล้ว ที่พระองค์ได้คนดีอย่างยิ่ง ซึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ มีความแคล่วคล่องว่องไว มีปฏิภาณในการไต่ถามอย่างนี้
ครั้งนั้น พระราชาศุทโธทนะ ตรัสกับพระโพธิสัตว์ว่า
ดูกรลูก ลูกสามารถให้คำที่จะกำจัดแนวความคิดอันฉลาดในวิชาคำนวณกับมหาอำมาตย์นักคำนวณซื่ออรรชุนได้ไหม?
พระองค์ทูลว่า ถ้ากระนั้น ให้เขาคำนวณมา
ครั้งนั้น มหาอำมาตย์นักคำนวณ อรรชุน ทูลพระโพธิสัตว์ว่า ข้าแต่พระกุมาร พระองค์ทรงทราบคติของการคำนวณเกินกว่าร้อยโกฏิจึงถูกจำกัด ?(คือนับไม่เกินร้อยโกฏิ)
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
ร้อยโกฏิเรียกชื่อว่า อยุตะ ร้อยอยุตะเรียกชื่อว่า นิยุตะ ร้อยนิยุตะเรืยกชื่อว่า กงกระ ร้อยกงกระเรียกชื่อ่า วิวระ ร้อยวิวระเรียกชื่อว่า อักโขภยะ ร้อยอักโขภยะเรียกชื่อว่า วิวาหะ ร้อยวิวาหะเรียกชื่อว่า อุตสังคะ ร้อยอุตสังคะเรียกชื่อว่า พหุละ ร้อยพหุละเรียกชื่อว่า นาคพละ ร้อยนาคพละเรียกชื่อว่า ติฏิลมภะ ร้อยติฏิลมภะเรียกชื่อว่า วยสถานปรชญปติ ร้อยวยสถานปรชญปติเรียกชื่อว่า เหตุหิละ ร้อยเหตุหิละเรียกชื่อว่า กรกุ ร้อยกรกุเรียกชื่อว่า เหตวินทริยะ ร้อยเหตุวิทริยะเรียกชื่อว่า สมาปตลัมภะ ร้อยสมาปตลัมภะ เรียกชื่อว่า คณนาคติ ร้อนคณนาคติเรียกชื่อว่านิรวทยะ ร้อยนิรวทยะเรียกชื่อว่า มุทราพละ ร้อยมุทราพละเรียกชื่อว่า สรวพละ ร้อยสรวพละเรียกชื่อว่า วำสํชญาคติ
ร้อยวิสำชญาคติเรียกชื่อว่า สรวสํชชญา ร้อยสรวสํชญาเรียกชื่อว่าวิภูตงคมา ร้อยวิภูตงคมาเรียกชื่อว่า ตลลกษณะ ตลลกษณะนี้บวกจำนวนขึ้นอีกแสนเท่า(คูณด้วยแสน) เป็นระยะที่ขุนเขาสุเมรุถึงความสลายดั่งนี้และ นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่าเรียกชื่อว่า ธวชาครวตี ซึ่งบวกจำนวนในการนับขึ้นอีกแสนเท่า จะเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคถึงความสลาย (คือนายเท่าจำนวนนับนี้เม็ดทรายในแม่น้ำคงคาจึงจะหมดสิ้นไป)
นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่าเรียกชื่อว่าธวชาครนิศามณี นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่าเรียกชื่อว่า วาหนปรชญปติ นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่า เรียกชื่ว่า อิงคา นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกกเท่าเรียกชื่อว่า กุระฏุ นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่า เรียกชื่อว่า กุรุฏาวิ นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่าเรียกชื่อว่า สวรวนิเกษปา ซึ่งบวกจำนวนในการนับขึ้นอีกแสนเท่า จะเท่าเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา 10 แม่น้ำถึงความสลาย นับจำนวนยิ่งกว่านี้อีกเท่า เรียกชื่อว่า อครสารา ซึ่งบวกจำนวนในการนับอีกแสนเท่า จะเท่ากับเม็ดทรายในแม่น้ำคงคา 100 โกฏิลำน้ำถึงความสลาย
การนับจำนวนละอองของปรมาณู ที่บวกเพิ่มขึ้นอีกเท่าซึ่งเท่ากับการนับให้พระตถาคตดำรงอยู่ และการนับให้พระโพธิสัตว์โฉมหน้าเข้าไปสู่ธรรมาภิเษกทั้งปวง (ตรัสรู้) ณ ควงไม้โพธิอันเลิศประเสริฐดำรงอยุ่ ไม่มีสัตว์อื่นใด รวมอยู่ในสัตวนิกาย (คือเฉพาะพระตถาคตกับพระโพธิสัตว์กำลังตรัสรู้ มีจำนวนมากเท่าละอองปรมาณูที่มากกว่าจำนวนที่นับมาแล้ว) ผู้ใด รู้การนับดั่งนี้ นอกจากเรา หรือผู้เช่นเรา ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้เกิดในภพสุดท้าย เป็นพระโพธิสัตว์ ออกจากการอยู่ครองเรือน
อำมาตย์อรรชุนทูลว่า
ข้าแต่พระกุมาร การนับคำนวณละอองปรมาณู จะจำกัดได้ไหม?
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
เจ็ดละอองปรมาณูเป็นหนึ่ง อณู เจ็ดอณูเป็นหนึ่ง ตรุติ เจ็ดตรุติเป็นหนึ่ง วาตายนรชะ(ละอองที่ผ่านหน้าต่าง) เจ็ดวาตายนรชะเป็นหนึ่ง ศศรชะ เจ็ดศศรชะเป็นหนึ่ง เอฑกรชะ เจ็ดเอฑกรชะเป็นหนึ่ง โครชะเป็นหนึ่ง ลิกขารชะ (ละอองคลิกขาหรือละอองไข่เหา) เจ็ดลิกขารชะเป็นหนึ่ง สรษปะ(เมล็ดพันธุ์ผักกาด) เจ็ดสรษปะเป็นหนึ่ง ยวะ (เมล็ดข้าวเปลือก) เจ็ดยวะเป็นหนึ่ง อังคุลิปรวะ(ข้อนิ้วมือ) สิบสองอังคุลิปรวะเป็นหนึ่ง วิตสติ(คืบ) สองวิตสติเป็นหนึ่ง หสตะ(ศอก) สีหสตะเป็นหนึ่ง ธนุ(วา) พันธนุเป็นหนึ่ง โกรศ ระยะเห็นธงปักในหนทาง (บางแห่งว่าธงชาวมคธ) สี่โกรศเป็นหนึ่งโยชน์ ในข้อนี้ใครรู้จำนวนโยชน์ของท่านทั้งหลาย? โยชน์หนึ่งมีละอองปรมาณูเท่าไร?
มหาอำมาตย์อรรชุนได้พูดว่า
ข้าแต่พระกุมาร ข้าพเจ้าเองก็ฟั่นเฟือนไปเสียแล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึงคนอื่นที่มีความรู้น้อยอีกเล่า ขอให้พระกุมารโปรดแสดงถึงจำนวนโยชน์ ว่าโยชน์หนึ่งมีละอองปรมาณูเท่าไร
พระโพธิสัตว์ตรัสว่า
ในข้อนี้ จำนวนโยชน์หนึ่งมีละอองปรมาณูหนึ่งหมื่นอโกษภยะถ้วน กับห้าล้านสามสิบแสนหมื่นโกฏิกับหกพันโกฏิหนึ่งหมื่นสองพัน เมื่อบวกละอองปรมาณูตามจำนวนมีประมาณเท่านี้เป็นจำนวนหนึ่งโยชน์ ชมพูทวีปนี้มี 7000 โยชน์ ตามวิธีคำนวณนี้
โคทานียทวีปมี 8000 โยชน์ ปูรววิเทหะทวีปมี 9000 โยชน์ อุตตระกุรุทวีปมี 10000 โยชน์
การนับโลกธาตุ คือ ทวีปทั้ง 4เป็น 100โกฏิถ้วน โดยทำโลกธาตทวีปทั้ง 4 นี้ให้เป็นประธานด้วยวิธีคำนวณนี้ นับมหาสมุทรเป็น 100 โกฏิ จักรวาลน้อยจักรวาลใหญ่ 100 โกฏิ ขุนเขาสุเมรุ 100 โกฏิ
เทพชั้นจาตุมหาราช 100 โกฏิ เทพชั้นดาวดึงส์ 100โกฏิ เทพชั้นยามา 100 โกฏิ เทพชั้นดุษิต 100 โกฏิ เทพชั้นนิรมาณรดี 100 โกฏิ เทพชั้นปรนิรมิตวศวรรดี 100 โกฏิ
พรหมกายิกา 100 โกฏิ พรหมปุโรหิต 100 โกฏิปรหมปารษัทย 100 โกฏิ มหาพรหม 100 โกฏิ ปรตตาภา 100 โกฏิ อปรมาณาภา 100 โกฏิ อาภาสวรา 100 โกฏิ ปริตตศุภา 100 โกฏิ อปรมาณศุภา 100 โกฏิ ศุภกฤตสนะ 100 โกฏิ อนถรก 100 โกฏิ ปุณยประสวา 100 โกฏิ พฤหัตผลา 100 โกฏิ อสํชญิสตตว 100 โกฏิ อพฤหา 100 โกฏิ อตปา 100 โกฏิ สุทฤศา 100 โกฏิ สุทรรศนา 100 โกฏิ เทพอกนิษฐา 100 โกฏิ นี่เรียกว่าโลกธาตุ
ตริสาหสรมหาสาหสระ (โลกธาตุคือมนุษยโลกและเทวโลก) ซึ่งใหญ่โตกว้างขวาง นั่นคือร้อยโยชน์มีประมาณเพียงไร (ละอองปรมาณูในโลกธาตุคือมนุษยโลกและเทวโลก) พันโยชน์มีประมาณเพียงไร โกฏิโยชน์มีประมาณเพียงไร นยุตะโยชน์มีประมาณเพียงไร ฯลฯ อัครสาราของโยชน์ (ปรโกฏิของโยชน์) มีประมาณเพียงไร คือพูดว่า ละอองปรมาณูเหล่านี้มีประมาณเพียงไร การนับจำนวนเวียนเป็นวงกลมของการนับนั้น ท่านเรียกว่า อสงเขยย (อ่านว่า อสังขะเยยะ คืออสงไขย (แปลว่านับไม่รู้จบ นับไม่ครบ นับไม่ถ้วน) เพราะฉะนั้นละอองปรมาณูในโลกธาตุคือมนุษยโลกและเทวโลกจึงเป็นอสงเขยยที่สุด(นับไม่ถ้วนเป็นอย่างยิ่ง)
เมื่อพระโพธิสัตว์กำลังแสดงการนับให้เป็นไปนี้ มหาอำมาตย์นักคำนวณชื่ออรรชุน และหมู่ศากยทั้งหมดได้มีความดีใจเฟื่องฟู มีใจยินดี บรรเทิงใจ ถึงความอัศจรรย์ใจอย่างประหลาด เขาเหล่านั้นทั้งหมดมีผ้าเหลืออยู่คนละผืนๆ ได้พากันคลุมพระโพธิสัตว์ด้วยเครื่องประดับคือผ้าที่เหลืออยู่นั้น
ครั้งนั้นแล มหาอำมาตย์นักคำนวณชื่ออรรชุน ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
23 ร้อยโกฏิเป็นอยุตะ ร้อยอยุตะเป็นนยุตะ ร้อยนยุตะเป็นนิยุตะ ร้อยนิยุตะเป็นกงกระ และร้อยกงกระเป็นพิมพระ ร้อยพิมพระ เป็นอโกษภิณี ความรู้ของข้าพเจ้ายิ่งกว่านี้ คือยิ่งกว่าอโกษภิณีนี้ไม่มีความรู้เฉพาะการนับที่เกินมติความหมาย(อรรถมติ)ย่อมี่แก่พระกุมารนี้ ฯ
อีกประการหนึ่ง ข้าแต่ศากยทั้งหลายผู้เจริญ
24 โลกธาตุคือมนุษยโลก อาศัยละอองปรมาณู เหมือนป่าหญ้า และไม้ล้มลุกอาศัยหยาดน้ำ พระกุมารผู้เดียว ทรงแนะนำด้วยการตรัสออกมาใครๆก็ต้องพิศวง พร้อมด้วยศากยกุมาร 500 คน ฯ
เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น นับจำนวนแสนต่างก็ส่งเสียงเฮฮาตั้งแสนอื้ออึงแสดงความบรรเทิงร่าเริง เทพบุตรทั้งหลายที่อยู่บนพื้นอากาศ ได้กล่าวเป็นคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
25 สัตว์ทั้งหมดมีประมาณเพียงใด ย่อมประกอบด้วยความไม่เที่ยง 3 ประการ คือจิต 1 ความเข้าใจในพฤติการณืของจิต 1 วิตก(ความตรีกตรอง)1 ผู้ใดเลวหรือดี เสียสละหรือไม่เสียสละ ผู้นั้นย่อมรู้สิ่งทั้งหมดในความเปลี่ยนแปลงของจิตอย่างเดียว ฯ
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ศากยกุมารทั้งปวง ได้เป็นผู้พ่ายแพ้แล้วพระโพธิสัตว์เท่านั้น ประเสริฐยิ่ง ในขณะนั้นพระโพธิสัตว์เท่านั้น โลดขึ้นแล้ว ลอยแล้ว ว่องไวแล้ว ประเสริฐยิ่ง เทวบุตรทั้งหลายที่อยู่บนอากาศได้กล่าวคำประพันธ์ตั่งต่อไปนี้
26 และท่านทั้งหลายผู้ทำกายและจิตทำให้เบา โปรดฟังความวิเศษของพระกุมารนั้นผู้ว่องไวตลอดโกฏิกัลป ด้วยประกอบคุณคือการบำเพ็ญพรตและตบะ ด้วยการสำรวมระวังด้วยกำลังแห่งการอดกลั้น ด้วยการฝึกตนให้อยู่ในอำนาจ และด้วยเมตตา ฯ
27 ท่านทั้งหลายในที่นี้จงดูพระกุมารผู้เป็นพระโพธิสัตว์ไปสู่บ้านของท่าน พระกุมารนี้แม้จะไมในทิศทั้ง 10 ในขณะนี้ คนทั้งหลายมีประมาณไม่สิ้นสุดในโลกธาตุจะประทำอามิษบูชา (บูชาด้วยสิ่งของ) ด้วยแก้วมณีและทองทั้งหลายอันวิจิตรเหมือนบูชาต่อพระชินผู้หาประมาณมิได้ ฯ
28 ท่านทั้งหลาย ไม่รู้ทางไปและทางมาของพระองค์ พระกุมารนี้มีฤทธิ์มาก่อนแล้ว ความพิศวงอะไรจะแล่นไปในโลกนี้ พระกุมารนี้ไม่มีใครเทียม โดยพระกำเนิด ท่านทั้งหลายจงทำความเคารพในพระกุมารนี้
ศากยทั้งหลายในที่นั้น ต่างก็พูดว่า ในการต่อสู้ พระกุมารต้องประเสริฐก่อนและอยากจะรู้นัก ในที่นั้นพระโพธิสัตว์ประทับอยู่ ณ ที่หนึ่ง และศากยกุมารประมาณ 500 เหล่านั้น ก็ต่อสู้กันขึ้นในทันใดนั้น
กระนี้แหละ ศากยกุมาร 32 คนในสนามกรีฑา ครั้งนั้น ศากยนันทะ และศากยอานันทะ เข้าไปหาพระโพธิสัตว์ในสนามกรีฑา พระโพธิสัตว์ได้เอามือแตะเขาทั้งสองนั้นเบาๆเขาทั้งสองทานกำลังและเดชของพระโพธิสัตว์ไม่ได้ ถึงกับล้มลงที่พื้นดิน ลำดับนั้นเทวทัตกุมาร วางท่าหยิ่งและถือตัว มั่นคงด้วยมีกำลังมาก และรุนแรงด้วยถือตัวว่าเป็นศากย ชิงดีและริษยาพระโพธิสัตว์ ทำประทักษิณสยามกีฬาครบถ้วนแล้วเยื้องกรายเข้าไปผลักพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ไม่ซวนเซ จับเทวทัตกุมารด้วยมือขวาอย่างเล่นๆไว้โดยเร็ว แล้วแกร่งไปในอากาศ 3 รอบ เพื่อจะปราบความถือตัว แล้วเหวี่ยงไปที่พื้นดิน โดยไม่มีเจตนาร้าย แต่ด้วยจิตเมตตา และร่างกายของเทวทัตกุมารไม่เป็นอันตราย
ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์จึงตรัสว่า อย่าวิวาทกันเลย ทั้งหมดควรเป็นพวกเดียวกัน บัดนี้ก็ได้มายังสนามกรีฑาแล้ว
ครั้งนั้น ศากยทั้งหลายมีความยินดีหมดทุกคน แล้วพากันเข้าไปผลักพระโพธิสัตว์ เขาเหล่านั้นถูกพระโพธิสัตว์แตะค่อยๆท่านสง่าราศรี เดช กำลังกาย และเรี่ยวแรงของพระโพธิสัตว์ไม่ได้ พอพระโพธิสัตว์กระทบเข้าเท่านั้น ต่างก็ล้มลงที่พื้นดินเทวดาและมนุษย์ตั้งแสนในที่นั้น ต่างก็ส่งเสียง ฮิ้ว ฮิ้ว ตั้งแสนแสดงความบรรเทิงร่าเริง และเทวบุตรทั้งหลายที่ไปในอากาศ ก็ได้โปรยฝนดอกไม้ลงมาเป้นอันมาก แล้วได้กล่าวเป็นคำประพันธ์เป็นเสียงเดียวกัน ดังต่อไปนี้
29 สัตว์ทั้งหลายนับจำนวนแสนในทิศทั้งสิบมีประมาณเพียงใด สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเพียงนั้นไม่คู่ควรกับนักมวยตัวยง เขาเหล่านั้นเพียงแต่ถูกพระกุมารผู้ประเสริฐกว่าคนทั้งหลายกรกะทบเข้าก็ล้มลงที่พื้นดินทันทีเสียแล้ว ฯ
30 ภูเขาเมรุที่มั่นคง และจักรวาลที่แข็งแกร่ง และภูเขาอื่นอย่างใดอย่างหนึ่งในทิศทั้งสิบ พอพระกุมารเอามือไปจับ ก็กลายเป็นแก้วมณีป่นไปเสียแล้ว มันน่าพิศวงอะไรอย่างนี้ ในโลกเป็นที่อาศัยของมนุษย์อันหาสาระมิได้ ฯ
31 พระกุมารนั้น ผจญมารผู้เป็นนักมวยร้ายกาจมากพร้อมด้วยกำลังเสนามารพร้อมด้วยม้า ที่ควงต้นโพธิอันประเสริฐอันเป็นยอดธงชัยด้วยกำลังแห่งไมตรี เพียงแต่มารจะไปกระทบพระองค์ผู้เป้นเผ่าพันธุ์แห่งพระกฤษณะ พระองค์ก็ตรัสรู้อนุตรธรรม (ธรรมที่ไม่มีอะไรจะยิ่งกว่า) พร้อมด้วยสิ้นเกลศเสีย แล้วดังนี้
พระโพธิสัตว์เท่านั้นทรงทำได้อย่างนี้ จึงวิเศษ ฯ
ครั้งนั้น ทัณฑปาณี ได้พูดกับศากยกุมารทั้งหลายว่า สิ่งที่อยากเห็นก็ได้เห็นแล้ว เอาละ บัดนี้พระกุมารจะแสดงการยิงธนู บรรดาศากยกุมารเหล่านั้น ศากยกุมารอานันทะให้เอกกลองเหล็กไปตั้งเป็นเป้าไกล 2 โกรศ(2000วา)
ลำดับนั้นศากยกุมารเทวทัตให้เอากลองเหล็กไปตั้งไวไกล 4 โกรศ ศากยสุทรนันทะ ให้เอากลองเหล็กไปตั้งไว้ไกล 6โกรศ ทัณฑปาณีให้เอากลองเหล็กไปตั้งไว้ไกล 2โยชน์ พระโพธิสัตว์ให้เอากลองเหล็กไปตั้งไว้ไกล 10 โกรศ ในระหว่างกลองเหล็กนั้น ยังเอาตาล 7ต้นและรูปหมูประกอบด้วยเครื่องยนต์ไปวางไว้อีก ในที่นั้น ศากยกุมารอานันทะยิงกลองในระยะไกล 2 โกรศ แต่ไม่อาจยิงไกลไปกว่านั้นได้ ศากยกุมารเทวทัตยิงกลองที่อยู่ไกล 4 โกรศ ไม่อาจยิงไกลไปกว่านั้นได้ ศากยสุนทรนันทะยิงกลองที่อยู่ไกล 6 โกรศ ไม่อาจยิงไกลไปกว่านั้นได้ ทัณฑปาณี ยิงกลองที่อยู่ไกล 2 โยชน์ แต่เจาะไม่เข้า และไม่อาจยิงไกลไปกว่านั้นได้ ในที่นั้น ลูกธนูใดๆที่พระโพธิสัตว์ยิงไปแล้ว ลูกธนูนั้นเจาะทะลุทุกลูก
ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์จึงตรัสกับพระบิดาว่า ข้าแต่พระนฤบดี จะมีไหมในนครนี้ ธนูอื่นๆที่หม่อมฉันไก่งไม่ไหว และจะต้องใช้กำลังกายเรี่ยวแรงมาก พระราชาตรัสว่า มีซิลูก พระกุมารตรัส นั่นอยู่ที่ไหนพระเจ้าข้า พระราชาตรัสว่า ก็ปู่ของลูกอย่างไรละ ทรงพระนามว่า สิงหหนุ ธนูของพระองค์ท่านนั้น จะต้องเซ่นด้วยของหอมและพวงมาลัยในเทวสถาน ธนูนั้นไม่มีใครสามารถโก่งขึ้นได้สักเล็กน้อย จะป่วยกล่าวไปไยถึงจะโก่งจนเต็มที่ได้ พระโพธิสัตว์ตรัสว่า นำธนูนั้นมาเถิดพระเจ้าข้า หม่อมฉันอยากรู้นัก
ครั้นแล้วเขาก็นำธนูนั้นมา ศากยกุมารทั้งหลายในที่นั้น ต่างก็พยายามด้วยความอุตสาหะอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่สามารถเพื่อจะโก่งธนูนั้นได้สักเล็กน้อย จะป่วยกล่าวไปไยถึงจะโก่งจนเต็มที่ได้ ต่อจากนั้น ศากทัณฑปาณีกำนำธนูนั้นมา ครั้นแล้วศากยทัณฑปาณี ทำให้เกิดกำลังกายเรี่ยวแรงทั้งหมดเริ่มโก่งธนูนั้น แต่ก็ไม่อาจ ดังนั้น เขาจึงนำธนูไปให้พระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์ทรงถือธนูนั้นไว้ ไม่เสด็จลุกจากอาสนประทับนั่งพับเพียบ พระหัตถ์ซ้ายจับธนูไว้ พระหัตถ์ขวาโก่งธนูด้วยนิ้วพระหัตถ์นิ้วเดียว เมื่อพระองค์โก่งธนู มหานครกบิลพัสดุ์ก็ดังไปทั่ว และคนในนครก็กระเทือนไปหมด ต่างถามกันว่า นี่เสียงอะไรอย่างนี้ อีกฝ่ายหนึ่งพูดว่า พระกุมารสรวารถสิทธโก่งธนูของพระเจ้าปู่อย่างไรละ นี่เป็นเสียงของธนูนั้น เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ต่างก็ส่งเสียงเฮฮาตั้งแสนแสดงความบันเทิงร่าเริง และเทวบุตรที่ไปในอากาศได้กล่าวเป็นคำประพันธ์กับพระราชาศุทโธทนะ และหมู่คนเป็นอันมากนั้นว่า
ธนูนั้น อันพระมุนีโก่งได้เต็มที่แล้ว ด้วยประการใด พระองค์ไม่ได้เสด็จลุกจากอาสน และไม่ทรงเหยียบแผ่นดิน พระมุนี จะถึงความสมบูรณ์ และจะถึงความชนะมารและเสนามารโดยเร็ว ไม่ต้องสงสัยด้วยประการนั้น ฯ
กระนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระโพธิสัตว์โก่งธนูนั้นได้เต็มที่แล้ว ทรงหยิบลูกธนู ยิงไปด้วยกำลังแรงเห็นปานนั้น ลูกธนูได้ทะลุกลองของศากยอานันทะ ของศากยเทวทัต ของศากยสุนทรนันทะ ของศากยทัณฑปาณี ไปทั้งหมด และทะลุกลองเหล็กของพระองค์เองในระยะไกล 10 โกรศ ทะลุตาล 7ต้น ทะลุรูปหมูเหล็กประกอบด้วยเครื่องยนต์แล้วลูกธนูนั้นเข้าไปยังพื้นดิน ไม่มีรอยให้เห็น สถานที่ลูกธนูเจาะพื้นดิน เข้าไปนั้น เป็นบ่อกลม เรียกกันว่า ศรกูป(บ่อศร)ตราบเท่าทุกวันนี้ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายในที่นั้น ต่างก็ส่งเสียง ฮิ้ว ฮั้ว ตั้งแสนแสดงความบรรเทิงร่าเริง และหมู่ศากยทั้งหมด พากันพิศวงงงงวย ถึงซึ่งความอัศจรรย์ใจไปตามๆกันว่า น่าอัศจรรย์ พวกเราไม่น่าจะทำได้เลย นี่แหละคือความฉลาดในศิลปเช่นนี้ และเทวบุตรที่ไปในอากาศได้กล่าวกับพระราชาศุทโธทนะ และหมู่คนเป็นอันมากนั้นอย่างนี้ว่า มนุษย์ทั้งหลายมีความพิศวงอะไรในเหตุการณ์นี้ นั่นเพราะเหตุไร?
33 พระกุมารนั้นประทับแล้วบนอาสนของพระพุทธองค์ก่อนๆบนพื้นแผ่นดิน ทรงถือธนูคือความสงบพร้อมด้วยลูกธนูคือคนอันว่างเปล่า (อนัตตา) ทรงชนะข้าศึกคือเกลศ และทรงทำลายข่ายคือทฤษฎี จะถึงซึ่งบรมคติ ปราศจากอุลีคือเกลศ และปราศจากความเศร้าใจ อันเป็นยอดแห่งความตรัสรู้ ฯ
เทพบุตรเหล่านั้น ครั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว จึงโปรยดอกไม้ทิพย์ลงมายังพระโพธิสัตว์แล้วหลีกไป
พระโพธิสัตว์พระองค์เดียวเท่านั้น วิเศษเด่นกว่าผู้อื่น ในสรรพกรรมและศิลปศาสตร์ทั้งหลายอันเป็นของโลกมนุษย์ เกินกว่าของทิพย์และของมนุษย์ทั้งหลาย ทุกๆอย่างเช่นเป็นต้นว่าก่อนอื่นกระโดดสูงไกล
วิชาเขียนหนังสือ คำนวณ เลข วิชาธนู ขี่คอช้าง ขี่หลังม้า ขี่รถ ศิลปศาสตร์ในการใช้ธนู ความทน แรง การใช้แขน การใช้ขอ การใช้บ่วงบาศ การลอดเข้า ลอดออก การดำมุด การต่อย การเตะ การทำรายด้วยจับผมกระชาก การตัดให้ขาด การต่อยให้แตก การขยี้ การผ่า วิธีโขลก วิธีบด วิธีออกเสียง ทุบ การพนันขันต่อ แต่งกาพย์กลอน ร้อยกรอง วาดเขียน เขียนรูป ปั้นรูป ปั้นตุ๊กตา การใช้ไฟ การดีดพิณ ขับร้อง รำ ร้องเพลง อ่าน พูด ตลก แสดงท่ารำฟ้อน แปลงรูป ร้องพวงมาลัย นวดหรือขัดสี ย้อมแก้วมณี ย้อมผ้า เล่นกล ทำนายฝัน ทำนายเสียงนก
รู้ลักษณะสตรี รู้ลักษณะบุรุษ รู้ลักษณะม้า รู้ลักษณะช้าง รู้ลักษณะโค รู้ลักษณะแพะ รู้ลักษณะที่ผสมกันหรือลักษณะที่ปนกัน รู้ลักษณะความเป็นใหญ่ของเกาฏภศาสตร์(ว่าด้วยกริยา อากัป วิกัปของกวีหรือว่าด้วยคัมภีร์ใดที่เป็นประโยชน์ของกวี)
รู้นิฆัณฑุศาสตร์ (อักขราภิธานศัพท์) รู้นิคม(ศาสตร์คู่มือพระเวท) รู้คัมภีร์ปุราณ รู้คัมภีร์ประวัติศาสตร์ รู้คัมภีร์พระเวท รู้คัมภีร์ไวยากรณ์ รู้คัมภีร์ศึกษา(การอ่านออกเสียง) รู้การอ่านฉันท์ รู้พิธีการบูชายัญ รู้โชยติศาสตร์ รู้คัมภีร์สางขยะ รู้คัมภีร์โยคะ รู้คัมภีร์ไวศิกะ(มายาหญิง) รู้คัมภีร์ไวเศษิกะ(ตำราตรรกศาสตร์) รู้วิชาเศรษฐศาสตร์ รู้ลัทธิจารวากหรือลัทธิโลกายัต(แนะตามแนวของพระพฤหัสบดีถือวัตถุเป็นใหญ่ ตายแล้วสูญ) รู้ในเหตุการณ์แปลกประหลาด รู้ลักษณะแห่งปีศาจ รู้เสียงเนื้อเสียงนก รู้วิชาว่าด้วยเหตุ รู้วิชาทดน้ำหรือสูบน้ำ รู้วิชาปั้นขี้ผึ้ง รู้วิชาเย็บปัก รู้วิธีทำลาย รู้วิชาปรุใบไม้ รู้วิธีปรุงของหอม
ครั้งนั้นแล ศากยทัณฑปาณี ได้ยกศากยกันยาชื่อโคปาซึ่งเป็นธิดาของตนให้แก่พระโพธิสัตว์ในคราวนั้น และเธอนั้นเป็นผู้ที่พระราชาศุทโธทนะได้เลือกให้แล้วแก่พระโพธิสัตว์ตามลำดับ
ในที่นั้นแล พระโพธิสัตว์ได้ถึงท่ามกลางสตรีแปดหมื่นสี่พันคน พระองค์แสดงตนเป็นผู้มีการเล่นสนุกอันเริงรมย์ มีสตรีคอยปฏิบัติบำเรออยู่ เป็นไปตามกระแสโลก บรรดาสตรีแปดหมื่นสี่พันคนนั้นทั้งหมด ศากยกันยาชื่อโคปา ได้รับการอภิเษกเป็นอัครมเหสี
ในที่นั้นแล พระนางโคปาศากยกันยาเห้นใครๆแล้วไม่ปิดหน้า ไม่ว่าจะเป็นพระมหาปชาบดี พระราชาศุทโธทนะ หรือนางสนมกำลัล คนเหล่านั้นพากันเพ่งเล็งพระนาง วิพากษ์วิจารณ์กันว่า ธรรมดาว่าสาวหน้าใหม่เขาย่อมซ่อนตัว แต่นี่กลับเปิดเผยทุกเมื่อ ครั้งนั้นพระนางโคปาศากยกันยา ทราบเรื่องนั้นแล้ว จึงยืนเบื้องหน้านางสนมกำนัลทั้งปวง กล่าวเป็นคำประพันธ์ดั่งต่อไปนี้
34 คนดีย่อมเปิดเผยปรากฏตัวใน ที่นั่ง ที่ยืน ที่เดิน จึงจะงามเหมือนแก้วมณีส่องแสงอยู่ที่ยอดธง จึงจะสว่าง ฯ
35 คนดีไปก็งาม มาก็งาม คนดียืนหรือนั่งงามทั้งนั้น ฯ
36 คนดี พูดก็งาม นิ่งก็งาม เหมือนนกการเวก งามทั้งรูป งามทั้งเสียง ฯ
37 จะนุ่งห่มด้วยผ้าคากรอง หรือผ้าเลวๆร่างกายจะซูบผอม ขาเป็นผู้มีคุณธรรม ประดาบด้วยคุณธรรม ย่อมงามด้วยเดชของตน ฯ
38 คนดี ไม่มีบาป ย่อมงามด้วยประการทั้งปวง คนชั่ว ประพฤติบาป ถึงจะประดับประดาสักเพียงไร ก็ย่อมไม่งาม ฯ
39 ผู้ใด พูดเพราะ แต่มีอกุศลอยู่ในใจของตนเอง เหมือนหม้อน้ำอมฤต แต่หยอดยาพิษไว้ ผู้นั้น มีใจกระด้างเหมือนภูเขาหิน ยากที่จะแตะต้องได้ การเห็นผู้เช่นนี้ เหมือนเห็นงูพิษหรือแมลงป่อง ฯ
40 ผู้พร้อมที่จะถึงความเคารพทุกอย่าง เป็นผู้อ่อนโยน พึงเป็นที่อาศัยรอดชีวิตของชาวโลกทั้งปวง เป็นดังว่าบุณยสถานในที่ทั้งปวง เป็นคนดีเสมอไป เหมือนหม้อที่เต็มไปด้วยนมเปรี้ยว นมสด การเห้นด้วยจิต บริศุทธซึ่งบุคคลเช่นนั้น เป็นมงคลดี ฯ
41 ผู้ใดเว้นจากบาปมิตร(เพื่อนชั่ว) ตลอดเวลานาน คบแต่กัลยณมิตร(เพื่อนดี) ที่ประเสริฐ เว้นจากบาป อยู่ในธรรมของพระพุทธ การเห็นผู้เช่นนั้นเป็นมงคลดีมีผล ฯ
42 ผู้ใด ระวังกาย ระวังโทษทางกายไว้ดีแล้ว ผู้ใดระวังวาจาไม่ใช้วาจาสามหาว(พูดพล่อยๆ)ทุกเมื่อ คุ้มครองรักษาอินทรีย์ และสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างดีมีใจผ่องใส อะไรจะมาปิดหน้าเขาผู้เช่นนั้นได้ ฯ
43 ถ้าเขาปิดอัตภาพ(ร่างกาย)ด้วยผ้าตั้งพันผืน แต่จิตของเขาเปิดเผย ไม่มีความกระดาก ไม่มีความอาย และไม่มีคุณธรรมเช่นนี้ ไม่มีวาจาสัตย์ เขาจะเป็นคนเปลือยยิ่งกว่าในโลกเปลือย เที่ยวไป ฯ
44 หญิงใด คุ้มครองรักษาจิตไว้ สำรวมระวังอินทรีย์อยู่เสมอ ไม่มีใจเกี่ยวข้องในชายอื่น ยินดีในสามีของตน หญิงนั้น ย่อมมีแสงสว่างเปิดเผย เช่นกับดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ จะปิดหน้าเช่นนั้นไว้ทำไม ฯ
45 พระฤษีผู้ใหญ่ยิ่งเป็นที่พึ่งของข้าพเจ้าและของหมู่เทพยดาผู้มีกุศลรู้จิตของผู้อื่น ก็เหมือนจะรู้ว่าข้าพเจ้ามีศีล มีคุณธรรม มีความสำรวมระวัง ไม่มีความประมาท เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะต้องคลุมหน้าของข้าพเจ้าทำไม ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
พระราชาศุทโธทนะ ได้ทรงสดับคำประพันธ์ทั้งหมดเช่นนี้ของพระนางโคปาศากยกันยา อันแสดงถึงปฏิภาณ ครั้นแล้วพระองค์มีความชื่นชม มีพระทัยเฟื่องฟู มีพระทัยยินดี บันเทิงพระทัย บังเกิดปีติโสมมัส ทรงคลุมพระนางโคปาศากยกันยาด้วยผ้านุ่งผ้าห่มคู่หนึ่ง อันประดับด้วยรัตนะเป็นเอนก มีราคาตั้งแสนโกฏิและพวงมาลัยทองอันประดับด้วยแก้วมุกดาสีแดง มีกำเนิดจากแก้วมุกดาหาร แล้วทรงเปล่งอุทานดั่งต่อไปนี้ ฯ
46 ลูกชายของเราประดับด้วยคุณธรรมทั้งหลายฉันใด ศากยกันยาผู้นี้ก็ย่อมสวยงามด้วยคุณธรรมฉันนั้น ทั้งสองนั้นเป็นสัตว์บริศุทธยิ่งได้มารวมกันแล้ว ย่อมสมกันเหมือนน้ำมันเนยกับฟองน้ำมันเนยฯ ดั่งนี้ฯ
(ศากยทั้งหลายมีพระโพธิสัตว์เป็นประมุข ก็หลีกไปสู่บุรีของตนตามลำดับเหมือนครั้งก่อน)
อัธยายที่ 12 ชื่อศิลปสันทรรศนปริวรรต (ว่าด้วยแสดงศิลป) ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น