การจุติ
![]() |
|

ดูกรท่านผู้ความเคารพ ข้าพเจ้าจะไปสู่ชมพูทวีปละนะ ข้าพเจ้าประพฤติจรรยาของพระโพธิสัตว์องค์ก่อนๆได้เชื้อเชิญสัตว์ทั้งหลายด้วยสังคหะวัตถุ 4 ประการ คือ
ทาน การให้ ปริยะวัทยะ พูดเพราะ อรรถกริยา ทำสิ่งที่มีประโยชน์ สมานอรรถตา มีประโยชน์เสมอกัน ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย ความอกตัญญูก็ดี ข้าพเจ้าไม่ตรัสรู้สัมยักสัมโพธิก็ดี นั้นเป็นการไม่สมควรแก่ข้าพเจ้า
ครั้งนั้น เทวะบุตรทั้งหลายที่อยู่ในชั้นดุษิต ต่างก็ร้องไห้กอดบาทพระโพธิสัตว์ไว้แล้วพูดว่า ข้าแต่ท่านผู้เป็นสัตบุรุษ(คนดี) ภพดุษิตนี้แหละ สิ้นท่านเสียแล้ว จะไม่รุ่งเรือง ลำดับนั้น พระโพธิสัตว์ตรัสแก่ที่ประชุมเทวดาหมู่ใหญ่นั้นว่า พระไมเตรยะโพธิสัตว์ (พระศรีอารยเมตไตรย) องค์นี้จะแสดงธรรมแก่ท่านทั้งหลาย ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์ก็เปลื้องผ้าโพกพระเศียรจากพระเศียรของพระองค์วางไว้บนพระเศียรของพระไมเตรยะโพธิสัตว์แล้วตรัสอย่างนี้ว่า ดูกรสัตบุรุษ ต่อจากลำดับข้าพเจ้า ท่านจะตรัสรู้อนุตตรสัมยักสัมโพธิ
ครั้นนั้น พระโพธิสัตว์ให้พระไมเตรยะโพธิสัตว์ประทับในภพดุษิต ตรัสเรียกเทพชุมนุมหมู่ใหญ่นั้นอีกว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย ข้าพเจ้าจะลงสู่ครรภ์พระมารดาโดยรูปอย่างไร ในที่ชุมนุมนั้น เทวดาบางพวก ก็ทูลว่า ดูกรท่านผู้ควรเคารพพระองค์เสด็จลงสู่ครรภ์พระมารดาโดยรูปเด็กชาย บ้างก็ว่าโดยรูปอินทร์ บ้างก็ว่าโดยรูปพรหม บ้างก็ว่าโดยรูปมหาราชิกะ บ้างก็ว่าโดยรูปไวศรวณะ บ้างก็ว่าโดยรูปคนธรรพ์ บ้างก็ว่าโดยรูปกินนร บ้างก็ว่าโดยรูปงูใหญ่ บ้างก็ว่าโดยรูปครุฑ ในที่นั้น มีเทวะบุตรผู้หนึ่งเป็นจำพวกรูปพรหม ชื่อ อุครเตชะ ชาติก่อนเป็นฤษีจุติมา เป็นผู้ไม่เปลี่ยนแปลงต่ออนุตตรสัมยักสัมโพธิ ท่านทูลดั่งนี้ว่า รูปที่มาในมนตร์ เทท ศาสตร์ ปาฐะ(บทเรียน)ของพราหมณ์เป็นอย่างไร พระโพธิสัตว์จะลงสู่ครรภ์พระมารดาก็ควรจะเป็นโดยรูปอย่างนั้น แต่รูปอย่างนั้นเป็นเช่นไร? รูปอย่างนั้นเป็นช้างประเสริฐขนาดใหญ่ มี 6 งางามเหมือนตาข่ายทอง ศีรษะย้อมดีแล้ว มีรูปชัดเจนหยดย้อย พระโพธิสัตว์เป็นผู้รู้ชัดในเวทและศาสตร์ของพราหมณ์ ได้พังคำนั้นแล้วก็ยอม และจะต้องเพิ่มลักษณะจากข้อนี้ด้วย เป็นว่าต้องประกอบด้วยลักษณะ 32 ประการ
กระนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ประทับอยู่ในสวรรค์ชั้นดุษิตได้พิจารณาดูการที่จะไปบังเกิด จึงเห็นบุพนิมิต 8 อย่าง ในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะดั่งต่อไปนี้ บุพนิมิต 8 อย่างนั้น เป็นอย่างไร นั่นคือ สถานที่นั้นปราศจากหญ้า ตอ หนาม กรวด โคลน เป็นสถานที่สะอาด รดน้ำไว้ดีเล้ว แผ้วกวาดแล้วเป็นอย่างดี ไม่สกปรก ไม่มีผง ฝุ่น ปราศจากเหลือบยุง แมลงวัน บุ้ง งู โรยดอกไม้ เป็นพื้นที่เรียบเหมือนฝ่ามือ พระราชวังตั้งอยู่ในที่นั้น นี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อแรก
หมู่นกทั้งหลายที่อยู่ในขุนเขาหิมพานต์ เป็นต้นว่า นกพิลาป นกแขกเต้า นกขุนทอง นกดุเหว่า หงส์ นกกระเรียน นกยูง นกจากพราก นกกุณาล(นกดุเหว่าลาย นกการเวก นกชีวันชีวกะ(นกกระทาดง) ซึ่งมีปีกลายงาม ร้องเพราะจับใจมาก จับอยู่ที่ตำหนักเรือนยอด และปราสาทอันมีบัลลังก์ ประตู ซุ้มประตู หน้าต่าง ในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะต่างมีความร่าเริง เกิดปิติโสมนัส เปล่งเสียงตามชนิดของตนๆนี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 2
ไม้ดอกไม้ผลต่างๆมีในฤดูต่างๆในสวนสำราญอันน่ารื่นรมย์ ในป่าอันน่ารื่นรมย์ ในอุทยานอันน่ารื่นรมย์ ไม้ทั้งหมดเหล่านั้น มีทั้งดอกบาน ดอกตูม นี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 3
สระใหญ่ มีน้ำไว้บริโภค ของพระราชาศุทโธทนะ สระทั้งปวงนั้น ดาษดาไปด้วยบัวหลวง มีใบตั้งหมื่นแสนโกฏิเป็นเอนก แต่ละใบโตเท่าล้อเกวียน นี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 4
น้ำมันเนย น้ำมันงา น้ำผึ้ง น้ำอ้อย น้ำตาลกรวดทั้งหลายที่อยู่ในภาชนะ ในพระราชวังของพระราชาศุทโธทนะ บริโภคเท่าไรก็ไม่หมด ปรากฏว่าเต็มอยู่ตามเดิมนี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 5
เครื่องดุริยภัณฑ์ทั้งหลายภายในพระราชวังองค์ใหญ่ ที่เป็นประธานของพระตำหนักทั้งหลายของพระราชาศุทโธนทะ เป็นต้นว่า กล่องใหญ่ กลองเล็ก บัณเฑาะว์ ขลุ่ย พิณใหญ่ ปี่ พิณเล็ก ได้รับการบรรเลงพร้อมเพียงกัน เครื่องทั้งหมดนั้นไม่มีใครกระทบ แต่เปล่งเสียเพราะจับใจออกมาเอง นี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 6
ภาชนะแห่งรัตนะทั้งหลาย เป็นต้นว่า ทองคำ เงินตรา แก้วมณี แก้วมุกดา ไพฑูรย์ ศังขศิลา(ไขมุก) แก้วประพาฬทั้งหมดเหล่านั้น เปิดออกเต็มที่ ก็ยังแจ่มใสบริศุทธบริบูรณ์ สุกปลั่ง นี่เป็นบุพนิมิตปรากฏข้อ 7
พระราชวัง สว่างรอบด้าน ด้วยแสงสว่างแจ่มใสบริศุทธ ทำให้ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ทรามลง ทำให้กายใจเกิดสั่นสะท้าน นี่เป็นบุพนิมิตข้อ 8
ส่วนพระนางมายา มีพระวรกายสรงสนานทาแป้งหมดจดแล้ว พระพาหาตกแต่งงามด้วยเครื่องอาภรณ์ต่างๆทรงพระภูษาเนื้อนิ่มงาม ได้ปีติปราโมทย์และความเลื่อมใสพร้อมด้วยสตรีประมาณหมื่น แวดล้อมด้วยสตรีจำนวนนั้นนำหน้าเข้าไปสู่สำนักพระราชาศุทโธนทะผู้ประทับอย่างเป็นสุขในปราสาทอันมีการขับร้องฟ้อนรำ ประทับนั่งบนอาสนอันดียิ่ง ประดับด้วยข่ายแก้ว ณ เบื้องขวา มีพระพักตร์อันยิ้ม ไม่หน้านิ่วคิ้วขมวด มีพระพักตร์เบิกบาน ได้ทูลพระราชาศุทโธนทะ ด้วยคำประพันธ์ดังต่อไปนี้
1 ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ในแผ่นดิน ผู้ปกครองแผ่นดิน ขอพระราชทานโอกาสได้โปรดฟังหม่อมฉัน หม่อมฉันทูลขอพระองค์ ขอพระนฤบดีได้โปรดประทานพร โปรดตั้งพระทัย อย่างที่จะให้หม่อมฉันมีความรื่นเริงใจ พระองค์ทรงฟังคำของหม่อมฉันแล้วจงมีพระทัยเอิบอิ่มเฟื่องฟู ฯ
2 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐ หม่อมฉันมีจิตเมตตาในโลก จะขอรับปฏิบัติพรตและศีลอันประเสริฐ ขอรักษาอุโบสถมีองค์ 8 เว้นการเบียดเบียนสัตว์มีชีวิตทั้งหลาย จะมีภาวะบริศุทธอยู่ทุกเมื่อ หม่อมฉันจะรักสัตว์อื่นเหมือนรักตน ฯ
3 ข้าแต่พระนฤบดี หม่อมฉันมีใจเว้นจากการเป็นโจร เสื่อมคลายจากความเมาและความโลภ ไม่ประพฤติผิดในกามทั้งหมด ตั้งอยู่ในความสัตย์ ไม่พูดส่อเสียด ละเว้นพูดพล่อยๆอันไม่ดีงาม ฯ
4 ละพยาบาท โทษะ โมหะ และความเมาทั้งสิ้น ความโลภมุ่งแต่จะได้ทั้งหลายทั้งปวงก็ปราศจากแล้ว มีความพอใจอยู่แต่ในทรัพย์ของตนหม่อมฉันประพฤติแต่สิ่งที่ชอบ ไม่อยู่โดยการหลอกลวง ไม่มีความริษยา ประพฤติแต่กุศลกรรมบถ 10 ประการ ฯ
5 ข้าแต่พระนรินทร์ ขอพระองค์ได้โปรด อย่าได้มีความปรารถนากามคุณในหม่อมฉันเลย เพื่อที่หม่อมฉันจะได้มีความยินดีในศีล และในการประพฤติพรต และเพื่อที่หม่อมฉันจะได้ระวังรักษาเป็นอย่างดี ข้าแต่พระนฤบดี ขอพระองค์อย่าได้เป็นผู้ไม่มีบุณยเลย เพื่อที่จะได้ทรงยินดีตามที่หม่อมฉันรักษาศีล บำเพ็ญพรต รักษาอุโบสถ ตลอดกาลนาน ฯ
6 ข้าแต่พระนฤบดี นี่เป็นความพอใจของหม่อมฉัน ขอพระองค์จงรีบเสด็จเข้าไปประทับอยู่บนปราสาทชั้นยอดสุด พระตำหนักที่มีรูปหงส์ ในวันนี้หม่อมฉันจะมีพระสหายเป็นบริวารบันเทิงอยู่ด้วยความสุขทุกเมื่อ ในพระแท่นบรรทมอันอ่อนนุ่ม ที่เกลื่อนกลาดไปด้วยดอกไม้มีกลิ่นหอม ฯ
7 ไม่มีกรมวัง ไม่มีเด็กชาย ไม่มีสตรีสามัญ อยู่ต่อหน้าหม่อมฉัน ไม่มีรูปที่ไม่ถูกใจหม่อมฉัน ไม่มีเสียงและกลิ่นที่ไม่ถูกใจ นอกจากจะได้ยินเสียงอันไพเราะเป็นเสียงอ่อนหวานน่ารัก ฯ
8คนเหล่าใดต้องโทษกักขังและถูกจองจำ ขอพระองค์ได้โปรดปล่อยคนเหล่านั้นเสียให้หมด ประทานเงินทองเครื่องแต่งตัวทำให้เขาเป็นคนมีทรัพย์ และทรงประทานเสื้อผ้า ข้าว น้ำ รถใช้สอย ม้า และยวดยานพาหนะ ตลอด 7 คืนนี้ เพื่อความสุขแก่โลก ฯ
9 ขอไม่ให้ มีการทะเลาะวิวาท และไม่พูดจารุนแรงด้วยความโกรธ ขอให้มีจิตเมตตารักใคร่ซึ่งกันและกัน มีจิตสุภาพเรียบร้อยติดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์แก่กันและกัน ในเมืองนี้ ขอให้มีแต่ชายและเด็กชายน่ารัก และเทวดาทั้งหลาย จงถึงความปีติยินดีรื่นเริงเป็นไปด้วยประโยชน์ ฯ
10 ขอไม่ให้มีข้าราชการต้องราชอาญา และไม่ได้รับอาชญาชั่วร้าย ไม่มีการเบียดเบียน และไม่ขู่ตวาดเฆี่ยนตีกัน ขอพระองค์ได้โปรดมีพระทัยผ่องใส มีพระทัยเกื้อกูลและเมตตา ได้โปรดทอดพระเนตรประชุมชนทั้งหมดเหมือนพระโอรสเอก ฯ
11 ฝ่ายพระราชา (ศุทโธทนะ)ทรงสดับคำอันสูงอย่างยิ่งแล้วตรัสว่า ทั้งหมดนี้ จงเป็นไปตามความปรารถนาของเธอ เธอได้ปรารถนาสิ่งต่างๆ ที่คิดไว้ดีแล้วด้วยใจ ถ้าเธอขอร้อง ฉันก็จะให้สิ่งที่เธอเลือกนั้นแก่เธอ ฯ
12 พระเจ้าแผ่นดินองค์ประเสริฐ ทรงบังคับราชบริพารของพระองค์ให้ทำความเจริญในปราสาทชั้นสุดยอดอันประเสริฐ ให้ดาษดาไปด้วยดอกไม้ให้งาม ให้มีกลิ่นธูป และของหอมอันประเสริฐ ประดับด้วยฉัตร ธงปตาก และรเบียบต้นตาล เป็นแถวเป็นแนว ฯ
13 นักรบประมาณสองหมื่น สวนเสื้อเกราะวิจิตรงดงาม ถือลูกศรเหล็ก หลาวศร หอก และมีดดาบ แวดล้อมพระองค์ผู้ทรงราชย์ มีเสียงดนตรีเพราะจับใจ ตั้งอยู่ในความกรุณา ป้องกันรักษาพระเทวีเพื่อไม่ให้หวาดกลัว ฯ
14 ส่วนพระนางเทวี มีสตรีทั้งหลายแวดล้อมเหมือนเทพกันยา(นางฟ้า) มีพระวรกายสรงสนานทาแป้งทรงพระภูษาอันประเสริฐแล้ว ก็เสด็จขึ้นไปประทับเหมือนสะไภ้พระพาย โดยมีเครื่องดนตรีอันบรรเลงทั้งพันคนมีเสียงเพราะจับใจ ฯ
15 ประทับนั่ง ณ พระแท่นบรรทมอันพึงใจ มีขาทำด้วยแก้วอย่างดีงามวิจิตรบรรจงมีค่ามาก ดังว่าของทิพย์ โรยไว้ด้วยดอกไม้ต่างๆ ทรงสยายพระเกศา ซึ่งปักปิ่นแก้ว ประทับอยู่ที่พระแท่นบรรทม เหมือนนางเทพกันยา อยู่ในสวนมิสกวัน (ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์) ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล องค์มหาราชทั้ง 4 องค์สักกะจอมเทวดา เทวะบุตรในสวรรค์ชั้นสุยาม เทวะบุตรชั้นดุษิต เทวะบุตร ชั้นสุนิรมิต เทวะบุตรชั้นประนิรมิตวศวรรดี เทพสารถวาหะ เทพมารปุตรพรหม เทพสหัมบดีพรหมผู้สูงส่ง เทพสุพรหมปุโรหิต เทพประภาวยูหะพรหม เทพอาภัสระพรหม เทพมเหศวร เทพอยู่ในชั้นศุทธาวาส เทพอยู่ในชั้นนิษฐ์ และเทพอยู่ในชั้นอกนิษฐ์เหล่านี้และเทพอื่นๆ จำนวนแสนได้ประชุมกันแล้ว กล่าวแก่กันและกันว่า
ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย มันเป็นการไม่สมควร เราจะพึงเป็นผู้อกตัญญู ซึ่งเราทั้งหลายละทิ้งพระโพธิสัตว์ให้ไปผู้เดียวไม่มีเพื่อน
ดูกรท่านผู้ควรเคารพทั้งหลาย บรรดาพวกเรา ใครสามารถติดตามร่วมกันเป็นนิตย์กับพระโพธิสัตว์ตั้งแต่ลงสู่ครรภ์ อยู่ในครรภ์ ประสูติ อยู่ในภูมิเยาว์วัย (เป็นเด็กอ่อน) เล่นหัวกันตอนเป็นเด็ก ดูการฟ้อนรำในพระราชวัง ออกอภิเนษกรมณ์(ออกบวช) ขำเพ็ญทุษกรจรรยาย่างเข้าสู่โพธิมณฑล ผจญมาร ตรัสรู้โพธิญาณ แสดงธรรมจักร จนกระทั่งมหาปรินิรวาณด้วยจิตคิดแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ ด้วยจิตสนิทสนม ด้วยจิตรักด้วยจิตไม่ตรี ด้วยจิตสุภาพเรียบร้อย แล้วกล่าวคาถานี้ขึ้นมาในเวลานั้นว่า
16 ใครเล่ามีใจยินดีเป็นนิตย์ สามารถติดตามพระโพธิสัตว์ ผู้มีรูปร่างประเสริฐ ใครมีเดชแห่งบุณย ด้วยยศ ด้วยวาจา ปรารภเพื่อติดตามพระโพธิสัตว์ด้วยตนเอง ฯ
17 ผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะรื่นรมย์อยู่เป็นนิตย์ในเทพบุรีของเทวดาด้วยทิพยสุข ด้วยนางอัปสรอันดียิ่ง ด้วยกามคุณ จงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้มีพระพักตร์เหมือนดวงจันทร์ปราศจากมลทิน ฯ
18 และผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะรื่นรมย์ในป่ามิสกวันอันงาม ในเทพบุรีเป็นแหล่งกำเนิดทิพย์ มีกองดอกไม้เหมือนผงทองคำ จงติดตาม พระโพธิสัตว์ผู้ทรงเดชอันปราศจากมลทิน ฯ
19 ผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะรื่นรมย์ในรถอันวิจิตร หรือในสวนนันทวัน สะพรั่งไปด้วยดอก และใบมณฑารพ พรักพร้อมไปด้วยเทพกันยา จงติดตามพระมหาบุรุษ ฯ
20 ผู้ใด ปรารถนาจะเป็นใหญ่ หรือเป็นอิสระในสวรรค์ชั้นยามาหรือชั้นดุษิต หรือเพื่อให้มีผู้นับถือในโลกทั้งปวง ก็จงติดตาม พระโพธิสัตว์ผู้มียศหาที่สุดมิได้นี้ ฯ
21 ผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะรื่นรมย์ในสวรรค์ชั้นนิรมิตหรือในชั้นปรนิรมิตวศวรรดี อันงามด้วยอาการบริโภคกามคุณทั้งปวงด้วยใจ ก็จงติดตามพระโพธิสัตว์ ผู้ทรงคุณอันเลิศนี้ ฯ
22 ผู้จะเป็นใหญ่ในโลกมาร แต่ไม่ใจร้าย ถึงฝั่งแห่งความเป็นใหญ่ด้วยวิธีการทั้งปวง เป็นเจ้าแห่งกามภพ ถึงฝั่งแห่งความเป็นผู้มีอำนาจจงไปกับพระโพธิสัตว์ผู้กระทำประโยชน์ ฯ
23 อนึ่ง ผู้มีมติ(แนวความคิด)เพื่อจะระงับกามธาตุไปอยู่ในสวรรค์ชั้นพรหม ทรงไว้ซึ่งอำนาจแห่งแสงสว่างมีประมาณ 4 อย่าง (คือ ประกอบด้วยธยาน 4) จงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นมหาบุรุษไปในวันนี้ ฯ
24 และผู้ใด มีความคิดที่จะอยู่ในมนุษย์ ปรารถนาในวิษัยพระราชาจักรพรรดิ อันประเสริฐไพบูลย์ จงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้ทรงไว้ซึ่งบุณยอันกว้างขวยาง เป็นบ่อเกิดแห่งรัตนะ ไม่มีภัย ให้ซึ่งความสุข ฯ
25 อนึ่ง ผู้ใดจะเป็นใหญ่ในแผ่นดิน เป็นลูกเศรษฐีมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีกองทรัพย์ใหญ่โต มีบริวารมาก ทำลายหมู่ศัตรูได้ ผู้นั้นจงไปกับพระโพธิสัตว์ ซึ่งเป็นผู้กระทำประโยชน์ ฯ
26 ผู้ใคร่จะมีรูปงาม มีโภคสมบัติ และมีความเป็นอิสระ มีชื่อเสียง มียศ มีกำลังมาก มีคุณความดี พูดจามีคนนับถือ มีความเจริญ มีเสียงคนรับฟัง จงไปตามพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นใหญ่กว่าพรหม ผู้มีปัญญาฯ
27 ผู้ใด ปรารถนากามทิพย์ และผู้ใดปรารถนากามของมนุษย์ปรารถนาความสุขทั้งปวงในภพทั้ง 3 ปรารถนาความสูขในธยาน และความสุขในวิเวก ผู้นั้นจงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ฯ
28 และผู้ใด ปรารถนาจะละราคะ โทษะ และปรารถนาจะละเกลศ มีใจระงับ สงบ ไม่ฟุ้งซ่าน ผู้นั้น จงไปตามพระโพธิสัตว์ ผู้ทรงปราบปรามจิตได้ แล้วโดยเร็ว ฯ
29 ผู้ปรารถนาเพื่อจะเป็น ไศกษะ อไศกษะ และพระปรัตเยกโพธิ และสรวัชญชญาน บรรลือด้วยทศพลชญาน (ชญาน 10) ดังราชสีห์ จงไปตามพระโพธิสัตว์ ผู้มีพระคุณเหมือนทะเล เป็นผู้รู้ ฯ
30 ผู้คิดจะปิดทางอบาย เปิดทางทั้ง 6 (ปรามิตา6) และถึงอมฤตะ(นิรวาณ) ด้วยการเดินไปในทางทั้ง 8(มรรค8) จงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้กระทำที่สุดแห่งทางเดิน ฯ
31 ผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะบูช่าพระสุคต และพระธรรม ปรารถนาเพื่อถึงซึ่งหมู่แห่งคุณทั้งหลาย ในการเล่าเรียนสดับตรับฟัง และความกรุณาในพระสุคต และพระธรรมเหล่านั้น ผู้นั้น จงไปตามพระโพธิสัตว์นี้ ผู้มีพระคุณดังว่าทะเล ฯ
32 ผู้ใด ปรารถนาเพื่อจะปลดเครื่องผูกพันเพื่อสิ้นทุกข์คือชาติ ชรา มรณะ และผู้ใดปรารถนาเพื่อจะประพฤติให้ถึงที่สุดทางดำเนินอันบริศุทธ ผู้นั้น จงติดตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตว์บริศุทธ ฯ
33 ผู้ใด ปรารถนาจะเป็นที่ชอบใจ เป็นที่อิ่มใจ เป็นทีรักในโลกทั่วไป เป็นผู้มีลักษณะดี เป็นผู้สะสมคุณอันประเสริฐ และเพื่อจะปลดเปลื้องตนและผู้อื่น ผู้นั้นจงไปติดตามพระโพธิสัตว์ผู้น่ารัก และเป็นผู้รู้ ฯ
34 ผู้ใด ปรารถนา ศีล สมาธิ ปัญญา อันลึกซึ้ง เห็นยาก เข้าถึงยาก ปรารถนาจะเป็นผู้รู้ และเพื่อได้วิมุกติ ผู้นั้นจงไปตามพระโพธิสัตว์ผู้เป็นนายแพทย์โดยเร็ว ฯ
35 ผู้ใด ปรารถนาคุณธรรมอย่างนี้ และอย่างอื่นอีกหลายอย่างเพื่อเข้าถึงความสุข และความหยุด(นิรวาณ) เพื่อความสำเร็จผลในการบำเพ็ญภูมิธรรมทั้งปวง ผู้นั้น จงตามพระโพธิสัตว์ผู้มีสิทธิ (ความสำเร็จผล)และพรต (การปฏิบัติ)ซึ่งเป็นผู้รู้ฯ
นัยว่า เทพยดาทั้งหลายได้ฟังคำนี้แล้ว คือ เทพยดาชั้นจาตุรมหาราช 8 หมื่น 4พัน ชั้นดาวดึงส์แสนหนึ่ง ชั้นยามาแสนหนึ่ง ชั้นดุษิตแสนหนึ่ง ชั้นนิรมาณรตีแสนหนึ่ง ชั้นปรนิรมิตวศวรรดีแสนหนึ่ง ชั้นมารที่ทำบุญแก้ตัวในชาติก่อน หกหมื่น ชั้นพรหม 6หมือน8พัน จนกระทั่งถึงเทพยดาในชั้นอกนิษฐ์อีกหลายแสน จึงได้ประชุมกันขึ้น และเทพยดาอื่นๆอีกเป็นจำนวนมาก มากจาทิศบูรพา ทักษิณ ประจิม อุดร หลายแสน ก็ได้ประชุมกัน เทวะบุตรซึ่งเป็นใหญ่กว่าเทพยดาเหล่านั้น ก็ได้กล่าวกับเทพบริษัทใหญ่นั้น เป็นคำประพันธ์ว่า
36 ข้าแต่ท่านผู้เป็นเทวดาใหญ่ทั้งหลาย ขอเชิญท่านทั้งหลายจงฟังคำนะ ความรู้ในเรื่องกรรมในโลกนี้เป็นความจริงอันถ่องแท้อย่างไรล่ะ เราทั้งหลายจะติดตามพระโพธิสัตว์ ผู้ละกามได้แล้ว ไม่มีความยินดี มีความสุขในธยานอย่างเด่นชัด ผู้เป็นสัตว์บริศุทธที่สุดนี้ ฯ
37 เราทั้งหลาย จะบูชาพระโพธิสัตว์ผู้ย่างพระบาทก้าวลงประทับในพระครรภ์ ผู้มีพระหทัยสูง ผู้สมควรได้รับการบูชา ผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้เป็นพระฤษี(ผู้แสวงหาคุณธรรม) ผู้อันบุณยทั้งหลายรักษาดีแล้ว มีผู้อื่นรักษาแล้ว ผู้ซึ่งได้อวตาร(ได้จุติลงมาเกิด) ไม่มีใจประทุษร้าย ฯ
38 เมื่อพระโพธิสัตว์ผู้มีพระคุณดังทะเล ตรัสพรรณนาคุณทั้งหลายด้วยพระวาจาดังเครื่องสังคึตดนตรีอันบรรเลงแล้วเป็นอย่างดี เราทั้งหลายจะได้ประพฤติตามพระวาจา ซึ่งทำให้เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายยินดีทั่วกัน และซึ่งจะทำให้คนฟังเกิดมีใจน้อมไปในโพธิอันประเสริฐ ฯ
39 เราทั้งหลาย จะทำเรือนให้แก่พระเจ้าแผ่นดิน โปรยปรายดอกไม้ไว้ อบควันไม้กฤษณาให้มีกลิ่นหอม ซึ่งเทวดาหรือมนุษย์ดมแล้วจะมีใจปลอดโปร่ง หายไข้ เป็นสุข ไม่มีโรค ฯ
40 ข้าแต่ท่านผู้เป็นดวงจันทร์งามกว่าดวงจันทร์ทั้งหลาย เรามาช่วยกันทำเมืองกบิลพัสตุ์นั้น ให้เกลื่อนกลาดไปด้วยดอกไม้งามสะพรั่งอยู่ในภาชนะ คือดอกมณฑารพ ดอกปาริชาต เพื่อบูชาพระโพธิสัตว์ผู้เฟื่องฟูด้วยกุศลกรรมในชาติก่อนๆ
41 ตราบใด พระโพธิสัตว์อยู่ในพระครรภ์ ไม่เปื้อนเปรอะด้วยมลทินทั้ง 3 ตราบใดพระโพธิสัตว์ผู้ทำให้ชรา มรณะหมดสิ้นไป ประสูติแล้ว ตราบนั้น เราทั้งหลายจะมีใจผ่องใส จะได้ติดตามพระองค์ไป นี่เป็นความรู้ เราทั้งหลายจะทำการบูชาพระองค์ผู้ทรงไว้ซึ่งความรู้ ฯ
42 ลาภไพบูลย์ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายก็ได้แล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจะเห็นพระองค์ย่างไปด้วยพระชานุ(เข่า) นี้ 7 ย่าง ข้าพเจ้าจำต้องเอาน้ำหอมสรงพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตว์บริศุทธยิ่ง ซึ่งองค์อินทร์และมือพรหมประคองอยู่ ฯ
43 ตราบใด พระโพธิสัตว์ยังท่องเที่ยวอยู่ในโลก ประทับอยู่ในหมู่นางกำนัล ถูกกามเกลศทำร้าย ตราบนั้น พระโพธิสัตว์ละราชสมบัติทั้งหมดเสด็จออกบรรพชาตราบนั้น เราทั้งหลายจะมีใจผ่องใส จะได้ติดตามพระองค์ไป ฯ
44 ตราบใด พระโพธิสัตว์ถือหญ้าเข้าไปยังลานแผ่นดิน และตราบใด พระโพธิสัตว์สัมผัสโพธิ(ตรัสรู้) กำจัดมารได้แล้ว พรหมจำนวนหมื่น อาราธนาให้แสดงธรรมจักร ตราบนั้น เราทั้งหลายจะทำการบูชาอย่างกว้างขวางแก่พระสุคต ฯ
45 ตราบใด พระโพธิสัตว์เสด็จไปทรงกระทำพุทธกิจในโลกมนุษย์ทรงแนะนำสัตว์ทั้งหลายนับตั้งหมื่นโกฏิในอมฤตธรรม เสด็จสู่ทรงนิรวาณ อันมีภาวะเย็น ตราบนั้น เราทั้งปวงจะไม่ยอมละพระฤษีผู้มีพระทัยโอบอ้อมอารี ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล นางเทพกันยาทั้งหลาย ผู้เป็นใหญ่ในกามธาตุ แลดูรูปโฉมที่ปรากฏของพระโพธิสัตว์แล้ว เกิดปริวิตกขึ้นว่า นางสาวเช่นไรหนอ จะทรงไว้ซึ่งพระโพธิสัตว์ผู้เป็นสัตว์บรุศุทธประเสริฐยิ่ง นางเทพกันยาเหล่านั้น ก็เกิดความอัศจรรย์ใจกันขึ้น ต่างก็ถือดอกไม้ ธูป เทียน ของหอมพวงมาลัย เครื่องชโลมทา ผงจันทน์ ผ้าอันดียิ่ง เป็นผู้ได้อัตภาพสำเร็จด้วยใจทิพย์ ดำรงอยู่ในฐานะตามวิบาก(ผล)แห่งบุณย แล้วก็หายตัวไปจากเมืองสวรรค์ในขณะนั้น นุ่งผ้าห้อยชายประดับด้วยรัศมีรุ่งเรืองงามบริศุทธิ มีลำแขนประดับด้วยเครื่องอาภรณ์ทิพย์ พากันไปในพื้นอากาศชี้นิ้วไปทางพระนางมายาผู้ประทับอยู่บนพระแท่นบรรทม ในมหาปราสาทของนฤบดีผู้ทรงคุณธรรมอันเป็นพระตำหนักของพระราชาศุทโธทนะ ซึ่งประดับด้วยอุทยานนับแสนในมหานครกบิลพัสตุ์เหมือนเมืองสวรรค์ แล้วพูดกันเองด้วยคำพระพันธ์เหล่านี้ว่า
46 นางอัปสรทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในเมืองสวรรค์แลดูรูปพระโพธิสัตว์อันรื่นรมย์ใจแล้ว เกิดความคิดนี้ขึ้นในครั้งนั้นว่า สตรีที่จะเป็นมารดาแห่งพระโพธิสัตว์ เป็นหญิงเช่นไรหนอ ฯ
47 และนางอัปสรทั้งหลายเหล่านั้น มือถือดอกไม้เกิดความสงสัยเข้าไปสู่พระราชวังของพระเจ้าอยู่หัว ถือดอกไม้และเครื่องชโลมทา ไหว้ด้วยกระพุ่มมือทั้ง 10 นิ้ว ฯ
48 นางอัปสรเหล่านั้น นุ่งผ้าห้อยชาย มีรูปงาม ไหว้แล้วชี้นิ้วมือขวาไปยังพระนางมายาผู้ประทับอยู่ ณ พระแท่นบรรทม พลางกล่าวว่าดีแล้ว เธอทั้งหลายจงพิจารณารูปร่างของสตรีมนุษย์ฯ
49 เราทั้งหลายในที่นี้คิดทะนงตน และพวกอื่นก็คิดทะนงตนเหมือนกันว่า นางอัปสรมีรูปร่างงามเป็นที่รื่นรมย์ใจอย่างยิ่ง แต่เมื่อพิจารณาดูพระเทวีแห่งพระเจ้าแผ่นดินนี้ จะเห็นร่างกายทิพย์ด้วยไป ฯ
50 อนึ่ง มารดาของบุคคลผู้ประเสริฐยิ่งนี้ ประกอบด้วยคุณสมบัติเหมือนางรติเทวี (เทวีแห่งความรัก ชายาของกามเทพ) และเป็นเหมือนแก้วมณีรองรับภาชนะทองคำ และเป็นเหมือนพระเทวีผู้รับสนองพระเป็นเจ้าทั้ง 3 (พระสรัสวดี พระอุมา พระลักษมี) ฯ
51 จงดูอวัยวะตั้งแต่พระหัตถ์ พระบาท จนถึงพระเศียร เป็นที่รื่นรมย์ใจเกิดกว่าอวัยวะทิพย์ ดูไม่อิ่ม มีแต่จะทำให้จิตใจยินดีขึ้นอีกด้วย ฯ
52 พระพักตร์อันประเสริฐของพระนาง แจ่มจำรัสเหมือนดวงจันทร์ในอากาศ ทั้งรัศมีพระวรกายก็โชติช่วง เหมือนดวงอาทิตย์อันสุกสว่าง และเหมือนดวงจันทร์อันปราศจากมลทิน และรัศมีแห่งพระวรกายนั้นซ่านออกจากอัตภาพ ฯ
53 และพระฉวีผิดพรรณของพระเทวีก็เปล่งปลั่งเหมือนทอง และเงินเนื้อบริศุทธิ์ พระนางมีมวยพระเกศาเหมือสีแมลงภู่ตัวประเสริฐ พระเกศาบนพระเศียรของพระนางอ่อนละมุนระเหยหอม ฯ
54 และพระเนตรทั้ง 2 ของพระนางเหมือนกลีบบัวหลวง พระทนต์บริศุทธเหมือนดวงดาวในท้องฟ้า พระอุทรไม่ใหญ่ โค้งเหมือนคันธนู พระปรัศว์(สีข้าง)หนา พระมังสานูนเต็มไม่เห็นรอยข้อต่อ ฯ
55 ต้นพระชงฆ์(ขาอ่อน) พระชงฆ์และพระเพลาของพระนางเรียวงามเป็นลำดับเหมือนงวงช้าง ฝ่าพระหัตถ์ และฝ่าพระบาทเรียบเสมอ ย้อมไว้งามดี พระรูป พระโฉมนี้ ไม่ต่างกับนางเทพกันยา ฯ
56 นางอัปสรทั้งหลาย พิจารณาดูพระเทวีมากอย่างดั่งนี้แล้ว ได้โปรยดอกไม้ ทำประทักษิณ(เดินเวียนรอบขวา) พระนางผู้น่ารักนัก ผู้มียศผู้จะเป็นพระมารดาของพระชินเจ้า แล้วจึงกลับไปยังเทพบุรีในขณะนั้นอีก ฯ
57 ขณะนั้น ท้าวโลกบาลทั้ง 4 ผู้อยู่ในทิศทั้ง 4 คณะเทวดาคือองค์อินทร์เทพอยู่ในชั้นสุยาม และเทพอยู่ในชั้นปรนิรมิต กุมภัณฑ์ รากษส อสูร นาค และกินนรทั้งหลายได้กล่าวว่า ฯ
58 ท่านทั้งหลายจงไปก่อน ไปทำการรักษาคุ้มครองพระโพธิสัตว์ผู้สูงสุดกว่าคนทั้งหลาย ผู้เป็นบุรุษประเสริฐ อย่าทำใจประทุษร้ายในโลกและอย่าทำการเบียดเบียนมนุษย์ทั้งหลาย ฯ
59 พระนางมายาเทวีประทับอยู่ในพระตำหนักอันประเสริฐองค์ใด ท่านทั้งหลายทั้งปวงพ้อมทั้งบริษัท จงพร้อมเพรียงกันไปยืนอยู่บนท้องฟ้าตรงพระตำหนักนั้น มือถือดาบ ธนู ลูกศร หอก และพระขรรค์ คอยดูแลไว้ ฯ
60เทวะบุตรทั้งหลาย ทราบเวลาที่พระโพธิสัตว์จุติแล้ว มีใจรื่นริงยินดี ได้พากันไปยังที่ประทับของพระนางมายา ต่างก็ถือดอกไม้ และเครื่องชโลมทา กราบไหว้ ด้วยกระพุ่มมือทั้ง 10 นิ้ว ฯ
61 ทูล(พระโพธิสัตว์)ว่า จุติเถิด จุติเถิด พระองค์ผู้เป็นใหญ่กว่าคนทั้งหลาย พระองค์ผู้เป็นสัตว์บริศุทธ วันนี้ถึงเวลาของพระองค์แล้ว พระองค์ผู้มีพระวาจาเหมือนสีหนาท พระองค์จงเกิดความกรุณาปรานีในโลกทั้งปวงนี้ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขออัญเชิญพระองค์ เพราะเหตุแห่งธรรมทาน ฯ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ในกาลสมัย พระโพธิสัตว์จะจุติ มีพระโพธิสัตว์ในสวรรค์ชั้นดุษิตติดอยู่อีกชาติเดียว ทั้งหมดมีจำนวนมากหลายแสนองค์ อยู่ในทิศบุรพาดได้เข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์เพื่อบูชา เช่นเดียวกัน ในทิศทั้ง 10 แต่ละทิศมีพระโพธิสัตว์อยูในสวรรค์ชั้นดุษิต ติออยู่ชาติเดียว ทั้งหมดจำนวนมากหลายแสนองค์ ก็เข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์เพื่อบูชา เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกากับนางอัปสร 8ล้าน 4แสน ได้บรรเลงดนตรีขับร้องฟ้อนรำเข้าไปเฝ้าพระโพธิสัตว์เพื่อบูชา ขณะนั้นแล พระโพธิสัตว์ประทับนั่งบนบัลลังก์ศรีครรภ์ ในมหากูฎาคารเรือนยอดใหญ่ซึ่งเกิดขึ้นด้วยบุณยทั้งมวลเป็นที่สำหรับชี้แจงแก่เทวดาและนาคทั้งปวงกาบพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีเทวดา นาค ยักษ์ หมื่นแสนโกฏิ แวดล้อมพระองค์นำหน้าเสด็จเคลื่อน(จุติ)จากสวรรค์ชั้นดุษิต
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เมื่อพระโพธิสัตว์เคลื่อน(จุติ)แสงสว่างเช่นนั้น ก็ได้เปล่งออกจากพระวรกาย ซึ่งทำให้โลกธาตอันกว้างใหญ่ไพศาลคือมนุษย์โลกและเทวโลกแจ่มแจ้งด้วยแสงสว่างเกิดกว่าแสงสว่างทิพย์ที่เคยส่องสว่างอย่างมโหฬารมาแล้วแม้โลกันตร์โลกอันเป็นโลกทุกข์ ได้รับความทุกข์เบียดเบียนแล้ว มืดมิดด้วยอันธการ(ความมืด) ถึงดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ซึ่งมีฤทธิ์มากก็ปานนั้น มีอานุภาพมากก็ปานนั้น มีอิทธิพลมากก็ปานนั้น ก็ยังทำโลกันตร์โลกนั้นให้สว่างด้วยแสงสว่างให้มีสีด้วยสี ให้มีเดช(อำนาจ)ด้วยเดช ให้อบอุ่น ให้รุ่งเริงไม่ได้ สัตว์ที่เกิดในโลกันตร์โลกนั้น แม้แต่แขนของตนที่เหยียดออกไปก็มองไม่เห็น แม้กระนั้น ในสมัยที่พระโพธิสัตว์เคลื่อน(จุติ)นั้น ได้ปรากฏแสงสว่างมโหฬารส่องไปยังโลกันตร์โลกนั้นได้ถึงกับทำให้สัตว์ซึ่งเกิดในที่นั้น ประจักษ์แจ้งขึ้นด้วยแสงสว่างนั้นได้ ต่างก็เห็นกันอย่างถนัดชัดเจน จำกันได้ ต่างก็พูดออกมาอย่างนี้ว่า
ดูกรพรรคพวก จะมีสัตว์อื่นมาเกิดที่นี่ไหม จะมีไหม พรรคพวก
อนึ่ง โลกธาตุ คือโลกมนุษยโลกและเทวโลกนี้ ได้มีมหานิมิต 18 อาการ 6มหานิมิต 18 นั้นคือ อกัมปัต สั่น ปรากัมปัต สั่นทั่ว สัมปรากัมปัต สั่นพร้อม อเวธัต ไหว ปราเวธัต ไหวทั่ว สัมปราเวธัต ไหวพร้อม อจลัต กระเทือน ปราจลัต กระเทือนทั่ว สัมปราจลัต กระเทือนพร้อม อักษุภยัต ปั่นป่วน ปรากษุภยัต ปั่นป่วนทั่ว สัมปรากษุภยัต ปั่นป่วนพร้อม อรณัต ดัง ปรารณัต ดังทั่ว สัมปรารณัต ดังพร้อม อครชัต คำรณ ปราครชัต คำรณทั่ว สัมปราครชัต คำรณพร้อม ยุบตอนสุด พองตอนกลาง ยุบตอนกลาง พองตอนสุด ยุบทิศตะวันออก พองทิศตะวันตก ยุบทิศตะวันตก พองทิศตะวันออก ยุบทิศใต้ พองทิศเหนือ ยุบทิศเหนือ พองทิศใต้
ในเวลานั้นได้ยินเสียงหัวเราะ เสียงแสดงความยินดี เสียงแสดงความเลื่อมใส เสียงแสดงความเอาใจใส่ เสียงแสดงความสุข เสียงแสดงการตื่นเต้น เสียงไม่สาดเสียเทเสีย เสียงไม่ระคายหู เสียงไม่ทำให้สะดุ้งกลัว การเบียดเบียนกันก็ดี ความสะดุ้งตกใจก็ดี ความกลัวก็ดี ความครั่นคร้ามก็ดี ไม่มีแก่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งในขณะนั้นเลย รัศมีของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ก็ดี รัศมีของพรหมณ์อินทร์และโลกาบาลทั้งหลาย ไม่ปรากฏในขณะนั้นอีกเลย สัตว์ที่เกิดในนรก กำเนิดเดียรัจฉาน ยมโลกทั้งปวง ได้ปราศจากทุกข์ ในขณะนั้น ต่างก็เพียบพร้อมด้วยความสุขทั่วหน้า ความกำหนัด ความเกลียด ความหลง ความริษยา ความตระหนี่ ความถือตัว ความดูหมิ่น ความเมา ความโกรธ ความพยาบาท ความเดือดเนื้อร้อนใจ มิได้เบียดเบียนสัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งเลย
ในขณะนั้นสัตว์ทั้งปวง มีจิตเมตตารักใคร่ มีจิตมุ่งประโยชนต่อกัน เข้าใจอยู่แต่ว่าเป็นมารดาบิดาของกันและกันดนตรีตั้งหมื่นแสนโกฏิทั้งเป็นของเทวดาและของมนุษย์ ไม่มีใครไปกระทบ ก็ดังขึ้นเองไพเราะจับใจ เทวดาตั้งหมื่นแสนโกฏิ ก็ช่วยกันนำมหาวิมานนั้นโดยจับด้วยมือ แบกด้วยบ่า และทูนด้วยศีรษะ นางอัปสรตั้งแสน ก็บรรเลงเครื่องสังคีตของตนๆไปยืนอยู่ข้างหน้าข้างหลังทั้งซ้ายทั้งขวา ได้ร้องเพลงสรรเสริญพระโพธิสัตว์ คลอกับเสียงดนตรี ว่า
62 บูชาอันไพบูลย์ ได้มีขึ้นในวันนี้แก่พระองค์ผู้สะลมศุภกรรมไว้ในปางก่อน ผู้สร้างกุศลมากเป็นเวลานาน ผู้ชำระนัยแห่งสัตยธรรมให้บริศุทธสะอาด ฯ
63 พระองค์ ได้ให้บุตรธิดาที่รักเป็นทานมาหลายโกฏิกัลปในปางก่อน ดอกไม้ทิพย์จึงโปรยปรายลงมาด้วยผลแห่งการบำเพ็ญทานนั้น ฯ
64 ข้าแต่พระองค์ผู้เป็นใหญ่ พระองค์ได้ชั่งเนื้อของตนให้เป็นทาน เพราะเหตุแลกกันเนื้อนกที่พระองค์รัก จึงทำให้เปรตได้ข้าวน้ำในโลกเปรต ฯ
65 พระองค์ได้ประพฤติพรต คือรักษาศีลไม่ขาดวิ่นมาหลายโกฏิกัลปในปางก่อน ผลที่ได้รักษาศีลนั้น จึงทำให้อบายทั้งหลายอันไม่มีเวลาสิ้นสุด สะอาดขึ้นมา ฯ
66 พระองค์เจริญกษานติธรรม เพื่อเหตุแห่งความตรัสรู้มาหลายโกฏิปัลปในปางก่อน ผลที่ได้เจริญกษานตินั้น จึงทำให้เทวดา และมนุษย์ทั้งหลายมีจิตเมตตากัน ฯ
67 พระองค์เจริญวีรยะ(ความเพียร) สูงสุดไม่ย่อท้อมาหลายโกฏิกัลปในปางก่อน ผลที่ได้เจริญวีรยะนั้น จึงทำให้พระวรกายสง่างามเหมือนภูเขาเมรุ ฯ
68 พระองค์เจริญธยาน เพราะจะกำจัดเกลศมาหลายโกฏิกัลปในปางก่อน ผลที่ได้เจริญธยานนั้น จึงทำให้เกลศไม่เบียดเบียนชาวโลก ฯ
69 พระองค์เจริญปรัชญาเป็นเครื่องตัดเกลศมาหลายโกฏิกัลปในปางก่อน ผลที่ได้เจริญปรัชญานั้น จึงมีแสงสว่างรุ่งเรืองเป็นอย่างยิ่ง ฯ
70 ข้าพเจ้า นอบน้อมพระองค์ผู้มีพระเมตตาห่อหุ้ม ผู้ฆ่าเกลศ ผู้มีน้ำพระหทัยสูงาด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ ผู้ถึงความบันเทิง ผู้ใหญ่ยิ่ง ผู้มีอุเบกขา ผู้เป็นพรหม ผู้เป็นพระสุคต(ผู้เสด็จดีแล้ว) ฯ
71 ข้าพเจ้า นอบน้อมพระองค์ผู้เป็นพระมุนี ผู้มีปรัชญาสว่างเหมือนอุกลาบาตที่ตกจากฟ้า ผู้มีเดชสูง ผู้ชำระโทสะและโมหะอันบดบังสิ่งทั้งปวงให้สะอาดบริศุทธ ผู้มีจักษุ ผู้เป็นนายกแห่งมนุษยโลก ผู้ชี้ทาง ฯ
72 ข้าพเจ้า นอบน้อมพระองค์ผู้ฉลาดในฤทธิบาทและในอภิชญาอันประเสริฐ ผู้เห็นความจริง ผู้มีประโยชน์อันใหญ่ยิ่ง ผู้ยังคนอื่นให้ศึกษา ผู้ข้ามด้วยพระองค์เองได้แล้ว และยังผู้อื่นให้ข้ามได้ด้วย ผู้เป็นปราชญื ผู้เป็นพระสุคต ฯ
73 พระองค์เป็นผู้ฉลาดในอุบายทั้งปวงและในอภิชญาอันประเสริฐ ทรงเห็นการจุติคือ สิ่งที่จุติแล้ว และยังไม่จุติ พระองค์เป็นอยู่ในภพที่ประกอบด้วยโลกธรรม แต่ไม่เปรอะเปื้อนเพราะโลกธรรมอย่างใดเลยๆ
74 เขาได้เห็น ได้ยิน ก็เป็นลาภอย่างยิ่งของเขาอย่างอจินไตย(อย่างคิดไม่ถึง) แล้ว จะป่วยกล่าวไปไยถึงการที่เขาได้สดับธรรมนอกเหนือไปกว่านั้น พระองค์ทำให้เขามีศรัทธา มีปีติอันไพบูลย์ ฯ
75 พิภพดุษิตเรื่อยเฉื่อยไปหมดทุกอย่างพอพระองค์มาอุบัติในบุรีชมพูทวีป ก็จะทำให้สัตว์มีชีวิตหมื่นโกฏิ ตรัสรู้ ตื่นจากเกลศอย่างอจินไตย ฯ
76 เมื่ออันมั่งคั่งกว้างขวาง ไม่มีใครรุกราน จะถึงซึ่งความคลาคล่ำไปด้วยเทวดาหมื่นโกฏิในครั้งนั้น ในพระราชวังจะได้ยินแต่เสียงนางอัปสรบรรเลงดนตรีไพเราะ ฯ
77 พระนางเพียบพร้อมไปด้วยบุณย และอำนาจด้วยกรรมดีงามเป็นศรี ประกอบด้วยรูปร่างงามอย่างยิ่ง ซึ่งมีพระราชบุตรองค์นี้เป็นผู้มั่งคั่งรุ่งเริงด้วยสิริในโลกทั้งสาม ฯ
78 คอนอยู่ในเมืองประเสริฐ (กบิลพัสดุ์) จะไม่มีความโลภ ความโกรธทะเลาะวิวาทกันอีกเลย ทั้งหมดจะมีเมตตาจิต พร้อมด้วยความเคารพ จะจำเริญด้วยเดชของพระโพธิสัตว์ผู้เป็นคนประเสริฐ ฯ
79 ราชวงศ์ของพระเจ้าแผ่นดินอันเกิดแต่ราชตระกูลจักรพรรดิ์จะเจริญขึ้นเมืองจะได้รับการเรียกชื่อว่ากบิล จะมั่งคั่งเด็มไปด้วยคลังแห่งรัตนะ ฯ
80 หมู่ยักษ์ รากษส กุมภัณฑ์ คุยหกะ เทพ ทานพ พร้อมทั้งหมู่อินทร์ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ระหว่างรักษาพระโพธิสัตว์ผู้เป็นคนประเสริฐ จะถึงซึ่งโมกษะ(ความรอดพ้น) โดยไม่ช้า ฯ
81 เราทั้งหลาย ประกอบด้วยความรักและเคารพ สรรเสริญ พระโพธิสัตว์ผู้สะสมบุณยกุศล ผู้เป็นนายก ขอให้เปลี่ยนมาเป็นผู้ตรัสรู้จงทั้งหมด เหมือนพระองค์ผู้สูงสุดกว่าคนทั้งหลายโดยเร็ว เทอญ ฯ
อัธยายที่ 5 ชื่อปรจลปริวรรต (ว่าด้วยการจุติ)ในคัมภีร์ศรีลลิตวิสตร ดั่งนี้แล ฯ


ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น