Translate

03 สิงหาคม 2567

หน้า ๒/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสูทินน์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
 [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปฐมปาราชิกเมื่อ ๒๐ พระพรรษา]               ได้ยินว่า ในปฐมโพธิกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุทั้งหลายได้ประคองพระหฤทัยให้ทรงยินดีแล้วตลอด ๒๐ ปี มิได้ทำอัชฌาจาร (ความ
ประพฤติล่วงละเมิด) เห็นปานนี้ (ให้เกิดขึ้นเลย).              พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายเอาอัชฌาจารนั้นนั่นเอง จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง พวกภิกษุได้ประคองจิตของเราให้ยินดีแล้วหนอ.
คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่ทรงเล็งเห็นอัชฌาจาร (ความประพฤติล่วงละเมิดเช่นนั้นของภิกษุทั้งหลาย) จึงมิได้ทรงบัญญัติปาราชิกหรือสังฆาทิ
เสส แต่ได้ทรงบัญญัติกองอาบัติเล็กน้อย ที่เหลือไว้เพียง ๕ กองเท่านั้น ใน
เพราะเรื่องนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เพราะสิกขาบทยังมิได้ทรงบัญญัติไว้.
               บทว่า อนาทีนวทสฺโส ความว่า ท่านสุทินน์ เมื่อไม่เล็งเห็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงบัญญัติสิกขาบทชี้โทษไว้ในบัดนี้ จึงเป็นผู้มีความสำคัญ
 (ในการเสพเมถุนธรรมนั้น) ว่าไม่มีโทษ.
               จริงอยู่ ถ้าท่านพระสุทินน์นี้พึงรู้ว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หรือว่า สิ่งที่ทำนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อมูลเฉท ดังนี้ไซร้, กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา แม้จะถึงความสิ้น
ชีวิตไป อันมีกรรมนั้นเป็นเหตุก็จะไม่พึงทำ, แต่ท่านเมื่อไม่เล็งเห็นโทษในการ
เสพเมถุนธรรมนี้ จึงได้เป็นผู้มีความสำคัญว่า ไม่มีโทษ. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เป็นผู้มีความเห็นว่าไม่มีโทษ.
               บทว่า ปุราณทุติยิกาย นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ.
               บทว่า อภิวิญฺญาเปสิ คือ ให้เป็นไปแล้ว.
               จริงอยู่ แม้การให้เป็นไป ท่านเรียกว่า วิญฺญาปนา เพราะยังกายวิญญัติให้เคลื่อนไหว. ก็ท่านพระสุทินน์นี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ทำการยังกาย
วิญญัติให้เคลื่อนไหวถึง ๓ ครั้ง เพื่อความตกลงใจจะให้ตั้งครรภ์.
 หลายบทว่า สา เตน คพฺภํ คณฺหิ ความว่า แม้ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์นั้น ก็ตั้งครรภ์เพราะอัชฌาจารนั้นนั่นเอง หาได้ตั้งครรภ์โดยประการอื่นไม่.
               [เหตุที่ให้สตรีตั้งครรภ์มี ๗ อย่าง]               
               ถามว่า ก็การตั้งครรภ์ย่อมมีได้ แม้โดยประการอย่างอื่นหรือ?
               แก้ว่า ย่อมมีได้.
               ถามว่า ย่อมมีได้อย่างไร?
               แก้ว่า ย่อมมีได้ (เพราะเหตุ ๗ อย่างคือ) เพราะการเคล้าคลึงกาย ๑
 เพราะการจับผ้า (นุ่งห่ม) ๑ เพราะการดื่มน้ำอสุจิ ๑ เพราะการลูบคลำสะดือ
 (ของสตรี) ๑ เพราะการจ้องดู (รูป) ๑ เพราะเสียง ๑ เพราะกลิ่น ๑.
               จริงอยู่ สตรีทั้งหลาย บางพวกเป็นผู้มีความกำหนัดยินดีด้วย
ฉันทราคะ ในเวลาที่ตนมีระดู แม้เมื่อยินดีการที่บุรุษจับมือ จับช้องผม
 และการลูบคลำอวัยวะน้อยใหญ่ (ของตน) ย่อมตั้งครรภ์ได้. การตั้งครรภ์
ย่อมมีได้เพราะการเคล้าคลึงกาย ด้วยอาการอย่างนี้.
อนึ่ง นางภิกษุณีผู้เป็นภรรยาเก่าของพระอุทายีเถระ เอาปากอมน้ำอสุจินั้นไว้ส่วนหนึ่ง ใส่อีกส่วนหนึ่งเข้าในองคชาตรวมกับผ้านั่นเอง.
 นางก็ตั้งครรภ์ได้เพราะเหตุนั้น.๑-      การตั้งครรภ์ย่อมมีได้         เพราะการจับผ้า (นุ่งห่ม) ด้วยอาการอย่างนี้.              แม่เนื้อ ผู้เป็นมารดาของ
มิคสิงคดาบส ได้มายังสถานที่ถ่ายปัสสาวะของดาบส ในเวลาที่ตนมีระดู
 แล้วได้ดื่มน้ำปัสสาวะ ซึ่งมีน้ำสมภพเจือปนอยู่. แม่เนื้อนั้นก็ตั้งครรภ์ 
แล้วออกลูกเป็นมิคสิงคดาบส เพราะเหตุที่ตนดื่มน้ำปัสสาวะนั้น.๒- 
การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการดื่มน้ำอสุจิ ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง ท้าวสักกะทรงทราบข้อที่มารดาบิดาของพระสามดาบสโพธิสัตว์
 เสียจักษุ มีพระประสงค์จะประทานบุตร (แก่ท่านทั้งสองนั้น) จึงทรงรับ
สั่งกะทุกุลบัณฑิต (ผู้เป็นบิดาของพระสามดาบสโพธิสัตว์นั้น) ว่า เมถุนธรรม
ควรแก่ท่านทั้งสองหรือ?              ทุกุลกบัณฑิตทูลว่า อาตมภาพทั้งสอง
บวชเป็นฤษีแล้ว ไม่มีความต้องการ ด้วยเมถุนธรรมนั่น.
               ท้าวสักกะทรงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น ในเวลาที่นางปาริกาตาปสินีนี้มี
ระดู ท่านพึงเอานิ้วมือลูบคลำสะดือ (ของนาง) เถิด.
               ทุกุลกบัณฑิตนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. นางปาริกาตาปสินีนั้น
ก็ตั้งครรภ์ แล้วคลอดทารกชื่อสามดาบส เพราะเหตุที่ลูบคลำสะดือนั้น.๓-
การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการลูบคลำสะดือ ด้วยอาการอย่างนี้. โดยนัยนี้
นั่นแลควรทราบเรื่องมัณฑัพยมาณพ๔- และเรื่องพระเจ้าจัณฑปัชโชต.
               ถามว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการจ้องดู (รูป) อย่างไร?
               แก้ว่า สตรีบางพวกในโลกนี้ ในเวลาที่ตนมีระดู เมื่อไม่ได้การเคล้า
คลึงกับชาย จึงเข้าไปในเรือน จ้องดูชายด้วยอำนาจความกำหนัดพอใจ
 (แล้วก็ตั้งครรภ์) เหมือนนางสนมชาววัง ฉะนั้น. นางย่อมตั้งครรภ์ เพราะการ
จ้องดูชายนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการจ้องดูรูป ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง บรรดานกตระกรุมทั้งหลาย (นกยาง) ชื่อว่านกตระกรุมตัวผู้
ย่อมไม่มี. นางนกตระกรุมเหล่านั้น ในเวลาที่ตนมีระดู ครั้นได้ฟังเสียงเมฆ
 (คำราม) แล้ว ย่อมตั้งครรภ์ ถึงแม่ไก่ทั้งหลายจะมากตัวก็ตาม ในกาล
บางครั้ง ครั้นได้ฟังเสียงไก่ผู้ตัวเดียว (ขัน) ก็ย่อมตั้งครรภ์ได้. ถึงแม่โค
ทั้งหลาย ครั้นได้ฟังเสียงโคอุสภะ (โคตัวผู้) แล้ว ก็ย่อมตั้งครรภ์เหมือน
อย่างนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะเสียง ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง แม่โคทั้งหลายนั่นเอง ในกาลบางครั้ง ย่อมตั้งครรภ์ได้เพราะกลิ่นของโคตัวผู้, การตั้งครรภ์ ย่อมมีได้เพราะกลิ่น ด้วยอาการอย่างนี้.
               ส่วนในเรื่องนี้ ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์นี้ ย่อมตั้งครรภ์เพราะอัชฌาจาร ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า
               มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๑ มารดามีระดู ๑ สัตว์ผู้เกิด
ในครรภ์ปรากฏ ๑, เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ จึงมีได้.๕-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๔๒ ๒- ชาตกัฏฐกถา. ๘/๑, ๗/๓๙๖.
๓- นัยชาตกัฏฐกถา. ๙/๑๒๓-๔. ๔- ชาตกัฏฐกถา. ๗/๕-๖.
๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๕๒. ปปัญจสูทนี. ๒/๔๑๗-๘.
               [เทพเจ้าประกาศความชั่วของพระสุทินน์]               
               หลายบทว่า ภุมฺมา เทวาสทฺทมนุสฺสาเวสุํ ความว่า ชื่อว่าความลับของชนผู้กระทำกรรมชั่ว ย่อมไม่มีในโลก.๑-
               จริงอยู่ ตนของชนผู้กระทำความชั่วนั้น ย่อมรู้ความชั่ว (ที่ตนทำ) นั้น ก่อนกว่าคนอื่นทั้งหมด, ต่อจากนั้น อารักขเทพเจ้าทั้งหลายย่อมรู้, ภายหลังต่อ
มาเทพเจ้าแม้เหล่าอื่น ผู้รู้จิตของบุคคลอื่น ก็ย่อมรู้, เพราะเหตุนั้น ภุมมเทพเจ้าทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในไพรสณฑ์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นผู้รู้จิตของบุคคลอื่น พบเห็น
อัชฌาจารนั้นของท่านพระสุทินน์นั้น ก็ได้กระจายเสียงให้บันลือลั่นไป คือได้เปล่งเสียงออกโดยอาการที่เทพเจ้าแม้เหล่าอื่นจะได้ยิน.
               ถามว่า ได้ยินว่า อย่างไร?
               แก้ว่า ได้ยินดังนี้ ท่านผู้เจริญ โอ ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด หาโทษมิได้, (แต่) พระสุทินน์กลันทบุตรก่อเสนียดขึ้นแล้ว ก่อโทษขึ้นแล้ว.๒- ใจความแห่ง
คำว่า ไม่มีเสนียด เป็นต้นนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในเวรัญชกัณฑ์นั่นแล.
อนึ่ง ในคำว่า ภุมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา จาตุมฺมหาราชิกา 
นี้ พึงทราบลำดับดังนี้ว่า อากาสัฏฐเทพเจ้าทั้งหลายได้สดับเสียง
เหล่าภุมมเทพเจ้าแล้ว, เทพเจ้าชั้นจาตุมหาราชทั้งหลายได้สดับเสียงเหล่าอากาสัฏฐเทพเจ้าแล้ว ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า พฺรหฺมกายิกา ความว่า พรหมแม้ทั้งหมด ยกเว้นเหล่าอสัญญี
สัตว์และเหล่าอรูปาวจรสัตว์เสีย พึงทราบว่า ได้สดับแล้ว และครั้นได้สดับแล้ว ก็ได้กระจายเสียงให้บันลือลั่นแล้ว.
               หลายบทว่า อิติห เตน ขเณน ความว่า ชั่วขณะเดียวแห่งอัชฌาจารของท่านพระสุทินน์นั้น ด้วยอาการอย่างนี้.
   สองบทว่า เตน มุหุตฺเตน ความว่า ชั่วครู่เดียวแห่งอัชฌาจารนั่นเอง.
               สองบทว่า ยาว พฺรหฺมโลกา ความว่า (เสียงได้กระฉ่อนขึ้นไปแล้ว) จนถึงพรหมโลกชั้นอกนิฏฐะ.
               บทว่า อพฺภุคฺคญฺฉิ แปลว่า ได้กระฉ่อนขึ้นไปแล้ว คือได้ตั้งขึ้นแล้ว. ความก็ว่า ได้มีเสียงระเบ็งเซ้งแซ่เป็นอันเดียวกันแล้ว.
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๕๑๘/หน้า ๑๓๑. ชาตกัฏฐ ๔/๒๔๘.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๘/หน้า ๓๒.
               [บุตรชายของท่านพระสุทินน์มีชื่อว่าพีชกะ]               
               สองบทว่า ปุตฺตํ วิชายิ ความว่า ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์ได้ให้ปัจฉิมภวิกสัตว์ ผู้เช่นกับพิมพ์ทองเกิดแล้ว.
               หลายบทว่า พีชโกติ นามํ อกํสุ ความว่า พวกสหายของท่านพระสุทินน์ไม่ยอมให้ตั้งชื่อเป็นอย่างอื่น คือได้พากันตั้งชื่อว่า 'พีชกะ' (เจ้าพืชก์) โดยลง
ความเห็นกันว่า ทารกนั้นจงมีชื่อว่า 'เจ้าพืชก์' เท่านั้น, เพราะเหตุแห่งคำที่ย่าได้กล่าวขอไว้ว่า 'พ่อจงให้พืชพันธุ์ไว้บ้าง' ดังนี้ ปรากฏชัดแล้ว. พวกสหายก็ได้ตั้ง
ชื่อให้แก่มารดาบิดาแห่งพีชกทารกนั้น ด้วยอำนาจชื่อบุตรชายเหมือนกัน.
               คำว่า เต อปเรน สมเยน        นี้ ท่านกล่าวหมายเอาเจ้าพืชก์และมารดาของเจ้าพืชก์.
               [มารดาและพีชกทารกบวชแล้วได้สำเร็จพระอรหัต]               
               ได้ยินว่า ในเวลาที่พีชกะมีอายุได้ ๗-๘ ขวบ มารดาของเธอได้บวชในสำนักนางภิกษุณี และพีชกทารกนั้นก็ได้บวชอยู่ในสำนักของภิกษุ ได้อาศัย
เพื่อนพรหมจารีผู้เป็นกัลยาณมิตร ก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เขาทั้งสองได้ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว.๑- บรรพชาของมารดาและบุตร ได้มีผลแล้วด้วยประการฉะนี้.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๘/หน้า ๓๒.
               [ท่านพระสุทินน์เดือดร้อนใจเพราะประพฤติชั่วหยาบ]               
               ส่วนบิดาของพีชกทารกนั้น ถูกความวิปฏิสารครอบงำอยู่ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวคำว่า 
อถโข อายสฺมโต สุทินฺนสฺส อหุเทว กุกฺกุจฺจํ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุเทว แปลว่า ได้มีแล้วนั่นเทียว. ทะ อักษรทำการเชื่อมบท. ความว่า ได้มีแล้วนั่นเทียว.               ความตามเดือด
ร้อนในภายหลัง อันมีอัชฌาจารเป็นเหตุ ชื่อว่าความรำคาญ. แม้คำว่า วิปฏิสาโร ก็เป็นชื่อแห่งความตามเดือดร้อนในภายหลังนั้นนั่นเอง.
               จริงอยู่ ความตามเดือดร้อนในภายหลังนั้น ท่านเรียกว่า กุกกุจจะ (ความรำคาญ) โดยความเป็นกิริยาที่บัณฑิตพึงเกลียด เพราะความเป็นกรรม
อันผู้รู้ทั้งหลายไม่พึงทำ, ท่านเรียกว่า วิปฏิสาร (ความเดือดร้อน) 
โดยเป็นความระลึกผิดรูปไป เพราะอาศัยอัชฌาจารนั้น เพราะไม่สามารถจะห้ามอัชฌาจารที่ตนทำแล้วได้.
               หลายบทว่า อลาภา วต เม ความว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ. 
มีอธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า ความไม่ได้คุณทั้งหลาย มีฌานเป็นต้นเหล่านั้น ไม่ใช่ลาภของเรา ทั้งไม่ใช่ลาภของผู้อื่น.
               หลายบทว่า น วต เม ลาภา ความว่า คุณคือบรรพชา สรณคมน์และ
การสมาทานสิกขาแม้เหล่าใด ที่เราได้เฉพาะแล้ว, คุณคือบรรพชาเป็นต้น
แม้เหล่านั้น ชื่อว่าไม่ใช่ลาภของเราเลย เพราะมีอัชฌาจารเศร้าหมอง.
               หลายบทว่า        ทุลฺลทฺธํ วต เม          ความว่า พระศาสนานี้       แม้ที่เราได้แล้ว ก็ชื่อว่าเราได้ชั่ว.
         หลายบทว่า น วต เม สุลทฺธํ ความว่า พระศาสนานี้ เราได้ไม่ดีเหมือน
อย่างกุลบุตรเหล่าอื่นเขาได้กันหนอ. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุเราบวช
ในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอย่างนี้ ยังไม่สามารถ
จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้จนตลอดชีวิตแล.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์ที่ท่านสงเคราะห์ด้วยไตรสิกขา.
               สองบทว่า กิโส อโหสิ ความว่า ท่านพระสุทินน์นั้น เมื่อไม่สามารถจะเคี้ยวกินหรือฉันอาหาร จึงได้เป็นผู้ซูบผอม คือมีเนื้อและโลหิตน้อย.
               บทว่า อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ได้แก่ ความเป็นผู้มีผิวเหลืองๆ เกิดขึ้น คือเป็นผู้มีส่วนเปรียบดุจใบไม้เหลือง.
               บทว่า ธมนิสณฺฐตคตฺโต ได้แก่ ผู้มีตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็นนั่นเอง เพราะความเป็นผู้มีเนื้อและโลหิตสิ้นไป.
               บทว่า อนฺโตมโน ได้แก่ ผู้มีความคิดตั้งอยู่ภายในนั่นเอง (ผู้มีเรื่อง
ในใจ) ด้วยอำนาจความระทมถึง. อนึ่ง สัตวโลกแม้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นผู้มีใจอยู่
ในภายในนั่นเอง (คิดอยู่แต่ในใจ) ด้วยอำนาจความเป็นไป อาศัยหทัยวัตถุ.
               บทว่า ลีนมโน ได้แก่ ผู้ทอดทิ้งธุระ คือผู้ไม่มีความขวนขวายใน
อุเทศ ปริปุจฉา กรรมฐาน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา และการบำเพ็ญวัตร
และระเบียบวัตร. ชื่อว่า ผู้มีใจหดหู่ เพราะอรรถว่า ใจของผู้นั้น
หดหู่ คืองอกลับด้วยอำนาจความเกียจคร้านโดยแท้ทีเดียว.
               บทว่า ทุกฺขี ได้แก่ ผู้มีทุกข์ เพราะทุกข์ทางใจ.
               บทว่า ทุมฺมโน ได้แก่ ผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว หรือผู้มีใจผิดรูป เพราะความเป็นผู้ถูกโทมนัสครอบงำ.
               บทว่า ปชฺฌายี      ความว่า ท่านพระสุทินน์ คิดถึงความชั่วที่ตนทำแล้วนั้นๆ ด้วยอำนาจความเดือดร้อน
 (ซบเซา) ดุจลาตัวที่เขาคัดออกจากภาระแล้ว (ซบเซาอยู่) ฉะนั้น.
               [พวกภิกษุสหายถามท่านพระสุทินน์ถึงความซูบผอม]               
               สองบทว่า สหายกา ภิกฺขู ความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ถามถึง
ความผาสุก ที่เป็นผู้คุ้นเคยของท่านพระสุทินน์ เห็นพระสุทินน์นั้นผู้เป็นแล้ว
อย่างนั้น ซึ่งปล่อยให้วันคืนผ่านไปอยู่ ด้วยธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า คือ
การคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ จึงได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์นั้น.
               บทว่า ปินินฺทฺริโย ความว่า ผู้มีอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นเต็มเปี่ยม เพราะโอกาสซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งประสาทสมบูรณ์.
               ศัพท์ว่า ทานิ ที่มีอยู่ในคำว่า โสทานิ ตฺวํ นี้ เป็นนิบาต. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า โส ปน ตฺวํ ที่แปลว่า ก็คุณนั้น (ดูซูบผอม).
               หลายบทว่า กจฺจิ โน ตฺวํ คือ กจฺจิ นุ ตฺวํ ที่แปลว่า คุณ (จะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์) หรือหนอ?
               บทว่า อนภิรโต แปลว่า ผู้มีความกระสัน. อธิบายว่า ผู้ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์.
               เพราะเหตุนั้น ท่านพระสุทินน์ เมื่อจะคัดค้าน ความไม่ยินดีนั้นนั่นแล
 จึงกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย ความจริง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ยินดี (ประพฤติ
พรหมจรรย์). อธิบายว่า ก็ผมยินดีทีเดียวในการเจริญกุศลธรรมอันยิ่ง.
               หลายบทว่า อตฺถิ เม ปาปกมฺมํ กตํ ความว่า บาปกรรมอย่างหนึ่งที่ผมทำไว้ มีอยู่ คือผมได้รับอยู่ ได้แก่มี
ปรากฏแก่ผมอยู่เป็นนิตยกาล ดุจมีอยู่เฉพาะหน้าฉะนั้น.
ถัดจากนั้นท่านพระสุทินน์เมื่อจะประกาศ(เปิดเผย)บาปกรรมที่ตนทำแล้วนั้น(แก่เหล่าภิกษุสหาย)จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ปุราณทุติยิกาย ดังนี้.
               [พวกภิกษุสหายเห็นด้วยว่ากรรมนั้นให้เกิดความรำคาญได้]         
                     หลายบทว่า อลํ หิ เต อาวุโส สุทินฺน กุกฺกุจฺจาย 
ความว่า อาวุโส สุทินน์ บาปกรรมนั่นของคุณ พอที่คือสามารถจะให้
คุณรำคาญได้. มีคำอธิบายว่า เป็นของสามารถจะให้เกิดความรำคาญได้.
               ในคำว่า ยํ ตฺวํ เป็นต้น พึงทราบการเชื่อมความดังนี้ว่า 
คุณจักไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ เพราะความชั่วใด, ความชั่วนั้นของคุณพอที่จะให้คุณรำคาญได้.
               ต่อจากนั้น เหล่าภิกษุสหาย เมื่อจะพร่ำสอนพระสุทินน์นั้น จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า นนุ อาวุโส ภควตา ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า นนุ เป็นนิบาต ลงในอรรถอนุมัติและตำหนิ.
               บทว่า อเนกปริยาเยน แปลว่า โดยเหตุมิใช่อย่างเดียว.
               บทว่า วิราคาย แปลว่า เพื่อคลายความกำหนัด.
               สองบทว่า โน สราคาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความกำหนัดด้วยราคะ.
               อธิบายว่า จริงอยู่ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว 
เพื่อประโยชน์แห่งการคลายความกำหนัดนั่นว่า สัตว์ทั้งหลาย
ได้สดับธรรมของเรานี้แล้ว จักคลายความกำหนัด คือจักไม่ยินดี
ในภพและโภคสมบัติทั้งปวง. ในบททั้งปวงก็มีนัยนั่น.
               ก็คำว่า วิสํโยาคาติ กิเลเสหิ วิสํยุชฺชนตฺถาย นี้ ที่มีอยู่ในบทว่า วิสํโยคาย เป็นต้นนี้ เป็นเพียงการกล่าวโดยนัยทางอ้อม.
บทว่า วิสํโยคาย ความว่า เพื่อปราศจากความประกอบด้วยกิเลสทั้งหลาย.
สองบทว่า โน สํโยคาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความประกอบ 
(ด้วยกิเลสทั้งหลาย).
               บทว่า อนุปาทานาย ความว่า เพื่อความไม่ถือมั่น.
               สองบทว่า โน สอุปาทานาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความยึดมั่น.
               หลายบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ ความว่า เมื่อธรรมชื่อนั้น (อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่อคายความกำหนัด) คุณ 
(ยังจักคิดเพื่อความกำหนัดอีกหรือ?).
               สองบทว่า สราคาย เจเตสฺสสิ ความว่า คุณยังจักคิด คือยังจักดำริ เพื่อเมถุนธรรมอันเป็นไปอยู่ พร้อมด้วยความกำหนัดหรือ? อธิบายว่า คุณ
จักยังพยายามเพื่อต้องการเมถุนธรรมนั่นหรือ? ในบททั้งปวงก็มีนัยนั่น.
               [อรรถาธิบายชื่อพระนิพพาน ๙ บท]               
               บททั้ง ๙ มีราควิราคะเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระ
นิพพานซึ่งเป็นโลกุตรธรรมที่ปราศจากวัฏฏะนั่นแล ตรัสไว้ซ้ำอีก. เพราะ
เหตุนั้น แม้เมื่อพระองค์ตรัสว่า ราควิราคาย ก็ดี มทนิมฺมทนาย ก็ดี บัณฑิต
พึงเห็นใจความอย่างนี้เท่านั้นว่า "เพื่อประโยชน์แก่พระนิพพาน".
               จริงอยู่ พระนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า 
"ธรรมเป็นที่สำรอกราคะ" เพราะเหตุว่าราคะมาถึง คือปรารภ สืบต่ออาศัยพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมปราศไป คือไม่มี.
    อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่สร่างเมา เพราะเหตุว่า ความ
เมาทั้งหลาย มีความเมาด้วยอำนาจมานะ และความเมาในบุรุษเป็นต้น มา
ถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมเป็นอันสร่างไปไม่เป็นความเมา คือสาบสูญไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่คลายความกระหาย
 เพราะเหตุว่า ความกระหายในกามแม้ทั้งปวง มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมถึงความคลายไป คือความพลัดตกไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่เพิกถอนอาลัย เพราะเหตุว่า อาลัยคือเบญจกามคุณ มาถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมถึงความเพิกถอนไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่ขาดเด็ดแห่งวัฏฏะ เพราะเหตุว่า วัฏฏะมี ๓ ภูมิ มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมขาดเด็ดไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา, ธรรมเป็นที่
บำราศราคะ ธรรมเป็นที่ดับ เพราะเหตุว่า ตัณหา มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว
 ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบำราศไป และย่อมดับไปโดยประการทั้งปวง.
               อนึ่ง พระนิพพานนั่น ทรงเรียกว่า นิพพาน เพราะเหตุ ว่า
ออกไป คือแล่นออกหลุดพ้น จากตัณหา ซึ่งได้โวหารว่า วานะ เพราะผูก
คือล่าม ได้แก่เย็บเชื่อมกำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ไว้ เพื่อความมีความเป็นสืบๆ ไป ฉะนี้แล.
               หลายบทว่า กามานํ ปหานํ อกฺขาตํ มีความว่า การละวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้แล้วมิใช่หรือ?
               สองบทว่า กามสญฺญานํปริญฺญา มีความว่า การกำหนดรู้
ความหมายในกามแม้ทั้งหมด มี ๓ อย่าง ด้วยอำนาจญาตปริญญา (กำหนดรู้
ด้วยการรู้) ตีรณปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา) และปหานปริญญา
 (กำหนดรู้ด้วยการเสียสละ) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
บทว่า กามปิปาสานํ มีความว่า การกำจัดความเป็นผู้ใคร่ เพื่อดื่มในกามทั้งหลาย หรือความอยากดื่มกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               บทว่า กามวิตกฺกานํ มีความว่า ความเพิกถอนวิตกทั้งหลายที่แอบอิงกาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               บทว่า กามปริฬาหานํ มีความว่า ความสงบราบแห่งความร้อนรุ่ม
ซึ่งเกิดขึ้น ด้วยอำนาจความกำหนัดที่ประกอบด้วยเบญจกามคุณ 
ได้แก่ ความกลัดกลุ้มภายใน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               โลกุตรมรรค เครื่องทำความสิ้นกิเลสแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้แล้วในสถาน ๕ เหล่านี้. แต่มรรคที่เจือกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ บัณฑิต
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วใน ๓ สถานแรกแห่งสถานทั้งหมด.
               คำว่า เนตํ อาวุโส เป็นต้น มีความว่า ดูก่อนผู้มีอายุ กรรมลามกนั่น
ของท่าน ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสแห่งชนทั้งหลายผู้ยังไม่เลื่อมใส
 คือเพื่อประโยชน์แก่ความเลื่อมใสของชนทั้งหลายผู้เห็นปานนั้นหรือ?
           บทว่า อถเขฺวตํ ดัดบทเป็น อถโข เอตํ.
               บาลีว่า อถ เขตํ ก็มี.
               บทว่า อญฺญถตฺตาย มีความว่า (กรรมลามกนั่นของท่าน) ย่อมเป็นไป เพื่อความเป็นโดยประการอื่น จากความเลื่อมใส คือเพื่อความเดือดร้อน. 
อธิบายว่า ย่อมทำความเดือดร้อนแก่ชนทั้งหลาย ผู้มีศรัทธาอันยังมิได้มา
ด้วยมรรคว่า เราทั้งหลายเลื่อมใสแล้วในพระธรรมวินัย ชื่อแม้เช่นนี้ ซึ่งมีพวกภิกษุผู้ปฏิบัติเลวทราม.
               ฝ่ายความเลื่อมใสของชนทั้งหลายผู้มีศรัทธามาแล้วด้วยมรรค เป็นของไม่หวั่นไหวด้วยเรื่องเช่นนี้ หรือด้วยเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ เหมือนภูเขา
สิเนรุ ไม่หวั่นไหวด้วยลมฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุสหายเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เพื่อความเป็นโดยประการอื่นแห่งชนบางพวก.
               [ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องพระสุทินน์เสพเมถุนธรรม]               
               ข้อว่า ภควโต เอตมตฺถํอาโรเจสุํ มีความว่า ภิกษุสหายเหล่านั้นได้กราบทูล คือได้แจ้งเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ก็แล เมื่อกราบทูล หา
ได้กราบทูล เพื่อปรารถนาจะให้ตนเป็นที่โปรดปรานไม่, หาได้ทูลเพื่อมุ่งจะทำความยุยงไม่, หาได้ทูล เพื่อต้องการประจานโทษ ของท่านผู้มีอายุนั้นไม่,
 หาได้ทูลเพื่อบอกโทษที่น่าตำหนิไม่, หมายใจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเนื้อความนี้แล้ว จักไม่ให้พระสุทินน์นี้ คงอยู่ในพระศาสนา จักให้ฉุดคร่า
เธอออกไปเสีย จึงได้ทูลก็หาไม่, อันที่จริง ได้ทูลด้วยทำในใจว่า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ครั้นทรงทราบความเสียหายนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในพระศาสนาแล้ว จักทรงบัญญัติสิกขาบท จักทรงตั้งเขตแดน คืออาชญาไว้.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิพระสุทินน์]               
          พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เอตสฺมึ นิทาเน เอตสฺมึ ปกรเณ นี้ต่อไปนี้ :-
               ความละเมิดอัชฌาจารของพระสุทินน์ พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า
 เป็นนิทานและเป็นปกรณ์ เพราะเป็นเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท. 
จริงอยู่ เหตุ ท่านเรียกว่า นิทานและปกรณ์ เพราะเป็นที่มอบให้ซึ่งผล
ของตน คือยังผลให้บ่าไป เหมือนแสดงว่า เชิญถือเอาผลนั้นเถิด และ
เพราะเหตุที่เริ่มกระทำ คือปรารภเพื่อจะทำผลนั้น หรือว่าแต่งผลนั้นทีเดียว.
               หลายบทว่า วิครหิ พุทฺโธ ภควา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงติ คือทรงตำหนิ (พระสุทินน์) นั้น เหมือนอย่างบุคคลผู้เลิศ เมื่อจะแสดง
คุณและโทษของชนทั้งหลายผู้สมควรแก่คุณและโทษ ก็ติและชม ฉะนั้น.
   จริงอยู่ เพราะทรงเห็นบุคคล ผู้ทำการล่วงละเมิดศีล ความคิดย่อมไม่เกิดขึ้น
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าผู้นี้เป็นคนมีชื่อเสียง มียศโดยชาติหรือโดยโคตร
 หรือโดยความเป็นบุตรของคนมีสกุล หรือโดยคัณฐะ (การร้อยกรอง) หรือ
โดยธุดงควัตร, เราสมควรที่จะรักษาบุคคลเช่นนี้ไว้ เพราะทรงเห็นบุคคลผู้มี
คุณมีศีลเป็นที่รัก จิตที่คิดจะปิดบังคุณของเขา จะได้เกิดขึ้นหามิได้เลย,
               อันที่จริง พระองค์ย่อมทรงติบุคคลซึ่งควรติเท่านั้น ย่อมทรงชม
บุคคลซึ่งควรชมเท่านั้น, และพระสุทินน์นี้เป็นผู้สมควรติ, เพราะเหตุนั้น 
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงดำรงอยู่ในลักษณะของท่านผู้คงที่ มีพระหฤทัยไม่
ลำเอียง ได้ทรงติพระสุทินน์นั้น ด้วยพระพุทธดำรัสว่า อนนุจฺฉวิยํ เป็นอาทิ.
               [อรรถาธิบายกรรมที่ไม่ควรแก่สมณะเป็นต้น]          
   ในคำว่า อนนุจฺฉวิยํ เป็นต้นนั้น มีการพรรณนาเนื้อความดังต่อไปนี้ :-
               ดูก่อนโมฆบุรุษ 
ผู้เป็นมนุษย์เปล่า กรรมที่เธอทำแล้วไม่สมควรแก่ธรรมอันทำความเป็นสมณะ หรือแก่มรรคผลนิพพานและศาสนา คือไม่เป็นไปตาม ได้แก่ไม่คล้อยไปตาม
ผิวคือเงา ได้แก่ความเป็นธรรมดีแห่งธรรมเหล่านั้น, โดยที่แท้ เป็นกรรม
เหินห่างจากธรรมเหล่านั้นทีเดียว, ก็เพราะความเป็นของไม่สมควรนั่นเอง กรรมนั้นจึงชื่อว่าเป็นของไม่เหมาะเจาะ คือไม่อนุโลมแก่ธรรมเหล่านั้น,
               โดยที่แท้ เป็นของแย้งกัน คือตั้งอยู่ในความเป็นข้าศึกกัน, เพราะความเป็นของไม่เหมาะเจาะนั่นแล กรรมนั้นจึงจัดเป็นกรรมไม่สมรูป คือเป็น
กรรมเข้ารูปกัน คล้ายกัน ถูกส่วนกันหามิได้, โดยที่แท้เป็นของไม่คล้ายกัน ก็ไม่ถูกส่วนกันทีเดียว, ก็เพราะความเป็นของไม่สมรูปกันนั่นแล กรรมนั้นจึงจัด
ว่าไม่ใช่ของสำหรับสมณะ คือไม่เป็นกรรมของพวกสมณะ, เพราะข้อที่ไม่เป็นของสำหรับสมณะ กรรมนั้นจึงจัดเป็นอกัปปิยะ,
               จริงอยู่ กรรมใดไม่ใช่กรรมของสมณะ, กรรมนั้น ย่อมไม่สมควรแก่สมณะเหล่านั้น, เพราะข้อที่กรรมเป็นอกัปปิยะ กรรมนั้นจึงจัดว่าไม่ควรทำ
, แท้จริง กรรมใดไม่สมควรแก่เหล่าสมณะ, สมณะทั้งหลายย่อมไม่ทำกรรมนั้น. แต่กรรมนี้นั้นอันเธอทำแล้ว,
               ดูก่อนโมฆบุรุษ เพราะเหตุนั้น กรรมอันไม่สมควร ไม่เหมาะเจาะ ไม่สมรูป ไม่ใช่กิจของสมณะ เป็นอกัปปิยะ ไม่ควรทำชื่อว่าอันเธอทำแล้ว.
               ข้อว่า กถํ หิ นาม มีความว่า เพราะเหตุชื่ออะไรเล่า? มีคำอธิบายว่า ท่านเล็งเห็นเหตุชื่ออะไรเล่า?
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความไม่มีเหตุ จึงตรัสคำว่า นนุ มยา โมฆปุริส เป็นต้นข้างหน้า.
               คำทั้งหมดมีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               กรรมลามกที่พระสุทินน์นั้นทำแล้ว เมื่อให้ผล ย่อมเป็นกรรม
มีวิบากเป็นทุกข์อย่างยิ่ง, เพราะเหตุนั้น บัดนี้ เมื่อจะทรงว่ากล่าวพระ
สุทินน์ด้วยพระหฤทัยประกอบด้วยความเอ็นดู ดุจมารดาบิดาผู้มีความ
เอ็นดู ว่ากล่าวบุตร ผู้ทำความผิดแล้ว ฉะนั้น จึงตรัสคำว่า 
วรนฺเต โมฆปุริส เป็นอาทิเพื่อแสดงวิบากนั้นแก่พระสุทินน์นั้น.
               ในคำว่า วรนฺเต โมฆปุริส เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               พิษของงูนั้นย่อมแล่นเร็ว คือไว เหตุนั้น งูนั้นจึงชื่อว่าอาสีวิสะ (มีพิษ
แล่นเร็ว) พิษของงูนั้น กล้า คือร้ายแรง เหตุนั้น งูนั้นจึงชื่อว่าโฆรวิสะ (มีพิษ
กล้า). แห่งอสรพิษ ที่มีพิษแล่นเร็ว มีพิษกล้านั้น. พึงเชื่อมบทนี้ว่า ปกฺขิตฺตํ ด้วย
บทว่า วรํ นี้. องคชาตอันเธอสอดเข้าไปในปากแห่งงูมีพิษ แล่นเร็วเช่นนี้
ประเสริฐกว่า. อธิบายว่า หากองคชาตพึงเป็นของอันเธอสอดเข้าไปไซร้, พึง
เป็นของประเสริฐกว่า คือความดี ความงาม ความชอบจะพึงมี.
               บทว่า น เตฺวว มีความว่า ไม่ประเสริฐเลย คือไม่เป็นความดีเลย ไม่เป็นความงามเลย ได้แก่ไม่เป็นความชอบทีเดียว.
               ในทุกๆ บทก็นัยนี้.
               บทว่า กณฺหสปฺปสฺส แปลว่า งูเห่าหม้อ.
               บทว่า      องฺคารกาสุยา       แปลว่า ในหลุมที่เต็มด้วยถ่านเพลิง  หรือ            ในกองถ่านเพลิง.
               บทว่า       อาทิตฺตาย       แปลว่า อันไฟติดทั่วแล้ว คือ       มีความสว่างเปลวไฟจับทั่วแล้ว.
 บทว่า สมฺปชฺชลิตาย แปลว่า รุ่งโรจน์ คือปล่อยเปลวไฟขึ้นโดยรอบด้าน.
               บทว่า สญฺโชติภูตาย แปลว่า มีแสงสว่าง. มีคำอธิบายว่า มีความเกิดขึ้นแห่งแสงสว่างเป็นอันเดียวกันจากเปลวไฟ ที่ลุกโพลงขึ้นโดยรอบด้าน.
               ในคำว่า ตํ กิสฺส เหตุ นี้ หากจะมีผู้ถาม ถามว่า คำที่เรากล่าวว่า ยังประเสริฐกว่า เป็นเหตุแห่งอะไร คือเพราะเหตุไหน?
               แก้ว่า เพราะพึงประสบความตาย. อธิบายว่า ผู้ใดพึงสอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากงูเป็นต้นนั้น, ผู้นั้นพึงประสบความตาย.
               หลายบทว่า อิโตนิทานญฺจ โข ฯเปฯ อุปปชฺเชยฺย มีความว่า 
บุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิด เข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้น พึงเข้าถึงนรกซึ่งมีการทำนี้เป็นเหตุ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงข้อที่กรรม
เป็นของมีโทษมากอย่างนั้น แล้วจึงทรงตำหนิพระสุทินน์นั้น หาได้ทรงตำหนิมุ่งให้พระสุทินน์นั้นประสบความทุกข์ไม่.
               หลายบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ ความว่า เมื่อกรรมอันนั้น คือเห็นปานนั้น
 แม้เป็นของมีโทษมากอย่างนี้ เธอ (ยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรมอันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ).
               ศัพท์ว่า ยํ ซึ่งมีอยู่ในคำว่า ยํ ตฺวํ นี้ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งความ
ดูถูก. บทว่า ตฺวํ เป็นไวพจน์แห่ง ตํ ศัพท์. ท่านกล่าวอธิบายไว้แม้ด้วย
บททั้งสองว่า ได้แก่ ความดูถูก คือความดูหมิ่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า       อสทฺธมฺมํ ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ คือ           คนชั้นต่ำ. อธิบายว่า อันคนชั้นต่ำเหล่านั้น พึงเสพ.
               บทว่า       คามธมฺมํ       ได้แก่ เรื่องของชาวบ้าน. มีคำอธิบาย ว่า       เป็นธรรมของพวกชนชาวบ้าน.
               บทว่า วสลธมฺมํ ความว่า เป็นมรรยาทของเหล่าชนผู้เป็นคนชั้นต่ำ
 เพราะอรรถว่า หลั่งออก คือปล่อยออกซึ่งบาปธรรม ได้แก่ของพวกบุรุษ
เลวทราม. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นเหตุไหลออกแห่งกิเลส ชื่อว่าวสลธรรม.
               บทว่า ทุฏฺฐุลฺลํ ได้แก่เป็นของชั่วและเป็นของหยาบ ซึ่งถูกกิเลสประทุษร้าย. มีคำอธิบายว่า เป็นของไม่สุขุม คือไม่ละเอียด.
               บทว่า โอทกนฺติกํ ความว่า เมถุนธรรม ชื่อว่ามีน้ำเป็นที่สุด
 เพราะอรรถว่า กิจเนื่องด้วยน้ำเป็นที่สุด คือ เป็นอวสานแห่งเมถุนธรรมนั้น. ซึ่งเมถุนธรรมอันมีน้ำเป็นที่สุดนั้น.
               บทว่า รหสฺสํ ได้แก่เป็นกรรมลับ คือเกิดขึ้นในโอกาสอันปิดบัง.
             จริงอยู่ ธรรมนี้ ใครๆ ไม่อาจจะทำให้เปิดเผย คือไม่อาจจะทำในวิสัย
ที่บุคคลเหล่าอื่นจะเห็นได้ เพราะเป็นกรรมน่าเกลียด. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นกรรมลับ.
               บทว่า ทฺวยทฺวยสมาปตฺตึ แปลว่า อันชนสองคนๆ พึงประพฤติ
รวมกัน. บาลีว่า ทฺวยํ ทฺวยํ สมาปตฺตึ ก็มี. อาจารย์บางพวกสวดกันว่า 
ทยทยสมาปตฺตึ ดังนี้บ้าง. คำนั้นไม่ดี. พึงประกอบบทว่า สมาปสฺสิสฺสสิ นั้น
 เข้าด้วยนามศัพท์ที่ท่านกล่าวไว้ในบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ นี้ว่า สมาปสฺสิสฺสสิ นาม (เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรม).
               [พระสุทินน์เป็นคนแรกในการเสพเมถุนธรรม]               
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายเอาพระศาสนา ตรัสว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ท่านเป็นตัวอย่าง เป็นหัวหน้าแห่งอกุศลธรรมทั้งหลายมากแล.
               มีคำอธิบายว่า ท่านนับว่าเป็นตัวอย่าง แห่งบุคคลทั้งหลาย หรืออกุศลธรรมทั้งหลายเป็นอันมากในพระศาสนานี้ เพราะทำก่อนบุคคลทั้งปวง
 นับว่าเป็นหัวหน้า คือเป็นผู้ให้ประตูได้แก่ชี้อุบาย เพราะเป็นผู้ดำเนินหนทางนั้นก่อนบุคคลทั้งปวง.
               จริงอยู่ ในคำว่า พหุนฺนํ โข เป็นต้นนี้ มีความประสงค์ดังนี้ว่า บุคคลเป็นอันมาก ได้เลิศนี้แล้ว สำเหนียกตามกิริยาของท่าน จักกระทำอกุศลธรรมมี
ประการต่างๆ มีเสพเมถุนธรรมกับนางลิงเป็นต้น.
               บทว่า        อเนกปริยาเยน คือ.     โดยเหตุมากมาย ซึ่งตรัสแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า อนนุจฺฉวิกํ นี้.
               [ผู้ไม่ตั้งอยู่ในสังวรเป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔]               
               หลายบทว่า ทุพฺภรตาย ฯเปฯ โกสชฺชสฺส อวณฺณํ ภาสิตฺวา มี
ความว่า ตรัสโทษ คือข้อที่น่าตำหนิ ได้แก่ข้อที่น่าติเตียนแห่งอสังวร
ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเสียหาย มีความเป็นผู้เลี้ยงยากเป็นต้น.
               จริงอยู่        ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมถึงความเป็นสภาพที่เลี้ยงยากและบำรุงยาก,
               เพราะเหตุนั้น        อสังวร ท่านจึงเรียกว่า       ความเป็นผู้เลี้ยงยากและความเป็นผู้บำรุงยาก.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมถึง
ความเป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔ และได้ปัจจัยทั้งหลาย แม้มีประมาณ
เท่าเขาสิเนรุแล้ว ก็ยังถึงความเป็นผู้ไม่สันโดษ, เพราะเหตุนั้น 
อสังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นผู้มักมากและความเป็นผู้ไม่สันโดษ.
อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมเป็นไป
เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ และเพื่อความหมักหมมด้วยกิเลส ทั้ง
ย่อมเป็นสภาพเป็นไปตามความเกียจคร้าน คือเป็นไป
เพื่อยังวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านแปดอย่างให้บริบูรณ์,๑-
               เพราะเหตุนั้น อสังวร ท่านจึงเรียกว่า ความคลุกคลีและความเกียจคร้าน.
๑- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๘๕/หน้า ๓๔๓
             [ผู้ตั้งอยู่ในสังวรไม่เป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔]    หลายบทว่า สุภร
ตาย ฯเปฯ วิริยารมฺภสฺส วณฺณํ ภาสิตฺวา มีความว่า ทรงสรรเสริญคุณ
แห่งสังวร อันเป็นที่ตั้งแห่งคุณทั้งหลาย มีความเป็นผู้เลี้ยงง่ายเป็นต้น.
               จริงอยู่ ตนของบุคคลผู้ละอสังวร แล้วตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นสภาพ
ที่เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย ย่อมถึงความเป็นผู้มักน้อย คือหมดความทะยานอยาก
ในปัจจัย ๔ และย่อมเป็นไปเพื่อความสันโดษ ๓ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งยถา
ลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษและยถาสารุปสันโดษ ในปัจจัยอย่างหนึ่งๆ
               เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นผู้เลี้ยงง่าย ความเป็นผู้บำรุงง่าย ความมักน้อยและความสันโดษ.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร ตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้ขัดเกลากิเลส และความเป็นผู้กำจัดกิเลสออก,
               เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความขัดเกลาและความกำจัด.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร แล้วตั้งอยู่ในสังวร ไม่เข้าไปใกล้
กายทุจริตและวจีทุจริต ซึ่งไม่ชวนให้เกิดความเลื่อมใส คือไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเลื่อมใส ไม่สงบ ไม่เรียบร้อยแห่งกายและวาจา และไม่เข้าไปใกล้อกุศล
วิตก ๓ ซึ่งไม่ชวนจิตให้เกิดความผ่องใส คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งความผ่องใส
แห่งจิต ไม่สงบ ไม่เรียบร้อย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริบูรณ์แห่งกายสุจริต 
วจีสุจริตและกุศลวิตก ๓ ซึ่งผิดแผกจากนั้นนั่นแล ที่ชวนให้เกิดความ
เลื่อมใส คือเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส สงบ เรียบร้อย,
เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นอาการให้เกิดความเลื่อมใส.
               [ผู้ตั้งอยู่ในสังวรเป็นผู้ไม่สั่งสมกิเลสทั้งปวง]               
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร ตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นไป
เพื่อปราศจากวัฏฏะ อันเกิดแต่ความไม่สั่งสมกิเลสทั้งปวง และเพื่อ
ความบริบูรณ์แห่งวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งวิริยารัมภะ ๘ อย่าง,๑-
               เพราะเหตุ นั้น      สังวร ท่านจึง     เรียกว่า ความไม่สั่งสม และ.     การปรารภความเพียร       ฉะนี้แล.
         ข้อว่า ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกํ ความว่า ทรงทำพระธรรมเทศนา
นอกท้องเรื่อง ซึ่งพ้นจากบาลี ไม่เนื่องด้วยสุตตันตะที่ปฏิสังยุตด้วยสังวร
ปหานะ อันสมควรและเหมาะแก่สิกขาบทที่จักทรงบัญญัติในบัดนี้
 ทั้งสมควรและเหมาะแก่สังวรที่ตรัสด้วยธรรมทั้งหลายมีความเป็นผู้เลี้ยง
ง่ายเป็นต้น แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในสถานที่นั้น.
      ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนผู้แต่งระเบียบดอกไม้ห้าสี
 เปรียบผู้จัดพวงแก้ว เมื่อจะทรงคุกคามบุคคลทั้งหลาย ผู้พอใจนักในอสังวร
 ประสงค์จะคัดค้าน ด้วยวัฏภัยซึ่งมีในสัมปรายภพ จะทรงแสดงโทษมีประการ
มากมาย จะทรงยังบุคคลผู้ใคร่ต่อการศึกษาตั้งอยู่ในสังวร บางพวกให้
ประดิษฐานอยู่ในพระอรหัต, บางพวกให้ตั้งอยู่ใน อนาคามิผล สกทาคามิผล
และโสดาปัตติผล, จะทรงยังบุคคลทั้งหลายแม้ผู้ปราศจากอุปนิสัยให้
ประดิษฐานในทางสวรรค์ จึงทรงทำธรรมเทศนามีขนาดแห่งทีฆนิกายบ้าง 
มีขนาดแห่งมัชฌิมนิกายบ้าง ในสถานทั้งหลายเช่นนี้. พระอุบาลีเถระหมาย
เอาธรรมเทศนานั้น จึงกล่าวคำนี้ว่า ทรงทำธรรมีกถาซึ่งสมควรแก่สิกขาบท
และ สังวรนั้น ซึ่งเหมาะแก่สิกขาบทและสังวรนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   บทว่า เตน หิ มีความว่า เพราะอัชฌาจารนั้นของภิกษุสุทินน์อันเป็นตัวเหตุ.
               ในบทว่า สิกฺขาปทํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ที่ชื่อว่า สิกขา เพราะอรรถว่า เป็นคุณชาตอันบุคคลพึงศึกษา. ที่ชื่อว่า บท เพราะอรรถว่า เป็นทางเป็นเครื่องอันบุคคลพึงถึง. ทางเป็นเครื่องอัน
บุคคลพึงถึงแห่งสิกขา ชื่อว่า สิกขาบท. ความว่า อุบายแห่งความได้สิกขา.
อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า เป็นต้นเค้า คือเป็นที่อาศัยเป็นที่พำนักแห่งสิกขา.
 คำว่า สิกขาบท นั่น เป็นชื่อแห่งความสำรวมจากเมถุน โดยเว้นจากเมถุน.
               จริงอยู่ เมถุนสังวร ท่านประสงค์เอาว่า สิกขาบท ในที่นี้ เพราะความเป็นทางแห่งธรรม คือ ศีล วิปัสสนา ฌาน และมรรค กล่าวคือสิกขาอื่นจาก
เมถุนสังวรนั้น ด้วยอำนาจแห่งเนื้อความดังกล่าวแล้ว. ก็แลเนื้อความนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในวิภังค์แห่งสิกขาบท.
อีกอย่างหนึ่ง แม้คำที่แสดงเนื้อความนั้น พึงทราบว่า "เป็นสิกขาบท"
จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ว่า บรรดาหมวดเหล่านั้น หมวดนาม หมวดบท หมวดภาษา หมวดพยัญชนะ อันใด, อันนั้นชื่อว่า สิกขาบท.
               อีกประการหนึ่ง เมื่อท่านกล่าวว่า "อนภิชฌา เป็นธรรมบท"
 เนื้อความย่อมมีว่า "อนภิชฌา เป็นส่วนธรรมอันหนึ่ง" ข้อนี้ฉันใด, 
แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น เมื่อท่านกล่าวว่า "สิกขาบท" จะพึงทราบ
เนื้อความว่า "ส่วนแห่งสิกขา คือประเทศอันหนึ่งแห่งสิกขา" ดังนี้ ก็ได้.
๑- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๘๖/หน้า ๓๔๕
               [ประโยชน์แห่งการบัญญัติสิกขาบท ๑๐ อย่าง]               
               หลายบทว่า ทส อตฺถวเส ปฏิจฺจ มีความว่า จักอาศัย 
คือมุ่งหมายปรารภอำนาจแห่งเหตุ คือประโยชน์เกื้อกูลพิเศษ 
๑๐ อย่างที่จะพึงได้ เพราะเหตุบัญญัติสิกขาบท. มีคำอธิบายว่า 
เล็งเห็นความสำเร็จประโยชน์พิเศษ ๑๐ อย่าง.
               บัดนี้      พระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงอำนาจประโยชน์          ๑๐ อย่างนั้น จึงตรัสคำว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย เป็นต้น.
               [อธิบายประโยชน์การบัญญัติสิกขาบท ๑๐ อย่าง]               
               บรรดาอำนาจประโยชน์สิบอย่างนั้น ที่ชื่อว่า ความเห็นชอบของสงฆ์ ได้แก่ข้อที่สงฆ์ยอมรับว่าดี. คือข้อที่สงฆ์รับพระดำรัสว่า "ดีละ พระเจ้าข้า!
" เหมือนในอนาคตสถานที่ว่า "ดีละ สมมติเทพเจ้า!"
               จริงอยู่ ภิกษุใดยอมรับพระดำรัสของพระตถาคตเจ้า, 
การยอมรับพระดำรัสนั้น ของ       ภิกษุนั้นย่อมเป็นไป.     เพื่อประโยชน์เกื้อกูล.     เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.
         เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเปิดเผยเนื้อความนี้ว่า
 เราจักแสดงโทษในความไม่ยอมรับ และอานิสงส์ในความยอมรับ คือ
ไม่กดขี่โดยพลการ จักบัญญัติ (สิกขาบท) เพื่อให้สงฆ์ยอมรับคำ
ของเราว่า ดีละ พระเจ้าข้า ดังนี้ จึงตรัสคำว่า "เพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์".
               บทว่า สงฺฆผาสุตาย คือเพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่ความอยู่เป็นสุข ด้วยความเป็นอยู่ร่วมกัน.
               หลายบทว่า ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย ความว่า บุคคล
ผู้ทุศีล ชื่อว่าบุคคลผู้เก้อยาก, ภิกษุเหล่าใด แม้อันภิกษุทั้งหลายจะ
ให้ถึงความเป็นผู้เก้อ ย่อมถึงได้โดยยาก, กำลังกระทำการละเมิด หรือ
กระทำแล้ว ย่อมไม่ละอาย, เพื่อประโยชน์แก่อันข่มภิกษุเหล่านั้น.
               จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น เมื่อสิกขาบทไม่มี 
จักเบียดเบียนสงฆ์ด้วยถ้อยคำว่า เรื่องอะไรที่พวกท่านเห็นมาแล้ว 
เรื่องอะไรที่พวกท่านได้ฟังมาแล้ว สิ่งอะไรที่พวกข้าพเจ้าทำแล้ว 
พวกท่านยกอาบัติไหนในเพราะวัตถุอะไร ขึ้นข่มพวกข้าพเจ้า,
 ก็เมื่อสิกขาบทมีอยู่ สงฆ์จักอ้างสิกขาบทแล้ว ข่มภิกษุ
พวกนั้นโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา.
  เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อข่มเหล่าบุคคลผู้เก้อยาก.
หลายบทว่า เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย คือเพื่อประโยชน์แก่
ความอยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล
เป็นที่รัก ไม่รู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ สิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษ
 ขีดคั่น เขตแดน พยายามอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งไตรสิกขา
 เมื่อมีความสงสัย ย่อมลำบาก ย่อมรำคาญ, แต่ครั้นรู้สิ่งที่ควรทำ และ
ไม่ควรทำ สิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษ ขีดคั่นเขตแดนแล้ว พยายามอยู่
เพื่อความบริบูรณ์แห่งไตรสิกขา ย่อมไม่ลำบาก ย่อมไม่รำคาญ.
               เพราะเหตุนั้น        การบัญญัติสิกขาบท จึง         เป็นไปเพื่อความอยู่ผาสุก.           ของพวกภิกษุนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ความข่มบุคคลผู้เก้อยากทั้งหลายนั้นนั่นแล เป็นความ
อยู่ผาสุกแห่งภิกษุนั้น. ด้วยว่า อุโบสถย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ ปวารณาย่อมดำรง
อยู่ไม่ได้ สังฆกรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปไม่ได้ ความสามัคคีย่อมมีไม่ได้ เพราะ
อาศัยเหล่าบุคคลผู้ทุศีล. ภิกษุทั้งหลายมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ได้ ย่อมไม่
สามารถประกอบตามซึ่งอุเทศ ปริปุจฉาและกรรมฐานเป็นต้น.
               ก็เมื่อเหล่าบุคคลผู้ทุศีลถูกข่มเสียแล้ว อุปัทวะแม้ทั้งหมดนี้หามีไม่, เมื่อนั้น พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักย่อมอยู่เป็นผาสุก.
               ในคำว่า "เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก" นี้ บัณฑิตพึงทราบอธิบายโดย ๒ นัย ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า "เพื่อป้องกันอาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปในปัจจุบัน" อธิบายว่า ทุกข์พิเศษมีการประหารด้วยฝ่ามือ ประหารด้วยท่อนไม้ ตัดมือตัดเท้า ความ
เสียชื่อเสียง ความเสื่อมยศและความเดือดร้อนเป็นต้น อันบุคคลผู้ตั้งอยู่ใน
ความไม่สังวร จะพึงถึงในอัตภาพนี้นั่นเทียว ชื่อว่า อาสวะอันเป็นไป
ในปัจจุบัน.      เพื่อป้องกัน คือ ปิดกั้นทางมาแห่งอาสวะอันเป็นไป        ในปัจจุบันเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า "เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปในสัมปรายภพ"
 มีความว่า ทุกข์พิเศษมีบาปกรรมที่ตนกระทำแล้วเป็นมูล อันบุคคล
ผู้ตั้งอยู่ในความไม่สังวร จะพึงถึงในนรกเป็นต้นในสัมปรายภพ 
ชื่อว่าอาสวะอันเป็นไปในสัมปรายภพ, เพื่อประโยชน์แก่การกำจัด.
               มีคำอธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่การระงับ คือเพื่อประโยชน์แก่การเข้าไปสงบอาสวะอันเป็นไปในสัมปรายภพเหล่านี้.
 ข้อว่า อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย มีความว่า เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติ มนุษย์ผู้
บัณฑิตทั้งหลาย แม้ไม่เลื่อมใส ได้ทราบสิกขาบทบัญญัติ หรือได้เห็นภิกษุ
ทั้งหลายปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติ ย่อมถึงความเลื่อมใสว่า ธรรม
เหล่าใดหนอ เป็นที่ตั้งความกำหนัด ความขัดเคือง และความลุ่มหลงของ
มหาชนในโลก, สมณศากยบุตรเหล่านี้ย่อมอยู่เหินห่างเว้นจากธรรมเหล่านั้น,
 พวกเธอทำกรรมที่ทำได้ยากหนอ ทำกิจที่หนักหนอ ดังนี้ เหมือนพราหมณ์ผู้
เป็นมิจฉาทิฏฐิรู้ไตรเทพ ได้เห็นคัมภีร์พระวินัยปิฎกแล้วเลื่อมใส ฉะนั้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย.
    ข้อว่า ปสนฺนานํ วา ภิยฺโยภาวาย มีความว่า กุลบุตรทั้งหลายแม้เลื่อมใสใน
พระศาสนา ได้ทราบสิกขาบทบัญญัติ หรือได้เห็นภิกษุทั้งหลายปฏิบัติ
สิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ย่อมเลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไปว่า โอ พระผู้เป็นเจ้า
เหล่าใด คอยเฝ้ารักษาวินัยสังวร ซึ่งมีอาหารครั้งเดียวตลอดชีวิต เป็นความ
ประพฤติประเสริฐ, พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้มีปกติทำกรรมที่ทำได้ยาก.
     ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปสนฺนานํ วา ภิยฺโยภาวาย.
               [พระสัทธรรม ๓ อย่าง]       
                       ข้อว่า สทฺธมฺมฏฐิติยา มีความว่า สัทธรรมมี ๓ อย่าง คือปริยัติสัทธรรม ๑ ปฏิปัตติสัทธรรม ๑ อธิคมสัทธรรม ๑.
               บรรดาสัทธรรม ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อว่าปริยัติสัทธรรม ได้แก่พุทธพจน์แม้ทั้งสิ้นรวมด้วยพระไตรปิฎก. ที่ชื่อว่าปฏิปัตติสัทธรรม ได้แก่ธรรมนี้คือ
ธุดงค์คุณ ๑๓ ขันธกวัตร ๑๔ มหาวัตร ๘๒ ศีล สมาธิ และวิปัสสนา. ที่ชื่อว่าอธิคมสัทธรรม ได้แก่ ธรรมนี้คือ อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ นิพพาน ๑.
    เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายย่อมเรียนสิกขาบทและวิภังค์แห่งสิกขาบทนั้น และพุทธวจนะอื่น เพื่อส่องความแห่งสิกขาบทและวิภังค์นั้น
 และเมื่อปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ย่อมบรรลุโลกุตรธรรมที่ตนจะพึงบำเพ็ญข้อปฏิบัติแล้วบรรลุได้ด้วยความปฏิบัติ, เพราะเหตุนั้น
 สัทธรรมแม้ทั้งสิ้นนั้น จึงชื่อว่าเป็นสภาพมีความตั้งอยู่ ยั่งยืน ด้วยสิกขาบทบัญญัติ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สทฺธมฺมฏฺฐิติยา.
               ข้อว่า วินยานุคฺคหาย มีความว่า
               จริงอยู่ เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติวินัยทั้ง ๔ อย่าง คือ สังวรวินัย ๑ ปหานวินัย ๑ สมถวินัย ๑ บัญญัติวินัย ๑ ย่อมเป็นอันทรงอนุเคราะห์ คืออุปถัมภ์
สนับสนุนไว้เป็นอันดี. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า วินยานุคฺคหาย.
               ก็บทเหล่านั้นทั้งหมดแล พึงประกอบกับคำนี้ว่า
 เราจักบัญญัติสิกขาบท. ประกอบบทต้นและบทสุดท้าย ในบรรดาบทเหล่านั้น ดังนี้ว่า เราจักบัญญัติสิกขาบท เพื่อความเห็นชอบของสงฆ์
 ฯลฯ เราจักบัญญัติสิกขาบท เพื่อความอนุเคราะห์วินัย.
         อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำสังขลิกน้อยอย่างนี้ว่า
 "ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้นเป็นความสำราญแห่งสงฆ์ ความสำราญ
แห่งสงฆ์อันใด อันนั้น เพื่อข่มบุคคลทั้งหลายผู้เก้อยาก" และโยชนา ๑๐ ครั้ง 
มีบทอันหนึ่งๆ เป็นเค้าอย่างนี้ว่า ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้นคือความ
สำราญแห่งสงฆ์ ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้น เพื่อข่มบุคคลทั้งหลาย
ผู้เก้อยาก ดังนี้ แล้วตรัสคำใดไว้ในคัมภีร์บริวารว่า
                                   ในปกรณ์ว่าด้วยอำนาจประโยชน์ มี
                  ผลร้อยหนึ่ง มีเหตุร้อยหนึ่ง มีภาษาสำหรับ
                         กล่าวสองร้อย และมีญาณสี่ร้อย๑-
 คำนั้นทั้งหมด พึงทราบในบทว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย เป็นต้นนี้. แต่คำนั้นแหละจักมีแจ้งให้คัมภีร์บริวารนั่นเอง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่พรรณนาในที่นี้.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๐๑๔/หน้า ๓๕๙
               [ทรงบัญญัติปฐมปาราชิกสิกขาบท]               
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งการบัญญัติสิกขาบท
ไว้อย่างนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชี้แจงกิจที่ภิกษุทั้งหลายควรทำในสิกขาบทนั้น จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้ขึ้นอย่างนี้.
               พระองค์ตรัสอธิบายไว้อย่างไร?
               ตรัสอธิบายไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึง
แสดงพึงเล่าเรียน พึงทรงจำและพึงบอกแก่บุคคลเหล่าอื่น ซึ่งสิกขาบทนี้
 คือที่มีอานิสงส์อันเราแสดงแล้วอย่างนี้ ในปาฏิโมกขุทเทสอย่างนี้.
               จริงอยู่ จ ศัพท์ในคำว่า เอวญฺจ ปน นี้ มีการนำเนื้อความเกินมาเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น เนื้อความนี้ย่อมเป็นอันท่านนำมาแล้ว.
               บัดนี้      พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง       คำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า สิกขาบทนี้ จึงตรัสว่า
อนึ่ง ภิกษุใดพึงเสพเมถุนธรรม, ภิกษุนี้ย่อมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
               เมื่อพระองค์ทรงบัญญัติปฐมปาราชิก ให้มั่นเข้าด้วยอำนาจมูลเฉทอย่างนั้นแล้ว เรื่องลิงตัวเมียแม้อื่นอีกก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่อนุบัญญัติ.
เพื่อแสดงเรื่องลิงตัวเมียที่เกิดขึ้นนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายจึงได้
กล่าวคำนี้ไว้ว่า ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว
แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.    
           อธิบายความแห่งคำนั้นว่า สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วอย่างนี้ แก่ภิกษุทั้งหลาย และเรื่องอื่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว.
               จบ กถาว่าด้วยปฐมบัญญัติ       

หน้า ๑/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสุทินน์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
ปฐมปาราชิกวรรณนา  [เรื่องพระสุทินน์]               ๑- เบื้องหน้าแต่เวรัญชกัณฑ์นี้ไป คำว่า เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร เป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างโดยมาก. เพราะฉะนั้น 
ข้าพเจ้าจะงดการพรรณนาตามลำดับบทเสีย จักพรรณนาแต่เฉพาะบทที่มีคำสมควรจะกล่าวเท่านั้น.
๑- ต่อจากนี้ไป ถ้าเป็นประโยคสนามหลวง เป็นสำนวนแปลของเจ้าประคุณ
๑- สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี ป.ธ. ๙) วัดมกุฏกษัตริยาราม
๑- เป็นส่วนมาก.
               [อรรถาธิบายชื่อบ้านและชื่อบุตรเศรษฐี]               บ้านที่ได้ชื่อว่า กลันทคาม ก็ด้วยอำนาจแห่งกระแตทั้งหลาย ที่เรียกว่า กลันทกะ.
               บทว่า กลนฺทปุตฺโต ความว่า (สุทินน์) เป็นบุตรของกลันทเศรษฐีผู้มี
ทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ซึ่งได้ชื่อด้วยอำนาจแห่งบ้าน ที่พระราชทานสมมติให้. ก็
เพราะมนุษย์แม้เหล่าอื่น ที่มีชื่อว่ากลันทะ มีอยู่ในบ้านตำบลนั้น, ฉะนั้น 
ท่านจึงกล่าวว่า กลันทบุตร แล้วกล่าวย้ำไว้อีกว่า เศรษฐีบุตร.
               บทว่า สมฺพหุเลหิ แปลว่า มากหลาย.
               บทว่า สหายเกหิ ความว่า ชนผู้ชื่อว่าสหาย เพราะอรรถว่าไปร่วมกัน
 คือเข้าถึงสุขและทุกข์ด้วยกัน. สหายนั่นเอง ชื่อว่า สหายกา. (สุทินน์กลันทบุตร ได้ไปเมืองไพศาลี) กับด้วยสหายเหล่านั้น.
               บทว่า สทฺธึ แปลว่า เป็นพวกเดียวกัน.
 สองบทว่า เกนจิเทว กรณีเยน ความว่า ด้วยกิจบางอย่างมี
ประกอบการซื้อขายสินค้า การให้กู้ยืม และการทวงหนี้เป็นต้น. 
อาจารย์บางพวก กล่าวว่า ด้วยกิจคือการเล่นกีฬาอันเป็นนักขัตฤกษ์ในเดือนกัตติกมาส (คือเดือน ๑๒) ดังนี้บ้าง.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงนครไพศาลี ในชุณหปักข์
 (ข้างขึ้น) แห่งเดือนกัตติกมาส. อนึ่ง ในนครไพศาลีนี้ มีการเล่นกีฬาอันเป็น
นักขัตฤกษ์ประจำเดือนกัตติกมาสอย่างโอฬาร, สุทินน์กลันทบุตรนั้น 
พึงทราบว่า ไป (ยังนครไพศาลี) เพื่อเล่นกีฬานักขัตฤกษ์นั้น.
               [สุทินน์กลันทบุตรไปเพื่อฟังธรรม]               
               บทว่า อทฺทสา โข ความว่า สุทินน์กลันทบุตรนั้น ได้เห็นอย่างไร?
               ได้เห็นอย่างนี้คือ :-
               ได้ยินว่า สุทินน์นั้นได้เห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเช้า เสร็จแล้ว
ห่มผ้าขาว มีมือถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ออกจากพระนครไปเพื่อ
เฝ้าพระพุทธเจ้าและเพื่อฟังธรรม จึงถามว่า พวกท่านจะไปที่ไหนกัน.
               มหาชนตอบว่า จะไปเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า และเพื่อฟังธรรม.
               สุทินน์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะไป แล้วไป
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมแล้ว ทรงแสดงธรรมอยู่
 ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดังเสียงพรหม. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลี
เถระจึงได้กล่าวไว้ว่า สุทินน์กลันทบุตรได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า 
ผู้อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่.
               บทว่า    ทิสฺวานสฺส    ตัดบทเป็น    ทิสฺวาน อสฺส      แปลว่า เพราะได้เห็น (ความรำพึงนี้ได้มี) แก่เขา.
               บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความรำพึงนี้ได้มีแก่สุทินน์ผู้เป็นภัพกุลบุตร (กุลบุตรผู้ควรตรัสรู้) ผู้อันปุพเพกตปุญญตาตักเตือนอยู่.
               ถามว่า ความรำพึงนี้ได้มีแล้วอย่างไร?
               แก้ว่า ได้มีว่า ไฉนหนอ เราจะพึงได้ฟังธรรมบ้าง.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยนฺนูน นั่นเป็นบทแสดงถึงความรำพึง.
               ได้ยินว่า สุทินน์นั้นได้เกิดความรำพึงขึ้นอย่างนี้ว่า บริษัทนี้มีจิตดิ่งลงเป็นหนึ่ง ฟังธรรมใดอยู่, โอหนอ แม้เราก็พึงฟังธรรมนั้น.
               หากจะมีอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ในคำว่า 
ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตรเข้าไปโดยทางบริษัทนั้น นี้เพราะเหตุไร ท่าน
พระอุบาลีเถระจึงไม่กล่าวไว้ว่า เข้าไปเฝ้าโดยทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ แต่กลับกล่าวว่า เข้าไปโดยทางที่บริษัทนั้นอยู่?
               เฉลยว่า จริงอยู่ บริษัทหมู่ใหญ่ มีเหล่าชนผู้หรูหรา นั่งห้อมล้อม
พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่แล้ว, สุทินน์กลันทบุตรนี้มาภายหลังเขา ไม่สามารถ
จะเข้าไปนั่งเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในบริษัทนั้นได้, แต่ก็สามารถจะเข้าไปนั่ง
ในที่แห่งหนึ่งใกล้บริษัทได้, เพราะฉะนั้น สุทินน์กลันทบุตรนั้นก็เข้าไปหา
บริษัทนั้นนั่นแล. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวว่า ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตรเข้าไปโดยทางที่บริษัทนั้นอยู่.๑-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐/หน้า ๑๙
               [สุทินน์กลันทบุตรได้ฟังธรรมแล้วคิดจะบวช]               
               หลายบทว่า เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส เอตทโหสิ ความว่า ความรำพึงนี้หาได้มีแก่สุทินน์กลันทบุตร ผู้สักว่านั่งแล้ว
เท่านั้นไม่, โดยที่แท้ ก็ความรำพึงนั้นได้มีแก่สุทินน์กลันทบุตรนั้น ผู้นั่งแล้ว ณ ที่สมควรข้างหนึ่งนั่นแล เพราะได้ฟังธรรมกถาหน่อยหนึ่ง
ซึ่งประกอบด้วยไตรสิกขา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า, เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ความรำพึงนี้ได้มีแก่สุทินน์
กลันทบุตรผู้นั่งอยู่แล้ว ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล.
               ถามว่า ความรำพึงนี้ได้มีแล้วอย่างไร?
               แก้ว่า    ได้มีว่า ด้วยอาการใดๆ แล     (เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว) ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำว่า ยถา เป็นต้นนั้น มีการกล่าวโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
               เราแลจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยอาการ
ใดๆ, ความรำพึงอย่างนี้ย่อมมีแก่เรา ผู้ใคร่ครวญอยู่ด้วยอาการนั้นๆ.
 พรหมจรรย์คือไตรสิกขา ชื่อว่าอันบุคคล (ผู้อยู่ครองเรือน) จะพึงประพฤติ
ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เพราะจะต้องทำมิให้ขาดเป็นท่อน แม้ตลอดวันหนึ่ง
 แล้วพึงให้ลุถึงจริมกจิต๑- (คือจิตที่เคลื่อนจากภพ) และชื่อว่าอันบุคคล (ผู้
ยังอยู่ครองเรือน) จะพึงประพฤติให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว เพราะจะต้องทำ
มิให้เศร้าหมอง    ด้วยมลทินคือกิเลสแม้ตลอดวันหนึ่ง แล้วพึงให้ลุถึง     จริมกจิต๑- (คือจิตที่เคลื่อนจากภพ).
               บทว่า สงฺขลิขิตํ ความว่า จะพึงปฏิบัติให้เป็นดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว คือให้มีส่วนเปรียบด้วยสังข์ที่ชำระล้างแล้ว.
               หลายบทว่า อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา ความว่า อันบุคคลผู้ยังอยู่
ในท่ามกลางแห่งเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
 ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว เป็นของทำไม่ได้ง่าย ไฉน
หนอ เราจะพึงปลงผมและหนวด ครองคือนุ่งห่มผ้ากาสาวะ เพราะเป็นของย้อม
แล้วด้วยรสแห่งน้ำฝาด อันเป็นของสมควรแก่บรรพชิตผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
               ก็เพราะกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้น ที่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลแก่เรือน ท่านเรียกว่า อคาริยะ ในบทว่า อนคาริยํ นี้. และ
กสิกรรมพาณิชยกรรมเป็นต้นนั้นย่อมไม่มีในบรรพชา เพราะเหตุนั้น 
บรรพชาบัณฑิตพึงรู้ว่า อนคาริยา. ซึ่งการบรรพชาที่ไม่มีเรือนนั้น.
               บทว่า ปพฺพเชยฺยํ แปลว่า พึงเข้าถึง.
๑- จริมกจิต หมายถึงจุติจต คือจิตเคลื่อนจากภพ หมายถึงจนดับชีวิต.
๑- ในฏีกาสารัตถทีปนี ๒/๔.
               [สุทินน์กลันทบุตรทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า]       
               หลายบทว่า อจิรวุฏฺฐิตาย ปริสาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ
               ความว่า    สุทินน์    เมื่อบริษัทยังไม่ลุกไป ก็ยังไม่ได้      ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุไร?
               เพราะในบริษัทนั้น ญาติสาโลหิต มิตรและอำมาตย์ของสุทินน์นั้น
 มีอยู่มาก, พวกญาติเป็นต้นเหล่านั้นจะพึงพูดว่า ท่านเป็นบุตรน้อยคนเดียว
ของมารดาบิดา, ท่านไม่ได้เพื่อจะบวช ดังนี้แล้วพึงจับแม้ที่แขนฉุดออกไป, 
ในเวลานั้น สุทินน์คิดว่า อันตรายจักมีแก่บรรพชา จึงลุกขึ้นเดินไปได้หน่อย
หนึ่ง พร้อมกับบริษัทนั่นเอง แล้วหวนกลับมาอีก ด้วยการอ้างเลิศแห่งสรีรกิจ
บางอย่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอบรรพชา.
               เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตร เมื่อบริษัทลุกไปแล้วไม่นานนักก็เข้าเฝ้า โดยทางที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าประทับอยู่, ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. สุทินน์กลันทบุตรนั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล้วแล ได้
กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอาการใดๆ ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วอันบุคคลผู้ยังอยู่
ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว เป็นของทำไม่ได้ง่าย, ข้าพระพุทธเจ้า
ปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสาวะ 
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต, ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระเจ้าข้า!๑-
               ก็เพราะจำเดิมแต่ราหุลกุมารบรรพชามา พระผู้มี
พระภาคเจ้าก็ไม่ทรงบวชให้บุตรผู้ที่มารดาบิดาไม่อนุญาต, เพราะฉะนั้น
จึงตรัสถามสุทินน์นั้นว่า ดูก่อนสุทินน์ ก็เธออันมารดาบิดา
อนุญาตให้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ?๑-
               เบื้องหน้าแต่พระพุทธดำรัสนี้ไป บัณฑิตพึงทราบเนื้อความไปตาม
แนวพระบาลีนั่นแล อย่างนี้ในบทว่า ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา๒- นี้. (สุทินน์กลันทบุตร
นั้น) ให้กรณียกิจนั้นเสร็จลง ด้วยการทอดทิ้งธุระนั่นเอง.
               จริงอยู่ น้ำใจของสุทินน์กลันทบุตรผู้มีฉันทะแรงกล้าในการ
บรรพชา หาได้น้อมไปในธุระกิจทั้งหลายมีประกอบการซื้อขายสินค้า 
การให้กู้ยืมและทวงหนี้เป็นต้นหรือในการเล่นกีฬานักขัตฤกษ์ไม่.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐/หน้า ๒๐
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๑/หน้า ๒๐
               [มารดาบิดาไม่อนุญาตให้สุทินน์บวช]               
               ก็ในบทว่า อมฺม ตาต นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
      สุทินน์กลันทบุตรเรียกมารดาว่า อมฺม แม่ (และ) เรียกบิดาว่า ตาต พ่อ.
               สองบทว่า      ตฺวํ    โขสิ     ตัดบทเป็น    ตฺวํ โข อสิ          แปลว่า (ลูกสุทินน์) เจ้าเท่านั้นแล เป็น...
               บทว่า       เอกปุตฺตโก       ความว่า เป็นบุตรคนเดียวแท้ๆ คือ     พี่ชายหรือน้องชายคนอื่นของเจ้าไม่มี.
               อนึ่ง ในบทว่า เอกปุตฺตโก นี้ เมื่อมารดาบิดาควรจะกล่าวว่า เอกปุตฺโต แต่กล่าวว่า เอกปุตฺตโก ก็ด้วยอำนาจความเอ็นดู.
               บทว่า ปิโย แปลว่า ผู้ให้เกิดปีติ.
               บทว่า มนาโป แปลว่า ผู้เจริญใจ.
               บทว่า       สุเขธิโต    แปลว่า ผู้รุ่งเรืองมาด้วยความสุข.         อธิบายว่า ผู้เจริญมาด้วยความสุข.
               บทว่า สุขปริหโฏ ความว่า ผู้อันเหล่าชนประคบประหงมมาด้วย
ความสุข คือตั้งแต่เวลาเกิดมาแล้ว ก็มีพี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายผลัดเปลี่ยน
ตักกันอุ้มทรงไว้ เล่นอยู่ด้วยสิ่งของเครื่องเล่นในเวลายังเป็นเด็กเล็กๆ 
มีม้าและรถเป็นต้น อันพี่เลี้ยงเป็นต้นให้บริโภคโภชนาหารที่มีรสอร่อยดี 
ชื่อว่าผู้อันเหล่าชนประคบประหงมมาด้วยความสุข.
               หลายบทว่า น ตฺวํ ตาต สุทินฺนกิญฺจิ ทุกฺขสฺส ชานาสิ ความว่า แนะ
ลูกสุทินน์ เจ้าย่อมไม่รู้ส่วนเสี้ยวแห่งทุกข์อะไรๆ แม้เพียงเล็กน้อยเลย. อีก
อย่างหนึ่ง อธิบายว่า เจ้าย่อมไม่ได้เสวยอะไรๆด้วยความทุกข์.คำว่า ทุกฺขสฺส นี้
 เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถตติยาวิภัตติ. ก็ความรู้เป็นไปในอรรถคือความเสวย.
อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เจ้าย่อมระลึกถึงทุกข์อะไรๆ ไม่ได้. คำว่า ทุกฺขสฺส นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. ก็ความรู้เป็นไปในอรรถคือความระลึก.
               แม้ในวิกัปป์ทั้งสอง พึงเห็นการลบวิภัตติที่เสมอกันแห่งบทเบื้องต้น
 ด้วยบทเบื้องปลายเสีย.  คำตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น ผู้ศึกษา       ควรทราบตามแนวคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
หลายบทว่า มรเณนปิ มยนฺเต อกามกา วินา ภวิสฺสาม ความว่า แม้ถ้าเมื่อเราทั้งสอง ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะพึงตายไซร้, แม้ด้วยความตายของเจ้านั้น เราทั้งสอง
ก็ไม่ต้องการ คือไม่ปรารถนา ชื่อว่าจักไม่ยอม เว้น (ให้เจ้าตาย) ตามความพอใจของตน. อธิบายว่า เราทั้งสองจักประสบความพลัดพรากจากเจ้าไม่ได้.
               หลายบทว่า กึ ปน มยํ ตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เหตุอะไรเล่าจักเป็นเหตุให้เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ (ออกบวชเป็นบรรพชิต).
               อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า กึ ปน มยํ ตํ นี้ พึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ก็เพราะเหตุไรเล่า เราทั้งสองจึงจักยอมอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่.
               บทว่า ตตฺเถว ความว่า (สุทินน์กลันทบุตรนั้นนอนลง) ในสถานที่ที่เขายืนอยู่ ซึ่งมารดาบิดาไม่อนุญาตให้เขาบวชนั้นนั่นเอง.
บทว่า อนนฺตรหิตาย ความว่า บนพื้นที่อันมิได้ลาดด้วยเครื่องปูลาดอะไรๆ.
   บทว่า ปริจาเรหิ ความว่า เจ้าจงให้พวกนักขับร้องนักเต้นรำและนักฟ้อน
เป็นต้น บำรุงบำเรอเฉพาะตนแล้ว จงให้อินทรีย์ (คือร่างกายทุกส่วน) เที่ยวไป
 คือให้สัญจรไปตามสบายร่วมกับสหายทั้งหลาย ในหมู่นักขับร้องเป็นต้นเหล่า
นั้น. อธิบายว่า เจ้าจงนำนักขับร้องเป็นต้น เข้ามาทางนี้และทางนี้เถิด.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริจาเรหิ ความว่า เจ้าจงให้พวก
นักขับร้องนักเต้นรำและนักฟ้อนเป็นต้น บำรุงบำเรอเฉพาะตนแล้ว 
จงเล่น คือจงเข้าไปสมาคม ได้แก่จงรื่นรมย์ร่วมกับสหายทั้งหลายเถิด. มีคำอธิบายไว้ว่า จงเล่นกีฬาเถิด ดังนี้บ้าง.
               สองบทว่า กาเมปริภุญฺชนฺโต ความว่า เจ้าจงบริโภคโภคทรัพย์ทั้งหลายร่วมกับบุตรและภรรยาของตนเถิด.
               สองบทว่า ปุญฺญานิ กโรนฺโต ความว่า เจ้าจงปรารถพระพุทธ์ 
พระธรรมและพระสงฆ์แล้ว บำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องชำระ
ทางสุคติให้บริสุทธิ์ด้วยดี มีการเพิ่มให้ทานเป็นต้นเถิด.
               สองบทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า สุทินน์กลันทบุตร เพื่อตัดความเกี่ยวข้องด้วยการพูดวาจา จึงได้งดการสนทนาปราศรัยเสีย.
               [สหายไปห้ามไม่ให้สุทินน์บวชไม่สำเร็จ]               
               คราวนั้น มารดาบิดาของสุทินน์ พูด (เล้าโลม) ถึง ๓ ครั้ง เมื่อไม่ได้แม้เพียงคำตอบ จึงสั่งให้เรียกพวกสหาย (ของเขา) มาแล้วสั่งว่า สุทินน์ผู้เป็น
สหายของพวกเธอนั่น มีความประสงค์จะบวช พวกเธอจงช่วยห้ามเขาด้วย. แม้สหายเหล่านั้นเข้าไปหาเขาแล้วก็ได้พูด (อ้อนวอน) ถึง ๓ ครั้ง แต่สุทินน์ก็ได้
นิ่งเงียบแม้ต่อ (หน้า) สหายเหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้
กล่าวไว้ว่า อถโข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส สหายกา ฯเปฯ ตุณฺหี อโหสิ.๑-
               [สหายไปขออนุญาตมารดาบิดาให้สุทินน์บวช]               
               ครั้งนั้น พวกสหายของสุทินน์นั้นได้มีความรำพึงดังนี้ว่า หากว่า สุทินน์ เมื่อไม่ได้บวช จักตาย, จักไม่มีคุณอะไร, แต่มารดาบิดาจักได้เห็นเขาผู้บวช
แล้วเป็นครั้งคราว, ถึงพวกเราจักได้เห็น, อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าการบวชนั่น เป็นภาระที่หนัก, ผู้บวชจะต้องถือบาตรเดินเที่ยวบิณฑบาตทุกวันๆ , พรหมจรรย์มีการ
นอนหนเดียว ฉันหนเดียว เป็นกิจที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง, และสุทินน์นี้เป็นผู้ละเอียดอ่อน เป็นชาติชนชาวเมือง, เขา เมื่อไม่สามารถจะประพฤติพรหมจรรย์
นั้นได้ ก็จักกลับมาที่เรือนนี้อีกทีเดียว, เอาเถิด พวกเราจักขอให้มารดาบิดาของเขาอนุญาตให้บวช. สหายเหล่านั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓/หน้า ๒๓-๒๔
               [มารดาบิดาอนุญาตให้สุทินน์บุตรชายบวช]               
               ฝ่ายมารดาบิดาก็ได้อนุญาตให้เขาบวช. เพราะเหตุนั้น 
ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า อถโข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส 
สหายกา เยน สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส มาตาปิตโร ฯเปฯ อนุญฺญาโตสิ 
มาตาปิตูหิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชาย.๑-
               บทว่า หฏฺโฐ แปลว่า ผู้ยินดีแล้ว.
               บทว่า อุทคฺโค แปลว่า ผู้มีกายและจิตฟูขึ้นด้วยอำนาจปีติ.
               บทว่า กติปาหํ แปลว่า สิ้นวันเล็กน้อย.
               สองบทว่า พลํ คาเหตฺวา ความว่า สุทินน์กลันทบุตรนั้น 
เมื่อบริโภคโภชนาหารที่สบาย และบริหารร่างกายด้วยกิจมีการอบและ
อาบน้ำเป็นต้น ให้เกิดกำลังกายแล้ว ไหว้มารดาบิดา ลาเครือญาติผู้มีหน้า
เต็มด้วยน้ำตา แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ ฯลฯ ได้
กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระพุทธเจ้าข้า!๒-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓/หน้า ๒๔
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๔/หน้า ๒๕
               [พระพุทธเจ้ารับสั่งภิกษุบวชให้สุทินน์กลันทบุตร]               
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง 
ผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ซึ่งยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้มาว่า ดูก่อนภิกษุ 
ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุทินน์บรรพชาและอุปสมบทเถิด.
ภิกษุรูปนั้นทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้สุทินน์
กลันทบุตรที่พระชินเจ้าทรงประทานเป็นสัทธิวิหาริก ให้บรรพชาและ
อุปสมบทแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า สุทินน์กลันท
บุตรได้รับบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.๑-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๔/หน้า ๒๕
               อนึ่ง ยกเว้นในอธิการว่าด้วยท่านสุทินน์ได้รับบรรพชาอุปสมบทนี้เสีย การบรรพชาและอุปสมบท พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้แล้ว
ในอรรถกถาทั้งปวง. ส่วนข้าพเจ้าจักกล่าว (บรรพชาและอุปสมบทนั้น) ในขันธกะด้วยอำนาจแห่งพระบาลีตามที่ตั้งไว้แล้วนั้นแล และหาใช่จักกล่าวแต่
บรรพชาและอุปสมบทในขันธกะอย่างเดียวเท่านั้นไม่ คำแม้อื่นใดที่ควรกล่าวในขันธกะก็ดี ในคัมภีร์บริวารก็ดี อันพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว
ในวิภังค์ ข้าพเจ้าจักกล่าวคำนั้นไว้ในที่นั้นๆ แลทั้งหมด. แท้จริง เมื่อข้าพเจ้ากล่าวตามที่อธิบายมาอย่างนี้ การพรรณนาย่อมเป็นอันข้าพเจ้าทำแล้วโดย
ลำดับแห่งพระบาลีทีเดียว. เพราะเหตุนั้น นักศึกษาทั้งหลายผู้มีความต้องการด้วยการวินิจฉัยนั้นๆ ตรวจดูวินัยสังวรรณนานี้ โดยลำดับ
พระบาลีนั้นแล ก็จักรู้การวินิจฉัยที่ยังเหลือได้ดี ฉะนี้แล.
               บทว่า อจิรูปสมฺปนฺโน คือท่านสุทินน์นั้นเป็นผู้อุปสมบทแล้วไม่นาน. มีคำอธิบายว่า โดยกาลไม่นานนัก แต่อุปสมบทมานั่นเอง.
               บทว่า เอวรูเป คือมีส่วนอย่างนี้ ได้แก่ มีชาติอย่างนี้.
               บทว่า ธุตคุเณ ได้แก่ คุณอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส.
               สองบทว่า สมาทาย วตฺตติ ความว่า (ท่านสุทินน์นั้น) สมาทานคือรับเอา ประพฤติ เที่ยวไป อยู่.
               สองบทว่า อารญฺญิโก โหติ ความว่า ห้ามเสนาสนะแดนบ้านเสียแล้ว เป็นผู้ชอบอยู่ป่าเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานอารัญญิกธุดงค์.
บทว่า ปิณฺฑปาติโก ความว่า ห้ามภัต ๑๔ อย่าง ด้วยการห้ามอติเรกลาภเสียแล้ว เป็นผู้ชอบเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานบิณฑปาติยธุดงค์.
               บทว่า ปํสุกูลิโก ความว่า ห้ามคฤหบดีจีวรเสียแล้ว เป็นผู้ชอบทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานปังสุกูลิกธุดงค์.
               บทว่า สปทานจาริโก      ความว่า ห้ามการเที่ยวโลเลเสียแล้ว เป็นผู้ชอบเที่ยวตามลำดับตรอกเป็นวัตร คือ
เข้าไปเพื่อภิกษาตามลำดับเรือน ด้วยอำนาจสมาทานสปทานจาริยธุดงค์.
               บทว่า       วชฺชิคามํ       ความว่า      (ท่านสุทินน์นั้นเข้าอาศัย) หมู่บ้านชาววัชชีหรือหมู่บ้านในแคว้นวัชชี.
               [ญาติของท่านสุทินน์ที่เมืองไพศาลีมีสมบัติมาก]               
               ในคำเป็นต้นว่า อฑฺฒา มหทฺธนา มีวินิจฉัยดังนี้ :-
            (ญาติทั้งหลายของเราในเมืองไพศาลี) ชื่อว่าเป็นผู้มั่งคั่ง เพราะมีเครื่องอุปโภคและอุปกรณ์แห่งเครื่องบริโภคมาก.
 มีคำอธิบายว่า จริงอยู่ เครื่องอุปโภคและอุปกรณ์แห่งเครื่องอุปโภค ของญาติเหล่านั้นๆ มีมาก คือมีหนาแน่น ทั้งเป็นวัตถุมีสาระ.
               ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์ที่ฝังไว้มาก.
               บทว่า      มหาโภโค      ชื่อว่าผู้มีโภคะมาก เพราะมีโภคะคือวัตถุที่เป็นเสบียง (สำหรับจ่าย) ประจำวันมาก.
               ชื่อว่า     ผู้มีทองและเงินมาก เพราะนอกจากเครื่องอุปโภคอย่างอื่น       ก็ยังมีทองและเงินนั่นแหละมากมาย.
               ชื่อว่า ผู้มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก เพราะอุปกรณ์แห่ง
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ อันเป็นเครื่องประดับ ซึ่งทำความปีติปราโมทย์ให้ มี
มากมาย. พึงทราบว่า เป็นผู้มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เพราะทรัพย์และ
ข้าวเปลือกอันแลกเปลี่ยนกันด้วยอำนาจการซื้อขาย มีจำนวนมาก.
 สองบทว่า เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ความว่า เก็บงำเสนาสนะแล้ว. อธิบายว่า จัดตั้งเสนาสนะนั้นไว้อย่างเรียบร้อย โดยประการที่เสนาสนะจักไม่เสียหาย.
               [ญาตินำภัตตาหารไปถวายท่านสุทินน์ ๖๐ ถาด]               
สองบทว่า      สฏฺฐิมตฺเต   ถาลิปาเก         ความว่า     (ญาติทั้งหลายของท่านสุทินน์นำภัตตาหารไปถวายท่านสุทินน์)
 มีประมาณ ๖๐ หม้อ โดยกำหนดแห่งการคำนวณ.
               ก็บรรดาภัต ๖๐ หม้อนี้ เฉพาะหม้อหนึ่งๆ จุภัตพอแก่ภิกษุ ๑๐ รูป ภัตแม้ทั้งหมดนั้น ภิกษุ ๖๐๐ รูปพอฉัน.
               ในสองบทว่า ภตฺตาภิหารํ อภิหรึสุ นี้ มีวิเคราะห์ดังนี้ :-
               อาหารที่ชื่อว่า อภิหาร เพราะอรรถว่า อันบุคคลนำไปเฉพาะ. นำอะไรไป? นำภัตไป. อภิหาร คือภัตนั่นเอง ชื่อภัตตาภิหาร. ชื่อภัตตาภิหารนั้น.
               บทว่า อภิหรึสุ ความว่า ญาติทั้งหลายนำภัตตาหารไปไว้เฉพาะหน้า. อธิบายว่า ถือเอาแล้ว ได้ไปยังสำนักของท่านพระสุทินน์นั้น.
               ถามว่า ภัตนั้นมีประมาณเท่าไร?
               แก้ว่า มี ๖๐ หม้อ. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ญาติทั้งหลายนำภัตตาหารมีประมาณ ๖๐ หม้อ ไปถวายท่านพระสุทินน์.๑-
               สองบทว่า ภิกฺขูนํ วิสฺสชฺเชตฺวา ความว่า ท่านพระสุทินน์นั้นมี
ความประสงค์จะเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอกด้วยตนเอง เพราะเป็นผู้ถือ
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างอุกฤษฏ์ จึงได้สละคือถวาย (ภัตตาหารมี
ประมาณ ๖๐ หม้อนั้น) เพื่อเป็นของฉันแก่ภิกษุทั้งหลาย. จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนี้
ใฝ่ใจว่า ภิกษุทั้งหลายจักได้ลาภ และเราก็จักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตแล้ว
จึงมา เพื่อประโยชน์นั้นนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ท่านพระสุทินน์นั้น เมื่อทำกิจ
ที่สมควรแก่การมาของตน จึงได้สละแก่ภิกษุทั้งหลาย ส่วนตนเองก็เข้าไป
บิณฑบาต. นางทาสีของพวกญาติ ชื่อญาติทาสี.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๕/หน้า ๒๖.
               [อธิบายเรื่องขนมบูดเน่า]                   บทว่า อาภิโทสิกํ ได้แก่ขนมกุมมาสที่เก็บไว้นาน คือล่วงไปได้คืนหนึ่งแล้ว เป็นของบูด.
               ในบทว่า อาภิโทสิกํ นั้น มีใจความเฉพาะบทดังต่อไปนี้ :-
               ขนมกุมมาส ที่ชื่อว่าอภิโทสะ เพราะอรรถว่า ถูกโทษคือ
ความบูดครอบงำ. อภิโทสะนั่นเอง ชื่ออาภิโทสิกะ. อีกอย่างหนึ่ง สัญญา 
คืออาภิโทสิกะนี้ เป็นสัญญา คือชื่อแห่งขนมกุมมาส ที่ล่วงไปได้คืน
หนึ่งแล้ว. ซึ่งขนมกุมมาส ชื่ออาภิโทสิกะนั้น.
               บทว่า กุมฺมาสํ ได้แก่ ขนมกุมมาส ที่เขาทำด้วยข้าวเหนียว.
สองบทว่า ฉฑฺเฑตุกามา โหติ ความว่า ขนมกุมมาสนั้นเป็นของไม่ควร
บริโภค โดยที่สุดแม้พวกทาสและกรรมกร กระทั่งถึงฝูงโค 
เพราะฉะนั้น นางทาสีจึงมีความมุ่งหมายจะเทขนมกุมมาสนั้น
ทิ้งเสียภายนอก ดุจเทหยากเยื่อทิ้ง ฉะนั้น.
               บทว่า สเจ ตํ ตัดบทเป็น สเจ เอตํ แปลว่า ถ้าของนั่น.
     พระสุทินน์เรียกทาสีของญาติว่า แนะน้องหญิง ด้วยอำนาจอริยโวหาร.
               บทว่า ฉฑฺฑนียธมฺมํ แปลว่า มีอันจะต้องทิ้งเป็นสภาพ. มีคำอธิบายไว้
ว่า แนะน้องหญิง ถ้าของนั่น มีอันจะต้องทิ้งในภายนอกเป็นธรรมดา คือ เป็น
ของที่เขาสละความหวงแหนแล้วไซร้ เธอจงเกลี่ยลงในบาตรของเรานี้เถิด.
               ถามว่า ก็บรรพชิตย่อมได้ เพื่อจะพูดอย่างนี้หรือ? ไม่เป็นวิญญัติ (การออกปากขอ) หรือปยุตตวาจา (วาจาพูดขอเกี่ยวด้วยปัจจัย) หรือ?
               แก้ว่า ไม่เป็น (ทั้งสองอย่าง).
               ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็น?
               แก้ว่า เพราะเป็นของที่เขาสละความหวงแหนแล้ว.
               จริงอยู่ จะพูดว่า ท่านจงให้ คือจงนำสิ่งของซึ่งมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดา คือเป็นของที่เขาสละความหวงแหนแล้ว ที่พวกเจ้าของไม่มีความ
เสียดายทั้งหมด มาเกลี่ยลงในบาตรนี้เถิด ดังนี้ก็ควร. จริงอย่างนั้น แม้ท่านพระรัฐบาลผู้ประพฤติอริยวงศ์อย่างดีเลิศ ก็ได้พูดว่า เธอจงเกลี่ยขนมกุมมาส
ซึ่งมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดาลงในบาตรของเรานี้เถิด. เพราะฉะนั้น ของสิ่งใดมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดาเห็นปานนี้ก็ดี ของสิ่งอื่นมีรากไม้ผลไม้และเภสัชใน
ป่าเป็นต้น อันไม่มีใครหวงแหนก็ดี ภิกษุควรให้นำสิ่งของนั้นทั้งหมด มาแล้วฉันได้ตามสบาย ไม่ควรจะรังเกียจ.
               [พระสุทินน์ออกบวชได้ ๘ ปี นางทาสีจำอวัยวะบางส่วนได้]            
                  บทว่า หตฺถานํ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอาเค้ามือทั้งสองของพระสุทินน์ผู้น้อมบาตรเข้าไปเพื่อรับภิกษา ตั้งแต่ข้อมือไป.
               บทว่า ปาทานํ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอาเค้าเท้าทั้งสอง จำเดิมแต่ชายผ้านุ่งไป.
               บทว่า สรสฺส ความว่า เมื่อพระสุทินน์ เปล่งวาจาว่า แนะน้องหญิง ถ้าของนั้น ดังนี้เป็นต้น นางทาสีของญาติก็จำสุ้มเสียง (ของท่าน) ได้.
 สองบทว่า นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอา คือจำได้. หมายความว่า กำหนดอาการที่ตนเคยสังเกตได้ในคราวที่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์.
               จริงอยู่ พระสุทินน์บวชในพรรษาที่ ๑๒ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
 ในพรรษาที่ ๒๐ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เข้าไปบิณฑบาตยังตระกูลญาติ
ตนเอง มีพรรษาได้ ๘ ตั้งแต่บวชมา. เพราะเหตุนั้น นางทาสีของญาติคนนั้น
 เห็นท่านแล้วจึงจำไม่ได้ แต่ถือเอาเค้า (นิมิต) ได้ด้วยประการฉะนี้.
               หลายบทว่า สุทินฺนสฺส มาตรํ เอตทโวจ ความว่า นางทาสีของญาติ
ไม่อาจจะพูดคำเป็นต้นว่า ท่านเจ้าขา ท่านหรือหนอคือพระสุทินน์ ผู้เป็นนาย
ของดิฉัน ดังนี้ กับบุตรชายผู้เป็นนาย (ของตน) ซึ่งเข้าบวชแล้วด้วยความ
เคารพยิ่ง จึงรีบกลับเข้าไปในเรือน แล้วได้แจ้งข่าวนี้กะมารดาของพระสุทินน์.
               ศัพท์ว่า ยคฺเฆ เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งคำบอกเล่า.
               ศัพท์ว่า เช ที่มีอยู่ในบทว่า สเจ เช สจฺจํ นี้ เป็นนิบาต 
ลงในอรรถแห่งคำร้องเรียก. ความจริง ชนทั้งหลายในประเทศนั้นย่อม
ร้องเรียกหญิงสาวใช้ ด้วยภาษาอย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น ในคำว่า สเจ เช สจฺจํ
 นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า แม่ทาสีผู้เจริญ ถ้าเจ้าพูดจริงไซร้.
               [พวกบรรพชิตไม่นั่งฉันในที่ไม่สมควรเหมือนคนขอทาน]              
                สองบทว่า    อญฺญตรํ กุฑฺฑูลํ     ความว่า ได้ยินว่า ในประเทศนั้นในเรือนของเหล่าชนผู้เป็นทานบดี มีหอฉันไว้, 
และในหอฉันนี้ เขาก็จัดปูอาสนะไว้ ทั้งได้จัดตั้งน้ำฉันและน้ำส้มไว้พร้อม.
 บรรพชิตทั้งหลาย ครั้นเที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว (กลับมา) นั่งฉันที่
หอฉันนั้น ถ้าปรารถนาจะรับเอาภัตตาหารที่มีอยู่ ก็รับเอาของที่ยังมีอยู่
 แม้ของเหล่าชนผู้เป็นทานบดีไป. เพราะฉะนั้น แม้สถานที่นั้น ควร
ทราบว่า ได้แก่พะไลฝาเรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง ใกล้หอฉันนี้ แห่งตระกูลใด
ตระกูลหนึ่ง.      จริงอยู่        บรรพชิตทั้งหลายย่อมไม่นั่งฉันในสถานที่ไม่สมควร เหมือนพวกมนุษย์กำพร้าฉะนั้นแล.
   ศัพท์ว่า    อตฺถิ ที่มีอยู่ในบทว่า อตฺถิ นาม ตาต นี้ เป็นนิบาต ลงในอรรถ
ว่า มีอยู่,    และ     ศัพท์ว่า นาม (ที่มีอยู่ในบทนั้น). ก็เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งคำถาม และในอรรถแห่งความดูหมิ่น.
               [บิดาติเตียนพระสุทินน์ว่าฉันขนมบูดเหมือนดื่มน้ำอมฤต]               
              จริงอยู่ ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า (บิดาพูดกับพระสุทินน์
ผู้เป็นบุตรชายว่า) พ่อสุทินน์ ทรัพย์ของเรา ก็มีอยู่มิใช่หรือ? พวกเราซึ่ง
มีเจ้าเป็นบุตรชาย ผู้มานั่งฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนอยู่ในที่เช่นนี้ 
จะพึงถูกประชาชนเขาตำหนิว่า เป็นผู้ไม่มีทรัพย์มิใช่หรือ?
               อนึ่ง พ่อสุทินน์ พ่อแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ มิใช่หรือ? 
พ่อแม่ซึ่งมีเจ้าเป็นบุตรชาย ผู้มานั่งฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนอยู่ในที่เช่นนี้ จะถูกประชาชนเขาตำหนิว่า ตายแล้วมิใช่หรือ?
               อนึ่ง พ่อสุทินน์ พ่อสำคัญว่า สมณคุณที่เจ้าได้เพราะอาศัยศาสนา
 มีอยู่ในภายในจิตใจของเจ้า ผู้ซึ่งแม้เจริญเติบโตมาด้วยรสแห่งอาหารที่ดี
 ยังไม่มีความรังเกียจฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืน ซึ่งเป็นของ
น่าสะอิดสะเอียนนี้ เหมือนดื่มน้ำอมฤตฉะนั้น.
               ก็คฤหบดีนั้น เพราะถูกความทุกข์บีบคั้น 
เมื่อไม่สามารถจะพูดแต่งใจความนั่นให้บริบูรณ์ได้ จึงได้กล่าวคำเพียงเท่านี้
ว่า มีอยู่หรือพ่อสุทินน์ ที่พ่อจักฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืน?
               ส่วนในคำว่า      อตฺถิ นาม ตาต เป็นต้นนี้      อาจารย์ผู้คิดอักษรทั้งหลาย ย่อมกล่าวลักษณะนี้ไว้ดังนี้คือ :-
               เมื่อมีอัตถิศัพท์อยู่ในที่ใกล้ (คืออยู่บทข้างหน้า) บัณฑิตทั้งหลาย
จึงได้แต่งคำอนาคตกาลนั่นไว้ดังนี้ว่า ปริภุญชิสฺสสิ ด้วยอำนาจเนื้อความ
ที่ไม่น่าเชื่อและไม่อาจเป็นได้.
               ใจความแห่งคำอนาคตกาลนั้น มีดังนี้คือ :-
               ข้อว่า อตฺถิ นาม ฯเปฯ ปริภุญฺชิสฺสสิ มีความหมายว่า พ่อไม่เชื่อ ทั้งไม่พอใจซึ่งการฉันนี้ แม้ที่เห็นประจักษ์อยู่.
               สองบทว่า ตตายํ อาภิโทสิโก ความว่า ขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนนี้ รูปได้มาแต่เรือนของคุณโยมนั้น. ปาฐะว่า ตโตยํ บ้าง. 
อาจารย์บางพวกสวดกันว่า ตทายํ บ้าง. คำนั้นไม่งาม.
               หลายบทว่า เยน สกปิตุ นิเวสนํ ความว่า นิเวศน์แห่งบิดาของตน
 คือแห่งบิดาของอาตมา มีอยู่โดยสถานที่ใด พระเถระเป็นผู้ว่าง่าย จึงได้ไป 
(ยังนิเวศน์นั้น) เพราะความรักในบิดานั่นเอง.
               บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า พระเถระถึงจะเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ก็ยังใฝ่ใจว่า ถ้าเราจักไม่รับแม้ภัตตาหาร
ครั้งเดียวไซร้, พวกญาติเหล่านั้นก็จักเสียใจอย่างยิ่ง จึงได้รับคำอาราธนา เพื่ออนุเคราะห์พวกญาติ.
               บทว่า โอปุญฺฉาเปตฺวา แปลว่า สั่งให้ไล้ทา.
               บทว่า ติโรกรณียํ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถตติยาวิภัตติ, ความว่า แวดวง (กองทรัพย์นั้น) ไว้ด้วยกำแพงม่าน.
               อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายย่อมทำรั้วกันไว้ภายนอก 
ด้วยกำแพงม่านนั่น เหตุนั้น กำแพงม่านนั้น จึงชื่อว่าติโรกรณียะ. ความก็ว่า จัดวงล้อมกำแพงม่านนั้นไว้โดยรอบ.
               ในสองบทว่า เอกํหิรญฺญสฺส นี้ กหาปณะ ควรทราบว่า เงิน.
               ชายไม่สูงนัก ไม่เตี้ยนัก ขนาดปานกลาง พึงทราบว่า บุรุษ.
               บทว่า เตน หิ ความว่า เพราะเหตุที่ลูกสุทินน์จักมาในวันนี้.
               ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ลงในอรรถสักว่าทำบทให้เต็ม.
  อีกนัยหนึ่ง ศัพท์ว่า เตน แม้นี้ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งคำเชื้อเชิญนั่นเอง.
               ในบทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ นี้ ท่านมิได้กล่าวคำเผดียงกาล
ไว้ในพระบาลี แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ก็ควรทราบอธิบายว่า เมื่อเขาเผดียงกาลแล้วนั่นแล พระเถระก็ได้ไป.
               [บิดามอบทรัพย์เพื่อให้พระสุทินน์สึก]               
               โยมบิดาของท่านสุทินน์ ชี้บอกกองทรัพย์ทั้ง ๒ กองว่า พ่อสุทินน์ นี้ทรัพย์มารดาของพ่อ เป็นต้น.
               บทว่า มาตุ ได้แก่ แห่งหญิงผู้ให้เกิด.
               บทว่า มตฺติกํ ได้แก่ ทรัพย์ที่มีมาแต่ฝ่ายมารดา. อธิบายว่า ทรัพย์ส่วนนี้คุณย่าได้มอบให้มารดาของเจ้าผู้มาสู่เรือนนี้.
               โยมบิดากล่าวตำหนิ (ทรัพย์เป็นสินเดิมฝ่ายหญิง) ด้วยคำว่า อิตฺถิกาย อิตฺถีธนํ ทรัพย์ชื่อว่าอันฝ่ายหญิงได้มา เพื่อประโยชน์แก่เครื่องจุณณ์
สำหรับอาบน้ำเป็นต้น อันเป็นเครื่องใช้สอยของหญิงนั่นเอง มีประมาณเท่าไร, เจ้าจงตรวจดูปริมาณทรัพย์ฝ่ายหญิงแม้นั้นก่อน.
 อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า พ่อสุทินน์ นี้ทรัพย์มารดาของพ่อ, ก็แลทรัพย์นั้นเป็นสินเดิมฝ่ายมารดา พ่อมิได้ให้ไว้ คือ เป็นของมารดาของเจ้าเท่านั้น.
               ในบทว่า อตฺถิกาย อิตฺถีธนํ นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์นี้นั้นรวบรวมมาได้ด้วยกสิกรรม (และ) พาณิชยกรรมก็หามิได้. อีกอย่างหนึ่ง
แล ทรัพย์อันฝ่ายหญิงพึงได้มา ชื่อว่า อิตถีธนํ (ทรัพย์ฝ่ายหญิง), คือว่า ทรัพย์ฝ่ายหญิงส่วนใด อันฝ่ายหญิงผู้ไปสู่ตระกูลสามีจากตระกูลญาติ พึงได้
มาเพื่อประโยชน์แก่เครื่องจุณณ์สำหรับอาบน้ำเป็นต้น, ทรัพย์ส่วนนั้นก็มีประมาณเท่านั้นก่อน.
               หลายบทว่า อญฺญํ เปตฺติกํอญฺญํ ปิตามหํ ความว่า ก็ทรัพย์ส่วนใดอันเป็นสินเดิมของบิดาและปู่ทั้งหลายของพ่อ, ทรัพย์ส่วนนั้นก็เป็นส่วนอื่น
ต่างหาก, ที่เขาฝังไว้และที่ประกอบการค้าขาย ก็มีอยู่มากมายนัก.
               อนึ่ง บทว่า ปิตามหํ ที่มีอยู่ในสองบทว่า เปตฺติกํ ปิตามหํ นี้ควรทราบว่าทำการลบปัจจัยแห่งตัทธิตเสีย. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า เปตามหํ ดังนี้ก็มี.
               หลายบทว่า ลพฺภา ตาต สุทินฺน หีนายาวตฺติตฺวา ความว่า พ่อสุทินน์ พ่อควรละเพศบรรพชิตอันสูงส่ง ซึ่งเป็นธงชัยแห่งพระอริยเจ้าเสีย แล้วกลับมา
เพื่อความเป็นคฤหัสถ์อันเป็นเพศที่ต่ำทรามจะพึงได้ใช้สอย คือจะได้เพื่อบริโภคโภคสมบัติ, พ่อกลัวต่อราชอาญา จึงบวชก็หามิได้ 
ทั้งถูกเจ้าหนี้ทวงก็หามิได้แล.
               ก็คำว่า ตาต ที่มีอยู่ในบทว่า ตาต น อุสฺสหามิ นี้ พระสุทินน์พูด (กับบิดา) เพราะความรักอาศัยเรือน หาใช่พูดเพราะเดชแห่งสมณะไม่.
               บทว่า น อุสฺสหามิ แปลว่า รูปไม่อาจ.
               บทว่า น วิสหามิ แปลว่า รูปไม่พร้อม คือ ไม่สามารถ.
 ก็คำว่า วเทยฺยาม โข ตํ คหปติ นี้ พระสุทินน์พูด (กับบิดา) เพราะเดชแห่งสมณะ.
               บทว่า นาติกฑฺเฒยฺยาสิ ความว่า ความรักอันใดของคุณโยมที่ตั้งอยู่แล้วในรูป, คุณโยมไม่ควรตัดรอนความรักอันนั้นออก ด้วยอำนาจความโกรธ.
 มีคำอธิบายว่า ถ้าว่าคุณโยมไม่พึงโกรธไซร้.
ลำดับนั้น ท่านเศรษฐี มีจิตเบิกบานด้วยนึกในใจว่า บุตรชายเหมือนมีความประสงค์จะทำการสงเคราะห์เรากระมัง จึงได้พูดว่า พูดเถิด พ่อสุทินน์!
   ศัพท์ว่า เตนหิ เป็นนิบาต มีรูปคล้ายวิภัตติ ลงในอรรถแห่งคำเชื้อเชิญ.
               บทว่า ตโตนิทานํ พึงทราบการอาเทศ ตํปฐมาวิภัตติ อย่างนี้คือ
 ตํนิทานํ ตํเหตุกํ (มีทรัพย์นั้นเป็นต้นเรื่อง, มีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ) เป็นโต. และในสมาสบทนั้นไม่มีการลบโตปัจจัย.
    ภัยมีราชภัยเป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า พระราชาทั้งหลายจะไม่พึงทรงริบโภคสมบัติของเราหรืออย่างไร ชื่อว่าภัยก็ดี. 
อธิบายว่า จิตสะดุ้ง.
               กายสั่นเทา (ก็ดี) กายสะทกสะท้าน (ก็ดี) เนื้อหัวใจป่วนปั่น (ก็ดี) ของบุคคลผู้ถูกพระราชาหรือโจรลงกรรมกรณ์ ด้วยสั่งบังคับว่า เองจงให้
ทรัพย์ดังนี้ ชื่อว่าฉัมภิตัตตะ (ความหวาดเสียว). ขนชูชัน คือมีปลายงอนขึ้นข้างบน ในเมื่อมีภัยเกิดขึ้น ชื่อว่าโลมหังสะ (ขนพองสยองเกล้า). 
การรักษาอย่างกวดขัน ทั้งภายในและภายนอก ทั้งกลางคืนและกลางวัน ชื่อว่าอารักขา (การเฝ้ารักษา).
               [บิดาสั่งภรรยาเก่าให้ประเล้าประโลมพระสุทินน์สึก]               
               สองบทว่า เตนหิ วธุ ความว่า เศรษฐีคฤหบดี ครั้นแสดงทรัพย์แล้ว ก็ไม่สามารถจะประเล้าประโลมบุตรชาย เพื่อให้สึกด้วยตนเองได้ จึงสำคัญว่า
 บัดนี้ เครื่องผูกพวกผู้ชายเช่นกับมาตุคามเป็นไม่มี จึงได้เรียกปุราณทุติยิกาภรรยา ของพระสุทินน์นั้นมาสั่งว่า เตนหิ วธุ เป็นต้น.
               บทว่า ปุราณทุติยิกํ ได้แก่ หญิงคนที่สองซึ่งเป็นคนดั้งเดิม คือหญิงคนที่สองในกาลก่อน คือในคราวที่ยังเป็นคฤหัสถ์. อธิบายว่า ได้แก่
ภรรยาผู้เคยเป็นหญิงผู้ร่วมในการเสพสุขที่อาศัยเรือนมาแล้ว.
  บทว่า เตนหิ ความว่า เพราะเหตุที่ไม่มีเครื่องผูก (อย่างอื่น) เช่นกับมาตุคาม.
               สองบทว่า ปาเทสุ คเหตฺวา ความว่า ภรรยาเก่าได้จับเท้าทั้งสอง (ของท่านสุทินน์). บทว่า ปาเทสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. 
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ภรรยาเก่าได้จับพระสุทินน์นั้นที่เท้าทั้งสอง.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ภรรยาเก่าจึงได้กล่าวกะพระสุทินน์ 
อย่างนี้ว่า ข้าแต่ลูกนาย นางเทพอัปสร (ผู้เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์) เหล่านั้น ชื่อเช่นไร?๑-
               แก้ว่า เพราะได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น หมู่ชนผู้ไม่รู้จักคุณแห่งบรรพชา ครั้นเห็นขัตติยกุมารบ้าง พราหมณกุมารบ้าง เศรษฐีบุตรบ้าง
 มากมาย ซึ่งพากันละมหาสมบัติแล้วออกบวช จึงสนทนากันขึ้นว่า เพราะเหตุไร ขัตติยกุมารเป็นต้นเหล่านั้นจึงออกบวช.
               คราวนั้น ชนเหล่าอื่นก็พูดกันว่า ขัตติยกุมารเป็นต้นเหล่านั้นออกบวช เพราะเหตุแห่งนางเทพอัปสรทั้งหลายผู้เป็นเทพนาฏกา.
               ถ้อยคำนั้นเป็นอันชนเหล่านั้นได้ให้แผ่กระจายไปแล้ว.
      ภรรยาเก่าของท่านสุทินน์นี้ได้ถือเอาถ้อยคำนั้น จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
               พระเถระ เมื่อจะคัดค้านถ้อยคำของภรรยาเก่านั้น จึงได้กล่าวว่า น โข อหํ ภคินิ เป็นต้น แปลว่า น้องหญิง
 ฉันไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางเทพอัปสรเลย.๑-
               บทว่า สมุทาจรติ ความว่า ย่อมเรียก คือย่อมกล่าว.
               หลายบทว่า ตตฺเถว มุจฺฉิตา ปปตา ความว่า ภรรยาเก่าเห็นท่านสุทินน์นั้นเรียกตนด้วยวาทะน้องหญิง จึงคิดอยู่ในใจว่า บัดนี้ ท่านสุทินน์นี้
ไม่ต้องการเรา, ได้สำคัญเราผู้เป็นภรรยาจริงๆ เหมือนเด็กหญิงผู้นอนอยู่ในท้องมารดาเดียวกันกับตน ก็เกิดความโศกเป็นกำลัง 
แล้วสลบล้มลงฟุบอยู่ในที่ตรงนั้นนั่นเอง.
               หลายบทว่า มา โน วิเห€ยิตฺถ ความว่า ท่านสุทินน์กล่าวกะโยมบิดาว่า คุณโยม อย่าชี้บอกทรัพย์และส่งมาตุคามมาเบียดเบียนรูปเลย, 
จริงอยู่ วาจานั่นทำความลำบากให้แก่พวกบรรพชิต.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๖/หน้า ๓๐.
             [มารดาขอร้องให้พระสุทินน์เพาะพืชพันธุ์ไว้]               
               มารดาของท่านสุทินน์ ได้เชื้อเชิญท่านสุทินน์ไว้ในความอภิรมย์ด้วย.
 ความว่า ถ้าเช่นนั้น ดังนี้ ที่มีอยู่ในบทนี้ว่า พ่อสุทินน์ ถ้าเช่นนั้น พ่อจงให้
พืชพันธุ์ไว้บ้าง คือมารดาได้พูดว่า ถ้าพ่อยังยินดีจะประพฤติพรหมจรรย์ไซร้,
 ขอพ่อจงประพฤติ นั่ง ปรินิพพานอยู่บนอากาศเถิด, แต่ว่า พ่อจงให้
บุตรชายคนหนึ่งผู้จะเป็นพืชพันธุ์สำหรับดำรงสกุลของเราไว้.
               หลายบทว่า มา โน อปุตฺตกํ สาปเตยฺยํ ลิจฺาฉวโยอติหราเปสุํ 
ความว่า มารดาของท่านสุทินน์พูดว่า เพราะเหตุที่พวกเราอยู่ในรัชสมัย
แห่งเจ้าลิจฉวีผู้เป็นคณราชย์, โดยกาลล่วงลับไปแห่งบิดาของพ่อ เจ้าลิจฉวี
เหล่านั้นจะสั่งให้ริบทรัพย์มฤดกนี้ คือทรัพย์สมบัติของพวกเรา ซึ่งมีมากมาย
อย่างนี้ อันหาบุตรมิได้ คือที่เว้นจากบุตร ผู้จะรักษาทรัพย์ของตระกูลไว้ 
นำไปสู่ภายในพระราชวังของพระองค์เสีย, ฉะนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
อย่าได้สั่งให้ริบคือจงอย่าสั่งให้ริบทรัพย์สมบัตินั้นไปเลย.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านสุทินน์จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า คุณโยมแม่ เฉพาะเรื่องนี้แล รูปอาจทำได้?
               แก้ว่า ได้ยินว่า ท่านสุทินน์นั้นคิดว่า เราเท่านั้นจักเป็นเจ้าของทรัพย์มฤดกของมารดาเป็นต้นเหล่านั้น คนอื่นย่อมไม่มี, มารดาเป็นต้นแม้เหล่านั้น
ก็จักตามผูกพันเราเป็นนิตย์ เพื่อต้องการให้รักษาทรัพย์มฤดก, เพราะเหตุนั้น เราจักไม่ได้เพื่อเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย บำเพ็ญสมณธรรม, 
ส่วนท่านเหล่านี้ ครั้นได้บุตรชายแล้วก็จักงดเว้น (การตามผูกพันเรา), ต่อแต่นั้น เราก็จักได้บำเพ็ญสมณธรรมตามสบาย, เมื่อ 
(ท่าน) เล็งเห็นนัยนี้อยู่ จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
               [สตรีมีระดูหยุดก็ตั้งครรภ์] 
               คำว่า ปุปฺผํ นี้เป็นชื่อแห่งโลหิตที่เกิดขึ้นในเวลาที่มาตุคามมีระดู.
               จริงอยู่ ในเวลาที่มาตุคามมีระดู ต่อมมีสีแดงตั้งขึ้นในสถานที่ๆ 
ตั้งครรภ์ (ในมดลูก) แล้วเจริญขึ้นถึง ๗ วันก็สลายไป. โลหิตก็ไหลออกจากต่อม
เลือดที่สลายไปแล้วนั้น. คำว่า ปุปฺผํ นั่นเป็นชื่อแห่งโลหิตนั้น.
               อนึ่ง โลหิตนั้นเป็นของมีกำลัง ยังไหลออกอยู่มากเพียงใด, 
ปฏิสนธิ (ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์) แม้ที่บิดาให้ไว้แล้ว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้เพียงนั้น
, คือย่อมไหลออกพร้อมกับโทษ (มลทินแห่งโลหิต) นั่นเอง, ก็เมื่อโทษ (มลทิน
แห่งโลหิต) ไหลออกแล้ว ปฏิสนธิ (ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์) ที่บิดาให้ไว้แล้วในวัตถุ (รังไข่) ที่บริสุทธิ์ ก็ตั้งขึ้นได้โดยเร็วพลัน.
               สองบทว่า ปุปฺผํสา อุปฺปชฺชติ ความว่า ต่อมเลือดเกิดขึ้นแก่ภรรยาเก่าของท่านสุทินน์นั้นแล้ว.
               พึงทราบการลบบทสังโยค พร้อมกับการลบ อ อักษร๑- เสีย.
               หลายบทว่า ปุราณทุติยิกาย พาหายํ คเหตฺวา ความว่า ท่านพระสุทินน์จับภรรยาเก่านั้นที่แขนทั้งสองนั้น.
               สองบทว่า อปฺปญฺญตฺเต สิกฺขาปเท ความว่า เพราะปฐมปาราชิกสิกขาบทยังมิได้ทรงตั้งไว้.
๑- บทว่า ปุปผํสา นี้ ตัดบทเป็น ปุปฺผํ อสสา ลบ อ อักษรตัวต้น
๑- และลบ สฺ ที่เป็นตัวสะกดเสีย จึงสนธิกันเข้าเป็น ปุปฺผํสา.