Translate

05 สิงหาคม 2567

สิกขาบทวิภังค์. อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติ อย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่าง
ใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม
 นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด. 
 [๒๖] บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่
ถูกทำลายแล้ว 
ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา 
ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้
อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็น ผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์ พร้อม
เพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะนี้ 
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
 [๒๗] บทว่า สิกขา ได้แก่สิกขา ๓ ประการคือ อธิสีลสิขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา บรรดาสิกขา ๓ ประการเหล่านั้น อธิสีลสิกขานี้ 
ชื่อว่า สิกขา ที่ทรงประสงค์ใน อรรถนี้. 
 [๒๘] ชื่อว่า สาชีพ          อธิบายว่า สิกขาบทใด ที่              พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ไว้            สิกขาบท นั้น 
ชื่อว่า สาชีพ ภิกษุศึกษาในสาชีพนั้น เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า ถึงพร้อมซึ่งสาชีพ. 
 [๒๙] คำว่า ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพล
ให้แจ้ง ทรงอธิบายไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย การทำความเป็นผู้ทุรพล
ให้แจ้ง และสิกขาไม่เป็นอันบอกคืนก็มี ภิกษุทั้งหลาย การทำความเป็น
ผู้ทุรพลให้แจ้ง และสิกขาเป็นอันบอกคืนก็มี.
                   ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
               อรรถาธิบายสิกขาบทวิภังค์ปฐมปาราชิก               
               บัดนี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนาเนื้อความวิภังค์แห่งสิกขาบทต่อไป.
               ในคำว่า    โย ปนาติ โย ยาทิโส เป็นต้น ที่       พระผู้มีพระภาคเจ้า.    ตรัสไว้        มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               สองบทว่า โย ปน เป็นบทที่ควรจำแนก. 
บทเป็นต้นว่า โย ยาทิโส เป็นบทจำแนกแห่ง
บทว่า โย ปน นั้น. ก็ในสองบทว่า โย ปน นี้ 
ศัพท์ว่า ปน สักว่าเป็นนิบาต, 
บทว่า โย เป็นบทบอกเนื้อความ, และ
บทว่า โย นั้น แสดงบุคคลโดยไม่กะตัว, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า 
เมื่อจะทรงแสดงอรรถแห่งบทว่า โย นั้น จึงตรัสเฉพาะ โย ศัพท์ ซึ่งแสดง
บุคคลโดยไม่กะตัว. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบเนื้อความใน
บทว่า โย ปน นี้อย่างนี้.
               บทว่า โย ปน มีคำอธิบายว่า โยโกจิ
 แปลว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง. ก็บุคคลที่ชื่อว่า ผู้ใดผู้หนึ่งนั้น 
ย่อมปรากฏด้วยอาการอันหนึ่ง ในเพศ ความประกอบ ชาติ ชื่อ โคตร ศีล ธรรมเครื่องอยู่ โคจรและวัย แน่แท้,
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศประเภทนั้น
 เพื่อให้รู้จักบุคคลนั้นโดยอาการอย่างนั้น จึงตรัสคำว่า ยาทิโส เป็นต้น.
               ในคำว่า ยาทิโส เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า ยาทิโส มีความว่า ว่าด้วยอำนาจเพศ
 จะเป็นบุคคลเช่นใดหรือเช่นนั้นก็ตามที คือจะเป็นคนสูงหรือคนเตี้ย 
คนดำหรือคนขาว หรือคนมีผิวเหลือง คนผอมหรือคนอ้วนก็ตามที.
               บทว่า ยถายุตฺโต 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจความประกอบจะเป็นคนประกอบด้วยการงานเช่นใด
เช่นหนึ่งก็ตามที คือจะเป็นคนประกอบด้วยนวกรรม หรือ
จะประกอบด้วยอุเทศ หรือจะประกอบด้วยธุระในที่อยู่ก็ตามที.
               บทว่า ยถาชจฺโจ 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจชาติ จะเป็นคนมีชาติอย่างใด หรือ
เป็นคนมีชาติอย่างนั้นก็ตามที คือจะเป็นกษัตริย์ หรือ
เป็นพราหมณ์ หรือเป็นแพศย์ เป็นศูทรก็ตามที.
               บทว่า ยถานาโม 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจชื่อ จะเป็นคนมีชื่ออย่างใด หรือมีชื่ออย่างนั้นก็ตามที คือชื่อว่าพุทธรักขิต หรือชื่อธรรมรักขิต หรือชื่อสังฆรักขิตก็ตามที.
               บทว่า ยถาโคตฺโต 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจโคตร จะเป็นผู้มีโคตรอย่างใดหรือ
มีโคตรอย่างนั้น หรือว่าด้วยโคตรเช่นใดเช่นหนึ่งก็ตามที คือจะเป็น
กัจจานโคตร หรือวาเสฏฐโคตร หรือโกสิยโคตรก็ตามที.
               บทว่า ยถาสีโล 
มีความว่า ในปกติทั้งหลายจะเป็นผู้มีอย่างใด 
เป็นปกติหรือว่าเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นปกติก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรม
เป็นปกติ หรือมีอุเทศเป็นปกติ หรือมีธุระในที่อยู่เป็นปกติ ก็ตามที.
               บทว่า ยถาวิหารี 
มีความว่า แม้ในธรรมเครื่องอยู่ทั้งหลาย จะเป็นผู้มีอย่างใดเป็นเครื่องอยู่ หรือ
ว่าเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นเครื่องอยู่ก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรมเป็นเครื่องอยู่
 หรือมีอุเทศเป็นเครื่องอยู่ หรือว่ามีธุระในที่อยู่ เป็นเครื่องอยู่ก็ตามที.
               บทว่า ยถาโคจโร 
มีความว่า ถึงในโคจรทั้งหลายเล่า จะเป็นผู้มีอย่างใดเป็นโคจรหรือว่ามี
อย่างนั้นเป็นโคจรก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรมเป็นโคจรหรือมีอุเทศเป็นโคจร หรือมีธุระในที่อยู่เป็นโคจรก็ตามที.
               ส่วนในบทว่า เถโร วา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               จะเป็นผู้ใดหรือว่าเป็นผู้นั้น ในบรรดาผู้เจริญโดยวัยเป็นต้นก็ตามที.
   คืออธิบายว่า จะเป็นพระเถระ เพราะมีพรรษาครบสิบ หรือว่าเป็นผู้ใหม่ 
เพราะมีพรรษาหย่อนห้า หรือว่าจะเป็นผู้ปานกลาง เพราะมีพรรษาเกินกว่าห้า
ก็ตามที. โดยที่แท้ บุคคลนั้นทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ในอรรถนี้ว่า โย ปน.
               [อรรถาธิบายความหมายแห่งภิกษุศัพท์เป็นต้น]               
               ในภิกขุนิเทศ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ผู้ใดย่อมขอ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่าผู้ขอ. อธิบายว่า จะได้ก็ตาม ไม่ได้
ก็ตาม ย่อมขอด้วยวิธีขออย่างประเสริฐ. ชื่อว่าผู้อาศัยการเที่ยวขอ เพราะเป็น
ผู้อาศัยการเที่ยวขอ ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงอาศัยแล้ว.
               จริงอยู่ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งละกองโภคะน้อยหรือมาก 
ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน, บุคคลผู้นั้น 
ชื่อว่าอาศัยการเที่ยวขอ เพราะละการเลี้ยงชีวิตโดยกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้นเสีย ยอมรับถือเพศนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ.
     อีกอย่างหนึ่ง แม้ฉันภัตในหาบอยู่ ในท่ามกลางวิหาร ก็ชื่อว่าอาศัย การเที่ยวขอ เพราะมีความเป็นอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภิกษุ.อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอาศัยการเที่ยวขอ เพราะเป็นผู้เกิดอุตสาหะในบรรพชา อาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภิกษุ       ผู้ใดย่อมทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะทำค่าผัสสะและสีให้เสียไป เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว.
               บรรดาการทำค่าให้เสียไปเป็นต้นนั้น 
พึงทราบการทำค่าให้เสียไป เพราะตัดด้วยศัสตรา.
               จริงอยู่ ผืนผ้าแม้มีราคาตั้งพันที่เขาเอามีดตัดให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้ว ย่อมมีราคาเสียไป คือมีค่าไม่ถึงแม้ครึ่งหนึ่งจากราคาเดิม. 
พึงทราบการทำผัสสะให้เสียไป เพราะเย็บด้วยด้าย.
               แท้จริง ผืนผ้าแม้ที่มีสัมผัสเป็นสุขที่ถูกเย็บด้วยด้ายแล้ว ย่อมมีผัสสะเสียไป คือถึงความเป็นผ้าที่มีผัสสะแข็งหยาบ. 
พึงทราบการทำสีให้เสียไป เพราะหม่นหมองด้วยสนิมเข็มเป็นต้น.
               แท้จริง ผืนผ้าแม้ที่บริสุทธิ์ดีตั้งแต่ทำการด้วยเข็ม
ไปแล้ว ย่อมมีสีเสียไป คือย่อมละสีเดิมไป เพราะสนิมเข็ม และ
เพราะน้ำที่เป็นมลทินอันเกิดจากเหงื่อมือ และเพราะการย้อมและทำกัปปะ
ในที่สุด. ผู้ใดชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะทรงผืนผ้าที่ถูก
ทำลายด้วยอาการ ๓ อย่าง ดังอธิบายมาแล้วนั้น เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า ภิกษุ.
     อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใด ชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะสักว่าทรงผ้ากาสาวะทั้งหลาย ซึ่งไม่เหมือนกับผ้าของคฤหัสถ์ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่าภิกษุ.
               บทว่า สมญฺญาย ความว่า โดยบัญญัติ คือโดยโวหาร.
               จริงอยู่ บุคคลบางคนย่อมปรากฏว่าเป็นภิกษุ โดยสมัญญาเท่านั้น.
               จริงอย่างนั้น ในกิจนิมนต์เป็นต้น มนุษย์ทั้งหลาย
 เมื่อนับจำนวนภิกษุอยู่ นับเอากระทั่งพวกสามเณรเข้าด้วยแล้ว
 พูดว่าภิกษุจำนวนร้อยรูป, ภิกษุจำนวนพันรูป.
               บทว่า ปฏิญฺญาย คือ โดยความปฏิญญาของตนเอง.
     จริงอยู่ บุคคลบางคนย่อมปรากฏว่าเป็นภิกษุ แม้โดยความปฏิญญา.
               พึงทราบความปฏิญญาว่า เป็นภิกษุนั้นเกิดมีได้ดังในประโยคเป็นต้นอย่างนี้ว่า ถามว่า ในที่นี้ เป็นใคร?
               ตอบว่า คุณ ข้าพเจ้าเอง เป็นภิกษุ. ก็ความปฏิญญานี้เป็นความปฏิญญาที่ชอบธรรม ซึ่งพระอานนทเถระได้กล่าวไว้แล้ว.
               อนึ่ง โดยส่วนแห่งราตรี แม้พวกภิกษุผู้ทุศีล เดินสวนทางมา
 เมื่อถูกถามว่า ในที่นี้เป็นใคร? ก็ตอบว่า พวกข้าพเจ้าเป็นภิกษุ ดังนี้
 เพื่อประโยชน์แก่ปฏิญญาที่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นความจริง.
               บทว่า เอหิภิกฺขุ 
ความว่า ผู้ถึงความเป็นภิกษุ คืออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ด้วยเพียงพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด ชื่อว่าภิกษุ.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็น
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยเพื่อเป็นเอหิภิกษุ จึงทรงเหยียด
พระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งมีสีดุจทอง ออกจากระหว่างบังสุกุลจีวรอันมีสี
แดง เปล่งพระสุรเสียงกังวานดังเสียงพรหม ตรัสเรียกว่า เธอจงมาเป็น
ภิกษุเถิด, จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
               พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง
 เพศคฤหัสถ์ (ของผู้เพ่งอุปสมบทนั้น) อันตรธานไป, บรรพชาและอุปสมบท
ก็สำเร็จ, ผู้นั้นเป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ คือนุ่ง (ผ้าอันตรวาสก) 
ผืนหนึ่ง ห่ม (ผ้าอุตราสงค์) ผืนหนึ่ง พาด (ผ้าสังฆาฏิ) ไว้บนจะงอยบ่า
ผืนหนึ่ง มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย.
               ภิกษุนั้นท่านกำหนดเฉพาะด้วยบริขาร ๘ ที่สวมสอดเข้าที่ร่างกาย
               อันพระโบราณาจารย์กล่าวได้อย่างนี้ว่า
                                   บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร
                         มีดน้อย เข็ม และผ้ารัดประคดเอว เป็น ๘
                         ทั้งผ้ากรองน้ำ ย่อมควรแก่ภิกษุผู้ประกอบ
                         ความเพียร
               เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เหมือนพระเถระตั้งร้อยพรรษา
 มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ
 ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว.
               จริงอยู่ ครั้งปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้กุลบุตรอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทานั่นแล ในกาลชั่วระยะหนึ่ง. และภิกษุผู้อุปสมบทด้วย
วิธีอย่างนี้ มีจำนวน ๑,๓๔๑ รูป.
               คืออย่างไร? คือมีจำนวนดังนี้ :-
               พระปัญจวัคคิยเถระ ๕ ยสกุลบุตร ๑ สหายผู้เป็นบริวารของท่าน ๕๔ ภัททวัคคีย์ ๓๐ ปุราณชฏิล ๑,๐๐๐ ปริพาชกรวมกับพระอัครสาวกทั้งสอง
 ๒๕๐ พระอังคุลิมาลเถระ ๑ (รวมเป็น ๑,๓๔๑ รูป)
               สมจริงดังคำที่พระอรรถกถาจารย์ กล่าวไว้ในอรรถกถาว่า
                                   ภิกษุ ๑,๓๐๐ รูป และเหล่าอื่นอีก
                         ๔๐ รูป ทั้งพระเถระผู้มีปัญญาอีก ๑ รูป,
                         ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ท่านกล่าวว่า เป็น
                         เอหิภิกขุ.
 ภิกษุเหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุจำพวกเดียวก็หามิได้, แม้เหล่าอื่นก็ยังมีอีกมาก.
    คืออย่างไร? คือมีจำนวนเป็นต้นอย่างนี้ว่า เสลพราหมณ์ทั้งบริวารมีจำนวน ๓๐๐ พระมหากัปปินทั้งบริวารมีจำนวน ๑,๐๐๐ กุลบุตรชาวเมือง
กบิลพัสดุ์มีจำนวน ๑๐,๐๐๐ พวกปารายนิกพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้แสวงหาที่พึ่งในภพข้างหน้า) มีจำนวน ๑๖,๐๐๐ (รวม ๒๗,๓๐๐ รูป). แต่ภิกษุเหล่านั้น
 พระอรรถกถาจารย์มิได้กล่าวไว้ เพราะท่านพระอุบาลีเถระมิได้แสดงไว้ในบาลีพระวินัยปิฎก. ภิกษุเหล่านี้ พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ ก็เพราะท่าน
พระอุบาลีเถระแสดงไว้ในบาลีพระวินัยปิฎกนั้นแล้ว.
               (พระอรรถกถาจารย์กล่าวคำไว้ในอรรถกถา) ว่า
                         ภิกษุทั้งหมดแม้เหล่านี้ คือ ๒๗,๐๐๐ รูป
               และ ๓๐๐ รูป, ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ท่านกล่าว
               ว่า เป็นเอหิภิกขุ.
               [วิธีอุปสมบทมี ๘ อย่าง]       
        หลายบทว่า ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปนฺโน มีความว่า ผู้อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ซึ่งลั่นวาจากล่าว ๓ ครั้ง โดยนัยเป็นต้นว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ.
               จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า อุปสัมปทามี ๘ อย่าง คือ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑
 สรณคมนอุปสัมปทา ๑ โอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา ๑ ปัญหา
พยากรณอุปสัมปทา ๑ ครุธัมมปฏิคคหณอุปสัมปทา ๑ ทูเตนอุปสัมปทา ๑ 
อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา ๑ ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ๑.
               [อรรถาธิบายอุปสัมปทา ๘ อย่าง]               
              ในอุปสัมปทา ๘ อย่างนั้น เอหิภิกขุอุปสัมปทาและ
สรณคมนอุปสัมปทา ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้วแล.
               ที่ชื่อว่า โอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่พระมหากัสสปเถระ ด้วยการรับโอวาทนี้ว่า
               เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นผู้ปาน
กลาง อย่างแรงกล้า, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ กัสสป! เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วย
กุศล, เราเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้นทั้งหมด ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ รวบรวมไว้ทั้งหมดด้วยใจ, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึง
ศึกษาอย่างนี้ว่า ก็สติที่เป็นไปในกายของเราซึ่งประกอบด้วยความสำราญ จักไม่ละเราเสีย, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป!๑-
๑- สํ. นิทาน. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๒๔. บาลีเดิมเป็น กายคตาสติ น วิชหิสฺสติ ไม่มี มํ ศัพท์.
               ที่ชื่อว่า            ปัญหาพยากรณอุปสัมปทา ได้แก่       อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่โสปากสามเณร.
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามปัญหาเนื่องด้วยอสุภ ๑๐ กะโสปากสามเณร ผู้จงกรมตามเสด็จอยู่ในบุพพารามว่า โสปากะ! ธรรมเหล่านี้คือ
 อุทธุมาตกสัญญาก็ดี รูปสัญญาก็ดี มีอรรถต่างๆ กัน มีพยัญชนะต่างๆ กัน หรือมีอรรถอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น?
              โสปากสามเณรนั้นทูลแก้ปัญหาเหล่านั้นได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการแก่เธอ แล้ว
ตรัสถามว่า เธอได้กี่พรรษาละ        โสปากะ?      สามเณรทูลว่า      ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หม่อมฉันได้ ๗ พรรษา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระหฤทัยอันโสปากสามเณรให้ยินดีว่า 
โสปากะ เธอแก้ปัญหาทัดเทียมกับสัพพัญญุตญาณของเรา แล้ว
จึงทรงอนุญาตให้อุปสมบท. นี้ชื่อว่า ปัญหาพยากรณอุปสัมปทา.
               ที่ชื่อว่า ครุธัมมปฏิคคหณอุปสัมปทา๒- ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่พระนางมหาปชาบดี ด้วยการรับครุธรรม ๘.
               ที่ชื่อว่า ทูเตน อุปสัมปทา๓- ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรง
อนุญาตแก่นางอัฒกาสีคณิกา.
               ที่ชื่อว่า อัฏฐวาจิกา อุปสัมปทา๔- ได้แก่
อุปสัมปทาของนางภิกษุณีด้วยกรรม ๒ พวกนี้ คือ      ญัตติจตุตถกรรมฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ญัตติจตุตถกรรม่ฝ่ายภิกษุสงฆ์.
               ที่ชื่อว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา๕- ได้แก่
อุปสัมปทาของภิกษุทั้งหลายในทุกวันนี้.
               มีคำกล่าวอธิบายว่า ผู้ที่อุปสมบทแล้วในบรรดาอุปสัมปทา 
๘ อย่างเหล่านี้ ด้วยอุปสัมปทานี้ ที่ทรงอนุญาตแล้วอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เราอนุญาตซึ่งบรรพชา อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้.๖-
๒- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๑๖/หน้า ๓๒๓-๓๒๙.
๓- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๙๕/หน้า ๓๖๕-๓๖๗.
๔- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๗๓-๕๘๐/หน้า ๓๕๔-๓๕๙.
๕- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๔๒/หน้า ๑๙๑.
๖- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๓๔/หน้า ๔๑.
               บทว่า เจริญ ได้แก่ ไม่ทราม.
               จริงอยู่ เสขบุคคลทั้งหลายมีกัลยาณปุถุชนเป็นต้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ ย่อมถึงความนับว่า ภิกษุผู้เจริญ เพราะประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
 วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันเจริญ.
               บทว่า สาโร มีความว่า เสขกัลยาณปุถุชนนั้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้มีสาระ เพราะประกอบด้วยสาระทั้งหลาย มีศีลสาระเป็นต้นเหล่านั้นนั่นเอง
 เปรียบเหมือนผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียวฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพเท่านั้น พึงทราบว่า เป็นผู้มีสาระ เพราะเป็นผู้ปราศจากกระพี้คือกิเลส.
               บทว่า เสกฺโข มีความว่า พระอริยบุคคล ๗ จำพวก กับทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมศึกษาสิกขาบท ๓ เพราะเหตุนั้น จึงจัดเป็นเสกขบุคคล. ในเสกข
บุคคลเหล่านั้น คนใดคนหนึ่งพึงทราบว่า เป็นภิกขุเสกขะ. ที่ชื่อว่าอเสกขบุคคล เพราะไม่ต้องศึกษา. พระขีณาสพ ท่านเรียกว่า อเสกขบุคคล เพราะ
ล่วงเสกขธรรมเสีย ตั้งอยู่ในผลเลิศ ไม่มีสิกขาที่จะต้องศึกษาให้ยิ่งกว่านั้น.
               สองบทว่า สมคฺเคน สงฺเฆน มีความว่า ด้วยสงฆ์ ชื่อว่าเข้าถึงความ
เป็นผู้พร้อมเพรียงกันในกรรมอันหนึ่ง เพราะภิกษุผู้เข้ากรรมในกรรมที่จะพึงทำด้วยสงฆ์ปัญจวรรค โดยปริยายอย่างต่ำที่สุด ได้มาครบจำนวน เพราะได้
นำฉันทะของพวกภิกษุผู้ควรฉันทะมาแล้ว และ          เพราะพวกภิกษุผู้อยู่พร้อมหน้ากันไม่คัดค้าน.
               บทว่า ญตฺติจตุตฺเถน 
มีความว่า อันจะพึงทำด้วยอนุสาวนา ๓ ครั้ง ญัตติ ๑ ครั้ง.
               บทว่า กมฺเมน คือ วินัยกรรมอันชอบธรรม.
               บทว่า อกุปฺเปน ความว่า เข้าถึงความเป็นกรรมอันใครๆ พึงให้กำเริบไม่ได้ คืออันใครๆ พึงคัดค้านไม่ได้ เพราะถึงพร้อมด้วยวัตถุสมบัติ ญัตติสมบัติ
 อนุสาวนาสมบัติ สีมาสมบัติ และปริสสมบัติ.
               บทว่า ฐานารเหน คือควรแก่เหตุ ได้แก่ควรแก่สัตถุศาสนา.
               ชื่อว่า อุปสัมบัน คือมาถึง อธิบายว่า บรรลุภาวะอันสูงสุด. อันความเป็นภิกษุเป็นภาวะอันสูง. จริงอยู่ บุคคลนั้น ท่านเรียกว่า อุปสัมบัน เพราะมาถึง
ความเป็นภิกษุนั้น ด้วยกรรมตามที่กล่าวแล้ว.
               ก็ในอธิการนี้มาแต่ญัตติจตุตถกรรมอย่างเดียวเท่านั้น. แต่
ในที่นี้ควรนำสังฆกรรมทั้ง ๔ มากล่าวไว้โดยพิสดาร. คำนั้นทั้งหมดท่าน
กล่าวแล้วในอรรถกถาทั้งหลาย. และสังฆกรรมเหล่านั้นคือ อปโลกนกรรม
 ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม บัณฑิตพึงเรียงไว้
ตามลำดับ แล้วชักบาลีมากล่าวโดยพิสดาร จากคัมภีร์
ขันธกะและกัมมวิภังค์ในที่สุดแห่งคัมภีร์บริวาร.
               ข้าพเจ้าจักพรรณนาสังฆกรรมเหล่านั้นในกัมมวิภังค์ 
ในที่สุดแห่งคัมภีร์บริวารนั่นแล. เพราะว่า เมื่อมีการพรรณนาอย่างนั้น 
ปฐมปาราชิกวรรณนาจักไม่เป็นการหนักไป. และการพรรณนาพระบาลี
ตามที่ตั้งไว้ ก็จักเป็นวรรณนาที่รู้กันได้ง่าย. ทั้งฐานะเหล่านั้น จักเป็นของ
ไม่สูญเสีย. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะทำการพรรณนาไปตามบทเท่านั้น.
               บทว่า ตตฺร 
มีความว่า บรรดาภิกษุทั้งหลายซึ่งกล่าวโดยนัยมีคำว่า ผู้ขอ เป็นต้นเหล่านั้น.
               สองบทว่า ยฺวายํ ภิกฺขุ ตัดบทเป็น โย อยํ ภิกฺขุ แปลว่า ภิกษุนี้ใด.
               ข้อว่า สมคฺเคน สงฺเฆน ฯเปฯ อุปสมฺปนฺโน มีความว่า บรรดาอุปสัมปทา ๘ ผู้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรมเท่านั้น.
               ข้อว่า อยํ อิมสฺมึ อตฺเถ อธิปฺเปโต ภิกฺขุ มีความว่า ภิกษุนี้ประสงค์เอาว่า ภิกษุ ในอรรถว่า เสพเมถุนธรรมแล้ว ย่อมเป็นผู้พ่ายแพ้ นี้.
               ส่วนภิกขุศัพท์นอกนี้มีว่า ภิกฺขโก เป็นต้น 
ตรัสด้วยอำนาจการขยายความ. และในคำว่า ภิกฺขโก เป็นต้นนั้น ศัพท์
มีอาทิว่า ผู้ขอ ตรัสด้วยอำนาจภาษา. สองบทนี้ว่า เป็นภิกษุโดยสมัญญา
 เป็นภิกษุโดยความปฏิญญา ตรัสด้วยอำนาจการร้องเรียก.
               บทว่า เอหิภิกฺขุ 
ตรัสด้วยอำนาจวิธีอุปสมบทที่กุลบุตรได้แล้ว โดยมีพระพุทธเจ้าเป็น
อุปัชฌายะ. สรณคมนภิกฺขุ ตรัสด้วยอำนาจผู้อุปสมบทแล้ว ในเมื่อกรรม
วาจายังไม่เกิดขึ้น. ศัพท์เป็นต้นว่า ผู้เจริญ พึงทราบว่า ตรัสด้วยอำนาจคุณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงจำแนกบทนี้ว่า ภิกฺขูนํ 
ไว้ในบัดนี้เลย เพราะไม่มีใจความที่แปลก เมื่อจะทรงแสดงสิกขา และ
สาชีพ เพราะเป็นเหตุให้ภิกษุถึงพร้อมแล้ว จึงเป็นผู้ชื่อว่าถึงพร้อม
ด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสว่า สิกฺขา เป็นต้น.
               ในคำว่า สิกฺขา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ที่ชื่อว่า สิกฺขา เพราะอรรถว่า อันกุลบุตรพึงศึกษา.
               บทว่า ติสฺโส เป็นสังขยากำหนดการคำนวณ.
               บทว่า อธิสีลสิกฺขา
 มีอรรถวิเคราะห์ว่า ศีลยิ่งคือสูงสุด เหตุนั้นจึงชื่อว่า อธิศีล. อธิศีลนั้นด้วย 
เป็นสิกขาเพราะอันกุลบุตรพึงศึกษาด้วย เหตุนั้นจึงชื่อว่า อธิศีลสิกขา.
               ในอธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาก็นัยนั้น.
               [อรรถาธิบายอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา]               
               ถามว่า ก็ในอธิการนี้ ศีลเป็นไฉน? อธิศีลเป็นไฉน? จิตเป็นไฉน? อธิจิตเป็นไฉน? ปัญญาเป็นไฉน? อธิปัญญาเป็นไฉน?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               ศีลมีองค์ ๕ และองค์ ๑๐ ชื่อว่าศีลเท่านั้นก่อน.
               จริงอยู่ ศีลนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วก็ตาม ยังมิได้อุบัติขึ้นก็ตาม เป็นไปอยู่ในโลก. เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็
ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทานในศีลนั้น.
               เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจ้า สมณพราหมณ์ พวกกรรมวาทีประพฤติชอบธรรม พระเจ้าจักรพรรดิมหาราช และพระมหา
โพธิสัตว์ ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทาน (ในศีลนั้น).
               พวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็สมาทาน (ศีลนั้น) แม้ด้วยตนเอง. สมณพราหมณ์เป็นต้นเหล่านั้น ครั้นบำเพ็ญกุศลธรรมนั้นให้บริบูรณ์แล้ว ย่อม
เสวยสมบัติในหมู่ทวยเทพและในหมู่มนุษย์.
               ส่วนปาฏิโมกขสังวรศีล ท่านเรียกว่า อธิศีล.
               จริงอยู่ ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นเป็นศีลที่ยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาโลกิยศีลทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์ยิ่งกว่าแสงสว่างทั้งหลาย 
ดุจภูเขาสิเนรุสูงกว่าบรรพตทั้งหลายฉะนั้น ย่อมเป็นไปได้เฉพาะ
ในพุทธุปบาทกาลเท่านั้น นอกพุทธุปบาทกาลหาเป็นไปไม่.     ด้วยว่า สัตว์อื่นไม่สามารถยกบัญญัตินั้นขึ้นตั้งไว้ได้.
               ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นทรงตัดกระแสทางแห่ง
ความประพฤติเสียหายทางกายทวารและวจีทวารได้เด็ดขาด โดยประการ
ทั้งปวงแล้ว จึงทรงบัญญัติศีลสังวรนั้นไว้ อันสมควรแก่ความล่วงละเมิดนั้นๆ.
               อนึ่ง ศีลที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลเท่านั้น ชื่อว่าศีลที่ยิ่ง
 แม้กว่าปาฏิโมกขสังวร. แต่ศีลที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น 
ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่าภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีลนั้น
 หาเสพเมถุนธรรมไม่. กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวงและสมาบัติจิต ๘ ดวง 
ฝ่ายโลกีย์ร่วมเข้าเป็นอันเดียวกัน พึงทราบว่า จิตเท่านั้น. และในกาลที่
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้น จิตนั้นก็เป็นไปอยู่ การชักชวน และ
การสมาทาน ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในศีลนั่นแล.
               ส่วนสมาบัติจิต ๘ ดวงที่เป็นบาทแห่งวิปัสสนา ท่านเรียกว่า อธิจิต.
               จริงอยู่ อัฏฐสมาบัติจิตนั้นเป็นจิตที่ยิ่งและสูงสุดกว่าโลกิย
จิตทั้งหมด ดุจอธิศีลยิ่งกว่าบรรดาศีลทั้งหลายฉะนั้น และมีอยู่เฉพาะ
ในพุทธุปบาทกาลเท่านั้น นอกพุทธุปบาทกาล หามีไม่.
               อีกอย่างหนึ่ง จิตที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยจิตนั้น หาเสพเมถุนธรรมไม่.
     อนึ่ง กัมมัสสกตาญาณ (ญาณรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน) ซึ่งเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ผลทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลบูชาที่บูชาแล้วมีอยู่ ชื่อว่าปัญญา.
   จริงอยู่ ปัญญานั้น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วก็ตาม มิได้อุบัติขึ้นก็ตาม
 เป็นไปอยู่ในโลก. เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี
 พระสาวกทั้งหลายก็ดี ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทานในปัญญานั้น.
               เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจ้า 
สมณพราหมณ์ พวกกรรมวาทีประพฤติชอบธรรม พระเจ้าจักรพรรดิ
มหาราชและพระมหาโพธิสัตว์ ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทาน 
(ในปัญญานั้น). สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิตก็สมาทาน แม้ด้วยตนเอง.
               จริงอย่างนั้น อังกุรเทพบุตรได้ถวายมหาทานสิ้นหมื่นปี. 
เวลามพราหมณ์ พระเวสสันดรและมนุษย์บัณฑิตเหล่าอื่นมากมาย 
ก็ได้ถวายมหาทานแล้ว. เวลามพราหมณ์เป็นต้นเหล่านั้น ครั้งบำเพ็ญ
กุศลธรรมนั้นให้บริบูรณ์แล้ว ก็ได้เสวยสมบัติในหมู่ทวยเทพและในหมู่มนุษย์.
               ส่วนวิปัสสนาญาณที่เป็นเครื่องกำหนด
อาการคือไตรลักษณ์ ท่านเรียกว่า อธิปัญญา.
               จริงอยู่ อธิปัญญานั้นเป็นปัญญาที่ยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาโลกิยปัญญาทั้งหมด ดุจอธิศีลและอธิจิตยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาศีลและจิตทั้ง
หลาย ฉะนั้น นอกพุทธุปบาทกาลหาเป็นไปในโลกไม่. ก็ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั่นแล เป็นปัญญาที่ยิ่งแม้กว่าวิปัสสนาญาณนั้น. แต่ปัญญาที่
สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญานั้น หาเสพเมถุนธรรมไม่ ฉะนี้แล.
               บทว่า ตตฺร คือบรรดาสิกขาทั้ง ๓ เหล่านั้น.
               หลายบทว่า ยา อยํ อธิสีลสิกฺขา 
ได้แก่ อธิสีลสิกขานี้ใด กล่าวคือปาฏิโมกขศีล.
               [อรรถาธิบายบทว่าสิกขาและสาชีพ]               
               สองบทว่า เอตํ สาชีวนฺนาม มีความว่า สิกขาบทนั้นแม้ทั้งปวงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้ในพระวินัย นี่เรียกว่า สาชีพ เพราะเหตุว่า เป็นที่เป็นอยู่
ร่วมกัน คือเป็นอยู่อย่างเดียวกัน เป็นอยู่ถูกส่วนกัน ประพฤติถูกส่วนกัน แห่งภิกษุทั้งหลายผู้ต่างกันโดยชนิดมีประเทศชาติและโคตรต่างๆ กันเป็นต้น.
               สองบทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ มีความว่า ภิกษุทำสิกขาบทนั้นให้เป็นที่พำนักแห่งจิตแล้ว สำเหนียกพิจารณาด้วยจิตว่า เราศึกษาสมควรแก่สิกขาบท
หรือไม่หนอ? ก็ภิกษุนี้จะชื่อว่าศึกษาอยู่ในสิกขาบท กล่าวคือสาชีพนั้นอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในสิกขาก็ชื่อว่าศึกษาด้วย.
               ส่วนสองบทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจบทที่เรียงเป็นลำดับกันว่า เอตํ สาชีวนฺนาม นี้.
      บทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ นั้น พระองค์ตรัสอย่างนั้น ก็จริงแล, แต่ทว่า เนื้อความใน
บทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ นี้ พึงเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อยังสิกขาให้บริบูรณ์ ชื่อว่าศึกษา
อยู่ในสิกขานั้น และเมื่อไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่าศึกษาอยู่ในสิกขาบทนั้น.
               ถึงบทว่า เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปนฺโน นี้ ก็ตรัสด้วยอำนาจแห่ง
บทว่าสาชีพ ซึ่งเป็นลำดับเหมือนกัน. ภิกษุนั้นแม้ถึงพร้อมซึ่งสิกขา
 เพราะเหตุใด, เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยความประสงค์ว่า
 ถึงพร้อมด้วยสิกขาบ้าง ด้วยว่า เมื่อมีความประสงค์อย่างนั้น.
               บทภาชนะแห่งบทว่า สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน นี้ เป็นอันบริบูรณ์.
               สิกฺขาสาชีวปทภาชนียํ นิฏฺฐิตํ ฯ        

04 สิงหาคม 2567

พระอนุบัญญัติ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
อนุบัญญัติที่ ๑ เรื่องลิงตัวเมีย              อนุบัญญัติปฐมปาราชิกเรื่องที่หนึ่ง 
               [เรื่องลิงตัวเมีย]         บัดนี้ เพื่อแสดงเรื่องอื่นที่เกิดขึ้น
 พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายจึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า
 เตน โข ปน สมเยน. ในคำว่า เตน โข ปน สมเยน เป็นต้น
นั้น มีการพรรณนาบทที่ยังไม่กระจ่างดังต่อไปนี้ :-
               สองบทว่า มกฺกฏึ อามิเสน ความว่า จำพวกสัตว์
ดิรัจฉานเป็นอันมากมีเนื้อ นกยูง ไก่และลิงเป็นต้น ไม่มีความคิด
ระแวงรังเกียจ เพราะอานุภาพแห่งคุณมีขันติและเมตตาเป็นต้น
ของภิกษุทั้งหลาย ในป่ามหาวัน ย่อมเที่ยวไปใน ณ ที่เรือนบำเพ็ญเพียร.
               มีคำอธิบายว่า ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเอาอามิส มีข้าวต้ม ข้าวสวย
 และ ของเคี้ยวเป็นต้นล่อ คือสงเคราะห์นางลิงตัวหนึ่ง ในบรรดาสัตว์
ดิรัจฉานเป็นต้นเหล่านั้น.
               บทว่า ตสฺสา เป็นสัตตมีวิภัตติ.
               บทว่า      ปฏิเสวติ      ความว่า ย่อมเป็นผู้เสพโดยมาก.     วัตตมานาวิภัตติ ย่อมลงในอรรถว่า       ปจุร คือมาก.
               สองบทว่า โส ภิกฺขุ ได้แก่ ภิกษุผู้เสพเมถุนธรรมนั้น.
สองบทว่า เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา ความว่า ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นมา
เฝ้าพระพุทธเจ้าได้อาคันตุกภัตแต่เช้าตรู่ ทำภัตกิจเสร็จแล้ว ชักชวนกัน
ว่า พวกเราจักดูสถานที่อยู่ของภิกษุทั้งหลาย แล้วก็เที่ยวไป. เพราะเหตุนั้น 
พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายจึงกล่าวว่า เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺตา.
               [ลิงตัวเมียแสดงของลับแก่ภิกษุอาคันตุกะ]               
               หลายบทว่า เยน เต ภิกฺขู เตนุปสงฺกมิ มีความว่า ธรรมดาสัตว์ดิรัจฉานทั้งหลาย ครั้นได้ทำความคุ้นเคยกับภิกษุรูปหนึ่งแล้ว ก็ยังความคิด
เช่นนั้นนั่นเองให้เกิดขึ้น แม้ในภิกษุเหล่าอื่นด้วย. เพราะฉะนั้น ลิงตัวเมียนั้นจึงได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น จนถึงที่อยู่, ครั้นแล้วก็ได้แสดงวิการนั้นแม้แก่ภิกษุ
เหล่านั้น เหมือนกับแสดงแก่ภิกษุที่ตนคุ้นเคย ฉะนั้น.
               บทว่า เฉปฺปํ แปลว่า หาง.
               บทว่า โอทฺทิสิ๑- แปลว่า วางไว้ตรงหน้า.
               สองบทว่า นิมิตฺตมฺปิ อกาสิ ความว่า ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นย่อมรู้ความต้องการเมถุน ด้วยความกำหนดอย่างใด ด้วยกิริยาอย่างใด, 
ลิงตัวเมียนั้นก็ได้ทำนิมิตนั้น ด้วยความกำหนดและกิริยานั้นๆ.
               สองบทว่า โส ภิกฺขุ ความว่า นี้เป็นวิหาร (ที่อยู่) ของภิกษุใด, (ภิกษุนั้นย่อมเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนี้ ไม่ต้องสงสัยแล.)
               สองบทว่า      เอกมนฺตํ นิลียึสุ               ความว่า ภิกษุอาคันตุกะเหล่านั้นได้แอบซ่อนอยู่ ณ โอกาสแห่งหนึ่ง.
               สองบทว่า สจฺจํ อาวุโส ความว่า ภิกษุรูปนั้น เพราะถูกพวก
ภิกษุอาคันตุกะเห็นกรรมที่เธอทำนั้นอย่างประจักษ์ตาทักท้วงขึ้น 
เหมือนจับโจรได้พร้อมกับของกลางฉะนั้น เมื่อไม่สามารถจะพูด
คำเป็นต้นว่า ผมทำกรรมชั่วอะไรหรือ? จึงพูดรับว่า จริง ขอรับ!
               หลายบทว่า นนุ อาวุโส ตเถว ตํ โหติ 
ความว่า คุณ แม้ในเพราะสัตว์เดียรัจฉานตัวเมีย สิกขาบทนั้น
ย่อมเป็นเหมือนในหญิงมนุษย์ มิใช่หรือ. (คุณ เมื่อภิกษุสุทินน์เสพเมถุนธรรม
ในหญิงมนุษย์ สิกขาบทย่อมมีฉันใด, เมื่อคุณเสพเมถุนธรรมแม้ในสัตว์
ดิรัจฉานตัวเมีย สิกขาบทนั้นก็ย่อมเป็นเหมือนกันฉันนั้น มิใช่หรือ?).
จริงอยู่ การมองดูก็ดี จับต้องก็ดี ลูบคลำก็ดี แตะต้องก็ดี กระทบก็ดี แม้
ซึ่งหญิงมนุษย์ เป็นความชั่วหยาบทั้งนั้น, กิริยามีการมองดูเป็นต้น
นั้น     ทั้งหมด แม้ซึ่งสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นความชั่วหยาบเหมือนกัน, 
ในหญิงมนุษย์ และ        สัตว์ดิรัจฉานตัวเมียนี้ จะมีความแปลกกันอะไร?           ท่านได้อ้างเลศในฐานที่มิใช่เลศแล.
               หลายบทว่า อนฺตมโส ติรจฺฉานคตายปิ ปาราชิโก โหติ อสํวาโส 
ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงทำสิกขาบทให้มั่นขึ้นอีกว่า ภิกษุ
เสพเมถุนธรรม แม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
๑- บาลี เป็น โอฑฺฑิ แปลว่า ได้แอ่นตะโพก.
               [สิกขาบททั้งหมดมีโทษ ๒ อย่าง]               
              จริงอยู่ สิกขาบทมี ๒ อย่าง คือ :-
 โลกวัชชะ (มีโทษทางโลก) ๑ ปัณณัตติวัชชะ (มีโทษทางพระบัญญัติ) ๑.     
          บรรดาโทษ ๒ อย่างนั้น สิกขาบทใดในฝ่ายสจิตตกะ มีจิตเป็นอกุศล
ล้วนๆ, สิกขาบทนั้นชื่อว่าเป็นโลกวัชชะ ที่เหลือเป็นปัณณัตติวัชชะ.
               บรรดาโทษ ๒ อย่างนั้น อนุบัญญัติในสิกขาบทที่เป็นโลกวัชชะ เมื่อเกิดขึ้น กั้น ปิดประตู ตัดกระแส ทำให้ตึงขึ้นกว่าเดิม ย่อมเกิดขึ้น.
      ส่วนอนุบัญญัตินี้ว่า เว้นไว้แต่สำคัญว่าได้บรรลุ๑- เว้นไว้แต่ฝัน๒- พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ เพราะไม่มีการล่วงละเมิด และเพราะเป็นอัพโพหาริก.
               ในสิกขาบทที่เป็นปัณณัตติวัชชะ เมื่อภิกษุยังไม่ได้ทำการล่วงละเมิด อนุบัญญัติ เมื่อเกิดขึ้นทำให้เพลาลง ปลดเปลื้องออก เปิดประตูให้ ทำ
ไม่ให้เป็นอาบัติต่อๆ ไป ย่อมเกิดขึ้น เหมือนอนุบัญญัติในคณโภชนสิกขาบทและปรัมปรโภชนสิกขาบท ฉะนั้น.
               ส่วนอนุบัญญัติเห็นปานนี้ว่า โดยที่สุด (บอก) แม้แก่หญิงแพศยาอันจะพึงอยู่ร่วมชั่วขณะ๓- ชื่อว่ามีคติเหมือนพระบัญญัติทีเดียว เพราะเกิดขึ้นใน
เมื่อภิกษุทำการล่วงละเมิดแล้ว. ก็เพราะปฐมสิกขาบทนี้เป็นโลกวัชชะ ไม่ใช่
เป็นปัณณัตติวัชชะ, เพราะฉะนั้น อนุบัญญัตินี้ก็กั้นปิดประตู ตัดกระแส ได้แก่ทำให้ตึงขึ้นกว่าเดิมอีก ย่อมเกิดขึ้น.
               ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลเรื่องแม้ทั้งสองมา แล้ว
บัญญัติปฐมปาราชิก ทำให้ตึงขึ้นกว่าเดิม ด้วยอำนาจมูลเฉทอย่างนั้น 
เรื่องภิกษุชาววัชชีบุตรแม้อื่นอีกก็เกิดขึ้น เพื่อประโยชน์แก่อนุบัญญัติ.
               เพื่อแสดงความเกิดขึ้นแห่งเรื่องภิกษุวัชชีบุตรนั้น พระธรรมสังคา
หกเถระทั้งหลายจึงได้กล่าวคำนี้ว่า ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาค
เจ้าทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.
               อธิบายความแห่งคำนั้นว่า สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วอย่างนี้ แก่ภิกษุทั้งหลาย และเรื่องแม้อื่นนี้ก็ได้เกิดขึ้น.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๒๓๒/หน้า ๑๗๒.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๓๐๒/หน้า ๒๒๔.
๓- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๔๒๙/หน้า ๓๐๒.
               จบ มักกฏีวัตถุกถา.               
อนุบัญญัติที่ ๒ เรื่องภิกษุวัชชีบุตร
               อนุบัญญัติปฐมปาราชิกเรื่องที่สอง               
               [เรื่องภิกษุชาววัชชีบุตร]    บัดนี้ เพื่อแสดงเรื่องแม้
อื่นที่เกิดขึ้นแล้ว พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย
จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า 
เตน โข ปน สมเยน. 
ในคำว่า เตน โข ปน สมเยน 
เป็นต้นแม้นั้น มีการพรรณนาบทที่ยังไม่กระจ่างดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า เวสาลิกา ได้แก่ ผู้มีปกติอยู่เมืองไพศาลี.
บทว่า วชฺชิปุตฺตกา ได้แก่ผู้เป็นบุตรของตระกูลในเมืองไพศาลีในแคว้นวัชชี.
               ได้ยินว่า อุปัทวะ โทษ ความเสนียดจัญไรที่ได้เกิดขึ้นในพระศาสนาทั้งหมดนั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว เพราะอาศัยภิกษุชาววัชชีบุตร.
               จริงอย่างนั้น แม้พระเทวทัตได้พวกภิกษุชาววัชชีบุตรเป็นฝักฝ่ายแล้ว จึงทำลายสงฆ์. ก็พวกภิกษุชาววัชชีบุตรนั่นแล ได้แสดงสัตถุศาสนานอก
ธรรมนอกวินัย ในเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานได้ ๑๐๐ ปี บรรดาภิกษุชาววัชชีบุตรเหล่านั้นนั่นแล แม้ภิกษุเหล่านี้ บางพวกถึงเมื่อทรงบัญญัติ
สิกขาบทแล้วอย่างนี้ ก็ได้สรงน้ำตามความต้องการ ฯลฯ ได้เสพเมถุนธรรมตามความต้องการ ด้วยประการฉะนี้.
               ในบทว่า ญาติพฺยสเนนปิ นี้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               คำว่า "ความพินาศ ความย่อยยับ ความกระจาย ความทำลาย
 ความฉิบหาย" ทั้งหมดนี้มีความหมายอย่างเดียวกัน. ความย่อยยับแห่งเหล่า
ญาติ ชื่อว่าญาติพยสนะ. อันความย่อยยับแห่งญาตินั้น (ถูกต้องแล้ว).
อธิบายว่า "อันความพินาศแห่งญาติซึ่งมีการลงราชอาญา ถูกโรคเบียดเบียน ความตายและความพลัดพราก เป็นเครื่องหมาย (ถูกต้องแล้ว)."
               แม้ในบทที่ ๒ ก็นัยนี้.
               ส่วนในบทที่ ๓ 
โรคที่ทำความไม่มีโรคให้พินาศไปนั่นเอง ชื่อว่าโรคพยสนะ.
               จริงอยู่ โรคนั้นย่อมทำความไม่มีโรคให้ย่อยยับไป คือกระจายไป
 ได้แก่ ให้พินาศไป เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่าพยสนะ. ความย่อยยับคือโรค 
ชื่อว่าโรคพยสนะ. อันความย่อยยับคือโรคนั้น (ถูกต้องแล้ว).
บทว่า ผุฏฺฐา คือ ท่วมทับ ได้แก่ครอบงำ. 
อธิบายว่า ผู้ประกอบพร้อมแล้ว.
               หลายบทว่า น มยํ ภนฺเต อานนฺท พุทฺธครหิโน มีความว่า 
ท่านอานนท์เจ้าข้า พวกกระผมมิได้ติเตียนพระพุทธเจ้า คือมิได้กล่าว
โทษพระพุทธเจ้า มิได้ติเตียนพระธรรม มิได้ติเตียนพระสงฆ์.
               สองบทว่า อตฺตครหิโน มยํ ความว่า 
พวกกระผมติเตียนตนเองเท่านั้น คือกล่าวโทษของตน.
               บทว่า อลกฺขิกา แปลว่า ผู้หมดสิริ.
               บทว่า อปฺปปุญฺญา แปลว่า ผู้มีบุญน้อย.
               หลายบทว่า วิปสฺสกา กุสลานํ ธมฺมานํ มีความว่า พวก
กระผมจะพึงเป็นผู้เห็นแจ้งซึ่งกุศลธรรมทั้งหลาย ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงจำแนกไว้แล้วในอารมณ์ ๓๘ ประการ. อธิบายว่า ออกจาก
อารมณ์นั้นๆ แล้ว จะเห็นแจ้งธรรมเหล่านั้นทีเดียว.
บทว่า ปุพฺพรตฺตาปรรตฺตํ ความว่า เบื้องต้นแห่งราตรี ชื่อบุรพราตรี, เบื้องปลายแห่งราตรี ชื่ออปรราตรี. มีคำอธิบายว่า ปฐมยามและปัจฉิมยาม.
               บทว่า โพธิปกฺขิกานํ คือมีอยู่ในฝ่ายแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้.
             อธิบายว่า เป็นอุปการะแก่อรหัตตมรรคญาณ.
               บทว่า      ภาวนานุโยคํ       แปลว่า ความประกอบเนื่องๆ        ในการเจริญ                (โพธิปักขิยธรรม).
               สองบทว่า อนุยุตฺตา วิหเรยฺยาม ความว่า พวก
กระผมละคิหิปลิโพธและอาวาสปลิโพธแล้ว จะพึงเป็น
ผู้ประกอบขวนขวาย ไม่มีกิจอื่นอยู่ในเสนาสนะอันสงัด.
               บทว่า เอวมาวุโส ความว่า พระเถระ เมื่อไม่ทราบ
อัธยาศัยของเธอเหล่านั้น ได้ฟังการคำรามอย่างมาก (คำอ้อนวอน) นี้ 
ของภิกษุเหล่านั้นแล้ว จึงสำคัญอยู่ว่า "ถ้าเธอเหล่านี้จักเป็นผู้เช่นนี้ไซร้,
 ก็เป็นการดี" แล้วรับคำว่า ได้ ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย.
               [เรื่องทรงห้ามมิให้ภิกษุชาววัชชีบุตรบรรพชาอุปสมบท]               
              แม้สองบทว่า อฏฺฐานํ อนวกาโส นี้ เป็นอันตรัสห้ามเหตุ.
               จริงอยู่ เหตุ ท่านเรียกว่า "ฐานะและโอกาส" เพราะเป็นที่ตั้งแห่งผล โดยความที่ผลนั้นเป็นไปเนื่องด้วยเหตุนั้น และเพราะเหตุนั้น ก็เป็นโอกาสแห่ง
ผลนั้น โดยความที่เหตุนั้นเป็นไปเนื่องด้วยผลนั้น. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงห้ามเหตุนั้น จึงตรัสว่า อฏฺฐานเมตํ อานนฺท อนวกาโส เป็นต้น
 ความว่า ฐานะหรือโอกาสนี้ไม่มี.
               สองบทว่า ยํ ตถาคโต ความว่า พระตถาคตจะพึงถอนปาราชิกสิกขาบทที่บัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งพวกวัชชีหรือพวก
ภิกษุชาววัชชีบุตร ด้วยเหตุใด, เหตุนั้น ไม่มี.
               ความจริง ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจะพึงประทานอุปสมบทแก่ภิกษุชาววัชชีบุตรเหล่านี้ผู้ทูลขออยู่ว่า ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายพึงได้อุปสมบท ดังนี้
ไซร้, เมื่อเป็นนั้น พระองค์ก็จะพึงถอนปาราชิกสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ว่า "ย่อมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้." แต่เพราะเหตุที่พระองค์ไม่ทรงถอน
สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้วนั้น ฉะนั้นจึงตรัสว่า "นั่น ไม่ใช่ฐานะ" เป็นต้น.
               หลายบทว่า โส อาคโต น อุปสมฺปาเทตพฺโพ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีความอนุเคราะห์เทียว ทรงทราบว่า ก็ถ้าภิกษุนั้นมาแล้วอย่างนี้
 พึงได้รับอุปสมบทไซร้, เธอพึงเป็นผู้ไม่มีความเคารพในศาสนา, แต่เธอ
ตั้งอยู่ในภูมิของสามเณรแล้ว จักเป็นผู้มีความเคารพและจักทำ
ประโยชน์ตนได้ จึงตรัสว่า "เธอมาแล้ว ไม่ควรให้อุปสมบท"
               หลายบทว่า โส อาคโต อุปสมฺปาเทตพฺโพ ความว่า 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบแล้วว่า ภิกษุนั้นมาแล้วอย่างนี้ 
ยังดำรงอยู่ในภาวะเป็นภิกษุ จักเป็นผู้มีความเคารพในศาสนา เพราะ
ความที่เธอมีศีลยังไม่วิบัติ, เธอเมื่อยังมีอุปนิสัยอยู่ จักบรรลุประโยชน์
สูงสุด ต่อกาลไม่นานนักแล จึงตรัสว่า "เธอนั้นมาแล้ว ควรให้อุปสมบท".
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงภิกษุชาววัชชีบุตร 
ผู้ไม่ควรให้อุปสมบทและ
ผู้ควรให้อุปสมบท ในบรรดาเหล่าภิกษุชาววัชชีบุตรผู้เสพเมถุนธรรม มาแล้ว
อย่างนี้ มีพระประสงค์จะประมวลเรื่องทั้ง ๓ มาแล้วทรงบัญญัติสิกขาบท
ให้บริบูรณ์ จึงตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้
ขึ้นอย่างนี้" แล้วได้ทรงบัญญัติสิกขาบทให้บริบูรณ์อย่างนี้ว่า :-
               โย ปน ภิกฺขุ ฯเปฯ อสํวาโส แปลว่า
               อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลายแล้ว
 ไม่กล่าวคืนสิกขา ไม่ได้ทำให้แจ้งความเป็นผู้ทุรพล พึงเสพเมถุนธรรม โดย
ที่สุดแม้ในดิรัจฉานตัวเมีย ภิกษุนี้เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.๑-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๒๔/หน้า ๔๒
               [วินัย ๔ อย่าง]          บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
 เมื่อจะทรงจำแนกเนื้อความแห่งสิกขาบทนั้น
 จึงตรัสคำเป็นต้นว่า "โย ปนาติ โย ยาทิโส."
               ก็พระวินัยธร ผู้ปรารถนาความเป็นผู้ฉลาดในสิกขาบท วิภังค์แห่งสิกขาบทนั้น และวินัยวินิจฉัยทั้งสิ้น ควรทราบวินัย ๔ อย่าง.
                                   จริงอยู่ พระธรรมสังคาหกมหาเถระ
                         ทั้งหลายผู้มีฤทธิ์มากในปางก่อน ได้นำวินัย
                         ๔ อย่างออกเปิดเผยแล้ว.
               วินัย ๔ อย่างเป็นไฉน? วินัย ๔ อย่างคือ สูตร สุตตานุโลม อาจริย
วาท อัตตโนมติ ซึ่งพระนาคเสนเถระหมายเอากล่าวไว้ (ในมิลินทปัญหา) ว่า 
มหาบพิตร เนื้อความอันกุลบุตรพึงรับรองด้วยบทดั้งเดิมแล ด้วยรส ด้วย
ความเป็นวงศ์แห่งอาจารย์ ด้วยความอธิบาย.๑-
๑- นัย- มิลินทปัญหา ๒๐๓.
               [อรรถาธิบายวินัย ๔ อย่าง] 
              จริงอยู่ บรรดาคำเหล่านี้ คำว่า อาหัจจบท ท่านประสงค์เอาสูตร. คำว่า "รส" ท่านประสงค์เอาสุตตานุโลม. คำว่า "อาจริยวงศ์" ท่านประสงค์
เอาอาจริยวาท. คำว่า "อธิบาย" ท่านประสงค์เอาอัตโนมัติ.
  บรรดาวินัย ๔ อย่างนั้น ที่ชื่อว่า สูตร ได้แก่บาลีในวินัยปิฎกทั้งมวล. ที่ชื่อว่า สุตตานุโลม ได้แก่มหาประเทศ ๔ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า :-
               (๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด เรามิได้ห้ามไว้ว่า 
'สิ่งนี้ไม่ควร' ถ้าสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งเป็นที่เป็นอกัปปิยะ ขัดกันกับ
สิ่งที่เป็นกัปปิยะ, สิ่งนั้น ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลาย
               (๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด เรามิได้ห้ามไว้ว่า 
'สิ่งนี้ไม่ควร' ถ้าสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่เป็นกัปปิยะ ขัดกันกับ
สิ่งที่เป็นอกัปปิยะ, สิ่งนั้น ควรแก่ท่านทั้งหลาย
               (๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด เรามิได้อนุญาตไว้ว่า 
'สิ่งนี้ควร' หากสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ ขัดกันกับ
สิ่งที่เป็นกัปปิยะ, สิ่งนั้น ไม่ควรแก่ท่านทั้งหลาย
               (๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สิ่งใด เรามิได้อนุญาตไว้ว่า 
"สิ่งนี้ควร" หากสิ่งนั้นเข้ากันกับสิ่งที่เป็นกัปปิยะ ขัดกันกับ
สิ่งที่เป็นอกัปปิยะ, สิ่งนั้น ควรแก่ท่านทั้งหลาย.๑-
               ที่ชื่อว่า อาจริยวาท ได้แก่แบบอรรถกถา ซึ่งยังวินิจฉัยท้องเรื่องให้เป็นไป นอกจากบาลี ซึ่งพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ผู้เป็นธรรมสังคาหกะตั้งไว้.
               ที่ชื่อว่า อัตโนมัติ ได้แก่คำที่พ้นจากสูตร สุตตานุโลม และอาจริย
วาท กล่าวตามอาการที่ปรากฏด้วยอนุมาน คือ ด้วยความตามรู้แห่งตน
 ด้วยการถือเอานัย ด้วยการถือเอาใจความ. อีกนัยหนึ่ง เถรวาทแม้ทั้งหมด
 ที่มาในอรรถกถาแห่งพระสูตร พระอภิธรรมและพระวินัย ชื่อว่า อัตตโนมัติ.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๙๒
               [วิธีสอบสวนสูตรและสุตตานุโลมเป็นต้น]               
               แต่กุลบุตร ผู้อ้างอัตโนมัตินั้นกล่าวไม่ควรจะยึดถือให้แน่นแฟ้นกล่าว ควรกำหนดเหตุเทียบเคียงบาลีกับเนื้อความ และเนื้อความกับบาลีแล้วจึง
กล่าว. อัตโนมัติ ควรสอบสวนดูในอาจริยวาท ถ้าลงกันและสมกันในอาจริยวาทนั้นไซร้ จึงควรถือเอา, ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา.
               จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า อัตโนมัตินี้ยังเป็นของทรามกำลังกว่าทุกอย่าง. อาจริยวาทมีกำลังกว่าอัตโนมัติ. แม้อาจริยวาทก็ควรสอบสวนดูในสุตตานุโลม
 เมื่อลงกัน สมกันแท้ ในสุตตานุโลมนั้น จึงควรถือเอา, ฝ่ายที่ไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา. เพราะว่า สุตตานุโลมเป็นของมีกำลังกว่าอาจริยวาท. แม้
สุตตานุโลมก็ควรสอบสวนดูในสูตร เมื่อลงกันสมกันแท้ ในสูตรนั้น จึงควรถือเอา, ฝ่ายที่ไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา. เพราะว่าสูตรเท่านั้น 
เป็นของมีกำลังกว่าสุตตานุโลม.              จริงอยู่ สูตรเป็นของอันใครๆ แต่งเทียมไม่ได้ เป็นเหมือนสงฆ์ผู้ทำ เป็นเหมือนกาลที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายยัง
ทรงพระชนม์อยู่. เพราะฉะนั้น เมื่อใดภิกษุสองรูปสากัจฉากัน สกวาทีอ้างสูตรกล่าว ปรวาทีอ้างสุตตานุโลมกล่าว เมื่อนั้นทั้งสองรูปนั้น ไม่ควรทำการ
เพิดเพ้ยหรือติเตียนกันและกัน ควรสอบสวนสุตตานุโลมในสูตร 
ถ้าลงกัน สมกัน ควรถือเอา, ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน 
ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสูตรเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างสูตรกล่าวปรวาทีอ้างอาจริยวาทกล่าวไซร้, แม้
ทั้งสองรูปนั้นก็ไม่ควรทำการเพิดเพ้ย หรือติเตียนกันและกัน ควรสอบสวน
อาจริยวาทในสูตร ถ้าลงกัน สมกัน ควรถือเอา. เมื่ออาจริยวาท ไม่ลงกัน และ
ไม่สมกัน ทั้งเป็นข้อที่น่าตำหนิ ก็ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสูตรเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างสูตรกล่าว ปรวาทีอ้างอัตโนมัติกล่าว
ไซร้, แม้ทั้งสองรูปนั้นก็ไม่ควรทำการเพิดเพ้ย หรือติเตียน
กันและกัน ควรสอบสวนอัตโนมัติในสูตร ถ้าลงกันสมกัน ควรถือเอา,
 ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสูตรเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างสุตตานุโลมกล่าว ปรวาทีอ้างสูตรกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนสูตรในสุตตานุโลม ถ้าลงกันสมกัน ปรากฏมาในบาลี
ขึ้นสู่สังคีติทั้ง ๓ ครั้ง จึงควรถือเอา, ถ้าไม่ปรากฏเหมือนอย่างนั้น ไม่ลงกัน 
ไม่สมกัน เป็นพาหิรกสูตร สิโลกโศลกหรือสูตรที่น่าตำหนิอื่นๆ ซึ่งมาจาก
บรรดาสูตรทั้งหลายมีคุฬหเวสสันตรคุฬหวินัยและคุฬหเวทัลละเป็นต้น
 อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสุตตานุโลมเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างสุตตานุโลมกล่าว ปรวาทีอ้างอาจริยวาทกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนอาจริยวาทในสุตตานุโลม, ถ้าลงกัน สมกัน ควรถือเอา, 
ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสุตตานุโลมเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างสุตตานุโลมกล่าว ปรวาทีอ้าง
อัตโนมัติกล่าวไซร้, ควรสอบสวนอัตโนมัติในสุตตานุโลม ถ้า
ลงกัน สมกัน ควรถือเอา, ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน 
ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในสุตตานุโลมเท่านั้น.
               ก็ถ้าสกวาทีนี้อ้างอาจริยวาทกล่าว ปรวาทีอ้างสูตรกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนสูตรในอาจริยวาท ถ้าลงกันสมกัน ควรถือเอา. 
สูตรที่น่าตำหนินอกนี้ ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอาจริยวาทเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างอาจริยวาทกล่าว ปรวาทีอ้างสุตตานุโลมกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนสุตตานุโลมในอาจริยวาท เมื่อลงกัน สมกันแท้
 จึงควรถือเอา นอกนี้ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอาจริยวาทเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างอาจริยวาทกล่าว ปรวาทีอ้างอัตโนมัติกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนอัตโนมัติในอาจริยวาท ถ้าลงกัน สมกัน ควรถือเอา,
 ถ้าไม่ลงกัน ไม่สมกัน ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอาจริยวาทเท่านั้น.
 การถือเอา (มติ) ของตนนั่นแล ควรทำให้มีกำลัง (ให้มีหลักฐาน).
               อนึ่ง ถ้าสกวาทีนี้อ้างอัตโนมัติกล่าว ปรวาทีอ้างสูตรกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนสูตรในอัตโนมัติ, ถ้าลงกัน สมกัน ควรถือเอา.
 สูตรที่น่าตำหนินอกนี้ ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอัตโนมัติเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างอัตโนมัติกล่าว ปรวาทีอ้างสุตตานุโลมกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนสุตตานุโลมในอัตโนมัติ เมื่อลงกัน สมกันแท้
 ควรถือเอา. นอกนี้ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอัตโนมัติเท่านั้น.
               ถ้าสกวาทีนี้อ้างอัตโนมัติกล่าว ปรวาทีอ้างอาจริยวาทกล่าว
ไซร้, ควรสอบสวนอาจริยวาทในอัตโนมัติ ถ้าลงกัน สมกัน
 ควรถือเอา. อาจริยวาทที่น่าตำหนินอกนี้ ไม่ควรถือเอา, ควรตั้งอยู่ในอัตโนมัติ
เท่านั้น. การถือเอา (มติ) ของตนนั่นแล ควรทำให้มีกำลัง (ให้มีหลักฐาน).
    อนึ่ง ไม่ควรทำการเพิดเพ้ย หรือตำหนิในที่ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้.
อนึ่ง ถ้าสกวาทีนี้กล่าวอ้างว่าเป็นกัปปิยะ ปรวาทีกล่าวอ้างว่าเป็นอกัปปิยะ
 ควรสอบสวนสิ่งนั้นๆ ในสูตรและสุตตานุโลม ถ้าสิ่งนั้นเป็นกัปปิยะ ควรตั้งอยู่
 ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ,           ถ้าสิ่งนั้นเป็นอกัปปิยะ
     ก็ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ.
               ถ้าสกวาทีนี้ชี้แจงเหตุและคำวินิจฉัยมากมายจากสูตร
เป็นเครื่องสาธก สิ่งที่เป็นกัปปิยะแก่ฝ่ายปรวาทีนั้นไซร้,
 ปรวาทีไม่พบเหตุ, ก็ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ.
               ถ้าปรวาทีชี้แจงเหตุและคำวินิจฉัยมากมายจากสูตร
เป็นเครื่องสาธก สิ่งที่เป็นอกัปปิยะแก่ฝ่ายสกวาทีนั้นไซร้,
 สกวาทีนั้นไม่ควรถือมั่นตั้งอยู่ว่า การถือเอามติของตน (ถูกฝ่ายเดียว)
 ควรยอมรับว่า ดีละ แล้วตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะเท่านั้น.
               ถ้าว่า เงาแห่งเหตุของทั้งสองฝ่าย ย่อมปรากฏชัด
ไซร้ ข้อที่ทั้งสองฝ่ายคัดค้านนั่นแล เป็นการดี, แต่ควรตั้งอยู่
ในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ. ความจริงครั้นมาถึงวินัยแล้ว อันภิกษุบริษัทควรอาศัย
การวิจารณ์ ถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรป้องกันไว้ ควรทำการยึด
ถือให้มั่นคง ควรตัดกระแสเสีย, ควรตั้งอยู่ในความเป็นผู้หนักนั่นแล.
อนึ่ง ถ้าสกวาทีนี้กล่าวอ้างว่าเป็นอกัปปิยะ 
ปรวาทีกล่าวอ้างว่าเป็นกัปปิยะ, ควรสอบสวนสิ่งนั้นๆ ในสูตร และ
 สุตตานุโลม ถ้าสิ่งนั้นเป็นกัปปิยะ ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ,
 ถ้าสิ่งนั้นเป็นอกัปปิยะ ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ.
           ถ้าสกวาทีนี้ชี้แจงถึงสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ ด้วยสูตรคำวินิจฉัยและเหตุ
มากมายไซร้, ปรวาทีไม่ได้พบเหตุ, ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ.
               ถ้าปรวาทีชี้แจงถึงสิ่งที่เป็นกัปปิยะ ด้วยสูตรคำวินิจฉัยและเหตุมากมายไซร้, สกวาทีนี้มิได้พบเหตุ, ควรตั้งอยู่ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ.
               ถ้าว่า เงาแห่งเหตุ แม้ของทั้งสองฝ่ายย่อมปรากฏชัด
ไซร้, ไม่ควรสละการถือเอา (มติ) ของตน. เหมือนอย่างว่า ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ และในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะและกัปปิยะ ท่านกล่าววินิจฉัยนี้ไว้แล้ว
ฉันใด, ในวาทะว่าเป็นอนาบัติและอาบัติก็ดี ในวาทะว่าเป็นอาบัติและอนาบัติก็ดี ในวาทะว่าเป็นลหุกาบัติและครุกาบัติก็ดี ในวาทะว่าเป็นครุกาบัติ และ
ลหุกาบัติก็ดี ก็ควรทราบวินิจฉัยฉันนั้น.
               จริงอยู่ ในวาทะที่ว่าเป็นอนาบัติและอาบัติเป็นต้นนี้ มีความต่างกันในเพราะเหตุสักว่าชื่อเท่านั้น, ในนัยแห่งการประกอบความหามีความต่างกันไม่,
 เพราะฉะนั้น การประกอบความ ท่านจึงไม่ทำให้พิสดาร. เมื่อเกิดคำวินิจฉัยถึงสิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะเป็นต้นอย่างนี้แล้ว, ฝ่ายใดได้พบเหตุมากมายใน
สูตร สุตตานุโลมอาจริยวาทและอัตโนมัติควรตั้งอยู่ในวาทะของฝ่ายนั้น.
               อนึ่ง ทั้งสองฝ่าย เมื่อไม่ได้พบเหตุและคำวินิจฉัยโดยประการทั้งปวง ไม่ควรละทิ้งสูตร ควรตั้งอยู่ในสูตรเท่านั้น ฉะนี้แล. 
พระวินัยธรผู้ปรารถนาความเป็นผู้ฉลาดในสิกขาบท วิภังค์แห่งสิกขาบทนั้น และวินัยวินิจฉัยทั้งสิ้น ควรทราบวินัย ๔ อย่างนี้ดังพรรณนามาฉะนี้.
    [พระวินัยธรประกอบด้วยลักษณะ ๓ อย่าง]  ก็แล บุคคลผู้ทรงวินัย แม้ครั้นทราบวินัย ๔ อย่างนี้แล้ว ก็ควรเป็นผู้ประกอบด้วยลักษณะ
 ๓. จริงอยู่ ลักษณะแห่งพระวินัยธร ๓ อย่างควรปรารถนา. ลักษณะ ๓ อย่าง เป็นไฉน?
               ลักษณะ ๓ อย่าง คือ :-
               คำว่า ก็สูตรของพระวินัยธรนั้น เป็นพุทธพจน์ที่มาถูกต้องคล่องแคล่วดี วินิจฉัยดี โดยสูตร โดยพยัญชนะ๑- นี้เป็นลักษณะอันหนึ่ง.
               คำว่า ก็พระวินัยธรนั้นเป็นผู้มั่นคง ไม่ง่อนแง่นในวินัยแล นี้เป็นลักษณะที่สอง.
               คำว่า ก็ลำดับอาจารย์แล เป็นลำดับที่พระวินัยธรนั้นจำได้ถูกต้อง ทำให้ขึ้นใจไว้ดี ใคร่ครวญถูกต้องดีแล้ว๑- นี้เป็นลักษณะที่สาม.
๑- นย. วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๙๘๐/หน้า ๓๒๙
               [อรรถาธิบายลักษณะ ๓ ของพระวินัยธร]               
              ในคำว่า สุตฺตญฺจ เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               วินัยปิฎกทั้งสิ้นชื่อว่าสูตร, สูตรนั้นของพระวินัยธรนั้น เป็นพุทธพจน์ที่มาถูกต้อง คือมาด้วยดี.
               บทว่า สุปฺปวตฺติตํ ได้แก่ เป็นไปด้วยดี คือชำนาญ คล่องปาก.
               หลายบทว่า สุวินิจฺฉิตํ สุตฺตโตอนุพฺยญฺชนโส ได้แก่ ที่วินิจฉัยเรียบร้อย คือที่ตนตัดความสงสัย เรียนเอาไว้ โดยบาลีปริปุจฉาและอรรถกถา.
               หลายบทว่า วินเย โข ปนฐิโต โหติ ความว่า พระวินัยธรนั้นเป็นผู้ตั้งมั่นในพระวินัย ด้วยความเป็นลัชชีภิกษุ.
               จริงอยู่ อลัชชีภิกษุแม้เป็นพหูสูต เพราะค่าที่ตนเป็นผู้หนัก
ในลาภ ก็แกล้งกล่าวให้ผิดแบบแผน แสดงสัตถุศาสนานอกธรรม
นอกวินัย ย่อมทำอุปัทวะมากมายในพระศาสนา คือก่อให้เกิด
สังฆเภทบ้าง สังฆราชีบ้าง. ฝ่ายภิกษุลัชชี เป็นผู้มักรังเกียจ ใคร่
การศึกษา แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต ก็ไม่แกล้งกล่าวให้ผิดแบบแผน ย่อมแสดง
เฉพาะธรรม เฉพาะวินัยเท่านั้น คือทำสัตถุศาสนาให้เป็นที่เคารพตั้งอยู่.
               จริงอย่างนั้น พระมหาเถระทั้งหลายในปางก่อน เปล่งวาจา ๓ ครั้ง
ว่า ในอนาคตกาล ภิกษุลัชชีจักรักษาไว้, ภิกษุลัชชีจักรักษาไว้ ดังนี้เป็นต้น.
 ก็ภิกษุรูปใดเป็นลัชชีดังกล่าวมาแล้วนั้น ภิกษุรูปนั้น เมื่อไม่ละไม่ฝ่าฝืนวินัย
 เป็นผู้ตั้งมั่น คือมั่นคงอยู่ในวินัย ด้วยความเป็นลัชชีภิกษุ ฉะนี้แล.
               บทว่า อสํหิโร ความว่า บุคคลใดถูกผู้อื่นถามด้วย
บาลีโดยเบื้องต่ำหรือเบื้องสูง ด้วยลำดับบทหรืออรรถกถา ย่อม
ทุรนทุราย กระสับกระส่าย ไม่อาจตั้งมั่นอยู่ได้ ย่อมคล้อยตามคำที่ผู้อื่น
กล่าว ทิ้งวาทะของตนเสีย ถือเอาวาทะของผู้อื่น ผู้นั้นชื่อว่าผู้ง่อนแง่น.
               ฝ่ายบุคคลใดถูกผู้อื่นถามด้วยบทเบื้องต่ำและสูง หรือ
ด้วยลำดับบทในบาลีก็ดี ในอรรถกถาก็ดี ย่อมไม่ทุรนทุราย ไม่กระสับกระส่าย
 เปรียบเหมือนเอาแหนบจับขนทีละเส้นๆ ฉะนั้น ชี้แจงกะเขาว่า 
ข้าพเจ้ากล่าวอย่างนี้, อาจารย์ทั้งหลายของข้าพเจ้าก็กล่าวอย่างนี้.
               อนึ่ง บาลีและวินิจฉัยบาลี ตั้งอยู่ในบุคคลใด ไม่ถึง
ความเสื่อมสิ้น หมดเปลืองไป เหมือนน้ำมันราชสีห์ที่ใส่ไว้ในภาชนะทองคำ
 ไม่ถึงความสิ้นไปฉะนั้น, บุคคลนี้ ท่านเรียกว่า ผู้ไม่ง่อนแง่น.
 หลายบทว่า อาจริยปรมฺปรา โข ปนสฺส สุคฺคหิตา โหติ ความว่า ลำดับแห่งพระเถระ คือลำดับวงศ์ เป็นลำดับที่พระวินัยธรนั้นจำได้อย่างถูกต้อง.
               บทว่า      สุมนสิกตา ได้แก่ ทำให้ขึ้นใจอย่างดี      แต่พอนึก ก็ปรากฏได้ คล้ายประทีปที่ลุกโชน ฉะนั้น.
               บทว่า สูปธาริตา ได้แก่ ใคร่ครวญโดยดี คือใคร่ครวญโดยความสืบเนื่องกันแห่งเบื้องต้นและเบื้องปลาย โดยผลและโดยเหตุ.
               [ลำดับอาจารย์ตั้งแต่พระอุบาลีเถระเป็นต้นมา]               
              บุคคลละมติของตนแล้วเป็นผู้กล่าวความบริสุทธิ์แห่งอาจารย์ คือนำลำดับอาจารย์ ได้แก่ระเบียบแห่งพระเถระทั้งหมดอย่างนี้ คือพระอาจารย์ของ
ข้าพเจ้าเรียนเอาในสำนักของอาจารย์ชื่อโน้น, อาจารย์นั้นเรียนเอาในสำนัก
อาจารย์ชื่อโน้น,          ไปตั้งไว้จนให้ถึงคำว่า            "พระอุบาลีเถระเรียนเอาในสำนักของพระพุทธเจ้า."
               พระอาจารย์รูปต่อๆ มา ได้นำแม้จากพระอุบาลีเถระนั้นมา คือได้นำลำดับแห่งพระอาจารย์ ได้แก่ระเบียบแห่งพระเถระทั้งหมด จนให้ถึงพระ
อาจารย์ของตน แล้วตั้งไว้อย่างนี้ว่า "พระอุบาลีเถระเล่าเรียนมาในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า, พระทาสกเถระเล่าเรียนมาในสำนักของพระอุบาลีเถระ
ผู้เป็นอุปัชฌายะของตน, พระโสณกเถระเล่าเรียนมาในสำนักของพระทาสกเถระผู้เป็นอุปัชฌายะของตน, พระสิคควเถระเล่าเรียนมาในสำนักของพระ
โสณกเถระ ผู้เป็นอุปัชฌายะของตน, พระโมคคลีบุตรติสสเถระเล่าเรียนมาในสำนักของพระสิคควเถระ และพระจัณฑวัชชีเถระผู้เป็นอุปัชฌายะของตน."
               แท้จริง ลำดับแห่งพระอาจารย์อันพระวินัยธรเรียนเอาแล้วอย่างนี้ ย่อมเป็นอันเธอจำได้อย่างถูกต้อง แต่เมื่อไม่สามารถจะเรียนเอาอย่างนั้น ก็
ควรเรียนเอาเพียง ๒-๓ ลำดับก็พอ.
               จริงอยู่ โดยนัยอย่างหลังที่สุด ควรทราบเหมือนอย่างพระอาจารย์ และอาจารย์ของอาจารย์ กล่าวบาลีและปริปุจฉา ฉะนั้น.
               [พระวินัยธรจะวินิจฉัยอธิกรณ์ควรตรวจดูฐานะ ๖ อย่างก่อน]
  ก็แล พระวินัยธรผู้ประกอบพร้อมด้วยลักษณะ ๓ อย่างนี้แล้ว เมื่อสงฆ์ประชุม
กันเพื่อวินิจฉัยเรื่อง และเรื่องก็หยั่งลงแล้ว ทั้งโจทก์แลจำเลยก็ให้การแล้ว
 เมื่อจะพูดไม่ควรด่วนตัดสินทีเดียว ควรตรวจดูฐานะทั้ง ๖ เสียก่อน.
               ฐานะ ๖ อย่าง เป็นไฉน? ฐานะ ๖ อย่างนั้นคือ :-
               ควรตรวจดูเรื่อง ๑ ตรวจดูมาติกา ๑ ตรวจดูบทภาชนีย์ ๑ ตรวจดูติกปริจเฉท ๑ ตรวจดูอันตราบัติ ๑ ตรวจดูอนาบัติ ๑.
               [อรรถาธิบายฐานะ ๖ อย่าง]
               จริงอยู่ พระวินัยธร แม้เมื่อตรวจดูเรื่อง ย่อมเห็นอาบัติบางอย่าง
อย่างนี้คือ ภิกษุผู้มีจีวรหาย ควรเอาหญ้าหรือใบไม้ปกปิดกายจึงมา แต่ไม่
ควรเปลือยกายมาเลย, ภิกษุใดพึงเปลือยกายมา ภิกษุนั้นต้องอาบัติ
ทุกกฏ.๑- พระวินัยธรนั้น ครั้นนำสูตรนั้นมาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
               เธอ แม้เมื่อตรวจดูมาติกา ย่อมเห็นบรรดาอาบัติ ๕ กอง กองใด
กองหนึ่ง โดยนัยมีอาทิว่า "เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชาน
มุสาวาท."๒- เธอครั้นนำสูตรนั้นมาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
 เธอ แม้เมื่อตรวจดูบทภาชนีย์ ย่อมเห็นบรรดาอาบัติ ๗ กอง กอง ใดกองหนึ่ง
 โดยนัยมีอาทิว่า "ภิกษุเสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์ยังมิได้กัดกิน ต้องอาบัติ
ปาราชิก๓-, เสพเมถุนธรรมในสรีระที่สัตว์กัดกินแล้วโดยมาก ต้องอาบัติถุล
ลัจจัย.๓- เธอครั้นนำสูตรจากบทภาชนีย์มาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
    เธอ แม้เมื่อตรวจดูติกปริจเฉท ย่อมเห็นการกำหนดติกสังฆาทิเสสบ้าง
 ติกปาจิตตีย์บ้าง ติกทุกกฏบ้าง อาบัติอย่างใดอย่างหนึ่งบ้าง. เธอ ครั้นนำ
สูตรมาจากบาลีติกปริจเฉทนั้นมาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
               เธอ แม้เมื่อตรวจดูอันตราบัติ จะเห็นอันตราบัติ
ซึ่งมีอยู่ในระหว่างแห่งสิกขาบทอย่างนี้ คือ ภิกษุยักคิ้ว ต้อง
อาบัติทุกกฎ. เธอ ครั้นนำสูตรนั้นมาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
               เธอ แม้เมื่อตรวจดูอนาบัติ จะเห็นอนาบัติที่ท่านแสดง
ไว้แล้วในสิกขาบทนั้นๆ อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุ ไม่เป็นอาบัติแก่
ภิกษุผู้ไม่ยินดี ไม่มีไถยจิต ไม่มีความประสงค์จะให้ตาย 
ไม่มีความประสงค์จะอวด ไม่มีความประสงค์จะปล่อย ไม่แกล้ง 
ไม่รู้ เพราะไม่มีสติ. เธอ ครั้นนำสูตรนั้นมาอ้างแล้ว จักระงับอธิกรณ์นั้นได้.
               จริงอยู่ ภิกษุใดเป็นผู้ฉลาดในวินัย ๔ อย่าง สมบูรณ์
ด้วยลักษณะ ๓ ได้ตรวจดูฐานะ ๖ อย่างนี้แล้ว จักระงับอธิกรณ์ได้.
 การวินิจฉัย (อธิกรณ์) ของภิกษุนั้น ใครๆ ให้เป็นไปทัดเทียมไม่ได้
 ย่อมเป็นเช่นกับวินิจฉัยที่พระพุทธเจ้าประทับนั่งวินิจฉัยเสียเอง.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๕๔/หน้า ๓๘.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๑๗๓/หน้า ๑๕๔.
๓- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๖๓/หน้า ๖๗-๖๘.
               [วิธีวินิจฉัยอธิกรณ์]       
     ถ้าภิกษุบางรูปผู้ทำการล่วงละเมิดสิกขาบทแล้ว เข้าไปหาภิกษุผู้ฉลาดในการวินิจฉัยนั้นอย่างนั้นแล้ว พึงถามถึงข้อรังเกียจสงสัยของตนไซร้, ภิกษุผู้
ฉลาดในการวินิจฉัยนั้นควรกำหนดให้ดี ถ้าเป็นอนาบัติ ก็ควรบอกว่าเป็นอนาบัติ, แต่ถ้าเป็นอาบัติ ก็ควรบอกว่าเป็นอาบัติ, ถ้าอาบัตินั้นเป็นเทศนาคามินี ก็ควร
บอกว่าเป็นเทศนาคามินี, ถ้าเป็นวุฏฐานคามินี ก็ควรบอกว่าเป็นวุฏฐานคามินี, 
ถ้าฉายาปาราชิกปรากฏแก่ภิกษุผู้ฉลาดในการวินิจฉัยนั้นไซร้ ไม่ควรบอกว่า เป็นอาบัติปาราชิก.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเหตุว่า การล่วงละเมิดเมถุนธรรมและการล่วงละเมิดอุตตริมนุษยธรรม เป็นของหยาบคาย. ส่วนการละเมิดอทินนาทานและมนุสสวิคคหะ
เป็นของสุขุม มีจิตเปลี่ยนแปลงเร็ว, ภิกษุย่อมต้องวีติกกมะทั้งสองนั้นด้วยอาการสุขุมทีเดียว (และ) ย่อมรักษาไว้ด้วยอาการสุขุม (เหมือนกัน). เพราะ
เหตุนั้น ภิกษุผู้ถูกถามความรังเกียจสงสัย ซึ่งมีความละเมิดนั้นเป็นที่ตั้งโดยพิเศษ ไม่ควรพูดว่า ต้องอาบัติ,
               ถ้าอาจารย์เธอยังมีชีวิตอยู่ไซร้ หลังจากนั้น ภิกษุผู้ฉลาดในการวินิจฉัยนั้น ควรส่งภิกษุนั้นไปว่า เธอจงถามอาจารย์ของข้าพเจ้าดูเถิด. ถ้าเธอ
กลับมาอีกบอกว่า อาจารย์ของท่านค้นดูจากพระสูตร พระวินัยแล้ว บอกผมว่า
 เป็นสเตกิจฉา (ยังพอแก้ไขได้), ในกาลนั้น ภิกษุผู้ฉลาดในการวินิจฉัยนั้น ควรพูดกะเธอว่า ดีละๆ เธอจงทำอย่างที่อาจารย์พูด.
               ก็ถ้าอาจารย์ของเธอไม่มีไซร้ แต่พระเถระผู้เล่าเรียนร่วมกัน มีตัวอยู่, พึงส่งเธอไปยังสำนักของพระเถระนั้น ด้วยสั่งว่า พระเถระผู้เล่าเรียนร่วมกับ
ข้าพเจ้าเป็นคณปาโมกข์ มีตัวอยู่, เธอจงไปถามท่านดูเถิด. แม้เมื่อ
พระเถระนั้นวินิจฉัยว่า เป็นสเตกิจฉา ก็ควรบอกกะเธอว่า ดีละ เธอจงทำตามคำขอของพระเถระนั้นให้ดีทีเดียว.
               ถ้าแม้พระเถระผู้เล่าเรียนร่วมกันของเธอไม่มีไซร้ มีแต่ภิกษุผู้เป็นอันเตวาสิก ซึ่งเป็นบัณฑิต พึงส่งเธอไปยังสำนัก
ของภิกษุผู้เป็นอันเตวาสิกนั้นด้วยสั่งว่า เธอจงไปถามภิกษุหนุ่มรูปโน้นดูเถิด. แม้เมื่อภิกษุผู้เป็นอันเตวาสิกนั้นวินิจฉัยว่า เป็น
สเตกิจฉา ก็ควรพูดกะเธอว่า ดีละ เธอจงทำตามคำของภิกษุนั้นให้ดี.
               ถ้าฉายาปาราชิกนั่นแล ปรากฏแม้แก่ภิกษุหนุ่มไซร้, แม้อันภิกษุหนุ่มนั้น ก็ไม่ควรบอกภิกษุผู้ต้องอาบัติว่า เธอเป็นปาราชิก.
               [ภิกษุผู้มีศีลไม่บริสุทธิ์กรรมฐานย่อมไม่เจริญ]               
               จริงอยู่ ความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าเป็นของได้ด้วยยาก,
 การบรรพชาและการอุปสมบทเป็นของได้ด้วยยากยิ่งกว่านั้น. แต่
พระวินัยธรควรพูดอย่างนี้ว่า เธอจงปัดกวาดโอกาสที่เงียบสงัด 
แล้วนั่งพักกลางวัน ชำระศีลให้บริสุทธิ์ จงมนสิการอาการ ๓๒ ดูก่อน.
ถ้าศีลของภิกษุนั้นไม่ด่างพร้อยไซร้ กรรมฐานย่อมสืบต่อ, 
สังขารทั้งหลาย ก็เป็นของปรากฏชัดขึ้น, จิตก็เป็นเอกัคคตา
 ดุจได้บรรลุอุปจาระและอัปปนาสมาธิ ฉะนั้น, ถึงวันจะล่วงเลย
ไปแล้วก็ตาม เธอก็ไม่ทราบ. ในเวลาวันล่วงเลยไป เธอมาสู่ที่อุปัฏฐากแล้ว 
ควรพูดอย่างนี้ว่า ความเป็นไปแห่งจิตของเธอเป็นเช่นไร? ก็เมื่อเธอบอก
ความเป็นไปแห่งจิตแล้ว ควรพูดกะเธอว่า ขึ้นชื่อว่าบรรพชา มี
ความบริสุทธิ์แห่งจิตเป็นประโยชน์, เธออย่าประมาท บำเพ็ญสมณธรรมเถิด.
   ส่วนภิกษุใดมีศีลขาด กรรมฐานของภิกษุนั้นย่อมไม่สืบต่อ, จิตย่อมปั่นป่วน
 คือถูกไฟคือความเดือดร้อนแผดเผาอยู่ ดุจถูกทิ่มแทงด้วยปฏัก ฉะนั้น, 
ภิกษุนั้นย่อมลุกขึ้นในขณะนั้นทีเดียว เหมือนนั่งอยู่บนก้อนหินที่ร้อน ฉะนั้น.
               เธอมาแล้วถามว่า ความเป็นไปแห่งจิตของท่านเป็นอย่างไร?
               เมื่อเธอบอกความเป็นไปแห่งจิตแล้ว ควรพูดว่า
               ขึ้นชื่อว่าความลับของผู้กระทำกรรมชั่ว ย่อมไม่มีในโลก๑-
               แท้จริง บุคคลผู้กระทำความชั่ว ย่อมรู้ด้วยตนเอง
 ก่อนคนอื่นทั้งหมด, ต่อจากนั้น อารักขเทพดาทั้งหลาย 
สมณพราหมณ์และเทพเจ้าเหล่าอื่น ผู้รู้จิตของบุคคลอื่น ย่อมรู้ (ความชั่ว)
 ของเธอ, บัดนี้ เธอนั่นแลจงแสวงหาความสวัสดีแก่เธอเองเถิด.
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๕๑๘/หน้า ๑๓๑. ชาตกัฏฐกถา. ๔/๒๔๘.
               กถาว่าด้วยวินัย ๔ อย่าง และ                           กถาว่าด้วยลักษณะเป็นต้นของพระวินัยธร จบ.               

พระอนุบัญญัติ. ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
 เรื่องลิงตัวเมีย
[๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเอาเหยื่อล่อลิงตัวเมียในป่ามหาวัน เขตพระนคร เวสาลี แล้วเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนั้นเสมอ ครั้นเวลาเช้า ภิกษุ
นั้นครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครเวสาลี ครั้งนั้นแล ภิกษุหลายรูปเที่ยวจาริกตามเสนาสนะ เดินผ่านเข้าไปทางที่อยู่ของ
ภิกษุนั้น ลิงตัวเมียนั้นแลเห็นภิกษุเหล่านั้นกำลังเดินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วได้เข้าไปหาภิกษุเหล่านั้น ยกสะเอวบ้าง โก่งหางบ้าง แอ่นตะโพกบ้าง ทำนิมิต
บ้าง เบื้องหน้าภิกษุเหล่านั้น จึงภิกษุ เหล่านั้นสันนิษฐานว่า ภิกษุเจ้าของถิ่นเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนี้แน่ ไม่ต้องสงสัย แล้วแฝง อยู่ ณ ที่กำบังแห่ง
หนึ่ง. เมื่อภิกษุเจ้าของถิ่นเที่ยวบิณฑบาตในพระนครเวสาลี ถือ
บิณฑบาตกลับมาแล้ว ลิงตัวเมีย นั้นได้เข้าไปหา ครั้นภิกษุเจ้าของถิ่น
ฉันบิณฑบาตนั้นส่วนหนึ่งแล้ว ได้ให้แก่มันส่วนหนึ่ง เมื่อมันกินอาหารส่วนนั้น
แล้วได้แอ่นตะโพกให้ จึงภิกษุนั้นเสพเมถุนธรรมในมัน. ทันใด ภิกษุเหล่านั้น
ได้กล่าวกะภิกษุนั้นว่า อาวุโส พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ไว้แล้ว
มิใช่หรือ เหตุไร คุณจึงได้เสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมียนี้เล่า? จริงขอรับ 
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว ภิกษุนั้นสารภาพแล้วค้านว่า แต่
พระบัญญัตินั้นเฉพาะหญิงมนุษย์ ไม่เกี่ยวถึงสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย. อาวุโส
 พระบัญญัตินั้น ย่อมเป็นเหมือนกันทั้งนั้นมิใช่หรือ? การกระทำของคุณนั่น 
 ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คุณไม่บวช
ในพระธรรม วินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ไฉนจึงไม่สามารถ
ประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์ บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตเล่า. อาวุโส 
ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความ
กำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ
 เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่ เพื่อมีความถือมั่นมิใช่หรือ เมื่อธรรมชื่อนั้น 
อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เพื่อคลายความ กำหนัด คุณยังจักคิดเพื่อ
มีความกำหนัด เมื่อทรงแสดงเพื่อความพราก คุณยังจักคิดเพื่อความ ประกอบ 
เมื่อทรงแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น คุณยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น. อาวุโส ธรรม
อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็นที่สำรอกแห่ง 
 ราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็น
ที่หลุดถอนแห่ง อาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา 
เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่ดับแห่งตัณหา เพื่อออกไปจากตัณหา
ชื่อวานะ มิใช่หรือ? อาวุโส การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกาม การ เพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับ
ความกลัดกลุ้มเพราะกาม พระผู้มีพระภาคตรัสบอก ไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ? อาวุโส การกระทำของคุณนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ
ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของคุณนั่น เป็นไปเพื่อ ความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใส แล้ว. ภิกษุเหล่านั้น ติเตียนภิกษุนั้นโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ได้กราบทูลเนื้อความนั้นแด่
  พระผู้มีพระภาค. ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติอนุบัญญัติ ๑ [๒๒] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ในเพราะเหตุเป็นมูลเค้านั้น ในเพราะเหตุ
แรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่าเธอเสพเมถุนธรรม ในลิงตัวเมีย จริงหรือ? จริง พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุนั้นทูลสารภาพ? พระผู้มีพระ
ภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ เธอบวชในธรรมวินัยอันเรา
กล่าวไว้ดีอย่างนี้แล้ว ไฉน จึงไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้
บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตเล่า. ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดย
อเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่ เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความ
พราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมี ความถือมั่น
มิใช่หรือ? เมื่อธรรมชื่อนั้น อันเราแสดงแล้วเพื่อคลายความกำหนัด เธอยังจัก
คิดเพื่อ มีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความ
ประกอบ เราแสดงเพื่อความ ไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น. 
 ดูกรโมฆบุรุษ 
ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อ เป็นที่
สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอน
แห่งอาลัย เพื่อเป็นที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อเป็น
ที่สำรอกแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่ ดับแห่งตัณหา เพื่อออกไปจากตัณหาชื่อวานะ 
มิใช่หรือ? ดูกรโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การ
กำจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับ
ความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดย อเนกปริยาย มิใช่หรือ? 
 ดูกรโมฆบุรุษ 
องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในปากอสรพิษที่มีพิษร้าย ยังดีกว่า อันองค์ 
 กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของลิงตัวเมีย ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอ
สอดเข้าในปากงูเห่า ยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่สอดเข้าในองค์กำเนิดของลิง
ตัวเมีย ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอด เข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชน ยังดี
กว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของลิงตัวเมีย ไม่ดีเลย. ข้อที่
เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร? เพราะบุคคลผู้สอดองค์กำเนิดเข้าในปากอสรพิษ
เป็นต้นนั้น พึงถึงความตาย หรือความ ทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้น
เป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้นเป็นปัจจัย เบื้องหน้าแต่ แตกกายตายไป ไม่
พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิดเข้า ใน
องค์กำเนิดของลิงตัวเมียนั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย
 ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการกระทำนี้เป็นเหตุ. 
 ดูกรโมฆบุรุษ 
เมื่อการกระทำนั้นมีโทษอยู่ เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรม อันเป็นเรื่อง 
 ของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ อันชั่วหยาบ มีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ
 เป็นของคนคู่ อันคนคู่พึงร่วมกันเป็นไป การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อ
ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว... ๑- 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอ พึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระอนุบัญญัติ ๑ ๑. อนึ่ง ภิกษุใดเสพเมถุนธรรมโดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉาน
ตัวเมีย เป็น ปาราชิก หาสังวาสมิได้. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการ ฉะนี้. เรื่องลิงตัวเมีย ๒- จบ.
 เรื่องภิกษุวัชชีบุตร 
 [๒๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุวัชชีบุตรชาวพระนครเวสาลีหลายรูป ฉันอาหาร
พอแก่ ความต้องการ จำวัดพอแก่ความต้องการ สรงน้ำพอแก่ความต้องการ 
ครั้นแล้วทำในใจ โดยไม่แยบคาย ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพล
ให้แจ้ง ได้เสพเมถุนธรรม สมัยอื่น วัชชีบุตรพวกนั้น ถูกความพินาศแห่งญาติ
กระทบแล้วบ้าง ถูกความวอดวายแห่งโภคะพะพาน แล้วบ้าง ถูกความเสื่อม
คือโรคเบียดเบียนแล้วบ้าง จึงเข้าไปหาท่านพระอานนท์ แล้วกล่าว อย่างนี้ว่า 
ท่านพระอานนท์ เจ้าข้า พวกกระผมไม่ใช่เป็นคนติเตียนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่
เป็นคน ติเตียนพระธรรม ไม่ใช่เป็นคนติเตียนพระสงฆ์ พวกกระผมเป็นคน
ติเตียนตน ไม่ใช่เป็นคน ติเตียนคนอื่น พวกกระผมซึ่งบวชในพระธรรมวินัย
ที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ไม่ สามารถประพฤติพรหมจรรย์
ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตนั้นแหละ เป็นคนไม่มีวาสนา เป็น คนมีบุญ
น้อย ท่านพระอานนท์เจ้าข้า แม้บัดนี้ ถ้าพวกกระผมพึงได้บรรพชา พึงได้
อุปสมบท ในสำนักพระผู้มีพระภาค แม้บัดนี้พวกกระผมจะพึงเป็นผู้เห็นแจ้งซึ่ง
กุศลธรรม หมั่นประกอบ ความเพียรในการเจริญโพธิปักขิยธรรมอยู่ตลอด
เบื้องต้นแห่งราตรีและเบื้องปลายแห่งราตรี 
ท่าน ๑ ต้องการพิสดารพึงดูหน้า ๓๑ บรรทัดที่ ๒๔
 ๒ โดยมากปรากฏว่า มักกฏีสิกขาบท พระอานนท์เจ้าข้า
 พวกกระผมขอโอกาส ขอท่านได้โปรดกรุณากราบทูลความข้อนี้ แด่
พระผู้มี พระภาค.
 ได้ จ้ะ ท่านพระอานนท์รับคำของพวกวัชชีบุตรชาวพระนครเวสาลี แล้ว
เข้าเฝ้าพระผู้มี พระภาค กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ.
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรอานนท์ การที่ตถาคตจะพึงถอน
ปาราชิกสิกขาบทที่บัญญัติ แล้วแก่สาวกทั้งหลาย
 เพราะเหตุแห่งพวกวัชชีหรือพวกวัชชีบุตรนั้น ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส. 
 ทรงบัญญัติอนุบัญญัติ ๒ 
 [๒๔] ครั้งนั้นพระองค์ทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นมูลเค้านั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใด
แลเป็นภิกษุ ไม่บอกคืน สิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุนธรรม ผู้นั้นมาแล้ว สงฆ์ไม่พึงอุปสมบทให้ ส่วนผู้ใดแล เป็นภิกษุ บอกคืนสิกขา
 ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง แล้วเสพเมถุนธรรม
  ผู้นั้นมาแล้ว สงฆ์พึงอุปสมบทให้          ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง      อย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
 พระอนุบัญญัติ ๒ ๑. อนึ่ง ภิกษุใด ถึงพร้อมซึ่งสิกขาบทและสาชีพของภิกษุ
ทั้งหลายแล้ว ไม่ บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง เสพเมถุน
ธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นปาราชิก หาสังวาส มิได้.