Translate

06 กรกฎาคม 2567

หน้าต่าง ๐๒/๐๖ อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร เล่ม ๑ พระสุตตันตปิฎก

ปริพฺพาชกกถาวณฺณนา
               เมื่อปฐมมหาสังคายนานี้กำลังดำเนินไปอยู่ เวลาสังคายนาพระวินัยจบลง ท่านพระมหากัสสป เมื่อถามพรหมชาลสูตร ซึ่งเป็นสูตรแรกแห่งนิกายแรกในสุตตันตปิฎก ได้กล่าวคำอย่างนี้ว่า ท่านอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตรที่ไหน ดังนี้เป็นต้นจบลง
               ท่านพระอานนท์ เมื่อจะประกาศสถานที่ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตร และบุคคลที่พระองค์ตรัสปรารภให้เป็นเหตุนั้นให้ครบกระแสความ จึงกล่าวคำว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้เป็นต้น.
               ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า แม้พรหมชาลสูตรก็มีคำเป็นนิทานว่า เอวมฺเม สุตํ ที่ท่านพระอานนท์กล่าวในคราวปฐมมหาสังคายนาเป็นเบื้องต้น ดังนี้.
               ในคำเป็นนิทานแห่งพระสูตรนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
               แก้อรรถบท เอวํ               
                  บทว่า เอวํ เป็นบทนิบาต.
                 บทว่า เม เป็นต้น เป็นบทนาม ในคำว่า ปฏิปนฺโน โหติ นี้
                บทว่า ปฏิ เป็นบทอุปสรรค.
 บทว่า โหติ เป็นบทอาขยาต. พึงทราบการจำแนกบทโดยนัยเท่านี้ก่อน.
               แต่โดยอรรถ เอวํ ศัพท์ แจกเนื้อความได้หลายอย่างเป็นต้นว่า ความเปรียบเทียบ ความแนะนำ ความยกย่อง ความติเตียน ความรับคำ อาการะ ความแนะนำ ความห้ามความอื่น.
               จริงอย่างนั้น เอวํ ศัพท์นี้ ที่มาในความเปรียบเทียบ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ ชาเตน มฺจเจน กตฺตพฺพํ กุสลํ พหุํ สัตว์เกิดมาแล้วควรบำเพ็ญกุศลให้มากฉันนั้น.๑-
               ที่มาในความแนะนำ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ เต อภิกฺกมิตพฺพํ เอวํ ปฏิกฺกมิตพฺพํ เธอพึงก้าวไปอย่างนี้ พึงถอยกลับอย่างนี้.๒-
               ที่มาในความยกย่อง เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวเมตํ ภควา เอวเมตํ สุคต ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ พระสุคต.๓-
               ที่มาในความติเตียน เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวเมวํ ปนายํ วสลี ยสฺมึ วา ตสฺมึ วา ตสฺส มุณฺฑกสฺส สมณกสฺส วณฺณํ ภาสติ ก็หญิงถ่อยนี้ กล่าวสรรเสริญสมณะโล้นนั้น อย่างนี้อย่างนี้ ทุกหนทุกแห่ง.๔-
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๔ ๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๑๒๒
๓- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๒๙๓ องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๕
๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๒๗
               ที่มาในความรับคำ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ ภนฺเตติ โข เต ภิกขู ภควโต ปจฺจสฺโสสุํ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า อย่างนั้น พระเจ้าข้า.
               ที่มาในอาการะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอวํ พฺยาโข อหํ ภนฺเต ภควตา ธมฺมํ เทสิตํ อาชานามิ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าย่อมรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนี้จริง.
๕- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๗๙ ม.มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๑
๖- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐ ม.มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๔๐
               ที่มาในความชี้แจง เช่นในประโยคมีอาทิว่า๗-
               เอหิ ตวํ มาณวก เยน สมโณ อานนฺโท เตนุปสงฺกม อุปสงฺกมิตฺวา มม วจเนน สมณํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ
                อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉ สุโภ มาณโว 
โตเทยฺยปุตฺโต ภวนฺตํ อานนฺทํ อปฺปาพาธํ อปฺปาตงฺกํ ลหุฏฺฐานํ พลํ ผาสุวิหารํ ปุจฺฉตีติ เอวญฺจ วเทหิ สาธุ 
      กิร ภวํ อานนฺโท เยน สุภสฺส มาณวสฺส โตเทยฺยปุตฺตสฺส นิเวสนํ  เตนุปสงกมตุ อนุกมฺปํ อุปาทาย
               มานี่แน่ะ พ่อหนุ่มน้อย เธอจงเข้าไปหาพระอานนท์ แล้วเรียนถามพระอานนท์ถึงความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ และจงพูดอย่างนี้ว่า สุภมาณพโตเทยยบุตร เรียนถามพระอานนท์ผู้เจริญ ถึงความมีอาพาธน้อย ความมีโรคน้อย ความคล่องแคล่ว ความมีกำลัง ความอยู่สำราญ และจงกล่าวอย่างนี้ว่า ขอประทานโอกาส ได้ยินว่า ขอพระอานนท์ผู้เจริญ โปรดอนุเคราะห์เข้าไปยังนิเวศน์ของสุภมาณพโตเทยยบุตรเถิด.
๗- ๔. ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๕
               ที่มาในอวธารณะ ห้ามความอื่น เช่นในประโยคมีอาทิว่า๘-
               ตํ กึ มญฺญถ กาลามา อิเม ธมฺมา ฯ เป ฯ เอวํ โน เอตฺถ โหติ
               ดูก่อนชาวกาลามะทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน? ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรืออกุศล. พวกชนชาวกาลามะต่างกราบทูลว่า เป็นอกุศล พระเจ้าข้า. มีโทษ หรือไม่มีโทษ? มีโทษพระเจ้าข้า. ท่านผู้รู้ติเตียนหรือท่านผู้รู้สรรเสริญ? ท่านผู้รู้ติเตียนพระเจ้าข้า. ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ หรือหาไม่ หรือท่านทั้งหลายมีความเห็นอย่างไรในข้อนี้? ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ ในข้อนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายมีความเห็นอย่างนี้ พระเจ้าข้า.
๘- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๕
               เอวํ ศัพท์นี้นั้นในพระบาลีนี้พึงเห็นใช้ในอรรถ คือ อาการะ ความชี้แจง ความห้ามความอื่น.
               บรรดาอรรถ ๓ อย่างนั้น ด้วย เอวํ ศัพท์ซึ่งมีอาการะเป็นอรรถ ท่านพระอานนท์แสดงเนื้อความนี้ว่า พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นละเอียดโดยนัยต่างๆ ตั้งขึ้นด้วยอัธยาศัยมิใช่น้อย สมบูรณ์ด้วยอรรถและพยัญชนะ มีปาฏิหาริย์ต่างๆ ลึกซึ้งโดยธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธ มาสู่คลองโสตสมควรแก่ภาษาของตนๆ ของสัตว์โลกทั้งปวง ใครเล่าที่สามารถเข้าใจได้โดยประการทั้งปวง แต่ข้าพเจ้าแม้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดให้เกิดความประสงค์ที่จะสดับ ก็ได้สดับมาอย่างนี้ คือ แม้ข้าพเจ้าก็ได้สดับมาโดยอาการอย่างหนึ่ง.
               ด้วย เอวํ ศัพท์ ซึ่งมีนิทัสสนะเป็นอรรถ
               ท่านพระอานนท์ เมื่อจะเปลื้องตนว่า ข้าพเจ้ามิใช่พระสยัมภู พระสูตรนี้ข้าพเจ้ามิได้กระทำให้แจ้ง จึงแสดงพระสูตรทั้งสิ้นที่ควรกล่าวในบัดนี้ว่า เอวมฺเม สุตํ คือ ข้าพเจ้าเองได้ยินมาอย่างนี้.
               ด้วย เอวํ ศัพท์ ซึ่งมีอวธารณะเป็นอรรถ
               ท่านพระอานนท์ เมื่อจะแสดงพลังด้านความทรงจำของตนอันควรแก่ภาวะ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า๙-
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อานนท์นี้เป็นเลิศกว่าภิกษุทั้งหลายผู้เป็นสาวกของเรา ซึ่งเป็นพหูสูต มีคติ มีสติ มีธิติ (ความทรงจำ) เป็นอุปฐาก ดังนี้
               และที่ท่านธรรมเสนาบดีพระสารีบุตรเถระสรรเสริญไว้อย่างนี้ว่า๑๐- ท่านพระอานนท์เป็นผู้ฉลาดในอรรถ ฉลาดในธรรม ฉลาดในพยัญชนะ ฉลาดในนิรุตติ ฉลาดในคำเบื้องต้นและคำเบื้องปลายดังนี้ ย่อมให้เกิดความประสงค์ที่จะสดับแก่สัตว์โลกทั้งหลาย โดยกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ และที่สดับนั้นก็ไม่ขาดไม่เกินทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ คืออย่างนี้เท่านั้น ไม่พึงเห็นเป็นอย่างอื่น.
๙- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙ ๑๐- องฺ. ปญฺจก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๑๖๙
               แก้อรรถบท เม               
               เม ศัพท์ เห็นใช้ในเนื้อความ ๓ อย่าง.
               จริงอย่างนั้น เม ศัพท์นี้มีเนื้อความเท่ากับ มยา เช่นในประโยคมีอาทิว่า คาถาภิคีตํ เม อโภชเนยฺยํ โภชนะที่ได้มาด้วยการขับกล่อม เราไม่ควรบริโภค.๑-
               มีเนื้อความเท่า มยฺหํ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สาธุ เม ภนฺเต ภควา สงฺขิตฺเตน ธมฺมํ เทเสตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าโปรดแสดงธรรมโดยย่อแก่ข้าพระองค์เถิด.๒-
               มีเนื้อความเท่ากับ มม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ธมฺมทายาทา เม ภิกฺขเว ภวถ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเป็นธรรมทายาทของเรา.
               แต่ในพระสูตรนี้ เม ศัพท์ ควรใช้ในอรรถ ๒ อย่าง คือ มยา สุตํ ข้าพเจ้าได้สดับมา และ มม สุตํ การสดับของข้าพเจ้า.๓-
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๕๖ ๒- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๙๙
๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๑
               แก้อรรถบทว่า สุตํ               
               สุต ศัพท์นี้ มีอุปสรรคและไม่มีอุปสรรค จำแนกเนื้อความได้หลายอย่าง เช่นเนื้อความว่าไป ว่าปรากฏ ว่ากำหนัด ว่าสั่งสม ว่าขวนขวาย ว่าสัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต และว่ารู้ตามโสตทวาร เป็นต้น.
               จริงอย่างนั้น สุต ศัพท์นี้ มีเนื้อความว่าไป เช่นในประโยคมีอาทิว่า เสนาย ปสุโต เสนาเคลื่อนไป. มีเนื้อความว่า เดินทัพ.
               มีเนื้อความว่าปรากฏ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธมฺมสฺส ปสฺสโต ผู้มีธรรมอันปรากฏแล้ว ผู้เห็นอยู่.๑- มีเนื้อความว่า ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว.
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๖๕๖ ขุ. อุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๕๑
               มีเนื้อความว่ากำหนัด เช่นในประโยคมีอาทิว่า อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการที่ชายผู้มีความกำหนัดมาลูบคลำจับต้องกาย.๒- มีเนื้อความว่า ภิกษุณีมีจิตชุ่มด้วยราคะ ยินดีการที่ชายผู้มีจิตชุ่มด้วยราคะมาจับต้องกาย.
               มีเนื้อความว่าสั่งสม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ บุญเป็นอันมาก ท่านทั้งหลายได้สั่งสมแล้ว.๓- มีเนื้อความว่า เข้าไปสั่งสมแล้ว.
               มีเนื้อความว่าขวนขวาย เช่นในประโยคมีอาทิว่า เย ฌานปสุตา ธีรา ปราชญ์ทั้งหลายเหล่าใดผู้ขวยขวายในฌาน.๔- มีเนื้อความว่า ประกอบเนืองๆ ในฌาน.
๒- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๓- ขุ. ขุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๘
๔- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔
               มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ รูปารมณ์ที่จักษุเห็น สัททารมณ์ที่โสตฟัง และอารมณ์ทั้งหลายที่ทราบ.๕- มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต.
               มีเนื้อความว่า รู้ตามโสตทวาร เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธโร สุตสนฺนิจฺจโย ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ.๖- มีเนื้อความว่า ทรงธรรมที่รู้ตามโสตทวาร.
๕- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๖- วิ. จุล. เล่ม ๖/ข้อ ๖๗๕
               แต่ในพระสูตรนี้ สุต ศัพท์นี้มีเนื้อความว่า จำหรือความจำตามโสตทวาร.
               ก็ เม ศัพท์ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มยา ย่อมประกอบความได้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา คือจำตามโสตทวารอย่างนี้ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มม ย่อมประกอบความได้ว่า การสดับของข้าพเจ้า คือความจำตามโสตทวารของข้าพเจ้า อย่างนี้.
               แก้อรรถ เอวมฺเม สุตํ               
               บรรดาบททั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ บทว่า เอวํ แสดงกิจแห่งวิญญาณมีโสตวิญญาณเป็นต้น.
 บทว่า เม แสดงบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ
ที่กล่าวแล้ว.
 บทว่า สุตํ แสดงการรับไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน และไม่วิปริต เพราะปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ ประกาศภาวะที่เป็นไปในอารมณ์ที่ประกอบต่างๆ ตามวิถีวิญญาณที่เป็นไปตามโสตทวารนั้น.                           บทว่า เม เป็นคำประกาศตน.
                      บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศธรรม.
               ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้กระทำสิ่งอื่น แต่ได้กระทำสิ่งนี้ คือได้สดับธรรมนี้ ตามวิถีวิญญาณอันเป็นไปในอารมณ์โดยประการต่างๆ.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นคำประกาศข้อควรชี้แจง.
 บทว่า เม เป็นคำประกาศถึงตัวบุคคล.
 บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศถึงกิจของบุคคล.
               อธิบายว่า ข้าพเจ้าจักชี้แจงพระสูตรใด พระสูตรนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ ชี้แจงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน.
               จริงอยู่ ศัพท์ว่า เอวํ นี้ เป็นอาการบัญญัติ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงผู้ทำ. ศัพท์ สุตํ เป็นคำชี้ถึงอารมณ์
               ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันจิตสันดานที่เป็นไปโดยอาการต่างกัน กระทำการตกลงรับอารมณ์ ของผู้ทำที่มีความพร้อมเพรียงด้วยจิตสันดานนั้น.
               อีกประการหนึ่ง ศัพท์ว่า เอวํ เป็นคำชี้กิจของบุคคล. ศัพท์ว่า สุตํ เป็นคำชี้ถึงกิจของวิญญาณ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้งสอง.
               ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้า คือบุคคลผู้ประกอบด้วยโสตวิญญาณ ได้สดับมาด้วยโวหารว่า สวนกิจที่ได้มาด้วยอำนาจวิญญาณ.
               บรรดาศัพท์ทั้ง ๓ นั้น ศัพท์ว่า เอวํ และศัพท์ว่า เม เป็นอวิชชมานบัญญัติ ด้วยอำนาจสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เพราะในพระบาลีนี้ ข้อที่ควรจะได้ชี้แจงว่า เอวํ ก็ดี ว่า เม ก็ดี นั้น ว่าโดยปรมัตถ์จะมีอยู่อย่างไร.
 บทว่า สุตํ เป็นวิชชมานบัญญัติ เพราะอารมณ์ที่ได้ทางโสต ในบทนี้นั้น ว่าโดยปรมัตถ์มีอยู่.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ และ เม เป็นอุปาทาบัญญัติ เพราะมุ่งกล่าวอารมณ์นั้นๆ.
               บทว่า สุตํ เป็นอุปนิธาบัญญัติ เพราะกล่าวอ้างถึงอารมณ์มีอารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น.
               ก็ในพระบาลีนี้ ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่หลง. เพราะคนหลงย่อมไม่สามารถแทงตลอดโดยประการต่างๆ ได้.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมา เพราะผู้ที่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมานั้น ย่อมไม่รู้ชัดว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยกาลพิเศษ.
               ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านพระอานนท์นี้ย่อมมีความสำเร็จทางปัญญา ด้วยความไม่หลง และย่อมมีความสำเร็จทางสติ ด้วยความไม่ลืม.
               ในความสำเร็จ ๒ ประการนั้น สติอันมีปัญญานำ สามารถห้าม (ความอื่น) โดยพยัญชนะ ปัญญาอันมีสตินำ สามารถแทงตลอดโดยอรรถ. โดยที่มีความสามารถทั้ง ๒ ประการนั้น ย่อมสำเร็จภาวะที่ท่านพระอานนท์จะได้นามว่าขุนคลังแห่งพระธรรม เพราะสามารถจะอนุรักษ์คลังพระธรรม ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ.
               อีกนัยหนึ่ง               
               ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงโยนิโสมนสิการ เพราะผู้ที่ไม่มีโยนิโสมนสิการ ไม่แทงตลอดโดยประการต่างๆ.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่านฟังไม่ได้.
               จริงอย่างนั้น บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แม้เขาจะพูดด้วยความสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็ยังพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ขอจงพูดซ้ำ.
               ก็ในคุณ ๒ ข้อนี้ ท่านพระอานนท์ทำอัตตสัมมาปณิธิ และปุพเพกตปุญญตาให้สำเร็จได้ ด้วยโยนิโสมนสิการ เพราะผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน จะไม่มีโยนิโสมนสิการ ท่านพระอานนท์ทำการฟังพระสัทธรรมและการพึ่งสัตบุรุษให้สำเร็จได้ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่สามารถจะฟังได้ และผู้ไม่พึ่งสัตบุรุษ ก็ไม่มีการสดับฟัง.
               อีกนัยหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า บทว่า เอวํ แสดงไขอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถะและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน และอาการอันเจริญอย่างนี้นั้น ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน ฉะนั้น ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติคือจักร ๒ ข้อเบื้องปลายของตนด้วยอาการอันเจริญนี้.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติ คือจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องต้นของตนด้วยการประกอบการฟัง เพราะผู้ที่อยู่ในถิ่นฐานอันมิใช่เป็นปฏิรูปเทศก็ดี ผู้ที่เว้นการพึ่งสัตบุรุษก็ดี ย่อมไม่มีการฟังด้วยประการฉะนี้.
               ความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยย่อมเป็นอันสำเร็จแก่ท่าน เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องปลาย ความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จ เพราะความสำเร็จแห่งจักร ๒ ข้อเบื้องต้น และด้วยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยนั้นย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปฏิเวธ ด้วยความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปริยัติด้วยประการฉะนี้ ถ้อยคำของท่านพระอานนท์ผู้มีความเพียรและอัธยาศัยบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิเวธ ย่อมควรที่จะเป็นคำเริ่มแรกแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนความขึ้นไปแห่งอรุณเป็นเบื้องต้นของดวงอาทิตย์ที่กำลังอุทัยอยู่ และเหมือนโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เหตุดังนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อจะตั้งคำเป็นนิทานในฐานะอันควร จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
               อีกนัยหนึ่ง ด้วยคำแสดงการแทงตลอดมีประการต่างๆ ว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติ คืออัตถปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตน. ด้วยคำแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแห่งธรรมที่ควรสดับว่า สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติคือธัมมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา.
               อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวคำอันแสดงโยนิโสมนสิการว่า เอวํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำอันแสดงการประกอบด้วยการสดับว่า สุตํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้สดับแล้ว ทรงจำไว้แล้ว คล่องปาก. เมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถและพยัญชนะ แม้ด้วยคำทั้งสองนั้น ย่อมให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง เพราะว่าผู้ไม่สดับธรรมที่บริบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อ ย่อมเหินห่างจากประโยชน์เกื้อกูลอันใหญ่ เพราะเหตุดังนี้นั้น กุลบุตรควรจะให้เกิดความเอื้อเฟื้อฟังธรรมนี้โดยเคารพแล.
               อนึ่ง ด้วยคำทั้งหมดว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์มิได้ตั้งธรรมที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เพื่อตนย่อมล่วงพ้นภูมิอสัตบุรุษ เมื่อปฏิญาณความเป็นสาวกย่อมก้าวลงสู่ภูมิสัตบุรุษ.
               อนึ่ง ย่อมยังจิตให้ออกพ้นจากอสัทธรรม ย่อมยังจิตให้ดำรงอยู่ในพระสัทธรรม เมื่อแสดงว่า ก็พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยสิ้นเชิงทีเดียว ชื่อว่าย่อมเปลื้องตน ย่อมแสดงอ้างพระบรมศาสดา ทำพระดำรัสของพระชินเจ้าให้แนบแน่นประดิษฐานแบบแผนพระธรรมไว้.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญาณว่าธรรมอันตนให้เกิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ เปิดเผยการสดับในเบื้องต้น ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศรัทธาในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณทั้งสี่ ผู้ทรงกำลังสิบ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอันองอาจ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรมเป็นประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมให้หมุนไป ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ ใครๆ ไม่ควรทำความสงสัยหรือเคลือบแคลงในอรรถหรือธรรม ในบทหรือพยัญชนะ เพราะฉะนั้น พระอานนท์ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ ยังสัทธาสัมปทาให้เกิดขึ้นในธรรมนี้ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวคาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า.
                         พระอานนทเถระผู้เป็นสาวกของพระโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า
                         ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
                         ย่อมยังศรัทธาในพระศาสนาให้เจริญ ดังนี้.
               แก้อรรถบท เอกํ สมยํ               
               บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดนับ. บทว่า สมยํ แสดงสมัยที่กำหนด. สองบทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยที่ไม่แน่นอน.
               สมย ศัพท์ ในบทว่า สมยํ นั้น ปรากฏในความว่าพร้อมเพรียง ขณะ กาล ประชุม เหตุ ลัทธิ ได้เฉพาะ ละ และแทงตลอด.
               จริงอย่างนั้น สมย ศัพท์นั้นมีเนื้อความว่า พร้อมเพรียง เช่นในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า อปฺเปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลํ จ สมยํ จ อุปาทาย ชื่อแม้ไฉน เราทั้งหลายกำหนดกาลและความพร้อมเพรียงแล้ว พึงเข้าไปหาแม้ในวันพรุ่งนี้.๑-
               มีเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โอกาสและขณะเพื่อการอยู่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้นแล.๒-
               มีเนื้อความว่า กาล เช่นในประโยคมีอาทิว่า อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย กาลร้อน กาลกระวนกระวาย.๓-
               มีเนื้อความว่า ประชุม เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหาสมโย ปวนสฺมึ การประชุมใหญ่ ในป่าใหญ่.๔-
๑- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖ ๒- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๑๙
๓- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๑๑ ๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๖
               มีเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า๕-
               สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ภทฺทาลิ นาม
             ภิกฺขุ สตฺถุ สาสเน สิกฺขาย น ปริปูริการีติ อยํปิ โข เต ภทฺทาลิ สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ.
               ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุนี้แล เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้นครสาวัตถี แม้พระองค์จักทราบเราว่า ภิกษุชื่อภัททาลิเป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดังนี้
               ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้ว.
๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๖๓
               มีเนื้อความว่ากำหนัด เช่นในประโยคมีอาทิว่า อวสฺสุตา อวสฺสุตสฺส ภิกษุณีมีความกำหนัดยินดีการที่ชายผู้มีความกำหนัดมาลูบคลำจับต้องกาย.๒- มีเนื้อความว่า ภิกษุณีมีจิตชุ่มด้วยราคะ ยินดีการที่ชายผู้มีจิตชุ่มด้วยราคะมาจับต้องกาย.
               มีเนื้อความว่าสั่งสม เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตุมฺเหหิ ปุญฺญํ ปสุตํ อนปฺปกํ บุญเป็นอันมาก ท่านทั้งหลายได้สั่งสมแล้ว.๓- มีเนื้อความว่า เข้าไปสั่งสมแล้ว.
               มีเนื้อความว่าขวนขวาย เช่นในประโยคมีอาทิว่า เย ฌานปสุตา ธีรา ปราชญ์ทั้งหลายเหล่าใดผู้ขวยขวายในฌาน.๔- มีเนื้อความว่า ประกอบเนืองๆ ในฌาน.
๒- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๓- ขุ. ขุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๘
๔- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๔
               มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ทิฏฺฐํ สุตํ มุตํ รูปารมณ์ที่จักษุเห็น สัททารมณ์ที่โสตฟัง และอารมณ์ทั้งหลาย
ที่ทราบ.๕- มีเนื้อความว่า สัททารมณ์ที่รู้ด้วยโสต.
               มีเนื้อความว่า รู้ตามโสตทวาร เช่นในประโยคมีอาทิว่า สุตธโร สุตสนฺนิจฺจโย ทรงสุตะ สั่งสมสุตะ.๖- มีเนื้อความว่า ทรงธรรมที่รู้ตามโสตทวาร.
๕- วิ. ภิกฺขุนี. เล่ม ๓/ข้อ ๑ ๖- วิ. จุล. เล่ม ๖/ข้อ ๖๗๕
               แต่ในพระสูตรนี้ สุต ศัพท์นี้มีเนื้อความว่า จำหรือความจำตามโสตทวาร.
               ก็ เม ศัพท์ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มยา ย่อมประกอบความได้ว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา คือจำตามโสตทวารอย่างนี้ เมื่อมีเนื้อความเท่ากับ มม ย่อมประกอบความได้ว่า การสดับของข้าพเจ้า คือความจำตามโสตทวารของข้าพเจ้า อย่างนี้.
               แก้อรรถ เอวมฺเม สุตํ               
               บรรดาบททั้ง ๓ ดังกล่าวมานี้ บทว่า เอวํ แสดงกิจแห่งวิญญาณมีโสตวิญญาณเป็นต้น.
                    บทว่า เม แสดงบุคคลผู้มีความพร้อมเพรียงด้วยวิญญาณ ที่กล่าวแล้ว.
                   บทว่า สุตํ แสดงการรับไว้อย่างไม่ขาดไม่เกิน และไม่วิปริต เพราะปฏิเสธภาวะที่ไม่ได้ยิน.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ ประกาศภาวะที่เป็นไปในอารมณ์ที่ประกอบต่างๆ ตามวิถีวิญญาณที่เป็นไปตามโสตทวารนั้น.
                        บทว่า เม เป็นคำประกาศตน.
                           บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศธรรม.
               ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้ามิได้กระทำสิ่งอื่น แต่ได้กระทำสิ่งนี้ คือได้สดับธรรมนี้ ตามวิถีวิญญาณอันเป็นไปในอารมณ์โดยประการต่างๆ.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ เป็นคำประกาศข้อควรชี้แจง.
     บทว่า เม เป็นคำประกาศถึงตัวบุคคล.
  บทว่า สุตํ เป็นคำประกาศถึงกิจของบุคคล.
               อธิบายว่า ข้าพเจ้าจักชี้แจงพระสูตรใด พระสูตรนั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ ชี้แจงอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน.
               จริงอยู่ ศัพท์ว่า เอวํ นี้ เป็นอาการบัญญัติ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงผู้ทำ. ศัพท์ สุตํ เป็นคำชี้ถึงอารมณ์
               ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันจิตสันดานที่เป็นไปโดยอาการต่างกัน กระทำการตกลงรับอารมณ์ ของผู้ทำที่มีความพร้อมเพรียงด้วยจิตสันดานนั้น.
               อีกประการหนึ่ง ศัพท์ว่า เอวํ เป็นคำชี้กิจของบุคคล. ศัพท์ว่า สุตํ เป็นคำชี้ถึงกิจของวิญญาณ. ศัพท์ เม เป็นคำชี้ถึงบุคคลผู้ประกอบกิจทั้งสอง.
               ก็ในพระบาลีนี้ มีความย่อดังนี้ว่า ข้าพเจ้า คือบุคคลผู้ประกอบด้วยโสตวิญญาณ ได้สดับมาด้วยโวหารว่า สวนกิจที่ได้มาด้วยอำนาจวิญญาณ.
               บรรดาศัพท์ทั้ง ๓ นั้น ศัพท์ว่า เอวํ และศัพท์ว่า เม เป็นอวิชชมานบัญญัติ ด้วยอำนาจสัจฉิกัตถปรมัตถ์ เพราะในพระบาลีนี้ ข้อที่ควรจะได้ชี้แจงว่า เอวํ ก็ดี ว่า เม ก็ดี นั้น ว่าโดยปรมัตถ์จะมีอยู่อย่างไร. บทว่า สุตํ เป็นวิชชมานบัญญัติ เพราะอารมณ์ที่ได้ทางโสต ในบทนี้นั้น ว่าโดยปรมัตถ์มีอยู่.
               อนึ่ง บทว่า เอวํ และ เม เป็นอุปาทาบัญญัติ เพราะมุ่งกล่าวอารมณ์นั้นๆ.
               บทว่า สุตํ เป็นอุปนิธาบัญญัติ เพราะกล่าวอ้างถึงอารมณ์มีอารมณ์ที่เห็นแล้วเป็นต้น.
               ก็ในพระบาลีนี้ ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่หลง. เพราะคนหลงย่อมไม่สามารถแทงตลอดโดยประการต่างๆ ได้.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมา เพราะผู้ที่ลืมถ้อยคำที่ได้สดับมานั้น ย่อมไม่รู้ชัดว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยกาลพิเศษ.
               ด้วยอาการอย่างนี้ ท่านพระอานนท์นี้ย่อมมีความสำเร็จทางปัญญา ด้วยความไม่หลง และย่อมมีความสำเร็จทางสติ ด้วยความไม่ลืม.
               ในความสำเร็จ ๒ ประการนั้น สติอันมีปัญญานำ สามารถห้าม (ความอื่น) โดยพยัญชนะ ปัญญาอันมีสตินำ สามารถแทงตลอดโดยอรรถ. โดยที่มีความสามารถทั้ง ๒ ประการนั้น ย่อมสำเร็จภาวะที่ท่านพระอานนท์จะได้นามว่าขุนคลังแห่งพระธรรม เพราะสามารถจะอนุรักษ์คลังพระธรรม ซึ่งสมบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะ.
               อีกนัยหนึ่ง               
               ด้วยคำว่า เอวํ ท่านพระอานนท์แสดงโยนิโสมนสิการ เพราะผู้ที่ไม่มีโยนิโสมนสิการ ไม่แทงตลอดโดยประการต่างๆ.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้ที่มีจิตฟุ้งซ่านฟังไม่ได้.
               จริงอย่างนั้น บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่าน แม้เขาจะพูดด้วยความสมบูรณ์ทุกอย่าง ก็ยังพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ยิน ขอจงพูดซ้ำ.
               ก็ในคุณ ๒ ข้อนี้ ท่านพระอานนท์ทำอัตตสัมมาปณิธิ และปุพเพกตปุญญตาให้สำเร็จได้ ด้วยโยนิโสมนสิการ เพราะผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน จะไม่มีโยนิโสมนสิการ ท่านพระอานนท์ทำการฟังพระสัทธรรมและการพึ่งสัตบุรุษให้สำเร็จได้ ด้วยความไม่ฟุ้งซ่าน เพราะผู้มีจิตฟุ้งซ่าน ไม่สามารถจะฟังได้ และผู้ไม่พึ่งสัตบุรุษ ก็ไม่มีการสดับฟัง.
               อีกนัยหนึ่ง เพราะข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วว่า บทว่า เอวํ แสดงไขอาการต่างๆ ของจิตสันดาน ซึ่งเป็นตัวรับอรรถะและพยัญชนะต่างๆ ด้วยเป็นไปโดยอาการต่างกัน และอาการอันเจริญอย่างนี้นั้น ย่อมไม่มีแก่บุคคลผู้มิได้ตั้งตนไว้ชอบ หรือมิได้กระทำความดีไว้ก่อน ฉะนั้น ด้วยคำว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติคือจักร ๒ ข้อเบื้องปลายของตนด้วยอาการอันเจริญนี้.
               ด้วยคำว่า สุตํ ท่านพระอานนท์แสดงสมบัติ คือจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องต้นของตนด้วยการประกอบการฟัง เพราะผู้ที่อยู่ในถิ่นฐานอันมิใช่เป็นปฏิรูปเทศก็ดี ผู้ที่เว้นการพึ่งสัตบุรุษก็ดี ย่อมไม่มีการฟังด้วยประการฉะนี้.
               ความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยย่อมเป็นอันสำเร็จแก่ท่าน เพราะความสำเร็จแห่งจักรธรรม ๒ ข้อเบื้องปลาย ความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จ เพราะความสำเร็จแห่งจักร ๒ ข้อเบื้องต้น และด้วยความบริสุทธิ์แห่งอัธยาศัยนั้นย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปฏิเวธ ด้วยความบริสุทธิ์แห่งความเพียรย่อมเป็นอันสำเร็จความฉลาดในปริยัติด้วยประการฉะนี้ ถ้อยคำของท่านพระอานนท์ผู้มีความเพียรและอัธยาศัยบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยปริยัติและปฏิเวธ ย่อมควรที่จะเป็นคำเริ่มแรกแห่งพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนความขึ้นไปแห่งอรุณเป็นเบื้องต้นของดวงอาทิตย์ที่กำลังอุทัยอยู่ และเหมือนโยนิโสมนสิการเป็นเบื้องต้นแห่งกุศลกรรมฉะนั้น เหตุดังนั้น ท่านพระอานนท์ เมื่อจะตั้งคำเป็นนิทานในฐานะอันควร จึงกล่าวคำเป็นต้นว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้.
               อีกนัยหนึ่ง ด้วยคำแสดงการแทงตลอดมีประการต่างๆ ว่า เอวํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติ คืออัตถปฏิสัมภิทาและปฏิภาณปฏิสัมภิทาของตน. ด้วยคำแสดงถึงการแทงตลอดประเภทแห่งธรรมที่ควรสดับว่า สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์แสดงถึงสภาพแห่งสมบัติคือธัมมปฏิสัมภิทาและนิรุตติปฏิสัมภิทา.
               อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวคำอันแสดงโยนิโสมนสิการว่า เอวํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเหล่านี้ ข้าพเจ้าเพ่งด้วยใจ แทงตลอดดีแล้วด้วยทิฏฐิ เมื่อกล่าวคำอันแสดงการประกอบด้วยการสดับว่า สุตํ นี้ย่อมแสดงว่า ธรรมเป็นอันมาก ข้าพเจ้าได้สดับแล้ว ทรงจำไว้แล้ว คล่องปาก. เมื่อแสดงความบริบูรณ์แห่งอรรถและพยัญชนะ แม้ด้วยคำทั้งสองนั้น ย่อมให้เกิดความเอื้อเฟื้อในการฟัง เพราะว่าผู้ไม่สดับธรรมที่บริบูรณ์ด้วยอรรถะและพยัญชนะโดยเอื้อเฟื้อ ย่อมเหินห่างจากประโยชน์
เกื้อกูลอันใหญ่ เพราะเหตุดังนี้นั้น กุลบุตรควรจะให้เกิดความเอื้อเฟื้อฟังธรรมนี้โดยเคารพแล.
               อนึ่ง ด้วยคำทั้งหมดว่า เอวมฺเม สุตํ นี้ ท่านพระอานนท์มิได้ตั้งธรรมที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เพื่อตนย่อมล่วงพ้นภูมิอสัตบุรุษ เมื่อปฏิญาณความเป็นสาวกย่อมก้าวลงสู่ภูมิสัตบุรุษ.
               อนึ่ง ย่อมยังจิตให้ออกพ้นจากอสัทธรรม ย่อมยังจิตให้ดำรงอยู่ในพระสัทธรรม เมื่อแสดงว่า ก็พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเท่านั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาโดยสิ้นเชิงทีเดียว ชื่อว่าย่อมเปลื้องตน ย่อมแสดงอ้างพระบรมศาสดา ทำพระดำรัสของพระชินเจ้าให้แนบแน่นประดิษฐานแบบแผนพระธรรมไว้.
               อีกอย่างหนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อไม่ปฏิญาณว่าธรรมอันตนให้เกิดขึ้นว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ เปิดเผยการสดับในเบื้องต้น ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
 ย่อมยังความถึงพร้อมแห่งศรัทธาในธรรมนี้ให้เกิดขึ้นแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงว่า พระดำรัสนี้ข้าพเจ้าได้รับมาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้แกล้วกล้าด้วยเวสารัชญาณทั้งสี่ ผู้ทรงกำลังสิบ ผู้ดำรงอยู่ในฐานะอันองอาจ ผู้บันลือสีหนาท ผู้สูงสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นใหญ่ในธรรม ผู้เป็นธรรมราชา ผู้เป็นธรรมาธิบดี ผู้มีธรรมเป็นประทีป ผู้มีธรรมเป็นสรณะ ผู้ยังจักรอันประเสริฐ คือพระสัทธรรมให้หมุนไป ผู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ในพระดำรัสนี้ ใครๆ ไม่ควรทำความสงสัยหรือเคลือบแคลงในอรรถหรือธรรม ในบทหรือพยัญชนะ เพราะฉะนั้น พระอานนท์ย่อมยังความเป็นผู้ไม่มีศรัทธาให้พินาศ ยังสัทธาสัมปทาให้เกิดขึ้นในธรรมนี้ แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งปวง ด้วยประการฉะนี้ ด้วยเหตุดังนี้นั้น ท่านจึงกล่าวคาถาประพันธ์ไว้ดังนี้ว่า.
                         พระอานนทเถระผู้เป็นสาวกของพระโคดม กล่าวอย่างนี้ว่า
                         ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ย่อมยังความไม่ศรัทธาให้พินาศ
                         ย่อมยังศรัทธาในพระศาสนาให้เจริญ ดังนี้.
               แก้อรรถบท เอกํ สมยํ               
               บทว่า เอกํ แสดงการกำหนดนับ. บทว่า สมยํ แสดงสมัยที่กำหนด. สองบทว่า เอกํ สมยํ แสดงสมัยที่ไม่แน่นอน.
               สมย ศัพท์ ในบทว่า สมยํ นั้น ปรากฏในความว่าพร้อมเพรียง ขณะ กาล ประชุม เหตุ ลัทธิ ได้เฉพาะ ละ และแทงตลอด.
               จริงอย่างนั้น สมย ศัพท์นั้นมีเนื้อความว่า พร้อมเพรียง เช่นในประโยคมีอาทิอย่างนี้ว่า อปฺเปวนาม เสฺวปิ อุปสงฺกเมยฺยาม กาลํ จ สมยํ จ อุปาทาย ชื่อแม้ไฉน เราทั้งหลายกำหนดกาลและความพร้อมเพรียงแล้ว พึงเข้าไปหาแม้ในวันพรุ่งนี้.๑-
               มีเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า เอโก จ โข ภิกฺขเว ขโณ จ สมโย จ พฺรหฺมจริยวาสาย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โอกาสและขณะเพื่อการอยู่พรหมจรรย์อย่างเดียวเท่านั้นแล.๒-
               มีเนื้อความว่า กาล เช่นในประโยคมีอาทิว่า อุณฺหสมโย ปริฬาหสมโย กาลร้อน กาลกระวนกระวาย.๓-
               มีเนื้อความว่า ประชุม เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหาสมโย ปวนสฺมึ การประชุมใหญ่ ในป่าใหญ่.๔-
๑- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖ ๒- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๑๙
๓- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๑๑ ๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๒๓๖
               มีเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า๕-
               สมโยปิ โข เต ภทฺทาลิ อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ ภควา โข สาวตฺถิยํ วิหรติ ภควาปิ มํ ชานิสฺสติ ภทฺทาลิ นาม ภิกฺขุ สตฺถุ สาสเน สิกฺขาย น ปริปูริการีติ อยํปิ โข เต ภทฺทาลิ สมโย อปฺปฏิวิทฺโธ อโหสิ.
               ดูก่อนภัททาลิ แม้เหตุนี้แล เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้วว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใกล้นครสาวัตถี แม้พระองค์จักทราบเราว่า ภิกษุชื่อภัททาลิเป็นผู้ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในสิกขาในศาสนาของพระศาสดา ดังนี้
               ดูก่อนภัททาลิ เหตุแม้นี้แล ได้เป็นเหตุอันเธอไม่แทงตลอดแล้ว.
๕- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๖๓
               แก้อรรถบท ภควา               
               บทว่า ภควา แปลว่า ครู.
               จริงอยู่ บัณทิตทั้งหลายเรียกครูว่า ภควาในโลก. และพระผู้มีพระภาคเจ้านี้ก็ทรงเป็นครูของสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพราะทรงเป็นผู้ประเสริฐที่สุดโดยคุณทั้งปวง ฉะนั้น พึงทราบว่า ทรงเป็นภควา.
               แม้พระโบราณาจารย์ทั้งหลายก็กล่าวไว้ว่า
                         คำว่า ภควา เป็นคำประเสริฐสุด คำว่า ภควา เป็นคำสูงสุด
                         เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นทรงควรแก่ความเคารพโดย
                         ฐานเป็นครู ฉะนั้น จึงทรงพระนามว่า ภควา.
               อีกอย่างหนึ่ง
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีโชค ทรงหักกิเลส ทรงประกอบ
                         ด้วยภคธรรม ทรงจำแนกแจกธรรม ทรงคบธรรม และ
                         ทรงคายกิเลสเป็นเครื่องไปในภพทั้งหลายได้แล้ว เหตุนั้น
                         จึงทรงพระนามว่า ภควา.
               บทว่า ภควา นี้มีเนื้อความที่ควรทราบโดยพิสดารด้วยสามารถแห่งคาถานี้ และเนื้อความนั้น ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในนิเทศแห่งพุทธานุสสติในคัมภีร์วิสุทธิมรรค.
               แก้อรรถบท เอวมฺเม สุตํ เอกํ สมยํ ภควา               
               ก็ด้วยลำดับแห่งคำเพียงเท่านี้ ในบรรดาคำเหล่านี้ ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อแสดงธรรมตามที่ได้สดับมา ชื่อว่าย่อมกระทำพระธรรมกายของพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ประจักษ์. ด้วยคำนั้น ท่านย่อมยังประชาชนผู้กระวนกระวายเพราะไม่ได้เห็นพระศาสดาให้เบาใจว่า ปาพจน์คือ พระธรรมวินัยนี้มีพระศาสดาล่วงไปแล้ว หามิได้ พระธรรมกายนี้เป็นพระศาสดาของท่านทั้งหลาย ดังนี้.
               ด้วยคำว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ท่านพระอานนท์ เมื่อแสดงว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้มีอยู่ในสมัยนั้น ชื่อว่าย่อมประกาศการเสด็จปรินิพพานแห่งพระรูปกาย. ด้วยคำนั้น ท่านพระอานนท์ย่อมยังประชาชนผู้มัวเมาในชีวิตให้สลด และยังอุตสาหะในพระสัทธรรมให้เกิดแก่ประชาชนนั้นว่า แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้มีพระวรกายเสมอด้วยกายเพชร ทรงไว้ซึ่งกำลังสิบ ทรงแสดงอริยธรรมชื่ออย่างนี้ ยังเสด็จปรินิพพาน คนอื่นใครเล่าจะพึงยังความหวังในชีวิตให้เกิดได้.
               อนึ่ง ท่านพระอานนท์ เมื่อกล่าวว่า อย่างนี้ ชื่อว่าย่อมแสดงซึ่งเทศนาสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สดับมา ชื่อว่าย่อมแสดงสาวกสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า สมัยหนึ่ง ชื่อว่าย่อมแสดงกาลสมบัติ. เมื่อกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า ชื่อว่าย่อมแสดงเทสกสมบัติ.
               แก้อรรถคำ อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาลนฺทํ               
               อนฺตรา ศัพท์ในคำว่า อนฺตรา จ ราชคหํ อนฺตรา จ นาลนฺทํ เป็นไปในเนื้อความว่า เหตุ ขณะ จิต ท่ามกลาง และระหว่าง เป็นต้น
               อนฺตราศัพท์เป็นไปในเนื้อความว่า เหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตทนฺนตรํ โก ชาเนยฺย อญฺญตฺร ตถาคตา ใครจะพึงรู้เหตุนั้น นอกจากพระตถาคต๑- และว่า ชนา สงฺคมฺม มนฺเตนติ มญฺจ ตญฺจ กิมนฺตรํ ชนทั้งหลายมาประชุมปรึกษาเหตุอะไรกะข้าพเจ้าและกะท่าน.๒-
๑- องฺ. ฉกฺก. เล่ม ๒๒/ข้อ ๓๑๕ ๒- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๘๑
               ในเนื้อความว่า ขณะ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อทฺทส มํ ภนฺเต อนฺตรา อิตฺถี วิชฺชนฺตริกาย ภาชนํ โธวนฺตี ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หญิงคนหนึ่งล้างภาชนะ ฟ้าแลบ ได้เห็นข้าพระองค์.๓-
               ในเนื้อความว่า จิต เช่นในประโยคมีอาทิว่า ยสฺสนฺตรโต น สนฺติ โกปา ความกำเริบไม่มีในจิตของบุคคลใด.๔-
               ในเนื้อความว่า ท่ามกลาง เช่นในประโยคมีอาทิว่า อนฺตรา โวสานมาปาทิ ถึงที่สุดในท่ามกลาง.
               ในเนื้อความว่า ระหว่าง เช่นในประโยคมีอาทิว่า อปิจายํ ตโปทา ทฺวินฺนํ มหานิรยานํ อนฺตริกายาคจฺฉนฺติ อีกอย่างหนึ่ง บ่อน้ำร้อน ชื่อตโปทานี้ มาในระหว่างมหานรกทั้งสอง.
๓- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๑๗๖ ๔- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๓๔๗
               อนฺตรศัพท์นี้นั้น ในที่นี้เป็นไปในเนื้อความว่า ระหว่าง เพราะฉะนั้น ในที่นี้พึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า ในระหว่างแห่งกรุงราชคฤห์และนาลันทา. แต่เพราะท่านประกอบด้วยอนฺตรศัพท์ ท่านจึงทำเป็นทุติยาวิภัตติ. ก็ในฐานะเช่นนี้ นักอักษรศาสตร์ทั้งหลายใช้อนฺตราศัพท์เดียวเท่านั้น อย่างนี้ว่า อนฺตรา คามญฺจ นทิญฺจ ยาติ ไประหว่างบ้านและแม่น้ำ. อนฺตราศัพท์นั้นควรใช้ในบทที่สองด้วย เมื่อไม่ใช้ย่อมไม่เป็นทุติยาวิภัตติ. แต่ในที่นี้ ท่านใช้ไว้แล้วจึงกล่าวไว้อย่างนี้แล.
               แก้อรรถบท อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ เป็นต้น               
               บทว่า อทฺธานมคฺคปฏิปนฺโน โหติ ความว่า ทรงดำเนินสู่ทางไกล. อธิบายว่า ทางยาว. จริงอยู่ แม้กึ่งโยชน์ก็ชื่อว่าทางไกล โดยพระบาลีในวิภังค์แห่งสมัยเดินทางไกลมีอาทิว่า พึงบริโภคด้วยคิดว่าเราจักเดินทางกึ่งโยชน์.
               ก็จากกรุงราชคฤห์ถึงเมืองนาลันทา ประมาณโยชน์หนึ่ง.
               บทว่า ใหญ่ ในคำว่า กับด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่. ความว่า ใหญ่ทั้งโดยคุณทั้งโดยจำนวน. จริงอยู่ ภิกษุสงฆ์นั้นชื่อว่าใหญ่โดยคุณ เพราะประกอบด้วยคุณธรรมมีความเป็นผู้มีความปรารถนาน้อยเป็นต้น ชื่อว่าใหญ่โดยจำนวน เพราะมีจำนวนถึงห้าร้อย. หมู่แห่งภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าภิกษุสงฆ์ ด้วยภิกษุสงฆ์นั้น. อธิบายว่า ด้วยหมู่สมณะ กล่าวคือเป็นพวกที่มีความเสมอกันด้วยทิฏฐิและศีล.
               บทว่า กับ คือ โดยความเป็นอันเดียวกัน.
               บทว่า ภิกษุประมาณห้าร้อย มีวิเคราะห์ว่า
               ประมาณของภิกษุเหล่านั้น ห้า เพราะเหตุนั้น ภิกษุเหล่านั้นจึงชื่อว่ามีประมาณห้า. ประมาณท่านเรียกว่า มัตตะ. เพราะฉะนั้น เมื่อกล่าวว่าผู้รู้จักประมาณในโภชนะ ก็มีความว่ารู้จักประมาณ คือรู้จักขนาดในการบริโภคฉันใด แม้ในบทว่า มีประมาณห้า นี้ก็พึงเห็นความอย่างนี้ว่า ประมาณห้า คือขนาดห้าของภิกษุจำนวนร้อยเหล่านั้น. ร้อยของภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่าร้อยหนึ่ง. ด้วยภิกษุประมาณห้าร้อยเหล่านั้น.
               บทว่า สุปปิยะ ในคำว่า แม้สุปปิยปริพาชกแล เป็นชื่อของปริพาชกนั้น. ปิอักษร มีเนื้อความประมวลบุคคล เพราะเป็นเพื่อนเดินทาง. โขอักษรเป็นคำต่อบท ท่านกล่าวด้วยอำนาจเป็นความสละสลวยแห่งพยัญชนะ.
               คำว่า ปริพาชก ได้แก่ ปริพาชกนุ่งผ้า เป็นศิษย์ของสญชัย. อธิบายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จดำเนินทางไกลนั้นในกาลใด แม้สุปปิยปริพาชกก็ได้เดินทางในกาลนั้น.
               ก็ โหติ ศัพท์ในพระบาลีนี้ มีเนื้อความเป็นอดีตกาล.
               ในคำว่า กับด้วยพรหมทัตมาณพผู้เป็นศิษย์ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้
               ชื่อว่า อันเตวาสี เพราะอรรถว่าอยู่ภายใน. อธิบายว่า เที่ยวไปในที่ใกล้ ท่องเที่ยวไปในสำนัก ได้แก่เป็นศิษย์.
               คำว่า พรหมทัต เป็นชื่อของศิษย์นั้น.
               คำว่า มาณพ ท่านเรียกสัตว์บ้าง โจรบ้าง ชายหนุ่มบ้าง.
               จริงอยู่ สัตว์ เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า มาณพเหล่าใดถูกเทวทูตเตือนแล้ว ยังประมาทอยู่ มาณพเหล่านั้นเป็นนระผู้เข้าถึงหมู่ที่เลว ย่อมเศร้าโศกตลอดกาลนาน.๑-
๑- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๒๕
               โจร เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า สมาคมกับพวกมาณพผู้กระทำกรรมบ้าง ไม่ได้กระทำกรรมบ้าง.
               ชายหนุ่ม เรียกว่า มาณพ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อัมพัฏฐมาณพ มัณฑัพยมาณพ.
               แม้ในพระบาลีนี้ ก็มีเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. อธิบายว่า กับด้วยพรหมทัตศิษย์หนุ่ม.
               บทว่า ตตฺร แปลว่า ในทางไกลนั้น หรือในคน ๒ คนนั้น. บทว่า สุทํ เป็นเพียงนิบาต.
               ปริยาย ศัพท์ ในบทว่า โดยอเนกปริยาย เป็นไปในอรรถว่าวาระ เทศนาและเหตุเท่านั้น.
               ปริยาย ศัพท์เป็นไปในอรรถว่าวาระ เช่นในประโยคมีอาทิว่า กสฺส นุ โข อานนฺท อชฺช ปริยาโย ภิกฺขุนิโย โอวทิตุํ ดูก่อนอานนท์ วันนี้เป็นวาระของใครที่จะให้โอวาทภิกษุณีทั้งหลาย.๒-
               เป็นไปในอรรถว่าเทศนา เช่นในประโยคมีอาทิว่า มธุปิณฺฑิกปริยาโยติ นํ ธาเรหิ ท่านจงทรงจำธรรมนั้นว่าเป็นมธุปิณฑิกเทศนา.๓-
               เป็นไปในอรรถว่าเหตุ เช่นในประโยคมีอาทิว่า อิมินาปิ โข เต ราชญฺญ ปริยาเยน เอวํ โหตุ ดูก่อนท่านเจ้าเมือง โดยเหตุแม้นี้ของท่าน จึงต้องเป็นอย่างนั้น.๔-
๒- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๗๖๗ ๓- ม. อุ. เล่ม ๑๔/ข้อ ๕๒๕
๔- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๓๐๒
               แม้ในพระบาลีนี้ ปริยาย ศัพท์นี้นั้นย่อมเป็นไปในอรรถว่าเหตุ ฉะนั้น เนื้อความในพระบาลีนี้ดังนี้ว่า โดยเหตุมากอย่าง. อธิบายว่า โดยเหตุเป็นอันมาก.
               บทว่า สุปปิยปริพาชกกล่าวโทษพระพุทธเจ้า ความว่า กล่าวติ คือกล่าวโทษ กล่าวตำหนิพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าผู้เว้นจากโทษอันไม่ควรสรรเสริญ ผู้แม้ประกอบด้วยคุณที่ควรสรรเสริญหาประมาณมิได้อย่างนั้นๆ โดยกล่าวเหตุอันไม่สมควรนั้นๆ นั่นแหละว่า เป็นเหตุอย่างนี้ ว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีรส เพราะเหตุที่พระสมณโคดมไม่มีการกระทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้นอันควรกระทำในผู้ใหญ่โดยชาติในโลกที่เรียกว่าสามัคคีรส. พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีโภคะ พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวการไม่กระทำ พระสมณโคดมเป็นคนกล่าวความขาดสูญ พระสมณโคดมเป็นคนเกลียดชัง พระสมณโคดมเป็นคนเจ้าระเบียบ พระสมณโคดมเป็นคนตบะจัด พระสมณโคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด พระสมณโคดมไม่มีธรรมอันยิ่งของมนุษย์ซึ่งเป็นญาณและทัศนะอันวิเศษที่ควรแก่พระอริยเจ้า พระสมณโคดมแสดงธรรมที่ตรึกเอง ที่ตรองเอง ที่รู้เอง พระสมณโคดมไม่ใช่สัพพัญญู ไม่ใช่โลกวิทู ไม่ใช่คนยอดเยี่ยม ไม่ใช่อัครบุคคล ดังนี้
               และกล่าวเหตุอันไม่ควรนั้นๆ นั่นแหละว่า เป็นเหตุ กล่าวโทษแม้พระธรรม เหมือนอย่างกล่าวโทษพระพุทธเจ้าโดยประการนั้นๆ ว่า ธรรมของพระสมณโคดมกล่าวไว้ชั่ว รู้ได้ยาก ไม่เป็นธรรมที่นำออกจากทุกข์ ไม่เป็นไปเพื่อความสงบ.
               และกล่าวเหตุอันไม่สมควร ไม่ว่าอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นเองว่า เป็นเหตุ กล่าวโทษแม้พระสงฆ์ เหมือนอย่างพระธรรมโดยประการนั้นๆ ว่า พระสงฆ์สาวกของพระสมณโคดมปฏิบัติผิด ปฏิบัติคดโกง ปฏิบัติปฏิปทาที่ขัด ปฏิปทาที่แย้ง ปฏิปทาอันไม่เป็นธรรมสมควรแก่ธรรมดังนี้ โดยอเนกปริยาย.
               ฝ่ายพรหมทัตมาณพศิษย์ของสุปปิยปริพาชกนั้นผุดคิดขึ้นโดยอุบายอันแยบคายอย่างนี้ว่า อาจารย์ของพวกเราแตะต้องสิ่งที่ไม่ควรแตะต้อง เหยียบสิ่งที่ไม่ควรเหยียบ อาจารย์ของพวกเรานี้นั้นกล่าวติพระรัตนตรัยซึ่งควรสรรเสริญเท่านั้น จักถึงความพินาศย่อยยับเหมือนคนกลืนไฟ เหมือนคนเอามือลูบคมดาบ เหมือนคนเอากำปั้นทำลายภูเขาสิเนรุ เหมือนคนเล่นอยู่แถวซี่ฟันเลื่อย และเหมือนคนเอามือจับช้างซับมันที่ดุร้าย.
               ก็เมื่ออาจารย์เหยียบคูถ หรือไฟ หรือหนาม หรืองูเห่าก็ดี ขึ้นทับหลาวก็ดี เคี้ยวกินยาพิษอันร้ายแรงก็ดี กลืนน้ำกรดก็ดี ตกเหวลึกก็ดี ไม่ใช่ศิษย์จะต้องทำตามนั้นไปเสียทุกอย่าง ด้วยว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตน ย่อมไปสู่คติตามควรแก่กรรมของตนแน่นอน มิใช่บิดาจะไปด้วยกรรมของบุตร มิใช่บุตรจะไปด้วยกรรมของบิดา มิใช่มารดาจะไปด้วยกรรมของบุตร มิใช่บุตรจะไปด้วยกรรมของมารดา มิใช่พี่ชายจะไปด้วยกรรมของน้องสาว มิใช่น้องสาวจะไปด้วยกรรมของพี่ชาย มิใช่อาจารย์จะไปด้วยกรรมของศิษย์ มิใช่ศิษย์จะไปด้วยกรรมของอาจารย์.
               ก็อาจารย์ของเรากล่าวติพระรัตนตรัย และการด่าพระอริยเจ้าก็มีโทษมากจริงๆ ดังนี้ เมื่อจะย่ำยีวาทะของอาจารย์ อ้างเหตุผลเหมาะควร เริ่มกล่าวสรรเสริญพระรัตนตรัยโดยอเนกปริยาย ทั้งนี้เพราะพรหมทัตมาณพเป็นกุลบุตรมีเชื้อชาติบัณฑิต ด้วยเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกล่าวว่า ส่วนพรหมทัตมาณพศิษย์ของสุปปิยปริพาชกกล่าวชมพระพุทธเจ้า ชมพระธรรม ชมพระสงฆ์ โดยอเนกปริยาย.
               อธิบาย วณฺณ ศัพท์               
               ในศัพท์เหล่านั้น ศัพท์ว่า วณฺณ ในบทว่า วณฺโณ ย่อมปรากฏในความว่า สัณฐาน ชาติ รูปายตนะ การณะ ปมาณะ คุณะและปสังสา.
               ในบรรดาเนื้อความเหล่านั้น สัณฐาน เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า มหนฺตํ สปฺปราชวณฺณํ อภินิมฺมินิตฺวา เนรมิตทรวดทรงเป็นพญางูตัวใหญ่.๑-
               ชาติ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า พฺราหฺมณาว เสฏฺโฐ วณฺโณ หีโน อญฺโญ วณฺโณ พวกพราหมณ์เท่านั้น มีชาติประเสริฐ ชาติอื่นเลว.๒-
               รูปปายตนะ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ปรมาย วณฺณโปกฺขรตาย สมนฺนาคตา ประกอบด้วยความงามแห่งรูปายตนะอย่างยิ่ง.๓-
๑- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๔๓๒ ๒- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๔๖๔
๓- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๒๘
               เหตุ เรียกว่า วณฺณ เช่นในคาถามีอาทิว่า๔-
                          น หรามิ น ภญฺชามิ อารา สึฆามิ วาริชํ
                          อถ เกน นุ วณฺเณน คนฺธตฺเถโนติ วุจฺจติ
                         ข้าพเจ้ามิได้ขโมย ข้าพเจ้ามิได้หัก ข้าพเจ้าดมห่างๆ
                         ซึ่งดอกบัว เมื่อเป็นเช่นนี้ เหตุไรเล่า ท่านจึงกล่าวว่า
                         ขโมยกลิ่น.
๔- สํ. ส. เล่ม ๑๕/ข้อ ๗๙๗
               ประมาณ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา บาตร ๓ ขนาด.๕-
               คุณ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า กทา สํญุฬฺหา ปน เต คหปติ อิเม สมณสฺส โคตมสฺส วณฺณา ดูก่อนคหบดี ท่านประมวลคุณของพระสมณโคดมเหล่านี้ไว้แต่เมื่อไร.๖-
               สรรเสริญ เรียกว่า วณฺณ เช่นในประโยคมีอาทิว่า วณฺณารหสฺส วณฺณํ ภาสติ กล่าวสรรเสริญผู้ที่ควรสรรเสริญ.๗-
๕- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๑๑๙ ๖- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๘๓
๗- องฺ. ทุก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๓๗๙
               ในพระบาลีนี้ วณฺณ หมายถึง ทั้งคุณ ทั้งสรรเสริญ.
               ได้ยินว่า พรหมทัตมาณพนี้ได้อ้างเหตุที่เป็นจริงนั้นๆ กล่าวสรรเสริญประกอบด้วยคุณแห่งพระรัตนตรัย โดยอเนกปริยาย.
               ในข้อนั้น พึงทราบคุณของพระพุทธเจ้า โดยนัยมีอาทิว่า แม้เพราะเหตุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.
               มีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระพุทธเจ้า ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในบุคคลผู้เลิศ.๘-
               และมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลเอก ไม่มีผู้เสมอ สมกับเป็นผู้ที่ไม่มีผู้เสมอ เมื่อเกิดขึ้นย่อมเกิดขึ้นในโลก๙- ดังนี้.
               พึงทราบคุณของพระธรรม โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้วว่า พระธรรมถอนอาลัย ตัดวัฏฏะ และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในอริยมรรคมีองค์ ๘ ชนเหล่านั้น ชื่อว่าเลื่อมใสในธรรมอันเลิศ.๘-
               อนึ่ง พึงทราบคุณของพระสงฆ์ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า ปฏิบัติดีแล้ว และว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใดเลื่อมใสในพระสงฆ์ ชนเหล่านั้นชื่อว่าเลื่อมใสในพระสงฆ์ผู้เลิศ๘- ดังนี้.
๘- องฺ. จตุกฺก เล่ม ๒๑/ข้อ ๓๔ ๙- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๓
               ก็พระธรรมกถึกผู้สามารถพึงประมวลนวังคสัตถุศาสน์ในนิกายทั้ง ๕ เข้าสู่พระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ประกาศคุณของพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น. 

03 กรกฎาคม 2567

หน้าต่าง ๐๑/๐๖ อรรถกถา ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค พรหมชาลสูตร สุมังคลวิลาสินี แปล เล่ม ๑ พระสุตตันตปิฎก

 คนฺถารมฺภกถา     
                      ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้า ซึ่งพระสุคตผู้พ้น
                         คติ (๕ คือนิรยคติ เปตคติ ติรัจฉานคติ มนุสสคติ เทวคติ)
                         มีพระทัยเยือกเย็นด้วยพระกรุณา มีมืดคือโมหะ อันดวง
                         ประทีปคือปัญญาขจัดแล้ว ทรงเป็นครูของโลก พร้อมทั้ง
                         มนุษย์และเทวดา.
                                   ก็พระพุทธเจ้าทรงอบรม และทรงทำให้แจ้งซึ่งความ
                         เป็นพระพุทธเจ้า ทรงบรรลุพระธรรมใดที่ปราศจากมลทิน
                         ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้าซึ่งพระธรรมนั้นอันยอด
                         เยี่ยม. ข้าพเจ้าขอนมัสการด้วยเศียรเกล้าซึ่งพระอริยสงฆ์
                         หมู่โอรสของพระสุคตเจ้า ผู้ย่ำยีกองทัพมาร.
                                   บุญอันใด ซึ่งสำเร็จด้วยการไหว้พระรัตนตรัย มีอยู่
                         แก่ข้าพเจ้าผู้มีใจเลื่อมใส ขอข้าพเจ้าจงเป็นผู้มีอันตรายอัน
                         อานุภาพแห่งบุญนั้น ขจัดราบคาบแล้วด้วยประการดังนี้.
                                   อรรถกถาใดอันพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์สังคายนา
                         แล้วแต่ต้น และสังคายนาต่อมา เพื่อประกาศเนื้อความ
                         ของทีฆนิกาย ซึ่งกำหนดหมายไว้ด้วยสูตรขนาดยาว
                         ละเอียดลออ ประเสริฐกว่านิกายอื่น ที่พระพุทธเจ้า และ
                         พระสาวกสังวรรณนาไว้ มีคุณค่าในการปลูกฝังศรัทธา
                         แต่ภายหลัง พระมหินทเถระนำมาเกาะสีหล ต่อมาได้
                         เรียบเรียงด้วยภาษาสีหล เพื่อประโยชน์แก่ชาวสีหล
                         ทั้งหลาย.
                                   ต่อจากนั้น ข้าพเจ้าจึงแปลภาษาสีหลเป็นภาษา
                         มคธ ถูกต้องตามหลักภาษา ไม่ผิดเพี้ยนอักขรสมัยของ
                         พระเถระคณะมหาวิหาร ผู้เป็นประทีปแห่งเถรวงศ์ที่
                         วินิจฉัยไว้ละเอียดลออ จะตัดข้อความที่ซ้ำซากออกแล้ว
                         ประกาศข้อความ เพื่อความชื่นชมยินดีของสาธุชนและ
                         เพื่อความยั่งยืนของพระธรรม.
                                   ศีลกถา ธุดงคธรรม กรรมฐานทั้งปวง ฌานสมาบัติ
                         พิสดาร ซึ่งประกอบด้วยวิธีปฏิบัติตามจริต อภิญญาทั้งปวง
                         ข้อวินิจฉัยทั้งปวงด้วยปัญญา ขันธ์ ธาตุ อายตนะ อินทรีย์
                         อริยสัจ ๔ ปัจจยาการ เทศนาและวิปัสสนาภาวนา มีนัย
                         บริสุทธิ์ดีและละเอียดลออ ที่ไม่นอกทางพระบาลี ข้อธรรม
                         ดังกล่าวทั้งหมดนี้ ข้าพเจ้ากล่าวไว้ในคัมภีร์วิสุทธิมรรค
                         แล้ว อย่างบริสุทธิ์ดี เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจักไม่วิจารข้อ
                         ธรรมทั้งหมดนั้นในที่นี้ให้ยิ่งขึ้น. คัมภีร์วิสุทธิมรรคนี้ตั้ง
                         อยู่ท่ามกลางนิกายทั้ง ๔ จักประกาศเนื้อความตามที่กล่าว
                         ไว้ในนิกายทั้ง ๔ เหล่านั้น ข้าพเจ้าแต่งไว้ด้วยความ
                         ประสงค์อย่างนี้ เพราะฉะนั้น ขอท่านทั้งหลายจงถือเอา
                         คัมภีร์วิสุทธิมรรคนั้นกับอรรถกถานี้ แล้วเข้าใจเนื้อความ
                         ที่อาศัยทีฆนิกายเถิด.
               นิทานกถา               
               ในคำว่า ทีฆาคมนิสฺสิตํ นั้น พึงทราบรายละเอียดดังนี้
               คัมภีร์ทีฆนิกาย กล่าวโดยวรรคมี ๓ วรรค คือ สีลขันธวรรค มหาวรรค ปาฏิกวรรค. กล่าวโดยสูตรมี ๓๔ สูตร. ในวรรคทั้งหลายเหล่านั้น สีลขันธวรรคเป็นวรรคต้น. บรรดาสูตรทั้งหลาย พรหมชาลสูตรเป็นสูตรต้น.
               คำนิทานมีคำว่า เอวมฺเม สุตํ ดังนี้เป็นต้น ที่ท่านพระอานนท์กล่าวในคราวทำปฐมมหาสังคายนา เป็นคำเริ่มต้นของพรหมชาลสูตร
               เรื่องสังคายนาใหญ่ครั้งแรก     
               ชื่อว่าปฐมมหาสังคายนานี้ แม้ได้จัดขึ้นพระบาลีไว้ในวินัยปิฎกแล้ว ก็จริง ถึงอย่างนั้นก็ควรทราบปฐมมหาสังคายนาแม้ในอรรถกถานี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเหตุที่เป็นมา ดังต่อไปนี้
               เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นที่พึ่งของสัตวโลก ทรงบำเพ็ญพุทธกิจ เริ่มต้นแต่ทรงแสดงพระธรรมจักรจนถึงโปรดสุภัททปริพาชก แล้วเสด็จปรินิพพาน
 ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เวลาใกล้รุ่งวันวิสาขปูรณมี ระหว่างต้นสาละคู่ในสาลวันอุทยานของมัลลกษัตริย์ ตรงที่เป็นทางโค้ง ใกล้กรุงกุสินารา ท่านพระมหากัสสปะ ผู้เป็นสังฆเถระของภิกษุประมาณเจ็ดแสนรูปที่ประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุของพระผู้มีพระภาคเจ้า มาระลึกถึงคำที่หลวงตาสุภัททะกล่าวเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จปรินิพพานได้ ๗ วันว่า พอกันทีอาวุโสทั้งหลาย ท่านทั้งหลายอย่าเศร้าโศกไปเลย อย่าร่ำไรไปเลย เราทั้งหลายพ้นดีแล้วจากพระมหาสมณะนั้น ด้วยว่าพวกเราถูกท่านจู้จี้บังคับว่า สิ่งนี้ควรแก่เธอทั้งหลาย สิ่งนี้ไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย ดังนี้ แต่บัดนี้พวกเราปรารถนาสิ่งใดจักกระทำสิ่งนั้น ไม่ปรารถนาสิ่งใดจักไม่กระทำสิ่งนั้น ดังนี้.๑-
๑- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๔
               ท่านพิจารณาเห็นว่าการประชุมสงฆ์จำนวนมากเช่นนี้ ต่อไปจะหาได้ยาก จึงดำริต่อไปว่า พวกภิกษุชั่วจะเข้าใจว่าปาพจน์มีศาสดาล่วงแล้ว ได้พวกฝ่ายอลัชชี จะพากันย่ำยีพระสัทธรรมให้อันตรธานต่อกาลไม่นานเลย นั้นเป็นฐานะที่จะมีได้แน่นอน.
               จริงอยู่ พระธรรมวินัยยังดำรงอยู่ตราบใด ปาพจน์ก็หาชื่อว่ามีศาสดาล่วงแล้วไม่อยู่ตราบนั้น
               สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า๒-
               ดูก่อนอานนท์ ธรรมและวินัยใดอันเราแสดงแล้ว บัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย ธรรมและวินัยนั้นจักเป็นศาสดาของเธอทั้งหลาย เมื่อเราล่วงลับไปแล้ว ดังนี้.
๒- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๔๑
               อย่ากระนั้นเลย เราพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัยโดยวิธีที่พระศาสนานี้จะมั่นคงดำรงอยู่ชั่วกาลนาน.
               อนึ่ง ตัวเราอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า๓-
               ดูก่อนกัสสปะ เธอจักห่มได้หรือไม่ซึ่งผ้าป่านบังสุกุลที่ใช้เก่าแล้วของเรา ดังนี้
               ทรงอนุเคราะห์ด้วยสาธารณบริโภคในจีวร และด้วยการสถาปนาไว้เสมอกับพระองค์ในธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ต่างโดยอนุปุพพวิหาร ๙ และอภิญญา ๖ เป็นต้น โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงใด
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้กัสสปะต้องการสงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย เข้าถึงปฐมฌานอยู่เพียงนั้น๔- ดังนี้.
๓- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๒๔ ๔- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๔๙๗
               ยิ่งกว่านั้น ยังสรรเสริญด้วยความเป็นผู้มีจิตไม่ติดอยู่ในตระกูล เหมือนสั่นมือในอากาศ และด้วยปฏิปทาเปรียบด้วยพระจันทร์ การทรงอนุเคราะห์และการทรงสรรเสริญ เป็นประหนึ่งหนี้ของเรา กิจอื่นนอกจากการสังคายนาที่จะให้เราพ้นสภาพหนี้ จักมีอะไรบ้าง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบซึ่งเรามิใช่หรือว่า กัสสปะนี้จักเป็นผู้ประดิษฐานวงศ์พระสัทธรรมของเราดังนี้ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วยความอนุเคราะห์อันไม่ทั่วไปนี้ และทรงสรรเสริญด้วยการสรรเสริญอันยอดเยี่ยมนี้ เหมือนพระราชาทรงทราบพระราชโอรสผู้จะประดิษฐานวงศ์ตระกูลของพระองค์ แล้วทรงอนุเคราะห์ด้วยการมอบเกราะและพระอิสริยยศของพระองค์ฉะนั้นดังนี้ ยังความอุตสาหะให้เกิดแก่ภิกษุทั้งหลายเพื่อสังคายนาพระธรรมวินัย.
               สมดังคำที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ในสุภัททกัณฑ์ว่า๕-
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะแจ้งให้ภิกษุทั้งหลายทราบว่า ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง เราเดินทางไกลจากเมืองปาวามาสู่เมืองกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูปดังนี้เป็นต้น.
               สุภัททกัณฑ์ทั้งหมด บัณฑิตควรทราบโดยพิสดาร. แต่ข้าพเจ้าจักกล่าวเนื้อความของสุภัททกัณฑ์นั้นในอาคตสถานตอนจบมหาปรินิพพานสูตรเท่านั้น.
               ต่อจากนั้น ท่านพระมหากัสสปะกล่าวว่า๕-
               เอาเถิดท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ต่อไปเบื้องหน้า อธรรมรุ่งเรือง ธรรมจะร่วงโรย ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยรุ่งเรือง วินัยจะร่วงโรย ต่อไปเบื้องหน้า อธรรมวาทีมีกำลัง ธรรมวาทีจะอ่อนกำลัง ต่อไปเบื้องหน้า อวินัยวาทีมีกำลัง วินัยวาทีจะอ่อนกำลัง.
๕- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๔
               ภิกษุเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอพระเถระโปรดเลือกภิกษุทั้งหลายเถิด. ฝ่ายพระเถระเว้นภิกษุปุถุชน พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามีและพระอรหันตสุกขวิปัสสกผู้ทรงพระปริยัติ คือนวังคสัตถุศาสน์ทั้งสิ้น เป็นจำนวนหลายร้อยหลายพันรูป เลือกเอาเฉพาะภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ประเภทเตวิชชาเป็นต้น ซึ่งทรงพระปริยัติ คือพระไตรปิฎกทั้งหมด บรรลุปฏิสัมภิทามีอานุภาพยิ่งใหญ่ โดยมาก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกย่องเป็นเอตทัคคะที่พระสังคีติกาจารย์หมายกล่าวคำนี้ไว้ว่า ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะเลือกพระอรหันต์ไว้ ๕๐๐ หย่อนหนึ่งองค์ ดังนี้.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พระมหากัสสปเถระจึงทำให้หย่อนไว้องค์หนึ่ง.
               ตอบว่า เพื่อไว้โอกาสแก่ท่านพระอานนท์เถระ เพราะทั้งร่วมกับท่านพระอานนท์ ทั้งเว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้. ด้วยว่า ท่านพระอานนท์นั้นเป็นพระเสขะยังมีกิจที่ต้องทำอยู่ฉะนั้น จึงไม่อาจร่วมได้. แต่เพราะนวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะและเคยยะเป็นต้นข้อใดข้อหนึ่ง ซึ่งพระทศพลทรงแสดงแล้ว ที่ชื่อว่าไม่ประจักษ์ชัดแก่พระอานนท์นั้น ไม่มี.
               ดังคาถาประพันธ์ที่ท่านกล่าวไว้ว่า
               ธรรมเหล่าใดเป็นไปแก่ข้าพเจ้า ธรรมเหล่านั้น ข้าพเจ้ารับมาจากพระพุทธเจ้าแปดหมื่นสองพัน รับมาจากภิกษุสองพัน รวมเป็นแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ เพราะฉะนั้น ถ้าเว้นท่านพระอานนท์เสีย ก็ไม่อาจทำได้.
               ถามว่า ถ้าเมื่อเป็นอย่างนั้น แม้ท่านพระอานนท์จะยังเป็นพระเสขะอยู่ พระเถระก็ควรเลือก เพราะเป็นผู้มีอุปการะในการสังคายนาธรรมมาก แต่เหตุไฉนจึงไม่เลือก.
               ตอบว่า เพราะจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนของผู้อื่น.
               ความจริง พระเถระเป็นผู้คุ้นเคยกับท่านพระอานนท์อย่างยิ่ง. จริงอย่างนั้น ถึงพระอานนท์จะศีรษะหงอกแล้ว พระมหากัสสปะยังเรียกด้วยคำว่า เด็ก ในประโยคว่า เด็กคนนี้ไม่รู้จักประมาณเลย ดังนี้.
               อนึ่ง ท่านพระอานนท์เกิดในตระกูลศากยะ เป็นพระอนุชาของพระตถาคต เป็นพระโอรสของพระเจ้าอา. ในการคัดเลือกพระอานนท์นั้น ภิกษุบางพวกจะเข้าใจว่า ดูเหมือนจะลำเอียงเพราะรักใคร่กัน จะพากันติเตียนว่า พระมหากัสสปเถระมองข้ามภิกษุผู้ได้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นอเสขะไปเป็นจำนวนมาก แล้วเลือกพระอานนท์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาชั้นเสขะ เมื่อจะหลีกเลี่ยงคำติเตียนนั้น พระมหากัสสปเถระจึงไม่เลือกพระอานนท์ ด้วยพิจารณาเห็นว่า เว้นท่านพระอานนท์เสีย ไม่อาจทำการสังคายนาธรรมได้ เราจักรับท่านพระอานนท์นั้นโดยอนุมัติของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น.
               ลำดับนั้น ภิกษุทั้งหลายพากันขอร้องพระมหากัสสปเถระเพื่อเลือกพระอานนท์เสียเอง.
               สมดังคำที่พระสังคีติกาจารย์กล่าวไว้ว่า๖-
               ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวกะท่านพระมหากัสสปะดังนี้ว่า
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ท่านพระอานนท์นี้แม้จะยังเป็นพระเสขะอยู่ก็จริง แต่ก็ไม่ถึงอคติเพราะรัก เพราะชัง เพราะกลัว เพราะหลง ด้วยว่าท่านพระอานนท์นี้ได้เล่าเรียนพระธรรมและพระวินัยในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นอันมาก
               ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอพระเถระได้โปรดเลือกท่านพระอานนท์ด้วยเถิด.
               ครั้นแล้วท่านพระมหากัสสปจึงได้เลือกท่านพระอานนท์ด้วย. โดยนัยดังกล่าวแล้วอย่างนี้ จึงเป็นพระเถระ ๕๐๐ องค์รวมทั้งท่านพระอานนท์ ที่พระมหากัสสปะเลือกโดยอนุมัติของภิกษุทั้งหลาย.
               ลำดับนั้นแล พวกภิกษุชั้นพระเถระได้ดำริกันว่า เราควรสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกันที่ไหน. ลำดับนั้น พวกภิกษุชั้นพระเถระได้ดำริกันว่า กรุงราชคฤห์ มีอาหารบิณฑบาตมาก มีเสนาสนะเพียงพอ อย่ากระนั้นเลย เราพึงอยู่จำพรรษาสังคายนาพระธรรมและพระวินัยในกรุงราชคฤห์เถิด ภิกษุเหล่าอื่นไม่พึงเข้าจำพรรษาในกรุงราชคฤห์.๖-
๖- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๕
               ก็เพราะเหตุไร พระเถระเหล่านั้นจึงมีความดำริดังนี้?
               เพราะพระเถระเหล่านั้นมีความดำริตรงกันว่า การสังคายนาพระธรรมวินัยนี้เป็นถาวรกรรมของเรา บุคคลฝ่ายตรงข้ามบางคนจะพึงเข้าไปยังท่ามกลางสงฆ์แล้วรื้อฟื้นขึ้นได้.
               ลำดับนั้น ท่านพระมหากัสสปะได้ประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่า
               ดูก่อนผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงจำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้ นี้เป็นญัตติ.
               ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ว่า ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงจำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้
               การสมมติภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ว่า ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงอยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ ดังนี้ ชอบแก่ท่านผู้ใด ขอท่านผู้นั้นพึงนิ่งอยู่ ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ขอท่านผู้นั้นพึงพูด.
               ภิกษุ ๕๐๐ รูปเหล่านี้ สงฆ์สมมติแล้วว่าเป็นผู้อยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย ภิกษุอื่นๆ ไม่พึงอยู่จำพรรษาในกรุงราชคฤห์ดังนี้ การสมมตินี้สมควรแก่สงฆ์ ฉะนั้น สงฆ์จึงนิ่งอยู่ ข้าพเจ้าทรงความไว้ด้วยอย่างนี้.๗-
๗- วิ. จุล. เล่ม ๗/ข้อ ๖๑๕
               กรรมวาจานี้ พระมหากัสสปะกระทำในวันที่ ๒๑ หลังจากพระตถาคตปรินิพพาน เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานเวลาใกล้รุ่งวันวิสาขปูรณมี.
               ครั้งนั้น พุทธบริษัทได้บูชาพระพุทธสรีระซึ่งมีสีเหมือนทอง ด้วยของหอมและดอกไม้เป็นต้นตลอด ๗ วัน. วันสาธุกีฬาได้มีเป็นเวลา ๗ วันเหมือนกัน. ต่อจากนั้น ไฟที่จิตกาธานยังไม่ดับตลอด ๗ วัน. พวกมัลลกษัตริย์ได้ทำลูกกรงหอกแล้วบูชาพระบรมสารีริกธาตุ ในสันถาคารศาลาตลอด ๗ วัน ดังนั้นจึงรวมวันได้ ๒๑ วัน. พุทธบริษัทซึ่งมีโทณพราหมณ์เป็นเจ้าหน้าที่ ได้จัดแบ่งพระบรมสารีริกธาตุทั้งหลาย ในวันขึ้น ๕ ค่ำเดือน ๗ นั้นเอง. พระมหากัสสปะเลือกภิกษุทั้งหลาย เสร็จแล้วจึงสวดกรรมวาจา โดยนัยที่ท่านแจ้งความประพฤติอันไม่สมควรที่หลวงตาสุภัททะทำแล้วแก่ภิกษุสงฆ์จำนวนมาก ซึ่งมาประชุมกันในวันแบ่งพระบรมสารีริกธาตุนั้น.
               ก็และครั้นสวดกรรมวาจานี้แล้ว พระเถระจึงเตือนภิกษุทั้งหลายให้ทราบ ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย บัดนี้ ข้าพเจ้าให้เวลาแก่ท่านทั้งหลายเป็นเวลา ๔๐ วัน ต่อจากนั้นไป ท่านจะกล่าวว่า ข้าพเจ้ายังมีกังวลเช่นนี้อยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ภายใน ๔๐ วันนี้ ท่านผู้ใดมีกังวลเกี่ยวกับโรคภัยไข้เจ็บก็ดี มีกังวลเกี่ยวกับอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ก็ดี มีกังวลเกี่ยวกับมารดาบิดาก็ดี หรือต้องสุมบาตรต้องทำจีวรก็ดี ขอท่านผู้นั้นจงตัดกังวลนั้น ทำกิจที่ควรทำนั้นเสีย.
               ก็แลกล่าวอย่างนี้แล้ว พระเถระแวดล้อมไปด้วยบริษัทของตนประมาณ ๕๐๐ รูป ไปยังกรุงราชคฤห์ แม้พระเถระผู้ใหญ่องค์อื่นๆ ก็พาบริวารของตนๆ ไป ต่างก็ประสงค์จะปลอบโยนมหาชนผู้เปี่ยมไปด้วยเศร้าโศก จึงไปยังทิศทางนั้นๆ
               ฝ่ายพระปุณณเถระมีภิกษุเป็นบริวารประมาณ ๗๐๐ รูป ได้อยู่ในเมืองกุสินารานั่นเอง ด้วยประสงค์ว่าจะปลอบโยนมหาชนที่พากันมายังที่ปรินิพพานของพระตถาคต.
               ฝ่ายท่านพระอานนท์เอง ท่านก็ถือบาตรและจีวรของพระผู้มีพระภาคเจ้า แม้เสด็จปรินิพพานแล้ว เหมือนเมื่อยังไม่เสด็จปรินิพพาน เดินทางไปยังกรุงสาวัตถีพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ๕๐๐ รูป. แลเมื่อท่านพระอานนท์นั้นกำลังเดินทางก็มีภิกษุผู้เป็นบริวารมากขึ้นๆ จนนับไม่ได้. ในสถานที่ที่พระอานนท์เดินทางไปได้มีเสียงร่ำไห้กันอึงมี่.
               เมื่อพระเถระถึงกรุงสาวัตถีแล้ว ผู้คนชาวกรุงสาวัตถีได้ทราบว่า พระอานนท์มาแล้วก็พากันถือของหอมและดอกไม้เป็นต้นไปต้อนรับ แล้วร้องไห้รำพันว่า ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ เมื่อก่อนท่านมากับพระผู้มีพระภาคเจ้า วันนี้ท่านทิ้งพระผู้มีพระภาคเจ้าไว้เสียที่ไหน จึงมาแต่ผู้เดียว ดังนี้เป็นต้น. ได้มีการร้องไห้อย่างมากเหมือนในวันเสด็จปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้าฉะนั้น.
               ได้ยินว่า ณ กรุงสาวัตถีนั้น ท่านพระอานนท์สั่งสอนมหาชนให้เข้าใจด้วยธรรมีกถาประกอบด้วยความไม่เที่ยงเป็นต้น แล้วเข้าสู่พระวิหารเชตวันไหว้พระคันธกุฎีที่พระทศพลประทับ เปิดประตูนำเตียงตั่งออกปัด กวาดพระคันธกุฎีทิ้งขยะดอกไม้แห้ง และนำเตียงตั่งเข้าไปตั้งไว้ในที่เดิมอีก ได้ทำหน้าที่ทุกอย่างซึ่งเป็นวัตรที่ต้องปฏิบัติในเวลาที่พระผู้มีพระเจ้าดำรงพระชนม์อยู่ และเมื่อทำหน้าที่ก็ไหว้พระคันธกุฎี ในเวลาทำกิจมีกวาดห้องน้ำและตั้งน้ำเป็นต้น ได้ทำหน้าที่ไปพลางรำพันไปพลาง โดยนัยเป็นต้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เวลานี้เป็นเวลาสรงน้ำของพระองค์ มิใช่หรือ? เวลานี้เป็นเวลาแสดงธรรมเวลาประทานโอวาทแก่ภิกษุทั้งหลาย เวลานี้เป็นเวลาสำเร็จสีหไสยา เวลานี้เป็นเวลาชำระพระพักตร์ มิไช่หรือ? เหตุทั้งนี้ เพราะพระอานนท์นั้นเป็นผู้มีความรักตั้งมั่นในพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะความเป็นผู้รู้อมตรสซึ่งเป็นที่รวมพระพุทธคุณ และยังมิได้เป็นพระอรหันต์ ทั้งเป็นผู้มีจิตอ่อนโยนที่เกิดด้วยเคยอุปการะกันและกันมาหลายแสนชาติ.
               เทวดาองค์หนึ่งได้ทำให้พระอานนท์นั้นสลดใจด้วยคำพูดว่า ข้าแต่พระอานนท์ผู้เจริญ ท่านมัวมารำพันอยู่อย่างนี้ จักปลอบโยนคนอื่นๆ ได้อย่างไร.
               พระอานนท์สลดใจด้วยคำพูดของเทวดานั้น แข็งใจดื่มยาถ่ายเจือน้ำนมในวันที่ ๒ เพื่อทำกายซึ่งมีธาตุหนักให้เบา เพราะตั้งแต่พระตถาคตเสด็จปรินิพพาน ท่านต้องยืนมากและนั่งมาก จึงนั่งอยู่แต่ในพระวิหารเชตวันเท่านั้น พระอานนท์ดื่มยาถ่ายเจือน้ำนมชนิดใด ท่านหมายเอายาถ่ายเจือน้ำนมชนิดนั้นได้กล่าวกะเด็กหนุ่มที่สุภมาณพใช้ไปว่าดูก่อนพ่อหนุ่ม วันนี้ยังไม่เหมาะเพราะวันนี้เราดื่มยาถ่าย ต่อพรุ่งนี้เราจึงจะเข้าไป ดังนี้.๘-
๘- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๓๑๖
               ในวันที่ ๒ พระอานนท์มีพระเจตกเถระติดตามไป ถูกสุภมาณพถามปัญหา ได้กล่าวสูตรที่ ๑๐ ชื่อสุภสูตร ในคัมภีร์ทีฆนิกายนี้.
               พระอานนท์เถระขอให้ทำการปริสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมในพระเชตวันมหาวิหาร เมื่อใกล้วันเข้าพรรษา ท่านอำลาภิกษุสงฆ์ไปกรุงราชคฤห์. แม้ภิกษุผู้ทำสังคายนาเหล่าอื่นก็ไปเหมือนกัน ความจริงท่านหมายเอาภิกษุเหล่านั้นที่ไปกรุงราชคฤห์อย่างนี้ กล่าวคำนี้ไว้ว่า ครั้งนั้นแล ภิกษุชั้นพระเถระได้ไปกรุงราชคฤห์ เพื่อสังคายนาพระธรรมและพระวินัย. พระเถระเหล่านั้นทำอุโบสถในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ประชุมเข้าพรรษาในวันแรม ๑ ค่ำ.
               ปฐมสังคายนาเริ่มวันแรม ๕ ค่ำ เดือน ๙               
               ก็โดยสมัยนั้นแล มีวัดใหญ่ ๑๘ วัดล้อมรอบกรุงราชคฤห์ วัดเหล่านั้นมีหยากเยื่อถูกทิ้งเรี่ยราดไปทั้งนั้น เพราะในเวลาเสด็จปรินิพพานของพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุทั้งหมดต่างก็ถือบาตรจีวรของตนๆ ทิ้งวัดและบริเวณไป.
               ครั้งนั้น พระเถระทั้งหลาย เมื่อจะทำข้อตกลงเกี่ยวกับการปฏิสังขรณ์วัดเหล่านั้น ได้คิดกันว่า พวกเราต้องทำการปฏิสังขรณ์สิ่งชำรุดทรุดโทรมตลอดเดือนต้นของพรรษา เพื่อบูชาคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพื่อเปลื้องคำติเตียนของเดียรถีย์ เพราะพวกเดียรถีย์จะพึงกล่าวติอย่างนี้ว่า สาวกของพระสมณโคดมบำรุงวัดวาอารามแต่เมื่อพระศาสดายังมีพระชนม์อยู่เท่านั้น เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ก็พากันทอดทิ้งเสีย การบริจาคทรัพย์เป็นจำนวนมากของตระกูลทั้งหลายย่อมเสียหายไปโดยทำนองนี้.
               มีคำอธิบายว่า ที่พระเถระทั้งหลายคิดกันก็เพื่อจะเปลื้องคำติเตียนของเดียรถีย์เหล่านั้น. ครั้นคิดอย่างนี้แล้วจึงได้ทำข้อตกลงกัน ซึ่งท่านหมายเอาข้อตกลงนั้น กล่าวว่า ครั้งนั้นแล ภิกษุชั้นพระเถระทั้งหลายได้ปรึกษากันว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสรรเสริญการปฏิสังขรณ์เสนาสนะที่ชำรุดทรุดโทรม บัดนี้ เราทั้งหลายจงทำการปฏิสังขรณ์สิ่งที่ชำรุดทรุดโทรมตลอดเดือนต้นพรรษา จักประชุมสังคายนาพระธรรมและพระวินัยในเดือนกลางพรรษา.
               ในวันที่ ๒ พระเถระเหล่านั้นได้ไปยืนอยู่ที่ประตูพระราชวัง.
               พระเจ้าอชาตศัตรูเสด็จมานมัสการแล้ว มีพระราชดำรัสถามถึงกิจที่พระองค์ทำว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมาธุระอะไร เจ้าข้า? พระเถระทั้งหลายถวายพระพรให้ทรงทราบถึงงานฝีมือ เพื่อประโยชน์แก่การปฏิสังขรณ์วัดใหญ่ ๑๘ วัด.
               พระเจ้าอชาตศัตรูได้พระราชทานคนที่ทำงานฝีมือ.
               พระเถระให้ปฏิสังขรณ์วัดทั้งหมดตลอดเดือนต้นฤดูฝนเสร็จแล้ว ถวายพระพรแด่พระเจ้าอชาตศัตรูว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร งานปฏิสังขรณ์วัดเสร็จแล้ว บัดนี้ อาตมภาพทั้งหลายจะทำการสังคายนาพระธรรมและพระวินัย.
               พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชดำรัสว่า ดีแล้ว เจ้าข้า พระคุณเจ้าทั้งหลายไม่ต้องหนักใจ นิมนต์ทำเถิด การฝ่ายอาณาจักรขอให้เป็นหน้าที่ของโยม ส่วนการฝ่ายธรรมจักรขอให้เป็นหน้าที่ของพระคุณเจ้าทั้งหลาย โยมจะต้องทำอะไรบ้าง โปรดสั่งมาเถิดเจ้าข้า.
               พระเถระทั้งหลายถวายพระพรว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร ขอพระองค์ได้โปรดให้ทำที่นั่งประชุมสำหรับภิกษุทั้งหลายผู้ทำสังคายนา. จะทำที่ไหน เจ้าข้า? ขอถวายพระพรมหาบพิตร ควรทำใกล้ประตูถ้ำสัตตบรรณ ข้างภูเขาเวภาระ.
               พระเจ้าอชาตศัตรูมีพระราชกระแสว่า เหมาะดี เจ้าข้า แล้วโปรดให้สร้างมณฑปมีเครื่องประดับวิเศษที่น่าชม มีทรวดทรงสัณฐานเช่นอาคารอันวิษณุกรรมเทพบุตรเนรมิตไว้ มีฝาเสาและบันไดจัดแบ่งไว้เป็นอย่างดี มีความงามวิจิตรไปด้วยมาลากรรมและลดากรรมนานาชนิด พิศแล้วประหนึ่งว่าจะครอบงำความงามแห่งพระตำหนักของพระราชา งามสง่าเหมือนจะเย้ยหยันความงามของเทพวิมาน ปานประหนึ่งว่าสถานเป็นที่รวมอยู่ของโชควาสนา ราวกะว่าท่าที่รวมลงของฝูงวิหค คือนัยนาแห่งเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เพียงดังภาพที่งามตาน่ารื่นรมย์ในโลก ซึ่งประมวลไว้ในที่เดียวกัน มีเพดานงามยวนตาเหมือนจะคายออกซึ่งพวงดอกไม้ชนิดต่างๆ และไข่มุกที่ห้อยอยู่ ดูประหนึ่งพื้นระดับซึ่งปรับด้วยทับทิม วิจิตรไปด้วยรัตนะต่างๆ มีแท่นที่สำเร็จเรียบร้อยดีด้วยดอกไม้บูชานานาชนิด ประดับให้วิจิตรละม้ายคล้ายพิมานพรหม.
               โปรดให้ปูลาดอาสนะอันเป็นกัปปิยะ ๕๐๐ ที่มีค่านับมิได้ในมหามณฑปนั้น สำหรับภิกษุ ๕๐๐ รูป ให้ปูลาดที่นั่งพระเถระ หันหน้าทางทิศเหนือ หันหลังทางทิศใต้ ให้ปูลาดที่นั่งแสดงธรรมอันควรแก่การประทับนั่งของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญ หันหน้าทางทิศตะวันออก ในท่ามกลางมณฑป วางพัดทำด้วยงาช้างไว้บนธรรมาสน์นั้น แล้วมีรับสั่งให้แจ้งแก่ภิกษุสงฆ์ว่า กิจของโยมเสร็จแล้ว เจ้าข้า.
               ก็และในวันนั้น ภิกษุบางพวกได้พูดพาดพิงถึงท่านพระอานนท์อย่างนี้ว่า ในหมู่ภิกษุนี้ มีภิกษุรูปหนึ่งเที่ยวโชยกลิ่นคาวอยู่. พระอานนทเถระได้ยินคำนั้นแล้วถึงความสังเวชว่า ภิกษุรูปอื่นที่ชื่อว่าเที่ยวโชยกลิ่นคาว ไม่มีในหมู่ภิกษุนี้ ภิกษุเหล่านี้คงพูดหมายถึงเราเป็นแน่. ภิกษุบางพวกกล่าวกะพระอานนท์นั้นว่า ดูก่อนท่านอานนท์ การประชุมทำสังคายนาจักมีในวันพรุ่งนี้ แต่ท่านยังเป็นพระเสขะ ยังมีกิจที่จะต้องทำ ด้วยเหตุนั้น ท่านไม่ควรเข้าประชุม ท่านจงเป็นผู้ไม่ประมาทเถิด.
               พระอานนท์บรรลุพระอรหัต        
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์คิดว่า พรุ่งนี้เป็นวันประชุมทำสังคายนา การที่เรายังเป็นพระเสขะอยู่ จะเข้าประชุมด้วยนั้น ไม่สมควรแก่เราเลย แล้วให้เวลาล่วงไปด้วยกายคตาสติกรรมฐาน ตลอดราตรีเป็นส่วนมากทีเดียว ในเวลาใกล้รุ่งของราตรีก็ลงจากที่จงกรมเข้าวิหาร เอนกายลงหมายจะนอน เท้าทั้งสองพ้นจากพื้นแล้ว แต่ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้จิตพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
               พระอานนทเถระนี้ให้เวลาล่วงไปในภายนอกด้วยการจงกรม เมื่อไม่อาจให้คุณวิเศษเกิดขึ้นได้ ก็คิดว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะเราไว้มิใช่หรือว่า๑- ดูก่อนอานนท์ เธอได้สร้างบุญไว้แล้ว จงหมั่นบำเพ็ญเพียรเถิด ไม่ช้าก็จะเป็นพระอรหันต์ดังนี้ ธรรมดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ตรัสผิดพลาด แต่เราปรารภความเพียรมากเกินไป ฉะนั้น จิตของเราจึงฟุ้งซ่าน ทีนี้เราจะประกอบความเพียรพอดีๆ คิดดังนี้แล้วลงจากที่จงกรม ยืนในที่ล้างเท้า ล้างเท้าเข้าวิหาร นั่งบนเตียงคิดว่าจักพักผ่อนสักหน่อย แล้วเอนกายบนเตียง เท้าทั้งสองพ้นจากพื้น ศีรษะยังไม่ทันถึงหมอน ในระหว่างนี้จิตพ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่นด้วยอุปาทาน.
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๓๕
               ความเป็นพระอรหันต์ของพระอานนทเถระ เว้นจากอิริยาบถ ๔ ฉะนั้น เมื่อมีการกล่าวถามกันขึ้นว่า ในศาสนานี้ ภิกษุที่ไม่นอน ไม่นั่ง ไม่ยืน ไม่เดินจงกรม แต่ได้บรรลุพระอรหัต คือภิกษุรูปไหน. ควรตอบว่า คือพระอานนทเถระ.
               ครั้งนั้น ในวันที่ ๒ จากวันที่พระอานนท์บรรลุพระอรหัต คือวันแรม ๕ ค่ำ พวกภิกษุชั้นพระเถระฉันเสร็จแล้ว เก็บบาตรและจีวรแล้วประชุมกันในธรรมสภา. สมัยนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เป็นพระอรหันต์ได้ไปสู่ที่ประชุม.
               ท่านไปอย่างไร.
               ท่านพระอานนท์มีความยินดีว่า บัดนี้ เราเป็นผู้สมควรเข้าท่ามกลางที่ประชุมแล้ว ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง มีลักษณะเหมือนลูกตาลสุกที่หล่นจากขั้ว มีลักษณะเหมือนทับทิมที่วางไว้บนผ้ากัมพลสีเหลือง มีลักษณะเหมือนดวงจันทร์เพ็ญที่ลอยเด่นในท้องนภากาศอันปราศจากเมฆ และมีลักษณะเหมือนดอกปทุมมีเกสรและกลีบแดงเรื่อกำลังแย้มด้วยต้องแสงอาทิตย์อ่อนๆ คล้ายจะบอกเรื่องที่ตนบรรลุพระอรหัตด้วยปากอันประเสริฐบริสุทธิ์ผุดผ่องมีรัศมีและมีสิริ ได้ไปสู่ที่ประชุมสงฆ์.
               ครั้งนั้น ท่านพระมหากัสสปะพอเห็นพระอานนท์ ดังนั้นได้มีความรู้สึกว่า ท่านผู้เจริญ พระอานนท์บรรลุพระอรหัตแล้ว งามจริงๆ ถ้าพระศาสดายังดำรงพระชนม์อยู่ พระองค์ก็จะพึงประทานสาธุการแก่พระอานนท์ในวันนี้แน่แท้ บัดนี้ เราจะให้สาธุการซึ่งพระศาสดาควรประทานแก่พระอานนท์ดังนี้แล้ว ได้ให้สาธุการ ๓ ครั้ง.
               ส่วนพระมัชฌิมภาณกาจารย์กล่าวว่า พระอานนทเถระประสงค์จะให้สงฆ์ทราบเรื่องที่ตนบรรลุพระอรหัต จึงมิได้ไปพร้อมกับภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายเมื่อนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตนๆ ตามลำดับอาวุโส ก็นั่งเว้นอาสนะของพระอานนทเถระไว้. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวกถามว่า นั่นอาสนะของใคร? ได้รับตอบว่า ของพระอานนท์. ภิกษุเหล่านั้นถามอีกว่า พระอานนท์ไปไหนเสียเล่า?
               สมัยนั้น พระอานนทเถระคิดว่า บัดนี้เป็นเวลาที่เราควรจะไป ต่อจากนั้น เมื่อจะแสดงอานุภาพของตน ท่านจึงดำดินแล้วแสดงตนบนอาสนะของตนทีเดียว. อาจารย์อีกพวกหนึ่งกล่าวว่า พระอานนท์ไปทางอากาศแล้ว นั่งบนอาสนะของตน ดังนี้ก็มี. อย่างไรก็ตาม การที่ท่านพระมหากัสสปะเห็นพระอานนท์แล้ว ให้สาธุการ เป็นการเหมาะสมโดยประการทั้งปวงทีเดียว.
               เมื่อท่านพระอานนท์มาอย่างนี้แล้ว พระมหากัสสปเถระจึงปรึกษาหารือภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาอะไรก่อน พระธรรมหรือพระวินัย?
               ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่พระมหากัสสปะผู้เจริญ พระวินัยเป็นอายุของพระพุทธศาสนา เมื่อพระวินัยตั้งอยู่ พระศาสนาก็ชื่อว่ายังดำรงอยู่ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจงสังคายนาพระวินัยก่อน
               พระมหากัสสปะถามว่า เราจะจัดให้ใครรับเป็นธุระ?
               ที่ประชุมตอบว่าให้ท่านพระอุบาลีรับเป็นธุระ? ท่านถามแย้งว่า พระอานนท์ไม่สามารถหรือ? ที่ประชุมชี้แจงว่า ไม่ใช่พระอานนท์ไม่สามารถ ก็แต่ว่าเมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครั้งดำรงพระชนม์อยู่ ได้สถาปนาท่านพระอุบาลีไว้ในเอตทัคคะ เพราะอาศัยการเล่าเรียนวินัยว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาลีเป็นยอดแห่งภิกษุสาวกของเราผู้ทรงวินัย๒- ดังนี้ เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายจึงต้องถามพระอุบาลีเถระ สังคายนาพระวินัย.
๒- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๑๔๙
               ลำดับนั้น พระมหากัสสปเถระได้สมมติตนเองเพื่อถามพระวินัย แม้พระอุบาลีเถระก็สมมติตนเองเพื่อตอบพระวินัย.
               ในการสมมตินั้น มีบาลีดังต่อไปนี้
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอถามวินัยกะพระอุบาลี. แม้ท่านพระอุบาลีก็ได้เผดียงว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะถามวินัยแล้ว จะตอบ. ครั้งท่านพระอุบาลีสมมติตนอย่างนี้แล้วลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการภิกษุชั้นพระเถระแล้วนั่งบนธรรมาสน์จับพัดงา.
               ลำดับนั้น พระมหากัสสปเถระนั่งบนเถรอาสน์ ถามวินัยกะท่านพระอุบาลีว่า ดูก่อนอาวุโสอุบาลี ปฐมปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติที่ไหน? พระอุบาลีตอบว่า ทรงบัญญัติที่เมืองเวสาลี เจ้าข้า. พระมหากัสสปะถามว่า ทรงปรารภใคร? พระอุบาลีตอบว่า ทรงปรารภพระสุทิน บุตรกลันทเศรษฐี. พระมหากัสสปะถามว่า เรื่องอะไร? พระอุบาลีตอบว่า เรื่องเสพเมถุนธรรม.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถามท่านพระอุบาลีทั้งวัตถุ ถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคล ถามทั้งมูลบัญญัติ ถามทั้งอนุบัญญัติ ถามทั้งอาบัติ ถามทั้งอนาบัติแห่งปฐมปาราชิก.
               ท่านพระอุบาลีอันพระมหากัสสปะถามแล้วๆ ก็ได้ตอบแล้ว.
               ถามว่า ก็ในบาลีปฐมปาราชิก ในวินัยปิฎกนี้ บทอะไรๆ ที่ควรตัดออกหรือที่ควรเพิ่มเข้ามา จะมีบ้างหรือไม่มีเลย.
               ตอบว่า บทที่ควรตัดออก ไม่มีเลย เพราะถือกันว่า บทที่ควรตัดออกในภาษิตของพระพุทธเจ้าผู้มีบุญ จะมีไม่ได้เลย ด้วยว่าพระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่ตรัสอักษรที่ไม่มีประโยชน์แม้แต่ตัวเดียว แต่บทที่ควรตัดออกในภาษิตของพระสาวกทั้งหลายก็ดี ของเทวดาทั้งหลายก็ดี ย่อมมีบ้าง พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้ตัดบทนั้นออกแล้ว. ส่วนบทที่ควรเพิ่มเข้ามา ย่อมมีได้แม้ในพุทธภาษิต สาวกภาษิตและเทวดาภาษิตทั่วไป เพราะฉะนั้น บทใดควรเพิ่มเข้าในเทศนาใด พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายก็ได้เพิ่มบทนั้นเข้ามาแล้ว.
               ถามว่า บทที่เพิ่มเข้ามานั้นได้แก่บทอะไรบ้าง?
               ตอบว่า บทที่เพิ่มเข้ามานั้น ได้แก่บทที่เป็นแต่เพียงคำเชื่อมความท่อนต้นกับท่อนหลัง มีอาทิอย่างนี้ว่า เตน สมเยน บ้าง เตน โข ปน สมเยน บ้าง อถโข บ้าง เอวํ วุตฺเต บ้าง เอตทโวจ บ้าง
               อนึ่ง พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้เพิ่มบทที่ควรเพิ่มเข้ามาอย่างนี้แล้ว ตั้งไว้ว่า อิทํ ปฐมปาราชิกํ (สิกขาบทนี้ชื่อปฐมปาราชิก)
               เมื่อปฐมปาราชิกขึ้นสู่สังคายนาแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ก็ได้ทำคณสาธยาย (สวดเป็นหมู่) โดยนัยที่ยกขึ้นสู่สังคายนาว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เวรญฺชายํ วิหรติ เป็นต้น.
               ในเวลาที่พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์เหล่านั้นเริ่มสวด แผ่นดินใหญ่ได้เป็นเหมือนให้สาธุการไหวจนถึงน้ำรองแผ่นดิน.
               พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายยกปาราชิกที่เหลืออยู่ ๓ สิกขาบทขึ้นสู่สังคายนาโดยนัยนี้เหมือนกัน แล้วตั้งไว้ว่า อิทํ ปาราชิกกณฺฑํ กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์
                         ตั้งสังฆาทิเสส ๑๓ ไว้ว่า เตรสกณฺฑํ
                         ตั้งสิกขาบท ๒ ไว้ว่า อนิยต
                         ตั้งสิกขาบท ๓๐ ไว้ว่า นิสสัคคียปาจิตตีย์
                         ตั้งสิกขาบท ๙๒ ไว้ว่า ปาจิตตีย์
                         ตั้งสิกขาบท ๔ ไว้ว่า ปาฏิเทสนียะ
                         ตั้งสิกขาบท ๗๕ ไว้ว่า เสขิยะ
                         ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า อธิกรณสมถะ
               ระบุสิกขาบท ๒๒๗ ว่า คัมภีร์มหาวิภังค์ ตั้งไว้ด้วยประการฉะนี้. แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาคัมภีร์มหาวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหวโดยนัยก่อนเหมือนกัน.
               ต่อจากนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้ตั้งสิกขาบท ๘ ในภิกขุนีวิภังค์ไว้ว่า กัณฑ์นี้ชื่อปาราชิกกัณฑ์
                         ตั้งสังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบทไว้ว่า นี้สัตตรสกัณฑ์
                         ตั้งนิสสัคคียปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทนี้ไว้ว่า นี้นิสสัคคียปาจิตตีย์
                         ตั้งปาจิตตีย์ ๑๖๖ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาจิตตีย์
                         ตั้งปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทไว้ว่า นี้ปาฏิเทสนียะ
                         ตั้งเสขิยะ ๗๕ สิกขาบทไว้ว่า นี้เสขิยะ
                         ตั้งธรรม ๗ ประการไว้ว่า นี้อธิกรณสมถะ
               ระบุสิกขาบท ๓๐๔ ว่า ภิกขุนีวิภังค์ อย่างนี้แล้วตั้งไว้ว่า วิภังค์นี้ชื่ออุภโตวิภังค์ มี ๖๔ ภาณวาร. แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาคัมภีร์อุภโตวิภังค์ แผ่นดินใหญ่ก็ได้ไหวโดยนัยที่กล่าวแล้วเหมือนกัน.
               โดยอุบายวิธีแหละ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายยกคัมภีร์ขันธกะ (มหาวรรคและจุลวรรค) ซึ่งมีประมาณ ๘๐ ภาณวารและคัมภีร์บริวารซึ่งมีประมาณ ๒๕ ภาณวารขึ้นสู่สังคายนาแล้วตั้งไว้ว่า ปิฎกนี้ชื่อวินัยปิฎก.
               แม้ในเวลาเสร็จการสังคายนาวินัยปิฎก แผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้มอบท่านพระอุบาลีให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน ในเวลาเสร็จการสังคายนาวินัยปิฎก พระอุบาลีเถระวางพัดงาลงจากธรรมมาสน์ นมัสการภิกษุชั้นเถระทั้งหลายแล้วนั่งบนอาสนะที่ถึงแก่ตน.
               ครั้งสังคายนาพระวินัยเสร็จแล้ว ท่านพระมหากัสสปะประสงค์จะสังคายนาพระธรรมต่อไป จึงถามภิกษุทั้งหลายว่า เราทั้งหลายผู้จะสังคายนาพระธรรม (สุตตันตปิฎกและอภิธรรมปิฎก) จะจัดให้ใครรับเป็นธุระสังคายนาพระธรรม.
               ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ให้ท่านพระอานนทเถระรับเป็นธุระ.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้เผดียงว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าจะขอถามพระธรรมกะพระอานนท์.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ได้เผดียงว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ข้าพเจ้าอันท่านพระมหากัสสปะถามพระธรรมแล้ว จะตอบ.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง นมัสการภิกษุชั้นพระเถระทั้งหลายแล้ว นั่งบนธรรมาสน์จับพัดงา.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย เราทั้งหลายจะสังคายนาปิฎกไหนก่อน? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสุตตันตปิฎกก่อน.
               พระมหากัสสปะถามว่า ในสุตตันตปิฎกมีสังคีติ ๔ ประการ (คือทีฆสังคีติ การสังคายนาทีฆนิกาย มัชฌิมสังคีติ การสังคายนามัชฌิมนิกาย สังยุตตสังคีติ การสังคายนาสังยุตตนิกาย อังคุตตรสังคีติ การสังคายนาอังคุตตรนิกาย ส่วนขุททกนิกาย มีวินัยปิฎกรวมอยู่ด้วย จึงไม่นับในที่นี้) ในสังคีติเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาสังคีติไหนก่อน? ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาทีฆสังคีติก่อน.
               พระมหากัสสปะถามว่า ในทีฆสังคีติมีสูตร ๓๔ สูตรมีวรรค ๓ วรรค ในวรรคเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาวรรคไหนก่อน?
               ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า สังคายนาสีลขันธวรรคก่อน.
               พระมหากัสสปะถามว่า ในสีลขันธวรรคมีสูตร ๑๓ สูตร ในสูตรเหล่านั้น เราทั้งหลายจะสังคายนาสูตรไหนก่อน?
               ภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขึ้นชื่อว่าพรหมชาลสูตร ประดับด้วยศีล ๓ ประเภท เป็นสูตรกำจัดโทษมีการหลอกลวง และการพูดประจบประแจงซึ่งเป็นมิจฉาชีพหลายอย่างเป็นต้น เป็นสูตรปลดเปลื้องข่ายคือทิฏฐิ ๖๒ ทำหมื่นโลกธาตุให้ไหว เราทั้งหลายจงสังคายนาพรหมชาลสูตรนั้นก่อน.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะได้กล่าวถามคำนี้กะท่านพระอานนท์ว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพรหมชาลสูตรที่ไหน? พระอานนท์ตอบว่า ตรัส ณ พระตำหนักในพระราชอุทยานอัมพลัฏฐิกา ระหว่างกรุงราชคฤห์และเมืองนาลันทา.
               พระมหากัสสปะถามว่า ทรงปรารภใคร? พระอานนท์ตอบว่า ทรงปรารภสุปปิยปริพาชกกับพรหมทัตมาณพ. พระมหากัสสปะถามว่า เรื่องอะไร? พระอานนท์ตอบว่า เรื่องชมและติ.
               ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสปะถามทั้งนิทาน ถามทั้งบุคคลแห่งพรหมชาลสูตรกะท่านพระอานนท์ ท่านพระอานนท์ก็ได้ตอบแล้ว. เมื่อตอบเสร็จแล้ว พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ได้ทำคณสาธยาย. และแผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               ครั้งสังคายนาพรหมชาลสูตรอย่างนี้แล้ว ต่อจากนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาสูตร ๑๓ สูตรทั้งหมดรวมทั้งพรหมชาลสูตรตามลำดับแห่งปุจฉาและวิสัชนา โดยนัยเป็นต้นว่า ดูก่อนอาวุโสอานนท์ วรรคนี้ชื่อสีลขันธวรรค. พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายสังคายนาบาลีประมาณ ๖๔ ภาณวารประดับด้วยสูตร ๖๔ สูตร จัดเป็น ๓ วรรคอย่างนี้ คือมหาวรรคต่อจากสีลขันธวรรคนั้น ปาฏิกวรรคต่อจากมหาวรรคนั้น แล้วกล่าวว่านิกายนี้ชื่อทีฆนิกาย แล้วมอบท่านพระอานนท์ให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน.
               ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์ทีฆนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนามัชฌิมนิกายประมาณ ๘๐ ภาณวาร แล้วมอบกะนิสิตของพระธรรมเสนาบดีสารีบุตรเถระว่า ท่านทั้งหลายจงบริหารคัมภีร์มัชฌิมนิกายนี้.
               ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์มัชฌิมนิกายนั้น พระธรรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาสังยุตตนิกายประมาณ ๑๐๐ ภาณวาร แล้วมอบกะพระมหากัสสปเถระให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน.
               ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์สังยุตตนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาอังคุตตรนิกายประมาณ ๑๒๐ ภาณวาร แล้วมอบกะพระอนุรุทธเถระให้ไปสอนลูกศิษย์ของท่าน.
               ต่อจากนั้น
                         คัมภีร์ธรรมสังคณี คัมภีร์วิภังค์ คัมภีร์กถาวัตถุ
                         คัมภีร์ปุคคลบัญญัติ คัมภีร์ธาตุกถา คัมภีร์ยมก
                         คัมภีร์ปัฏฐาน ท่านเรียกว่า พระอภิธรรม.
               ต่อจากการสังคายนาคัมภีร์อังคุตตรนิกายนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาบาลีพระอภิธรรม ซึ่งเป็นอารมณ์ของญาณอันสุขุม อันบัณฑิตทั้งหลายสรรเสริญแล้วอย่างนี้ แล้วกล่าวว่า ปิฎกนี้ชื่ออภิธรรมปิฎก. พระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ได้ทำคณสาธยาย แผ่นดินได้ไหวตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               ต่อจากการสังคายนาอภิธรรมปิฎกนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายได้สังคายนาพระบาลี คือ ชาดก นิทเทส ปฏิสัมภิทามรรค อปทาน สุตตนิบาต ขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตกะ วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา. พระทีฆภาณกาจารย์กล่าวว่าประชุมคัมภีร์นี้ชื่อว่า ขุททกคันถะ และกล่าวว่าพระธรรมสังคาหกเถระยกสังคายนาในอภิธรรมปิฎกเหมือนกัน.
               ส่วนพระมัชฌิมภาณกาจารย์กล่าวว่า ขุททกคันถะทั้งหมดนี้กับจริยาปิฎกและพุทธวงศ์ นับเนื่องในสุตตันตปิฎก.
               พระพุทธพจน์แม้ทั้งหมดนี้ พึงทราบว่า
                         มี ๑ คือรส
                         มี ๒ คือธรรมและวินัย.
                         มี ๓ คือปฐมพจน์ มัชฌิมพจน์และปัจฉิมพจน์
                         มี ๓ ด้วยอำนาจแห่งปิฎก
                         มี ๕ ด้วยอำนาจแห่งนิกาย
                         มี ๙ ด้วยอำนาจแห่งองค์
                         มี ๘๔,๐๐๐ ด้วยอำนาจธรรมขันธ์ ด้วยประการฉะนี้.
               พระพุทธพจน์มี ๑ คือรส นับอย่างไร?
               จริงอยู่ คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณอันยอดเยี่ยมแล้ว ทรงสั่งสอนเทวดา มนุษย์ นาคและยักษ์เป็นต้นก็ดี ทรงพิจารณาอยู่ก็ดี ตลอดเวลา ๔๕ ปี ในระหว่างนี้จนตราบเท่าเสด็จปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ตรัสไว้ คำทั้งหมดนั้นมีรสเดียว คือวิมุตติรสนั่นแล. พระพุทธพจน์มี ๑ คือรส นับอย่างนี้.
               พระพุทธพจน์มี ๒ คือธรรมและวินัย นับอย่างไร?
               จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้ย่อมนับว่าธรรมและวินัย ในธรรมและวินัยนั้น วินัยปิฎกชื่อว่าวินัย พระพุทธพจน์ที่เหลือชื่อว่าธรรม. เพราะเหตุนั้นแล พระมหากัสสปะจึงกล่าวว่า อย่ากระนั้นเลย เราทั้งหลายพึงสังคายนาพระธรรมและพระวินัย และกล่าวว่า ข้าพเจ้าจะถามวินัยกะพระอุบาลี จะถามธรรมกะพระอานนท์. พระพุทธพจน์มี ๒ คือธรรมและวินัย นับอย่างนี้.
               พระพุทธพจน์มี ๓ คือ ปฐมพจน์ มัชฌิมพจน์และปัจฉิมพจน์ นับอย่างไร?
               จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้มี ๓ ประเภท คือปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์ ปัจฉิมพุทธพจน์.
               ใน ๓ ประเภทนี้ ปฐมพุทธพจน์ได้แก่พุทธพจน์นี้ คือ
                          อเนกชาติสํสารํ สนฺธาวิสฺสํ อนิพฺพิสํ
                          คหการํ คเวสนฺโต ทุกฺขา ชาติ ปุนปฺปุนํ
                          คหการก ทิฏฺโฐสิ ปุน เคหํ น กาหสิ
                          สพฺพา เต ผาสุกา ภคฺคา คหกูฏํ วิสงฺขตํ
                          วิสงฺขารคตํ จิตฺตํ ตณฺหานํ ขยมชฺฌคา
               เราแสวงหาช่างผู้ทำเรือนคืออัตภาพ เมื่อไม่พบ ได้ท่องเที่ยวไปแล้ว สิ้นสงสารนับด้วยชาติมิใช่น้อย ความเกิดบ่อยๆ เป็นทุกข์
               ดูก่อนช่างผู้ทำเรือนคืออัตภาพ เราพบท่านแล้ว ท่านจักทำเรือนคืออัตภาพของเราอีกไม่ได้ โครงบ้านของท่านทั้งหมด เราทำลายแล้ว ยอดแห่งเรือนคืออวิชชา เรารื้อแล้ว จิตของเราถึงพระนิพพานแล้ว เราได้บรรลุธรรมเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว.
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๑
               อาจารย์บางพวกกล่าวอุทานคาถาในคัมภีร์ขันธกะ มีคำว่า ยทา หเว ปาตุภวนฺติ ธมฺมา ในกาลใดแล ธรรมทั้งหลายย่อมปรากฏ๒- ดังนี้เป็นต้น ว่าเป็นปฐมพุทธพจน์ ก็อุทานคาถานี้ พึงทราบว่าเป็นอุทานคาถาที่บังเกิดแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้บรรลุพระสัพพัญญุตญาณแล้ว ทรงพิจารณาอยู่ซึ่งปัจจยาการด้วยพระญาณที่สำเร็จด้วยโสมนัสเวทนา ในวันแรม ๑ ค่ำเดือน ๖.
               ก็คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในเวลาใกล้เสด็จปรินิพพานว่า๓-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้เราขอเตือนเธอทั้งหลาย สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังสัมมาปฏิบัติให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาท ดังนี้.
               เป็นปัจฉิมพุทธพจน์.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑ ๓- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๔๓
               คำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสระหว่างปฐมพจน์และปัจฉิมพจน์ ชื่อมัชฌิมพจน์.
               พุทธพจน์ ๓ ประเภท คือปฐมพุทธพจน์ มัชฌิมพุทธพจน์และปัจฉิมพุทธพจน์ นับอย่างนี้.
               พุทธพจน์มี ๓ ด้วยอำนาจแห่งปิฎก นับอย่างไร?
               จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้มี ๓ ประเภท คือ วินัยปิฎก สุตตันตปิฎก อภิธรรมปิฎก. ใน ๓ ปิฎกนั้นพระพุทธพจน์นี้ คือ ปาติโมกข์ทั้ง ๒ วิภังค์ขันธกะ ๘๒ ปริวาร ๑๖ ชื่อวินัยปิฎก เพราะรวมพระพุทธพจน์ทั้งหมดที่สังคายนาในครั้งปฐมสังคายนาและที่สังคายนาต่อมา.
               พระพุทธพจน์ที่ชื่อว่าสุตตันตปิฎก ได้แก่พระพุทธพจน์ต่อไปนี้ คือ ทีฆนิกายมีจำนวน ๓๔ สูตร มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น มัชฌิมนิกายมีจำนวน ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้น สังยุตตนิกายมีจำนวน ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น อังคุตตรนิกายมีจำนวน ๙,๕๕๐ สูตร มีจิตตปริยาทานสูตรเป็นต้น ขุททกนิกายมี ๑๕ ประเภท คือขุททกปาฐะ ธรรมบท อุทาน อิติวุตตก สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุ เถรคาถา เถรีคาถา ชาดก นิทเทส ปฏิสัมภิทา อปทาน พุทธวงศ์ และจริยาปิฎก.
               พระพุทธพจน์ที่ชื่อว่าอภิธรรมปิฎก ได้แก่พระพุทธพจน์ต่อไปนี้ คือ ธรรมสังคณี วิภังค์ ธาตุกถา ปุคคลบัญญัติ กถาวัตถุ ยมก ปัฏฐาน.
               ใน ๓ ปิฎกนี้
               (อรรถาธิบายคำว่าวินัย)               
                         วินัยศัพท์นี้ บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งวินัยศัพท์
                         แปลความหมายว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ
                         เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะควบคุมกาย
                         และวาจา.
               ก็ในวินัยปิฎกนี้ มีนัยต่างๆ คือมีปาติโมกขุทเทส ๕ อาบัติ ๗ กองมีปาราชิกเป็นต้น มาติกาและวิภังค์เป็นต้นเป็นประเภท ส่วนนัยอนุบัญญัติเป็นนัยพิเศษ มีผลทำให้พระพุทธบัญญัติเดิมตึงขึ้นและหย่อนลง และวินัยนี้ย่อมควบคุมกายและวาจา เพราะห้ามการประพฤติล่วงทางกายและทางวาจา เพราะฉะนั้น ท่านจึงแปลความหมายว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ เพราะมีนัยพิเศษและเพราะควบคุมกายและวาจา เพราะเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเนื้อความของคำของวินัยนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
                         วินัยศัพท์นี้ บัณฑิตผู้รู้อรรถแห่งวินัยศัพท์
                         แปลความหมายว่า วินัย เพราะมีนัยต่างๆ
                         เพราะมีนัยพิเศษ และเพราะควบคุมกาย
                         และวาจา.
               (อรรถาธิบายคำว่าสูตร)             
                         ส่วนสุตตศัพท์นอกนี้ ท่านแปลความหมาย
                         ว่าสูตร เพราะเปิดเผยซึ่งประโยชน์ทั้งหลาย
                         เพราะกล่าวประโยชน์ไว้เหมาะสม เพราะ
                         เผล็ดประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์
                         เพราะป้องกันอย่างดี และเพราะมีส่วนเสมอ
                         ด้วยสายบรรทัด.
               ก็พระสูตรนั้นย่อมส่องถึงประโยชน์ทั้งหลาย อันต่างด้วยประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นเป็นต้น. อนึ่ง ประโยชน์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วในปิฎกนี้ เพราะตรัสอนุโลมตามอัธยาศัยของเวไนย.
               อนึ่ง สุตตันตปิฎกนี้ย่อมเผล็ดประโยชน์ทั้งหลาย. อธิบายว่า เผล็ดผลเหมือนข้าวกล้าเผล็ดผลฉะนั้น. พระสูตรนี้ย่อมหลั่งประโยชน์ทั้งหลาย.
               อธิบายว่า เหมือนโคนมหลั่งน้ำนมฉะนั้น.
               อนึ่ง พระสูตรนี้ ย่อมป้องกัน. อธิบายว่า ย่อมรักษาประโยชน์เหล่านั้นอย่างดี.
               อนึ่ง พระสูตรนี้มีส่วนเสมอด้วยสายบรรทัด เหมือนอย่างว่าสายบรรทัดเป็นเครื่องกำหนดของช่างไม้ทั้งหลายฉันใด แม้พระสูตรนี้ก็เป็นเครื่องกำหนดของวิญญูชนทั้งหลายฉันนั้น. เหมือนอย่างว่าดอกไม้ทั้งหลายที่คุมไว้ด้วยด้าย ย่อมไม่เรี่ยราย ย่อมไม่กระจัดกระจายด้วยลมฉันใด ประโยชน์ทั้งหลายที่รวบรวมไว้ด้วยพระสูตรนี้ก็ฉันนั้น.
               เพราะฉะนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเนื้อความแห่งคำของสูตรนี้ ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
                         สุตตศัพท์นี้ ท่านแปลความหมายว่าสูตร
                         เพราะส่องถึงประโยชน์ทั้งหลาย เพราะ
                         กล่าวประโยชน์ไว้เหมาะสม เพราะเผล็ด
                         ประโยชน์ เพราะหลั่งประโยชน์ เพราะ
                         ป้องกันอย่างดี เพราะมีส่วนเสมอด้วยสาย
                         บรรทัด.
               (อรรถาธิบายคำว่าอภิธรรม)   
                         ก็ธรรมนอกนี้ ท่านเรียกอภิธรรม เพราะ
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอภิธรรมนี้ว่า
                         เป็นธรรมที่มีความเจริญ ที่กำหนดเป็น
                         มาตรฐาน ที่บุคคลบูชาแล้ว ที่ตัดขาด
                         และเป็นธรรมอันยิ่ง.
               อภิศัพท์นี้ย่อมปรากฏในความว่าเจริญ. ความว่า อันบัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐาน. ความว่า อันบุคคลบูชาแล้ว. ความว่าตัดขาด และความว่าเป็นธรรมอันยิ่ง มีประโยคตัวอย่างดังต่อไปนี้
               อภิศัพท์มาในอรรถว่า เจริญ ในประโยคมีอาทิว่า พาฬฺหา เม อาวุโส ทุกฺขา เวทนา อภิกฺกมนฺติ โน ปฏิกฺกมนฺตีติ ดูก่อนอาวุโส ทุกขเวทนาอย่างแรงกล้า ย่อมเจริญกำเริบแก่ข้าพเจ้า ย่อมไม่ถอยลงเลย.๑-
               อภิศัพท์มาในอรรถว่า อันบัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐาน ในประโยคมีอาทิว่า ยา ตา รตฺติโย อภิญฺญาตา อภิลกฺขิตา ราตรีนั้นใด (วันจาตุททสี วันปัณณรสี วันอัฏฐมี) อันบัณฑิตกำหนดรู้แล้ว (ด้วยความเต็มดวงของดวงจันทร์ และด้วยความหมดดวงของดวงจันทร์) อันบัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐานไว้แล้ว (เพื่อสมาทานอุโบสถ เพื่อฟังธรรม และเพื่อทำสักการบูชาเป็นต้น).๒-
               อภิศัพท์มาในอรรถว่า อันบุคคลบูชาแล้ว ในประโยคมีอาทิว่า ราชาภิราชา มนุชินฺโท ขอพระองค์จงทรงเป็นพระราชาอันพระราชาบูชาแล้ว จงเป็นจอมคน.๓-
๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๖๙๙ ๒- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๕
๓- ขุ. สุ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๓๗๖
               อภิศัพท์มาในอรรถว่า ตัดขาด ในประโยคมีอาทิว่า ปฏิพโล วิเนตุํ อภิธมฺเม อภิวินเย เป็นผู้สามารถแนะนำในอภิธรรม ในอภิวินัย. อธิบายว่า อญฺญมญฺญสงฺกรวิรหิเต ธมฺเม จ วินเย จ ในพระธรรมและในพระวินัย ซึ่งเว้นจากการปะปนกันและกัน.
               อภิศัพท์มาในอรรถว่า ยิ่ง ในประโยคมีอาทิว่า๔- อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน มีผิวพรรณงามยิ่ง. อนึ่ง แม้ธรรมทั้งหลายที่มีความเจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในพระอภิธรรมนี้ โดยนัยมีอาทิว่า รูปุปฺปตฺติยา มคฺคํ ภาเวติ เมตฺตาสหคเตน เจตสา เอกํ ทิสํ ผริตฺวา วิหรติ ภิกษุเจริญมรรคเพื่อเข้าถึงรูปภพนี้ มีใจประกอบด้วยเมตตาแผ่ไปสู่ทิศหนึ่งอยู่.
๔- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๙
               แม้ธรรมทั้งหลายที่บัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐาน เพราะความเป็นสภาพที่ควรกำหนดด้วยอารมณ์เป็นต้น ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า รูปารมฺมณํ วา สทฺทารมฺมณํ วา มีรูปเป็นอารมณ์ มีเสียงเป็นอารมณ์.๕-
               แม้ธรรมทั้งหลายอันท่านบูชาแล้ว ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า เสกฺขา ธมฺมา อเสกฺขา ธมฺมา โลกุตฺตรา ธมฺมา เสกขธรรม อเสกขธรรม โลกุตตรธรรม.
               แม้ธรรมทั้งหลายที่ตัดขาดแล้ว เพราะความเป็นของที่ตัดขาดแล้วตามสภาวะ ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า ผสฺโส โหติ เวทนา โหติ ผัสสะมี เวทนามี.๕-
               แม้ธรรมทั้งหลายอันยิ่ง ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า มหคฺคตา ธมฺมา อปฺปมาณา ธมฺมา อนุตฺตรา ธมฺมา มหัคคตธรรม อัปปมาณธรรม อนุตตรธรรม.
               เพราะเหตุนั้น เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในเนื้อความของคำของอภิธรรมนี้
               ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า
                         ก็ธรรมนอกนี้ท่านเรียกว่าอภิธรรม เพราะ
                         พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอภิธรรมนี้ว่า
                         เป็นธรรมที่มีความเจริญ ที่กำหนดเป็น
                         มาตรฐาน ที่บุคคลบูชาแล้ว ที่ตัดขาด และ
                         เป็นธรรมยิ่ง.
๕- อภิ. สงฺ. เล่ม ๓๔/ข้อ ๑๖
               ก็ในปิฎกทั้งหลายมีวินัยปิฎกเป็นต้นนี้ ปิฎกใดยังเหลืออยู่
                                   ผู้รู้เนื้อความของปิฎกเรียกปิฎกนั้นว่า ปิฎก
                         โดยเนื้อความว่าปริยัติและภาชนะ พึงทราบว่ามี ๓
                         มีวินัยเป็นต้น เพราะรวมเข้ากับปิฎกศัพท์นั้น.
               จริงอยู่ แม้ปริยัติท่านก็เรียกว่า ปิฎก ในประโยคมีอาทิว่า อย่าถือโดยอ้างปิฎก.๖-
               แม้ภาชนะอย่างใดอย่างหนึ่ง ท่านเรียกว่า ปิฎก ในประโยคมีอาทิว่า ครั้งนั้น บุรุษพึงถือจอบและตะกร้าเดินมา.๗-
               เพราะเหตุนั้น บัณฑิตผู้รู้เนื้อความของปิฎกศัพท์ จึงเรียกปิฎกศัพท์ว่า ปิฎก โดยเนื้อความว่าปริยัติและภาชนะ.
๖- องฺ. ติก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๕๐๕ ๗- สํ. นิ. เล่ม ๑๖/ข้อ ๒๐๙
               บัดนี้ พึงทราบว่ามี ๓ มีวินัยเป็นต้น เพราะรวมเข้ากับปิฎกศัพท์นั้น พึงทราบว่ามี ๓ มีวินัยเป็นต้นเหล่านี้อย่างนี้ว่า เพราะทำสมาสกับปิฎกศัพท์ ซึ่งมีเนื้อความ ๒ อย่างนั้น อย่างนี้คือวินัยด้วย วินัยนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะเป็นปริยัติ และเพราะเป็นภาชนะแห่งเนื้อความนั้นๆ เพราะฉะนั้น จึงชื่อวินัยปิฎก. โดยนัยตามที่กล่าวแล้ว พระสูตรด้วย พระสูตรนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าสุตตันตปิฎก. อภิธรรมด้วย อภิธรรมนั้นเป็นปิฎกด้วย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าอภิธรรมปิฎก.
               ก็ครั้งทราบอย่างนี้แล้ว เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในประการต่างๆ ในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านั้นอีกครั้ง
                         พึงแสดงประเภทของเทศนา ประเภทของศาสนา
                         ประเภทของกถาและสิกขาปหานะ คัมภีรภาพตาม
                         สมควรในปิฎกเหล่านั้น ภิกษุย่อมถึงซึ่งประเภท
                         แห่งการเล่าเรียนใด ซึ่งสมบัติใด แม้ซึ่งวิบัติใด
                         ในปิฎกใด ด้วยอาการใด พึงแสดงซึ่งประเภทแห่ง
                         การเล่าเรียนทั้งหมดแม้นั้นด้วยอาการนั้น.
               ในคาถาเหล่านั้นมีคำอธิบายอย่างแจ่มแจ้งและชัดเจน ดังต่อไปนี้
               จริงอยู่ ปิฎก ๓ เหล่านั้น ท่านเรียกตามลำดับว่า อาณาเทศนา โวหารเทศนา ปรมัตถเทศนา ยถาปราธศาสนา ยถานุโลมศาสนา ยถาธรรมศาสนา และสังวราสังวรกถา ทิฏฐิวินิเวฐนกถา นามรูปปริจเฉทกถา.
               ก็ในปิฎก ๓ นี้ วินัยปิฎก ท่านเรียกว่า อาณาเทศนา การเทศนาโดยอำนาจบังคับบัญชา เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ควรออกคำสั่ง ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยคำสั่ง. สุตตันตปิฎก ท่านเรียกว่า โวหารเทศนา การเทศนาโดยบัญญัติ เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงฉลาดในเชิงสอน ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยคำสอน. อภิธรรมปิฎก ท่านเรียกว่า ปรมัตถเทศนา การเทศนาโดยปรมัตถ์ เพราะเป็นปิฎกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ฉลาดในปรมัตถ์ ทรงแสดงแล้วโดยความเป็นเทศนาที่มากไปด้วยปรมัตถ์.
               อนึ่ง ปิฎกที่ ๑ (วินัยปิฎก) ท่านเรียกว่า ยถาปราธศาสนา การสั่งสอนตามความผิด เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีความผิดมากมายเหล่านั้นใด สัตว์เหล่านั้นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งตามความผิดในปิฎกนี้. ปิฎกที่ ๒ (สุตตันตปิฎก) ที่ท่านเรียกว่า ยถานุโลมศาสนา การสั่งสอนอนุโลมตามอัธยาศัย เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีอัธยาศัยอนุสัยและจริยาวิมุตติมิใช่น้อย อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนแล้วในปิฎกนี้ตามอนุโลม. ปิฎกที่ ๓ (อภิธรรมปิฎก) ท่านเรียกว่า ยถาธรรมศาสนา การสั่งสอนตามปรมัตถธรรม เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า สัตว์ทั้งหลายผู้มีความสำคัญในสภาวะสักว่ากองแห่งปรมัตถธรรมว่า นี่เรา นั่นของเรา ดังนี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสั่งสอนแล้ว ตามปรมัตถธรรมในปิฎกนี้.
               อนึ่ง ปิฎกที่ ๑ ท่านเรียกว่า สังวราสังวรกถา ด้วยอรรถว่าสังวราสังวระอันเป็นปฏิปักษ์ต่อการฝ่าฝืน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้.
               บทว่า สํวราสํวโร ได้แก่ สังวรเล็กและสังวรใหญ่เหมือนกัมมากัมมะ การงานน้อยและการงานใหญ่ และเหมือนผลาผละ ผลไม้น้อยและผลไม้ใหญ่.
               ปิฎกที่ ๒ ท่านเรียกว่า ทิฏฐิวินิเวฐนกถา คำบรรยายคลายทิฏฐิ ด้วยอรรถว่า การคลายทิฏฐิอันเป็นปฏิปักษ์ต่อทิฏฐิ ๖๒ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้. ปิฎกที่ ๓ ท่านเรียกว่า นามรูปปริจเฉทกถา คำบรรยายการกำหนดนามและรูป ด้วยอรรถว่าการกำหนดนามและรูปอันเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสมีราคะเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วในปิฎกนี้.
               อนึ่ง พึงทราบสิกขา ๓ ปหานะ ๓ และคัมภีรภาวะ ๔ อย่างในปิฎกทั้ง ๓ เหล่านี้ ดังต่อไปนี้. จริงอย่างนั้น อธิสีลสิกขา พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยเฉพาะในวินัยปิฎก อธิจิตตสิกขา ตรัสไว้โดยเฉพาะในสุตตันตปิฎก อธิปัญญาสิกขา ตรัสไว้โดยเฉพาะในอภิธรรมปิฎก.
               อนึ่ง การละกิเลสอย่างหยาบ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวินัยปิฎก เพราะศีลเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างหยาบ. การละกิเลสอย่างกลางตรัสไว้ในสุตตันตปิฎก เพราะสมาธิเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างกลาง. การละกิเลสอย่างละเอียด ตรัสไว้ในอภิธรรมปิฎก เพราะปัญญาเป็นปฏิปักษ์ต่อกิเลสอย่างละเอียด. อนึ่ง การละกิเลสชั่วคราว ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละกิเลสด้วยข่มไว้ และการละกิเลสเด็ดขาด ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้. การละสังกิเลสคือทุจริต ตรัสไว้ในปิฎกที่ ๑ การละสังกิเลสคือตัณหาและทิฏฐิ ตรัสไว้ในปิฎกทั้ง ๒ นอกนี้.
               ในปิฎก ๓ นี้ พึงทราบว่าแต่ละปิฎกมีคัมภีรภาวะทั้ง ๔ คือความลึกซึ้งโดยธรรม โดยอรรถ โดยเทศนาและโดยปฏิเวธ.
               ในคัมภีรภาวะทั้ง ๔ นั้น ธรรมได้แก่บาลี อรรถได้แก่เนื้อความของบาลีนั้นแหละ เทศนาได้แก่การแสดงซึ่งบาลีนั้นอันกำหนดไว้อย่างดีด้วยใจ ปฏิเวธได้แก่ความหยั่งรู้บาลี และเนื้อความของบาลีตามความเป็นจริง.
               ก็เพราะธรรม อรรถ เทศนาและปฏิเวธเหล่านี้ ในปิฎกทั้ง ๓ นี้ ผู้มีปัญญาน้อยทั้งหลายหยั่งรู้ได้ยาก และเป็นที่พึ่งไม่ได้ เหมือนมหาสมุทร สัตว์เล็กทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้น พึ่งไม่ได้ฉะนั้น จึงเป็นของลึกซึ้ง.
               ในปิฎก ๓ นี้ พึงทราบคัมภีรภาวะทั้ง ๔ อย่างในแต่ละปิฎกด้วยประการฉะนี้.
               อีกนัยหนึ่ง ธรรมได้แก่เหตุ ข้อนี้สมด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ญาณในเหตุ ชื่อธรรมปฏิสัมภิทา. อรรถได้แก่ผลแห่งเหตุ ข้อนี้สมด้วยพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า ญาณในผลแห่งเหตุ ชื่ออรรถปฏิสัมภิทา. เทศนาได้แก่บัญญัติ. อธิบายว่า การแสดงธรรมตามสภาวธรรม. อีกอย่างหนึ่ง การแสดงด้วยอำนาจอนุโลมและปฏิโลม สังเขปและพิสดารเป็นต้น เรียกว่าเทศนา. ปฏิเวธได้แก่การตรัสรู้ และปฏิเวธนั้นเป็นได้ทั้งโลกิยะทั้งโลกุตตระ ได้แก่ความรู้จริงไม่เปลี่ยนแปลงในเหตุทั้งหลายสมควรแก่ผล ในผลทั้งหลายสมควรแก่เหตุ ในบัญญัติทั้งหลายสมควรแก่ทางแห่งบัญญัติ โดยอารมณ์และโดยความไม่หลง สภาวะแห่งธรรมทั้งหลายนั้นๆ ที่กล่าวแล้วในปิฎกนั้นๆ ไม่วิปริต กล่าวคือบัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐาน ควรแทงตลอด.
               สภาวธรรมที่มีเหตุใดๆ ก็ดี สภาวธรรมที่มีผลใดๆ ก็ดี เนื้อความที่ควรให้รู้ด้วยประการใดๆ ย่อมเป็นเป้าหมายสำคัญแห่งญาณของผู้ฟังทั้งหลาย เทศนานี้ใดที่ส่องเนื้อความนั้นให้กระจ่างด้วยประการนั้นๆ ก็ดี ปฏิเวธใด กล่าวคือความรู้จริงไม่วิปริตในปิฎก ๓ นี้อย่างหนึ่ง สภาวะแห่งธรรมทั้งหลายนั้นๆ ที่ไม่วิปริต กล่าวคือที่บัณฑิตกำหนดเป็นมาตรฐาน ควรแทงตลอด.
               คุณชาตนี้ทั้งหมด ผู้มีปัญญาทรามทั้งหลายซึ่งมิได้สั่งสมกุศลสมภารไว้ หยั่งรู้ได้ยาก และพึ่งไม่ได้ เหมือนมหาสมุทร สัตว์เล็กทั้งหลายมีกระต่ายเป็นต้นพึ่งไม่ได้ เพราะเหตุนั้น สภาวธรรมที่มีเหตุหรือสภาวธรรมที่มีผลนั้นๆ จึงลึกซึ้ง คัมภีรภาวะทั้ง ๔ อย่างในปิฎก ๓ นี้แต่ละปิฎก ผู้ศึกษาพึงทราบในบัดนี้ แม้ด้วยประการฉะนี้.
               ก็คาถานี้ว่า
                         พึงแสดงประเภทของเทศนา ประเภทของศาสนา
                         ประเภทของกถา และสิกขา ปหานะ คัมภีรภาพ
                         ตามสมควรในปิฎกเหล่านั้น ดังนี้
               เป็นคาถามีเนื้อความอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               ส่วนประเภทแห่งการเล่าเรียน ๓ อย่าง ในปิฎก ๓ ในคาถานี้ว่า
                         ภิกษุย่อมถึงซึ่งประเภทแห่งปริยัติใด ซึ่งสมบัติใด
                         แม้ซึ่งวิบัติใด ในปิฎกใด ด้วยอาการใด พึงแสดง
                         ซึ่งประเภทแห่งปริยัติทั้งหมดแม้นั้น ด้วยอาการ
                         นั้น ดังนี้ พึงทราบต่อไป.
               จริงอยู่ การเล่าเรียนมี ๓ อย่าง คือ
                         อลคัททูปมาปริยัติ การเล่าเรียนเหมือนจับงูข้างหาง
                         นิสสรณัตถปริยัติ การเล่าเรียนมีวัตถุประสงค์เพื่อออกไป
                         ภัณฑาคาริกปริยัติ การเล่าเรียนของพระอรหันต์เปรียบด้วยขุนคลัง.
               ในปริยัติ ๓ ประเภทนั้น ปริยัติใดที่บุคคลเรียนผิดทาง คือเรียนเพราะเหตุมีติเตียนผู้อื่นเป็นต้น ปริยัตินี้ ชื่ออลคัททูปมา ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายตรัสไว้ว่า๘-
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ต้องการงู แสวงหางู เที่ยวค้นหางู เขาพึงพบงูใหญ่ พึงจับขนด หรือจับหางงูนั่นนั้น งูนั้นพึงเลี้ยวกลับมากัดมือหรือแขน หรืออวัยวะน้อยใหญ่ที่ใดที่หนึ่งของบุรุษนั้น บุรุษนั้นพึงถึงตายหรือทุกข์ปางตาย เพราะการถูกงูกัดนั้นเป็นเหตุ.
               ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นเพราะเขาจับงูผิดวิธี ฉันใด
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษบางพวกในศาสนานี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรมคือ สุตตะ เคยยะ ฯ ล ฯ เวทัลละ โมฆบุรุษเหล่านั้นครั้นเล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ไม่พิจารณาเนื้อความของธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา เมื่อโมฆบุรุษเหล่านั้นไม่พิจารณาเนื้อความด้วยปัญญา ธรรมเหล่านั้นย่อมไม่ทนต่อการเพ่งพินิจ โมฆบุรุษเหล่านั้นมีวัตถุประสงค์เพื่อติเตียนผู้อื่น และมีวัตถุประสงค์เพื่อเปลื้องตนจากการกล่าวร้ายนั้นๆ จึงเล่าเรียนธรรม โมฆบุรุษเหล่านั้นเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์แห่งธรรมใด ย่อมไม่ได้ประโยชน์แห่งธรรมนั้น ธรรมเหล่านั้นที่โมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนผิดทาง ย่อมเป็นไปเพื่ออันตรายอันไม่เกื้อกูล เพื่อความทุกข์ตลอดกาลนาน.
               ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นเพราะธรรมทั้งหลายอันโมฆบุรุษเหล่านั้นเรียนผิดทาง ดังนี้.
๘- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๗๘
               ส่วนปริยัติใด ที่บุคคลเรียนถูกทาง คือหวังความบริบูรณ์แห่งคุณมีสีลขันธ์เป็นต้นเท่านั้น เรียนแล้ว มิได้เรียนเพราะเหตุมีการติเตียนผู้อื่นเป็นต้น นี้ชื่อนิสสรณัตถปริยัติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายตรัสไว้ว่า
               ธรรมเหล่านั้นที่บุคคลเหล่านั้นเรียนถูกทาง ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.
               ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร ?
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะธรรมทั้งหลายบุคคลเหล่านั้นเรียนถูกทาง.
               ส่วนพระอรหันต์ผู้มีขันธ์อันกำหนดรู้แล้ว มีกิเลสอันละได้แล้ว มีมรรคอันอบรมแล้ว มีพระอรหัตตผลอันแทงตลอดแล้ว มีนิโรธอันทำให้แจ้งแล้ว ย่อมเรียนซึ่งปริยัติใด เพื่อต้องการรักษาประเพณี เพื่อต้องการอนุรักษ์พุทธวงศ์โดยเฉพาะ นี้ชื่อภัณฑาคาริกปริยัติ.
               อนึ่ง ภิกษุปฏิบัติดีในพระวินัย อาศัยสีลสัมปทา ย่อมบรรลุวิชชา ๓ เพราะท่านกล่าวประเภทแห่งวิชชา ๓ เหล่านั้นไว้ในพระวินัยนั้น. ภิกษุปฏิบัติดีในพระสูตร อาศัยสมาธิสัมปทา ย่อมบรรลุอภิญญา ๖ เพราะท่านกล่าวประเภทแห่งอภิญญา ๖ เหล่านั้นไว้ในพระสูตรนั้น. ภิกษุปฏิบัติดีในพระอภิธรรม อาศัยปัญญาสัมปทา ย่อมบรรลุปฏิสัมภิทา ๔ เพราะท่านกล่าวประเภทแห่งปฏิสัมภิทา ๔ ไว้ในพระอภิธรรมนั้นเหมือนกัน. ภิกษุปฏิบัติดีในปิฎก ๓ เหล่านั้น ย่อมบรรลุสมบัติต่างด้วยวิชชา ๓ อภิญญา ๖ และปฏิสัมภิทา ๔ เป็นต้นนี้ตามลำดับ ด้วยประการฉะนี้.
               ส่วนภิกษุปฏิบัติชั่วในพระวินัย ย่อมมีความสำคัญว่า ไม่มีโทษในผัสสะทั้งหลายมีการถูกต้องสิ่งที่มีวิญญาณครองเป็นต้นที่ต้องห้าม โดยมีลักษณะคล้ายคลึงกับการถูกต้องวัตถุมีเครื่องปูลาดและผ้าห่ม อันมีสัมผัสสบายที่ทรงอนุญาตไว้เป็นต้น. สมด้วยคำที่พระอริฏฐะกล่าวไว้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วว่าเป็นธรรมทำอันตราย แต่ธรรมเหล่านั้นไม่อาจเพื่อเป็นอันตรายแก่ผู้ซ่องเสพได้เลย ดังนี้.๙- แต่นั้น ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นผู้ทุศีล.
๙- วิ. มหาวิ. เล่ม ๒/ข้อ ๖๖๒
               ภิกษุปฏิบัติชั่วในพระสูตร ไม่รู้ความมุ่งหมายในพระบาลีมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ พวกเหล่านี้มีอยู่ ปรากฏอยู่๑๐- ดังนี้ ย่อมถือเอาผิดๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายตรัสไว้ว่า บุคคลย่อมกล่าวตู่เราทั้งหลายด้วย ย่อมขุดซึ่งตนด้วย ย่อมประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมากด้วย ด้วยการที่ตนถือผิด ดังนี้.๑๑- แต่นั้น ภิกษุนั้นย่อมถึงความเป็นมิจฉาทิฏฐิ.
๑๐- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๕ ๑๑- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๗๗
               ภิกษุปฏิบัติชั่วในพระอภิธรรม เมื่อคิดธรรมฟุ้งเกินไป ย่อมคิดแม้เรื่องที่ไม่ควรคิด แต่นั้นย่อมถึงจิตวิปลาส. สมด้วยพุทธภาษิตที่ตรัสไว้ว่า๑๒- ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บุคคลคิดอยู่ซึ่งเรื่องไม่ควรคิดทั้งหลายเหล่าใด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่งความเป็นบ้า เสียจริต เรื่องไม่ควรคิดทั้งหลายเหล่านี้ ๔ ประการ บุคคลไม่ควรคิดเลย ดังนี้.
๑๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๒๑/ข้อ ๗๗
               ภิกษุปฏิบัติชั่วในปิฎก ๓ เหล่านี้ ย่อมถึงความวิบัติต่างด้วยความเป็นผู้ทุศีล ความเป็นมิจฉาทิฏฐิ และจิตวิปลาสนี้ตามลำดับ ด้วยประการฉะนี้.
               คาถาแม้นี้ว่า
                         ภิกษุย่อมถึงซึ่งประเภทแห่งปริยัติใด ซึ่งสมบัติใด แม้ซึ่งวิบัติใด
                         ในปิฎกใด ด้วยอาการใด พึงแสดงซึ่งประเภทแห่งปริยัติทั้งหมด
                         แม้นั้น ด้วยอาการนั้น ดังนี้
               เป็นคาถามีเนื้อความอันข้าพเจ้ากล่าวแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               ครั้นทราบปิฎกทั้งหลายโดยประการต่างๆ แล้ว ผู้ศึกษาพึงทราบพระพุทธพจน์นี้ว่า มี ๓ อย่างด้วยอำนาจแห่งปิฎกเหล่านั้นด้วยประการฉะนี้.
               พระพุทธพจน์มี ๕ ประเภท ด้วยอำนาจแห่งนิกาย นับอย่างไร?
               ความจริง พระพุทธพจน์ทั้งหมดเลยนั้น มี ๕ ประเภท คือ ทีฆนิกาย มัชฌิมนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย ขุททกนิกาย.
               บรรดานิกาย ๕ นั้น ทีฆนิกาย คืออะไร? คือนิกายที่มีสูตร ๓๔ สูตร มีพรหมชาลสูตรเป็นต้น จัดเป็น ๓ วรรค.
               นิกายใด มีสูตร ๓๔ สูตร จัดเป็น ๓ วรรค
               นิกายที่ ๑ นี้ ชื่อทีฆนิกาย มีชื่อว่าอนุโลม
               ก็เพราะเหตุไร นิกายที่ ๑ นี้ จึงเรียกว่า ทีฆนิกาย? เพราะเป็นที่ประชุมและเป็นที่อยู่ของสูตรทั้งหลายที่มีขนาดยาว.
               จริงอยู่ หมู่และที่อยู่ ท่านเรียกว่านิกาย.
               ก็ในข้อที่นิกายศัพท์หมายถึงหมู่ และที่อยู่นี้มีอุทาหรณ์เป็นเครื่องสาธกทั้งทางศาสนาและทางโลก มีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราไม่พิจารณาเห็นหมู่อื่นแม้หมู่หนึ่ง ซึ่งผิดแผกแตกต่างกันเหมือนหมู่สัตว์เดียรฉาน๑๓- และเหมือนที่อยู่ของกษัตริย์โปณิกะ ที่อยู่ของกษัตริย์จิกขัลลิกะเลย ดังนี้.
๑๓- สํ. ข. เล่ม ๑๗/ข้อ ๒๕๙
               เนื้อความของคำในความที่นิกายทั้ง ๔ ที่เหลือเรียกว่านิกาย บัณฑิตพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วอย่างนี้.
               มัชฌิมนิกาย คืออะไร? คือนิกายที่มีสูตร ๑๕๒ สูตร มีมูลปริยายสูตรเป็นต้นมีขนาดปานกลาง จัดเป็น ๑๕ วรรค
               ในนิกายใด มีสูตร ๑๕๒ สูตร จัดเป็น ๑๕ วรรค
               นิกายนั้น ชื่อมัชฌิมนิกาย.
               สังยุตตนิกาย คืออะไร? คือ นิกายที่มีสูตร ๗,๗๖๒ สูตร มีโอฆตรณสูตรเป็นต้น ที่ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งเทวตาสังยุต เป็นต้น
               นิกายที่มีสูตร ๗,๗๖๒ สูตรนี้จัดเป็นสังยุตตนิกาย
               อังคุตตรนิกาย คืออะไร? คือนิกายที่มีสูตร ๙,๕๕๗ สูตร มีจิตตปริยาทานสูตรเป็นต้น ที่ตรัสไว้ด้วยสามารถแห่งการเพิ่มขึ้นส่วนละหนึ่งๆ
               จำนวนสูตรในอังคุตตรนิกายมีดังนี้ คือ ๙,๕๕๗ สูตร
               ขุททกนิกาย คืออะไร? คือวินัยปิฎกทั้งสิ้น อภิธรรมปิฎกทั้งสิ้น คัมภีร์ ๑๕ ประเภทมีขุททกปาฐะเป็นต้น และพระพุทธพจน์ที่เหลือ เว้นนิกาย ๔.
               ยกเว้นนิกายทั้ง ๔ มีทีฆนิกายเป็นต้นเหล่านี้เสีย พระพุทธพจน์อื่นจากนั้น ท่านเรียกว่า ขุททกนิกายแล. พระพุทธพจน์มี ๕ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งนิกาย นับอย่างนี้แล.
               พระพุทธพจน์มี ๙ อย่างด้วยอำนาจแห่งองค์ นับอย่างไร?
               จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้ มี ๙ ประเภท คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ.
               ในพระพุทธพจน์มีองค์ ๙ นั้น
               อุภโตวิภังค์ นิทเทส ขันธกะ และบริวาร มงคลสูตร รตนสูตร นาลกสูตร ตุวัฏฏกสูตร ในสุตตนิบาต และคำสอนของพระตถาคตที่มีชื่อว่าสูตรแม้อื่น พึงทราบว่าสุตตะ.
               สูตรที่มีคาถาทั้งหมด พึงทราบว่าเคยยะ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สคาถวรรคแม้ทั้งสิ้นในสังยุตตนิกาย พึงทราบว่า เคยยะ.
               อภิธรรมปิฎกทั้งหมด พระสูตรที่ไม่มีคาถา และพระพุทธพจน์แม้อื่นใดที่ไม่ได้รวบรวมไว้ด้วยองค์ ๘ พระพุทธพจน์นั้น พึงทราบว่า เวยยากรณะ.
               ธรรมบท เถรคาถา เถรีคาถา และคาถาล้วนที่ไม่มีชื่อว่าสูตรในสุตตนิบาต พึงทราบว่า คาถา.
               สูตร ๘๒ สูตรที่ประกอบด้วยคาถาสำเร็จด้วยญาณ เกิดร่วมด้วยโสมนัสเวทนา พึงทราบว่า อุทาน.
               สูตร ๑๑๐ สูตรที่เป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า๑๔- วุตตํ เหตํ ภควตา พึงทราบว่า อิติวุตตกะ.
               ชาดก ๕๕๐ เรื่อง มีอปัณณกชาดกเป็นต้น พึงทราบว่า ชาดก.
               พระสูตรอันประกอบด้วยเรื่องที่ไม่เคยมีมามีขึ้น น่าอัศจรรย์ทั้งหมด ที่เป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันไม่เคยมีมามีขึ้น น่าอัศจรรย์ ๔ อย่างเหล่านี้มีในพระอานนท์ ดังนี้๑๕- พึงทราบว่า อัพภูตธรรม.
๑๔- ขุ. อิติ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๗๙ ๑๕- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๑๓๖
               พระสูตรที่ถูกถาม ได้ญาณและปีติแม้ทั้งหมดมีจูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร สักกปัญหสูตร สังขารภาชนียสูตร และมหาปุณณมสูตร เป็นต้น พึงทราบว่า เวทัลละ.
               พระพุทธพจน์มี ๙ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งองค์ นับอย่างนี้แล.
               พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ ด้วยอำนาจแห่งธรรมขันธ์ นับอย่างไร?
               จริงอยู่ พระพุทธพจน์ทั้งหมดนี้ มี ๘๔,๐๐๐ ประเภท ด้วยอำนาจแห่งธรรมขันธ์ที่ท่านพระอานนท์แสดงไว้แล้วอย่างนี้ว่า๑๖-
                         ธรรมเหล่าใดที่ขึ้นปากขึ้นใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเรียนธรรมเหล่านั้น
                         จากพระพุทธเจ้า ๘๒,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ เรียนจากภิกษุ ๒,๐๐๐
                         พระธรรมขันธ์ รวม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์.
๑๖- ขุ. เถร. เล่ม ๒๖/ข้อ ๓๙๗
               ในธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ นั้น พระสูตรที่มีหัวข้อเรื่องเดียวนับเป็นธรรมขันธ์ ๑. พระสูตรใดมีหัวข้อเรื่องหลายเรื่องรวมกัน ในพระสูตรนั้นนับธรรมขันธ์ตามจำนวนหัวข้อเรื่อง.
               ในคาถาประพันธ์ คำถามปัญหาเรื่อง ๑ นับเป็นธรรมขันธ์ ๑. คำวิสัชนาปัญหาเรื่อง ๑ นับเป็นธรรมขันธ์ ๑. ในพระอภิธรรม การแจกติกะและทุกะแต่ละอย่างๆ และการแจกจิตตวาระแต่ละอย่างๆ นับเป็นธรรมขันธ์หนึ่งๆ. ในพระวินัยมีวัตถุ มีมาติกา มีบทภาชนีย์ มีอันตรายบัติ มีอาบัติ มีอนาบัติ มีติกเฉทะ (การกำหนดอาบัติเป็น ๓ ส่วน) ในวัตถุและมาติกาเป็นต้นเหล่านั้น ส่วนหนึ่งๆ พึงทราบว่า ธรรมขันธ์หนึ่งๆ.
               พระพุทธพจน์มี ๘๔,๐๐๐ ด้วยอำนาจแห่งธรรมขันธ์ นับอย่างนี้แล.
               พระพุทธพจน์นี้ โดยไม่แยกประเภทมีหนึ่ง คือรส. โดยแยกประเภทมีประเภท ๒ อย่างเป็นต้น คือเป็นพระธรรมอย่าง ๑ เป็นวินัยอย่าง ๑ เป็นต้น อันคณะผู้เชี่ยวชาญมีพระมหากัสสปเป็นประมุข เมื่อจะสังคายนาได้กำหนดประเภทนี้ก่อนแล้วจึงสังคายนาว่า นี้เป็นธรรม นี้เป็นวินัย นี้เป็นปฐมพุทธพจน์ นี้เป็นมัชฌิมพุทธพจน์ นี้เป็นปัจฉิมพุทธพจน์ นี้เป็นวินัยปิฎก นี้เป็นสุตตันตปิฎก นี้เป็นอภิธรรมปิฎก นี้เป็นทีฆนิกาย นี้เป็นมัชฌิมนิกาย นี้เป็นสังยุตตนิกาย นี้เป็นอังคุตตรนิกาย นี้เป็นขุททกนิกาย นี้เป็นองค์ ๙ มีสุตตะเป็นต้น นี้เป็นพระธรรมขันธ์ ๘๔,๐๐๐ ด้วยประการฉะนี้.
               และใช่ว่า ท่านจะกำหนดประเภทนี้เท่านั้นอย่างเดียวสังคายนาแล้วหาก็ไม่ แต่ท่านยังกำหนดประเภทแห่งสังคหะแม้อื่นๆ ซึ่งมีประการมิใช่น้อย เป็นต้นว่า อุทานสังคหะ วัคคสังคหะ เปยยาลสังคหะ และนิปาตสังคหะ มีเอกนิบาตและทุกนิบาตเป็นต้น สังยุตตสังคหะและปัญญาสสังคหะเป็นต้นที่ปรากฏอยู่ในปิฎก ๓ สังคายนาแล้ว ใช้เวลา ๗ เดือนด้วยประการฉะนี้.
               ก็ในอวสานแห่งการสังคายนาพระพุทธพจน์นั้น แผ่นดินใหญ่นี้ได้สั่นสะเทือนเลื่อนลั่นหวั่นไหว เป็นอเนกประการทั่วไปจนถึงน้ำรองแผ่นดิน เป็นประหนึ่งว่าเกิดความปราโมทย์ให้สาธุการว่า ศาสนาของพระทศพลนี้ พระมหากัสสปเถระได้ทำให้สามารถมีอายุยืนไปได้ตลอดกาลประมาณ ๕,๐๐๐ ปี และได้ปรากฏมหัศจรรย์ทั้งหลายมิใช่น้อยด้วยประการฉะนี้.
               สังคายนาใดในโลกเรียกกันว่า ปัญจสตา เพราะพระอรหันต์ ๕๐๐ องค์ได้ทำไว้ และเรียกกันว่า เถริกา เพราะพระสงฆ์ชั้นพระเถระทั้งนั้นได้ทำไว้ สังคายนานี้ชื่อปฐมมหาสังคายนาด้วยประการฉะนี้.
               จบนิทานกถา