Translate

02 สิงหาคม 2567

หน้า ๑๔/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
เรื่องปัญหาของพระสารีบุตร
       บัดนี้ ท่านพระอุบาลี เมื่อจะแสดงการที่พระสารีบุตรเถระเกิดความรำพึงที่ ปฏิสังยุตด้วยสิกขาบท เพื่อแสดงนิทานตั้งต้นแต่เค้าเดิมแห่งการทรงบัญญัติพระวินัย จึงได้กล่าวคำมีอาทิ อถโข อายสฺมโต สารีปุตฺตสฺส ดังนี้.
             บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า รโหคตสฺส แปลว่า ไปแล้วในที่สงัด.
               บทว่า ปฏิสลฺลีนสฺส แปลว่า หลีกเร้นอยู่ คือถึงความเป็นผู้โดดเดี่ยว.
               บทว่า กตเมสานํ ความว่า บรรดาพระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้นที่ล่วงไปแล้ว ของพระพุทธเจ้าพระองค์ไหน? พรหมจรรย์ชื่อว่า
ดำรงอยู่นาน เพราะอรรถว่า พรหมจรรย์นั้นดำรงอยู่ตลอดกาลนานหรือมีการดำรงอยู่นาน.               คำที่ยังเหลือในบทว่า อถโข อายสฺมโต
 เป็นต้นนี้ มีใจความเฉพาะบทตื้นทั้งนั้น.
               ถามว่า ก็พระเถระไม่สามารถจะวินิจฉัยความปริวิตกของตนนี้ด้วยตนเองหรือ?               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               พระเถระทั้งสามารถ ทั้งไม่สามารถ.
               จริงอยู่ พระสารีบุตรเถระนี้ย่อมสามารถวินิจฉัยเหตุมีประมาณ
เท่านี้ได้ คือ ธรรมดาศาสนาของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ดำรงอยู่ไม่ได้นาน,
 ของพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ดำรงอยู่ได้นาน แต่ท่านไม่สามารถจะวินิจฉัยเหตุนี้
ว่า ศาสนาดำรงอยู่ไม่ได้นาน เพราะเหตุนี้ ดำรงอยู่ได้นาน เพราะเหตุนี้ ดังนี้.
               ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวไว้ว่า เหตุการณ์แม้นั่น ก็เป็นของ
ไม่หนักแก่พระอัครสาวก ผู้ได้บรรลุที่สุดยอดแห่งปัญญา ๑๖ อย่างเลย
, ส่วนการที่พระอัครสาวกผู้อยู่ในสถานที่เดียวกันกับพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ทำการวินิจฉัยเสียเอง ก็เป็นเช่นกับการทิ้งตราชั่งแล้วกลับชั่งด้วยมือ
 เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงเข้าไปเฝ้าทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าเสียทีเดียว.
 ถัดจากนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงวิสัชนาคำทูลถามของพระเถระนั้น
 จึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า ภควโต จ สารีปุตฺต วิปสฺสิสฺส ดังนี้.
               คำนั้นมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
               พระเถระ เมื่อจะทูลถามถึงเหตุการณ์ต่อไปอีก จึงได้กราบทูลคำมีอาทิว่า โก นุ โข ภนฺเต เหตุ (ที่แปลว่า อะไรหนอแลเป็นเหตุ พระเจ้าข้า!)
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โก นุ โข ภนฺเต เป็นคำทูลถามถึงเหตุการณ์.
               ใจความแห่งบทนั้นว่า เหตุเป็นไฉนหนอแล พระเจ้าข้า!
               คำทั้งสองนี้คือ เหตุ ปจฺจโย เป็นชื่อแห่งการณ์.
    จริงอยู่ การณ์ ท่านเรียกว่า เหตุ เพราะเป็นเครื่องไหลออก คือเป็นไป
แห่งผลของการณ์นั้น. เพราะผลอาศัย
การณ์นั้นแล้วจึงดำเนิน คือจึงเป็นไปได้ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า ปัจจัย. บท
แม้ทั้งสองนี้ในที่นั้นๆ แม้เป็นอันเดียวกันโดยใจความ พระเถระก็กล่าวไว้ด้วย
อำนาจแห่งโวหาร และด้วยความสละสลวยแห่งถ้อยคำ ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น.
               คำที่เหลือในคำว่า โก นุ โข เป็นต้นนี้ ก็มีเนื้อความตื้นทั้งนั้น.
               [พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพราะบริษัทมีมากหรือน้อยก็หาไม่]   
                           ก็เพื่อจะแสดงเหตุและปัจจัยนั้น ในบัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสพระดำรัสมีอาทิว่า สารีปุตฺต วิปสฺสี.
  บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กิลาสุโนอเหสุํ ความว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้น ไม่ทรงใฝ่พระทัยเพราะความเกียจคร้าน ก็หามิได้.
               จริงอยู่ ความเกียจคร้านก็ดี ความมีพระวิริยภาพย่อหย่อนก็ดี ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย หามีไม่. เพราะว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะทรง
แสดงธรรมแก่จักรวาลหนึ่งก็ดี สองจักรวาลก็ดี จักรวาลทั้งสิ้นก็ดี ย่อมทรงแสดงด้วยพระอุตสาหะเสมอกันทีเดียว ครั้นทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจำนวน
น้อยแล้ว ทรงลดพระวิริยภาพลงก็หาไม่ ทั้งทอดพระเนตรเห็นบริษัทมีจำนวนมากแล้ว ทรงมีพระวิริยภาพมากขึ้นก็หาไม่.
เหมือนอย่างว่า พญาสีหมฤคราชล่วงไป ๗ วัน จึงออกไปเพื่อหากิน ครั้นพบเห็นสัตว์เล็กหรือใหญ่ก็ตาม ย่อมวิ่งไปโดยเชาว์อันเร็ว เช่นเดียวกันเสมอ,
               ข้อนั้น เพราะเหตุแห่งอะไร?
               เพราะเหตุแห่งความใฝ่ใจว่า ความเร็วของเราอย่าได้เสื่อมไป ดังนี้
 ฉันใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ฉันนั้นย่อมทรงแสดงธรรมแก่บริษัท จะมี
จำนวนน้อยหรือมากก็ตาม ก็ด้วยพระอุตสาหะเสมอกันทั้งนั้น,
               ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
เพราะเหตุแห่งความใฝ่พระทัยอยู่ว่า เหล่าชนผู้หนักในธรรมของเรา 
อย่าได้เสื่อมไป ดังนี้.               จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงหนักใน
ธรรม ทรงเคารพพระธรรมแล. เหมือนอย่างว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ของเราทั้งหลายได้ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ดุจ (วลาหกเทวดา) 
ยังมหาสมุทรสาครให้เต็มเปี่ยมอยู่ ฉันใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายมี
พระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น หาได้แสดงธรรมฉันนั้นไม่.
               ถามว่า เพราะเหตุไร?
  แก้ว่า เพราะความที่สัตว์ทั้งหลายมีธุลี คือกิเลสในปัญญาจักษุน้อยเบาบาง.
               ดังได้สดับมาว่า ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้น สัตว์ทั้งหลาย
มีอายุยืนนาน ได้เป็นผู้มีธุลีคือกิเลสในปัญญาจักษุน้อยเบาบาง. สัตว์เหล่านั้น
พอได้สดับแม้พระคาถาเดียว ที่ประกอบด้วยสัจจะ ๔ ย่อมบรรลุธรรม
ได้ เพราะเหตุนั้น พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจึงไม่ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร. 
ก็เพราะเหตุนั้นนั่นแหละ นวังคสัตถุศาสน์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น คือ
 สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม
 เวทัลละ จึงได้มีน้อย. ความที่นวังคสัตถุศาสน์มีสุตตะเป็นต้นที่พระผู้มี
พระภาคเจ้าตรัสไว้ในคำว่า อปฺปกญฺจ เป็นต้นนั้น เป็นต่างๆ กัน ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้แล้วในวรรณนาปฐมสังคีตินั้นแล.
   [พระวิปัสสีเป็นต้นหาได้ทรงบัญญัติสิกขาบทเป็นต้นไม่]               
               หลายบทว่า อปฺปญฺญตฺตํ สาวกานํ สิกฺขาปทํ ความว่า สิกขาบท คือข้อบังคับด้วยอำนาจอาบัติ ๗ กองที่ควรทรงบัญญัติ โดยสมควรแก่โทษอัน
พระพุทธเจ้ามีพระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น. ไม่ได้ทรงบัญญัติไว้แก่พระสาวกทั้งหลาย เพราะเป็นผู้ไม่มีโทษ.
               สองบทว่า อนุทฺทิฏฐํ ปาฏิโมกฺขํ ความว่า พระปาฏิโมกข์คือข้อบังคับ ก็มิได้ทรงแสดงทุกกึ่งเดือน. พระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ทรงแสดงเฉพาะโอวาท
ปาฏิโมกข์เท่านั้น และแม้โอวาทปาฏิโมกข์นั้น ก็มิได้แสดงทุกกึ่งเดือน.
 ๑- จริงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ ๖ เดือนต่อครั้งๆ ก็แลโอวาทปาฏิโมกข์นั้น ทรงแสดงด้วยพระองค์เองทั้งนั้น.
               ส่วนพวกสาวกของพระองค์มิได้แสดงในที่อยู่ของตนๆ ภิกษุสงฆ์แม้ทั้งหมดในสกลชมพูทวีป กระทำอุโบสถในที่แห่งเดียวเท่านั้น 
คือในอุทยานเขมมฤคทายวันใกล้ราชธานี ชื่อพันธุมดี อันเป็นที่เสด็จประทับของพระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสี.
               ก็แล อุโบสถนั้นได้กระทำเป็นสังฆอุโบสถอย่างเดียว หาได้กระทำเป็นคณะอุโบสถ บุคคลอุโบสถ ปาริสุทธิอุโบสถ อธิษฐานอุโบสถไม่ ได้ทราบ
ว่าในเวลานั้น ในชมพูทวีปมีวิหารแปดหมื่นสี่พันตำบล 
ในวิหารแต่ละตำบลมีภิกษุอยู่เกลื่อนไป วิหารและหมื่นรูปบ้าง สองหมื่นรูปบ้าง สามหมื่นรูปบ้าง เกินไปบ้าง.
๑- พระธรรมบัณฑิต (มานิต ถาวโรน ป. ธ. ๙) วัดสัมพันธวงศ์ แปล.
               [พวกเทวดาบอกวันทำอุโบสถแก่พวกภิกษุ]               
               พวกเทวดาผู้บอกวันอุโบสถ เที่ยวไปบอกในที่นั้นๆ ว่า ท่านผู้มีนิรทุกข์ทั้งหลาย ล่วงไปแล้วปีหนึ่ง ล่วงไปแล้ว ๒ ปี ๓ ปี ๔ ปี ๕ ปี, นี้ปีที่หก เมื่อ
ดิถีเดือนเพ็ญมาถึง พวกท่านควรไปเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้าและเพื่อทำอุโบสถ
 กาลประชุมของพวกท่านมาถึงแล้ว ในเวลานั้น พวกภิกษุผู้มีอานุภาพก็ไปด้วยอานุภาพของตน พวกนอกนี้ไปด้วยอานุภาพของเทวดา.
               ถามว่า พวกนอกนี้ไปด้วยอานุภาพของเทวดาได้อย่างไร?
 ตอบว่า ได้ทราบว่า ภิกษุเหล่านั้นผู้อยู่ใกล้สมุทรทางทิศปราจีนหรือใกล้สมุทรทางทิศปัจฉิม อุดรและทักษิณ บำเพ็ญคมิยวัตร แล้วถือเอาบาตรและจีวร
 ยังความคิดให้เกิดขึ้นว่า จะไป. พร้อมด้วยจิตตุปบาท พวกเธอก็เป็นผู้ไปสู่โรงอุโบสถทีเดียว. พวกเธอถวายอภิวาทพระวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วนั่งอยู่.
               [โอวาทปาฏิโมกขคาถา]     
                         แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงแสดง            โอวาทปาฏิโมกข์   นี้ ในบริษัทผู้นั่งประชุมกันแล้วว่า๑-
                                   ความอดทน คือความอดกลั้น เป็น
                         ธรรมเผาบาปอย่างยิ่ง ท่านผู้รู้ทั้งหลาย ย่อม
                         กล่าวพระนิพพานว่าเป็นเยี่ยม ผู้ทำร้ายผู้อื่น
                         ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิตเลย ผู้เบียดเบียนผู้อื่น
                         อยู่ ไม่ชื่อว่าเป็นสมณะ.
                                   ความไม่ทำบาปทั้งสิ้น ความยังกุศล
                         ให้ถึงพร้อม ความทำจิตของตนให้ผ่องใส
                         นี่เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย.
                                   ความไม่กล่าวร้าย ๑ ความไม่ทำร้าย
                         ๑ ความสำรวมในพระปาฏิโมกข์ ๑ ความเป็น
                         ผู้รู้ประมาณในภัตตาหาร ๑ ที่นอนที่นั่งอัน
                         สงัด ๑ นี่เป็นคำสอนของพระพุทธทั้งหลาย.
               พึงทราบปาฏิโมกขุทเทสของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้นอกนี้โดย
อุบายนี้นั่นแล. จริงอยู่ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์มีพระโอวาทปาฏิโมกขคาถา
เพียง ๓ คาถานี้เท่านั้น. คาถาเหล่านั้นย่อมมาสู่อุเทศจนถึงที่สุดแห่งพระ
ศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้มีพระชนมายุยืนยาวนานทั้งหลาย. แต่สำหรับ
พระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุน้อย     ทั้งหลาย คาถาเหล่านั้น     มา          สู่อุเทศเฉพาะในปฐมโพธิกาลเท่านั้น.
               ด้วยว่า จำเดิมตั้งแต่เวลาทรงบัญญัติสิกขาบทมา ก็แสดงเฉพาะ
อาณาปาฏิโมกข์เท่านั้น. ก็แลอาณาปาฏิโมกข์นั้น พวกภิกษุเท่านั้นแสดง
. พระพุทธเจ้าทั้งหลายหาทรงแสดงไม่. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้า แม้ของพวกเรา ก็ทรงแสดง     โอวาทปาฏิโมกข์   นี้    ตลอดเวลาเพียง ๒๐ พรรษาในปฐมโพธิกาลเท่านั้น.
๑- ที. มหา. เล่ม ๑๐/ข้อ ๕๔.
               [เหตุที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงทำอุโบสถและปาฏิโมกข์]                 ต่อมาวันหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งอยู่ที่ปราสาทของมิคารมารดา 
ในบุพพาราม ได้ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาว่า๑- ภิกษุทั้งหลาย ตั้งแต่บัดนี้ไป เราจักไม่ทำอุโบสถ จักไม่แสดงปาฏิโมกข์, ภิกษุทั้งหลาย ต่อแต่นี้ไป
พวกเธอเท่านั้น พึงทำอุโบสถ พึงแสดงปาฏิโมกข์, 
ภิกษุทั้งหลาย มิใช่ฐานะมิใช่โอกาสที่พระตถาคตจะพึงทำอุโบสถ พึงแสดงปาฏิโมกข์ ในบริษัท ผู้ไม่บริสุทธิ์.
ตั้งแต่นั้นมา พวกภิกษุก็แสดงอาณาปาฏิโมกข์. อาณาปาฏิโมกข์นี้เป็นของ
อันพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์มีพระวิปัสสีเป็นต้น ไม่ทรงยกขึ้นแสดงแก่ภิกษุ
เหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า อนุทฺทิฏฺฐํ ปาฏิโมกฺขํ.
๑- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๔๖๖
               [เหตุให้พระศาสนาดำรงอยู่ไม่นานและนาน]               
              คำว่า เตสํ พุทฺธานํ          ความว่า แห่งพระพุทธเจ้าทั้ง ๓ พระองค์   มี         พระวิปัสสีเป็นต้นเหล่านั้น. 
บทว่า อนฺตรธาเนน           คือ เพราะขันธ์อันตรธานไป. มี         อธิบายว่า เพราะปรินิพพาน.
               บทว่า พุทฺธานุพุทฺธานํ ความว่า และเพราะความอันตรธานไปแห่งขันธ์ ของเหล่าพระสาวกผู้ได้ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าเหล่านั้น 
คือ พระสาวกผู้ยังทันเห็นพระศาสดา.
               คำว่า เย เต ปจฺฉิมา สาวกา ความว่า เหล่าปัจฉิมสาวกผู้บวช
ในสำนัก ของพวกสาวกผู้ทันเห็นพระศาสดา. บทว่า นานานามา ความว่า
 มีชื่อต่างๆ กัน ด้วยอำนาจชื่อมีอาทิว่า พุทธรักขิต ธรรมรักขิต สังฆรักขิต. 
บทว่า นานาโคตฺตา ความว่า มีโคตรต่างๆ กัน ด้วยอำนาจโคตรมีอาทิว่า โค
ตมะ โมคคัลลานะ.          บทว่า นานาชจฺจา คือมีชาติต่างๆ กัน ด้วยอำนาจชาติมีอาทิว่า กษัตริย์ พราหมณ์.
               สองบทว่า นานากุลา ปพฺพชิตา ความว่า ออกบวชจากตระกูลต่างๆ กัน ด้วยอำนาจตระกูลกษัตริย์เป็นต้น หรือด้วยอำนาจตระกูลมีตระกูลสูง
ตระกูลต่ำ ตระกูลมีโภคะโอฬาร และไม่โอฬารเป็นต้น.
               คำว่า เต ตํ พฺรหฺมจริยํ ความว่า เพราะปัจฉิมสาวกเหล่านั้น ทำในใจ
ว่า พวกเรามีชื่อเดียวกัน มีโคตรเดียวกัน มีชาติเดียวกัน บวชจาก
ตระกูลเดียวกัน ศาสนาเป็นแบบแผนประเพณีของพวกเรา จึงช่วยกันรักษา
พรหมจรรย์ทำให้เป็นภาระของตน บริหารพระปริยัติธรรมไว้ให้นาน แต่
ปัจฉิมสาวกเหล่านี้ไม่เป็นเช่นนั้น เพราะฉะนั้น พวกเธอจึงเบียดเบียนกัน ถือ
ความเห็นขัดแย้งกัน ทำย่อหย่อนด้วยถือเสียว่า พระเถระโน้นจักรู้ พระเถระ
โน้นจักทราบ พึงยังพรหมจรรย์     นั้นให้อันตรธานไปพลันทีเดียว คือ    ไม่ยกขึ้นสู่การสังคายนารักษาไว้.
คำว่า เสยฺยถาปิ เป็นการแสดงไขเนื้อความนั้นโดยข้ออุปมา. 
บทว่า วิกีรติ แปลว่า ย่อมพัดกระจาย. 
บทว่า วิธมติ แปลว่า ย่อมพัดไปสู่ที่อื่น. 
บทว่า วิทฺธํเสติ แปลว่า ย่อมพัดออกไปจากที่ที่ตั้งอยู่. 
คำว่า ยถาตํ สุตฺเตน อสงฺคหิตตฺตา 
ความว่า ลมย่อมพัดกระจาย   ไป เหมือนพัดดอกไม้เรี่ยราย เพราะไม่ได้ร้อย เพราะไม่ได้ผูกด้วยด้ายฉะนั้น.
               มีคำอธิบายว่า (ดอกไม้ทั้งหลาย) ที่มิได้ควบคุมด้วยด้าย ย่อมถูกลมพัดกระจัดกระจายไปฉันใด ย่อมเรี่ยรายไปฉันนั้น.
               คำว่า เอวเมว โข เป็นการยังข้ออุปไมยให้ถึงพร้อม.
               บทว่า อนฺตรธาเปสุํ ความว่า (พวกสาวกภายหลัง) เมื่อไม่สงเคราะห์
 (คือสังคายนาเป็นหมวดหมู่) ด้วยวัคคสังคหะและปัณณาสสังคหะเป็นต้น 
ถือเอาแต่พรหมจรรย์กล่าวคือปริยัติธรรมที่ตนชอบใจเท่านั้น ส่วนที่เหลือ
ก็ปล่อยให้พินาศไป คือนำไปสู่ความไม่ปรากฏ.
   ข้อว่า กิลาสุโน จ เต ภควนฺโตอเหสุํ สาวกานํ เจตสา เจโต ปริจฺจโอวทิตุํ
               มีความว่า ดูก่อนสารีบุตร อีกอย่างหนึ่ง 
พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงไม่ใฝ่พระหฤทัย เพื่อจะทรงกะคือกำหนด
ใจของพวกสาวกด้วยพระหฤทัยของพระองค์ แล้วทรงสั่งสอน คือทรง
ทราบจิตของผู้อื่นแล้ว ทรงแสดงการแนะนำพร่ำสอน โดยไม่เป็นภาระหนัก
 โดยไม่ชักช้า. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระดำรัสเป็นต้นว่า ภูตปุพฺพํ สารีปุตฺต
 ดังนี้ เพื่อประกาศความที่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงไม่ใฝ่พระหฤทัย.
               บทว่า ภึสนเก คือ น่าพึงกลัว ได้แก่ ให้เกิดความน่าสยดสยอง.
               คำว่า เอวํ วิตกฺเกถ 
ความว่า พวกเธอจงตรึกกุศลวิตก ๓ มีเนกขัมมวิตกเป็นต้น. 
คำว่า มา เอวํ วิตกฺกยิตฺถ 
ความว่า พวกเธออย่าได้ตรึกอกุศลวิตก ๓ มีกามวิตกเป็นต้น. 
คำว่า เอวํ มนสิ กโรถ 
ความว่า พวกเธอจงกระทำไว้ในใจว่า ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่สวยไม่งาม.
               ข้อว่า มา เอวํ มนสากตฺถ 
ความว่า พวกเธออย่ากระทำในใจว่า เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา สวยงาม. 
คำว่า อิทํ ปชหถ คือจงละอกุศล. 
คำว่า อิทํ อุปสมฺปชฺช วิหรถ 
ความว่า พวกเธอจงเข้าถึงกลับได้ คือให้กุศลสำเร็จอยู่เถิด. 
ข้อว่า อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุ คือหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่น.
  จริงอยู่ จิตของพระสาวกเหล่านั้นหลุดพ้นจากอาสวะเหล่าใด จิตเหล่านั้น
หลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่นอาสวะเหล่านั้น.๑- ก็อาสวะทั้งหลายดับไปอยู่
ด้วยความดับ คือความไม่เกิดขึ้น ชื่อว่าหลุดพ้นแล้ว เพราะไม่ถือมั่น.๒- เพราะ
เหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อนุปาทาย อาสเวหิ จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุ.
               ภิกษุเหล่านั้นแม้ทั้งหมดได้บรรลุพระอรหัตแล้ว เป็นผู้มีจิตเบิกบาน เหมือนปทุมวันอันต้องแสงพระอาทิตย์ฉะนั้น.
๑- สารตฺถทีปนี. ๑/๖๙๘ แนะให้แปลว่า จริงอยู่ จิตทั้งหลายของพระสาวก
๑- เหล่านั้น อันอาสวะเหล่าใดหลุดพ้นไปแล้ว อาสวะเหล่านั้นชื่อว่าหลุดพ้น
๑- ไปแล้ว เพราะไม่ยึดถือจิตเหล่านั้นด้วยสามารถแห่งอารมณ์.
๒- โยชนาปาฐ ๑/๑๙๖ เป็น อนุปฺปาทนิโรเธน ปน อนุปปาทสงฺขาตนิโรธวเสน
๒- นิรุชฺฌมาเน อาสเว อคฺคเหตฺวาว จิตฺตานิ วิมุจฺจึสุ แปลว่า ก็จิตทั้งหลายหลุด
๒- พ้นแล้ว เพราะไม่ยึดถืออาสวะทั้งหลายที่ดับไปอยู่ด้วยความดับ กล่าวคือ
๒- ความไม่เกิดขึ้นอีก.
       ในข้อว่า ตตฺร สุทํ สารีปุตฺต ภึสนกสฺส วนสณฺฑสฺส ภึสนกตสฺมึ โหติ นี้ 
คำว่า ตตฺร เป็นคำกล่าวเพ่งถึงคำต้น. 
คำว่า สุทํ เป็นนิบาตลงในอรรถเพียงทำบทให้เต็ม. 
บทว่า สารีปุตฺต เป็นอาลปนะ.
               ก็ในคำว่า ตตฺร สุทํ เป็นต้นนี้ มีอรรถโยชนาดังต่อไปนี้ :-
บทว่า ตตฺร ความว่าแห่งไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัว ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภึสนกะ ในพระดำรัสที่พระองค์ตรัสไว้ว่า อญฺญตรสฺมึ ภึสนเก วนสณฺเฑ.
               อธิบายว่า ภาวะอันน่าพึงกลัว ชื่อว่า ความน่าสยดสยองมีในภาวะน่าสยดสยอง คือในการทำให้หวาดกลัว.
               ถามว่า เป็นอย่างไร?
               ตอบว่า เป็นอย่างนี้คือผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งยังไม่ปราศจากราคะ เข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้นโดยมาก โลมชาติย่อมชูชัน.
               อีกอย่างหนึ่ง คำว่า ตตฺร เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งฉัฏฐีวิภัตติ.
               ศัพท์ว่า สุ เป็นนิบาต ดุจในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า กึสุ นาม เต โภนฺโต สมณพฺราหฺมณา 
แปลว่า สมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ชื่ออย่างไรซิ. 
บทว่า อิทํ บัณฑิตพึงเห็นว่า เป็นคำแสดงความหมายตามที่ประสงค์ดุจทำให้เห็นได้ชัด.
               คำว่า สุ อิทํ สนธิเข้าเป็น สุทํ. พึงทราบว่า ลบอิอักษรด้วยอำนาจแห่งสนธิ เหมือนในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า จกฺขุนฺทฺริยํ อิตฺถินฺทฺ
ริยํอนญฺญตญฺญสฺสามีตินฺทฺริยํ กึสูธ วิตฺตํ แปลว่า อินทรีย์ คือจักษุ อินทรีย์ คือหญิง อินทรีย์ คือความตั้งใจว่า จักรู้พระอรหัตที่ยังไม่รู้ 
อะไรซิ เป็นทรัพย์เครื่องปลื้มใจในโลกนี้.
               ก็ในคำนี้มีอรรถโยชนาดังต่อไปนี้ :-
               ดูก่อนสารีบุตร ในเพราะความที่ไพรสณฑ์อันน่าพึงกลัวนั้นเป็นถิ่นน่าสยดสยอง จึงมีคำพูดกันดังนี้แล.
               บทว่า ภึสนกตสฺมึ 
ความว่า ในเพราะไพรสณฑ์เป็นถิ่นที่น่ากลัว. พึงเห็นว่าลบตะอักษรไปตัวหนึ่ง
. อนึ่ง พระบาลีว่า ภึสนกตฺตสฺมึ ดังนี้ก็มี. อนึ่ง ในเมื่อควรจะกล่าวเป็นอิตถีลิงค์ว่า ภึสนกตาย ท่านก็ทำให้เป็นลิงควิปัลลาส.
    ก็ในคำว่า ภึสนกตสฺมึ นี้เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งนิมิต. เพราะ
ฉะนั้น พึงเห็นสัมพันธ์อย่างนี้ว่า คำนี้แลย่อมมีในเพราะความที่ไพรสณฑ์
น่าพึงกลัว เป็นถิ่นที่มีความสยดสยองเป็นนิมิต คือมีคำพูดนี้แล เพราะมีความ
สยดสยองเป็นเหตุ เพราะมีความสยดสยองเป็นปัจจัย ข้อว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง
ซึ่งยังไม่ปราศจากราคะเข้าไปสู่ไพรสณฑ์นั้น โดยมาก โลมชาติย่อมชูชัน.
               ความว่า ขนเป็นอันมากกว่ามาก ย่อมชูชัน คือตั้งปลายขึ้นเป็นเช่นกับเข็มและเป็นเช่นกับหนาม จำนวนน้อยไม่ชูชัน. 
อนึ่ง โลมชาติของสัตว์จำนวนมากกว่ามากย่อมชูชัน แต่ของคนผู้กล้าหาญยิ่งน้อยคนย่อมไม่ชูชัน.
               บัดนี้ คำมีว่า อยํ โข สารีปุตฺต เหตุ เป็นต้น เป็นคำกล่าวย้ำ.
ส่วนคำที่ข้าพเจ้ามิได้กล่าวไว้ในระหว่างๆ ในพระบาลีนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบตามลำดับ
แห่งพระบาลีนั้นแล. แต่พระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ไม่ดำรงอยู่นาน บัณฑิตพึงทราบว่า พระองค์ตรัสด้วยอำนาจแห่งยุคของคน.
               [ความต่างกันแห่งอายุกาลของพระวิปัสสีพุทธเจ้าเป็นต้น]           
      จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าวิปัสสีโดยการนับปี มีพระชนมายุแปดหมื่นปี แม้พวกสาวกที่พร้อมหน้าของพระองค์ ก็อายุประมาณเท่านั้นปีเหมือนกัน.
 พรหมจรรย์ (ศาสนา) สืบต่อด้วยสาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น ซึ่งเป็นองค์สุดท้ายเขาทั้งหมด ตั้งอยู่ได้ตลอดแสนหกหมื่นปี ด้วยประการอย่างนี้.
 แต่โดยอำนาจแห่งยุคคน พรหมจรรย์ได้ตั้งอยู่ต่อมา ด้วย
ความสืบต่อกันแห่งยุคตลอดยุคคน ๒ ยุคเท่านั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ไม่ดำรงอยู่นาน.
      ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี มีพระชนมายุเจ็ดหมื่นปี แม้พวก
สาวกพร้อมหน้าของพระองค์ ก็มีอายุประมาณเท่านั้นเหมือนกัน. พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าพระนามว่าเวสภูมีพระชนมายุหกหมื่นปี แม้พวกสาวกผู้พร้อมหน้าของ
พระองค์ ก็มีอายุประมาณเท่านั้นปีเหมือนกัน. พรหมจรรย์ (ศาสนา) สืบต่อ
ด้วยสาวกองค์สุดท้ายเขาทั้งหมดแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขีและ
เวสภูแม้นั้นตั้งอยู่ต่อมาได้ประมาณแสนสี่หมื่นปี และประมาณแสนสองหมื่นปี.
               แต่ว่าโดยอำนาจแห่งยุคคน พรหมจรรย์ตั้งอยู่ต่อมาได้ด้วยการสืบต่อแห่งยุค ตลอดยุคคน ๒ ยุคเท่ากันๆ 
เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ดำรงอยู่ไม่นาน.
               ท่านพระสารีบุตรฟังเหตุแห่งการดำรงอยู่ไม่นานแห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้แล้ว มีความประสงค์จะฟังเหตุแห่งการดำรงอยู่
ได้นาน แห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์นอกนี้ จึงได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก โดยนัยมีอาทิว่า ก็อะไรเป็นเหตุ พระเจ้าข้า!.
               แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทรงพยากรณ์แก่ท่าน.
              คำพยากรณ์นั้นแม้ทั้งหมดพึงทราบด้วยอำนาจนัยที่ตรงกันข้ามจากที่กล่าวแล้ว. และแม้ในความดำรงอยู่นาน ในคำพยากรณ์นั้น บัณฑิตพึงทราบ
ความดำรงอยู่นานโดยเหตุทั้งสอง คือโดยประมาณแห่งพระชนมายุของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นบ้าง โดยยุคแห่งคนบ้าง.
               ความพิสดารว่า
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากกุสันธะ มีพระชนมายุสี่หมื่นปี พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าโกนาคมน์ มีพระชนมายุสามหมื่นปี พระผู้
มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป มีพระชนมายุสองหมื่นปี
               แม้พระสาวกพร้อมหน้าทั้งหลายของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ก็มีอายุเท่านั้นปีเหมือนกัน. และยุคแห่งสาวกเป็นอันมากของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ยัง
พรหมจรรย์ให้เป็นไปโดยความสืบต่อกันมา. พรหมจรรย์ดำรงอยู่นานโดยเหตุ
ทั้งสองคือโดยประมาณแห่งพระชนมายุ ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นบ้าง โดยยุคแห่งสาวกบ้าง ด้วยประการฉะนี้.
               [เหตุที่พระพุทธเจ้าของเราเกิดในกาลแห่งคนมีอายุน้อย]               
               ก็พระผู้มีพระภาคเจ้าของพวกเรา ควรจะเสด็จอุบัติขึ้นในกาล
แห่งคนมีอายุหมื่นปีซึ่งเท่ากับอายุกึ่งหนึ่ง แห่งพระชนมายุของพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงพระนามว่ากัสสป ไม่ถึงกาลแห่งคนมีอายุหมื่นปีนั้น ก็ควรจะ
เสด็จอุบัติขึ้นในกาลแห่งคนมีอายุห้า
พันปี หรือในกาลแห่งคนมีอายุหนึ่งพันปี
               หรือแม้ในกาลแห่งคนมีอายุ
ห้าร้อยปี แต่เพราะเมื่อพระองค์ทรงเสาะหา คือแสวงหาธรรมอันกระทำ
ความเป็นพระพุทธเจ้า ทรงยังญาณให้แก่กล้า ให้ตั้งครรภ์ (เพื่อคลอดคุณ
พิเศษ) ญาณได้ถึงความแก่กล้า ในกาลแห่งคนมีอายุร้อยปี เพราะฉะนั้น
 พระองค์จึงเสด็จอุบัติขึ้นในกาลแห่งคนมีอายุน้อยเหลือเกิน เพราะฉะนั้น ควร
กล่าวได้ว่า พรหมจรรย์แม้ดำรงอยู่ได้นาน ด้วยอำนาจความสืบต่อกัน
แห่งพระสาวกของพระองค์ แต่ก็ดำรงอยู่ได้ไม่นานโดยการนับปี ด้วยอำนาจปริมาณแห่งอายุเหมือนกัน.
               [พระสารีบุตรทูลขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท]               
               ถามว่า ในคำว่า อถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต มีอะไรเป็นอนุสนธิ.
               ตอบว่า คือ ท่านพระสารีบุตร ครั้นได้ฟังเหตุการณ์ดำรงอยู่นานแห่งพรหมจรรย์ของพระพุทธเจ้า ๓ พระองค์อย่างนี้แล้ว ถึงความตกลงใจว่า การ
บัญญัติสิกขาบทเท่านั้น เป็นเหตุแห่งความดำรงอยู่ได้นาน เมื่อปรารถนาความ
ดำรงอยู่นานแห่งพรหมจรรย์ แม้ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงทูลวิงวอนขอการบัญญัติสิกขาบทกะพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               พระอุบาลีเถระกล่าวคำว่า อถโข อายสฺมา สารีปุตฺโต อุฏฺฐายาสนา ฯเปฯ จิรฏฺฐิติกํ นี้เพื่อแสดงวิธีทูลวิงวอนขอการบัญญัติสิกขาบทนั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อทฺธนิยํ คือ ควรแก่กาลนาน. มีคำอธิบายว่า มีกาลยาวนาน.              คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามท่านพระสารีบุตร]               
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศแก่พระสารีบุตรนั้น
ว่า เวลานี้ ยังไม่เป็นกาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทก่อน จึงตรัสว่า อาคเมหิ ตฺวํ
 สารีปุตฺต ดังนี้เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า อาคเมหิ ตฺวํ ความว่า เธอจง
รอก่อน. มีคำอธิบายว่า เธอจงยับยั้งก่อน. ก็คำนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสซ้ำสองครั้ง ด้วยอำนาจความเอื้อเฟื้อ.
 ด้วยคำว่า อาคเมหิ เป็นต้นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามความที่การบัญญัติ
สิกขาบทเป็นวิสัยของพระสาวก เมื่อจะทรงทำให้แจ้งว่า การบัญญัติสิกขาบท
เป็นพุทธวิสัย จึงตรัสคำว่า ตถาคโตว เป็นต้น. ก็ในคำว่า ตถาคโตว นี้ คำว่า
 ตตฺถ เป็นสัตตมีวิภัตติ เพ่งถึงการอ้อนวอน ขอให้ทรงบัญญัติสิกขาบท.
               ในคำว่า ตถาคโตว นั้น มีโยชนาดังต่อไปนี้ :-
               ในคำที่เธอกล่าวว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงบัญญัติสิกขาบทนั้น พระตถาคตเท่านั้นจักรู้กาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทนั้น. 
พระผู้มีพระภาคเจ้าครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เพื่อจะแสดงสมัยมิใช่กาลก่อน จึงตรัสคำมีอาทิว่า น ตาว สารีปุตฺต ดังนี้.
               ในคำว่า น ตาว สารีปุตฺต เป็นต้นนั้นมีวินิจฉัยว่า
               อาสวะทั้งหลายย่อมตั้งอยู่ในธรรมเหล่านี้ เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ,
               อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายอันอาสวะพึงตั้งอยู่ คือไม่พึงผ่านเลยไป เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้นจึงชื่อว่า เป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ.
               อธิบายว่า อาสวะคือทุกข์ และอาสวะคือกิเลส อันเป็นไปในทิฏฐธรรมและในสัมปรายภพ อาสวะมีการค่อนขอดของคนอื่น ความวิปฏิสาร การ
ฆ่าและการจองจำเป็นต้น และอาสวะอันเป็นทุกข์พิเศษในอบาย ย่อมตั้งอยู่นั่นเทียว ในวีติกกมธรรมเหล่าใด เพราะวีติกกมธรรมเหล่านั้น เป็นเหตุ
แห่งอาสวะมีอาสวะอันเป็นไปในทิฏฐธรรมเป็นต้นเหล่านั้น.
               ๑- วาจาสำหรับประกอบในคำว่า น ตาว เป็นต้นนี้ ดังนี้ว่า วีติกกมธรรมทั้งหลาย ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะเหล่านั้น ยังไม่มีปรากฏ
ในสงฆ์เพียงใด พระศาสดาจะไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกทั้งหลายเพียงนั้น. ก็ถ้าพึงบัญญัติไซร้ ไม่พึงพ้นจากความค่อนขอดของผู้อื่น 
จากความคัดค้านของผู้อื่น จากโทษคือความติเตียน.
๑- องค์การศึกษาแผนกบาลี แปลออกสอบในสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๘๐
               [ข้อที่จะถูกตำหนิในการบัญญัติสิกขาบท]               
               ถามว่า ไม่พึงพ้นอย่างไร?
               ตอบว่า จริงอยู่ สิกขาบททั้งปวงมีอาทิว่า โย ปน ภิกฺขุ เมถุนํ ธมฺมํ ปฏิสเวยฺย ดังนี้ พึงเป็นสิกขาบทอันพระศาสดาผู้จะบัญญัติ ควรบัญญัติ.
       ฝ่ายชนเหล่าอื่นไม่เห็นวีติกกมโทษ แต่รู้พระบัญญัตินี้ จะพึงยังความค่อนขอด ความคัดค้านและความติเตียนให้เป็นไปอย่างนี้ว่า นี่อย่างไรกัน
 พระสมณโคดมจักผูกมัดด้วยสิกขาบททั้งหลายจักบัญญัติปาราชิก ด้วยเหตุเพียงเท่านี้ว่า ภิกษุสงฆ์ยอมตามเรา ทำตามคำของเรา กุลบุตรเหล่านี้ละ
กองโภคะใหญ่ละเครือญาติใหญ่ และละแม้ซึ่งราชสมบัติอันอยู่ในเงื้อมมือบวช เป็นผู้สันโดษด้วยความเป็นผู้มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มเป็นอย่างยิ่ง 
มีความเคารพจัดในสิกขา ไม่ห่วงใยในร่างกายและชีวิตอยู่มิใช่หรือ ในกุลบุตรเหล่านั้น ใครเล่าจักเสพเมถุนซึ่งเป็นโลกามิสหรือจักลักของๆ ผู้อื่น หรือ
จักเข้าไปตัดชีวิตของผู้อื่น ซึ่งเป็นของปรารถนารักใคร่หวานยิ่งนัก หรือจักสำเร็จการเลี้ยงชีวิตด้วยอวดคุณที่ไม่มี, เมื่อปาราชิกแม้ไม่ทรงบัญญัติไว้
 สิกขาบทนั่นเป็นอันพระองค์ทรงทำให้ปรากฏแล้ว 
โดยสังเขปในบรรพชานั่นเอง มิใช่หรือ?
               ชนทั้งหลายไม่ทราบเรี่ยวแรง และกำลังแม้แห่งพระตถาคต, สิกขาบทแม้ที่ทรงบัญญัติไว้ จะพึงกำเริบ คือไม่คงอยู่ในสถานเดิม.
               [เปรียบด้วยแพทย์ผู้ไม่ฉลาดทำการผ่าตัด]               
         แพทย์ผู้ไม่ฉลาด เรียกบุรุษบางคน ซึ่งหัวฝียังไม่เกิดขึ้นมาแล้วบอก
ว่า มานี่แน่ะ พ่อมหาจำเริญ หัวฝีใหญ่จักเกิดขึ้นในสรีระประเทศตรงนี้ของท่าน, จักยังความเสื่อมฉิบหายให้มาถึงท่าน, ท่านจงรีบให้หมอเยียวยามันเสีย
เถิด ดังนี้ ผู้อันบุรุษนั้นกล่าวว่า ดีละ ท่านอาจารย์ ท่านนั่นแหละจงเยียวยามันเถิด จึงผ่าสรีรประเทศซึ่งหาโรคมิได้ของบุรุษนั้น คัดเลือดออกแล้วทำสรีร
ประเทศตรงนั้นให้กลับมีผิวดีด้วยยาทาและพอก และ
การชะล้างเป็นต้นแล้ว จึงกล่าวกะบุรุษนั้นว่า โรคใหญ่ของท่าน เราได้เยียวยาแล้ว ท่านจงให้บำเหน็จแก่เรา.
               บุรุษนั้นพึงค่อนขอด พึงคัดค้านและพึงติเตียนนายแพทย์
อย่างนี้ว่า หมอโง่นี่พูดอะไร ได้ยินว่าโรคชนิดไหนของเรา ซึ่งหมอโง่นี้
ได้เยียวยาแล้ว, หมอโง่นี้ทำทุกข์ให้เกิดแก่เรา และทำให้เราต้องเสียเลือดไป
มิใช่หรือ ดังนี้ และไม่พึงรู้คุณของหมอนั้น ข้อนี้ชื่อแม้ฉันใด,
               ถ้าเมื่อวีติกกมโทษยังไม่เกิดขึ้น พระศาสดาพึงบัญญัติ
สิกขาบทแก่พระสาวกไซร้ พระองค์ไม่พึงพ้นจากอนิฏฐผล มีความค่อนขอด
ของผู้อื่นเป็นต้น และชนทั้งหลายจะไม่พึงรู้กำลังพระปรีชาสามารถ
ของพระองค์ ฉันนั้นนั่นแล และสิกขาบทที่ทรงบัญญัติแล้ว จะ
พึงกำเริบ คือไม่ตั้งอยู่ในสถานเดิม. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า น ตาว สารีปุตฺต สตฺถา สาวกานํ ฯเปฯ ปาตุภวนฺติ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกาลอันไม่ควรอย่างนี้แล้ว จึงตรัสคำว่า ยโต จ โข สารีปุตฺต เป็นอาทิ เพื่อแสดงกาลอีก.
     บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยโต คือเมื่อใด. มีคำอธิบายว่า ในกาลใด.
               คำที่เหลือ พึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแล.
               อีกนัยหนึ่ง ในคำว่า ยโต เป็นต้นนี้ มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-
               วีติกกมโทษอันถึงซึ่งการนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ ย่อมมีปรากฏในสงฆ์ ในกาลชื่อใด, ในกาลนั้น พระศาสดาย่อมทรง
บัญญัติสิกขาบทแก่พวกสาวก ย่อมทรงแสดงปาฏิโมกข์,
               เพราะเหตุไร?
               เพราะเพื่อกำจัดวีติกกมโทษเหล่านั้นนั่นแล อันถึงซึ่งการนับว่า ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะ. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงบัญญัติอย่างนั้น ย่อมเป็น
ผู้ไม่ควรค่อนขอดเป็นต้น และเป็นผู้มีอานุภาพปรากฏ 
ในสัพพัญญูวิสัยของพระองค์ ย่อมถึงสักการะ และสิกขาบทของพระองค์นั้นย่อมไม่กำเริบ คือตั้งอยู่ในสถานเดิม,
               เปรียบเหมือนนายแพทย์ผู้ฉลาดเยียวยาหัวฝีที่เกิดขึ้นแล้วด้วย
การผ่าตัดพอกยาพันแผลและชะล้างเป็นต้น ทำให้สบายมีผิวดี เป็นผู้ไม่ควร
ค่อนขอดเป็นต้นเลย และเป็นผู้มีอานุภาพปรากฏในเพราะกรรมแห่ง
อาจารย์ของตน ย่อมประสบสักการะฉะนั้น.
         พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความไม่เกิดขึ้นและความเกิดขึ้นแห่ง
ธรรมเป็นที่ตั้งของอาสวะ อกาลและกาลแห่งอันบัญญัติสิกขาบทอย่างนี้
 ด้วยประการฉะนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อแสดงกาลยังไม่เกิดขึ้นแห่งธรรมเหล่านั้นแล
 จึงตรัสคำว่า น ตาว สารีปุตฺต อิเธกจฺเจ เป็นต้น.
               ในคำว่า ตาว เป็นต้นนั้น บททั้งหลายที่มีอรรถตื้น พึงทราบด้วยอำนาจพระบาลีนั่นแล.               ส่วนการพรรณนาบทที่ไม่ตื้นดังต่อไปนี้ :-
               [อธิบายเหตุที่ให้ทรงบัญญัติสิกขาบท]               
               ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า รัตตัญญู เพราะอรรถว่า รู้ราตรีนาน 
คือรู้ราตรีเป็นอันมากตั้งแต่วันที่ตนบวชมา. มีอธิบายว่า บวชมานาน. 
ความเป็นหมู่ด้วยพวกภิกษุผู้รู้ราตรีนาน ชื่อว่ารัตตัญญุมหัตตะ. อธิบายว่า 
ความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยพวกภิกษุผู้บวชมานาน.
               ๑- บัณฑิตพึงทราบว่า สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรง
ปรารภพระอุปเสนวังคันตบุตร บัญญัติเพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วย
ภิกษุผู้รู้ราตรีนาน ในบรรดาความเป็นหมู่ใหญ่เหล่านั้น.
               จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนั้นได้เห็นภิกษุทั้งหลาย ผู้มีพรรษาหย่อนสิบให้อุปสมบทอยู่ ตนมีพรรษาเดียว จึงให้สัทธิวิหาริกอุปสมบทบ้าง. 
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทว่า 
ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรอันภิกษุผู้มีพรรษาหย่อนสิบ ไม่พึงให้อุปสมบท, ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ปรับอาบัติทุกกฏแก่ภิกษุนั้น.๒-
เมื่อสิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วอย่างนั้น 
ภิกษุทั้งหลายผู้โง่เขลา ไม่ฉลาด คิดว่า เราได้สิบพรรษา เรามีพรรษาครบสิบ จึงให้อุปสมบทอีก.              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติ
สิกขาบทแม้ซ้ำอีกครั้งหนึ่งว่า ภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรอันภิกษุผู้มีพรรษาครบสิบ แต่เป็นผู้โง่ ไม่ฉลาด ไม่พึงให้อุปสมบท, ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท 
ปรับอาบัติทุกกฏ แก่ภิกษุนั้น, ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด สามารถมีพรรษาสิบหรือเกินกว่าสิบ ให้อุปสมบทได้.๓-
               ในกาลที่สงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยภิกษุผู้รู้ราตรีนาน ได้ทรงบัญญัติสองสิกขาบท.
๑- องค์การศึกษาแผนกบาลีแปลออกสอบสนามหลวง พ.ศ. ๒๔๘๒-๘๕
๒- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๙๐.
๓- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๙๑.
               บทว่า เวปุลฺลมหตฺตํ มีความว่า ความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย. จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย
 ด้วยอำนาจภิกษุทั้งหลายผู้เป็นพระเถระ ผู้ใหญ่และผู้ปานกลางเพียงใด เสนาสนะย่อมเพียงพอกัน, อาสวัฏฐานิยธรรมบางเหล่า ก็ยังไม่เกิดขึ้นใน
ศาสนาเพียงนั้น, แต่เมื่อสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลายแล้ว อาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้นย่อมเกิดขึ้น. ทีนั้น พระศาสดาย่อมทรงบัญญัติ
สิกขาบท. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติในเพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ ด้วยความเป็นหมู่แพร่หลาย.
               ในบรรดาความเป็นหมู่ใหญ่เหล่านั้น บัณฑิตพึงทราบตามนัยนี้ว่า อนึ่ง ภิกษุใด พึงสำเร็จการนอนร่วมกันกับอนุปสัมบันเกินสองสามคืน ภิกษุนั้น
ต้องปาจิตตีย์. อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงให้นางสิกขมานาอุปสมบทตามปี นางภิกษุณีนั้นต้องปาจิตตีย์. อนึ่ง นางภิกษุณี
ใด พึงให้นางสิกขมานาอุปสมบทปีละ ๒ รูป นางภิกษุณีนั้น ต้องปาจิตตีย์.
                          บทว่า ลาภคฺคมหตฺตํ 
มี ความว่า ความเป็นใหญ่เป็นยอดแห่งลาภ. อธิบายว่า ความเป็นใหญ่ใด เป็นยอด คือสูงสุดแห่งลาภ สงฆ์เป็นผู้ถึงความเป็นใหญ่นั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ถึงความเป็นหมู่ใหญ่ เลิศด้วยลาภก็ได้. อธิบายว่า ถึงความเป็นหมู่ประเสริฐ และความเป็นหมู่ใหญ่ด้วยลาภ.
               จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศด้วยลาภเพียงใด
 อาสวัฏฐานิยธรรมอาศัยลาภ ก็ยังไม่เกิดขึ้นเพียงนั้น แต่เมื่อถึงแล้ว 
ย่อมเกิดขึ้น. ทีนั้น พระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบทว่า อนึ่ง 
ภิกษุใด พึงให้ของควรเคี้ยว หรือของควรบริโภค ด้วยมือของตนแก่อเจลกก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี ภิกษุนั้นต้องปาจิตตีย์.
               จริงอยู่ สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติเพราะสงฆ์ถึงความเป็นหมู่ใหญ่เลิศด้วยลาภ.
               บทว่า พาหุสจฺจมหตฺตํ มีความว่า ความที่พาหุสัจจะเป็นคุณใหญ่.
               จริงอยู่ สงฆ์ยังไม่ถึงความที่พาหุสัจจะเป็นคุณใหญ่เพียงใด อาสวัฏฐานิยธรรมก็ยังไม่เกิดขึ้นเพียงนั้น. แต่เมื่อถึงความที่พาหุสัจจะเป็นคุณใหญ่
แล้วย่อมเกิดขึ้น เพราะเหตุว่า บุคคลทั้งหลายเรียนพุทธวจนะนิกายหนึ่งบ้าง สองนิกายบ้าง ฯลฯ ห้านิกายบ้างแล้ว เมื่อใคร่ครวญโดยไม่แยบคาย 
เทียบเคียงรสด้วยรสแล้ว ย่อมแสดงสัตถุศาสนานอกธรรมนอกวินัย.
ทีนั้น พระศาสดาย่อมทรงบัญญัติสิกขาบท โดยนัยเป็นต้นว่า อนึ่ง
 ภิกษุใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนั้น ฯลฯ ถ้าแม้นสมณุทเทสพึงกล่าวอย่างนี้ไซร้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกาลไม่เกิดและกาลเกิดขึ้นแห่งธรรมทั้งหลาย อันเป็นที่ตั้งแห่งอาสวะอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงความ
ไม่มีแห่งอาสวัฏฐานิยธรรมเหล่านั้น แม้โดยประการทั้งปวง ในสมัยนั้น จึงตรัสคำมีว่า นิรพฺพุโท หิ สารีปุตฺต เป็นต้น.
               [อรรถาธิบายคำว่า นิรพฺพุโท เป็นต้น]               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิรพฺพุโท คือเว้นจากเสนียด. 
พวกโจรท่านเรียกว่า เสนียด. อธิบายว่า หมดโจร. ก็ในอรรถนี้ พวกภิกษุผู้ทุศีล ท่านประสงค์เอาว่า เป็นโจร.
               จริงอยู่ ภิกษุผู้ทุศีลเหล่านั้นย่อมลักปัจจัยของคนเหล่าอื่น เพราะเป็นผู้มิใช่สมณะ แต่มีความสำคัญว่าเป็นสมณะ เพราะเหตุนั้น ภิกษุสงฆ์
ไม่มีเสนียด ไม่มีโจร. มีอธิบายว่า ไม่มีคนทุศีล.
               บทว่า นิราทีนโว ได้แก่ ไม่มีอุปัทวะ คือไม่มีอุปสรรค. มีคำอธิบายว่า เว้นจากโทษของผู้ทุศีลทีเดียว. ผู้ทุศีลแล ท่านเรียกว่า คนดำ 
ในคำว่า อปคตกาฬโก นี้. จริงอยู่ ผู้ทุศีลเหล่านั้น แม้เป็นผู้มีวรรณะดุจทองคำ พึงทราบว่า เป็นคนดำทีเดียว เพราะประกอบด้วยธรรมดำ. เพราะไม่มี
คนมีธรรมดำเหล่านั้น จึงชื่อว่า อปคตกาฬก. ปาฐะว่า อปหตกาฬก ก็มี.
               บทว่า สุทฺโธ คือ ชื่อว่าบริสุทธิ์ เพราะมีคนดำปราศไปแล้วนั่นเอง.
               บทว่า ปริโยทาโต คือ ผุดผ่อง.
คุณคือศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะ ท่านเรียกว่าสาระ ในคำว่า สาเรปติฏฺฐิโต นี้. เพราะตั้งอยู่แล้วในสาระนั้น จึงชื่อว่าตั้งอยู่ในสารคุณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสความที่ภิกษุสงฆ์ตั้งอยู่ในสารคุณอย่างนี้แล้ว เมื่อจะทรงแสดงอีกว่า ก็ความที่ภิกษุสงฆ์นั้นตั้งอยู่ในสารคุณนั้น 
พึงทราบอย่างนี้ จึงตรัสคำมีอาทิว่า อิเมสํ หิ สารีปุตฺต.
               ในคำนั้น มีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
               บรรดาภิกษุ ๕๐๐ รูปนี้ ผู้เข้าพรรษา ณ เมืองเวรัญชา ภิกษุที่ต่ำต้อยด้วยอำนาจคุณ คือมีคุณต่ำกว่าภิกษุทุกรูป ก็เป็นพระโสดาบัน. 
คำว่า โสตาปนฺโน คือ ผู้ตกถึงกระแส. ก็
คำว่า โสโต นี้ เป็นชื่อของมรรค. 
คำว่า โสตาปนฺโน เป็นชื่อของบุคคลผู้ประกอบด้วยมรรคนั้น.
               เหมือนอย่างที่ตรัสไว้ว่า (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามว่า) สารีบุตร ที่เรียกว่า โสตะ โสตะ นี้ โสตะเป็นไฉนหนอแล สารีบุตร?
               (พระสารีบุตรกราบทูลว่า) ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อริยมรรคมีองค์แปดนี้แล คือ สัมมาทิฏฐิ ฯลฯ สัมมาสมาธิ ชื่อว่า โสตะ.
               (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) สารีบุตร ที่เรียกว่า โสดาบัน โสดาบัน นี้ โสดาบันเป็นไฉนหนอแล สารีบุตร?
               (พระสารีบุตรกราบทูลว่า) 
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็บุคคลผู้ซึ่งประกอบด้วยอริยมรรคมีองค์แปดนี้ เรียกว่าโสดาบัน ท่านผู้มีอายุนี้นั้น มีชื่ออย่างนี้ มีโคตรอย่างนี้.
 ก็ในบทนี้พึงทราบว่า มรรคให้ชื่อแก่ผล เพราะฉะนั้น บุคคลผู้ตั้งอยู่ในผล 
ชื่อว่า โสดาบัน. บทว่า อวินิปาตธมฺโม มีวิเคราะห์ว่า ธรรมที่ชื่อว่าวินิบาต เพราะ
อรรถว่าให้ตกไป. พระโสดาบันชื่อว่า อวินิปาตธรรม เพราะอรรถว่า ท่านไม่มี
วินิปาตธรรม. มีคำอธิบายว่า ท่านไม่มีการยังตนให้ตกไปในอบายเป็นสภาพ.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะความสิ้นไปแห่งธรรมเป็นเหตุนำไปสู่อบาย.
               อีกอย่างหนึ่ง การตกไป ชื่อว่าวินิบาต. พระโสดาบัน ชื่อว่าอวินิปาต
ธรรม เพราะอรรถว่า ท่านไม่มีธรรมที่ตกไป. มีคำอธิบายว่า ความตกไปในอบายเป็นสภาพ ไม่มีแก่ท่าน.๑-
               ชื่อว่า เป็นผู้เที่ยง เพราะเป็นผู้แน่นอนด้วยมรรค ที่กำหนดด้วยความ
เป็นธรรมถูก. ชื่อว่าเป็นผู้ที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะอรรถว่า พระโสดาบัน
นั้นมีความตรัสรู้เป็นไปในเบื้องหน้า คือเป็นคติข้างหน้า. อธิบายว่า 
พระโสดาบันนั้นจะทำตนให้ได้บรรลุถึงมรรค ๓ เบื้องบนแน่นอน.
               เพราะเหตุไร? เพราะท่านได้ปฐมมรรคแล้วแล.
               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงยังพระธรรมเสนาบดี
ให้ยินยอมอย่างนั้นแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอดพรรษานั้นในเมืองเวรัญชา เสด็จ
ออกพรรษาปวารณาในวันมหาปวารณาแล้ว จึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มา.
               บทว่า อามนฺเตสิ ความว่า ได้ทรงเรียก คือได้ทรงตรัสเรียกได้แก่ ทรงเตือนให้รู้.
               ถามว่า ทรงเตือนให้รู้ว่าอย่างไร?
               แก้ว่า ทรงเตือนให้รู้เรื่องมีอาทิอย่างนี้ว่า อาจิณฺณํ โข ปเนตํ.
               บทว่า อาจิณฺณํ คือเป็นความประพฤติ เป็นธรรมเนียม ได้แก่เป็นธรรมดา.
๑- สํ. มหา. เล่ม ๑๙/ข้อ ๑๕๐๙/หน้า ๔๓๔-๕๓๔.

หน้า ๑๓/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
เวรัญชพรามหณ์ได้สติรู้สึกตัว
             ในคำว่า เอวํ วุตฺเตเวรญฺโช พฺราหฺมโณ นี้ มีอธิบายว่า
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงอนุเคราะห์แก่โลก จะทรงอนุเคราะห์พราหมณ์ ได้ตรัสความที่พระองค์เป็นผู้เจริญและประเสริฐที่สุดด้วยอริยชาติ แม้ที่
ควรปกปิด ด้วยธรรมเทศนาอันประกาศวิชชา ๓ โดยนัยดังกล่าวมาอย่างนี้
               เวรัญชพราหมณ์มีกายและจิตเต็มเปี่ยมไปด้วยความแผ่ซ่านไปแห่งปีติ รู้ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้เจริญและประเสริฐที่สุดด้วยอริยชาตินั้น
 จึงตำหนิตนเองว่า เราได้กล่าวกะพระสัพพัญญูผู้ประเสริฐกว่าโลกทั้งหมด ทรงประกอบด้วยพระคุณทั้งปวง ชื่อเช่นนี้ว่า ไม่ทรงทำกรรมมีการกราบไหว้
เป็นต้นแก่ชนเหล่าอื่น เฮ้ย น่าติเตียนความไม่รู้อะไรเสียจริงๆ หนอ ดังนี้ จึงตกลงใจว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้ ชื่อว่าเป็นผู้เจริญที่สุดในโลก
 เพราะอรรถว่าเป็นผู้เกิดก่อนด้วยอริยชาติ ชื่อว่าเป็นผู้ประเสริฐที่สุด เพราะอรรถว่าไม่มีผู้เสมอด้วยพระคุณทั้งปวง แล้วได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระ
ภาคเจ้าว่า ท่านพระโคดมเป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดมเป็นผู้ประเสริฐที่สุด.
  ก็แลครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว เมื่อจะชมเชยพระธรรมเทศนาของพระผู้มี
พระภาคเจ้านั้นอีก จึงได้กราบทูลว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระดำรัสของพระองค์ น่าชมเชยยิ่งนัก ดังนี้เป็นต้น.
               [อรรถาธิบายอภิกกันตศัพท์ลงในอรรถ ๔ และ ๙ อย่าง]               
               ในคำว่า อภิกฺกนฺตํ เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               อภิกกันตศัพท์นี้ย่อมปรากฏในอรรถ คือ ขยะ (ความสิ้นไป) สุนทระ (ความดี) อภิรูปะ (รูปงาม) และอัพภนุโมทนะ (ความชมเชย).
  จริงอยู่ อภิกกันตศัพท์ ปรากฏในความสิ้นไป ในประโยคทั้งหลายเป็นต้นว่า พระเจ้าข้า ราตรีล่วงไปแล้ว ปฐมยามผ่านไปแล้ว ภิกษุสงฆ์นั่งรอนานแล้ว.๑-
               อภิกกันตศัพท์ ปรากฏในความดี ในประโยคทั้งหลายเป็นต้นว่า คนนี้ ดีกว่า และประณีตกว่า ๔ คนเหล่านี้.๒-
               อภิกกันตศัพท์ ปรากฏในรูปงาม ในประโยคทั้งหลายเป็นต้นว่า
                                   ใคร ช่างรุ่งเรืองด้วยฤทธิ์ ด้วยยศ
                         มีพรรณงดงามยิ่งนัก ยังทิศทั้งปวงให้สว่าง
                         อยู่ กำลังไหว้เท้าของเรา?๓-
               อภิกกันตศัพท์ ปรากฏในความชมเชย ในประโยคทั้งหลายเป็นต้นว่า พระเจ้า ภาษิตของพระองค์ น่าชมเชยยิ่งนัก.๔-
               แม้ในอธิการนี้ อภิกกันตศัพท์ ก็ปรากฏในความชมเชยทีเดียว. พึง
ทราบสันนิษฐานว่า ก็เพราะอภิกกันตศัพท์ ปรากฏในความชมเชย ฉะนั้น 
เวรัญชพราหมณ์จึงกล่าวอธิบายไว้ว่า ดีละๆ ท่านพระโคดมผู้เจริญ!
               ก็ในอธิการนี้ อภิกกันตศัพท์นี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวไว้ 
๒ ครั้ง ด้วยอำนาจแห่งความเลื่อมใสและด้วยอำนาจแห่งความสรรเสริญ ด้วยลักษณะนี้ คือ :-
                                   บัณฑิตผู้รู้ พึงทำการกล่าวซ้ำๆ ไว้
                         (ในอรรถ ๙ อย่างเหล่านี้) คือ ในภยะ
                         (ความกลัว) ในโกธะ (ความโกรธ) ใน
                         ปสังสา (ความสรรเสริญ) ในตุริตะ (ความ
                         รีบด่วน) ในโกตุหละ (ความตื่นเต้น) ใน
                         อัจฉระ (ความอัศจรรย์) ในหาสะ (ความ
                         ร่าเริง) ในโสกะ (ความโศก) และในปสาทะ
                         (ความเลื่อมใส).
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า อภิกฺกนฺตํ แปลว่า น่าใคร่ยิ่งนัก น่าปรารถนายิ่งนัก น่าชอบใจยิ่งนัก. มีคำอธิบายไว้ว่า ดียิ่งนัก.
               บรรดาอภิกกันตศัพท์ ๒ อย่างนั้น เวรัญชพราหมณ์ย่อมชมเชยเทศนา ด้วยอภิกกันตศัพท์อย่างหนึ่ง 
ย่อมชมเชยความเลื่อมใสของตน ด้วยอภิกกันตศัพท์อย่างหนึ่ง.
               จริงอยู่ ในความชมเชยนี้ มีอธิบายดังนี้ว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ
 พระธรรมเทศนาของท่านพระโคดมผู้เจริญนี้ น่าชมเชยยิ่งนัก ความเลื่อมใส
ของข้าพระองค์อาศัยพระธรรมเทศนาของท่านพระโคดมผู้เจริญ ดียิ่งนัก.
               เวรัญชพราหมณ์ชมเชยปาพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้านั่นแล มุ่งใจความเป็นสองอย่างๆ.
๑- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๔๔๗.
๒- องฺ. จตุกฺก. เล่ม ๗/ข้อ ๑๐๐.
๓- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๕๑.
๔- ที. สี. เล่ม ๙/ข้อ ๑๓๙.
               [ปาพจน์มีความดี ๑๘ อย่าง]
              บัณฑิตพึงประกอบปาพจน์ ด้วยเหตุทั้งหลายมีอาทิอย่างนี้ คือ :-
               พระดำรัสของพระโคดมผู้เจริญ ชื่อว่าดียิ่งนัก เพราะยังโทสะให้
พินาศ ๑ ชื่อว่าดียิ่งนัก เพราะให้บรรลุคุณ ๑ อนึ่ง เพราะให้เกิดศรัทธา ๑
 เพราะให้เกิดปัญญา ๑ เพราะเป็นไปกับด้วยอรรถ ๑ เพราะเป็นไปกับด้วย
พยัญชนะ ๑ เพราะมีบทอันตื้น ๑ เพราะมีเนื้อความลึกซึ้ง ๑ เพราะไพเราะโสต
 ๑ เพราะเข้าถึงหทัย ๑ เพราะไม่ยกตนขึ้นอวดอ้าง ๑ เพราะไม่ข่มผู้อื่น ๑
 เพราะเย็นด้วยพระกรุณา ๑ เพราะทรงตรัสด้วยพระปัญญา ๑ เพราะเป็นที่
รื่นรมย์แห่งคลอง ๑ เพราะทนต่อความย่ำยีได้อย่างวิเศษ ๑ เพราะฟังอยู่
ก็เป็นสุข ๑ เพราะใคร่ครวญอยู่ก็มีประโยชน์ ๑ ดังนี้.
[เวรัญชพราหมณ์ชมเชยพระธรรมเทศนาด้วยอุปมา ๔ อย่าง] แม้เบื้องหน้า
แต่นั้นไป เวรัญชพราหมณ์ย่อมชมเชยเทศนานั่นแลด้วยอุปมา ๔ ข้อ.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นิกฺกุชฺชิตํ คือ ภาชนะที่เขาวางคว่ำปากไว้ หรือมีที่ปากอยู่ภายใต้.
               บทว่า อุกฺกุชฺเชยฺย คือ พึงหงายปากขึ้น.
               บทว่า ปฏิจฺฉนฺนํ คือ ที่เขาปิดไว้ด้วยวัตถุมีหญ้าและใบไม้เป็นต้น.
               บทว่า วิวเรยฺย คือ พึงเปิดขึ้น.
               บทว่า มูฬฺหสฺส คือ คนหลงทิศ.
               สองบทว่า มคฺคํ อาจิกฺเขยฺย ความว่า พึงจับที่มือแล้วบอกว่า นี้ทาง.
       บทว่า อนฺธกาเร ความว่า ในความมืดมีองค์ ๔ (คือ) เพราะวันแรม ๑๔ คำ
ในกาฬปักษ์ ๑ กลางคืน ๑ ไพรสณฑ์ที่หนาทึบ (ดงทึบ) ๑ กลีบเมฆ ๑.
               ความหมายแห่งบทที่ยังไม่กระจ่างมีเท่านี้ก่อน.
               ส่วนการประกอบความอธิบาย มีดังต่อไปนี้ :-
               (เวรัญชพราหมณ์ ชมเชยพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า) ท่านพระโคดมผู้
เจริญ ทรงยังเราผู้เบือนหน้าหนีจากพระสัทธรรม ตกไปในอสัทธรรมแล้ว ให้
ออกจากอสัทธรรม เหมือนใครๆ พึงหงายภาชนะที่คว่ำขึ้นไว้ฉะนั้น ทรงเปิด
เผยพระศาสนาที่ถูกรกชัฏคือ มิจฉาทิฏฐิปกปิดไว้ ตั้งต้นแต่พระศาสนาของ
พระกัสสปผู้มีพระภาคเจ้าอันตรธานไป เหมือนใครๆ พึงเปิดของที่ปิดไว้
ออกฉะนั้น ทรงตรัสบอกทางสวรรค์และนิพพานให้แก่เรา ผู้ดำเนินไปสู่ทาง
ชั่วและทางผิด เหมือนใครๆ พึงบอกทางให้แก่คนหลงทางฉะนั้น ทรงส่อง
แสงสว่างคือเทศนา อันเป็นเครื่องกำจัดความมืด คือโมหะอันปกปิดรูป คือพระ
รัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้นนั้นแก่เราผู้จมอยู่ในความมืดคือโมหะ ซึ่งไม่เห็น
รูป คือพระรัตนตรัยมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น เหมือนใครๆ พึงส่องประทีป
น้ำมันในที่มืดให้ฉะนั้น ได้ทรงประกาศพระธรรมแก่เรา โดยอเนกปริยาย
 เพราะทรงประกาศด้วยบรรยายทั้งหลายเหล่านี้.
               [เวรัญชพราหมณ์แสดงตนถึงพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง]               
               เวรัญชพราหมณ์ ครั้นชมเชยพระธรรมเทศนาอย่างนั้นแล้ว มีจิต
เลื่อมใสในพระรัตนตรัย เพราะพระธรรมเทศนานี้ เมื่อจะทำอาการอันผู้มี
ความเลื่อมใสพึงกระทำ จึงได้กราบทูลว่า เอสาหํ ดังนี้เป็นต้น.
     บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เอสาหํ ตัดเป็น เอโส อหํ แปลว่า ข้าพเจ้านี้.
               หลายบทว่า ภวนฺตํ โคตมํ สรณํ คจฺฉามิ ความว่า ข้าพเจ้าขอถึง
พระโคดมผู้เจริญว่าเป็นที่พึ่ง คือข้าพเจ้าขอถึง ขอคบ ขอซ่องเสพ ได้แก่
ขอเข้าไปนั่งใกล้พระโคดมผู้เจริญ ด้วยความประสงค์นี้ว่า พระโคดมผู้เจริญ
ทรงเป็นที่พึ่งแก่ข้าพเจ้า คือทรงเป็นที่ไปในเบื้องหน้า ทรงเป็นผู้ป้องกัน
ความทุกข์ และทรงทำประโยชน์เกื้อกูล (แก่ข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าย่อมทราบ
คือย่อมรู้สึก ดังกราบทูลมาแล้วนั่นแล.
 จริงอยู่ คติ (ความถึง) เป็นความหมายแห่งธาตุเหล่าใด แม้ พุทฺธิ (ความรู้) ก็
เป็นความหมายแห่งธาตุเหล่านั้น เพราะฉะนั้น บทว่า คจฺฉามิ นี้ ท่านก็กล่าว
ความหมายแม้นี้ไว้ดังนี้ว่าชานามิ พุชฺฌามิ(แปลว่าย่อมทราบคือย่อมรู้สึก).
               [อรรถาธิบายคำว่าพระธรรม]  
                            ก็ในคำว่า ธมฺมญฺจภิกฺขุสงฺฆญฺจ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สภาพที่ชื่อว่า ธรรม เพราะอรรถว่า ทรงไว้ซึ่งบุคคลผู้ได้บรรลุมรรค
 ผู้ทำให้แจ้งนิโรธแล้วและผู้ปฏิบัติอยู่ตามคำพร่ำสอน มิได้ตกไปในอบาย. ธรรมนั้นโดยอรรถ ได้แก่อริยมรรคและนิพพาน.
               สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรมทั้งหลายที่ปัจจัยปรุงแต่งได้ มีประมาณเพียงไร อริยมรรคมีองค์ ๘
 เราเรียกว่า ประเสริฐกว่าธรรมเหล่านั้น. ควรกล่าวให้พิสดาร. ธรรมนั้น ได้แก่อริยมรรคและนิพพานอย่างเดียว 
ก็หามิได้ ถึงแม้ปริยัติธรรมรวมกับอริยผล ก็ชื่อว่าธรรม.
               สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในฉัตตมาณวกวิมานว่า๑-
                                   ท่านจงเข้าถึงพระธรรม อันเป็นธรรม
                         คลายความกำหนัด เป็นธรรมไม่หวั่นไหว
                         ไม่มีความเศร้าโศก อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้
                         ไม่ปฏิกูล เป็นธรรมไพเราะคล่องแคล่ว
                         อันเราจำแนกดีแล้ว เพื่อเป็นที่พึ่งเถิด ดังนี้.
               แท้จริง ในพระคาถานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสมรรคว่า เป็นธรรม
คลายความกำหนัด ตรัสผลว่า เป็นธรรมไม่หวั่นไหวไม่มีความเศร้าโศก
 ตรัสพระนิพพานว่า เป็นธรรมอันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้ ตรัสธรรมขันธ์ทั้งหมด
ที่ทรงจำแนกโดยปิฎก ๓ ว่า ไม่ปฏิกูล เป็นธรรม ไพเราะ คล่องแคล่ว 
เป็นธรรมอันเราจำแนกดีแล้ว.
๑- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๕๓.
               [อรรถาธิบายคำว่าพระสงฆ์]
                ชื่อว่า พระสงฆ์ เพราะอรรถว่า รวมกันด้วยธรรมที่ทัดเทียมกัน คือทิฏฐิและศีล. พระสงฆ์นั้นโดยอรรถ ได้แก่ประชุมพระอริยบุคคล ๘.
      สมจริงดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในวิมานวัตถุนั้นเหมือนกันว่า๑-
                                   บัณฑิตทั้งหลายกล่าว ทาน อัน
                         บุคคลให้แล้ว ในพระอริยสงฆ์ ผู้สะอาด
                         เป็นคู่แห่งบุรุษ ๔ เป็นบุรุษบุคคล ๘ ผู้เห็น
                         ธรรมว่า มีผลมาก ท่านจงเข้าถึง พระสงฆ์นี้
                         เพื่อเป็นที่พึ่งเถิด ดังนี้.
               หมู่ภิกษุทั้งหลาย ชื่อว่า ภิกษุสงฆ์.
               ก็พราหมณ์ประกาศสรณคมน์ ๓ ด้วยคำเพียงเท่านี้.
               [สรณคมนกถา]               
               บัดนี้ เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในไตรสรณคมน์เหล่านั้นนั่นแหละควรทราบวิธีนี้ ดังนี้คือ :-
               สรณะ สรณคมน์ ผู้ถึงสรณะ ประเภทแห่งสรณคมน์ ผลแห่งสรณคมน์ สังกิเลส (ความเศร้าหมอง) เภทะ (ความแตกแห่งสรณคมน์)
               ก็วิธีนั้น เมื่อข้าพเจ้าจะกล่าวไว้ในอธิการนี้ ก็ย่อมทำนิทานแห่งพระ
วินัย ให้เป็นภาระหนักเกินไป เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่กล่าว. ส่วน
นักศึกษาทั้งหลายผู้มีความต้องการ พึงเอาวิธีนั้นจากวรรณนาแห่งภยเภรว
สูตร ในอรรถกถาแห่งมัชฌิมนิกาย ชื่อว่าปปัญจสูทนี จากวรรณนาสรณะ ใน
อรรถกถาขุททกนิกาย ชื่อปรมัตถโชติกา หรือในอรรถกถาทีฆนิกาย
ชื่อสุมังคลวิลาสินี ฉะนี้นแล.
               ข้อว่า อุปาสกํ มํ ภวํ โคตโม ธาเรตุ อธิบายว่า ท่านพระโคดมผู้เจริญ
จงทรงจำข้าพเจ้าไว้อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้านี้เป็นอุบาสก ดังนี้เถิด. ก็ในอธิการนี้
เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในวิธีแสดงตนเป็นอุบาสก ควรทราบปกิณณกะนี้ดังนี้ว่า
               ใคร ท่านเรียกว่า อุบาสก เพราะเหตุไรจึงเรียกว่าอุบาสก อุบาสก
นั้นมีศีลอย่างไร มีอาชีพอย่างไร มีอะไรเป็นวิบัติ มีอะไรเป็นสมบัติ
               ข้าพเจ้าไม่ได้จำแนกปกิณณกะนั้น ไว้ในอธิการว่าด้วยนิทานนี้
 เพราะจะทำให้เป็นภาระหนักเกินไป แต่นักศึกษาทั้งหลายผู้มี
ความต้องการ พึงทราบโดยนัยที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้ว ในอรรถกถามัชฌิมนิกายชื่อปปัญจสูทนีนั้นแล.
๑- ขุ. วิมาน. เล่ม ๒๖/ข้อ ๕๓.
         [อธิบายอัคคะศัพท์ที่ลงในอรรถ ๔ อย่าง]               
               อัคคะศัพท์นี้ ในบทว่า อชฺชตคฺเค นี้ ย่อมปรากฏในอรรถคือ อาทิ (เบื้องต้น) โกฏิ (เบื้องปลาย) โกฏฐาสะ (ส่วน) และ เสฏฐะ (ประเสริฐ).
               จริงอยู่ อัคคะศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถคือเบื้องต้น ในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า๑- ดูก่อนนายประตูเพื่อนรัก ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราปิดประตู
แก่พวกนิครนถ์ แก่พวกนางนิครนถ์.
               อัคคะศัพท์ ย่อมปรากฏในอรรถคือเบื้องปลาย ในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า พึงแตะต้องปลายแห่งนิ้วมือนั้น ด้วยปลายแห่งนิ้ว
มือนั้นนั่นเอง พึงแตะต้องยอดอ้อยยอดไผ่.
               ย่อมปรากฏในอรรถคือส่วน ในประโยคทั้งหลายมีอาทิว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อให้แจกส่วนของที่มีรสเปรี้ยว ส่วนของที่มีรส
หวาน หรือส่วนของที่มีรสขม ด้วยส่วนแห่งวิหาร หรือส่วนแห่งบริเวณ.
               ย่อมปรากฏในอรรถคือประเสริฐ ในประโยคทั้งหลาย มีอาทิว่า
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
สัตว์ทั้งหลายมีประมาณเพียงไร ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี ฯลฯ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเราเรียกว่า ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น.๒-
               แต่อัคคะศัพท์นี้ ในอธิการนี้ พึงเห็นว่าลงในอรรถคือเบื้องต้น. เพราะ
ฉะนั้น ในบทว่า อชฺชตคฺเค นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า ตั้งต้นแต่วันนี้เป็นต้น
ไป. ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า บทว่า อชฺชคฺคํ ก็คือ อชฺชภาวํ แปลว่า มีในวัน
นี้. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า อชฺชทคฺเค ดังนี้ก็มี. ท อักษร ทำการต่อบท. 
มีคำอธิบายว่า ตั้งต้นแต่วันนี้.
๑- ม. ม. เล่ม ๑๓/ข้อ ๗๕.
๒- ขุ. อิติวุตฺตก. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๗๐.
               [เวรัญชพราหมณ์ไม่กล่าวล่วงเกินพระรัตนตรัยจนตลอดชีวิต]   
        บทว่า ปาณุเปตํ ความว่า ผู้เข้าถึง (พระรัตนตรัย) ด้วยปราณ (คือชีวิต).
         เวรัญชพราหมณ์กราบทูลว่า ชีวิตของข้าพเจ้ายังเป็นไปอยู่เพียงใด,
 ท่านพระโคดมผู้เจริญจงทรงจำคือทรงทราบ ข้าพเจ้าว่า 
(เป็นอุบาสก) ผู้เข้าถึง
 ผู้ถึงสรณะอันไม่มีศาสดาอื่นด้วยไตรสรณคมน์เพียงนั้น ข้าพเจ้าแล แม้หาก
ว่าใครๆ จะพึงเอามีดที่คมกริบตัดศีรษะของข้าพเจ้าไซร้, ก็จะไม่พึงกล่าว
ถึงพระพุทธว่า ไม่ใช่พระพุทธ พระธรรมว่า ไม่ใช่พระธรรม หรือพระสงฆ์ว่า ไม่ใช่พระสงฆ์ ดังนี้เลย.
               ส่วนในอธิการนี้ พึงทราบอธิบายว่า พราหมณ์ 
เมื่อกล่าวถึงสรณคมน์ซ้ำอีกว่า ผู้ถึงสรณะจนตลอดชีวิต ชื่อว่า ประกาศมอบถวายตน (แก่พระรัตนตรัย).
    [พราหมณ์ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าจำพรรษา ณ เมืองเวรัญชา]        
        เวรัญชพราหมณ์ ครั้นมอบถวายตนอย่างนั้นแล้ว มีความประสงค์
จะอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า พร้อม
ทั้งบริษัท จึงกราบทูลว่า และขอท่านพระโคดมผู้เจริญ พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์
 จงทรงรับการอยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา ของข้าพเจ้าเถิด.
               พราหมณ์กราบทูลความประสงค์ไว้อย่างไร.
     กราบทูลไว้อย่างนี้ว่า ขอท่านพระโคดมผู้เจริญจงทรงจำข้าพเจ้าว่า เป็น
อุบาสก และขอจงทรงรับการอยู่จำพรรษาที่เมืองเวรัญชา ของข้าพเจ้าเถิด
 คือขอให้ทรงรับการอาศัยเมืองเวรัญชาอยู่จำพรรษาตลอดไตรมาส เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์เถิด.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับการอยู่จำพรรษาเมืองเวรัญชา]          
   หลายบทว่า อธิวาเสสิ ภควา ตุณฺหีภาเวน ความว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับคำของพราหมณ์นั้นแล้ว ก็ไม่ทรงยังองค์คือกายหรือองค์คือวาจา
ให้ไหวเลย ทรงไว้ซึ่งพระขันติในภายในนั่นแล ทรงรับ 
(คำอาราธนา) โดยพระดุษณีภาพ.
               ท่านอธิบายไว้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับด้วยพระหฤทัยทีเดียว เพื่อทรงอนุเคราะห์พราหมณ์.
               หลายบทว่า อถโขเวรญฺโช พฺราหฺมโณ ภควโต อธิวาสนํ วิทิตฺวา ความว่า ครั้งนั้นแล เวรัญชพราหมณ์คิดว่า ถ้าท่านพระสมณโคดมไม่พึงทรง
รับ (คำอาราธนา) ของเรา จะพึงทรงคัดค้านด้วยกายหรือด้วยวาจา แต่เพราะ
พระองค์ไม่ทรงคัดค้าน ทรงพระขันติไว้ในภายใน, ฉะนั้น พระองค์ก็ทรงรับ (คำอาราธนา) ของเรา ด้วยพระหฤทัยนั่นเอง ดังนี้
               ครั้นทราบการทรงรับคำอาราธนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า
 เพราะความที่ตนเป็นผู้ฉลาดในการกำหนดรู้อาการดังพรรณนามาแล้วนั้น
 จึงลุกจากอาสนะที่ตนนั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าในทิศทั้ง ๔ ด้วย
ความเคารพ แล้วทำประทักษิณ ๓ รอบ แม้ได้ติเตียนจำเดิมแต่เวลาที่ตนมา
ว่า พระสมณโคดมไม่ทรงทำสามีจิกรรมมีการกราบไหว้เป็นต้น แก่พวก
พราหมณ์ผู้แก่กว่าโดยชาติ เป็นต้น บัดนี้ ได้รู้พระพุทธคุณอย่างซาบซึ้ง
แล้ว ถึงไหว้อยู่ด้วยกายวาจาและใจ หลายครั้งหลายหน ก็ยังเป็นผู้ไม่อิ่ม
นั่นเอง จึงได้ประคองกระพุ่มมือ อันรุ่งเรืองด้วยความประชุมพร้อมแห่ง
นิ้วทั้ง ๑๐ แล้วยกชูขึ้นไว้บนเศียร เดินถอยหลังหันหน้าไปทาง (พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า) จนพ้นทัศนวิสัย ได้ถวายบังคมในที่พ้นทัศนวิสัยแล้วหลีกไป.
               เมืองเวรัญชาเกิดทุพภิกขภัย  
                           หลายบทว่า เตน โข ปน สมเยนเวรญฺชา ทุพฺภิกฺขา โหติ
     ความว่า โดยสมัยที่เวรัญชพราหมณ์ทูลขอให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยเมืองเวรัญชาจำพรรษานั้น เมืองเวรัญชาเป็นเมืองมีภิกษาหาได้ยาก.
               บทว่า ทุพฺภิกฺขา แปลว่า มีภิกษาหาได้โดยยาก. ก็ความมีภิกษา
หาได้ยากนั้น ย่อมมีในถิ่นที่พวกมนุษย์ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส ในเวลา
ที่ข้าวกล้าสมบูรณ์ดีก็ตามในเวลาปุพพัณณะและอปรัณณะมีราคาถูก
ก็ตาม (มีราคาตกต่ำ). แต่ในเมืองเวรัญชาหาได้เป็นอย่างนั้นไม่ โดยที่แท้ได้มี
เพราะโทษคือความอดอยาก เหตุที่มีข้าวกล้าเสียหาย เพราะฉะนั้น ท่านพระ
อุบาลีเถระ เมื่อจะแสดงความข้อนั้น จึงกล่าวว่า ทฺวีหิติกา ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำว่า ทฺวีหิติกา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า ทฺวีหิติกา ได้แก่ ความพยายามที่เป็นไปแล้ว ๒ อย่าง.
               ความเคลื่อนไหว ชื่อว่าอีหิตะ (ความพยายาม). ความพยายามนี้เป็น
ไปแล้ว ๒ อย่างคือ จิตตอิริยา (ความเคลื่อนไหวแห่งจิต) ๑ จิตตอีหา (ความ
พากเพียรแห่งจิต) ๑.              ในบทว่า ทฺวีหิติกา นี้ มีอธิบายดังนี้ว่า 
ความเคลื่อนไหวแห่งจิตที่เป็น
ไปแล้ว ๒ อย่างนี้ คือพวกเราขอวัตถุอะไรๆ อยู่ในที่นี้จักได้หรือจักไม่ได้
หนอแล. อีกอย่างหนึ่ง พวกเราจักอาจเพื่อเป็นอยู่หรือจักไม่อาจหนอแล.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ทฺวีหิติกา แปลว่า เป็นผู้อยู่อย่างฝืดเคือง.
               จริงอยู่ บททั้งหลายเป็นต้นคือ อีหิตํ (ความพยายาม) อีหา (ความ
พากเพียร) อริยนํ (ความเคลื่อนไหว) ปวตฺตนํ (ความเป็นไป) ชีวิตํ (ความเป็น
อยู่) มีใจความอย่างเดียวกัน เพราะฉะนั้น ในบทว่า ทฺวีหิติกา นี้ จึงมี
ใจความเฉพาะบทดังนี้ คือความพยายามด้วยความเป็นทุกข์ ย่อมเป็น
ไปในเมืองเวรัญชานี้ เพราะเหตุนั้น เมืองเวรัญชานี้จึงชื่อว่า ทฺวีหิติกา.
               บทว่า เสตฏฺฐิกา ความว่า เมืองเวรัญชา ชื่อว่ามีกระดูกคนตาย
ขาวเกลื่อน เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ที่เมืองเวรัญชานี้มีกระดูกขาวเกลื่อน. มี
อธิบายว่า ซากศพของพวกมนุษย์กำพร้า ผู้ขอแม้ตลอดวันก็ไม่ได้อะไรๆ
 ตายแล้ว มีกระดูกสีเหมือนเห็ดหัวงูเกลื่อนกลาดอยู่ในที่นั้นๆ.
               ปาฐะว่า เสตัฏฏิกา ดังนี้บ้าง. ความหมายแห่งปาฐะนั้นว่า โรคตาย
ขาวมีอยู่ในเมืองเวรัญชานี้ เหตุนั้นเมืองเวรัญชานี้จึงชื่อว่า มีโรคตายขาว. 
ความอาดูร คือความเสียดแทงเพราะความเจ็บไข้ ชื่อว่า อัฏฏิ.
               ก็ในเมืองเวรัญชานั้น ในเวลาที่ข้าวกล้ามีท้องมาน รวงข้าวสาลีก็ดี
 รวงข้าวเหนียวและข้าวละมานก็ดี มีสีขาวๆ ถูกโรคตายขาวนั่นเองทำให้เสีย
 ก็ขาดน้ำนม ไม่มีเมล็ดข้าวสารงอกออกมา 
(คือตกเป็นรวงออกมา) เพราะฉะนั้น เมืองเวรัญชานี้ ท่านจึงเรียกว่า เสตัฏฏิกา (เมืองมีโรคข้าวกล้าตายขาว).
               [เมืองเวรัญชามีปันส่วนซื้ออาหารเลี้ยงชีพ]               
               ในเวลาหว่าน ข้าวกล้าที่ประชาชนแม้ผสมพันธุ์หว่านไว้ดีแล้ว
 ย่อมสำเร็จเป็นสลากเท่านั้น ในเมืองเวรัญชานั้น เพราะเหตุนั้น เมืองเวรัญชานั้นจึงชื่อว่า มีข้าวกล้าที่หว่านแล้วสำเร็จเป็นสลาก.
               อีกอย่างหนึ่ง ประชาชนทั้งหลาย ย่อมให้ชีวิตเป็นไปในเมือง
เวรัญชานั้นด้วยสลาก (คือการแจกบัตร) เพราะฉะนั้น เมืองเวรัญชานั้นจึงชื่อว่า มีชีวิตเป็นไปได้ด้วยสลาก.
               มีคำกล่าวอธิบายไว้อย่างไร?
               มีคำกล่าวอธิบายไว้อย่างนี้ คือ ดังได้สดับมา ในเมืองเวรัญชานั้น
 เมื่อประชาชนทั้งหลายผู้ซื้อไปยังสำนักของพวกพ่อค้าผู้ขายข้าวเปลือก
 พวกมนุษย์มีกำลัง (ทรัพย์) กดขี่พวกมนุษย์ผู้ไม่มีกำลัง (ทรัพย์) แล้วซื้อเอา
ข้าวเปลือกไป (หมด). พวกมนุษย์ผู้ไม่มีกำลัง (ทรัพย์) 
เมื่อไม่ได้ (ข้าวเปลือก) ย่อมส่งเสียงดัง.
               พวกพ่อค้าผู้ขายข้าวเปลือกปรึกษากันว่า พวกเราจักทำการ
สงเคราะห์ประชาชนทั้งหมด จึงสั่งให้ช่างผู้ตวงข้าวเปลือกนั่งในสำนักงาน
ที่ๆ ตวงข้าวเปลือก แล้วให้ผู้ชำนาญการดูกหาปณะ นั่งอยู่ที่ส่วนข้างหนึ่ง
. พวกมนุษย์ผู้มีความต้องการข้าวเปลือก ก็ไปยังสำนักของผู้ชำนาญการ
ดูกหาปณะ. ผู้ชำนาญการดูกหาปณะนายนั้น ถือเอามูลค่าโดยลำดับแห่งชน
ผู้มาแล้ว จึงเขียนสลาก (คือบัตร) ให้ไปว่า ควรให้แก่ชนชื่อนี้ มีประมาณเท่านี้
. พวกมนุษย์ผู้มีความต้องการข้าวเปลือกเหล่านั้น รับเอาสลากนั้น
แล้ว ไปยังสำนักของช่างผู้ตวงข้าวเปลือก แล้วรับเอาข้าวเปลือกโดยลำดับที่เขาตวงให้.
               ประชาชนทั้งหลายย่อมให้ชีวิตเป็นไป ในเมืองเวรัญชานั้น
ด้วยสลาก เพราะเหตุนั้น เมืองเวรัญชานั้นจึงชื่อว่า มีชีวิตเป็นไปได้ด้วยสลาก ดังพรรณนามาฉะนี้.
               หลายบทว่า น สุกราอุญฺเฉน ปคฺคเหนยาเปตุํ ความว่า
ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหา ก็ทำไม่ได้ง่าย.มี
คำอธิบายว่า ใครๆ ถือบาตรแล้ว จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการแสวงหาอย่าง
ที่พวกพระอริยเจ้าทำการแสวงหา คือเที่ยวภิกขาจารนั้น ก็ทำไม่ได้ง่ายๆ เลย.
           ได้ยินว่า คราวนั้น ในเมืองเวรัญชานั้นพวกภิกษุเที่ยวไปบิณฑบาตตลอด ๗-๘ หมู่บ้าน ก็ไม่ได้อาหารพอสักว่ายังอัตภาพให้เป็นไป แม้ในวันหนึ่ง.
               [พ่อค้าม้าถวายข้าวทะนานหนึ่งแก่ภิกษุรูปหนึ่ง]               
               ข้อว่า เตน โข ปน สมเยน อุตฺตราปถกา อสฺสวาณิชา ฯเปฯ อสฺโสสิ โข ภควา อุทุกฺขลสทฺทํ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บทว่า เตน ความว่า โดยสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอาศัยเมืองเวรัญชาจำพรรษานั้น พวกพ่อค้าม้าผู้อยู่ในอุตตราปถชนบท หรือผู้ได้ชื่ออย่างนั้น
 เพราะมาจากอุตตราปถชนบท รับ (ซื้อ) เอาม้า ๕๐๐ ตัว ในสถานที่เป็นถิ่นเกิดของม้าทั้งหลายในอุตตราปถชนบทแล้ว เมื่อปรารถนารายได้ (ผลกำไร) ๒-๓
 เท่า ก็ไปยังต่างประเทศ แล้วเข้าพักฤดูฝนอยู่ในเมืองเวรัญชา พร้อมด้วยฝูงม้ามีประมาณ ๕๐๐ ซึ่งเป็นสินค้าที่ตนจะต้องขายเหล่านั้น.
               ถามว่า เพราะเหตุไร จึงต้องพักอยู่เช่นนั้น?
               แก้ว่า เพราะว่าในประเทศนั้น ใครๆ ไม่อาจเดินทางไกล ตลอด ๔ เดือนในฤดูฝนได้... ก็พวกพ่อค้าม้าเหล่านั้น เมื่อจะเข้าพักฤดูฝน จึงได้สั่งให้
นายช่างสร้างเรือนพักสำหรับตน และโรงม้าสำหรับพวกม้าไว้ในสถานที่น้ำจะท่วมไม่ได้ ในภายนอกพระนครแล้ว กั้นรั้วไว้. สถานที่พักของพวกพ่อค้า
เหล่านั้นๆ ปรากฏว่า อัสสมัณฑลิกา (คอกม้า) เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลี
เถระจึงกล่าวไว้ว่า พวกพ่อค้าม้าเหล่านั้นได้ตกแต่งข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ 
สำหรับภิกษุทั้งหลายไว้ที่คอกม้า ดังนี้.
               บทว่า ปตฺถปตฺถปุลกํ ได้แก่ ข้าวแดงมีประมาณแล่งหนึ่งๆ สำหรับ
ภิกษุรูปหนึ่งๆ. ชื่อว่าแล่งหนึ่ง มีประมาณเท่าทะนานหนึ่ง เพียงพอเพื่อเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปสำหรับคนคนหนึ่ง.
               สมจริงตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ข้าวสุกแล่งหนึ่งนี้ ไม่เพียงพอเพื่อเลี้ยงอัตภาพให้เป็นไปสำหรับคน ๒ คน.๑-
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๑๖๗๓
 ข้าวสารเหนียวที่บุคคลทำให้หมดแกลบแล้วนึ่งให้สุกจึงถือเอา เขาเรียกชื่อว่า ข้าวแดง. จริงอยู่ ถ้าข้าวสารเหนียวนั้นยังมีแกลบอยู่ สัตว์จำพวกตัวแมลงย่อม
เจาะไชได้ ย่อมไม่ควรเก็บไว้นาน เพราะฉะนั้น พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้ทำให้เป็นของควรเก็บไว้ได้นาน แล้วถือเอาข้าวสารเหนียว จึงเดินทางไกล ด้วยคิดว่า
 ในสถานที่ใด หญ้าอันเป็นอาหารที่พวกม้ากิน จักเป็นของหาได้ยาก ในสถานที่นั้นนั่นแล ข้าวสารเหนียวนั้นจักเป็นอาหารของม้า.
               ถามว่า ก็เพราะเหตุไร พวกพ่อค้าเหล่านั้นจึงได้ตกแต่งข้าวสารเหนียวนั้นไว้สำหรับภิกษุทั้งหลาย?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
    จริงอยู่ พวกมนุษย์ชาวอุตตราปถชนบทเหล่านั้น จะเป็นผู้ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเลื่อมใส เหมือนอย่างพวกมนุษย์ชาวทักขิณาปถชนบทหามิได้.
               ความจริง พวกมนุษย์ชาวอุตตราปถชนบทเหล่านั้น เป็นผู้มีศรัทธา มีความเลื่อมใส เป็นพุทธมามกะ ธรรมมามกะ สังฆมามกะ. พวกพ่อค้าเหล่านั้น
 ในเวลาเช้า เมื่อเข้าไปยังเมืองด้วยกรณียกิจบางอย่างนั่นเอง ได้พบภิกษุ ๗-๘
 รูป ผู้นุ่งห่มเรียบร้อย สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เที่ยวไปบิณฑบาตแม้ทั่วเมืองก็ไม่ได้วัตถุอะไรๆ ตั้ง ๒-๓ วัน.
               ครั้นเห็นแล้ว พวกพ่อค้าเหล่านั้นได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายอาศัยเมืองนี้อยู่จำพรรษา ฉาตกภัยก็กำลังเป็นไป และท่านเหล่านี้
ก็ไม่ได้วัตถุอะไรๆ ย่อมลำบากเป็นอย่างยิ่ง ทั้งพวกเราก็เป็นอาคันตุกะ
 ย่อมไม่อาจตระเตรียมข้าวต้มและข้าวสวยถวายพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น
ทุกวันๆ ได้ แต่ม้าทั้งหลายของพวกเราได้อาหารสองมื้อ คือในเวลาเย็น
และเวลาเช้า ไฉนหนอ พวกเราพึงแบ่งถวายข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ แก่ภิกษุรูป
หนึ่งๆ จากอาหารมื้อเช้าของม้าตัวหนึ่งๆ เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้เป็นเจ้า
ทั้งหลายจักไม่ลำบาก ทั้งม้าก็จักพอยังชีวิตให้เป็นไปได้
               พวกพ่อค้าเหล่านั้นจึงไปยังสำนักของภิกษุทั้งหลาย เรียนบอก
ข้อความนั่นให้ทราบ แล้วเรียนขอว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าผู้เจริญ ขอพระคุณเจ้า
ทั้งหลายจงได้รับข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ แล้วทำให้เป็นอาหารอย่างใดอย่างหนึ่ง
ฉันเถิด ดังนี้แล้ว จึงได้ตกแต่งข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ ไว้ทุกวันๆ เพราะเหตุนั้น ท่าน
พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า พวกพ่อค้าม้าเหล่านั้นได้ตกแต่งข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ สำหรับภิกษุทั้งหลายไว้ที่คอกม้า.
               บทว่า ปญฺญตฺตํ แปลว่า ได้ตั้งไว้แล้ว โดยสังเขปอย่างนิตยภัต.
               [อรรถาธิบายปุพพัณหสมัยศัพท์]                              บัดนี้ควรทราบวินิจฉัยในคำว่า ภิกฺขู ปุพฺพณฺหสมยํ นิวาเสตฺวา เป็นต้นต่อไป :-
               บทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ แปลว่า สมัยอันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งวัน. อธิบายว่า ในปุพพัณหสมัย. อีกอย่างหนึ่ง สมัยในตอนเช้า ชื่อว่า ปุพพัณห
สมัย ท่านกล่าวคำอธิบายไว้ว่า ขณะหนึ่งในเวลาเช้า. เมื่ออธิบายอย่างนี้ ทุติยาวิภัตติย่อมได้ในอรรถแห่งอัจจันตสังโยค.
               บทว่า นิวาเสตฺวา แปลว่า นุ่งห่มแล้ว. บทว่า นิวาเสตฺวา นั่นพึงทราบด้วยสามารถแห่งการผลัดเปลี่ยนการนุ่งห่มในวิหาร. ในกาลก่อน
แต่เวลาเที่ยวบิณฑบาตนั้น ภิกษุเหล่านั้นจะไม่ได้นุ่งห่ม ก็หามิได้เลย.
    บทว่า ปตฺตจีวรมาทาย ความว่า เอามือทั้ง ๒ อุ้มบาตร เอาจีวรคล้องกาย. 
อธิบายว่า รับไว้ คือพาดไว้. จริงอยู่ พวกภิกษุเมื่อถือเอา (บาตรและจีวร) ด้วยประการใดๆ ก็ตาม ท่านก็เรียกว่า ถือเอา เหมือนกัน. เหมือนในประโยค
ว่า พอถือเอาได้เท่านั้น ก็หลีกไป ดังนี้.
  สองบทว่า ปิณฺฑํ อลภมานา ความว่า เที่ยวไปทั่วทั้งเมืองเวรัญชา อย่าว่าแต่ก้อนข้าวเลย ไม่ได้โดยที่สุดแม้เพียงคำว่านิมนต์ โปรดสัตว์ข้างหน้าเถิด.
               [พวกภิกษุได้ข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ นำไปจัดการฉันเอง]               
               หลายบทว่า ปตฺถปตฺถปุลกํ อารามํ หริตฺวา ความว่า ถือเอาข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ ที่ตนได้ในที่ที่ไปแล้วๆ นำไปยังอาราม.
               หลายบทว่า อุทุกฺขเล โกฏฺเฏตฺวาปริภุญฺชนฺติ ความว่า
               ใครๆ ผู้ที่จะเป็นกัปปิยการกรับเอาข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ นั้น ไปหุงต้มเป็นข้าวต้มหรือข้าวสวย ถวายแก่พระเถระเหล่านั้น ย่อมไม่มี. การหุงต้มแม้
เองย่อมไม่เป็นสมณสารูป ทั้งไม่สมควร. ภิกษุเหล่านั้นรวมเป็นพวกๆ พวกละ ๘ รูปบ้าง พวกละ ๑๐ รูปบ้าง ปรึกษากันว่า ความเป็นผู้มีความ
ประพฤติเบา และเปลื้องจากการหุงต้มให้สุกเอง จักมีแก่พวกเรา ด้วยวิธีอย่างนี้ ดังนี้ จึงโขลกตำในครกแล้วเอาน้ำชุบส่วนของตนๆ ให้ชุ่มแล้วก็ฉัน 
ครั้นเธอเหล่านั้นฉันแล้วก็เป็นผู้มีขวนขวายน้อย
 บำเพ็ญสมณธรรมอยู่ ด้วยประการฉะนี้.
               [พ่อค้าม้าถวายข้าวแดงแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า]               
               ส่วนพวกพ่อค้าม้าเหล่านั้นก็ถวายข้าวแดงแล่งหนึ่ง และเนยใส น้ำผึ้งและน้ำตาลกรวดที่ควรแก่ข้าวแดงนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. 
ท่านพระอานนท์นำเอาข้าวแดงนั้นมาบดที่ศิลา. ข้าวแดงนั้นอันบุรุษบัณฑิตผู้มีบุญทำแล้ว ย่อมเป็นที่ชอบใจทีเดียว. คราวนั้น ท่านพระอานนท์ ครั้นบดข้าว
แดงนั้น ก็ปรุงด้วยเครื่องปรุงมีเนยใสเป็นต้น 
น้อมเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
               ขณะนั้น พวกเทวดาได้แทรกทิพโอชาลงในข้าวแดงที่ปรุงนี้.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยพระกระยาหารที่บดถวายนั้น ครั้นเสวยแล้วก็ทรงยังกาลให้ผ่านไปด้วยผลสมาบัติ
 จำเนียรกาลตั้งแต่นั้นมาก็ไม่เสด็จเที่ยวทรงบาตร.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรู้แล้ว ๒๐ ปี ไม่มีผู้อุปัฏฐากประจำ]       
                       ถามว่า ก็คราวนั้น พระอานนทเถระ ยังไม่ได้เป็นผู้อุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือ?
               แก้ว่า ยังไม่ได้เป็น ทั้งท่านก็ไม่ได้รับตำแหน่งผู้อุปัฏฐากเลย.
       ความจริง ในครั้งปฐมโพธิกาล ชื่อว่าภิกษุผู้อุปัฏฐากประจำ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ในภายใน ๒๐ พรรษา ย่อมไม่มี. บางคราว 
พระนาคสมาลเถระอุปัฏฐากพระผู้มีพระภาคเจ้า, บางคราว
 พระนาคิตเถระ, บางคราว พระเมฆิยเถระ, บางคราว พระอุปวาณเถระ, 
บางคราว พระสาคตเถระ, บางคราว พระเถระผู้เป็นโอรสของเจ้าลิจฉวี 
ชื่อสุนักขัตตะ อุปัฏฐากพระผู้มีพระ
ภาคเจ้า.               พระเถระเหล่านั้นอุปัฏฐากตามความพอใจของตนแล้ว ก็
หลีกไปในเวลาที่ตนปรารถนา (จะหลีกไป). พระอานนทเถระ เมื่อท่านเหล่านั้น
อุปัฏฐากอยู่ ก็เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย เมื่อท่าน
เหล่านั้นหลีกไปแล้ว ก็ทำวัตรปฏิบัติเสียเอง.
               ถึงพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ทรงใฝ่พระทัยอยู่ว่า พระญาติผู้ใหญ่
ของเรา ไม่ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อุปัฏฐากก่อน แม้ก็จริง ถึงกระนั้น พระอานนท์
นี้แหละเป็นผู้สมควรในฐานะทั้งหลายเห็นปานนี้ ดังนี้ จึงทรงนิ่งเงียบไว้.
 เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ท่านพระอานนท์บดข้าวแดง
แล่งหนึ่งๆ ที่ศิลาแล้ว น้อมเข้าไปถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, 
พระผู้มีพระภาคเจ้าก็เสวยพระกระยาหารที่บดถวายนั้น.
               [พราหมณ์และชาวเมืองไม่ได้ถวายภัตแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า]         
                     ถามว่า ก็ในเวลาข้าวยากหมากแพง มนุษย์ทั้งหลายเกิด
ความอุตสาหะทำบุญกันอย่างเหลือเกิน ถึงตนเองก็ไม่บริโภค ย่อมสำคัญ
ของที่ตนควรถวายแก่พวกภิกษุมิใช่หรือ? เพราะเหตุไร ในคราวนั้น พวกมนุษย์เหล่านั้นจึงไม่ได้ถวายแม้ภิกษาสักทัพพีเล่า,
               และเวรัญชพราหมณ์นี้ก็ได้ทูลขอพระผู้มีพระภาคเจ้าให้อยู่จำ
พรรษา ด้วยความอุตสาหะเป็นอย่างมาก, เพราะเหตุไร พราหมณ์นั้นจึงไม่รู้แม้ความที่พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่?
               ตอบว่า เพราะถูกมารดลใจ.
               จริงอยู่ มารได้ดลใจ คือทำเวรัญชพราหมณ์ผู้พอสักว่าหลีกไปจากสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าเท่านั้น และชาวนครทั้งสิ้นให้ลุ่มหลงทั้งหมด 
ตลอดสถานที่มีประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ (เมืองเวรัญชา) อันเป็นสถาน
ที่พวกภิกษุอาจเที่ยวไปบิณฑบาต ในเวลาก่อนฉันแล้วกลับมาได้ ทำให้พวก
มนุษย์ทั้งหมดกำหนดไม่ได้แล้วก็หลีกไป เพราะฉะนั้น ใครๆ จึงไม่ได้ใฝ่ใจ
ถึงกิจที่ตนควรทำ โดยที่สุดแม้สามีจิกรรม.
               ถามว่า ก็แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทราบมารจะดลใจหรือ? จึงทรงเข้าจำพรรษาในเมืองเวรัญชานั้น.
               แก้ว่า ไม่ทรงทราบ ก็หามิได้.
               ถามว่า เมื่อทรงทราบเช่นนั้น เพราะเหตุไร จึงไม่ทรงเข้าจำพรรษา ในบรรดาพระนครแห่งใดแห่งหนึ่ง มีนครจัมปา สาวัตถีและราชคฤห์เป็นต้น?
               แก้ว่า พระนครทั้งหลายมีนครจัมปา สาวัตถีและราชคฤห์เป็นต้น
จงยกไว้, แม้ถ้าว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงเสด็จไปยังอุตรกุรุทวีปหรือ
ไตรทศบุรี แล้วเข้าจำพรรษาในปีนั้นไซร้, มารก็พึงดลใจชาวอุตรกุรุทวีปหรือไตรทศบุรีแม้นั้นได้.
           ได้ยินว่า มารนั้นได้เป็นผู้มีจิตถูกความอาฆาตเข้ากลุ้มรุมอย่างยิ่ง
ตลอดศกนั้น, ส่วนในเมืองเวรัญชานี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ทอด
พระเนตรเห็นเหตุการณ์นี้ได้เป็นอย่างดีว่า พวกพ่อค้าม้าจักทำการสงเคราะห์
ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นจึงทรงเข้าพรรษาในเมืองเวรัญชานั่นแล.
               [มารไม่สามารถทำอันตรายแก่ปัจจัย ๔ ได้]               
               ถามว่า ก็มารไม่สามารถจะดลใจพวกพ่อค้าได้หรือ?
               แก้ว่า จะไม่สามารถ ก็หามิได้ แต่เพราะพ่อค้าเหล่านั้นได้มาในเมื่อประชาชนถูกมารดลใจเสร็จสิ้นลงแล้ว.
               ถามว่า เพราะเหตุไร มารจึงไม่กลับมาดลใจอีกเล่า?
               แก้ว่า เพราะไม่เป็นวิสัย จึงไม่กลับมา.
               จริงอยู่ มารนั้นย่อมไม่อาจเพื่อทำอันตราย แก่ภิกษาที่บุคคลนำไปเฉพาะพระตถาคต แก่นิพัทธทาน แก่วัตถุทานที่บุคคลกำหนดถวายไว้แล้ว.
               ความจริง ใครๆ ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่ปัจจัย ๔ ได้.
               แก่ปัจจัย ๔ เหล่าไหน?
               ใครๆ ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่ปัจจัย ๔ เหล่านี้ คือ :-
               ใครๆ ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่นิพัทธทาน โดยสังเขปว่า ภิกษาที่บุคคลนำไปเฉพาะพระตถาคต หรือแก่ปัจจัย ๔ ที่บุคคลบริจาคแล้วแด่พระ
ตถาคตโดยสังเขปว่าวัตถุทานที่บุคคลกำหนดถวายไว้แล้ว ๑, ใครๆ ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่พระชนมชีพ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ ๑, ใครๆ
 ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่พระอนุพยัญชนะ ๘๐ หรือแก่พระรัศมี ที่ซ่านออกข้างละวาได้.
               จริงอยู่ รัศมีแม้แห่งพระจันทร์ พระอาทิตย์ เทวดาและพรหม พอไปถึงประเทศแห่งพระอนุพยัญชนะและพระรัศมีที่ซ่านออกข้างละวา ของพระ
ตถาคตแล้ว ก็หมดอานุภาพไป ๑,
               ใครๆ ไม่สามารถจะทำอันตรายแก่พระสัพพัญญุตญาณ ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายได้ ๑ (รวมเป็น ๔ อย่าง ด้วยประการฉะนี้).
               เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมทั้งพระสงฆ์สาวกเสวยและฉันภิกษา ที่มารทำอันตรายไม่ได้ในคราวนั้น.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามสิ่งที่เป็นประโยชน์]                    ก็พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงเสวยอยู่อย่างนั้น วันหนึ่ง (ได้ทรงสดับเสียงครกแล).
   หลายบทว่า อสฺโสสิ โข ภควา อุทุกฺขลสทฺทํ ความว่า พระผู้มีพระภาค
เจ้าได้ทรงสดับเสียงครก ที่เกิดเพราะสากกระทบ (ครก) ของพวกภิกษุผู้โขลกตำข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ อยู่.
               พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายกล่าวคำเป็นต้น ซึ่งมีต่อจากคำ
นั้นไปอย่างนี้ว่า พระตถาคตทั้งหลาย แม้ทรงทราบอยู่ ดังนี้ ก็เพื่อแสดง
การเฉลยพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามข้างหน้าว่า ดูก่อนอานนท์ นั้นเสียงครกหรือหนอแล?
               ในคำเหล่านั้นมีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
               ธรรมดาว่า พระตถาคตทั้งหลาย แม้เมื่อทรงทราบอยู่ ถ้าเหตุแห่ง
การถามเช่นนั้น มีอยู่ไซร้ จึงตรัสถาม, แต่ถ้าเหตุแห่งการถามเช่นนั้น ไม่มีไซร้
, ถึงทรงทราบอยู่ ก็ไม่ตรัสถาม. ก็เพราะขึ้นชื่อว่า สิ่งที่พระพุทธเจ้าทั้ง
หลายไม่ทรงทราบ ไม่มี, เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่กล่าวคำว่า แม้เมื่อไม่รู้.
               หลายบทว่า กาลํ วิทิตฺวา ปุจฺฉนฺติ ความว่า ถ้าเวลาแห่งการตรัส
ถามนั้นๆ มีอยู่ไซร้, ทรงทราบกาลนั้นอย่างนั้นแล้ว จึงตรัสถาม ถ้าเวลาแห่ง
การตรัสถามนั้น ไม่มีไซร้, ทรงทราบกาลแม้อย่างนั้นแล้ว ก็ไม่ตรัสถาม.
               อนึ่ง พระตถาคตทั้งหลาย แม้เมื่อจะตรัสถามอย่างนั้น ย่อมตรัสถามแต่คำที่ประกอบด้วยประโยชน์ คือย่อมตรัสถามเฉพาะแต่คำที่อิงอาศัย
ประโยชน์อิงอาศัยเหตุเท่านั้น หาตรัสถามคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ไม่.
               เพราะเหตุไร?
               เพราะพระตถาคตทั้งหลายทรงขจัดคำที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์เสียได้ด้วยมรรคชื่อว่าเสตุ.
               มรรคท่านเรียกว่า เสตุ. มีคำอธิบายไว้ว่า การขจัดคือ การตัดขาดด้วยดี ซึ่งคำเช่นนั้นด้วยมรรคนั่นเอง.
               บัดนี้ ท่านพระอุบาลีเถระ เมื่อจะแสดงถึงพระดำรัสที่อิงอาศัยประโยชน์ซึ่งพระตถาคตทั้งหลายตรัสถามนั้น ในบทว่า อตฺถสญฺหิตํ 
นี้จึงกล่าวคำมีอาทิว่า ทฺวีหิ อากาเรหิ ดังนี้.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อากาเรหิ คือ ด้วยเหตุทั้งหลาย.
               สองบทว่า ธมฺมํ วา เทเสสฺสาม ความว่า เราจักแสดงพระสูตรที่ประกอบด้วยอัตถุปปัตติเหตุ (คือเรื่องที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า) หรือชาดก
ที่ประกอบด้วยเหตุแห่งบุรพจริต (คือความประพฤติในชาติก่อน).
               หลายบทว่า สาวกานํ วา สิกฺขาปทํ ปญฺญาเปสฺสาม ความว่า หรือ
เราจักทำโทษที่ล่วงเกินให้ปรากฏ ด้วยการถามนั้น แล้วจักบัญญัติ
สิกขาบท คือตั้งข้อบังคับหนักหรือเบาไว้แก่สาวกทั้งหลาย.
   ในคำว่า อถโข ภควา ฯเปฯ เอตมตฺถํ อาโรเจสิ นี้ หามีคำอะไรๆ ที่ควร
กล่าวไว้ไม่. เพราะว่าท่านพระอานนท์เมื่อทูลบอกการได้ข้าวแดงแล่งหนึ่งๆ
 ความเป็นผู้มีความประพฤติเบา และเปลื้องจากการหุงต้มให้สุกเอง ของพวก
ภิกษุ ที่ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในตอนต้นนั่นแล เรียกว่า ได้ทูลบอกข้อความนั่นแล้ว.
             [พวกภิกษุจำพรรษาเมืองเวรัญชาชำนะความอดอยากได้]               
               ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงทำให้ท่านพระอานนท์รื่นเริง จึงได้ตรัสพระดำรัสนี้ว่า ดีละ ดีละ อานนท์ ก็แลครั้นทรงประทานสาธุการแล้ว 
เมื่อจะทรงแสดงธรรมยอมรับเอาอาการอย่างหนึ่ง ในบรรดาอาการทั้ง ๒ จึงได้ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ พวกเธอเป็นสัตบุรุษ ชนะวิเศษแล้ว, พวกเพื่อน
สพรหมจารีชั้นหลัง จักดูหมิ่นข้าวสาลีและข้าวสุกที่ระคนด้วยเนื้อ.
               ในคำว่า ตุมฺเหหิ เป็นต้นนั้น มีอธิบายดังต่อไปนี้ :-
               (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า) ดูก่อนอานนท์ ในคราวทุพภิกขภัย คือ ในคราวที่มีก้อนข้าวอันหาได้ยากอย่างนี้ พวกท่านเป็นสัตบุรุษชนะวิเศษ
แล้ว ด้วยความเป็นผู้ประพฤติเบานี้ และด้วยธรรมอันเป็นเครื่องขูดเกลานี้.
               ถามว่า พวกเธอชนะอะไร?
               แก้ว่า ชนะทุพภิกขภัยได้ ชนะความโลภได้ ชนะความประพฤติด้วยอำนาจแห่งความปรารถนาได้.
               ถามว่า ชนะอย่างไร?
               แก้ว่า แม้ภิกษุรูปหนึ่งย่อมไม่มีความคิด หรือความคับแค้นใจว่า เมืองเวรัญชานี้มีภิกษาหาได้ยาก แต่บ้านและนิคมในระหว่างโดยรอบ 
(แห่งเมืองเวรัญชานี้) มีข้าวกล้าโน้มลงด้วยความหนักคือผล คือว่ามีภิกษาดี มีก้อนข้าวหาได้โดยง่าย เอาเถิดพวกเราไปที่บ้านและนิคมนั้นแล้ว จึงจักฉัน, 
แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะทรงรับเอาพวกเราอยู่ในเมืองนี้ทีเดียว ดังนี้. ทุพภิกขภัยอันภิกษุเหล่านั้นชนะได้แล้ว คือครอบงำได้แล้ว 
ได้แก่ให้เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้ก่อน.
               ถามว่า ชนะความโลภได้อย่างไร?
               แก้ว่า แม้ภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้ทำให้ราตรีขาดด้วยอำนาจแห่งความโลภว่า เมืองเวรัญชานี้ มีภิกษาหาได้ยาก, ส่วนบ้านและนิคมในระหว่าง
โดยรอบ (แห่งเมืองเวรัญชานี้) มีข้าวกล้าโน้มลงด้วยความหนัก คือผล ได้แก่มีภิกษาดี มีก้อนข้าวหาได้โดยง่าย เอาเถิด พวกเราจักพากันไปฉันที่บ้าน
และนิคมนั้น หรือไม่ได้ทำให้พรรษาขาด ด้วยคิดว่า พวกเราจะเข้าจำพรรษาในบ้านและนิคมนั้น ในพรรษาหลัง ดังนี้,
               ความโลภอันภิกษุเหล่านั้นชนะได้แล้วด้วยอาการอย่างนี้.
  ถามว่า ชนะความประพฤติ ด้วยอำนาจแห่งความปรารถนาได้อย่างไร?
               แก้ว่า แม้ภิกษุรูปหนึ่งไม่ได้ให้ความปรารถนาเห็นปานนี้เกิดขึ้นเลย
ว่า เมืองเวรัญชานี้ ภิกษาหาได้ยาก และมนุษย์ทั้งหลายนี้ย่อมไม่สำคัญพวก
เราแม้ผู้พักอยู่ตั้ง ๒-๔ เดือน ในคุณอะไรเลย ไฉนหนอ พวกเราทำการค้า
คุณธรรม (อวดอุตริมนุสธรรม) คือ ประกาศซึ่งกันและกัน แก่มนุษย์ทั้ง
หลาย อย่างนี้ว่า ภิกษุรูปโน้นได้ปฐมฌาน ฯลฯ รูปโน้นได้อภิญญา ๖
 ดังนี้ แล้วปรนปรือท้อง ภายหลังจึงค่อยอธิษฐานศีล ดังนี้,
    ความประพฤติด้วยอำนาจแห่งความปรารถนา อันภิกษุเหล่านั้นชนะได้แล้ว คือครอบงำได้แล้ว เป็นไปในอำนาจของตนแล้ว ด้วยอาการอย่างนี้.
               ส่วนในอนาคต เพื่อนพรหมจารีชั้นหลัง นั่งอยู่ในวิหาร
แล้ว แม้ได้ (ภัตตาหาร) โดยความยากลำบากเพียงเล็กน้อย ก็จะดูหมิ่นข้าว
สาลีและข้าวสุกที่ระคนด้วยเนื้อ คือจักทำให้เป็นของดูหมิ่น น่าติเตียน โดย
นัยเป็นต้นว่า ข้าวสุกนี้อะไรกัน? เป็นท้องเล็น แฉะไป ไม่เค็ม เค็มจัด ไม่เปรี้ยว เปรี้ยวจัด จะประโยชน์อะไรด้วยข้าวสุกนี้? ดังนี้.
               อีกอย่างหนึ่ง (พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอธิบายไว้ว่า) ขึ้นชื่อว่า
 ชนบทจะมีภิกษาหาได้ยากตลอดกาล ก็หามิได้ คือ บางคราวก็มีภิกษาหาได้
ยาก บางคราวก็มีภิกษาหาได้ง่าย ในกาลใด ชนบทนี้นั้นจักมีภิกษาหาได้
ง่าย ในกาลนั้น มนุษย์ทั้งหลายเลื่อมใสต่อข้อปฏิบัตินี้ของพวกท่านผู้เป็น
สัตบุรุษแล้ว จักสำคัญข้าวสาลีวิกัติ และข้าวสุกที่ระคนด้วยเนื้อ อันมี
ประการหลายอย่าง โดยประเภทมีข้าวต้มและของขบฉันเป็นต้น ที่ตน
พึงถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย, ปัจฉิมชนตาชน กล่าวคือ เพื่อนสพรหมจารีของ
พวกท่านนั่งอยู่ในระหว่างพวกท่านแล้ว เสวยอยู่ซึ่งสักการะที่อาศัยพวกท่าน
เกิดขึ้นแล้วนั้นแล จักดูหมิ่นและจะทำความดูถูก อันมีการเสวย
สักการะนั้นเป็นปัจจัย.
               ถามว่า จักทำความดูถูกอย่างไร?
               แก้ว่า จักทำความดูถูกอย่างนี้ว่า เพราะเหตุไร พวกท่านจึงหุงต้มภัตมีประมาณเท่านี้เล่า? ภาชนะของพวกท่านซึ่งเป็น
ที่ที่พวกท่านจะพึงใส่ของๆ ตนเก็บไว้ ไม่มีหรือ?
               มหาโมคคัลลานสีหนาทกถา
  ในบททั้งหลายเป็นต้นว่า อถโข อายสฺมา มหาโมคฺคลฺลาโน มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า อายสฺมา นี้ เป็นคำกล่าวด้วยความรัก, บทนี้เป็นชื่อแห่งความเคารพ และความยำเกรงโดยฐานครู.
        บทว่า มหาโมคฺคลฺลาโน ความว่า พระเถระนั้นชื่อว่ามหาโดยความเป็นผู้มีคุณใหญ่ และชื่อว่าโมคคัลลานะ
โดยโคตร เพราะเหตุนั้น พระเถระนั้นจึงชื่อว่า มหาโมคคัลลานะ.
        บทว่า เอตทโวจ ความว่า ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กราบทูลคำนี้
 (กะพระผู้มีพระภาคเจ้า) คือแสดงคำเป็นต้น ที่ตนควรกราบทูลในบัดนี้
ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ บัดนี้ (เมืองเวรัญชามีภิกษาหาได้ยาก) ดังนี้.
               [ท่านพระมหาโมคคัลลานะทูลขออนุญาตพลิกแผ่นดิน]               
               ถามว่า ท่านมหาโมคคัลลานะได้กราบทูล (คำนี้) เพราะเหตุไร?
               แก้ว่า เพราะได้ยินว่า พระเถระบวชแล้วในวันที่ ๗ จึงได้ถึงที่สุด
แห่งสาวกบารมีญาณ ทั้งพระศาสดาก็ทรงตั้งท่านไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ
 เพราะความที่ท่านเป็นผู้มีฤทธิ์มาก. พระเถระนั้นอาศัยความที่ตนเป็นผู้มี
ฤทธิ์มากนั้นจึงดำริว่า เมืองเวรัญชานี้มีภิกษาหาได้ยาก และภิกษุทั้งหลายก็
ย่อมลำบาก, ถ้าไฉนหนอ เราจะพลิกแผ่นดิน แล้วให้ภิกษุทั้งหลายฉันง้วน
ดิน.               คราวนั้น ท่านได้มีความรำพึงดังนี้ว่า ก็ถ้าว่า เมื่อเราอยู่ในสำนัก
ของพระผู้มีพระภาคเจ้า จะไม่ทูลขอกะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วพึงทำอย่างนั้นไซร้ ข้อนั้นจะไม่พึงเหมาะแก่เรา จะพึง
เป็นเหมือนการแข่งดี ที่เราทำกับพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น พระเถระมี
ความประสงค์จะทูลขอ จึงมากราบทูลกล่าวคำนั่นกะพระผู้มีพระภาคเจ้า.
               [ภายใต้แผ่นดินมีง้วนดินที่มีรสโอชา]               
               สองบทว่า เหฏฺฐิมตลํ สมฺปนฺนํ ความว่า ได้ยินว่า พระเถระกล่าวหมายเอาฟองดิน โอชาดิน ง้วนดิน ซึ่งมีอยู่ในพื้นเบื้องล่างแห่งแผ่นดิน.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สมฺปนฺนํ แปลว่า มีรสหวาน. อธิบายว่า มีรส
ดี. เหมือนอย่างในประโยคนี้ว่า ต้นไม้มีผลสมบูรณ์และมีผลเกิดแล้ว พึงมีใน
สถานที่นั้น ดังนี้ พึงทราบความหมายว่า มีผลอร่อยฉันใดแล แม้ในอธิการนี้ ก็
ฉันนั้น บัณฑิตพึงทราบความหมายแห่งบทว่า สมฺปนฺนํ นี้ว่ามีรสหวานคือรสดี.
               ส่วนคำว่า เสยฺยถาปิ ขุทฺทกมธุ อนีลกํ นี้ พระเถระกล่าวแล้วก็เพื่อแสดงข้ออุปมา เพราะพื้นเบื้องล่างแห่งแผ่นดินนั้น เป็นธรรมชาติมีรสหวาน.
               น้ำหวานที่ตัวแมลงผึ้งเล็กๆ ทำไว้แล้ว ชื่อว่า ขุทฺทกมธุ (น้ำผึ้งหวี่).
               บทว่า อนีลกํ แปลว่า ไม่มีตัว คือไม่มีตัวอ่อน ได้แก่น้ำผึ้งที่บริสุทธิ์.
ได้ยินว่าน้ำผึ้งนั่นเป็นของเลิศประเสริฐ มีรสดีและมีโอชากว่าน้ำหวานทั้งหมด
 เพราะเหตุนั้น พระเถระจึงได้กล่าวว่า เสยฺยถาปิ ขุทฺทกมธุ อนีลกํ เอวมสฺสาทํ
 แปลว่า (เป็นที่ชอบใจ เหมือนน้ำผึ้งหวี่ที่ไม่มีตัวฉะนั้น) ดังนี้เป็นต้น.
ประชุมหลายบทว่า สาธาหํ ภนฺเต ตัดบทว่า สาธุ อหํ ภนฺเต แปลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
 ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระพุทธเจ้า (จะพึงพลิกแผ่นดิน).
               ก็บทว่า สาธุ นั่น ซึ่งมีอยู่ในบทว่า สาธาหํ นี้ เป็นคำกราบทูลขอ.
               จริงอยู่ พระเถระ เมื่อจะกราบทูลขออนุญาตการพลิกแผ่นดิน จึงได้กราบทูลกะพระผู้มีพระภาคเจ้าอย่างนั้น.
               บทว่า ปริวตฺเตยฺยํ        ความว่า       พึงหงายขึ้น คือ            พึงทำพื้นข้างล่างให้กลับขึ้นข้างบน.
               ถามว่า เพราะเหตุไร พระเถระจึงต้องทำอย่างนั้น?
               แก้ว่า       เพราะว่า เมื่อพระเถระทำอย่างนั้นแล้ว     ภิกษุทั้งหลายจักได้ฉันง้วนดิน คือฟองดิน โดยสะดวก.
           คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า แม้มีพระประสงค์จะไม่ทรงอนุญาต
ก็ตาม แต่เพื่อให้พระเถระบันลือสีหนาท จึงตรัสถามว่า โมคคัลลานะ ก็เธอ
จักทำเหล่าสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินไว้อย่างไรเล่า? ตรัสอธิบายไว้ว่า สัตว์
ทั้งหลายในบ้านและนิคมเป็นต้นเหล่าใดผู้อาศัยแผ่นดินอยู่ เมื่อเธอ
พลิกแผ่นดิน เธอจักทำสัตว์เหล่านั้นผู้ไม่สามารถจะดำรงอยู่ในอากาศได้อย่างไร? คือจักพักไว้ในสถานที่ไหนเล่า.
           คราวนั้น พระเถระ เมื่อจะประกาศอิทธานุภาพของตนอันสมควรแก่
ความที่ตน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะ จึงได้กราบทูลว่า เอกาหํ ภนฺเต เป็นต้น.
               ใจความแห่งคำว่า เอกาหํ ภนฺเต เป็นต้นนั้นว่า
 ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าจักนิรมิตมือข้างหนึ่ง เหมือนแผ่น
ดินใหญ่นี้ คือจักทำเป็นเช่นกับแผ่นดิน ครั้นข้าพระพุทธเจ้าทำอย่างนั้นแล้ว 
จักทำเหล่าสัตว์ผู้อาศัยแผ่นดินให้ก้าวไปบนมือนั้น เหมือนทำให้สัตว์ผู้
ดำรงอยู่แล้วบนพื้นฝ่ามือข้างหนึ่งนั้น ก้าวไปบนพื้นฝ่ามือข้างที่สองฉะนั้น.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้พลิกแผ่นดิน]               
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงคัดค้านการทูลขอของพระเถระนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า อย่าเลย โมคคัลลานะ!
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อลํ เป็นพระดำรัสที่ตรัสคัดค้าน.
               หลายบทว่า     วิปลฺลาสมฺปิ สตฺตาปฏิลเภยฺยุํ     ความว่า สัตว์ทั้งหลายพึงเข้าถึงแม้การถือคลาดเคลื่อนไป.
               ถามว่า พึงถึงการถือคลาดเคลื่อนอย่างไร?
               แก้ว่า อย่างนี้คือ นี้เป็นแผ่นดิน หรือนี้มิใช่แผ่นดินหนอ.
               อีกอย่างหนึ่ง พึงถึงการถือคลาดเคลื่อนที่ตรงกันข้ามอย่างนี้คือ 
นี้เป็นบ้านของพวกเรา หรือเป็นบ้านของคนเหล่าอื่นหนอ. ในนิคม ชนบท นาและสวนเป็นต้นก็มีนัยดังกล่าวมาแล้วนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง นั่นมิใช่วิปัลลาส. เพราะว่าอิทธิวิสัยของท่านผู้มีฤทธิ์เป็นอจินไตย. ส่วนมนุษย์ทั้งหลายพึงได้รับความเข้าใจผิด อย่างนี้ว่า 
ขึ้นชื่อว่าทุพภิกขภัยนี้ หาใช่จะมีในบัดนี้เท่านั้นไม่, แม้ในอนาคต ก็จักมี, ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายจักได้เพื่อนพรหมจารีผู้มีฤทธิ์เช่นนั้นแต่ที่ไหนเล่า?
 ท่านเหล่านั้นเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระสุกขวิปัสสก ท่านผู้ได้ฌาน และผู้บรรลุปฏิสัมภิทา แม้เป็นพระขีณาสพก็มี จักเข้าไป
บิณฑบาตยังตระกูลอื่น เพราะไม่มีอิทธิพล ความวิตกอย่างนี้ของมนุษย์ทั้งหลายจักมีขึ้นในภิกษุเหล่านั้นว่า ในครั้งพุทธกาล ภิกษุทั้งหลายได้เป็น
ผู้บำเพ็ญให้บริบูรณ์ในสิกขาทั้งหลายแล้ว, ท่านเหล่านั้นได้ให้คุณทั้งหลายเกิดขึ้นแล้ว ทั้งในคราวมีทุพภิกขภัย ก็ได้พลิกแผ่นดิน แล้วฉันง้วนดิน, 
แต่บัดนี้ ท่านผู้บำเพ็ญให้บริบูรณ์ในสิกขาย่อมไม่มี, ถ้าจะพึงมีไซร้ก็พึงจะทำเหมือนอย่างนั้นทีเดียว ด้วยคิดว่า มนุษย์ทั้งหลายไม่พึงถวายบิณฑบาต
ที่สุกหรือดิบอย่างใดอย่างหนึ่งแก่พวกเรา เพื่อขบฉัน ดังนี้, เพราะความวิตกอย่างว่ามานี้ มนุษย์เหล่านั้นพึงได้วิปัลลาส (ความเข้าใจเคลื่อนคลาด) นี้ 
ในพระอริยบุคคลทั้งหลาย ซึ่งมีตัวอยู่นั่นแหละว่า พระอริยบุคคลทั้งหลาย ไม่มี. ก็แลมนุษย์ทั้งหลายผู้ติเตียนว่าร้ายอยู่ซึ่งพระอริยบุคคลด้วยอำนาจ
วิปัลลาส (ความเข้าใจผิด) จะพึงเป็นผู้เข้าถึงอบาย เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า การพลิกแผ่นดิน เธออย่าชอบใจเลย ดังนี้.
               ลำดับนั้น พระเถระเมื่อทูลขอเรื่องนี้ไม่ได้ จะทูลขอเรื่องอื่น (ต่อไป) จึงได้กราบทูลคำมีอาทิว่า ดีละ พระเจ้าข้า!
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงคัดค้านคำทูลขอแม้นั้นของพระเถระนั้น จึงตรัสพระดำรัส มีอาทิว่า อย่าเลย โมคคัลลานะ!.
               คำว่า สัตว์ทั้งหลายพึงได้รับแม้ซึ่งวิปัลลาส ดังนี้ พระผู้มีพระภาค
เจ้าไม่ได้ตรัสไว้ในคำว่า อย่าเลย โมคคัลลานะ ดังนี้เป็นต้น แม้ก็จริง, ถึง
กระนั้น บัณฑิตก็ควรถือเอาโดยนัยดังที่กล่าวมาแล้วในตอนต้นนั่นแหละ. 
อนึ่ง แม้ใจความแห่งคำนั้น ก็ควรทราบเช่นกับที่กล่าวมาแล้วนั่นเอง.
               ถามว่า ก็       ถ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงอนุญาต          ไซร้, พระเถระจะพึงทำอย่างไร?
  แก้ว่า พระเถระพึงอธิษฐานมหาสมุทรให้ขนาดเท่าเหมืองที่จะพึงข้ามด้วยย่างเท้าก้าวเดียว แล้วชักหนทางจากต้นสะเดาที่นเฬรุยักษ์สิงอยู่มุ่งหน้าตรงไป
ยังอุตรกุรุทวีป แล้วแสดงอุตรกุรุทวีปไว้ในที่อันสมบูรณ์ด้วยการไปและการมา ให้ภิกษุทั้งหลายเข้าไปบิณฑบาตแล้วออกไปได้ตามสบาย 
เหมือนเข้าไปสู่โคจรคามฉะนั้น.
               สีหนาทกถาของพระมหาโมคคัลลานะ จบ.