Translate

03 สิงหาคม 2567

หน้า ๑/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสุทินน์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
ปฐมปาราชิกวรรณนา  [เรื่องพระสุทินน์]               ๑- เบื้องหน้าแต่เวรัญชกัณฑ์นี้ไป คำว่า เตน โข ปน สมเยน เวสาลิยา อวิทูเร เป็นต้น มีเนื้อความกระจ่างโดยมาก. เพราะฉะนั้น 
ข้าพเจ้าจะงดการพรรณนาตามลำดับบทเสีย จักพรรณนาแต่เฉพาะบทที่มีคำสมควรจะกล่าวเท่านั้น.
๑- ต่อจากนี้ไป ถ้าเป็นประโยคสนามหลวง เป็นสำนวนแปลของเจ้าประคุณ
๑- สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (จวน อุฏฺฐายี ป.ธ. ๙) วัดมกุฏกษัตริยาราม
๑- เป็นส่วนมาก.
               [อรรถาธิบายชื่อบ้านและชื่อบุตรเศรษฐี]               บ้านที่ได้ชื่อว่า กลันทคาม ก็ด้วยอำนาจแห่งกระแตทั้งหลาย ที่เรียกว่า กลันทกะ.
               บทว่า กลนฺทปุตฺโต ความว่า (สุทินน์) เป็นบุตรของกลันทเศรษฐีผู้มี
ทรัพย์ ๔๐ โกฏิ ซึ่งได้ชื่อด้วยอำนาจแห่งบ้าน ที่พระราชทานสมมติให้. ก็
เพราะมนุษย์แม้เหล่าอื่น ที่มีชื่อว่ากลันทะ มีอยู่ในบ้านตำบลนั้น, ฉะนั้น 
ท่านจึงกล่าวว่า กลันทบุตร แล้วกล่าวย้ำไว้อีกว่า เศรษฐีบุตร.
               บทว่า สมฺพหุเลหิ แปลว่า มากหลาย.
               บทว่า สหายเกหิ ความว่า ชนผู้ชื่อว่าสหาย เพราะอรรถว่าไปร่วมกัน
 คือเข้าถึงสุขและทุกข์ด้วยกัน. สหายนั่นเอง ชื่อว่า สหายกา. (สุทินน์กลันทบุตร ได้ไปเมืองไพศาลี) กับด้วยสหายเหล่านั้น.
               บทว่า สทฺธึ แปลว่า เป็นพวกเดียวกัน.
 สองบทว่า เกนจิเทว กรณีเยน ความว่า ด้วยกิจบางอย่างมี
ประกอบการซื้อขายสินค้า การให้กู้ยืม และการทวงหนี้เป็นต้น. 
อาจารย์บางพวก กล่าวว่า ด้วยกิจคือการเล่นกีฬาอันเป็นนักขัตฤกษ์ในเดือนกัตติกมาส (คือเดือน ๑๒) ดังนี้บ้าง.
               จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปถึงนครไพศาลี ในชุณหปักข์
 (ข้างขึ้น) แห่งเดือนกัตติกมาส. อนึ่ง ในนครไพศาลีนี้ มีการเล่นกีฬาอันเป็น
นักขัตฤกษ์ประจำเดือนกัตติกมาสอย่างโอฬาร, สุทินน์กลันทบุตรนั้น 
พึงทราบว่า ไป (ยังนครไพศาลี) เพื่อเล่นกีฬานักขัตฤกษ์นั้น.
               [สุทินน์กลันทบุตรไปเพื่อฟังธรรม]               
               บทว่า อทฺทสา โข ความว่า สุทินน์กลันทบุตรนั้น ได้เห็นอย่างไร?
               ได้เห็นอย่างนี้คือ :-
               ได้ยินว่า สุทินน์นั้นได้เห็นมหาชนผู้บริโภคอาหารเช้า เสร็จแล้ว
ห่มผ้าขาว มีมือถือดอกไม้ของหอมและเครื่องลูบไล้ ออกจากพระนครไปเพื่อ
เฝ้าพระพุทธเจ้าและเพื่อฟังธรรม จึงถามว่า พวกท่านจะไปที่ไหนกัน.
               มหาชนตอบว่า จะไปเพื่อเฝ้าพระพุทธเจ้า และเพื่อฟังธรรม.
               สุทินน์กล่าวว่า ถ้าเช่นนั้น แม้ข้าพเจ้าก็จะไป แล้วไป
ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้อันบริษัททั้ง ๔ แวดล้อมแล้ว ทรงแสดงธรรมอยู่
 ด้วยพระสุรเสียงอันไพเราะดังเสียงพรหม. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลี
เถระจึงได้กล่าวไว้ว่า สุทินน์กลันทบุตรได้แลเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้า 
ผู้อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว ประทับนั่งแสดงธรรมอยู่.
               บทว่า    ทิสฺวานสฺส    ตัดบทเป็น    ทิสฺวาน อสฺส      แปลว่า เพราะได้เห็น (ความรำพึงนี้ได้มี) แก่เขา.
               บทว่า เอตทโหสิ ความว่า ความรำพึงนี้ได้มีแก่สุทินน์ผู้เป็นภัพกุลบุตร (กุลบุตรผู้ควรตรัสรู้) ผู้อันปุพเพกตปุญญตาตักเตือนอยู่.
               ถามว่า ความรำพึงนี้ได้มีแล้วอย่างไร?
               แก้ว่า ได้มีว่า ไฉนหนอ เราจะพึงได้ฟังธรรมบ้าง.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ยนฺนูน นั่นเป็นบทแสดงถึงความรำพึง.
               ได้ยินว่า สุทินน์นั้นได้เกิดความรำพึงขึ้นอย่างนี้ว่า บริษัทนี้มีจิตดิ่งลงเป็นหนึ่ง ฟังธรรมใดอยู่, โอหนอ แม้เราก็พึงฟังธรรมนั้น.
               หากจะมีอาจารย์ผู้โจทก์ท้วงว่า ในคำว่า 
ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตรเข้าไปโดยทางบริษัทนั้น นี้เพราะเหตุไร ท่าน
พระอุบาลีเถระจึงไม่กล่าวไว้ว่า เข้าไปเฝ้าโดยทางที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ประทับอยู่ แต่กลับกล่าวว่า เข้าไปโดยทางที่บริษัทนั้นอยู่?
               เฉลยว่า จริงอยู่ บริษัทหมู่ใหญ่ มีเหล่าชนผู้หรูหรา นั่งห้อมล้อม
พระผู้มีพระภาคเจ้าอยู่แล้ว, สุทินน์กลันทบุตรนี้มาภายหลังเขา ไม่สามารถ
จะเข้าไปนั่งเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าในบริษัทนั้นได้, แต่ก็สามารถจะเข้าไปนั่ง
ในที่แห่งหนึ่งใกล้บริษัทได้, เพราะฉะนั้น สุทินน์กลันทบุตรนั้นก็เข้าไปหา
บริษัทนั้นนั่นแล. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวว่า ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตรเข้าไปโดยทางที่บริษัทนั้นอยู่.๑-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐/หน้า ๑๙
               [สุทินน์กลันทบุตรได้ฟังธรรมแล้วคิดจะบวช]               
               หลายบทว่า เอกมนฺตํ นิสินฺนสฺส โข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส เอตทโหสิ ความว่า ความรำพึงนี้หาได้มีแก่สุทินน์กลันทบุตร ผู้สักว่านั่งแล้ว
เท่านั้นไม่, โดยที่แท้ ก็ความรำพึงนั้นได้มีแก่สุทินน์กลันทบุตรนั้น ผู้นั่งแล้ว ณ ที่สมควรข้างหนึ่งนั่นแล เพราะได้ฟังธรรมกถาหน่อยหนึ่ง
ซึ่งประกอบด้วยไตรสิกขา ของพระผู้มีพระภาคเจ้า, เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ความรำพึงนี้ได้มีแก่สุทินน์
กลันทบุตรผู้นั่งอยู่แล้ว ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล.
               ถามว่า ความรำพึงนี้ได้มีแล้วอย่างไร?
               แก้ว่า    ได้มีว่า ด้วยอาการใดๆ แล     (เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว) ดังนี้เป็นต้น.
               ในคำว่า ยถา เป็นต้นนั้น มีการกล่าวโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :-
               เราแลจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วด้วยอาการ
ใดๆ, ความรำพึงอย่างนี้ย่อมมีแก่เรา ผู้ใคร่ครวญอยู่ด้วยอาการนั้นๆ.
 พรหมจรรย์คือไตรสิกขา ชื่อว่าอันบุคคล (ผู้อยู่ครองเรือน) จะพึงประพฤติ
ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว เพราะจะต้องทำมิให้ขาดเป็นท่อน แม้ตลอดวันหนึ่ง
 แล้วพึงให้ลุถึงจริมกจิต๑- (คือจิตที่เคลื่อนจากภพ) และชื่อว่าอันบุคคล (ผู้
ยังอยู่ครองเรือน) จะพึงประพฤติให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว เพราะจะต้องทำ
มิให้เศร้าหมอง    ด้วยมลทินคือกิเลสแม้ตลอดวันหนึ่ง แล้วพึงให้ลุถึง     จริมกจิต๑- (คือจิตที่เคลื่อนจากภพ).
               บทว่า สงฺขลิขิตํ ความว่า จะพึงปฏิบัติให้เป็นดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว คือให้มีส่วนเปรียบด้วยสังข์ที่ชำระล้างแล้ว.
               หลายบทว่า อิทํ น สุกรํ อคารํ อชฺฌาวสตา ความว่า อันบุคคลผู้ยังอยู่
ในท่ามกลางแห่งเรือนจะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว
 ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว เป็นของทำไม่ได้ง่าย ไฉน
หนอ เราจะพึงปลงผมและหนวด ครองคือนุ่งห่มผ้ากาสาวะ เพราะเป็นของย้อม
แล้วด้วยรสแห่งน้ำฝาด อันเป็นของสมควรแก่บรรพชิตผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์ แล้วออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต.
               ก็เพราะกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้น ที่เป็นประโยชน์
เกื้อกูลแก่เรือน ท่านเรียกว่า อคาริยะ ในบทว่า อนคาริยํ นี้. และ
กสิกรรมพาณิชยกรรมเป็นต้นนั้นย่อมไม่มีในบรรพชา เพราะเหตุนั้น 
บรรพชาบัณฑิตพึงรู้ว่า อนคาริยา. ซึ่งการบรรพชาที่ไม่มีเรือนนั้น.
               บทว่า ปพฺพเชยฺยํ แปลว่า พึงเข้าถึง.
๑- จริมกจิต หมายถึงจุติจต คือจิตเคลื่อนจากภพ หมายถึงจนดับชีวิต.
๑- ในฏีกาสารัตถทีปนี ๒/๔.
               [สุทินน์กลันทบุตรทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า]       
               หลายบทว่า อจิรวุฏฺฐิตาย ปริสาย เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ
               ความว่า    สุทินน์    เมื่อบริษัทยังไม่ลุกไป ก็ยังไม่ได้      ทูลขอบรรพชากะพระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุไร?
               เพราะในบริษัทนั้น ญาติสาโลหิต มิตรและอำมาตย์ของสุทินน์นั้น
 มีอยู่มาก, พวกญาติเป็นต้นเหล่านั้นจะพึงพูดว่า ท่านเป็นบุตรน้อยคนเดียว
ของมารดาบิดา, ท่านไม่ได้เพื่อจะบวช ดังนี้แล้วพึงจับแม้ที่แขนฉุดออกไป, 
ในเวลานั้น สุทินน์คิดว่า อันตรายจักมีแก่บรรพชา จึงลุกขึ้นเดินไปได้หน่อย
หนึ่ง พร้อมกับบริษัทนั่นเอง แล้วหวนกลับมาอีก ด้วยการอ้างเลิศแห่งสรีรกิจ
บางอย่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า แล้วทูลขอบรรพชา.
               เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ครั้งนั้นแล สุทินน์กลันทบุตร เมื่อบริษัทลุกไปแล้วไม่นานนักก็เข้าเฝ้า โดยทางที่พระผู้มีพระภาค
เจ้าประทับอยู่, ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง. สุทินน์กลันทบุตรนั่งอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่งแล้วแล ได้
กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอาการใดๆ ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้วอันบุคคลผู้ยังอยู่
ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดเกลาแล้ว เป็นของทำไม่ได้ง่าย, ข้าพระพุทธเจ้า
ปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสาวะ 
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต, ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระเจ้าข้า!๑-
               ก็เพราะจำเดิมแต่ราหุลกุมารบรรพชามา พระผู้มี
พระภาคเจ้าก็ไม่ทรงบวชให้บุตรผู้ที่มารดาบิดาไม่อนุญาต, เพราะฉะนั้น
จึงตรัสถามสุทินน์นั้นว่า ดูก่อนสุทินน์ ก็เธออันมารดาบิดา
อนุญาตให้ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ?๑-
               เบื้องหน้าแต่พระพุทธดำรัสนี้ไป บัณฑิตพึงทราบเนื้อความไปตาม
แนวพระบาลีนั่นแล อย่างนี้ในบทว่า ตํ กรณียํ ตีเรตฺวา๒- นี้. (สุทินน์กลันทบุตร
นั้น) ให้กรณียกิจนั้นเสร็จลง ด้วยการทอดทิ้งธุระนั่นเอง.
               จริงอยู่ น้ำใจของสุทินน์กลันทบุตรผู้มีฉันทะแรงกล้าในการ
บรรพชา หาได้น้อมไปในธุระกิจทั้งหลายมีประกอบการซื้อขายสินค้า 
การให้กู้ยืมและทวงหนี้เป็นต้นหรือในการเล่นกีฬานักขัตฤกษ์ไม่.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๐/หน้า ๒๐
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๑/หน้า ๒๐
               [มารดาบิดาไม่อนุญาตให้สุทินน์บวช]               
               ก็ในบทว่า อมฺม ตาต นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
      สุทินน์กลันทบุตรเรียกมารดาว่า อมฺม แม่ (และ) เรียกบิดาว่า ตาต พ่อ.
               สองบทว่า      ตฺวํ    โขสิ     ตัดบทเป็น    ตฺวํ โข อสิ          แปลว่า (ลูกสุทินน์) เจ้าเท่านั้นแล เป็น...
               บทว่า       เอกปุตฺตโก       ความว่า เป็นบุตรคนเดียวแท้ๆ คือ     พี่ชายหรือน้องชายคนอื่นของเจ้าไม่มี.
               อนึ่ง ในบทว่า เอกปุตฺตโก นี้ เมื่อมารดาบิดาควรจะกล่าวว่า เอกปุตฺโต แต่กล่าวว่า เอกปุตฺตโก ก็ด้วยอำนาจความเอ็นดู.
               บทว่า ปิโย แปลว่า ผู้ให้เกิดปีติ.
               บทว่า มนาโป แปลว่า ผู้เจริญใจ.
               บทว่า       สุเขธิโต    แปลว่า ผู้รุ่งเรืองมาด้วยความสุข.         อธิบายว่า ผู้เจริญมาด้วยความสุข.
               บทว่า สุขปริหโฏ ความว่า ผู้อันเหล่าชนประคบประหงมมาด้วย
ความสุข คือตั้งแต่เวลาเกิดมาแล้ว ก็มีพี่เลี้ยงนางนมทั้งหลายผลัดเปลี่ยน
ตักกันอุ้มทรงไว้ เล่นอยู่ด้วยสิ่งของเครื่องเล่นในเวลายังเป็นเด็กเล็กๆ 
มีม้าและรถเป็นต้น อันพี่เลี้ยงเป็นต้นให้บริโภคโภชนาหารที่มีรสอร่อยดี 
ชื่อว่าผู้อันเหล่าชนประคบประหงมมาด้วยความสุข.
               หลายบทว่า น ตฺวํ ตาต สุทินฺนกิญฺจิ ทุกฺขสฺส ชานาสิ ความว่า แนะ
ลูกสุทินน์ เจ้าย่อมไม่รู้ส่วนเสี้ยวแห่งทุกข์อะไรๆ แม้เพียงเล็กน้อยเลย. อีก
อย่างหนึ่ง อธิบายว่า เจ้าย่อมไม่ได้เสวยอะไรๆด้วยความทุกข์.คำว่า ทุกฺขสฺส นี้
 เป็นฉัฏฐีวิภัตติลงในอรรถตติยาวิภัตติ. ก็ความรู้เป็นไปในอรรถคือความเสวย.
อีกอย่างหนึ่ง อธิบายว่า เจ้าย่อมระลึกถึงทุกข์อะไรๆ ไม่ได้. คำว่า ทุกฺขสฺส นี้เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. ก็ความรู้เป็นไปในอรรถคือความระลึก.
               แม้ในวิกัปป์ทั้งสอง พึงเห็นการลบวิภัตติที่เสมอกันแห่งบทเบื้องต้น
 ด้วยบทเบื้องปลายเสีย.  คำตามที่กล่าวมาแล้วทั้งหมดนั้น ผู้ศึกษา       ควรทราบตามแนวคัมภีร์ศัพทศาสตร์.
หลายบทว่า มรเณนปิ มยนฺเต อกามกา วินา ภวิสฺสาม ความว่า แม้ถ้าเมื่อเราทั้งสอง ยังมีชีวิตอยู่ เจ้าจะพึงตายไซร้, แม้ด้วยความตายของเจ้านั้น เราทั้งสอง
ก็ไม่ต้องการ คือไม่ปรารถนา ชื่อว่าจักไม่ยอม เว้น (ให้เจ้าตาย) ตามความพอใจของตน. อธิบายว่า เราทั้งสองจักประสบความพลัดพรากจากเจ้าไม่ได้.
               หลายบทว่า กึ ปน มยํ ตํ ความว่า เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็เหตุอะไรเล่าจักเป็นเหตุให้เราทั้งสองอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ (ออกบวชเป็นบรรพชิต).
               อีกอย่างหนึ่ง ในบทว่า กึ ปน มยํ ตํ นี้ พึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ก็เพราะเหตุไรเล่า เราทั้งสองจึงจักยอมอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่.
               บทว่า ตตฺเถว ความว่า (สุทินน์กลันทบุตรนั้นนอนลง) ในสถานที่ที่เขายืนอยู่ ซึ่งมารดาบิดาไม่อนุญาตให้เขาบวชนั้นนั่นเอง.
บทว่า อนนฺตรหิตาย ความว่า บนพื้นที่อันมิได้ลาดด้วยเครื่องปูลาดอะไรๆ.
   บทว่า ปริจาเรหิ ความว่า เจ้าจงให้พวกนักขับร้องนักเต้นรำและนักฟ้อน
เป็นต้น บำรุงบำเรอเฉพาะตนแล้ว จงให้อินทรีย์ (คือร่างกายทุกส่วน) เที่ยวไป
 คือให้สัญจรไปตามสบายร่วมกับสหายทั้งหลาย ในหมู่นักขับร้องเป็นต้นเหล่า
นั้น. อธิบายว่า เจ้าจงนำนักขับร้องเป็นต้น เข้ามาทางนี้และทางนี้เถิด.
               อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปริจาเรหิ ความว่า เจ้าจงให้พวก
นักขับร้องนักเต้นรำและนักฟ้อนเป็นต้น บำรุงบำเรอเฉพาะตนแล้ว 
จงเล่น คือจงเข้าไปสมาคม ได้แก่จงรื่นรมย์ร่วมกับสหายทั้งหลายเถิด. มีคำอธิบายไว้ว่า จงเล่นกีฬาเถิด ดังนี้บ้าง.
               สองบทว่า กาเมปริภุญฺชนฺโต ความว่า เจ้าจงบริโภคโภคทรัพย์ทั้งหลายร่วมกับบุตรและภรรยาของตนเถิด.
               สองบทว่า ปุญฺญานิ กโรนฺโต ความว่า เจ้าจงปรารถพระพุทธ์ 
พระธรรมและพระสงฆ์แล้ว บำเพ็ญกุศลธรรมทั้งหลายอันเป็นเครื่องชำระ
ทางสุคติให้บริสุทธิ์ด้วยดี มีการเพิ่มให้ทานเป็นต้นเถิด.
               สองบทว่า ตุณฺหี อโหสิ ความว่า สุทินน์กลันทบุตร เพื่อตัดความเกี่ยวข้องด้วยการพูดวาจา จึงได้งดการสนทนาปราศรัยเสีย.
               [สหายไปห้ามไม่ให้สุทินน์บวชไม่สำเร็จ]               
               คราวนั้น มารดาบิดาของสุทินน์ พูด (เล้าโลม) ถึง ๓ ครั้ง เมื่อไม่ได้แม้เพียงคำตอบ จึงสั่งให้เรียกพวกสหาย (ของเขา) มาแล้วสั่งว่า สุทินน์ผู้เป็น
สหายของพวกเธอนั่น มีความประสงค์จะบวช พวกเธอจงช่วยห้ามเขาด้วย. แม้สหายเหล่านั้นเข้าไปหาเขาแล้วก็ได้พูด (อ้อนวอน) ถึง ๓ ครั้ง แต่สุทินน์ก็ได้
นิ่งเงียบแม้ต่อ (หน้า) สหายเหล่านั้น. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้
กล่าวไว้ว่า อถโข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส สหายกา ฯเปฯ ตุณฺหี อโหสิ.๑-
               [สหายไปขออนุญาตมารดาบิดาให้สุทินน์บวช]               
               ครั้งนั้น พวกสหายของสุทินน์นั้นได้มีความรำพึงดังนี้ว่า หากว่า สุทินน์ เมื่อไม่ได้บวช จักตาย, จักไม่มีคุณอะไร, แต่มารดาบิดาจักได้เห็นเขาผู้บวช
แล้วเป็นครั้งคราว, ถึงพวกเราจักได้เห็น, อนึ่ง ขึ้นชื่อว่าการบวชนั่น เป็นภาระที่หนัก, ผู้บวชจะต้องถือบาตรเดินเที่ยวบิณฑบาตทุกวันๆ , พรหมจรรย์มีการ
นอนหนเดียว ฉันหนเดียว เป็นกิจที่ทำได้ยากอย่างยิ่ง, และสุทินน์นี้เป็นผู้ละเอียดอ่อน เป็นชาติชนชาวเมือง, เขา เมื่อไม่สามารถจะประพฤติพรหมจรรย์
นั้นได้ ก็จักกลับมาที่เรือนนี้อีกทีเดียว, เอาเถิด พวกเราจักขอให้มารดาบิดาของเขาอนุญาตให้บวช. สหายเหล่านั้นก็ได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓/หน้า ๒๓-๒๔
               [มารดาบิดาอนุญาตให้สุทินน์บุตรชายบวช]               
               ฝ่ายมารดาบิดาก็ได้อนุญาตให้เขาบวช. เพราะเหตุนั้น 
ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า อถโข สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส 
สหายกา เยน สุทินฺนสฺส กลนฺทปุตฺตสฺส มาตาปิตโร ฯเปฯ อนุญฺญาโตสิ 
มาตาปิตูหิ อคารสฺมา อนคาริยํ ปพฺพชฺชาย.๑-
               บทว่า หฏฺโฐ แปลว่า ผู้ยินดีแล้ว.
               บทว่า อุทคฺโค แปลว่า ผู้มีกายและจิตฟูขึ้นด้วยอำนาจปีติ.
               บทว่า กติปาหํ แปลว่า สิ้นวันเล็กน้อย.
               สองบทว่า พลํ คาเหตฺวา ความว่า สุทินน์กลันทบุตรนั้น 
เมื่อบริโภคโภชนาหารที่สบาย และบริหารร่างกายด้วยกิจมีการอบและ
อาบน้ำเป็นต้น ให้เกิดกำลังกายแล้ว ไหว้มารดาบิดา ลาเครือญาติผู้มีหน้า
เต็มด้วยน้ำตา แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าจนถึงที่ประทับ ฯลฯ ได้
กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระพุทธเจ้าข้า!๒-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๓/หน้า ๒๔
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๔/หน้า ๒๕
               [พระพุทธเจ้ารับสั่งภิกษุบวชให้สุทินน์กลันทบุตร]               
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง 
ผู้เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ซึ่งยืนเฝ้าอยู่ในที่ใกล้มาว่า ดูก่อนภิกษุ 
ถ้าเช่นนั้น เธอจงให้สุทินน์บรรพชาและอุปสมบทเถิด.
ภิกษุรูปนั้นทูลรับแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ดีละ พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้สุทินน์
กลันทบุตรที่พระชินเจ้าทรงประทานเป็นสัทธิวิหาริก ให้บรรพชาและ
อุปสมบทแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า สุทินน์กลันท
บุตรได้รับบรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว.๑-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๔/หน้า ๒๕
               อนึ่ง ยกเว้นในอธิการว่าด้วยท่านสุทินน์ได้รับบรรพชาอุปสมบทนี้เสีย การบรรพชาและอุปสมบท พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้แล้ว
ในอรรถกถาทั้งปวง. ส่วนข้าพเจ้าจักกล่าว (บรรพชาและอุปสมบทนั้น) ในขันธกะด้วยอำนาจแห่งพระบาลีตามที่ตั้งไว้แล้วนั้นแล และหาใช่จักกล่าวแต่
บรรพชาและอุปสมบทในขันธกะอย่างเดียวเท่านั้นไม่ คำแม้อื่นใดที่ควรกล่าวในขันธกะก็ดี ในคัมภีร์บริวารก็ดี อันพระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายกล่าวไว้แล้ว
ในวิภังค์ ข้าพเจ้าจักกล่าวคำนั้นไว้ในที่นั้นๆ แลทั้งหมด. แท้จริง เมื่อข้าพเจ้ากล่าวตามที่อธิบายมาอย่างนี้ การพรรณนาย่อมเป็นอันข้าพเจ้าทำแล้วโดย
ลำดับแห่งพระบาลีทีเดียว. เพราะเหตุนั้น นักศึกษาทั้งหลายผู้มีความต้องการด้วยการวินิจฉัยนั้นๆ ตรวจดูวินัยสังวรรณนานี้ โดยลำดับ
พระบาลีนั้นแล ก็จักรู้การวินิจฉัยที่ยังเหลือได้ดี ฉะนี้แล.
               บทว่า อจิรูปสมฺปนฺโน คือท่านสุทินน์นั้นเป็นผู้อุปสมบทแล้วไม่นาน. มีคำอธิบายว่า โดยกาลไม่นานนัก แต่อุปสมบทมานั่นเอง.
               บทว่า เอวรูเป คือมีส่วนอย่างนี้ ได้แก่ มีชาติอย่างนี้.
               บทว่า ธุตคุเณ ได้แก่ คุณอันเป็นเครื่องกำจัดกิเลส.
               สองบทว่า สมาทาย วตฺตติ ความว่า (ท่านสุทินน์นั้น) สมาทานคือรับเอา ประพฤติ เที่ยวไป อยู่.
               สองบทว่า อารญฺญิโก โหติ ความว่า ห้ามเสนาสนะแดนบ้านเสียแล้ว เป็นผู้ชอบอยู่ป่าเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานอารัญญิกธุดงค์.
บทว่า ปิณฺฑปาติโก ความว่า ห้ามภัต ๑๔ อย่าง ด้วยการห้ามอติเรกลาภเสียแล้ว เป็นผู้ชอบเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานบิณฑปาติยธุดงค์.
               บทว่า ปํสุกูลิโก ความว่า ห้ามคฤหบดีจีวรเสียแล้ว เป็นผู้ชอบทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ด้วยอำนาจสมาทานปังสุกูลิกธุดงค์.
               บทว่า สปทานจาริโก      ความว่า ห้ามการเที่ยวโลเลเสียแล้ว เป็นผู้ชอบเที่ยวตามลำดับตรอกเป็นวัตร คือ
เข้าไปเพื่อภิกษาตามลำดับเรือน ด้วยอำนาจสมาทานสปทานจาริยธุดงค์.
               บทว่า       วชฺชิคามํ       ความว่า      (ท่านสุทินน์นั้นเข้าอาศัย) หมู่บ้านชาววัชชีหรือหมู่บ้านในแคว้นวัชชี.
               [ญาติของท่านสุทินน์ที่เมืองไพศาลีมีสมบัติมาก]               
               ในคำเป็นต้นว่า อฑฺฒา มหทฺธนา มีวินิจฉัยดังนี้ :-
            (ญาติทั้งหลายของเราในเมืองไพศาลี) ชื่อว่าเป็นผู้มั่งคั่ง เพราะมีเครื่องอุปโภคและอุปกรณ์แห่งเครื่องบริโภคมาก.
 มีคำอธิบายว่า จริงอยู่ เครื่องอุปโภคและอุปกรณ์แห่งเครื่องอุปโภค ของญาติเหล่านั้นๆ มีมาก คือมีหนาแน่น ทั้งเป็นวัตถุมีสาระ.
               ชื่อว่า ผู้มีทรัพย์มาก เพราะมีทรัพย์ที่ฝังไว้มาก.
               บทว่า      มหาโภโค      ชื่อว่าผู้มีโภคะมาก เพราะมีโภคะคือวัตถุที่เป็นเสบียง (สำหรับจ่าย) ประจำวันมาก.
               ชื่อว่า     ผู้มีทองและเงินมาก เพราะนอกจากเครื่องอุปโภคอย่างอื่น       ก็ยังมีทองและเงินนั่นแหละมากมาย.
               ชื่อว่า ผู้มีอุปกรณ์แห่งทรัพย์เครื่องปลื้มใจมาก เพราะอุปกรณ์แห่ง
ทรัพย์เครื่องปลื้มใจ อันเป็นเครื่องประดับ ซึ่งทำความปีติปราโมทย์ให้ มี
มากมาย. พึงทราบว่า เป็นผู้มีทรัพย์และข้าวเปลือกมากมาย เพราะทรัพย์และ
ข้าวเปลือกอันแลกเปลี่ยนกันด้วยอำนาจการซื้อขาย มีจำนวนมาก.
 สองบทว่า เสนาสนํ สํสาเมตฺวา ความว่า เก็บงำเสนาสนะแล้ว. อธิบายว่า จัดตั้งเสนาสนะนั้นไว้อย่างเรียบร้อย โดยประการที่เสนาสนะจักไม่เสียหาย.
               [ญาตินำภัตตาหารไปถวายท่านสุทินน์ ๖๐ ถาด]               
สองบทว่า      สฏฺฐิมตฺเต   ถาลิปาเก         ความว่า     (ญาติทั้งหลายของท่านสุทินน์นำภัตตาหารไปถวายท่านสุทินน์)
 มีประมาณ ๖๐ หม้อ โดยกำหนดแห่งการคำนวณ.
               ก็บรรดาภัต ๖๐ หม้อนี้ เฉพาะหม้อหนึ่งๆ จุภัตพอแก่ภิกษุ ๑๐ รูป ภัตแม้ทั้งหมดนั้น ภิกษุ ๖๐๐ รูปพอฉัน.
               ในสองบทว่า ภตฺตาภิหารํ อภิหรึสุ นี้ มีวิเคราะห์ดังนี้ :-
               อาหารที่ชื่อว่า อภิหาร เพราะอรรถว่า อันบุคคลนำไปเฉพาะ. นำอะไรไป? นำภัตไป. อภิหาร คือภัตนั่นเอง ชื่อภัตตาภิหาร. ชื่อภัตตาภิหารนั้น.
               บทว่า อภิหรึสุ ความว่า ญาติทั้งหลายนำภัตตาหารไปไว้เฉพาะหน้า. อธิบายว่า ถือเอาแล้ว ได้ไปยังสำนักของท่านพระสุทินน์นั้น.
               ถามว่า ภัตนั้นมีประมาณเท่าไร?
               แก้ว่า มี ๖๐ หม้อ. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ว่า ญาติทั้งหลายนำภัตตาหารมีประมาณ ๖๐ หม้อ ไปถวายท่านพระสุทินน์.๑-
               สองบทว่า ภิกฺขูนํ วิสฺสชฺเชตฺวา ความว่า ท่านพระสุทินน์นั้นมี
ความประสงค์จะเที่ยวจาริกไปตามลำดับตรอกด้วยตนเอง เพราะเป็นผู้ถือ
เที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างอุกฤษฏ์ จึงได้สละคือถวาย (ภัตตาหารมี
ประมาณ ๖๐ หม้อนั้น) เพื่อเป็นของฉันแก่ภิกษุทั้งหลาย. จริงอยู่ ท่านผู้มีอายุนี้
ใฝ่ใจว่า ภิกษุทั้งหลายจักได้ลาภ และเราก็จักไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตแล้ว
จึงมา เพื่อประโยชน์นั้นนั่นเอง. เพราะฉะนั้น ท่านพระสุทินน์นั้น เมื่อทำกิจ
ที่สมควรแก่การมาของตน จึงได้สละแก่ภิกษุทั้งหลาย ส่วนตนเองก็เข้าไป
บิณฑบาต. นางทาสีของพวกญาติ ชื่อญาติทาสี.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๕/หน้า ๒๖.
               [อธิบายเรื่องขนมบูดเน่า]                   บทว่า อาภิโทสิกํ ได้แก่ขนมกุมมาสที่เก็บไว้นาน คือล่วงไปได้คืนหนึ่งแล้ว เป็นของบูด.
               ในบทว่า อาภิโทสิกํ นั้น มีใจความเฉพาะบทดังต่อไปนี้ :-
               ขนมกุมมาส ที่ชื่อว่าอภิโทสะ เพราะอรรถว่า ถูกโทษคือ
ความบูดครอบงำ. อภิโทสะนั่นเอง ชื่ออาภิโทสิกะ. อีกอย่างหนึ่ง สัญญา 
คืออาภิโทสิกะนี้ เป็นสัญญา คือชื่อแห่งขนมกุมมาส ที่ล่วงไปได้คืน
หนึ่งแล้ว. ซึ่งขนมกุมมาส ชื่ออาภิโทสิกะนั้น.
               บทว่า กุมฺมาสํ ได้แก่ ขนมกุมมาส ที่เขาทำด้วยข้าวเหนียว.
สองบทว่า ฉฑฺเฑตุกามา โหติ ความว่า ขนมกุมมาสนั้นเป็นของไม่ควร
บริโภค โดยที่สุดแม้พวกทาสและกรรมกร กระทั่งถึงฝูงโค 
เพราะฉะนั้น นางทาสีจึงมีความมุ่งหมายจะเทขนมกุมมาสนั้น
ทิ้งเสียภายนอก ดุจเทหยากเยื่อทิ้ง ฉะนั้น.
               บทว่า สเจ ตํ ตัดบทเป็น สเจ เอตํ แปลว่า ถ้าของนั่น.
     พระสุทินน์เรียกทาสีของญาติว่า แนะน้องหญิง ด้วยอำนาจอริยโวหาร.
               บทว่า ฉฑฺฑนียธมฺมํ แปลว่า มีอันจะต้องทิ้งเป็นสภาพ. มีคำอธิบายไว้
ว่า แนะน้องหญิง ถ้าของนั่น มีอันจะต้องทิ้งในภายนอกเป็นธรรมดา คือ เป็น
ของที่เขาสละความหวงแหนแล้วไซร้ เธอจงเกลี่ยลงในบาตรของเรานี้เถิด.
               ถามว่า ก็บรรพชิตย่อมได้ เพื่อจะพูดอย่างนี้หรือ? ไม่เป็นวิญญัติ (การออกปากขอ) หรือปยุตตวาจา (วาจาพูดขอเกี่ยวด้วยปัจจัย) หรือ?
               แก้ว่า ไม่เป็น (ทั้งสองอย่าง).
               ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่เป็น?
               แก้ว่า เพราะเป็นของที่เขาสละความหวงแหนแล้ว.
               จริงอยู่ จะพูดว่า ท่านจงให้ คือจงนำสิ่งของซึ่งมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดา คือเป็นของที่เขาสละความหวงแหนแล้ว ที่พวกเจ้าของไม่มีความ
เสียดายทั้งหมด มาเกลี่ยลงในบาตรนี้เถิด ดังนี้ก็ควร. จริงอย่างนั้น แม้ท่านพระรัฐบาลผู้ประพฤติอริยวงศ์อย่างดีเลิศ ก็ได้พูดว่า เธอจงเกลี่ยขนมกุมมาส
ซึ่งมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดาลงในบาตรของเรานี้เถิด. เพราะฉะนั้น ของสิ่งใดมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดาเห็นปานนี้ก็ดี ของสิ่งอื่นมีรากไม้ผลไม้และเภสัชใน
ป่าเป็นต้น อันไม่มีใครหวงแหนก็ดี ภิกษุควรให้นำสิ่งของนั้นทั้งหมด มาแล้วฉันได้ตามสบาย ไม่ควรจะรังเกียจ.
               [พระสุทินน์ออกบวชได้ ๘ ปี นางทาสีจำอวัยวะบางส่วนได้]            
                  บทว่า หตฺถานํ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอาเค้ามือทั้งสองของพระสุทินน์ผู้น้อมบาตรเข้าไปเพื่อรับภิกษา ตั้งแต่ข้อมือไป.
               บทว่า ปาทานํ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอาเค้าเท้าทั้งสอง จำเดิมแต่ชายผ้านุ่งไป.
               บทว่า สรสฺส ความว่า เมื่อพระสุทินน์ เปล่งวาจาว่า แนะน้องหญิง ถ้าของนั้น ดังนี้เป็นต้น นางทาสีของญาติก็จำสุ้มเสียง (ของท่าน) ได้.
 สองบทว่า นิมิตฺตํ อคฺคเหสิ ความว่า นางทาสีของญาติได้ถือเอา คือจำได้. หมายความว่า กำหนดอาการที่ตนเคยสังเกตได้ในคราวที่ท่านยังเป็นคฤหัสถ์.
               จริงอยู่ พระสุทินน์บวชในพรรษาที่ ๑๒ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
 ในพรรษาที่ ๒๐ ของพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้เข้าไปบิณฑบาตยังตระกูลญาติ
ตนเอง มีพรรษาได้ ๘ ตั้งแต่บวชมา. เพราะเหตุนั้น นางทาสีของญาติคนนั้น
 เห็นท่านแล้วจึงจำไม่ได้ แต่ถือเอาเค้า (นิมิต) ได้ด้วยประการฉะนี้.
               หลายบทว่า สุทินฺนสฺส มาตรํ เอตทโวจ ความว่า นางทาสีของญาติ
ไม่อาจจะพูดคำเป็นต้นว่า ท่านเจ้าขา ท่านหรือหนอคือพระสุทินน์ ผู้เป็นนาย
ของดิฉัน ดังนี้ กับบุตรชายผู้เป็นนาย (ของตน) ซึ่งเข้าบวชแล้วด้วยความ
เคารพยิ่ง จึงรีบกลับเข้าไปในเรือน แล้วได้แจ้งข่าวนี้กะมารดาของพระสุทินน์.
               ศัพท์ว่า ยคฺเฆ เป็นนิบาต ลงในอรรถแห่งคำบอกเล่า.
               ศัพท์ว่า เช ที่มีอยู่ในบทว่า สเจ เช สจฺจํ นี้ เป็นนิบาต 
ลงในอรรถแห่งคำร้องเรียก. ความจริง ชนทั้งหลายในประเทศนั้นย่อม
ร้องเรียกหญิงสาวใช้ ด้วยภาษาอย่างนั้น. เพราะเหตุนั้น ในคำว่า สเจ เช สจฺจํ
 นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า แม่ทาสีผู้เจริญ ถ้าเจ้าพูดจริงไซร้.
               [พวกบรรพชิตไม่นั่งฉันในที่ไม่สมควรเหมือนคนขอทาน]              
                สองบทว่า    อญฺญตรํ กุฑฺฑูลํ     ความว่า ได้ยินว่า ในประเทศนั้นในเรือนของเหล่าชนผู้เป็นทานบดี มีหอฉันไว้, 
และในหอฉันนี้ เขาก็จัดปูอาสนะไว้ ทั้งได้จัดตั้งน้ำฉันและน้ำส้มไว้พร้อม.
 บรรพชิตทั้งหลาย ครั้นเที่ยวไปบิณฑบาตแล้ว (กลับมา) นั่งฉันที่
หอฉันนั้น ถ้าปรารถนาจะรับเอาภัตตาหารที่มีอยู่ ก็รับเอาของที่ยังมีอยู่
 แม้ของเหล่าชนผู้เป็นทานบดีไป. เพราะฉะนั้น แม้สถานที่นั้น ควร
ทราบว่า ได้แก่พะไลฝาเรือนแห่งใดแห่งหนึ่ง ใกล้หอฉันนี้ แห่งตระกูลใด
ตระกูลหนึ่ง.      จริงอยู่        บรรพชิตทั้งหลายย่อมไม่นั่งฉันในสถานที่ไม่สมควร เหมือนพวกมนุษย์กำพร้าฉะนั้นแล.
   ศัพท์ว่า    อตฺถิ ที่มีอยู่ในบทว่า อตฺถิ นาม ตาต นี้ เป็นนิบาต ลงในอรรถ
ว่า มีอยู่,    และ     ศัพท์ว่า นาม (ที่มีอยู่ในบทนั้น). ก็เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งคำถาม และในอรรถแห่งความดูหมิ่น.
               [บิดาติเตียนพระสุทินน์ว่าฉันขนมบูดเหมือนดื่มน้ำอมฤต]               
              จริงอยู่ ท่านกล่าวคำอธิบายนี้ไว้ว่า (บิดาพูดกับพระสุทินน์
ผู้เป็นบุตรชายว่า) พ่อสุทินน์ ทรัพย์ของเรา ก็มีอยู่มิใช่หรือ? พวกเราซึ่ง
มีเจ้าเป็นบุตรชาย ผู้มานั่งฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนอยู่ในที่เช่นนี้ 
จะพึงถูกประชาชนเขาตำหนิว่า เป็นผู้ไม่มีทรัพย์มิใช่หรือ?
               อนึ่ง พ่อสุทินน์ พ่อแม่ก็ยังมีชีวิตอยู่ มิใช่หรือ? 
พ่อแม่ซึ่งมีเจ้าเป็นบุตรชาย ผู้มานั่งฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนอยู่ในที่เช่นนี้ จะถูกประชาชนเขาตำหนิว่า ตายแล้วมิใช่หรือ?
               อนึ่ง พ่อสุทินน์ พ่อสำคัญว่า สมณคุณที่เจ้าได้เพราะอาศัยศาสนา
 มีอยู่ในภายในจิตใจของเจ้า ผู้ซึ่งแม้เจริญเติบโตมาด้วยรสแห่งอาหารที่ดี
 ยังไม่มีความรังเกียจฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืน ซึ่งเป็นของ
น่าสะอิดสะเอียนนี้ เหมือนดื่มน้ำอมฤตฉะนั้น.
               ก็คฤหบดีนั้น เพราะถูกความทุกข์บีบคั้น 
เมื่อไม่สามารถจะพูดแต่งใจความนั่นให้บริบูรณ์ได้ จึงได้กล่าวคำเพียงเท่านี้
ว่า มีอยู่หรือพ่อสุทินน์ ที่พ่อจักฉันขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืน?
               ส่วนในคำว่า      อตฺถิ นาม ตาต เป็นต้นนี้      อาจารย์ผู้คิดอักษรทั้งหลาย ย่อมกล่าวลักษณะนี้ไว้ดังนี้คือ :-
               เมื่อมีอัตถิศัพท์อยู่ในที่ใกล้ (คืออยู่บทข้างหน้า) บัณฑิตทั้งหลาย
จึงได้แต่งคำอนาคตกาลนั่นไว้ดังนี้ว่า ปริภุญชิสฺสสิ ด้วยอำนาจเนื้อความ
ที่ไม่น่าเชื่อและไม่อาจเป็นได้.
               ใจความแห่งคำอนาคตกาลนั้น มีดังนี้คือ :-
               ข้อว่า อตฺถิ นาม ฯเปฯ ปริภุญฺชิสฺสสิ มีความหมายว่า พ่อไม่เชื่อ ทั้งไม่พอใจซึ่งการฉันนี้ แม้ที่เห็นประจักษ์อยู่.
               สองบทว่า ตตายํ อาภิโทสิโก ความว่า ขนมกุมมาสที่เก็บไว้ค้างคืนนี้ รูปได้มาแต่เรือนของคุณโยมนั้น. ปาฐะว่า ตโตยํ บ้าง. 
อาจารย์บางพวกสวดกันว่า ตทายํ บ้าง. คำนั้นไม่งาม.
               หลายบทว่า เยน สกปิตุ นิเวสนํ ความว่า นิเวศน์แห่งบิดาของตน
 คือแห่งบิดาของอาตมา มีอยู่โดยสถานที่ใด พระเถระเป็นผู้ว่าง่าย จึงได้ไป 
(ยังนิเวศน์นั้น) เพราะความรักในบิดานั่นเอง.
               บทว่า อธิวาเสสิ ความว่า พระเถระถึงจะเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นวัตรอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ก็ยังใฝ่ใจว่า ถ้าเราจักไม่รับแม้ภัตตาหาร
ครั้งเดียวไซร้, พวกญาติเหล่านั้นก็จักเสียใจอย่างยิ่ง จึงได้รับคำอาราธนา เพื่ออนุเคราะห์พวกญาติ.
               บทว่า โอปุญฺฉาเปตฺวา แปลว่า สั่งให้ไล้ทา.
               บทว่า ติโรกรณียํ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถตติยาวิภัตติ, ความว่า แวดวง (กองทรัพย์นั้น) ไว้ด้วยกำแพงม่าน.
               อีกอย่างหนึ่ง ชนทั้งหลายย่อมทำรั้วกันไว้ภายนอก 
ด้วยกำแพงม่านนั่น เหตุนั้น กำแพงม่านนั้น จึงชื่อว่าติโรกรณียะ. ความก็ว่า จัดวงล้อมกำแพงม่านนั้นไว้โดยรอบ.
               ในสองบทว่า เอกํหิรญฺญสฺส นี้ กหาปณะ ควรทราบว่า เงิน.
               ชายไม่สูงนัก ไม่เตี้ยนัก ขนาดปานกลาง พึงทราบว่า บุรุษ.
               บทว่า เตน หิ ความว่า เพราะเหตุที่ลูกสุทินน์จักมาในวันนี้.
               ศัพท์ว่า หิ เป็นนิบาต ลงในอรรถสักว่าทำบทให้เต็ม.
  อีกนัยหนึ่ง ศัพท์ว่า เตน แม้นี้ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งคำเชื้อเชิญนั่นเอง.
               ในบทว่า ปุพฺพณฺหสมยํ นี้ ท่านมิได้กล่าวคำเผดียงกาล
ไว้ในพระบาลี แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ก็ควรทราบอธิบายว่า เมื่อเขาเผดียงกาลแล้วนั่นแล พระเถระก็ได้ไป.
               [บิดามอบทรัพย์เพื่อให้พระสุทินน์สึก]               
               โยมบิดาของท่านสุทินน์ ชี้บอกกองทรัพย์ทั้ง ๒ กองว่า พ่อสุทินน์ นี้ทรัพย์มารดาของพ่อ เป็นต้น.
               บทว่า มาตุ ได้แก่ แห่งหญิงผู้ให้เกิด.
               บทว่า มตฺติกํ ได้แก่ ทรัพย์ที่มีมาแต่ฝ่ายมารดา. อธิบายว่า ทรัพย์ส่วนนี้คุณย่าได้มอบให้มารดาของเจ้าผู้มาสู่เรือนนี้.
               โยมบิดากล่าวตำหนิ (ทรัพย์เป็นสินเดิมฝ่ายหญิง) ด้วยคำว่า อิตฺถิกาย อิตฺถีธนํ ทรัพย์ชื่อว่าอันฝ่ายหญิงได้มา เพื่อประโยชน์แก่เครื่องจุณณ์
สำหรับอาบน้ำเป็นต้น อันเป็นเครื่องใช้สอยของหญิงนั่นเอง มีประมาณเท่าไร, เจ้าจงตรวจดูปริมาณทรัพย์ฝ่ายหญิงแม้นั้นก่อน.
 อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า พ่อสุทินน์ นี้ทรัพย์มารดาของพ่อ, ก็แลทรัพย์นั้นเป็นสินเดิมฝ่ายมารดา พ่อมิได้ให้ไว้ คือ เป็นของมารดาของเจ้าเท่านั้น.
               ในบทว่า อตฺถิกาย อิตฺถีธนํ นี้ พึงทราบใจความอย่างนี้ว่า ก็ทรัพย์นี้นั้นรวบรวมมาได้ด้วยกสิกรรม (และ) พาณิชยกรรมก็หามิได้. อีกอย่างหนึ่ง
แล ทรัพย์อันฝ่ายหญิงพึงได้มา ชื่อว่า อิตถีธนํ (ทรัพย์ฝ่ายหญิง), คือว่า ทรัพย์ฝ่ายหญิงส่วนใด อันฝ่ายหญิงผู้ไปสู่ตระกูลสามีจากตระกูลญาติ พึงได้
มาเพื่อประโยชน์แก่เครื่องจุณณ์สำหรับอาบน้ำเป็นต้น, ทรัพย์ส่วนนั้นก็มีประมาณเท่านั้นก่อน.
               หลายบทว่า อญฺญํ เปตฺติกํอญฺญํ ปิตามหํ ความว่า ก็ทรัพย์ส่วนใดอันเป็นสินเดิมของบิดาและปู่ทั้งหลายของพ่อ, ทรัพย์ส่วนนั้นก็เป็นส่วนอื่น
ต่างหาก, ที่เขาฝังไว้และที่ประกอบการค้าขาย ก็มีอยู่มากมายนัก.
               อนึ่ง บทว่า ปิตามหํ ที่มีอยู่ในสองบทว่า เปตฺติกํ ปิตามหํ นี้ควรทราบว่าทำการลบปัจจัยแห่งตัทธิตเสีย. อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า เปตามหํ ดังนี้ก็มี.
               หลายบทว่า ลพฺภา ตาต สุทินฺน หีนายาวตฺติตฺวา ความว่า พ่อสุทินน์ พ่อควรละเพศบรรพชิตอันสูงส่ง ซึ่งเป็นธงชัยแห่งพระอริยเจ้าเสีย แล้วกลับมา
เพื่อความเป็นคฤหัสถ์อันเป็นเพศที่ต่ำทรามจะพึงได้ใช้สอย คือจะได้เพื่อบริโภคโภคสมบัติ, พ่อกลัวต่อราชอาญา จึงบวชก็หามิได้ 
ทั้งถูกเจ้าหนี้ทวงก็หามิได้แล.
               ก็คำว่า ตาต ที่มีอยู่ในบทว่า ตาต น อุสฺสหามิ นี้ พระสุทินน์พูด (กับบิดา) เพราะความรักอาศัยเรือน หาใช่พูดเพราะเดชแห่งสมณะไม่.
               บทว่า น อุสฺสหามิ แปลว่า รูปไม่อาจ.
               บทว่า น วิสหามิ แปลว่า รูปไม่พร้อม คือ ไม่สามารถ.
 ก็คำว่า วเทยฺยาม โข ตํ คหปติ นี้ พระสุทินน์พูด (กับบิดา) เพราะเดชแห่งสมณะ.
               บทว่า นาติกฑฺเฒยฺยาสิ ความว่า ความรักอันใดของคุณโยมที่ตั้งอยู่แล้วในรูป, คุณโยมไม่ควรตัดรอนความรักอันนั้นออก ด้วยอำนาจความโกรธ.
 มีคำอธิบายว่า ถ้าว่าคุณโยมไม่พึงโกรธไซร้.
ลำดับนั้น ท่านเศรษฐี มีจิตเบิกบานด้วยนึกในใจว่า บุตรชายเหมือนมีความประสงค์จะทำการสงเคราะห์เรากระมัง จึงได้พูดว่า พูดเถิด พ่อสุทินน์!
   ศัพท์ว่า เตนหิ เป็นนิบาต มีรูปคล้ายวิภัตติ ลงในอรรถแห่งคำเชื้อเชิญ.
               บทว่า ตโตนิทานํ พึงทราบการอาเทศ ตํปฐมาวิภัตติ อย่างนี้คือ
 ตํนิทานํ ตํเหตุกํ (มีทรัพย์นั้นเป็นต้นเรื่อง, มีทรัพย์นั้นเป็นเหตุ) เป็นโต. และในสมาสบทนั้นไม่มีการลบโตปัจจัย.
    ภัยมีราชภัยเป็นต้น ที่ท่านกล่าวไว้โดยนัยมีอาทิว่า พระราชาทั้งหลายจะไม่พึงทรงริบโภคสมบัติของเราหรืออย่างไร ชื่อว่าภัยก็ดี. 
อธิบายว่า จิตสะดุ้ง.
               กายสั่นเทา (ก็ดี) กายสะทกสะท้าน (ก็ดี) เนื้อหัวใจป่วนปั่น (ก็ดี) ของบุคคลผู้ถูกพระราชาหรือโจรลงกรรมกรณ์ ด้วยสั่งบังคับว่า เองจงให้
ทรัพย์ดังนี้ ชื่อว่าฉัมภิตัตตะ (ความหวาดเสียว). ขนชูชัน คือมีปลายงอนขึ้นข้างบน ในเมื่อมีภัยเกิดขึ้น ชื่อว่าโลมหังสะ (ขนพองสยองเกล้า). 
การรักษาอย่างกวดขัน ทั้งภายในและภายนอก ทั้งกลางคืนและกลางวัน ชื่อว่าอารักขา (การเฝ้ารักษา).
               [บิดาสั่งภรรยาเก่าให้ประเล้าประโลมพระสุทินน์สึก]               
               สองบทว่า เตนหิ วธุ ความว่า เศรษฐีคฤหบดี ครั้นแสดงทรัพย์แล้ว ก็ไม่สามารถจะประเล้าประโลมบุตรชาย เพื่อให้สึกด้วยตนเองได้ จึงสำคัญว่า
 บัดนี้ เครื่องผูกพวกผู้ชายเช่นกับมาตุคามเป็นไม่มี จึงได้เรียกปุราณทุติยิกาภรรยา ของพระสุทินน์นั้นมาสั่งว่า เตนหิ วธุ เป็นต้น.
               บทว่า ปุราณทุติยิกํ ได้แก่ หญิงคนที่สองซึ่งเป็นคนดั้งเดิม คือหญิงคนที่สองในกาลก่อน คือในคราวที่ยังเป็นคฤหัสถ์. อธิบายว่า ได้แก่
ภรรยาผู้เคยเป็นหญิงผู้ร่วมในการเสพสุขที่อาศัยเรือนมาแล้ว.
  บทว่า เตนหิ ความว่า เพราะเหตุที่ไม่มีเครื่องผูก (อย่างอื่น) เช่นกับมาตุคาม.
               สองบทว่า ปาเทสุ คเหตฺวา ความว่า ภรรยาเก่าได้จับเท้าทั้งสอง (ของท่านสุทินน์). บทว่า ปาเทสุ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถทุติยาวิภัตติ. 
อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ภรรยาเก่าได้จับพระสุทินน์นั้นที่เท้าทั้งสอง.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ภรรยาเก่าจึงได้กล่าวกะพระสุทินน์ 
อย่างนี้ว่า ข้าแต่ลูกนาย นางเทพอัปสร (ผู้เป็นเหตุให้ท่านประพฤติพรหมจรรย์) เหล่านั้น ชื่อเช่นไร?๑-
               แก้ว่า เพราะได้ยินว่า ในกาลครั้งนั้น หมู่ชนผู้ไม่รู้จักคุณแห่งบรรพชา ครั้นเห็นขัตติยกุมารบ้าง พราหมณกุมารบ้าง เศรษฐีบุตรบ้าง
 มากมาย ซึ่งพากันละมหาสมบัติแล้วออกบวช จึงสนทนากันขึ้นว่า เพราะเหตุไร ขัตติยกุมารเป็นต้นเหล่านั้นจึงออกบวช.
               คราวนั้น ชนเหล่าอื่นก็พูดกันว่า ขัตติยกุมารเป็นต้นเหล่านั้นออกบวช เพราะเหตุแห่งนางเทพอัปสรทั้งหลายผู้เป็นเทพนาฏกา.
               ถ้อยคำนั้นเป็นอันชนเหล่านั้นได้ให้แผ่กระจายไปแล้ว.
      ภรรยาเก่าของท่านสุทินน์นี้ได้ถือเอาถ้อยคำนั้น จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
               พระเถระ เมื่อจะคัดค้านถ้อยคำของภรรยาเก่านั้น จึงได้กล่าวว่า น โข อหํ ภคินิ เป็นต้น แปลว่า น้องหญิง
 ฉันไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะเหตุแห่งนางเทพอัปสรเลย.๑-
               บทว่า สมุทาจรติ ความว่า ย่อมเรียก คือย่อมกล่าว.
               หลายบทว่า ตตฺเถว มุจฺฉิตา ปปตา ความว่า ภรรยาเก่าเห็นท่านสุทินน์นั้นเรียกตนด้วยวาทะน้องหญิง จึงคิดอยู่ในใจว่า บัดนี้ ท่านสุทินน์นี้
ไม่ต้องการเรา, ได้สำคัญเราผู้เป็นภรรยาจริงๆ เหมือนเด็กหญิงผู้นอนอยู่ในท้องมารดาเดียวกันกับตน ก็เกิดความโศกเป็นกำลัง 
แล้วสลบล้มลงฟุบอยู่ในที่ตรงนั้นนั่นเอง.
               หลายบทว่า มา โน วิเห€ยิตฺถ ความว่า ท่านสุทินน์กล่าวกะโยมบิดาว่า คุณโยม อย่าชี้บอกทรัพย์และส่งมาตุคามมาเบียดเบียนรูปเลย, 
จริงอยู่ วาจานั่นทำความลำบากให้แก่พวกบรรพชิต.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๖/หน้า ๓๐.
             [มารดาขอร้องให้พระสุทินน์เพาะพืชพันธุ์ไว้]               
               มารดาของท่านสุทินน์ ได้เชื้อเชิญท่านสุทินน์ไว้ในความอภิรมย์ด้วย.
 ความว่า ถ้าเช่นนั้น ดังนี้ ที่มีอยู่ในบทนี้ว่า พ่อสุทินน์ ถ้าเช่นนั้น พ่อจงให้
พืชพันธุ์ไว้บ้าง คือมารดาได้พูดว่า ถ้าพ่อยังยินดีจะประพฤติพรหมจรรย์ไซร้,
 ขอพ่อจงประพฤติ นั่ง ปรินิพพานอยู่บนอากาศเถิด, แต่ว่า พ่อจงให้
บุตรชายคนหนึ่งผู้จะเป็นพืชพันธุ์สำหรับดำรงสกุลของเราไว้.
               หลายบทว่า มา โน อปุตฺตกํ สาปเตยฺยํ ลิจฺาฉวโยอติหราเปสุํ 
ความว่า มารดาของท่านสุทินน์พูดว่า เพราะเหตุที่พวกเราอยู่ในรัชสมัย
แห่งเจ้าลิจฉวีผู้เป็นคณราชย์, โดยกาลล่วงลับไปแห่งบิดาของพ่อ เจ้าลิจฉวี
เหล่านั้นจะสั่งให้ริบทรัพย์มฤดกนี้ คือทรัพย์สมบัติของพวกเรา ซึ่งมีมากมาย
อย่างนี้ อันหาบุตรมิได้ คือที่เว้นจากบุตร ผู้จะรักษาทรัพย์ของตระกูลไว้ 
นำไปสู่ภายในพระราชวังของพระองค์เสีย, ฉะนั้น เจ้าลิจฉวีเหล่านั้น
อย่าได้สั่งให้ริบคือจงอย่าสั่งให้ริบทรัพย์สมบัตินั้นไปเลย.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ท่านสุทินน์จึงได้กล่าวอย่างนี้ว่า คุณโยมแม่ เฉพาะเรื่องนี้แล รูปอาจทำได้?
               แก้ว่า ได้ยินว่า ท่านสุทินน์นั้นคิดว่า เราเท่านั้นจักเป็นเจ้าของทรัพย์มฤดกของมารดาเป็นต้นเหล่านั้น คนอื่นย่อมไม่มี, มารดาเป็นต้นแม้เหล่านั้น
ก็จักตามผูกพันเราเป็นนิตย์ เพื่อต้องการให้รักษาทรัพย์มฤดก, เพราะเหตุนั้น เราจักไม่ได้เพื่อเป็นผู้มีความขวนขวายน้อย บำเพ็ญสมณธรรม, 
ส่วนท่านเหล่านี้ ครั้นได้บุตรชายแล้วก็จักงดเว้น (การตามผูกพันเรา), ต่อแต่นั้น เราก็จักได้บำเพ็ญสมณธรรมตามสบาย, เมื่อ 
(ท่าน) เล็งเห็นนัยนี้อยู่ จึงได้กล่าวอย่างนั้น.
               [สตรีมีระดูหยุดก็ตั้งครรภ์] 
               คำว่า ปุปฺผํ นี้เป็นชื่อแห่งโลหิตที่เกิดขึ้นในเวลาที่มาตุคามมีระดู.
               จริงอยู่ ในเวลาที่มาตุคามมีระดู ต่อมมีสีแดงตั้งขึ้นในสถานที่ๆ 
ตั้งครรภ์ (ในมดลูก) แล้วเจริญขึ้นถึง ๗ วันก็สลายไป. โลหิตก็ไหลออกจากต่อม
เลือดที่สลายไปแล้วนั้น. คำว่า ปุปฺผํ นั่นเป็นชื่อแห่งโลหิตนั้น.
               อนึ่ง โลหิตนั้นเป็นของมีกำลัง ยังไหลออกอยู่มากเพียงใด, 
ปฏิสนธิ (ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์) แม้ที่บิดาให้ไว้แล้ว ก็ตั้งอยู่ไม่ได้เพียงนั้น
, คือย่อมไหลออกพร้อมกับโทษ (มลทินแห่งโลหิต) นั่นเอง, ก็เมื่อโทษ (มลทิน
แห่งโลหิต) ไหลออกแล้ว ปฏิสนธิ (ของสัตว์ผู้เกิดในครรภ์) ที่บิดาให้ไว้แล้วในวัตถุ (รังไข่) ที่บริสุทธิ์ ก็ตั้งขึ้นได้โดยเร็วพลัน.
               สองบทว่า ปุปฺผํสา อุปฺปชฺชติ ความว่า ต่อมเลือดเกิดขึ้นแก่ภรรยาเก่าของท่านสุทินน์นั้นแล้ว.
               พึงทราบการลบบทสังโยค พร้อมกับการลบ อ อักษร๑- เสีย.
               หลายบทว่า ปุราณทุติยิกาย พาหายํ คเหตฺวา ความว่า ท่านพระสุทินน์จับภรรยาเก่านั้นที่แขนทั้งสองนั้น.
               สองบทว่า อปฺปญฺญตฺเต สิกฺขาปเท ความว่า เพราะปฐมปาราชิกสิกขาบทยังมิได้ทรงตั้งไว้.
๑- บทว่า ปุปผํสา นี้ ตัดบทเป็น ปุปฺผํ อสสา ลบ อ อักษรตัวต้น
๑- และลบ สฺ ที่เป็นตัวสะกดเสีย จึงสนธิกันเข้าเป็น ปุปฺผํสา.

02 สิงหาคม 2567

ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสุทินน์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

 ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
       search-google  
ว่าด้วยเมถุนธรรม
    [๑๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ณ สถานที่ไม่ห่างจากพระนครเวสาลี มีบ้านตำบลหนึ่ง ชื่อ กลันทะ ในบ้านนั้นมีบุตรชาวบ้านกลันทะผู้หนึ่ง ชื่อ สุทินน์ เป็นเศรษฐีบุตร
       ครั้งนั้น สุทินน์ กลันทบุตรได้เดินธุระบางอย่างในพระนครเวสาลีกับสหายหลายคน ขณะนั้นแล พระผู้มีพระภาค อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้วประทับนั่ง แสดงธรรมอยู่ สุทินน์ กลันทบุตรได้แลเห็นพระผู้มีพระภาค
 อันบริษัทหมู่ใหญ่แวดล้อมประทับนั่งแสดงธรรมอยู่ เพราะได้เห็น ความตรึกนี้ ได้มีแก่เขาว่า ไฉนหนอเราจะพึงได้ฟังธรรมบ้าง แล้วเขาก็เดินผ่านเข้าไปทางบริษัทนั้น ครั้นถึงแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ความรำพึงนี้ได้มีแก่เขา
ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งฉะนี้ว่า ด้วยวิธีอย่างไรๆ เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยัง
ครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว 
ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและ
หนวดครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตครั้นบริษัทนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดง ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ลุกจากที่นั่ง ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว
 หลังจากบริษัท ลุกไปแล้วไม่นานนัก เขาได้เดินเข้าไปใกล้ที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
             สุทินน์กลันทบุตรนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นแล ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ด้วยวิธีอย่างไรๆ ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว 
     ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะ
ปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
             พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรสุทินน์ ก็มารดาบิดาอนุญาตให้เธอออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้วหรือ?
             สุทินน์กลันทบุตรกราบทูลว่า ยังไม่ได้อนุญาต พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรสุทินน์ พระตถาคตทั้งหลายย่อมไม่บวชบุตรที่มารดาบิดายังมิได้อนุญาต.
สุ. ข้าพระพุทธเจ้าจักกระทำโดยวิธีที่มารดาบิดาจักอนุญาตให้ข้าพระพุทธเจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต พระพุทธเจ้าข้า.ขออนุญาตออกบวช
   [๑๑]หลังจากนั้นแลสุทินน์กลันทบุตรเสร็จการเดินธุระที่ในพระนครเวสาลีนั้นแล้วกลับสู่กลันทคามเข้าหามารดาบิดา แล้วได้กล่าวคำนี้กะมารดาบิดาว่า ข้าแต่มารดาบิดา 
   ด้วยวิธีอย่างไรๆ ลูกจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรง
แสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ลูกปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิตขอมารดาบิดาจงอนุญาตให้ลูกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. เมื่อสุทินน์กลันทบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว มารดาบิดาของเขาได้กล่าวคำนี้กะเขา
ว่า ลูกสุทินน์เจ้าเท่านั้นเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมมาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉนเรา
จักอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า. 
 แม้ครั้งที่สอง
สุทินน์กลันทบุตรก็ได้กล่าวคำนี้กะมารดาบิดาว่า ข้าแต่มารดาบิดา ด้วยวิธีอย่างไรๆ ลูกจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
 อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้วทำไม่ได้ง่าย ลูกปรารถนาจะ
ปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตขอมารดาบิดาจงอนุญาตให้ลูกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. 
 แม้ครั้งที่สอง
มารดาบิดาของเขาก็ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ลูกสุทินน์ เจ้า
เท่านั้นเป็นบุตร คนเดียว เป็นที่รักเป็นที่พอใจของเรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมมาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สัก
น้อย แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉน เราจักอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า. 
 แม้ครั้งที่สาม
สุทินน์กลันทบุตรก็ได้กล่าวคำนี้กะมารดาบิดาว่า ข้าแต่
มารดาบิดา ด้วยวิธีอย่างไรๆ ลูกจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ ให้บริบูรณ์โดย
ส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้วทำไม่ได้ง่าย ลูกปรารถนาจะปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตขอ
มารดาบิดาจงอนุญาตให้ลูกออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. 
 แม้ครั้งที่สาม
มารดาบิดาของเขาก็ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ลูกสุทินน์ เจ้าเท่านั้นเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบ ประหงมมาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะจากเหตุไฉน เราจักอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิต
อยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า. ทันใดนั้นแล สุทินน์กลันทบุตรแน่ใจว่า มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เราออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต จึงนอนลงบนพื้นอันปราศจากเครื่องลาด ณ สถานที่นั้นเอง ด้วยตัดสินใจว่า การ ตาย หรือ
      การบวชจักมีแก่เราในสถานที่นี้แหละ และแล้วเขาไม่บริโภคอาหารแม้หนึ่งมื้อ
 ไม่บริโภคอาหารแม้สองมื้อ ไม่บริโภคอาหารแม้สามมื้อ ไม่บริโภคอาหารแม้สี่มื้อ ไม่บริโภคอาหารแม้ห้ามื้อ ไม่บริโภคอาหารแม้หกมื้อ ไม่บริโภคอาหารแม้เจ็ดมื้อ.
 มารดาบิดาไม่อนุญาต
 [๑๒] จะอย่างไรก็ตาม มารดาบิดาของเขาได้กล่าวคำนี้ว่า ลูกสุทินน์ เจ้าเท่านั้นเป็น บุตรคนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของ
เรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนม ประคบประหงมมาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะ จาก เหตุ
ไฉน เราจักอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า จงลุกขึ้น เถิด ลูกสุทินน์ จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จงสมัครใจกิน ดื่ม รื่นเริง
 บริโภคกาม ทำบุญ อยู่เถิด เราไม่อนุญาตให้เจ้า
ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. 
 เมื่อมารดาบิดากล่าวอย่างนี้แล้ว สุทินน์กลันทบุตรได้นิ่ง. 
 แม้ครั้งที่สอง มารดา   บิดา. ของเขาก็ได้กล่าวคำนี้กะเขา   ว่า.  ลูกสุทินน์ เจ้าเท่านั้นเป็นบุตร คนเดียว เป็น
ที่รักเป็นที่พอใจของเรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงม มาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉน เราจักอนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจาก
เรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า จงลุกขึ้นเถิดลูกสุทินน์ จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จงสมัครใจกิน ดื่ม รื่นเริง บริโภคกาม ทำบุญอยู่เถิด เราไม่อนุญาต ให้เจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต แม้ครั้งที่สอง สุทินน์กลันทบุตรก็ได้นิ่ง. 
แม้ครั้งที่สาม
มารดาบิดาของเขาก็ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ลูกสุทินน์ เจ้า
เท่านั้นเป็นบุตร คนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของเรา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบ ประหงมมาด้วยความสุข เจ้าไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย
แม้เจ้าจะตายเราก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉน เราจัก
อนุญาตให้เจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า จงลุกขึ้นเถิด ลูกสุทินน์ จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จงสมัครใจกิน ดื่มรื่นเริง บริโภคกาม ทำบุญอยู่เถิด เราไม่อนุญาตให้เจ้าออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. 
 แม้ครั้งที่สาม 
 สุทินน์กลันทบุตรก็ได้นิ่ง.
 พวกสหายช่วยเจรจา
 [๑๓] ยิ่งกว่านั้นพวกสหายของสุทินน์กลันทบุตร ก็ได้เข้าไปหาสุทินน์กลันทบุตร ครั้นถึงแล้ว
ได้กล่าวคำนี้ว่า สุทินน์เพื่อนรัก เธอเท่านั้นเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่
 พอใจของมารดาบิดา บิดาเป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมมาด้วย ความสุข เธอไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เธอจะตาย
มารดาบิดาก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉน ท่านทั้งสองจักอนุญาตให้เธอผู้ยังมีชีวิตอยู่ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า ลุกขึ้นเถิดสุทินน์ เพื่อนรัก จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จงสมัครใจกิน ดื่ม รื่นเริง บริโภคกาม ทำบุญอยู่เถิด มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เธอออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต. 
 เมื่อขอกล่าวอย่างนี้แล้ว สุทินน์กลันทบุตรได้นิ่ง. แม้ครั้งที่สอง พวกสหายของสุทินน์กลันทบุตรก็ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า สุทินน์เพื่อนรัก เธอเท่านั้นเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รักเป็นที่พอใจของมารดาบิดา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมมาด้วยความสุข เธอไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เธอจะตาย มารดาบิดา ก็ไม่ปรารถนาจะจาก 
   เหตุไฉนท่านทั้งสองจักอนุญาตให้เธอผู้ยังมีชีวิตอยู่ ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า ลุกขึ้นเถิดสุทินน์
เพื่อนรัก จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จงสมัครใจกิน ดื่ม รื่นเริง บริโภคกาม ทำบุญอยู่เถิด มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เธอออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต.
 แม้ครั้งที่สอง
สุทินน์กลันทบุตรก็ได้นิ่ง. แม้ครั้งที่สาม พวกสหายของสุทินน์
กลันทบุตร ก็ได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า สุทินน์เพื่อนรัก เธอเท่านั้นเป็นบุตรคนเดียว เป็นที่รัก เป็นที่พอใจของมารดาบิดา เป็นผู้เจริญมาด้วยความสุข
 อันพี่เลี้ยงนางนมประคบประหงมมาด้วยความสุข เธอไม่รู้จักความทุกข์สักน้อย แม้เธอจะตาย มารดาบิดาก็ไม่ปรารถนาจะจาก เหตุไฉนท่านทั้งสอง
จักอนุญาตให้เธอผู้ยังมีชีวิตอยู่ ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิตได้เล่า ลุกขึ้นเถิดสุทินน์เพื่อนรัก จงกิน จงดื่ม และจงรื่นเริง จง สมัครใจกิน ดื่ม รื่นเริง
 บริโภคกาม ทำบุญอยู่เถิด มารดาบิดาไม่อนุญาตให้เธอออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต. แม้ครั้งที่สาม สุทินน์กลันทบุตรก็ได้นิ่ง. เมื่อไม่สำเร็จ พวก
สหายของสุทินน์กลันทบุตร จึงเข้าไปหามารดาบิดาของสุทินน์ กลันทบุตร ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ข้าแต่มารดาบิดา สุทินน์นั่นนอนลงบนพื้นอัน
ปราศจาก เครื่องลาด ด้วยตัดสินใจว่าการตายหรือการบวชจักมีแก่เรา ณ ที่นี้แหละ ถ้ามารดาบิดาไม่ อนุญาตให้สุทินน์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
 ความตายจักมาถึง ณ ที่นั้นเอง ถ้าอนุญาต ให้สุทินน์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตก็จักได้เห็นเขาแม้ผู้บวชแล้ว ถ้าสุทินน์จักไม่ยินดีใน การออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เขาจักมีทางดำเนินอื่นอะไรเล่า เขาจักกลับมา
 ณ ที่นี้แหละ ขอมารดาบิดาจงอนุญาตให้สุทินน์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด.
อนุญาตจ้ะ ให้ลูกสุทินน์ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต มารดาบิดากล่าวยินยอม. 
สุทินน์กลันทบุตรออกบวช
  [๑๔] ทันใดนั้น พวกสหายของสุทินน์กลันทบุตร เข้าไปหาสุทินน์กลันทบุตร แล้ว ได้บอกเขาว่า ลุกขึ้นเถิด สุทินน์เพื่อนรัก
 มารดาบิดาอนุญาตให้เธอออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิตแล้ว พอสุทินน์กลันทบุตรได้ทราบว่า มารดาบิดาอนุญาตให้ออกจากเรือนบวชเป็น บรรพชิต
แล้ว ก็ร่าเริงดีใจ ลุกขึ้นลูบเนื้อลูบตัวด้วยฝ่ามือ ครั้นเยียวยากำลังอยู่สองสามวันแล้ว จึงเข้าไปสู่พุทธสำนัก ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่งเฝ้า ณ ที่ควร
ส่วนข้างหนึ่ง เขานั่งเฝ้าอยู่ อย่างนั้นแล ได้กราบทูลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระพุทธเจ้าอันมารดาบิดาอนุญาตให้ออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตแล้ว
 พระพุทธเจ้าข้า ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิดพระพุทธเจ้า
ข้า. สุทินน์กลันทบุตรได้รับบรรพชาอุปสมบทในพุทธสำนักดังนี้ ก็แลเห็น
ท่านพระสุทินน์ อุปสมบทแล้วไม่นาน ประพฤติสมาทานธุดงคคุณเห็นปานนี้
 คือ เป็นผู้ถืออรัญญิกธุดงค์ ปิณฑปาติกธุดงค์ ปังสุกูลิกธุดงค์ สปทานจาริก
ธุดงค์ พำนักอยู่ใกล้หมู่บ้านชาววัชชีตำบลหนึ่ง. 
 พระสุทินน์เยี่ยมสกุล
 [๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล วัชชีชนบทอัตคัดอาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มี กระดูกคนตายขาวเกลื่อน ต้องมีสลากซื้อ
อาหาร ภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือ บาตรแสวงหาก็ทำไม่ได้ง่าย ครั้งนั้น ท่านพระสุทินน์ได้มีความคิดเห็นว่า เวลานี้วัชชีชนบทอัตคัด
อาหาร ประชาชนหาเลี้ยงชีพฝืดเคือง มีกระดูกคนตายขาวเกลื่อนต้องมีสลากซื้ออาหารภิกษุสงฆ์จะยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยการถือบาตรแสวงหาก็ทำ
ไม่ได้ง่าย ก็แลญาติของเราในพระนคร เวสาลีมีมาก ล้วนเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องอุปกรณ์ ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าว
เปลือกเป็นทรัพยากรมาก ไฉนหนอ เราพึงเข้าไปพำนักอยู่ใกล้หมู่ญาติ แม้หมู่
ญาติก็จักได้อาศัยเราให้ทานทำบุญ และภิกษุทั้งหลายก็จักได้ลาภ ทั้งเราก็
จักไม่ลำบากด้วย บิณฑบาต ดังนั้น ท่านพระสุทินน์จึงเก็บงำเสนาสนะ ถือ
บาตรจีวรหลีกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่ พระนครเวสาลี 
เที่ยวจาริกไปโดยลำดับถึงพระนคร
เวสาลีแล้ว ทราบว่า เธอพำนักอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน
 เขตพระนครเวสาลีนั้น. บรรดาญาติของท่านพระสุทินน์ ได้ทราบข่าวว่า
 พระสุทินน์กลันทบุตรกลับมาสู่พระนคร เวสาลีแล้ว จึงนำภัตตาหารมี
ประมาณ ๖๐ หม้อไปถวายท่านพระสุทินน์ๆ สละภัตตาหารประมาณ ๖๐
 หม้อนั้นถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วเช้าวันนั้นครองอันตรวาสกถือบาตรจีวร
เข้าไปบิณฑบาต ยังกลันทคาม เที่ยวบิณฑบาตไปตามลำดับตรอกใน
กลันทคาม ใกล้จะถึงเรือนบิดาของตน ก็พอดีทาสีของญาติท่านพระสุทินน์
 กำลังมีความมุ่งหมายจะเทขนมสดที่ค้างคืน จึงท่านพระสุทินน์ ได้กล่าวคำนี้
กะนางว่า น้องหญิง ถ้าของนั้นมีอันจะต้องทิ้งเป็นธรรมดา ขอท่านจงเกลี่ยลง
ใน บาตรของเรานี้เถิด ขณะที่นางกำลังเกลี่ยขนมสดที่ค้างคืนนั้นลงในบาตร
 นางจำเค้ามือ เท้าและ เสียงของพระสุทินน์ได้ จึงรีบเข้าไปหามารดาของท่าน
พระสุทินน์ ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้กะ มารดาของท่านว่า 
คุณนายเจ้าขา โปรดทราบ
 พระสุทินน์บุตรคุณนายกลับมาแล้วเจ้าค่ะ. แม่ทาสี ถ้าเจ้าพูดจริง เรา
จะปลดเจ้ามิให้เป็นทาสี มารดาท่านพระสุทินน์กล่าว. ขณะที่ท่านพระสุทิน
น์กำลังอาศัยพะไลเรือนแห่งหนึ่งฉันขนมสดที่ค้างคืนนั้น พอดีบิดา ของท่าน
พระสุทินน์เดินกลับมาจากที่ทำงาน ได้แลเห็นท่านพระสุทินน์กำลังอาศัยพะไล
เรือน แห่งหนึ่งฉันขนมสดที่ค้างคืนนั้นอยู่ จึงเดินเข้าไปหาท่านพระสุทินน์
 ครั้นถึงแล้วได้กล่าวคำนี้ กะท่านว่า มีอยู่หรือ พ่อสุทินน์ นี่พ่อจักฉันขนมสด
ที่ค้างคืน พ่อสุทินน์ พ่อควรไปเรือน ของตนมิใช่หรือ. คุณโยม รูปได้ไปสู่
เรือนของคุณโยมแล้ว ขนมสดที่ค้างคืนนี้ รูปได้มาแต่เรือนของ คุณโยม พระ
สุทินน์ตอบ. ทันใดนั้น บิดาของท่านพระสุทินน์จับแขนท่าน แล้วได้กล่าว
คำนี้กะท่านว่า มาเถิด พ่อสุทินน์ เราจักไปเรือนกัน. 
 ลำดับนั้น ท่านพระสุทินน์ได้เดินตามเข้าไปสู่เรือนบิดาของตน ครั้นถึงแล้วนั่งบน อาสนะที่เขาจัดถวาย จึงบิดาของท่านได้กล่าวคำนี้กะท่านว่า จงฉันเถิดพ่อ
สุทินน์. อย่าเลยคุณโยม ภัตกิจในวันนี้ รูปทำเสร็จแล้ว พระสุทินน์กล่าวตอบ. บิดาอาราธนาว่า พ่อสุทินน์ ขอพ่อจงรับนิมนต์ฉันภัตตาหารในวันพรุ่งนี้เถิด.
    ท่านพระสุทินน์รับนิมนต์โดยดุษณีภาพ และแล้วลุกจากอาสนะหลีกไป. 
บิดาวิงวอนให้สึก 
 [๑๖] ครั้งนั้นแล มารดาของท่านพระสุทินน์สั่งให้ไล้ทาพื้น
แผ่นดินด้วยโคมัยสด ให้ จัดทำกองทรัพย์ไว้สองกอง คือเงินกอง ๑ 
ทองกอง ๑ เป็นกองใหญ่ กระทั่งบุรุษยืนอยู่ข้างนี้ ไม่แลเห็นบุรุษยืนอยู่
ข้างโน้น บุรุษยืนอยู่ข้างโน้นก็ไม่แลเห็นบุรุษยืนอยู่ข้างนี้ ให้ปิดกองทรัพย์
 เหล่านั้นด้วยลำแพน ให้จัดอาสนะไว้ในท่ามกลาง 
ให้แวดวงด้วยม่าน เสร็จโดยล่วงราตรีนั้น 
 แล้วเรียกปุราณทุติยิกาของท่านพระสุทินน์มาสั่งว่า ลูกหญิง
 เพราะลูกสุทินน์จะมา เจ้าจง แต่งกายด้วยเครื่องประดับ อันจะเป็นเหตุให้ลูก
สุทินน์เกิดความรักใคร่พอใจ. อย่างนั้นเจ้าข้า นางรับคำมารดาของท่านพระ
สุทินน์. ณ เวลาเช้าวันนั้นแล ท่านพระสุทินน์ครองอันตรวาสก ถือบาตรจีวร
เข้าไปสู่เรือน บิดาของตน แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. ลำดับนั้นแล บิดา
ของท่านพระสุทินน์เข้าไปหาท่านพระสุทินน์ ครั้นแล้วให้คนเปิด กองทรัพย์
เหล่านั้นออก ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์ว่า พ่อสุทินน์ นี้ทรัพย์ของมารดา
พ่อ ซึ่งเป็นสินเดิมฝ่ายหญิงที่ได้มาทางฝ่ายมารดา ส่วนของบิดาต่างหาก ส่วน
ของปู่ต่างหาก พ่อ สุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติ
และบำเพ็ญบุญ มาเถิด พ่อสุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภค
สมบัติและบำเพ็ญบุญเถิด. คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ รูปยังยินดีประพฤติ
พรหมจรรย์อยู่ พระสุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สอง บิดาของท่านพระสุทินน์ก็ได้
กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์ว่า พ่อสุทินน์ 
 นี้ทรัพย์ของมารดาพ่อ ซึ่งเป็นสินเดิม
ฝ่ายหญิงที่ได้มาทางฝ่ายมารดา ส่วนของบิดาต่างหาก ส่วน ของปู่ต่างหาก
 พ่อสุทินน์ พ่อควรกลับมาเป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญ
 มาเถิด พ่อสุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญ
บุญเถิด. คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ รูปยัง
ยินดีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ พระ
สุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สาม บิดาของพระสุทินน์ก็ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์
ว่า พ่อสุทินน์ นี้ ทรัพย์ของมารดาพ่อ ซึ่งเป็นสินเดิมฝ่ายหญิงที่ได้มาทางฝ่าย
มารดา ส่วนของบิดาต่างหาก ส่วน ของปู่ต่างหาก พ่อสุทินน์ พ่อควรกลับมา
เป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติ และบำเพ็ญบุญ มาเถิด พ่อสุทินน์ 
พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญเถิด. ท่านพระ
สุทินน์ตอบว่า คุณโยม รูปขอพูดกะคุณโยมบ้าง ถ้าคุณโยมไม่ตัดรอน. 
บ. พูดเถิด พ่อสุทินน์. 
สุ. คุณโยม ถ้าเช่นนั้น คุณโยมจงสั่งให้เขาทำกระสอบป่านใหญ่ๆ บรรจุเงินและทอง ให้เต็มบรรทุกเกวียนไป แล้วให้จมลงในกระแสน้ำท่ามกลางแม่น้ำ
คงคา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะความกลัวก็ดี ความหวาดเสียวก็ดี ความขนพองสยองเกล้าก็ดี การเฝ้ารักษาก็ดี อันมี ทรัพย์นั้นเป็นเหตุ ที่จักเกิดแก่คุณ
โยมนั้น จักไม่มีแก่คุณโยมเลย. เมื่อท่านพระสุทินน์กล่าวอย่างนี้แล้ว บิดาของท่านได้มีความไม่พอใจว่า ไฉนลูกสุทินน์ จึงได้พูดอย่างนี้ และแล้วได้เรียก
ปุราณทุติยิกาของท่านพระสุทินน์มาบอกว่า ลูกหญิง เพราะเจ้า เป็นที่รัก เป็นที่พอใจ บางทีลูกสุทินน์จะพึงทำตามคำของเจ้าบ้าง. ทันใดนั้น นางได้จับเท้า
ท่านพระสุทินน์ถามว่า ข้าแต่ลูกนาย นางอัปสร ผู้เป็นเหตุให้ ท่านประพฤติพรหมจรรย์นั้น ชื่อเช่นไร? น้องหญิง ฉันไม่ได้ประพฤติพรหมจรรย์ เพราะ
เหตุแห่งนางอัปสรเลย พระสุทินน์ ตอบ. บัดดล นางน้อยใจว่า สุทินน์ลูกนาย เรียกเราด้วยถ้อยคำว่า น้องหญิง ในวันนี้ เป็นครั้งแรก แล้วสลบล้มลงในที่นั้น
เอง. ท่านพระสุทินน์ได้กล่าวคำนี้กะบิดาว่า คุณโยม ถ้าโภชนะที่จะพึงให้มีอยู่
 ก็จงให้เถิด อย่ารบกวนรูปเลย. ฉันเถิด พ่อสุทินน์ มารดาบิดาของท่านพระสุทินน์กล่าวดังนี้แล้ว ได้อังคาสท่าน พระสุ
ทินน์ด้วยขาทนียโภชนียาหารอันประณีตด้วยมือของตน จนให้ห้ามภัตร
 และแล้วมารดาของ ท่านพระสุทินน์ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์ผู้ฉันเสร็จ
 ลดมือจากบาตรแล้วว่า พ่อสุทินน์ สกุลนี้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทอง
และเงินมาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็นทรัพยากรมาก
 พ่อควรกลับมาเป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญ บุญ มา
เถิด พ่อสุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญ
บุญเถิด. คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ รูปยัง
ยินดีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ พระ
สุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สอง มารดาของท่านพระสุทินน์ก็ได้กล่าวคำนี้กะท่าน
พระสุทินน์ว่า พ่อสุทินน์ สกุลนี้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงิน
มาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็นทรัพยากรมาก พ่อควร
กลับมาเป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญ บุญ มาเถิด พ่อ
สุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็นคฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญเถิด.
 คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ รูปยังยินดีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ พระ
สุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สาม มารดาของท่านพระสุทินน์ก็ได้กล่าวคำนี้กะท่าน
พระสุทินน์ว่า พ่อสุทินน์ สกุลนี้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและมีเงิน
มาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็นทรัพยากรมาก พ่อสุทินน์ ดังนั้น พ่อจงให้พืชพันธุ์ไว้บ้าง พวกเจ้าลิจฉวีจะได้ 
 ไม่ริบทรัพย์สมบัติของเรา อันหาบุตรผู้สืบสกุลมิได้ไปเสีย.
สุ. คุณโยม เฉพาะเรื่องนี้รูปอาจทำได้. 
ม. พ่อสุทินน์ ก็เวลานี้พ่อพำนักอยู่ที่ไหน? ที่ป่ามหาวันจ้ะ ท่านพระสุทินน์ตอบ และแล้วได้ลุกจากอาสนะหลีกไป. เสพเมถุนธรรม 
 [๑๗] หลังจากนั้น มารดาของท่านพระสุทินน์สั่งกำชับปุราณทุติยิกาของท่านพระสุทินน์ ว่า ลูกหญิง ถ้ากระนั้นเมื่อใดเจ้ามีระดู ต่อมโลหิตเกิดมีแก่เจ้า เมื่อ
นั้นเจ้าพึงบอกแก่แม่. นางรับคำมารดาของท่านพระสุทินน์แล้ว ต่อมาไม่ช้านัก นางได้มีระดู ต่อมโลหิตได้ เกิดขึ้นแก่นาง นางจึงได้แจ้งแก่มารดาของท่าน
พระสุทินน์ว่า ดิฉันมีระดู เจ้าค่ะ ต่อมโลหิตเกิดขึ้น แก่ดิฉันแล้ว. มารดาของท่านพระสุทินน์กล่าวว่า ลูกหญิง ถ้ากระนั้น เจ้าจงแต่งตัวด้วยเครื่องประดับ
  อันจะเป็นเหตุให้ลูกสุทินน์เกิดความรักใคร่พอใจ. จ้ะ คุณแม่ นางรับคำ
มารดาของท่านพระสุทินน์แล้ว จึงมารดาพานาง
เข้าไปหาท่าน พระสุทินน์ที่ป่ามหาวัน
 แล้วรำพันว่าพ่อสุทินน์ สกุลนี้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทอง และเงิน
มาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็นทรัพยากรมาก พ่อควร
กลับมา เป็นคฤหัสถ์ จะได้ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญ มาเถิด พ่อ
สุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็น คฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญเถิด.
 คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ รูปยังยินดีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ พระ
สุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สอง มารดาของท่านพระสุทินน์ ก็ได้รำพันว่า พ่อสุทินน์ 
สกุลนี้มั่งคั่ง มี ทรัพย์มาก มีโภคะมาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่า
ปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็น ทรัพยากรมาก พ่อควรกลับมาเป็นคฤหัสถ์ จะได้
ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญ มาเถิด พ่อสุทินน์ พ่อจงกลับมาเป็น
คฤหัสถ์ ใช้สอยโภคสมบัติและบำเพ็ญบุญเถิด. คุณโยม รูปไม่อาจ ไม่สามารถ
 รูปยังยินดีประพฤติพรหมจรรย์อยู่ พระสุทินน์ตอบ. แม้ครั้งที่สาม มารดาของท่านพระสุทินน์ ก็ได้รำพันว่า พ่อสุทินน์ สกุลนี้มั่งคั่ง มี ทรัพย์มาก มีโภคะ
มาก มีทองและเงินมาก มีเครื่องอุปกรณ์ที่น่าปลื้มใจมาก มีข้าวเปลือกเป็น ทรัพยากรมาก พ่อสุทินน์ ดั่งนั้นพ่อจงให้พืชพันธุ์ไว้บ้าง พวกเจ้าลิจฉวีจะได้
ไม่ริบทรัพย์สมบัติ ของเรา อันหาบุตรผู้สืบสกุลมิได้ไปเสียเลย. 
 คุณโยม เฉพาะเรื่องนี้รูปอาจทำได้ ท่านพระสุทินน์
ตอบแล้วจูงแขนปุราณทุติยิกาพาเข้าป่า
 มหาวัน เป็นผู้มีความเห็นว่าไม่มีโทษ เพราะสิกขาบทยังมิได้ทรงบัญญัติ จึงเสพเมถุนธรรมกับ ปุราณทุติยิกา ๓ ครั้ง นางได้ตั้งครรภ์เพราะอัฌาจารนั้น.
เทพเจ้ากระจายเสียง
 [๑๘] เหล่าภุมเทพกระจายเสียงว่า ท่านผู้เจริญ โอ
 ภิกษุสงฆ์ ไม่มีเสนียดไม่มีโทษ พระสุทินน์กลันทบุตรก่อเสนียดขึ้นแล้ว ก่อ
โทษขึ้นแล้ว เทพชั้นจาตุมหาราช ได้สดับเสียง เหล่าภุมเทพแล้วกระจาย
เสียงต่อไป เทพชั้นดาวดึงส์ เทพชั้นยามา เทพชั้นดุสิต เทพชั้นปรนิมมิตวสวดี
 เทพที่นับเนื่องในหมู่พรหมได้สดับเสียงแล้วกระจายเสียงกัน ต่อๆ ไปว่า ท่านผู้
เจริญ โอ ภิกษุสงฆ์ ไม่มีเสนียด ไม่มีโทษ พระสุทินน์กลันทบุตรก่อ เสนียด
ขึ้นแล้ว ก่อโทษขึ้นแล้ว โดยทันใดนั้น ครู่หนึ่งนั้น เสียงได้กระจายขึ้นไปถึง
พรหมโลก ด้วยอาการอย่างนี้แล. สมัยต่อมา ปุราณทุติยิกาของท่านพระ
สุทินน์ อาศัยความแก่แห่งครรภ์นั้น คลอดบุตร แล้ว จึงพวกสหายของท่าน
พระสุทินน์ได้ตั้งชื่อทารกนั้นว่า พีชกะ ตั้งชื่อปุราณทุติยิกาของท่าน พระ
สุทินน์ว่า พีชกมาตา ตั้งชื่อท่านพระสุทินน์ว่า พีชกปิตา ภายหลังเขาทั้งสอง
ได้ออกจาก เรือนบวชเป็นบรรพชิต ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว. 
 พระสุทินน์เกิดวิปฏิสาร
[๑๙] ครั้งนั้น ความรำคาญ ความเดือดร้อน ได้เกิดแก่ท่านพระสุทินน์ว่า มิใช่ลาภ ของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่วแล้ว
หนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะเราบวชใน พระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ ให้ บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้
ตลอดชีวิต เพราะความรำคาญนั้นแหละ เพราะความเดือดร้อนนั้นแหละ ท่านได้ ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วย
เอ็น มีเรื่องในใจ มีใจหดหู่ มีทุกข์โทมนัส มีวิปฏิสาร ซบเซาแล้ว. จึงบรรดาภิกษุที่เป็นสหายของท่านพระสุทินน์ ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์ว่า อาวุโส
 สุทินน์ เมื่อก่อนคุณเป็นผู้มีผิวพรรณ มีอินทรีย์สมบูรณ์ มีสีหน้าสดใส มีฉวีวรรณผุดผ่อง มีน้ำมีนวล บัดนี้ ดูคุณซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณคล้ำ มี
ผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่ง ด้วยเอ็น มีเรื่องในใจ มีใจหดหู่ มีทุกข์โทมนัส มีวิปฏิสาร ซบเซาอยู่ คุณจะไม่ยินดีประพฤติ พรหมจรรย์กระมังหนอ? อาวุโส
ทั้งหลาย ความจริง มิใช่ว่าผมจะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ พระสุทินน์ค้าน แล้วแถลงความจริงว่า เพราะบาปกรรมที่ผมทำไว้มีอยู่ ผมได้เสพเมถุนธรรมใน
ปุราณทุติยิกา ผมจึงได้มีความรำคาญ ความเดือดร้อนว่า มิใช่ลาภของเราหนอ ลาภของเราไม่มีหนอ เราได้ชั่ว แล้วหนอ เราไม่ได้ดีแล้วหนอ เพราะเราบวชใน
พระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้ แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิต ดังนี้. อาวุโส สุทินน์ จริง การที่
คุณบวชในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีอย่างนี้ แล้ว ยังไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตนั้น พอที่คุณจะ
รำคาญ พอที่คุณจะเดือดร้อน. อาวุโส ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว
โดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อ
ความพราก ไม่ใช่เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่ เพื่อมีความถือ
มั่น มิใช่หรือ? เมื่อธรรมชื่อนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว เพื่อคลาย
  ความกำหนัด คุณยังจะคิดเพื่อมีความกำหนัด เมื่อทรงแสดงเพื่อความพราก
 คุณยังจักคิดเพื่อ ความประกอบ เมื่อทรงแสดงเพื่อความไม่ถือมั่น คุณยังจัก
คิดเพื่อมีความถือมั่น. อาวุโส ธรรมอันพระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วโดย
อเนกปริยาย มิใช่หรือ? อาวุโส การกระทำของคุณนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่
เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของคุณนั่น เป็นไปเพื่อ ความไม่เลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่
เลื่อมใส แล้ว. ภิกษุสหายเหล่านั้น ติเตียนท่านพระสุทินน์โดยอเนกปริยาย
ดังนี้แล้ว ได้กราบทูลเนื้อ ความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงประชุมสงฆ์บัญญัติสิกขาบท
 [๒๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นมูลเค้านั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระสุทินน์ว่า 
ดูกรสุทินน์
 ข่าวว่าเธอ เสพเมถุนธรรม ในปุราณทุติยิกา จริงหรือ? ท่านพระสุทินน์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
 ดูกรโมฆบุรุษ 
การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ 
ไม่ควรทำ เธอบวชในธรรมวินัยที่เรากล่าวไว้ดีอย่างนี้ แล้ว ไฉนจึง
ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้ตลอดชีวิตเล่า. 
 ดูกรโมฆบุรุษ 
ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อคลายความกำหนัด ไม่ใช่ เพื่อมี
ความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่
เพื่อความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่
เพื่อมี ความถือมั่นมิใช่หรือ? เมื่อธรรมชื่อนั้นอันเราแสดงแล้ว เพื่อคลาย
ความกำหนัด เธอยังจักคิด เพื่อมีความกำหนัด เราแสดงเพื่อความพราก เธอ
ยังจักคิดเพื่อความประกอบ เราแสดงเพื่อความ ไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อ
มีความถือมั่น. ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็น
ที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อ เป็นที่สร่างแห่งความเมา เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความ
ระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อ เป็นที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็น
ที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่สำรอกแห่งตัณหา เพื่อเป็นที่ดับ แห่งตัณหา เพื่อ
ออกไปจากตัณหาชื่อวานะ มิใช่หรือ? ดูกรโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้
ความหมายในกาม การกำจัดความระหายในกาม การเพิกถอนความตรึก
อันเกี่ยวด้วยกาม การระงับความกลัดกลุ้มเพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดย
  อเนกปริยาย มิใช่หรือ? ดูกรโมฆบุรุษ องค์กำเนิด อันเธอสอดเข้าในปาก
อสรพิษที่มีพิษร้าย ยังดีกว่า อันองค์ กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของ
มาตุคามไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอสอดเข้าในปากงูเห่า ยังดีกว่า อันองค์
กำเนิดที่เธอสอดเข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย องค์กำเนิดอันเธอ
  สอดเข้าในหลุมถ่านที่ไฟติดลุกโชนยังดีกว่า อันองค์กำเนิดที่เธอสอดเข้า
ในองค์กำเนิดของมาตุคาม ไม่ดีเลย. ข้อที่เราว่าดีนั้น เพราะเหตุไร? เพราะ
บุคคลผู้สอดองค์กำเนิดเข้าในปากอสรพิษเป็นต้นนั้น พึงถึงความตาย หรือ
  ความทุกข์เพียงแค่ตาย ซึ่งมีการกระทำนั้นเป็นเหตุ และเพราะการกระทำนั้น
เป็นปัจจัย เบื้องหน้า แต่แตกกายตายไป ไม่พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต
 นรก ส่วนบุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิด เข้าในองค์กำเนิดของมาตุคาม
นั้น เบื้องหน้าแต่แตกกายตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ซึ่งมีการ
กระทำนี้เป็นเหตุ. ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อการกระทำนั้น มีโทษอยู่ เธอยังชื่อว่าได้
ต้องอสัทธรรม อันเป็น เรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ อันชั่ว
หยาบ มีน้ำเป็นที่สุด มีในที่ลับ เป็นของ คนคู่ อันคนคู่พึงร่วมกันเป็นไป เธอเป็น
คนแรกที่กระทำอกุศลธรรม เป็นหัวหน้าของคน
เป็น อันมาก การกระทำของเธอ
นั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ ความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไป
เพื่อความไม่ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่น
ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระสุทินน์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัส
โทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก
 ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความ
เป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความ
ขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความ
เพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม
แก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความ
สำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะ
อันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระ
สัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้: พระปฐมบัญญัติ ๑. ก็ภิกษุใดเสพเมถุน
ธรรม เป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้ ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้. 
 สุทินนภาณวาร จบ

หน้า ๑๕/๑๕.เวรัญชกัณฑ์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[อาจิณณะ ความเคยประพฤติมามี ๒ อย่าง]
      ก็ความเคยประพฤติมานั้นนั่นแล มี ๒ อย่าง คือ พุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) ๑ สาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก) ๑.
               พุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) เป็นไฉน?
               ข้อว่า พระตถาคตทั้งหลายยังมิได้บอกลา คือยังมิได้อำลาผู้ที่นิมนต์ให้อยู่จำพรรษาแล้ว จะไม่หลีกไปสู่ที่จาริกในชนบท ดังนี้ นี้เป็นพุทธา
จิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) ข้อหนึ่งก่อน.
ส่วนพระสาวกทั้งหลายจะบอกลาหรือไม่บอกลาก็ตามย่อมหลีกไปได้ตามสบาย.
               ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีก คือ :-
               พระพุทธเจ้าทั้งหลายเสด็จอยู่จำพรรษาปวารณาแล้ว ย่อมเสด็จไปสู่ที่จาริกในชนบททีเดียว เพื่อทรงสงเคราะห์ประชาชน.
               [พระพุทธเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปเฉพาะ ๓ มณฑล]               
               ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลาย เมื่อจะเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท ย่อมเสด็จเที่ยวไปในมณฑลใดมณฑลหนึ่งบรรดามณฑลทั้ง ๓ เหล่านี้ คือ :-
               มหามณฑล (มณฑลใหญ่) ๑ มัชฌิมมณฑล (มณฑลปานกลาง) ๑ อันติมมณฑล (มณฑลเล็ก) ๑.
               บรรดามณฑลทั้ง ๓ นั้น มหามณฑล ประมาณเก้าร้อยโยชน์ มัชฌิมมณฑล ประมาณหกร้อยโยชน์ อันติมมณฑล ประมาณสามร้อยโยชน์.
               ในกาลใด พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีพระประสงค์จะเสด็จเที่ยว
จาริกไปในมหามณฑล ในกาลนั้น ทรงปวารณาในวันมหาปวารณาแล้ว 
มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกในวันปาฏิบท เมื่อจะทรง
อนุเคราะห์มหาชนในบ้านและนิคมเป็นต้น ด้วยการทรงรับอามิส และเมื่อ
จะทรงเพิ่มพูนกุศล อันอาศัยวิวัฏฏคามินี แก่มหาชนนั้นด้วยธรรมทาน ทรง
ยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในชนบท ให้เสร็จสิ้นลงโดย ๙ เดือน.
               ก็ถ้าภายในพรรษา สมถะและวิปัสสนาของภิกษุทั้งหลาย ยังอ่อนอยู่.
               พระพุทธเจ้าทั้งหลายไม่ทรงปวารณาในวันมหาปวารณา ทรง
ประทานปวารณาสงเคราะห์ ไปปวารณาในวันเพ็ญเดือนกัตติกา (กลาง
เดือน ๑๒) เสร็จแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวาร เสด็จออกไปในวันต้น
แห่งเดือนมิคสิระ (เดือนอ้าย) แล้วยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในมัชฌิม
มณฑล ให้เสร็จสิ้นลงโดย ๘ เดือน ตามนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง.
               ก็ถ้าเวไนยสัตว์ทั้งหลายของพุทธเจ้าผู้เสด็จออกพรรษาแล้วเหล่านั้น ยังมีอินทรีย์ไม่แก่กล้า. พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ทรงรอคอยให้เวไนยสัตว์
เหล่านั้นมีอินทรีย์แก่กล้า เสด็จพักอยู่ในสถานที่นั้นนั่นเอง แม้ตลอดเดือนมิคสิระแล้ว มีภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่เป็นบริวารเสด็จออกไปในวันต้นแห่งเดือนปุสสะ
 (เดือนยี่) แล้ว ทรงยังการเสด็จเที่ยวจาริกไปในอันติมมณฑล ให้เสร็จสิ้นลงโดย ๗ เดือน ตามนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นเอง.
               อนึ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลาย แม้เมื่อเสด็จเที่ยวไปในบรรดามณฑลเหล่านั้นแห่งใดแห่งหนึ่ง ทรงปลดเปลื้องสัตว์เหล่านั้นๆ ให้พ้น
จากกิเลสทั้งหลาย ทรงประกอบสัตว์เหล่านั้นๆ ไว้ ด้วยอริยผลมีโสดาปัตติผลเป็นต้น เสด็จเที่ยวไปอยู่ด้วยอำนาจแห่งเวไนยสัตว์เท่านั้น ดุจทรง
เก็บดอกไม้เบญจพรรณนานาชนิดอยู่ฉะนั้น.
               ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีก คือ :-
               ในเวลาจวนรุ่งสว่างทุกๆ วัน การทำพระนิพพานอันเป็นสุขสงบให้เป็นอารมณ์ เสด็จเข้าผลสมาบัติออกจากผลสมาบัติแล้ว ทรงเข้าสมาบัติอัน
ประกอบด้วยพระมหากรุณา ภายหลังจากนั้นก็ทรงตรวจดูเวไนยสัตว์ผู้พอจะแนะนำให้ตรัสรู้ได้ในหมื่นจักรวาล.
               ยังมีพุทธาจิณณะแม้อื่นอีก คือ :- การทรงทำปฏิสันถารกับพวก
อาคันตุกะเสียก่อน ทรงแสดงธรรม ด้วยอำนาจเรื่องที่เกิดขึ้น ครั้นโทษเกิด
ขึ้น ทรงบัญญัติสิกขาบท นี้เป็นพุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติ
มาของพระพุทธเจ้า) ดังพรรณนามาฉะนี้แล.
               [สาวกาจิณณะ ความเคยประพฤติมาของพระสาวก]               
               สาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก) เป็นไฉน?
               คือในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า (ยังทรงพระชนม์อยู่) 
มีการประชุม (พระสาวก) ๒ ครั้ง คือ เวลาก่อนเข้าพรรษาและวัน
เข้าพรรษา เพื่อเรียนเอากรรมฐาน ๑ เพื่อบอกคุณที่ตนได้บรรลุแก่
ภิกษุผู้ออกพรรษามาแล้ว ๑ เพื่อเรียนเอากรรมฐานที่สูงๆ ขึ้นไป ๑ นี้เป็น
สาวกาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระสาวก).
               ส่วนในอธิการนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงถึง
พุทธาจิณณะ (ความเคยประพฤติมาของพระพุทธเจ้า) จึงตรัสพระ
ดำรัสเป็นต้นว่า อาจิณฺณํ โข ปเนตํ อานนฺท ตถาคตานํ ดังนี้.
               บทว่า อายาม แปลว่า เรามาไปกันเถิด.
               บทว่า อปโลเกสฺสาม แปลว่า เราจักบอกลา (เวรัญชพราหมณ์) เพื่อต้องการเที่ยวไปสู่ที่จาริก.
               ศัพท์ว่า เอวํ เป็นนิบาต ลงในอรรถว่า ยอมรับ.
               คำว่า ภนฺเต นั่น เป็นชื่อเรียกด้วยความเคารพ. จะพูดว่า ถวายคำทูลตอบแด่พระศาสดา ดังนี้บ้าง ก็ใช้ได้.
               สองบทว่า ภควโต ปจฺจสฺโสสิ ความว่า ท่านพระอานนท์ทูลรับฟัง คือตั้งหน้าฟัง ได้ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยดี.
               มีคำอธิบายว่า ทูลรับด้วยคำว่า เอวํ นี้.
               ในคำว่า อถโข ภควา นิวาเสตฺวา นี้ ท่านพระอุบาลีมิได้กล่าวไว้ว่า เป็นเวลาเช้าหรือเป็นเวลาเย็น. แม้เมื่อเป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงทำภัตรกิจเสร็จแล้ว ทรงยับยั้งอยู่ตลอดเวลาเที่ยงวัน ให้ท่าน
พระอานนท์เป็นปัจฉาสมณะ ทรงให้ถนนในพระนคร ตั้งต้นแต่
ประตูพระนครไป รุ่งเรืองไปด้วยพระพุทธรัศมีซึ่งมีช่อดุจสายทอง เสด็จเข้าไปโดยทางที่นิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์นั้นตั้งอยู่.
               ส่วนปริชนเห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้พอประทับยืนอยู่ที่ประตูเรือนของเวรัญชพราหมณ์เท่านั้น ก็ได้แจ้งข่าวแก่พราหมณ์.
               พราหมณ์หวนระลึกได้ แล้วก็เกิดความสังเวช จึงรีบลุกขึ้น
สั่งให้จัดปูอาสนะที่ควรแก่ค่ามาก ออกไปต้อนรับพระผู้มีพระภาคเจ้า กราบ
ทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงเสด็จเข้ามาทางนี้เถิด.
     พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จเข้าไปประทับนั่งบนอาสนะที่เขาจัดปูไว้แล้ว.
ลำดับนั้นแล เวรัญชพราหมณ์มีความประสงค์จะเข้าไปนั่งใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้เข้าไปเฝ้าโดยทางที่
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ จากที่ๆ ตนยืนอยู่.
               คำเบื้องหน้าแต่นี้ไป มีใจความกระจ่างแล้วทั้งนั้น.
               [เวรัญชพราหมณ์ทูลเรื่องที่มิได้ถวายทานตลอดไตรมาส]          
                    ก็ในคำที่พราหมณ์กราบทูลว่า อนึ่ง ไทยธรรมที่ควรจะถวายข้าพเจ้ามิได้ถวาย มีคำอธิบายดังต่อไปนี้ :-
     ข้าพเจ้ายังไม่ได้ถวายไทยธรรมที่ควรจะถวาย มีอาทิอย่างนี้คือ ทุกๆ วัน
 ตลอดไตรมาส เวลาเช้าควรถวายยาคูและของควรเคี้ยว เวลาเที่ยงควรถวายขาทนียะโภชนียะ เวลาเย็นควรถวายบูชาสักการะ ด้วยวัตถุมีน้ำ
ปานะที่ปรุงชนิดต่างๆ มากมาย ของหอมและดอกไม้เป็นต้น แก่พระองค์ผู้ซึ่งข้าพเจ้านิมนต์ให้อยู่จำพรรษาแล้ว.
               ก็ในคำว่า ตญฺจ โข โน อสนฺตํ นี้ พึงทราบว่าเป็นลิงควิปัลลาส. 
ก็ในคำนี้มีใจความดังนี้ว่า ก็แล ไทยธรรมนั้นไม่มีอยู่แก่ข้าพเจ้า
ก็หามิได้. อีกอย่างหนึ่ง พึงเห็นใจความในคำนี้อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าพึงถวายของใดๆ แก่พระองค์ ก็แล ของนั้นมิใช่จะไม่มี.
               คำว่า โน ปิ อทาตุกมฺยตา ความว่า แม้ความไม่อยากถวายของข้าพเจ้า เหมือนของเหล่าชนผู้มีความตระหนี่ซึ่งมีอุปกรณ์แก่ทรัพย์ 
เครื่องปลื้มใจมากมาย ไม่อยากถวายฉะนั้น ก็ไม่มี. ภายในไตรมาสนี้
 พระองค์จะพึงได้ไทยธรรมนั้นจากไหน เพราะฆราวาสมีกิจมาก มีกรณียะมาก.
               ในคำว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา พหุกิจฺจา ฆราวาสา นั้นมีการประกอบความดังต่อไปนี้ :-               พราหมณ์ เมื่อจะตำหนิการอยู่ครองเรือน จึงได้กราบ
ทูลว่า เพราะการอยู่ครองเรือนมีกิจมาก ฉะนั้น ภายในไตรมาสนี้ 
เมื่อไทยธรรม และความประสงค์จะถวายแม้มีอยู่ พระองค์พึงได้
ไทยธรรมที่ข้าพเจ้าจะพึงถวายแก่พระองค์แต่ที่ไหน คือพระองค์อาจได้ไทยธรรมนั้น จากที่ไหน.
               ได้ยินว่า เวรัญชพราหมณ์นั้นย่อมไม่รู้ความที่ตนถูกมารดลใจ 
จึงได้สำคัญว่า เราเกิดเป็นผู้มีสติหลงลืม เพราะกังวลอยู่ ด้วย
การครองเรือน. เพราะฉะนั้น พราหมณ์จึงได้กราบทูลอย่างนั้น.
อีกอย่างหนึ่ง ในคำว่า ตํ กุเตตฺถ ลพฺภา นี้ พึงทราบการประกอบความอย่างนี้ว่า
 ภายในไตรมาสนี้ ข้าพเจ้าจะพึงถวายไทยธรรมอันใดแด่พระองค์ ไทยธรรม
อันนั้น ข้าพเจ้าจะพึงได้จากไหน? เพราะว่า การอยู่ครองเรือนมีกิจมาก.
[เวรัญชพราหมณ์ทูลอาราธนาพระพุทธเจ้าเพื่อเสวยภัตตาหาร]
               ครั้งนั้น พราหมณ์ดำริว่า ไฉนหนอ ไทยธรรมอันใด เป็น
ของอันเราจะพึงถวายโดย ๓ เดือน เราควรถวายไทยธรรมอันนั้นทั้งหมด
 โดยวันเดียวเท่านั้นแล้ว จึงได้กราบทูลคำเป็นต้นว่า ขอพระโคดมผู้เจริญ
ทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพเจ้าเถิด ดังนี้.
 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สฺวาตนาย ความว่า เพื่อประโยชน์แก่บุญกุศล และปีติปราโมทย์ซึ่งจะมีในวันพรุ่งนี้ ในเมื่อข้าพเจ้าได้กระทำสักการะในพระองค์.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำอาราธนาของพราหมณ์]           
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ตถาคตทรงพระรำพึงว่า ถ้าเราจะไม่รับคำ
อาราธนาไซร้ พราหมณ์และชาวเมืองเวรัญชาจะพึงติเตียนอย่างนี้ว่า
 พระสมณะองค์นี้ไม่ได้อะไรๆ ตลอดไตรมาส ชะรอยจะพึงโกรธกระมัง?
 เพราะเหตุนั้น เราอ้อนวอนอยู่ ก็ไม่ทรงรับแม้ภัตตาหารครั้งหนึ่ง, ในพระ
สมณะองค์นี้ไม่มีอธิวาสนขันติ พระสมณะองค์นี้ไม่ใช่สัพพัญญู ก็จะ
พึงประสบสิ่งที่มิใช่บุญเป็นอันมาก, การประสบสิ่งที่มิใช่บุญนั้น อย่าได้มี
แก่ชนเหล่านั้นเลย ดังนี้แล้ว จึงทรงรับคำอาราธนา เพื่ออนุเคราะห์
แก่ชนเหล่านั้นโดยดุษณีภาพ.
               ก็ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงรับอาราธนาแล้ว ได้ทรงเตือนเวรัญชพราหมณ์ให้สำนึกตัวว่า ไม่ควรคิดถึงความกังวลด้วยการอยู่
ครอบครองเรือนเลย แล้วทรงชี้แจงให้เวรัญชพราหมณ์เห็นประโยชน์ปัจจุบันและประโยชน์ภายภาคหน้า ให้สมาทาน คือให้รับเอากุศลธรรม
 และให้เวรัญชพราหมณ์นั้นอาจหาญ คือทำให้มีความอุตสาหะในกุศลธรรมตามที่ตนสมาทานแล้วนั้น และทรงปลอบให้ร่าเริง ด้วยความเป็น
ผู้มีอุตสาหะนั้น และด้วยคุณธรรมที่มีอยู่อย่างอื่น ด้วยธรรมีกถาอันสมควรแก่ขณะนั้น ได้ทรงยังฝน คือพระธรรมรัตนะให้ตกลงแล้ว
 ก็เสด็จลุกจากอาสนะกลับไป.
               [เวรัญชพราหมณ์สั่งให้เตรียมภัตตาหารถวายพรุ่งนี้]             
                ก็แล เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จกลับไปแล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้เรียกบุตรและภรรยามาสั่งว่า แน่ะพนาย เราได้นิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้า (ให้
อยู่จำพรรษา) ตลอดไตรมาสแล้ว ในวันหนึ่งก็มิได้ถวายภัตตาหารสักก้อนเดียวเลย เอาเถิด บัดนี้ พวกท่านจงตระเตรียมทานให้เป็นเหมือนไทยธรรมแม้
ที่ควรถวายตลอดไตรมาส เป็นของอาจถวายในวันพรุ่งนี้
ได้ โดยวันเดียวเท่านั้น.
               ต่อจากนั้น เวรัญชพราหมณ์สั่งให้ตระเตรียมทานที่ประณีตตลอดวันที่ตนนิมนต์พระผู้มีพระภาคเจ้าไว้ โดยล่วงไปแห่งราตรีนั้น ก็ได้สั่งให้ประดับที่
ตั้งอาสนะ ให้ปูอาสนะทั้งหลายที่ควรค่ามากไว้ จัดแจงการบูชาอย่างใหญ่ อันวิจิตรด้วยของหอม ธูป เครื่องอบและดอกโกสุมเสร็จแล้ว จึงสั่งให้เจ้าพนักงาน
ไปกราบทูลเผดียงกาลแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. เพราะเหตุนั้น ท่านพระ
อุบาลีเถระจึงได้กล่าวว่า 
อถโขเวรญฺโช พฺราหฺมโณ ตสฺสา รตฺติยา อจฺจเยน ฯเปฯ นิฏฺฐิตํ ภตฺตํ.๑-
๑- วิ มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๙/หน้า ๑๘
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปยังนิเวศน์ของเวรัญชพราหมณ์]         
                     พระผู้มีพระภาคเจ้ามีภิกษุสงฆ์แวดล้อมแล้ว ได้เสด็จไป
ที่นิเวศน์ของพราหมณ์นั้น, เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวว่า อถโข ภควา ฯเปฯ นิสีทิ สทฺธึ ภิกฺขุสงฺเฆน.๑-
               บทว่า พุทฺธปฺปมุขํ ในคำว่า อถโขเวรญฺโช พฺราหฺมโณ 
พุทฺธปฺปมุขํ ภิกฺขุสงฺฆํ นี้ แปลว่า มีพระพุทธเจ้าเป็นปริณายก. มีคำอธิบายว่า ผู้นั่งให้พระพุทธเจ้าเป็นพระสังฆเถระ.
               บทว่า ปณีเตน แปลว่า อันดีเยี่ยม.
               บทว่า สหตฺถา แปลว่า ด้วยมือตนเอง.
               บทว่า สนฺตปฺเปตฺวา ความว่า ให้อิ่มหนำด้วยดี คือให้บริบูรณ์ 
ได้แก่ เกื้อกูลด้วยดีจนพอแก่ความต้องการ.
               บทว่า สมฺปวาเรตฺวา ความว่า ให้ทรงห้ามเสียด้วยดี คือให้ทรงคัดค้านด้วยหัตถสัญญา มุขสัญญาและวจีเภทว่า พอละ พอละ.
               บทว่า ภุตฺตาวึ แปลว่า ผู้เสวยเสร็จแล้ว.
               บทว่า โอนีตปตฺตปาณึ แปลว่า ทรงนำพระหัตถ์ออกจากบาตร.
               มีคำอธิบายว่า ทรงชักพระหัตถ์ออกแล้ว (ทรงล้างพระหัตถ์แล้ว).
๑- วิ มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๙/หน้า ๑๘
               [พราหมณ์ถวายไตรจีวรแก่พระผู้มีพระภาคเจ้าและพระภิกษุสงฆ์] 
               สองบทว่า ติจีวเรน อจฺฉาเทสิ ความว่า (พราหมณ์) ได้ถวาย
ไตรจีวรแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็คำว่า ติจีวเรน อจฺฉาเทสิ นี้
เป็นเพียงโวหารพจน์ ก็ในไตรจีวรนั้นผ้าสาฎกแต่ละผืน มีราคาผืนละพันหนึ่ง. พราหมณ์ได้ถวายไตรจีวรชั้นดีเยี่ยม เช่นกับผ้าแคว้นกาสี
 มีราคาถึงสามพันแด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วยประการฉะนี้.
               หลายบทว่า เอกเมกญฺจภิกฺขุํ เอกเมเกน ทุสฺสยุเคน 
             ความว่า พราหมณ์ได้ให้ภิกษุรูปหนึ่งๆ ครองด้วยผ้าคู่หนึ่งๆ. 
บรรดาผ้าเหล่านั้น ผ้าสาฎกผืนหนึ่งๆ มีราคาห้าร้อย. พราหมณ์ได้ถวายผ้ามีราคาห้าแสนแก่ภิกษุ ๕๐๐ รูป ด้วยประการฉะนี้.
               พราหมณ์ถวายแล้วถึงเท่านี้ยังไม่พอแก่ใจ ได้แบ่งผ้ากัมพลแดงและผ้าปัตตุณณะ และผ้าห่มมากมายมีราคาเจ็ดแปดพัน ถวายเพื่อประโยชน์แก่
บริขาร มีผ้ารัดเข่าผ้าสไบเฉียง ประคดเอวและผ้ากรองน้ำเป็นต้นอีก และได้ตวงน้ำมันยาซึ่งหุงตั้งร้อยครั้งพันครั้งให้เต็มทะนาน ถวายน้ำมันมีราคาพันหนึ่ง
 เพื่อประโยชน์แก่การทาแก่ภิกษุรูปหนึ่งๆ. จะมีประโยชน์อะไรด้วยการกล่าวมากในปัจจัยสี่. บริขารอะไรๆ ซึ่งเป็นเครื่องใช้ของสมณะ ชื่อว่าพราหมณ์มิได้
ถวายแล้วมิได้มี แต่ในพระบาลีกล่าวแต่เพียงจีวรเท่านั้น.
               ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงยังฝนคืออมตธรรมให้ตก ทำเวรัญชพราหมณ์ผู้เสื่อมสิ้นจากการบริโภครสแห่งอมตะ คือการฟังธรรม ด้วย
ถูกมารดลใจให้เคลิบเคลิ้มเสียสามเดือน ผู้ทำการบูชาใหญ่อย่างนั้นแล้ว พร้อมด้วยบุตรและภรรยาถวายบังคมแล้วนั่ง ให้เป็นผู้มีความดำริเต็มที่ โดย
วันเดียวเท่านั้น จึงยังพราหมณ์ให้เล็งเห็นสมาทานอาจหาญให้รื่นเริงด้วยธรรมีกถา แล้วเสด็จลุกจากอาสนะหลีกไป.
               ฝ่ายพราหมณ์ พร้อมทั้งบุตรและภรรยา ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์แล้วตามไปส่งเสด็จ พลางกล่าวคำมีอาทิอย่างนี้ว่า
 พระเจ้าข้า พระองค์พึงทำความอนุเคราะห์ แก่    ข้าพระองค์    ทั้งหลายแม้อีก แล้วปล่อยให้น้ำตาไหลกลับมา.
 [พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จจากเมืองเวรัญชาไปประทับที่เมืองไพศาลี]           
                   หลายบทว่า อถโข ภควาเวรญฺชายํ ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา มีความ
ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จอยู่ตามพระอัธยาศัย คือตามความพอพระทัยแล้ว
 ออกจากเมืองเวรัญชา มีพระประสงค์จะทรงละพุทธวิถีที่จะพึงเสด็จไป 
ในกาลเป็นที่เสด็จเที่ยวจาริกในมณฑลใหญ่ จะทรงพาภิกษุสงฆ์ผู้ลำบากด้วย
ทุพภิกขโทษ เสด็จไปโดยทางตรง จึงไม่ทรงแวะเมืองทั้งหลายมีเมือง
โสเรยยะเป็นต้น เสด็จไปยังเมืองปยาคประดิษฐาน ข้ามแม่น้ำคงคาที่เมืองนั้น
 แล้วเสด็จไปโดยทิศาภาคทางเมืองพาราณสี. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไป
โดยทิศาภาคนั้น เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ตทวสริ. พระองค์ประทับอยู่ตาม
พระอัธยาศัย แม้ในเมืองพาราณสีนั้นแล้ว ได้เสด็จไปยังเมืองไพศาลี.
 เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ไม่ทรงแวะเมือง
โสเรยยะ เมืองสังกัสสะ เมืองกัณณกุชชะ เสด็จไปทางเมืองปยาค
ประดิษฐานแล้ว        เสด็จ      ข้ามแม่น้ำคงคา ที่เมืองปยาคประดิษฐาน ไปโดยทิศาภาคทางเมืองพาราณสี.
               ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับแรมในเมืองพาราณสี
ตามพอพระทัย แล้วทรงหลีกจาริกไปทางเมืองไพศาลี เมื่อเสด็จจาริกไป
โดยลำดับ ได้ทรงแวะเมืองไพศาลี.
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน ใกล้เมืองไพศาลีนั้น.๑-
               จบ เวรัญชกัณฑวรรณนา ในอรรถกถาวินัย               
               ชื่อสมันตปาสาทิกา.             
 ในข้อที่อรรถกถาชื่อสมันตปาสาทิกา
 ในวินัยนั้น ชวนให้เกิดความเลื่อมใสโดย รอบด้าน มีคำอธิบายดังจะกล่าวต่อไปดังนี้ว่า
    เมื่อวิญญูชนทั้งหลายสอดส่องอยู่
 โดยลำดับแห่งอาจารย์ โดยการแสดงประเภทแห่งนิทานและวัตถุ โดยความเว้นลัทธิอื่น โดยความหมดจดแห่งลัทธิของตน โดย การชำระพยัญชนะให้เรียบร้อย โดยใจความเฉพาะบท โดยลำดับแห่งบาลีและโยชนา
   แห่งบาลี โดยการวินิจฉัยสิกขาบท และ โดยการชี้แจงความต่างแห่งนัยในวิภังค์ คำน้อยหนึ่งซึ่งไม่ชวนให้เกิดความเลื่อมใส   ย่อมไม่ปรากฏในสมันตปาสาทิกานี้, เพราะเหตุนั้น สังวรรณนาแห่งวินัยที่พระโลกนาถผู้ทรงอนุเคราะห์โลก ฉลาดในการฝึกเวไนย ได้ตรัสไว้นี้ จึงเป็นไปโดยชื่อว่า สมันตปาสาทิกา แล.
๑- วิ มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๙/หน้า ๑๘