Translate

05 สิงหาคม 2567

ลักษณะสิกขาที่ไม่เป็นอันบอกคืน [๑๖๐ บท] ปาราชิกกัณฑ์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

ทำบุญsearch-google   
[๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การกระทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง และสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน เป็นอย่างไร? กล่าวบอกคืนด้วยคำรำพึงว่าไฉนหนอ [๑๔ บท]
             ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชังความเป็นภิกษุ
 ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชังความเป็นภิกษุ
 ปรารถนาความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตรย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน
             ๓. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำรำพึงว่า ไฉนหนอ [๘ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชังความเป็นภิกษุ
 ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นคฤหัสถ์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นอารามิก ...
             ๔. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นสามเณร ...
             ๕. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
             ๘. ... ไฉนหนอ ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวว่าบอกคืนด้วยคำปริกัป ว่า ก็ถ้าว่า [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็น
สามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระ
ศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม ...
             ๓. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำปริกัป ว่า ก็ถ้าว่า [๘ บท]
            ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง
ความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็น
อุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร 
ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ 
ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระ
ศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นคฤหัสถ์ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอารามิก ...
             ๔. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสามเณร ...
             ๕. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
             ๘. ... ก็ถ้าว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำปริกัป ว่า หากว่า [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง
ความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็น
อุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร 
ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่เป็นสมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร
 ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม ...
             ๓. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสัทธิหาริก ...
             ๑๑. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำปริกัป ว่า หากว่า [๘ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง
ความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร
 ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร
 ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นคฤหัสถ์. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอารามิก ...
             ๔. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสามเณร ...
             ๕. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
             ๘. ... หากว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำปริกัป ว่า ผิว่า [๑๔ บท]
             ๑. อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียดชัง
ความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวก
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เป็นสมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่
เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม ...
             ๓. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาบทไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำปริกัป ว่า ผิว่า [๘ บท]
            ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียด
ชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร 
ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็น
ผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นคฤหัสถ์. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอารามิก ...
             ๔. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสามเณร ...
             ๕. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
             ๘. ... ผิว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำปริกัป ว่า มีความดำริ [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน ไม่ยินดี
 ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียด
ชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ 
ปรารถนาความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็น
ผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า 
ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระพุทธเจ้า. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระธรรม ...
             ๓. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... มีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำปริกัป ว่า มีความดำริว่า [๘ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินยอม ใคร่จะเคลื่อนจากความสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย เกลียด
ชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็นอุบาสก
 ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร ปรารถนา
ความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร
 ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นคฤหัสถ์. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอัน
บอกคืน
             ๒. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นอารามิก ...
             ๔. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสามเณร ...
             ๕. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
   ๘. ... ข้าพเจ้ามีความดำริว่า ข้าพเจ้าพึงเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
อ้างวัตถุที่รำลึก [๑๗ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวก
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่
เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ข้าพเจ้าระลึกถึงมารดา. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงบิดา ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงพี่ชายน้องชาย ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงพี่หญิงน้องหญิง ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงบุตร ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงธิดา ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงภริยา ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงหมู่ญาติ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงหมู่มิตร ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงบ้าน ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงนิคม ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงนา ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงสวน ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงเงิน ...
             ๑๕. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงทอง ...
             ๑๖. ... ข้าพเจ้าระลึกถึงศิลปะ ...
    ๑๗. ... ข้าพเจ้าหวนรำลึกถึงการหัวเราะ การเจรจา การเล่นในครั้งก่อน. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
แสดงความห่วงใย [๙ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็น
สามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ 
ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ 
ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ 
ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่น
ทราบว่า มารดาของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูท่าน. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอัน
บอกคืน.
             ๒. ... บิดาของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูท่าน ...
             ๓. ... พี่ชายน้องชายของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๔. ... พี่หญิงน้องหญิงของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๕. ... บุตรของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๖. ... ธิดาของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๗. ... ภริยาของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๘. ... หมู่ญาติของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา ...
             ๙. ... หมู่มิตรของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าต้องเลี้ยงดูเขา. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
อ้างที่อยู่ที่อาศัย [๑๖ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวก
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็น
ผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า 
มารดาของข้าพเจ้ามี ท่านจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... บิดาของข้าพเจ้ามี ท่านจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๓. ... พี่ชายน้องชายของข้าพเจ้ามี เขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๔. ... พี่หญิงน้องหญิงของข้าพเจ้ามี เขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๕. ... บุตรของข้าพเจ้ามี เขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๖. ... ธิดาของข้าพเจ้ามี เขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๗. ... ภริยาของข้าพเจ้ามี เขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๘. ... หมู่ญาติของข้าพเจ้ามี พวกเขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
             ๙. ... หมู่มิตรของข้าพเจ้ามี พวกเขาจักเลี้ยงดูข้าพเจ้า ...
   ๑๐. ... บ้านของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยบ้านนั้น ...
     ๑๑. ... นิคมของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยนิคมนั้น ...
             ๑๒. ... นาของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยนานั้น ...
      ๑๓. ... สวนของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยสวนนั้น ...
             ๑๔. ... เงินของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยเงินนั้น ...
      ๑๕. ... ทองของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยทองนั้น ...
   ๑๖. ... ศิลปะของข้าพเจ้ามี ข้าพเจ้าจักเลี้ยงชีพได้แม้ด้วยศิลปะนั้น ...
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
อ้างว่าพรหมจรรย์ทำได้ยาก [๘ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย
 เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็นสามเณร
 ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ 
ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสาย
พระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า พรหมจรรย์ทำได้ยาก. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... พรหมจรรย์ทำไม่ได้ง่าย ...
             ๓. ... พรหมจรรย์ประพฤติได้ยาก ...
             ๔. ... พรหมจรรย์ประพฤติไม่ได้ง่าย ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าไม่อาจ ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าไม่สามารถ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าไม่ยินดี ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าไม่ยินดียิ่ง. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาไม่เป็นอันบอกคืน.
รวมลักษณะสิกขาที่ไม่เป็นอันบอกคืน ๑๖๐ บท
ลักษณะสิกขาที่เป็นอันบอกคืน [๗๘ บท]
กล่าวบอกคืนด้วยคำเป็นปัจจุบัน [๑๔ บท]
             [๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง และสิกขาก็เป็นอันบอกคืน
เป็นอย่างไร?
             ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย
 เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็น
สามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสาย
พระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ข้าพเจ้าบอกคืนพระพุทธเจ้า.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระธรรม ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าบอกคืนสิกขา ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าบอกคืนวินัย ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าบอกคืนปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าบอกคืนอุเทศ ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าบอกคืนพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
กล่าวกำหนดภาวะด้วยคำเป็นปัจจุบัน [๘ บท]
             ๑. อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน 
ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย
 เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนาความเป็น
สามเณร ปรารถนาความเป็นเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์
 ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้
มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นคฤหัสถ์.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นอุบาสก ...
             ๓. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นอารามิก ...
             ๔. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นสามเณร ...
             ๕. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นเดียรถีย์ ...
             ๖. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นสาวกเดียรถีย์ ...
             ๗. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นผู้มิใช่สมณะ ...
             ๘. ... ขอท่านจงจำข้าพเจ้าไว้ว่าเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำเป็นปัจจุบันว่าไม่เกี่ยวข้อง [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน
 ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย
 เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวก
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่น
ทราบว่า ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระพุทธเจ้า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระธรรม ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยสิกขา ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยวินัย ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยอุเทศ ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าไม่เกี่ยวข้องด้วยพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำว่าจะต้องการอะไร [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน
 ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า
 ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระพุทธเจ้า.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระธรรม ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยสิกขา ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยวินัย ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยอุเทศ ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าจะต้องการอะไรด้วยพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำว่า ไม่ต้องการ [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน
 ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด 
เบื่อหน่าย เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนา
ความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนาความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก
 ปรารถนาความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่
สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมกล่าว
ให้ผู้อื่นทราบว่า ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระพุทธเจ้า.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระธรรม ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยสิกขา ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยวินัย ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยอุเทศ ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระสิทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าไม่ต้องการด้วยพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
กล่าวบอกคืนด้วยคำว่า พ้นดีแล้ว [๑๔ บท]
             ๑. ก็อีกประการหนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ กระสัน
 ไม่ยินดี ใคร่จะเคลื่อนจากความเป็นสมณะ อึดอัด เบื่อหน่าย 
เกลียดชังความเป็นภิกษุ ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์ ปรารถนา
ความเป็นอุบาสก ปรารถนาความเป็นอารามิก ปรารถนา
ความเป็นสามเณร ปรารถนาความเป็น
เดียรถีย์ ปรารถนา
ความเป็นสาวกเดียรถีย์ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนา
ความเป็นผู้มิใช่สมณะ ปรารถนาความเป็นผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตร
 ย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบว่า ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระพุทธเจ้า. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
             ๒. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระธรรม ...
             ๓. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระสงฆ์ ...
             ๔. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากสิกขา ...
             ๕. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากวินัย ...
             ๖. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากปาติโมกข์ ...
             ๗. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากอุเทศ ...
             ๘. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระอุปัชฌายะ ...
             ๙. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระอาจารย์ ...
             ๑๐. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระสัทธิวิหาริก ...
             ๑๑. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระอันเตวาสิก ...
             ๑๒. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระผู้ร่วมอุปัชฌายะ ...
             ๑๓. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระผู้ร่วมอาจารย์ ...
             ๑๔. ... ข้าพเจ้าพ้นดีแล้วจากพระเพื่อนพรหมจารี. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็นอันบอกคืน.
รวมลักษณะสิกขาที่เป็นอันบอกคืน ๗๘ บท
ไวพจน์แห่งพระพุทธเจ้าเป็นต้น
             ก็อีกอย่างหนึ่ง 
ไวพจน์แห่งพระพุทธเจ้าก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระธรรมก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระสงฆ์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งสิกขาก็ดี 
ไวพจน์แห่งวินัยก็ดี 
ไวพจน์แห่งปาติโมกข์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งอุเทศก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระอุปัชฌายะก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระอาจารย์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระสัทธิวิหาริกก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระอันเตวาสิกก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระผู้ร่วมอุปัชฌายะก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระผู้ร่วมอาจารย์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งพระเพื่อนพรหมจารีก็ดี 
ไวพจน์แห่งคฤหัสถ์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งอุบาสกก็ดี
ไวพจน์แห่งอารามิกก็ดี 
ไวพจน์แห่งสามเณรก็ดี 
ไวพจน์แห่งเดียรถีย์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งสาวกเดียรถีย์ก็ดี 
ไวพจน์แห่งบุคคลผู้มิใช่สมณะก็ดี 
ไวพจน์แห่งบุคคลผู้มิใช่เชื้อสายพระศากยบุตรก็ดี
แม้อย่างอื่นใด      มีอยู่      ภิกษุย่อมกล่าวให้ผู้อื่นทราบด้วยไวพจน์เหล่านั้น อันเป็นอาการ เป็นลักษณะเป็นนิมิต. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
แม้อย่างนี้ก็ชื่อว่าการทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้งและสิกขาก็เป็น
อันบอกคืน.
ลักษณะสิกขาที่ไม่เป็นอันบอกคืน
             [๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาไม่เป็นอันบอกคืนเป็นอย่างไร?
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขา ย่อมเป็นอันภิกษุในธรรมวินัยนี้ บอกคืนด้วยไวพจน์
เหล่าใดอันเป็นอาการ เป็นเพศ เป็นนิมิต ภิกษุวิกลจริต บอกคืนสิกขาด้วยไวพจน์
เหล่านั้น อันเป็นอาการ เป็นเพศ เป็นนิมิต สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน.
     ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักภิกษุวิกลจริต สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุมีจิตฟุ้งซ่าน บอกคืนสิกขา สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
ภิกษุบอกคืนสิกขา ในสำนักภิกษุผู้มีจิตฟุ้งซ่าน สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
ภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา บอกคืนสิกขาสิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขา ในสำนักภิกษุผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา สิกขาย่อมไม่เป็นอัน
บอกคืน
   ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักแห่งชนชาติมิลักขะ ด้วยภาษาชนชาติอริยกะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ
สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักแห่งชนชาติอริยกะ ด้วยภาษาชนชาติมิลักขะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ
สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักแห่งชนชาติอริยกะ ด้วยภาษาชนชาติอริยกะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ
สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขาในสำนักแห่งชนชาติมิลักขะ ด้วยภาษาชนชาติมิลักขะ ถ้าเขาไม่เข้าใจ
สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขา โดยกล่าวเล่น สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุบอกคืนสิกขา โดยกล่าวพลาด สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุไม่ประสงค์จะประกาศ แต่เปล่งเสียงให้ได้ยิน สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุประสงค์จะประกาศ แต่ไม่เปล่งเสียงให้ได้ยิน สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุประกาศแก่ผู้ไม่เข้าใจความ สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
             ภิกษุไม่ประกาศแก่ผู้เข้าใจความ สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน
  ก็หรือภิกษุไม่ประกาศโดยประการทั้งปวง สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืน. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิกขาย่อมไม่เป็นอันบอกคืนด้วยเหตุอย่างนี้แล.
สิกขาบทวิภังค์
 [๓๓] ที่ชื่อว่า เมถุนธรรม มีอธิบายว่า ธรรมของอสัตบุรุษ ประเพณีของ
ชาวบ้านมรรยาทของคนชั้นต่ำ ธรรมอันชั่วหยาบ ธรรมอันมีน้ำเป็นที่สุด กิจที่
ควรซ่อนเร้น ธรรมอันคนเป็นคู่ๆ พึงประพฤติร่วมกัน นี้ชื่อว่า เมถุนธรรม.
             [๓๔] ที่ชื่อว่า เสพ ความว่า ภิกษุใดสอดนิมิตเข้าไปทางนิมิต สอดองค์กำเนิดเข้าไปทางองค์กำเนิด โดยที่สุดแม้ชั่วเมล็ดงา ภิกษุนั้นชื่อว่า เสพ.
             [๓๕] คำว่า โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย 
ความว่า ภิกษุเสพเมถุนธรรม แม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย ย่อมไม่เป็นสมณะ
 ไม่เป็นเชื้อสายศากยบุตร จะกล่าวไปไยในหญิงมนุษย์เพราะฉะนั้น
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย.
             [๓๖] คำว่า เป็นปาราชิก 
ความว่า บุรุษถูกตัดศีรษะแล้ว ไม่อาจมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ชื่อแม้ฉันใด
 ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน เสพเมถุนธรรมแล้วย่อมไม่เป็นสมณะ 
ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
   [๓๗] บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำ
ร่วมกันอุเทศที่พึงสวดร่วมกันความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาส
นั้นไม่มีร่วมกับภิกษุนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.

สิกขาบทวิภังค์. อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมภาค ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
สิกขาบทวิภังค์
[๒๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติ อย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่าง
ใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม
 นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด. 
 [๒๖] บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่
ถูกทำลายแล้ว 
ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา 
ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้
อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็น ผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์ พร้อม
เพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะนี้ 
ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
 [๒๗] บทว่า สิกขา ได้แก่สิกขา ๓ ประการคือ อธิสีลสิขา อธิจิตตสิกขา อธิปัญญาสิกขา บรรดาสิกขา ๓ ประการเหล่านั้น อธิสีลสิกขานี้ 
ชื่อว่า สิกขา ที่ทรงประสงค์ใน อรรถนี้. 
 [๒๘] ชื่อว่า สาชีพ          อธิบายว่า สิกขาบทใด ที่              พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ไว้            สิกขาบท นั้น 
ชื่อว่า สาชีพ ภิกษุศึกษาในสาชีพนั้น เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า ถึงพร้อมซึ่งสาชีพ. 
 [๒๙] คำว่า ไม่บอกคืนสิกขา ไม่ทำความเป็นผู้ทุรพล
ให้แจ้ง ทรงอธิบายไว้ว่า ภิกษุทั้งหลาย การทำความเป็นผู้ทุรพล
ให้แจ้ง และสิกขาไม่เป็นอันบอกคืนก็มี ภิกษุทั้งหลาย การทำความเป็น
ผู้ทุรพลให้แจ้ง และสิกขาเป็นอันบอกคืนก็มี.
                   ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
               อรรถาธิบายสิกขาบทวิภังค์ปฐมปาราชิก               
               บัดนี้ ข้าพเจ้าจักพรรณนาเนื้อความวิภังค์แห่งสิกขาบทต่อไป.
               ในคำว่า    โย ปนาติ โย ยาทิโส เป็นต้น ที่       พระผู้มีพระภาคเจ้า.    ตรัสไว้        มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               สองบทว่า โย ปน เป็นบทที่ควรจำแนก. 
บทเป็นต้นว่า โย ยาทิโส เป็นบทจำแนกแห่ง
บทว่า โย ปน นั้น. ก็ในสองบทว่า โย ปน นี้ 
ศัพท์ว่า ปน สักว่าเป็นนิบาต, 
บทว่า โย เป็นบทบอกเนื้อความ, และ
บทว่า โย นั้น แสดงบุคคลโดยไม่กะตัว, เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า 
เมื่อจะทรงแสดงอรรถแห่งบทว่า โย นั้น จึงตรัสเฉพาะ โย ศัพท์ ซึ่งแสดง
บุคคลโดยไม่กะตัว. เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบเนื้อความใน
บทว่า โย ปน นี้อย่างนี้.
               บทว่า โย ปน มีคำอธิบายว่า โยโกจิ
 แปลว่า ผู้ใดผู้หนึ่ง. ก็บุคคลที่ชื่อว่า ผู้ใดผู้หนึ่งนั้น 
ย่อมปรากฏด้วยอาการอันหนึ่ง ในเพศ ความประกอบ ชาติ ชื่อ โคตร ศีล ธรรมเครื่องอยู่ โคจรและวัย แน่แท้,
               เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงประกาศประเภทนั้น
 เพื่อให้รู้จักบุคคลนั้นโดยอาการอย่างนั้น จึงตรัสคำว่า ยาทิโส เป็นต้น.
               ในคำว่า ยาทิโส เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า ยาทิโส มีความว่า ว่าด้วยอำนาจเพศ
 จะเป็นบุคคลเช่นใดหรือเช่นนั้นก็ตามที คือจะเป็นคนสูงหรือคนเตี้ย 
คนดำหรือคนขาว หรือคนมีผิวเหลือง คนผอมหรือคนอ้วนก็ตามที.
               บทว่า ยถายุตฺโต 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจความประกอบจะเป็นคนประกอบด้วยการงานเช่นใด
เช่นหนึ่งก็ตามที คือจะเป็นคนประกอบด้วยนวกรรม หรือ
จะประกอบด้วยอุเทศ หรือจะประกอบด้วยธุระในที่อยู่ก็ตามที.
               บทว่า ยถาชจฺโจ 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจชาติ จะเป็นคนมีชาติอย่างใด หรือ
เป็นคนมีชาติอย่างนั้นก็ตามที คือจะเป็นกษัตริย์ หรือ
เป็นพราหมณ์ หรือเป็นแพศย์ เป็นศูทรก็ตามที.
               บทว่า ยถานาโม 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจชื่อ จะเป็นคนมีชื่ออย่างใด หรือมีชื่ออย่างนั้นก็ตามที คือชื่อว่าพุทธรักขิต หรือชื่อธรรมรักขิต หรือชื่อสังฆรักขิตก็ตามที.
               บทว่า ยถาโคตฺโต 
มีความว่า ว่าด้วยอำนาจโคตร จะเป็นผู้มีโคตรอย่างใดหรือ
มีโคตรอย่างนั้น หรือว่าด้วยโคตรเช่นใดเช่นหนึ่งก็ตามที คือจะเป็น
กัจจานโคตร หรือวาเสฏฐโคตร หรือโกสิยโคตรก็ตามที.
               บทว่า ยถาสีโล 
มีความว่า ในปกติทั้งหลายจะเป็นผู้มีอย่างใด 
เป็นปกติหรือว่าเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นปกติก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรม
เป็นปกติ หรือมีอุเทศเป็นปกติ หรือมีธุระในที่อยู่เป็นปกติ ก็ตามที.
               บทว่า ยถาวิหารี 
มีความว่า แม้ในธรรมเครื่องอยู่ทั้งหลาย จะเป็นผู้มีอย่างใดเป็นเครื่องอยู่ หรือ
ว่าเป็นผู้มีอย่างนั้นเป็นเครื่องอยู่ก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรมเป็นเครื่องอยู่
 หรือมีอุเทศเป็นเครื่องอยู่ หรือว่ามีธุระในที่อยู่ เป็นเครื่องอยู่ก็ตามที.
               บทว่า ยถาโคจโร 
มีความว่า ถึงในโคจรทั้งหลายเล่า จะเป็นผู้มีอย่างใดเป็นโคจรหรือว่ามี
อย่างนั้นเป็นโคจรก็ตามที คือว่าจะเป็นผู้มีนวกรรมเป็นโคจรหรือมีอุเทศเป็นโคจร หรือมีธุระในที่อยู่เป็นโคจรก็ตามที.
               ส่วนในบทว่า เถโร วา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               จะเป็นผู้ใดหรือว่าเป็นผู้นั้น ในบรรดาผู้เจริญโดยวัยเป็นต้นก็ตามที.
   คืออธิบายว่า จะเป็นพระเถระ เพราะมีพรรษาครบสิบ หรือว่าเป็นผู้ใหม่ 
เพราะมีพรรษาหย่อนห้า หรือว่าจะเป็นผู้ปานกลาง เพราะมีพรรษาเกินกว่าห้า
ก็ตามที. โดยที่แท้ บุคคลนั้นทั้งหมด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ในอรรถนี้ว่า โย ปน.
               [อรรถาธิบายความหมายแห่งภิกษุศัพท์เป็นต้น]               
               ในภิกขุนิเทศ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ผู้ใดย่อมขอ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่าผู้ขอ. อธิบายว่า จะได้ก็ตาม ไม่ได้
ก็ตาม ย่อมขอด้วยวิธีขออย่างประเสริฐ. ชื่อว่าผู้อาศัยการเที่ยวขอ เพราะเป็น
ผู้อาศัยการเที่ยวขอ ที่พระพุทธเจ้าเป็นต้นทรงอาศัยแล้ว.
               จริงอยู่ บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งละกองโภคะน้อยหรือมาก 
ออกจากเรือนบวชไม่มีเรือน, บุคคลผู้นั้น 
ชื่อว่าอาศัยการเที่ยวขอ เพราะละการเลี้ยงชีวิตโดยกสิกรรมและโครักขกรรมเป็นต้นเสีย ยอมรับถือเพศนั่นเอง เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า ภิกษุ.
     อีกอย่างหนึ่ง แม้ฉันภัตในหาบอยู่ ในท่ามกลางวิหาร ก็ชื่อว่าอาศัย การเที่ยวขอ เพราะมีความเป็นอยู่เนื่องด้วยผู้อื่น เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภิกษุ.อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าอาศัยการเที่ยวขอ เพราะเป็นผู้เกิดอุตสาหะในบรรพชา อาศัยโภชนะคือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง เพราะฉะนั้น จึง
ชื่อว่า ภิกษุ       ผู้ใดย่อมทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะทำค่าผัสสะและสีให้เสียไป เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว.
               บรรดาการทำค่าให้เสียไปเป็นต้นนั้น 
พึงทราบการทำค่าให้เสียไป เพราะตัดด้วยศัสตรา.
               จริงอยู่ ผืนผ้าแม้มีราคาตั้งพันที่เขาเอามีดตัดให้เป็นชิ้นน้อยชิ้นใหญ่แล้ว ย่อมมีราคาเสียไป คือมีค่าไม่ถึงแม้ครึ่งหนึ่งจากราคาเดิม. 
พึงทราบการทำผัสสะให้เสียไป เพราะเย็บด้วยด้าย.
               แท้จริง ผืนผ้าแม้ที่มีสัมผัสเป็นสุขที่ถูกเย็บด้วยด้ายแล้ว ย่อมมีผัสสะเสียไป คือถึงความเป็นผ้าที่มีผัสสะแข็งหยาบ. 
พึงทราบการทำสีให้เสียไป เพราะหม่นหมองด้วยสนิมเข็มเป็นต้น.
               แท้จริง ผืนผ้าแม้ที่บริสุทธิ์ดีตั้งแต่ทำการด้วยเข็ม
ไปแล้ว ย่อมมีสีเสียไป คือย่อมละสีเดิมไป เพราะสนิมเข็ม และ
เพราะน้ำที่เป็นมลทินอันเกิดจากเหงื่อมือ และเพราะการย้อมและทำกัปปะ
ในที่สุด. ผู้ใดชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะทรงผืนผ้าที่ถูก
ทำลายด้วยอาการ ๓ อย่าง ดังอธิบายมาแล้วนั้น เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่า ภิกษุ.
     อีกอย่างหนึ่ง ผู้ใด ชื่อว่า ผู้ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว เพราะสักว่าทรงผ้ากาสาวะทั้งหลาย ซึ่งไม่เหมือนกับผ้าของคฤหัสถ์ เหตุนั้น ผู้นั้นชื่อว่าภิกษุ.
               บทว่า สมญฺญาย ความว่า โดยบัญญัติ คือโดยโวหาร.
               จริงอยู่ บุคคลบางคนย่อมปรากฏว่าเป็นภิกษุ โดยสมัญญาเท่านั้น.
               จริงอย่างนั้น ในกิจนิมนต์เป็นต้น มนุษย์ทั้งหลาย
 เมื่อนับจำนวนภิกษุอยู่ นับเอากระทั่งพวกสามเณรเข้าด้วยแล้ว
 พูดว่าภิกษุจำนวนร้อยรูป, ภิกษุจำนวนพันรูป.
               บทว่า ปฏิญฺญาย คือ โดยความปฏิญญาของตนเอง.
     จริงอยู่ บุคคลบางคนย่อมปรากฏว่าเป็นภิกษุ แม้โดยความปฏิญญา.
               พึงทราบความปฏิญญาว่า เป็นภิกษุนั้นเกิดมีได้ดังในประโยคเป็นต้นอย่างนี้ว่า ถามว่า ในที่นี้ เป็นใคร?
               ตอบว่า คุณ ข้าพเจ้าเอง เป็นภิกษุ. ก็ความปฏิญญานี้เป็นความปฏิญญาที่ชอบธรรม ซึ่งพระอานนทเถระได้กล่าวไว้แล้ว.
               อนึ่ง โดยส่วนแห่งราตรี แม้พวกภิกษุผู้ทุศีล เดินสวนทางมา
 เมื่อถูกถามว่า ในที่นี้เป็นใคร? ก็ตอบว่า พวกข้าพเจ้าเป็นภิกษุ ดังนี้
 เพื่อประโยชน์แก่ปฏิญญาที่ไม่ชอบธรรม ไม่เป็นความจริง.
               บทว่า เอหิภิกฺขุ 
ความว่า ผู้ถึงความเป็นภิกษุ คืออุปสมบทด้วยเอหิภิกขุ ด้วยเพียงพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้า อย่างนี้ว่า เธอจงมาเป็นภิกษุเถิด ชื่อว่าภิกษุ.
จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็น
บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วยอุปนิสัยเพื่อเป็นเอหิภิกษุ จึงทรงเหยียด
พระหัตถ์เบื้องขวาซึ่งมีสีดุจทอง ออกจากระหว่างบังสุกุลจีวรอันมีสี
แดง เปล่งพระสุรเสียงกังวานดังเสียงพรหม ตรัสเรียกว่า เธอจงมาเป็น
ภิกษุเถิด, จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
               พร้อมกับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้นนั่นเอง
 เพศคฤหัสถ์ (ของผู้เพ่งอุปสมบทนั้น) อันตรธานไป, บรรพชาและอุปสมบท
ก็สำเร็จ, ผู้นั้นเป็นผู้ปลงผมนุ่งห่มผ้ากาสาวะ คือนุ่ง (ผ้าอันตรวาสก) 
ผืนหนึ่ง ห่ม (ผ้าอุตราสงค์) ผืนหนึ่ง พาด (ผ้าสังฆาฏิ) ไว้บนจะงอยบ่า
ผืนหนึ่ง มีบาตรดินที่มีสีเหมือนดอกอุบลเขียวคล้องไว้ที่บ่าข้างซ้าย.
               ภิกษุนั้นท่านกำหนดเฉพาะด้วยบริขาร ๘ ที่สวมสอดเข้าที่ร่างกาย
               อันพระโบราณาจารย์กล่าวได้อย่างนี้ว่า
                                   บริขารเหล่านี้คือ ไตรจีวร บาตร
                         มีดน้อย เข็ม และผ้ารัดประคดเอว เป็น ๘
                         ทั้งผ้ากรองน้ำ ย่อมควรแก่ภิกษุผู้ประกอบ
                         ความเพียร
               เป็นผู้สมบูรณ์ด้วยอิริยาบถ เหมือนพระเถระตั้งร้อยพรรษา
 มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระอุปัชฌายะ
 ยืนถวายบังคมพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ทีเดียว.
               จริงอยู่ ครั้งปฐมโพธิกาล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงให้กุลบุตรอุปสมบทด้วยเอหิภิกขุอุปสัมปทานั่นแล ในกาลชั่วระยะหนึ่ง. และภิกษุผู้อุปสมบทด้วย
วิธีอย่างนี้ มีจำนวน ๑,๓๔๑ รูป.
               คืออย่างไร? คือมีจำนวนดังนี้ :-
               พระปัญจวัคคิยเถระ ๕ ยสกุลบุตร ๑ สหายผู้เป็นบริวารของท่าน ๕๔ ภัททวัคคีย์ ๓๐ ปุราณชฏิล ๑,๐๐๐ ปริพาชกรวมกับพระอัครสาวกทั้งสอง
 ๒๕๐ พระอังคุลิมาลเถระ ๑ (รวมเป็น ๑,๓๔๑ รูป)
               สมจริงดังคำที่พระอรรถกถาจารย์ กล่าวไว้ในอรรถกถาว่า
                                   ภิกษุ ๑,๓๐๐ รูป และเหล่าอื่นอีก
                         ๔๐ รูป ทั้งพระเถระผู้มีปัญญาอีก ๑ รูป,
                         ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ท่านกล่าวว่า เป็น
                         เอหิภิกขุ.
 ภิกษุเหล่านั้นเป็นเอหิภิกขุจำพวกเดียวก็หามิได้, แม้เหล่าอื่นก็ยังมีอีกมาก.
    คืออย่างไร? คือมีจำนวนเป็นต้นอย่างนี้ว่า เสลพราหมณ์ทั้งบริวารมีจำนวน ๓๐๐ พระมหากัปปินทั้งบริวารมีจำนวน ๑,๐๐๐ กุลบุตรชาวเมือง
กบิลพัสดุ์มีจำนวน ๑๐,๐๐๐ พวกปารายนิกพราหมณ์ (พราหมณ์ผู้แสวงหาที่พึ่งในภพข้างหน้า) มีจำนวน ๑๖,๐๐๐ (รวม ๒๗,๓๐๐ รูป). แต่ภิกษุเหล่านั้น
 พระอรรถกถาจารย์มิได้กล่าวไว้ เพราะท่านพระอุบาลีเถระมิได้แสดงไว้ในบาลีพระวินัยปิฎก. ภิกษุเหล่านี้ พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ ก็เพราะท่าน
พระอุบาลีเถระแสดงไว้ในบาลีพระวินัยปิฎกนั้นแล้ว.
               (พระอรรถกถาจารย์กล่าวคำไว้ในอรรถกถา) ว่า
                         ภิกษุทั้งหมดแม้เหล่านี้ คือ ๒๗,๐๐๐ รูป
               และ ๓๐๐ รูป, ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ท่านกล่าว
               ว่า เป็นเอหิภิกขุ.
               [วิธีอุปสมบทมี ๘ อย่าง]       
        หลายบทว่า ตีหิ สรณคมเนหิ อุปสมฺปนฺโน มีความว่า ผู้อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์ ซึ่งลั่นวาจากล่าว ๓ ครั้ง โดยนัยเป็นต้นว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ.
               จริงอยู่ ขึ้นชื่อว่า อุปสัมปทามี ๘ อย่าง คือ เอหิภิกขุอุปสัมปทา ๑
 สรณคมนอุปสัมปทา ๑ โอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา ๑ ปัญหา
พยากรณอุปสัมปทา ๑ ครุธัมมปฏิคคหณอุปสัมปทา ๑ ทูเตนอุปสัมปทา ๑ 
อัฏฐวาจิกาอุปสัมปทา ๑ ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา ๑.
               [อรรถาธิบายอุปสัมปทา ๘ อย่าง]               
              ในอุปสัมปทา ๘ อย่างนั้น เอหิภิกขุอุปสัมปทาและ
สรณคมนอุปสัมปทา ข้าพเจ้าได้กล่าวเสร็จแล้วแล.
               ที่ชื่อว่า โอวาทปฏิคคหณอุปสัมปทา ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่พระมหากัสสปเถระ ด้วยการรับโอวาทนี้ว่า
               เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเข้าไปตั้งความละอาย และความเกรงไว้ในภิกษุทั้งที่เป็นผู้เฒ่า ทั้งที่เป็นผู้ใหม่ ทั้งที่เป็นผู้ปาน
กลาง อย่างแรงกล้า, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แหละ กัสสป! เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักฟังธรรมอันใดอันหนึ่งซึ่งประกอบด้วย
กุศล, เราเงี่ยหูลงฟังธรรมนั้นทั้งหมด ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ รวบรวมไว้ทั้งหมดด้วยใจ, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป เพราะเหตุนั้นแล กัสสป เธอพึง
ศึกษาอย่างนี้ว่า ก็สติที่เป็นไปในกายของเราซึ่งประกอบด้วยความสำราญ จักไม่ละเราเสีย, เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล กัสสป!๑-
๑- สํ. นิทาน. เล่ม ๑๖/ข้อ ๕๒๔. บาลีเดิมเป็น กายคตาสติ น วิชหิสฺสติ ไม่มี มํ ศัพท์.
               ที่ชื่อว่า            ปัญหาพยากรณอุปสัมปทา ได้แก่       อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่โสปากสามเณร.
               ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามปัญหาเนื่องด้วยอสุภ ๑๐ กะโสปากสามเณร ผู้จงกรมตามเสด็จอยู่ในบุพพารามว่า โสปากะ! ธรรมเหล่านี้คือ
 อุทธุมาตกสัญญาก็ดี รูปสัญญาก็ดี มีอรรถต่างๆ กัน มีพยัญชนะต่างๆ กัน หรือมีอรรถอันเดียวกัน ต่างกันแต่พยัญชนะเท่านั้น?
              โสปากสามเณรนั้นทูลแก้ปัญหาเหล่านั้นได้.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประทานสาธุการแก่เธอ แล้ว
ตรัสถามว่า เธอได้กี่พรรษาละ        โสปากะ?      สามเณรทูลว่า      ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า หม่อมฉันได้ ๗ พรรษา.
               พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระหฤทัยอันโสปากสามเณรให้ยินดีว่า 
โสปากะ เธอแก้ปัญหาทัดเทียมกับสัพพัญญุตญาณของเรา แล้ว
จึงทรงอนุญาตให้อุปสมบท. นี้ชื่อว่า ปัญหาพยากรณอุปสัมปทา.
               ที่ชื่อว่า ครุธัมมปฏิคคหณอุปสัมปทา๒- ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรงอนุญาตแก่พระนางมหาปชาบดี ด้วยการรับครุธรรม ๘.
               ที่ชื่อว่า ทูเตน อุปสัมปทา๓- ได้แก่อุปสัมปทาที่ทรง
อนุญาตแก่นางอัฒกาสีคณิกา.
               ที่ชื่อว่า อัฏฐวาจิกา อุปสัมปทา๔- ได้แก่
อุปสัมปทาของนางภิกษุณีด้วยกรรม ๒ พวกนี้ คือ      ญัตติจตุตถกรรมฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ญัตติจตุตถกรรม่ฝ่ายภิกษุสงฆ์.
               ที่ชื่อว่า ญัตติจตุตถกัมมอุปสัมปทา๕- ได้แก่
อุปสัมปทาของภิกษุทั้งหลายในทุกวันนี้.
               มีคำกล่าวอธิบายว่า ผู้ที่อุปสมบทแล้วในบรรดาอุปสัมปทา 
๘ อย่างเหล่านี้ ด้วยอุปสัมปทานี้ ที่ทรงอนุญาตแล้วอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้ง
หลาย เราอนุญาตซึ่งบรรพชา อุปสมบทด้วยไตรสรณคมน์เหล่านี้.๖-
๒- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๑๖/หน้า ๓๒๓-๓๒๙.
๓- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๙๕/หน้า ๓๖๕-๓๖๗.
๔- วิ. จุลฺล. เล่ม ๗/ข้อ ๕๗๓-๕๘๐/หน้า ๓๕๔-๓๕๙.
๕- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๑๔๒/หน้า ๑๙๑.
๖- วิ. มหา. เล่ม ๔/ข้อ ๓๔/หน้า ๔๑.
               บทว่า เจริญ ได้แก่ ไม่ทราม.
               จริงอยู่ เสขบุคคลทั้งหลายมีกัลยาณปุถุชนเป็นต้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ ย่อมถึงความนับว่า ภิกษุผู้เจริญ เพราะประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา
 วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันเจริญ.
               บทว่า สาโร มีความว่า เสขกัลยาณปุถุชนนั้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้มีสาระ เพราะประกอบด้วยสาระทั้งหลาย มีศีลสาระเป็นต้นเหล่านั้นนั่นเอง
 เปรียบเหมือนผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียวฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพเท่านั้น พึงทราบว่า เป็นผู้มีสาระ เพราะเป็นผู้ปราศจากกระพี้คือกิเลส.
               บทว่า เสกฺโข มีความว่า พระอริยบุคคล ๗ จำพวก กับทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมศึกษาสิกขาบท ๓ เพราะเหตุนั้น จึงจัดเป็นเสกขบุคคล. ในเสกข
บุคคลเหล่านั้น คนใดคนหนึ่งพึงทราบว่า เป็นภิกขุเสกขะ. ที่ชื่อว่าอเสกขบุคคล เพราะไม่ต้องศึกษา. พระขีณาสพ ท่านเรียกว่า อเสกขบุคคล เพราะ
ล่วงเสกขธรรมเสีย ตั้งอยู่ในผลเลิศ ไม่มีสิกขาที่จะต้องศึกษาให้ยิ่งกว่านั้น.
               สองบทว่า สมคฺเคน สงฺเฆน มีความว่า ด้วยสงฆ์ ชื่อว่าเข้าถึงความ
เป็นผู้พร้อมเพรียงกันในกรรมอันหนึ่ง เพราะภิกษุผู้เข้ากรรมในกรรมที่จะพึงทำด้วยสงฆ์ปัญจวรรค โดยปริยายอย่างต่ำที่สุด ได้มาครบจำนวน เพราะได้
นำฉันทะของพวกภิกษุผู้ควรฉันทะมาแล้ว และ          เพราะพวกภิกษุผู้อยู่พร้อมหน้ากันไม่คัดค้าน.
               บทว่า ญตฺติจตุตฺเถน 
มีความว่า อันจะพึงทำด้วยอนุสาวนา ๓ ครั้ง ญัตติ ๑ ครั้ง.
               บทว่า กมฺเมน คือ วินัยกรรมอันชอบธรรม.
               บทว่า อกุปฺเปน ความว่า เข้าถึงความเป็นกรรมอันใครๆ พึงให้กำเริบไม่ได้ คืออันใครๆ พึงคัดค้านไม่ได้ เพราะถึงพร้อมด้วยวัตถุสมบัติ ญัตติสมบัติ
 อนุสาวนาสมบัติ สีมาสมบัติ และปริสสมบัติ.
               บทว่า ฐานารเหน คือควรแก่เหตุ ได้แก่ควรแก่สัตถุศาสนา.
               ชื่อว่า อุปสัมบัน คือมาถึง อธิบายว่า บรรลุภาวะอันสูงสุด. อันความเป็นภิกษุเป็นภาวะอันสูง. จริงอยู่ บุคคลนั้น ท่านเรียกว่า อุปสัมบัน เพราะมาถึง
ความเป็นภิกษุนั้น ด้วยกรรมตามที่กล่าวแล้ว.
               ก็ในอธิการนี้มาแต่ญัตติจตุตถกรรมอย่างเดียวเท่านั้น. แต่
ในที่นี้ควรนำสังฆกรรมทั้ง ๔ มากล่าวไว้โดยพิสดาร. คำนั้นทั้งหมดท่าน
กล่าวแล้วในอรรถกถาทั้งหลาย. และสังฆกรรมเหล่านั้นคือ อปโลกนกรรม
 ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม บัณฑิตพึงเรียงไว้
ตามลำดับ แล้วชักบาลีมากล่าวโดยพิสดาร จากคัมภีร์
ขันธกะและกัมมวิภังค์ในที่สุดแห่งคัมภีร์บริวาร.
               ข้าพเจ้าจักพรรณนาสังฆกรรมเหล่านั้นในกัมมวิภังค์ 
ในที่สุดแห่งคัมภีร์บริวารนั่นแล. เพราะว่า เมื่อมีการพรรณนาอย่างนั้น 
ปฐมปาราชิกวรรณนาจักไม่เป็นการหนักไป. และการพรรณนาพระบาลี
ตามที่ตั้งไว้ ก็จักเป็นวรรณนาที่รู้กันได้ง่าย. ทั้งฐานะเหล่านั้น จักเป็นของ
ไม่สูญเสีย. เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะทำการพรรณนาไปตามบทเท่านั้น.
               บทว่า ตตฺร 
มีความว่า บรรดาภิกษุทั้งหลายซึ่งกล่าวโดยนัยมีคำว่า ผู้ขอ เป็นต้นเหล่านั้น.
               สองบทว่า ยฺวายํ ภิกฺขุ ตัดบทเป็น โย อยํ ภิกฺขุ แปลว่า ภิกษุนี้ใด.
               ข้อว่า สมคฺเคน สงฺเฆน ฯเปฯ อุปสมฺปนฺโน มีความว่า บรรดาอุปสัมปทา ๘ ผู้อุปสมบทแล้วด้วยญัตติจตุตถกรรมเท่านั้น.
               ข้อว่า อยํ อิมสฺมึ อตฺเถ อธิปฺเปโต ภิกฺขุ มีความว่า ภิกษุนี้ประสงค์เอาว่า ภิกษุ ในอรรถว่า เสพเมถุนธรรมแล้ว ย่อมเป็นผู้พ่ายแพ้ นี้.
               ส่วนภิกขุศัพท์นอกนี้มีว่า ภิกฺขโก เป็นต้น 
ตรัสด้วยอำนาจการขยายความ. และในคำว่า ภิกฺขโก เป็นต้นนั้น ศัพท์
มีอาทิว่า ผู้ขอ ตรัสด้วยอำนาจภาษา. สองบทนี้ว่า เป็นภิกษุโดยสมัญญา
 เป็นภิกษุโดยความปฏิญญา ตรัสด้วยอำนาจการร้องเรียก.
               บทว่า เอหิภิกฺขุ 
ตรัสด้วยอำนาจวิธีอุปสมบทที่กุลบุตรได้แล้ว โดยมีพระพุทธเจ้าเป็น
อุปัชฌายะ. สรณคมนภิกฺขุ ตรัสด้วยอำนาจผู้อุปสมบทแล้ว ในเมื่อกรรม
วาจายังไม่เกิดขึ้น. ศัพท์เป็นต้นว่า ผู้เจริญ พึงทราบว่า ตรัสด้วยอำนาจคุณ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงจำแนกบทนี้ว่า ภิกฺขูนํ 
ไว้ในบัดนี้เลย เพราะไม่มีใจความที่แปลก เมื่อจะทรงแสดงสิกขา และ
สาชีพ เพราะเป็นเหตุให้ภิกษุถึงพร้อมแล้ว จึงเป็นผู้ชื่อว่าถึงพร้อม
ด้วยสิกขาและสาชีพของภิกษุทั้งหลาย จึงตรัสว่า สิกฺขา เป็นต้น.
               ในคำว่า สิกฺขา เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ที่ชื่อว่า สิกฺขา เพราะอรรถว่า อันกุลบุตรพึงศึกษา.
               บทว่า ติสฺโส เป็นสังขยากำหนดการคำนวณ.
               บทว่า อธิสีลสิกฺขา
 มีอรรถวิเคราะห์ว่า ศีลยิ่งคือสูงสุด เหตุนั้นจึงชื่อว่า อธิศีล. อธิศีลนั้นด้วย 
เป็นสิกขาเพราะอันกุลบุตรพึงศึกษาด้วย เหตุนั้นจึงชื่อว่า อธิศีลสิกขา.
               ในอธิจิตสิกขาและอธิปัญญาสิกขาก็นัยนั้น.
               [อรรถาธิบายอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา]               
               ถามว่า ก็ในอธิการนี้ ศีลเป็นไฉน? อธิศีลเป็นไฉน? จิตเป็นไฉน? อธิจิตเป็นไฉน? ปัญญาเป็นไฉน? อธิปัญญาเป็นไฉน?
               ข้าพเจ้าจะกล่าวเฉลยต่อไป :-
               ศีลมีองค์ ๕ และองค์ ๑๐ ชื่อว่าศีลเท่านั้นก่อน.
               จริงอยู่ ศีลนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วก็ตาม ยังมิได้อุบัติขึ้นก็ตาม เป็นไปอยู่ในโลก. เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็
ดี พระสาวกทั้งหลายก็ดี ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทานในศีลนั้น.
               เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจ้า สมณพราหมณ์ พวกกรรมวาทีประพฤติชอบธรรม พระเจ้าจักรพรรดิมหาราช และพระมหา
โพธิสัตว์ ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทาน (ในศีลนั้น).
               พวกสมณพราหมณ์ผู้เป็นบัณฑิตก็สมาทาน (ศีลนั้น) แม้ด้วยตนเอง. สมณพราหมณ์เป็นต้นเหล่านั้น ครั้นบำเพ็ญกุศลธรรมนั้นให้บริบูรณ์แล้ว ย่อม
เสวยสมบัติในหมู่ทวยเทพและในหมู่มนุษย์.
               ส่วนปาฏิโมกขสังวรศีล ท่านเรียกว่า อธิศีล.
               จริงอยู่ ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้นเป็นศีลที่ยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาโลกิยศีลทั้งหมด ดุจพระอาทิตย์ยิ่งกว่าแสงสว่างทั้งหลาย 
ดุจภูเขาสิเนรุสูงกว่าบรรพตทั้งหลายฉะนั้น ย่อมเป็นไปได้เฉพาะ
ในพุทธุปบาทกาลเท่านั้น นอกพุทธุปบาทกาลหาเป็นไปไม่.     ด้วยว่า สัตว์อื่นไม่สามารถยกบัญญัตินั้นขึ้นตั้งไว้ได้.
               ก็พระพุทธเจ้าทั้งหลายเท่านั้นทรงตัดกระแสทางแห่ง
ความประพฤติเสียหายทางกายทวารและวจีทวารได้เด็ดขาด โดยประการ
ทั้งปวงแล้ว จึงทรงบัญญัติศีลสังวรนั้นไว้ อันสมควรแก่ความล่วงละเมิดนั้นๆ.
               อนึ่ง ศีลที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลเท่านั้น ชื่อว่าศีลที่ยิ่ง
 แม้กว่าปาฏิโมกขสังวร. แต่ศีลที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น 
ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่าภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยศีลนั้น
 หาเสพเมถุนธรรมไม่. กามาวจรกุศลจิต ๘ ดวงและสมาบัติจิต ๘ ดวง 
ฝ่ายโลกีย์ร่วมเข้าเป็นอันเดียวกัน พึงทราบว่า จิตเท่านั้น. และในกาลที่
พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นหรือไม่อุบัติขึ้น จิตนั้นก็เป็นไปอยู่ การชักชวน และ
การสมาทาน ก็พึงทราบโดยนัยที่กล่าวไว้แล้วในศีลนั่นแล.
               ส่วนสมาบัติจิต ๘ ดวงที่เป็นบาทแห่งวิปัสสนา ท่านเรียกว่า อธิจิต.
               จริงอยู่ อัฏฐสมาบัติจิตนั้นเป็นจิตที่ยิ่งและสูงสุดกว่าโลกิย
จิตทั้งหมด ดุจอธิศีลยิ่งกว่าบรรดาศีลทั้งหลายฉะนั้น และมีอยู่เฉพาะ
ในพุทธุปบาทกาลเท่านั้น นอกพุทธุปบาทกาล หามีไม่.
               อีกอย่างหนึ่ง จิตที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยจิตนั้น หาเสพเมถุนธรรมไม่.
     อนึ่ง กัมมัสสกตาญาณ (ญาณรู้ว่าสัตว์มีกรรมเป็นของตน) ซึ่งเป็นไปโดยนัยมีอาทิว่า ผลทานที่ให้แล้วมีอยู่ ผลบูชาที่บูชาแล้วมีอยู่ ชื่อว่าปัญญา.
   จริงอยู่ ปัญญานั้น เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้วก็ตาม มิได้อุบัติขึ้นก็ตาม
 เป็นไปอยู่ในโลก. เมื่อพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นแล้ว พระพุทธเจ้าทั้งหลายก็ดี
 พระสาวกทั้งหลายก็ดี ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทานในปัญญานั้น.
               เมื่อพระพุทธเจ้ายังมิได้อุบัติขึ้น พระปัจเจกพุทธเจ้า 
สมณพราหมณ์ พวกกรรมวาทีประพฤติชอบธรรม พระเจ้าจักรพรรดิ
มหาราชและพระมหาโพธิสัตว์ ย่อมชักชวนมหาชนให้สมาทาน 
(ในปัญญานั้น). สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นบัณฑิตก็สมาทาน แม้ด้วยตนเอง.
               จริงอย่างนั้น อังกุรเทพบุตรได้ถวายมหาทานสิ้นหมื่นปี. 
เวลามพราหมณ์ พระเวสสันดรและมนุษย์บัณฑิตเหล่าอื่นมากมาย 
ก็ได้ถวายมหาทานแล้ว. เวลามพราหมณ์เป็นต้นเหล่านั้น ครั้งบำเพ็ญ
กุศลธรรมนั้นให้บริบูรณ์แล้ว ก็ได้เสวยสมบัติในหมู่ทวยเทพและในหมู่มนุษย์.
               ส่วนวิปัสสนาญาณที่เป็นเครื่องกำหนด
อาการคือไตรลักษณ์ ท่านเรียกว่า อธิปัญญา.
               จริงอยู่ อธิปัญญานั้นเป็นปัญญาที่ยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาโลกิยปัญญาทั้งหมด ดุจอธิศีลและอธิจิตยิ่งและสูงสุดกว่าบรรดาศีลและจิตทั้ง
หลาย ฉะนั้น นอกพุทธุปบาทกาลหาเป็นไปในโลกไม่. ก็ปัญญาที่สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั่นแล เป็นปัญญาที่ยิ่งแม้กว่าวิปัสสนาญาณนั้น. แต่ปัญญาที่
สัมปยุตด้วยมรรคและผลนั้น ท่านมิได้ประสงค์เอาในอธิการนี้. เพราะว่า ภิกษุผู้ถึงพร้อมด้วยปัญญานั้น หาเสพเมถุนธรรมไม่ ฉะนี้แล.
               บทว่า ตตฺร คือบรรดาสิกขาทั้ง ๓ เหล่านั้น.
               หลายบทว่า ยา อยํ อธิสีลสิกฺขา 
ได้แก่ อธิสีลสิกขานี้ใด กล่าวคือปาฏิโมกขศีล.
               [อรรถาธิบายบทว่าสิกขาและสาชีพ]               
               สองบทว่า เอตํ สาชีวนฺนาม มีความว่า สิกขาบทนั้นแม้ทั้งปวงที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตั้งไว้ในพระวินัย นี่เรียกว่า สาชีพ เพราะเหตุว่า เป็นที่เป็นอยู่
ร่วมกัน คือเป็นอยู่อย่างเดียวกัน เป็นอยู่ถูกส่วนกัน ประพฤติถูกส่วนกัน แห่งภิกษุทั้งหลายผู้ต่างกันโดยชนิดมีประเทศชาติและโคตรต่างๆ กันเป็นต้น.
               สองบทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ มีความว่า ภิกษุทำสิกขาบทนั้นให้เป็นที่พำนักแห่งจิตแล้ว สำเหนียกพิจารณาด้วยจิตว่า เราศึกษาสมควรแก่สิกขาบท
หรือไม่หนอ? ก็ภิกษุนี้จะชื่อว่าศึกษาอยู่ในสิกขาบท กล่าวคือสาชีพนั้นอย่างเดียวเท่านั้น ก็หามิได้ แม้ในสิกขาก็ชื่อว่าศึกษาด้วย.
               ส่วนสองบทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจบทที่เรียงเป็นลำดับกันว่า เอตํ สาชีวนฺนาม นี้.
      บทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ นั้น พระองค์ตรัสอย่างนั้น ก็จริงแล, แต่ทว่า เนื้อความใน
บทว่า ตสฺมึ สิกฺขติ นี้ พึงเห็นอย่างนี้ว่า เมื่อยังสิกขาให้บริบูรณ์ ชื่อว่าศึกษา
อยู่ในสิกขานั้น และเมื่อไม่ล่วงละเมิด ชื่อว่าศึกษาอยู่ในสิกขาบทนั้น.
               ถึงบทว่า เตน วุจฺจติ สาชีวสมาปนฺโน นี้ ก็ตรัสด้วยอำนาจแห่ง
บทว่าสาชีพ ซึ่งเป็นลำดับเหมือนกัน. ภิกษุนั้นแม้ถึงพร้อมซึ่งสิกขา
 เพราะเหตุใด, เพราะเหตุนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยความประสงค์ว่า
 ถึงพร้อมด้วยสิกขาบ้าง ด้วยว่า เมื่อมีความประสงค์อย่างนั้น.
               บทภาชนะแห่งบทว่า สิกฺขาสาชีวสมาปนฺโน นี้ เป็นอันบริบูรณ์.
               สิกฺขาสาชีวปทภาชนียํ นิฏฺฐิตํ ฯ