Translate

11 สิงหาคม 2567

อรรถกถา วินีตวัตถุ อุทานคาถา เรื่องลิงตัวเมียเป็นต้น. ปฐมปาราชิกสิกขาบท ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

ปุจฉาว่า คำประพันธ์เป็นพระคาถาว่า                                  เรื่องลิงตัวเมีย ๑ เรื่อง
 เรื่องภิกษุ
                         วัชชีบุตร ๑ เรื่อง เรื่องปลอมเป็นคฤหัสถ์ ๑
                         เรื่อง เรื่องเปลือยกาย ๑ เรื่อง
 เรื่องปลอม
                         เป็นเดียรถีย์ ๗ เรื่อง เรื่องเด็กหญิง ๑ เรื่อง
                         เรื่องภิกษุณีชื่ออุบลวรรณา ๑ เรื่อง เรื่อง
                         เพศกลับ ๒ เรื่อง เรื่องมารดา ๑ เรื่อง
 เรื่อง
                         ธิดา ๑ เรื่อง เรื่องพี่น้องหญิง ๑ เรื่อง เรื่อง
                         ภรรยา ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุมีหลังอ่อน ๑ เรื่อง
                         เรื่องภิกษุมีองคชาตยาว ๑ เรื่อง
 เรื่องบาด
                         แผล ๒ เรื่อง เรื่องรูปปั้น ๑ เรื่อง เรื่องตุ๊กตา
                         ไม้ ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุชื่อสุนทร ๑ เรื่อง
                         เรื่องสตรี ๕ เรื่อง เรื่องป่าช้า ๕ เรื่อง
 เรื่อง
                         กระดูก ๑ เรื่อง เรื่องนาคตัวเมีย ๑ เรื่อง
                         เรื่องนางยักษิณี ๑ เรื่อง
 เรื่องหญิงเปรต ๑
                         เรื่อง เรื่องบัณเฑาะก์ ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุมี
                         อินทรีย์พิการ ๑ เรื่อง เรื่องจับต้อง ๑ เรื่อง
                         เรื่องพระอรหันต์ในเมืองภัททิยะหลับ ๑ เรื่อง
                         เรื่องภิกษุเมืองสาวัตถี ๔ เรื่อง
 เรื่องภิกษุ
                         ชาวมัลละเมืองไพศาลี ๓ เรื่อง เรื่องเปิด
                         ประตูนอน ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุชาวเมืองภารุ-
                         กัจฉะฝัน ๑ เรื่อง เรื่องอุบาสิกาชื่อว่าสุปัพพา
                         ๙ เรื่อง เรื่องอุบาสิกาชื่อว่า สัทธา ๙ เรื่อง
                         เรื่องนางภิกษุณี ๑ เรื่อง
 เรื่องนางสิกขมานา
                         ๑ เรื่อง เรื่องนางสามเณรี ๑ เรื่อง เรื่องหญิง
                         แพศยา ๑ เรื่อง เรื่องบัณเฑาะก์ ๑ เรื่อง
                         เรื่องสตรีคฤหัสถ์ ๑ เรื่อง
 เรื่องให้ผลัดกัน
                         ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุผู้เฒ่า ๑ เรื่อง เรื่องลูก
                         เนื้อ ๑ เรื่อง, นี้เป็นอย่างไร
- อุทานคาถานี้ ได้แปลไว้เต็มบริบูรณ์ ตามมหาวิภังค์ วินัยปิฎก ๑/๖๒
- เพื่อเรืองปัญญาของผู้ใคร่ต่อการศึกษา.
            วิสัชนาว่า พระคาถาเหล่านี้ ชื่ออุทานคาถาแห่งวินีตวัตถุ คือเรื่อง
นั้นๆ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงวินิจฉัยด้วยพระองค์เอง ซึ่งพระธรรมสังคาหก
เถระทั้งหลายได้ใฝ่ใจไว้ว่า    พระวินัยธรทั้งหลายจักเรียนเอาเรื่องเหล่านั้นได้สะดวก       จึงได้ตั้งไว้.
         ส่วนวัตถุคาถาพระอุบาลีเถระได้ใฝ่ใจไว้ว่า พระวินัยธรทั้งหลายจัก
วินิจฉัยวินัยต่อไป (ในอนาคต) ด้วยลักษณะนี้ จึงได้ตั้งไว้ในเมื่อพระ
ผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่นั่นเอง. เพราะฉะนั้น พระวินัยธรควร
กำหนดลักษณะที่ตรัสไว้ในวินีตวัตถุนี้ให้ดี แล้วจึงวินิจฉัยปฐมสิกขาบท.
               อนึ่ง ทุติยปาราชิกเป็นต้น ก็ควรวินิจฉัยด้วยลักษณะแห่งทุติยปาราชิกเป็นต้นที่ตรัสไว้แล้วในวินีตวัตถุทั้งหลาย.
 จริงอยู่ วินีตวัตถุทั้งหลายย่อมเป็นเรื่องสำหรับเทียบเคียงของพระวินัยธร
ทั้งหลาย ดุจรูปที่เป็นหลักเทียบเคียงของพวกนักศิลปิน ฉะนั้น.   บรรดาเรื่อง
เหล่านั้น สองเรื่องข้างต้นมีเนื้อความดังที่ตรัสไว้แล้วในอนุบัญญัตินั่นเอง.
               ในเรื่องที่ ๓ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า คิหิลิงฺเคน คือ เป็นผู้นุ่งห่มผ้าขาวอย่างคฤหัสถ์.
               ในเรื่องที่ ๔ ไม่มีคำอะไรๆ ที่ควรกล่าวไว้.
               ในผ้า ๗ ชนิด ถัดจากเรื่องที่ ๔ นั้นไป มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ผ้าที่เขาร้อยหญ้าคาทำ ชื่อว่าผ้าคากรอง. ผ้าเปลือกไม้ของพวก
ดาบส ชื่อว่าผ้าเปลือกปอ. ผ้าที่เขาเย็บทำติดกันเป็นแผ่นมีสัณฐานดังแผ่น
กระดาน ชื่อว่าผ้าทอเป็นแผ่น. ผ้ากัมพลที่เขาเอาเส้นผม (มนุษย์) ทำเป็นเส้นด้ายทอ ชื่อว่าผ้ากัมพลทำด้วยเส้นผม. ผ้ากัมพลที่เขาทอทำด้วยขนหางสัตว์
จามรี ชื่อว่าผ้ากัมพลทำด้วยขนหางสัตว์. ผ้านุ่งที่เขาเอาขนปีกนกเค้าทำ
 ชื่อว่าผ้านุ่งทำด้วยขนปีกนกเค้า. หนังสือ.  และ   มฤคพร้อมทั้งขนและกีบเล็บ ชื่อว่าผ้าหนังสือ.
               ในเรื่องที่ ๑๒ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
 บทว่า สารตฺโต ได้แก่ ผู้มีความกำหนัดด้วยความกำหนัดในอันเคล้าคลึงกาย.
 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบความกำหนัดนั้นแล้ว       จึงตรัสว่า  เป็นอาบัติสังฆาทิเสส.
               [เรื่องนันทมาณพเสพเมถุนธรรมในนางอุบลวรรณาเถรี]               
               ในเรื่องที่ ๑๓ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
         พระเถรีนั้น ชื่อว่าอุบลวรรณาเป็นธิดาของเศรษฐีในเมืองสาวัตถี
 สมบูรณ์ด้วยอภินิหารตั้งแสนกัลป์. แม้โดยปกติ พระเถรีนั้นมีผิวกายสีคล้าย
ดอกอุบลเขียว น่าดูยิ่งนัก. ก็พระเถรีนั้นย่อมรุ่งเรืองยิ่งนัก 
เพราะไม่มีความเร่าร้อนด้วยกิเลสในภายใน. นางได้ชื่อว่าอุบลวรรณา เพราะความที่นางมีผิวงดงามนั้นเอง.
  บทว่า ปฏิพทฺธจิตฺโต 
ความว่า มาณพนั้น มีใจกำหนัดตั้งแต่เวลายังเป็นคฤหัสถ์.
               ได้ยินว่า นันทมาณพนั้นเป็นชายหนุ่ม ซึ่งเป็นญาติของพระเถรีนั้น.
               ศัพท์ว่า อถโข เป็นนิบาต ลงในอรรถว่าลำดับฯ 
มีคำอธิบายว่า ในลำดับแห่งพระเถรีนั่งบนเตียงนั่นแล. 
จริงอยู่ เวลากลางวัน เมื่อบุคคลมาจากภายนอกปิดประตูแล้วนั่ง 
ความมืดจะมีขึ้น. อธิบายว่า มาณพนั้นได้ทำอย่างนั้นตลอดเวลาที่ความมืดนั้นของพระเถรีนั้น ยังไม่หายไปนั่นเอง.
               บทว่า ทูเสสิ แปลว่า ได้ข่มขืนแล้ว.
         ส่วนพระเถรีเป็นผู้หาโทษมิได้ เริ่มตั้งสมณสัญญา ไม่ยินดี นั่งอยู่ ถูก
ความประสงค์อสัทธรรมสัมผัสดุจกองเพลิง เสาหินและตอไม้ตะเคียน ฉะนั้น.
     ฝ่ายนันทมาณพนั้น ครั้นให้ความพอใจของตนสำเร็จบริบูรณ์แล้วก็ไป.
               เมื่อนันทมาณพละคลองแห่งการเห็นของพระเถรีนั้นเท่านั้น มหา
ปฐพีนี้ถึงจะสามารถธารภูเขาสิเนรุไว้ได้ก็ตาม ก็เป็นเหมือนไม่อาจจะธาร
บุรุษชั่วช้านั้น ซึ่งมีซากกเลวระประมาณวาหนึ่งไว้ได้ จึงแยกช่องให้แล้ว.
 ขณะนั้นนั่นเอง เขาได้ถึงความเป็นเชื้อเพลิงแห่งเปลวไฟในอเวจีแล้ว.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสดับเรื่องนั้นแล้ว จึงตรัสว่า
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่ยินดีไม่เป็นอาบัติ ทรงหมายเอาพระเถรี ได้ตรัสพระคาถานี้ในธรรมบทว่า เราเรียก
บุคคลผู้ไม่ติดอยู่ในกามทั้งหลาย เหมือนน้ำไม่ติดอยู่ในใบบัว
               เหมือนเมล็ดพันธุ์ผักกาดไม่ตั้งอยู่บนปลาย
               เหล็กแหลม ฉะนั้น ว่าเป็นพราหมณ์.๑-
๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๑๕/หน้า ๖๙.
              [เรื่องเพศชายกลับเป็นเพศหญิง]               
               ในเรื่องที่ ๑๔ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า อิตฺถีลิงฺคํ ปาตุภูตํ ความว่า เมื่อภิกษุนั้นหยั่งลงสู่ความ
หลับในเวลากลางคืน อวัยวะทั้งปวงมีหนวดและเคราเป็นต้น ซึ่งเป็น
ทรวดทรงของบุรุษหายไป ทรวดทรงของสตรีเกิดขึ้นแทนที่.
               หลายบทว่า ตญฺเญว อุปชฺฌํ ตํ อุปสมฺปทํ 
             ความว่า เราอนุญาตอุปัชฌายะที่เธอเคยถือมาแล้วในกาลก่อนนั่นเอง (และ) การอุปสมบทที่สงฆ์ทำไว้ในกาลก่อนเช่นกัน.
        อธิบายว่า ไม่ต้องถืออุปัชฌายะใหม่ ไม่ต้องให้อุปสมบทใหม่.
               สองบทว่า ตานิ วสฺสานิ 
ความว่า เราอนุญาตให้นับพรรษาจำเดิมแต่อุปสมบทเป็นภิกษุมานั้นนั่นแล.
               อธิบายว่า ไม่ต้องทำการนับพรรษา ตั้งแต่เพศกลับนี้ไปใหม่.
               สองบทว่า ภิกฺขุนีหิสงฺกมิตุํ 
          ความว่า ทั้งเราอนุญาตให้ภิกษุณีนั้นไปด้วยกัน คือ            สมาคมกัน พร้อมเพรียงกันกับภิกษุณีทั้งหลาย.
               มีคำอธิบายตรัสไว้ดังนี้ว่า
               บัดนี้ นางภิกษุณีนั้นไม่ควรอยู่ในท่ามกลางภิกษุทั้งหลาย จงไปยังสำนักนางภิกษุณี แล้วอยู่ร่วมกับนางภิกษุณีเถิด.
               หลายบทว่า ยา อาปตฺติโย ภิกฺขูนํ ภิกฺขูนีหิ สาธารณา 
        ความว่า อาบัติเหล่าใดเป็นเทสนาคามินีก็ตาม เป็นวุฏฐานคามินีก็ตาม ที่ทั่วไปแก่ภิกษุกับนางภิกษุณีทั้งหลาย.
               หลายบทว่า ตา อาปตฺติโย ภิกฺขุนีนํ สนฺติเกวุฏฺฐาตุํ 
ความว่า เราอนุญาตให้ทำวินัยกรรมซึ่งเหล่าภิกษุณีพึงทำแล้วออกจากอาบัติเหล่านั้นแม้ทั้งหมด ในสำนักของนางภิกษุณีทั้งหลาย.
               หลายบทว่า ตาหิ อาปตฺตีหิ อนาปตฺติ 
ความว่า ส่วนอาบัติเหล่าใดมีสุกกวิสัฏฐิเป็นต้นของพวกภิกษุ ซึ่งไม่ทั่วไป
ด้วยนางภิกษุณีทั้งหลาย, ไม่เป็นอาบัติด้วยอาบัติเหล่านั้น คืออาบัติ
เหล่านั้นเป็นอันเธอออกเสร็จแล้วแล เพราะเพศกลับ. ถึงเมื่อเพศเดิม
กลับเกิดขึ้นอีก คงเป็นอนาบัติแก่เธอด้วยอาบัติเหล่านั้นเหมือนกัน.
               วินิจฉัยบาลีในเรื่องที่ ๑๔ นี้ มีเท่านี้ก่อน.
               ส่วนวินิจฉัยท้องเรื่องนอกจากบาลี มีดังต่อไปนี้ :-
               เริ่มแรกในสองเพศนี้ เพศชายเป็นอุดมเพศ เพศหญิงเป็นหีนเพศ เพราะเหตุนั้น เพศชายจึงชื่อว่าอันตรธานไป เพราะอกุศลมีกำลังรุนแรง, เพศ
หญิงปรากฏขึ้นแทน เพราะกุศลมีกำลังเพลาลง. ส่วนเพศหญิงจะอันตรธานไป
 ชื่อว่าอันตรธานไป เพราะอกุศลมีกำลังเพลาลง, เพศชายปรากฏขึ้นแทน
 เพราะกุศลมีกำลังรุนแรง. เพศทั้งสองอันตรธานไปเพราะอกุศล, 
กลับได้คืนเพราะกุศล ด้วยประการฉะนี้.
               [ต้องอาบัติเพราะนอนร่วมกับภิกษุผู้มีเพศกลับ]               
           บรรดาเพศหญิงและเพศชายนั้น ถ้าภิกษุสองรูปทำการสาธยายหรือ
สนทนาธรรมด้วยกัน จำวัดหลับไปในเรือนหลังเดียวกัน, เพศหญิงปรากฏแก่
ภิกษุรูปหนึ่ง เป็นอาบัติเพราะนอนร่วมกัน แม้แก่เธอทั้งสอง. ถ้าภิกษุผู้มีเพศกลับนั้นตื่นขึ้น เห็นประการแปลกนั้นของตนแล้ว มีความทุกข์เสียใจ พึงบอก
แก่ภิกษุอีกรูปหนึ่งในกลางคืนทีเดียว. เธอจงเป็นผู้อันภิกษุนั้นควรปลอบว่า
 อย่าเสียใจไปเลย นี้เป็นโทษของวัฏฏะต่างหาก, พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ได้
ประทานช่องทางไว้แล้วว่า จะเป็นภิกษุหรือภิกษุณีก็ตามที ธรรมอันธรรมดามิได้จำกัด ทางสวรรค์อันธรรมดามิได้ห้าม.
               [วิธีปฏิบัติกับภิกษุณีผู้มีเพศกลับ]               
      ก็แล ครั้นปลอบแล้วควรกล่าวอย่างนี้ว่า สมควรท่านจะไปยังสำนักนาง
ภิกษุณี. ภิกษุณีบางเหล่าซึ่งเป็นเพื่อนเคยเห็นกัน ของท่านมีอยู่หรือ? ถ้า
เธอมีเหล่าภิกษุณีเช่นนั้น พึงบอกว่ามี ถ้าไม่มีพึงบอกว่าไม่มี แล้ว
พึงบอกภิกษุนั้นว่า ท่านโปรดสงเคราะห์ข้าพเจ้าเถิด จงนำข้าพเจ้าไปยังสำนักนางภิกษุณีเดี๋ยวนี้แหละ.
   ภิกษุนั้นพึงพาเธอไปยังสำนักของนางภิกษุณีทั้งหลายซึ่งเป็นเพื่อนเคย
เห็นกันของเธอ หรือเป็นเพื่อนเคยเห็นกันของตนก็ได้. เมื่อจะไป ไม่ควรไป
รูปเดียว ควรถือเอาตะเกียงและไม้เท้า เปลื้องการตระเตรียมเสีย ไปร่วมกับภิกษุ ๔-๕ รูป ด้วยพูดว่า พวกเราจะไปยังสถานที่ชื่อโน้น.
         ถ้าภายนอกบ้านมีวัดอยู่ไกล ก็ไม่เป็นอาบัติในระหว่างทางเพราะคามัน
ตราบัติ (อาบัติเพราะเดินทางข้ามระยะบ้านหนึ่ง) นทีปราบัติ (อาบัติเพราะ
ข้ามฟาก) รัตติวิปปวาสาบัติ (อาบัติเพราะอยู่ปราศจากไตรจีวรราตรีหนึ่ง) และคณโอหียนาบัติ (อาบัติเพราะอยู่รูปเดียวไม่ครบคณะ).        ครั้นไปถึงสำนัก
ของนางภิกษุณีแล้ว พึงกล่าวกะนางภิกษุณีเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายรู้จักภิกษุชื่อโน้นหรือ?
               ภิกษุณีทั้งหลายตอบว่า เจ้าค่ะ รู้จัก พระคุณเจ้าข้า!.
               ภิกษุเหล่านั้นพึงกล่าวว่า ภิกษุรูปนั้นปรากฏเป็นเพศหญิงขึ้น,
 ขอได้โปรดสงเคราะห์เธอเดี๋ยวนี้เถิด.
      ถ้านางภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ดีละ พระคุณเจ้าข้า บัดนี้ แม้พวกดิฉัน
ก็จักสาธยาย จักสดับธรรม ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายจงไปเถิด ดังนี้แล้ว 
ทำความสงเคราะห์ และให้ร่าเริงยินดีทั้งเป็นลัชชินีผู้มีความสงเคราะห์ด้วย,
               เธอไม่ควร๑- ละทิ้งนางภิกษุณีเหล่านั้นไปในสถานที่อื่น ถ้าไปก็ไม่พ้นจากคามันตราบัติ นทีปราบัติ รัตติวิปปวาสาบัติและคณโอหียนาบัติ.
            อนึ่ง ถ้านางภิกษุณีเหล่านั้นเป็นลัชชินี แต่ไม่มีความสงเคราะห์ ย่อม
ได้เพื่อจะไปในสถานที่อื่น. แม้ถ้าเป็นอลัชชินี (ทั้งหมดวัด) แต่ทำความ
สงเคราะห์ ย่อมได้เพื่อจะละทิ้งแม้นางภิกษุณีเหล่านั้นแล้วไปเสียในที่อื่น.
         อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าเป็นทั้งลัชชินี ทั้งมีความสงเคราะห์ แต่ไม่
เป็นญาติ, และในบ้านใกล้ ภิกษุณีเหล่าอื่นที่เป็นญาติมีอยู่ ทั้งเป็นผู้ประคับ
ประคอง, ควรไปยังสำนักของภิกษุณีแม้เหล่านั้น ครั้นไปแล้ว ถ้าตนปฏิบัติ
นิสัย (ยังถือนิสัย) แม้ในคราวเป็นภิกษุ ก็ควรถือนิสัยในสำนักของนางภิกษุณี
ผู้สมควร. มาติกาก็ดี วินัยก็ดีที่เรียนมาแล้ว ก็เป็นอันเรียนแล้วด้วยดี ไม่มีเหตุที่จะต้องเรียนซ้ำอีก.
            ถ้าในคราวยังเป็นภิกษุ ภิกษุรูปนั้นเป็นผู้ปกครองบริษัท, กุลบุตรทั้ง
หลายผู้อุปสมบทแล้วในสำนักของภิกษุรูปนั้นนั่นแล ก็เป็นอันอุปสมบทชอบ
แล้ว, แต่ต้องถือนิสัยในสำนักของอาจารย์รูปอื่น. แม้พวกอันเตวาสิกผู้
อาศัยเธอนั้นอยู่ในกาลก่อน ก็ต้องถือนิสัยในสำนักของอาจารย์รูปอื่น. ถึงแม้
สามเณรผู้มีอายุเต็มบริบูรณ์ ก็ต้องถืออุปัชฌายะในสำนักของภิกษุรูปอื่น.
๑- ตา โกเปตฺวาติ ตา ปริจฺจชิตฺวา. สารัตถทีปนึ ๒/๑๕๙.
               [วิธีปฏิบัติในเครื่องบริขารต่างๆ]               
         อนึ่ง ไตรจีวรและบาตรที่ภิกษุนั้นอธิษฐานไว้แล้วในคราวยังเป็นภิกษุ
ย่อมขาดอธิษฐานไป ต้องอธิษฐานใหม่. ภิกษุณีควรให้ใช้ผ้ารัดถันและผ้าอาบ
น้ำ. อติเรกจีวรก็ดี อติเรกบาตรก็ดีที่ภิกษุนั้นทำวินัยกรรมเก็บไว้แล้วแม้
ทั้งหมด ย่อมละวินัยกรรมไปต้องทำใหม่. แม้เภสัชมีน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อย
 ที่เธอรับประเคนไว้เป็นต้น ย่อมขาดประเคนไป.
         ถ้าเพศเปลี่ยนกลับในวันที่ ๗ แต่วันที่รับประเคนไป, รับประเคนใหม่ ควร
ฉันได้ ๗ วัน.- ส่วนสิ่งใดเป็นของภิกษุรูปอื่น เธอรับประเคนไว้ในเวลาเป็น
ภิกษุ สิ่งนั้นไม่ขาดประเคน. แม้สิ่งใดที่เป็นของทั่วไปแก่ภิกษุสองรูปยังมิได้
แบ่งปันกัน ปกตัตตภิกษุย่อมรักษาสิ่งนั้นไว้. ส่วนสิ่งใดได้แบ่งกันแล้ว
เป็นของเธอเอง สิ่งนั้นย่อมขาดประเคนไป.
               จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัส คำนี้ไว้ในคัมภีร์บริวารว่า
                         ภิกษุรับประเคนน้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย
               หรือเนยใสเองแล้ว เก็บไว้เอง เมื่อยังไม่ล่วง
               ๗ วัน เป็นอาบัติแก่เธอผู้ฉัน เพราะมีปัจจัย,
               ปัญหานี้ท่านผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันแล้ว.
- สตฺตาหํปริภุญฺชิตุํ วฏฺฏติ. สารัตถทีปนี. ๒/๑๖๐.
               [ขาดประเคนเพราะเหตุ ๗ อย่าง]               
            จริงอยู่ พระพุทธพจน์นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเพศกลับ.
 ขึ้นชื่อว่า การรับประเคนย่อมขาดไป เพราะเพศกลับ ๑ เพราะมรณภาพ ๑
 เพราะลาสิกขา ๑ เพราะหันไปเป็นคนเลว ๑ เพราะให้แก่อนุปสัมบัน ๑ เพราะ
ไม่เสียดายสละเสีย ๑ เพราะถูกชิงเอาไป ๑ เพราะฉะนั้น แม้ถ้ามีสิ่งของที่รับ
ประเคนเก็บไว้จะเป็นชิ้นสมอก็ตาม สิ่งทั้งหมดของเธอย่อมขาดประเคนไป.
               อนึ่ง สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นของนางภิกษุณีนั้น เธอรับประเคนหรือยัง
มิได้รับประเคนก็ตาม ซึ่งเก็บไว้ในวิหารของภิกษุ, ภิกษุณีรูปนั้นแลเป็นใหญ่
แห่งสิ่งของทั้งหมด ควรให้เธอขนเอาไปเสีย. ส่วนสิ่งใดเป็นของถาวรซึ่งเป็น
ของส่วนตัวของเธอในวิหารของภิกษุนี้ จะเป็นเสนาสนะหรือต้นไม้ที่ปลูกไว้
ก็ตาม, เธอปรารถนาจะให้สิ่งของเหล่านั้นแก่บุคคลใด ก็พึงให้แก่บุคคลนั้น.
  บรรดาสมมติ ๑๓ อย่าง สมมติที่เธอได้ในเวลาเป็นภิกษุ ย่อมระงับไป
ทั้งหมด. การถือเสนาสนะในวันเข้าพรรษาแรก ย่อมระงับไป. ถ้าเพศ
กลับในเมื่อเธอถือเสนาสนะในวันเข้าพรรษาหลังแล้ว และ         ภิกษุสงฆ์ปรารถนาจะให้ลาภที่เกิดขึ้นแก่เธอควรอปโลกน์ให้. ถ้าเพศ
กลับเมื่อกำลังอยู่ปริวาสเพื่ออาบัติที่ปิดไว้ทั่วไปกับนางภิกษุณี สงฆ์พึงให้ปักข
มานัตทีเดียว. ถ้าเพศกลับกำลังประพฤติมานัตควรให้ปักขมานัตซ้ำอีก.
      ถ้าเพศกลับเมื่อประพฤติมานัตแล้ว พวกภิกษุณีควรทำอัพภานกรรม. ถ้า
เมื่ออกุศลวิบากหมดสิ้นแล้ว เพศกลับใหม่อีกในกาลแห่งปักขมานัต พึงให้
มานัต ๖ ราตรีเท่านั้น. ถ้าประพฤติปักขมานัตเสร็จแล้ว เพศจึงกลับ พวกภิกษุพึงทำอัพภานกรรมฉะนี้แล.
               ในเรื่องเพศกลับของนางภิกษุณีในลำดับต่อไป พึงทราบวินิจฉัยทั้งปวงตามนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องนี้นั่นแล.
  ส่วนเนื้อความที่แปลกกันมีดังต่อไปนี้ :
แม้ถ้าในเวลาเป็นภิกษุณีมีสัญจริตอาบัติที่ต้องแล้วปิดไว้ ไม่มีการให้ปริวาส พึงให้มานัต ๖ ราตรีทีเดียว. 
เพศกลับเมื่อกำลังประพฤติ    ปักขมานัต    ไม่ต้องการด้วยปักขมานัตนั้น พึงให้มานัต ๖ ราตรีเหมือนกัน.
 ถ้าเพศกลับเมื่อประพฤติมานัตเสร็จแล้ว ไม่ต้องให้มานัตซ้ำอีก ภิกษุทั้ง
หลายพึงอัพภาน. ถ้าเมื่อภิกษุทั้งหลายยังไม่ให้มานัต เพศกลับคืนใหม่ พวก
ภิกษุณีพึงให้ปักขมานัตนั่นเอง. ถ้ากำลังประพฤติมานัต ๖ ราตรี เพศกลับ
คืนใหม่ พึงให้ปักขมานัตเหมือนกัน. แต่เมื่อประพฤติมานัตเสร็จแล้ว เพศ
กลับคืนตามเดิม พวกภิกษุณีพึงทำอัพภานกรรมให้.
               อนึ่ง แม้เมื่อนางภิกษุณีนั้นคงตั้งอยู่ในความเป็นภิกษุ ในเมื่อเพศกลับคืนตามเดิมแล้วอาบัติเหล่าใดที่ระงับไปแล้วในกาลก่อน
 อาบัติเหล่านั้นเป็นอันระงับด้วยดีทีเดียวแล.
               เรื่องทั้ง ๔ เรื่องต่อจากเพศกลับคืนนี้ไปมีอาทิว่า มาตุยา เมถุนํ ธมฺมํ ดังนี้ มีเนื้อความชัดเจนแล้วทั้งนั้น.
    ในเรื่องภิกษุมีหลังอ่อนมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ได้ยินว่า ภิกษุรูปนั้นเคยเป็นนักระบำ หลังของเธอได้
ทำการฝึกหัดมาแล้ว เพื่อความเป็นผู้ฉลาดในศิลปะ จึงได้เป็นอวัยวะที่อ่อน. 
เพราะฉะนั้น เธอจึงได้ย่อตัวลงทำกรรมอย่างนั้นแล้ว.
               ในเรื่องภิกษุมีองคชาตยาวมีวินิจฉัยดังนี้ :-
ภิกษุรูปนั้นมีองคชาตยาว เพราะฉะนั้นท่านจึงเรียกว่าลัมพีผู้มีองค์กำเนิดยาว.  
เรื่องบาดแผล ๒ เรื่อง            ต่อจากเรื่องภิกษุมีองคชาตยาวนี้ไป มีเนื้อความชัดเจนแล้วทีเดียว.
               ในเรื่องรูปปั้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               รูปที่ทำด้วยจิตรกรรม ชื่อว่า เลปจิตร คือรูปปั้น.
               ในเรื่องตุ๊กตาไม้มีวินิจฉัยดังนี้ :-
   รูปที่เขาทำด้วยไม้ ชื่อว่าตุ๊กตาไม้. เหมือนอย่างว่า เมื่อภิกษุพยายามในรูป
จิตรกรรมและรูปตุ๊กตาไม้ทั้ง ๒ นี้ เป็นทุกกฏฉันใด, เมื่อพยายามด้วย
ความกำหนัดในเมถุนที่นิมิตในรูปหญิงซึ่งเป็นอนุปาทินนกะ (รูปที่ไม่มีใจครอง) มีรูปฟัน รูปผ้าเปลือกไม้และรูปโลหะเป็นต้นแม้เหล่าอื่น อสุจิจะเคลือนออก
หรือไม่ก็ตามเป็นทุกกฏทีเดียวฉันนั้น. ถึงเมื่อจะพยายามด้วยความกำหนัดใน
อันเคล้าคลึงกาย ก็เป็นทุกกฏเหมือนอย่างนั้นแล. แต่เมื่อพยายามด้วยความ
กำหนัดในอันปล่อย เมื่ออสุจิเคลื่อนออกเป็นสังฆาทิเสส, เมื่อไม่เคลื่อนออกเป็นถุลลัจจัยฉะนี้แล.
               [เรื่องสตรีรักสวาทพระภิกษุสุนทร]               
               ในเรื่องพระภิกษุชื่อสุนทร มีวินิจฉัยดังนี้ :-
            พระภิกษุรูปนี้ชื่อสุนทร เป็นเด็กหนุ่มของตระกูลในกรุงราชคฤห์
 บวชด้วยศรัทธา เพราะความที่ท่านมีอัตภาพสวยงาม จึงได้นามว่าสุนทร. 
สตรีนางนั้นพบเห็นท่านกำลังเดินไปตามทางรถ    ก็เกิดฉันทราคะขึ้นแล้ว   ได้กระทำอาการที่แปลกนี้.
               ส่วนพระเถระเป็นพระอนาคามี เพราะเหตุนั้น ท่านจึงไม่ยินดี. อันสภาพคือความไม่ยินดีนี้ ไม่ใช่วิสัยของปุถุชนเหล่าอื่น.
   ใน ๔ เรื่องถัดจากเรื่องพระสุนทรนี้ไป มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
 ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้เซอะโง่เขลารับคำของมาตุคามแล้ว   ทำตามอย่างนั้น       ภายหลังจึงมีความรังเกียจขึ้น.
๓ เรื่องมีเรื่องซากศพที่สัตว์ยังมิได้กัดกินเป็นต้นมีเนื้อความชัดเจนแล้วทั้งนั้น.
               [ภิกษุเสพเมถุนธรรมทางปากศพเป็นปาราชิก]               
               ในเรื่องซากศพที่มีศีรษะขาด ๒ เรื่องมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า วฏฺฏกเต มุเข คือ ในปากที่อ้า.
               ภิกษุเมื่อสอดองคชาตเข้าไป (ในปากที่อ้านั้น) ถ้าสอดเข้าไปให้ถูก
ข้างล่างก็ดี ข้างบนก็ดี ข้างทั้งสองก็ดี เป็นปาราชิก. ครั้นสอดเข้าไปไม่ถูกทั้ง 
๔ ข้าง แต่ถูกเพดานข้างในเป็นปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อไม่ถูกทั้ง ๔ ข้าง
และ       เพดาน สอดให้เชิดไปบนอากาศเท่านั้นและชักออก เป็นทุกกฏ.
         อนึ่ง ถ้าฟันปิดแนบสนิทดี ภายในปาก ไม่มีช่อง และฟันถูกเนื้อริม
ฝีปากภายนอกปิด เมื่อภิกษุสอดเข้าไปยังช่องที่เปียกชุ่ม ซึ่งลมไม่ถูกต้อง ใน
ปากที่มีเนื้อริมฝีปากปิดไว้นั้น แม้ชั่วเมล็ดงาเดียวเป็นปาราชิกเหมือนกัน.
 แต่เมื่อพยายามเฉพาะที่ฟัน ซึ่งมีเนื้อริมฝีปากที่เขาเฉือนออกไปแล้ว เป็นถุล
ลัจจัย. แม้ฟันซี่ใดที่ยื่นออกไปข้างนอก ไม่อาจจะปิดริมฝีปากได้, เมื่อภิกษุ
พยายามที่ฟันนั้นก็ดี พยายามที่ลิ้นซึ่งยื่นออกไปข้างนอกก็ดี เป็นถุลลัจจัย
เหมือนกัน. แม้ในสรีระที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อพยายามที่ลิ้นซึ่งยื่นออกไปข้างนอก เป็นถุลลัจจัยเหมือนกัน. แต่ถ้าฟันที่ลิ้นซึ่งยื่นออกไปข้างนอกไว้มิดชิดแล้วจึง
สอดเข้าไปในปากเป็นปาราชิกเหมือนกัน. เมื่อสอดองคชาตเข้าไปบนคอทาง
ส่วนล่างแม้แห่งซากศพที่มีศีรษะขาด ถูกเพดาน เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
            ในเรื่องกระดูกมีวินิจฉัยดังนี้ :-
         แม้เมื่อภิกษุกำลังเดินไปยังสุสาน เป็นทุกกฏ เมื่อรวบรวมกระดูกมา
ไว้ก็ดี กองไว้ก็ดี พยายามที่นิมิตด้วยความกำหนัดในเมถุนก็ดี พยายามด้วย
ความกำหนัดในอันเคล้าคลึงกายก็ดี อสุจิจะเคลื่อนออกหรือไม่ก็ตาม เป็น
ทุกกฏทั้งนั้น แต่เมื่อพยายามด้วยความกำหนัดในอันปล่อย เมื่ออสุจิ
เคลื่อนออกเป็นสังฆาทิเสส เมื่อไม่เคลื่อนออกเป็นถุลลัจจัย.
         ในเรื่องนาคตัวเมียมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อภิกษุเสพเมถุนธรรมในจำพวกสัตว์ทั้งปวง จะเป็นนางนาค
มาณวิกา หรือบรรดานางกินรีเป็นต้นตนใดตนหนึ่งก็ตาม เป็นปาราชิก.
        ในเรื่องนางยักษิณีมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เทวดาแม้ทั้งหมด ก็คือนางยักษิณีนั่นเอง.
               [ภิกษุเสพเมถุนธรรมในหญิงเปรตเป็นต้นเป็นปาราชิก]               
       ในเรื่องหญิงเปรตมีวินิจฉัยดังนี้ :-
   เปรตทั้งหลายมีนิชฌามตัณหิกเปรตเป็นต้น ใครๆ ไม่สามารถแม้จะแตะต้องได้. แต่นางวิมานเปรตทั้งหลายมีอยู่ อกุศลกรรมของนางวิมานเปรตเหล่าใดให้
ผลอยู่ในข้างกาฬปักข์ นางวิมานเปรตเหล่านั้นย่อมได้เสวยสมบัติในข้างชุณหปักข์ เหมือนเทวดาฉะนั้น. ถ้าการเห็น การจับ การลูบคลำ การถูกต้องและ
การกระทบของหญิงเปรต หรือของนางยักษิณีผู้เห็นปานนั้นปรากฏได้ เป็น
ปาราชิก. ถ้าแม้ไม่มีการเห็น แต่กิจนอกนี้ปรากฏ ก็เป็นปาราชิกเหมือนกัน.
               อีกอย่างหนึ่ง การเห็นและการจับไม่ปรากฏ แต่เปรตทำบุคคลนั้น (คือภิกษุ) ให้ปราศจากสัญญา (หมดสติ) ด้วยการลูบคลำ ถูกต้องและกระทบ
ที่ปรากฏอยู่ให้สำเร็จมโนรถของตนแล้วก็ไป ความพยายามนี้ 
ชื่อว่าไม่ใช่วิสัย เพราะฉะนั้น ในข้อนี้จึงไม่เป็นอาบัติ เพราะไม่ใช่วิสัย.
               เรื่องบัณเฑาะก์ปรากฏชัดแล้วแล.
               ในเรื่องภิกษุมีอินทรีย์พิการมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               บทว่า อุปหตินฺทฺริโย 
ความว่า เธอมีกายประสาทถูกโรคเบียดเบียนแล้ว ย่อมไม่รู้สึก
สุขหรือทุกข์ เหมือนตอไม้และท่อนไม้ ฉะนั้น.       แม้เมื่อเธอไม่รู้สึก ก็เป็นอาบัติ เพราะอำนาจเสวนจิต.
               ในเรื่องเพียงถูกต้องกายมีวินิจฉัยดังนี้ :-
         ภิกษุรูปใดคิดในใจว่า เราจักเสพเมถุนธรรม จึงจับมาตุคาม คลาย
ความกำหนัดในเมถุนแล้วเป็นผู้มีความวิปฏิสาร ภิกษุรูปนั้นเป็นทุกกฏเท่านั้น. 
เพราะว่ากิจทั้งหลายมีการจับมือเป็นต้นเป็นปุพพประโยคแห่งเมถุนธรรม 
ย่อมตั้งอยู่ในทุกกฏ ตราบเท่าที่ยังไม่ถึงที่สุดเมื่อถึงที่สุดแล้วจึงเป็นปาราชิก.
               จริงอยู่ ทุกกฎเท่านั้นใกล้ต่อปฐมปาราชิก. บรรดาอาบัติทั้ง ๓ นอกนี้ (ทุกกฏ ถุลลัจจัย สังฆาทิเสส) ถุลลัจจัยก็ใกล้ต่อปฐมปาราชิก ส่วนภิกษุรูปนี้
ปราศจากความกำหนัดในเมถุนธรรมแล้ว พึงทราบว่า ยินดีเฉพาะการเคล้า
คลึงกาย. เพราะเหตุนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นอาบัติสังฆาทิเสส.
               [เรื่องภิกษุอรหันต์ชาวภัททิยนครจำวัดหลับ]               
               ในเรื่องภิกษุชาวเมืองภัททิยะมีวินิจฉัยดังนี้ :-
         นครชื่อว่าภัททิยะ. นครนั้นได้ชื่ออย่างนี้ เพราะมีพุ่มดอกมะลิชาติ ที่ชื่อว่าชาติยาวัน หนาแน่น. ป่านั้นมีอยู่ใกล้อุปจารแห่งพระนครนั้น. ภิกษุรูปนั้น
พักจำวัดอยู่ที่ป่านั้น แล้วก้าวลงสู่ความหลับสนิท เพราะถูกลมรำเพยพัดนั้น. ภวังคจิตมีกระแสเดียวเท่านั้นแล่นไป.
       สองบทว่า กิลินฺนํ ปสฺสิตฺวา 
ความว่า เห็นองคชาตเปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ.
     ๕ เรื่อง ถัดจากเรื่องภิกษุชาวเมืองภัททิยะนี้ไป คือเรื่องที่ปฏิสังยุตด้วยความยินดีมี ๔ เรื่องและเรื่องไม่รู้สึกตัวมี ๑ เรื่อง มีเนื้อความชัดเจนแล้วทีเดียว.
               ในเรื่องไม่ยินดีอีก ๒ เรื่อง มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า สหสา วุฏฺฐาสิ 
ความว่า ภิกษุรูปนั้นรีบ      ลุกขึ้นทันที เหมือนถูกอสรพิษกัด และ      เหมือนถูกไฟไหม้ ฉะนั้น.
            สองบทว่า อกฺกมิตฺวา ปวฏฺเฏสิ 
ความว่า ภิกษุผู้ไม่ประมาท เริ่มเจริญวิปัสสนา ควบคุมสติไว้เฉพาะหน้า รีบ
ลุกขึ้นทันที ยันให้กลิ้งกลับ เลื่อนตกไปบนพื้นดิน. อันกัลยาณปุถุชนทั้งหลาย
ควรรักษาจิตไว้ ในฐานะเห็นปานนี้. และภิกษุรูปนี้เป็นบรรดากัลยาณปุถุชน
เหล่านั้นรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นเช่นกับยอดนักรบในสงคราม.
               [เรื่องภิกษุเปิดประตูจำวัด]     
                         ในเรื่องเปิดประตูจำวัด มีวินิจฉัยดังนี้ :-
            สองบทว่า ทิวา ปฏิสลฺลิยนฺเตน 
           ความว่า ผู้จะพักจำวัดในกลางวัน.
               หลายบทว่า ทฺวารํ สํวริตฺวาปฏิสลฺลิยิตุํ 
ความว่า เพื่อให้ปิดประตูก่อนจึงจำวัดได้. ก็ในเรื่องเปิดประตูจำวัดนี้ ในพระ
บาลีพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ปรับอาบัติไว้ว่า เป็นอาบัติชื่อนี้ แม้ก็จริง ถึง
กระนั้น พระเถระทั้งหลายก็ปรับเป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไม่ปิดประตูเสียก่อนพักผ่อน เพราะเมื่อเรื่องเกิดขึ้น เพราะโทษที่เปิดประตูนอน.
               พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้จะพักผ่อนในกลางวัน ปิดประตูเสียก่อนจึงพักผ่อนได้.
               จริงอยู่ พระเถระทั้งหลายมีพระอุบาลีเถระเป็นต้น ทราบพระ
ประสงค์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว จึงได้ตั้งอรรถกถาไว้.
 ก็คำที่ว่า เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ไม่ปิดประตูเสียก่อน พักผ่อน นี้สำเร็จแล้ว
แม้ด้วยคำนี้ว่า มีอาบัติที่ภิกษุต้องในกลางวัน ไม่ต้องในกลางคืน.
               [อธิบายประตูเช่นไรควรปิดและไม่ควรปิด]               
               ถามว่า ก็ประตูเช่นไรควรปิด? เช่นไรไม่ควรปิด?
          แก้ว่า ประตูเวียนที่เขาเอาบรรดาวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่ง มีไม้เลียบ
ไม้ไผ่เลียบ ลำแพนและใบไม้เป็นต้น ทำเป็นบานประตูแล้วสอดลูกล้อครกไว้
ตอนล่างและห่วงบนไว้ตอนบนนั่นแล ควรปิด. ประตูชนิดอื่นเห็นปานนี้ คือ
ประตูลิ่มสลักไม้และประตูหนาม ที่คอกฝูงโค ประตูล้อเลื่อนสำหรับกั้น
บ้านในบ้าน ประตูแผงเลื่อนที่เขาทำประกอบลูกล้อ ๒-๓ อันไว้ที่แผ่น
กระดานหรือที่กันสาด ประตูแผงลอยที่เขาทำยกออกได้ เหมือนอย่างในร้าน
ตลาด    ประตูลูกกรงที่   เขาร้อยซี่ไม้ไผ่ไว้ในที่    ๒-๓ แห่ง ทำไว้ที่
บรรณกุฏี (กระท่อมใบไม้) ประตูม่านผ้า ไม่ควรปิด.
               ก็ประตูม่านผ้าชนิดเดียวเท่านั้น ไม่ทำให้ต้องอาบัติ ในเวลาที่
ภิกษุมีบาตรที่มือผลักบานประตู. เมื่อผลักประตูที่เหลือต้องอาบัติ. แต่ประตู
เวียนนั่นแล ทำให้ต้องอาบัติแก่ภิกษุผู้พักผ่อนในกลางวัน.
            ประตูที่เหลือ เมื่อภิกษุปิดก็ตาม ไม่ปิดก็ตามแล้วจำวัด อาบัติหามี
ไม่ แต่ควรปิดเสียก่อน จึงจำวัด ข้อนี้เป็นธรรมเนียม.
               ถามว่า ก็ประตูเวียนย่อมเป็นอันปิดดีแล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่าไร?
               แก้ว่า เมื่อใส่ลูกดาลและลิ่มสลักแล้ว ก็เป็นอันปิดด้วยดีทีเดียว.
            อีกประการหนึ่ง แม้เมื่อใส่เพียงลูกดาลแล้วจะพักจำวัดก็ควร แม้
เมื่อใส่เพียงลิ่มสลักแล้ว จะพักจำวัดก็ควร แม้เมื่อปิดพอให้บานประตูจดกัน
แล้ว จะพักจำวัดก็ควร แม้เมื่อปิดแง้มไว้เล็กน้อยแล้ว จะพักจำวัดก็ควร ด้วยวิธี
อย่างหลังที่สุด แม้เมื่อปิดประตูแง้มไว้ขนาดพอ            ศีรษะสอดเข้าไม่ได้ จะพักจำวัด ก็ควรฉะนี้แล.
               ถ้าสถานที่นั้นเป็นที่ใช้ของคนหมู่มาก แม้จะพูดกะภิกษุหรือ
สามเณรว่า อาวุโส จงช่วยกันรักษาประตู แล้วจำวัดก็ควร. ถ้าแม้
จะทำความผูกใจไว้ว่า ภิกษุทั้งหลายผู้นั่งทำจีวรกรรม หรือกิจอะไร
อย่างไรอื่นอยู่ เธอเหล่านั้นจักช่วยรักษาประตูนั่น ดังนี้แล้วจำวัดก็ควร.
               ส่วนในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวว่า จะบอกแม้กะอุบาสกหรือ
จะทำความผูกใจไว้ว่า อุบาสกนี้จะช่วยรักษา แล้วจำวัดก็ควร,       จะบอกภิกษุณีหรือมาตุคามอย่างเดียวไม่ควร.
               ถ้าลูกล้อหรือห่วงบนประตูเสียหายไป หรือไม่ตั้งอยู่ (ในที่เดิม) จึงไม่อาจจะปิดได้ ก็อีกอย่างหนึ่ง เพื่อประโยชน์แก่นวกรรม เขาทำกองอิฐหรือกอง
ดินเหนียวเป็นต้นไว้ภายในประตู หรือผูกนั่งร้านไว้ โดยที่ไม่อาจจะปิด (ประตู) ได้ ในอันตรายเห็นปานนั้น แม้จะไม่ปิดประตู พักจำวัดก็ควร.
ก็ถ้าไม่มีบานประตู เป็นอันได้ข้ออ้างแท้. เมื่อจะจำวัดข้างบนควรยกม่านขึ้นไว้ จึงจำวัด. ถ้าข้างบนม่านมีไม้สำหรับกั้นไว้ ควรกั้นไว้ จึงจำวัด. เมื่อจะจำวัด
ในห้อง จะปิดประตูหรือประตูหน้ามุขอย่างใดอย่างหนึ่งไว้แล้วจำวัด ก็ควร.
   ถ้าที่ข้างทั้งสองในเรือนมีฝาด้านเดียว เขาทำใช้หลายประตู, ควรรักษา
ทั้งสองประตู. ในปราสาทแม้ ๓ ชั้น ควรรักษาประตูเดียวเท่านั้น. 
ถ้าภิกษุมากรูปกลับจากเที่ยวภิกขาจาร เข้าไปยังปราสาทเช่นโลหปราสาท 
เพื่อพักผ่อนกลางวัน, พระสังฆเถระควรสั่งผู้รักษาประตูว่า จงช่วยรักษาประตู 
หรือจะทำความผูกใจไว้ว่า การรักษาประตูเป็นภาระของนายทวารบาลนั่น
 แล้วพึงเข้าไปจำวัดเถิด.       ภิกษุทั้งหลายควรทำอย่างนั้นเหมือนกัน       จนถึงพระสังฆนวกะ.
 ผู้ที่เข้าไปก่อนแม้จะทำความผูกใจไว้อย่างนี้ว่า ขึ้นชื่อว่าการรักษาประตูเป็นภาระของผู้มาภายหลัง ดังนี้ก็ควร.
            เมื่อภิกษุไม่ทำการบอกเล่าหรือความผูกใจไว้ แล้วพักจำวัดภายใน
ห้องที่ไม่ได้ปิดประตูหรือภายนอกห้อง เป็นอาบัติ. แม้ในเวลาจำวัดในห้องหรือ
ในภายนอกห้อง ทำความผูกใจไว้ว่า ขึ้นชื่อว่าการรักษาประตูในประตูใหญ่เป็น
ภาระของนายทวารบาล ดังนี้แล้วจำวัด ควรเหมือนกัน. แม้ภิกษุผู้จะจำวัดที่พื้น
อากาศ(ดาดฟ้า)ในสถานที่มีโลหปราสาทเป็นต้น ควรปิดประตูแท้ทีเดียว.
               ก็ในเรื่องปิดประตูจำวัดนี้ มีความสังเขปดังต่อไปนี้ :-
      การพักผ่อนในกลางวันนี้ ท่านกล่าวไว้ในสถานที่มีระเบียงซึ่งล้อมด้วย
กำแพงหรือรั้วอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้น อันภิกษุผู้จะจำวัดในที่แจ้ง
โคนต้นไม้ หรือมณฑปที่ใดที่หนึ่งซึ่งมีระเบียง ควรปิดประตูเสียก่อน จึงจำวัด.
               ถ้าเป็นบริเวณใหญ่ซึ่งเป็นสถานที่ชุมนุมของคนหมู่มาก เช่นลานมหาโพธิ์และลานโลหปราสาท, ในสถานที่ใด ประตูแม้ที่เขาปิดแล้ว ก็ไม่ตั้งอยู่ใน
ที่ๆ ปิด (คือปิดๆ เปิดๆ) ภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่ได้ประตูถึงต้องเที่ยวปีนขึ้นกำแพงไป ในสถานที่นั้นไม่มีกิจที่จะต้องปิด (ประตู).
       ภิกษุเปิดประตูจำวัดตลอดคืน ลุกขึ้นแล้วในเวลารุ่งอรุณ ไม่เป็นอาบัติ. 
แต่ถ้าตื่นแล้วหลับซ้ำอีกเป็นอาบัติ. ส่วนภิกษุรูปใดกำหนดไว้ทีเดียวว่า
 เมื่อรุ่งอรุณแล้วจักลุกขึ้น ไม่ได้ปิดประตูจำวัดตลอดคืน แต่ลุกขึ้นทันตามกำหนดนั่นเอง. ภิกษุรูปนั้นเป็นอาบัติทีเดียว.    ส่วนในอรรถกถามหาปัจจรีท่าน
กล่าวไว้ว่า เมื่อจำวัดด้วยอาการอย่างนั้น ไม่พ้นจากทุกกฏเพราะไม่เอื้อเฟื้อ.
               ส่วนภิกษุใดรักษา (พยาบาล) ภิกษุอาพาธเป็นต้นหลายราตรีทีเดียว หรือเดินทางไกล มีร่างกายอิดโรยทั้งวัน นั่งบนเตียงแล้ว พอยกเท้ายังไม่พ้น
จากพื้นดินเลย ก็จำวัดหลับ เพราะอำนาจความหลับ (ครอบงำ),
               ภิกษุนั้นไม่เป็นอาบัติ.
               ถ้าเธอก้าวลงสู่ความหลับทั้งไม่รู้สึกตัว พอยกเท้าขึ้นเตียง ก็เป็นอาบัติทีเดียว. เมื่อนั่งพิงหลับไปไม่เป็นอาบัติ.
               อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุรูปใดเดินจงกรมด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความง่วงแล้วล้มลง รีบลุกขึ้นทันที แม้ภิกษุรูปนั้นก็ไม่เป็นอาบัติ. ส่วนภิกษุรูปใดล้มลง
แล้ว นอนอยู่ในสถานที่นั้นนั่นเองไม่ยอมลุกขึ้น ภิกษุรูปนั้นเป็นอาบัติ.
               ถามว่า ใครพ้น (จากอาบัติ)? ใครไม่พ้น?
               แก้ว่า ในอรรถกถามหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ก่อนว่า ผู้ที่จำวัดโดยพับไปข้างเดียวนั่นแลย่อมพ้น, ส่วนที่ยกเท้าพ้นจากพื้นดินแล้วจำวัด จะเป็นผู้ที่ถูก
ยักษ์เข้าสิงก็ตาม เป็นผู้ปราศจากสัญญา (หมดสติ) ก็ตาม ย่อมไม่พ้น.
               ในอรรถกถากุรุนที ท่านกล่าวไว้ว่า ผู้ที่ถูกมัดให้นอนเท่านั้น ย่อมพ้น.
               ส่วนในมหาอรรถกถา พระมหาปทุมเถระกล่าวไว้ว่า ภิกษุรูปใดเดิน
จงกรมอยู่ สลบล้มลง แล้วหลับอยู่ในสถานที่นั้นนั่นเอง อาบัติย่อมไม่ปรากฏแก่ภิกษุรูปนั้น เพราะเธอไม่มีอำนาจ. แต่พระอาจารย์ทั้งหลายมิได้กล่าวไว้
 เพราะฉะนั้น จึงเป็นอาบัติทีเดียว.     ส่วนภิกษุ ๒ รูป คือ ผู้ที่ยักษ์เข้าสิง ๑ ผู้ที่ถูกมัดให้นอน ๑ ย่อมพ้นจากอาบัติแท้แล.
               [เรื่องภิกษุฝันได้เสพเมถุนธรรม]               
               ในเรื่องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะมีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า อนาปตฺติ สุปินนฺเตน ความว่า ชื่อว่าไม่เป็นอาบัติ เพราะความฝันด้วยอาการอย่างนี้ เพราะไม่ใช่วิสัย เหตุดังนั้น พระอุบาลีเถระจึงได้
วินิจฉัยเรื่องนี้ แม้ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้ายังไม่เคยทรงวินิจฉัยเลย โดยความถือเอาตามนัย.     และแม้พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงสดับ
 (เรื่องที่ท่านพระอุบาลีเถระวินิจฉัยนั้นแล้ว) ตรัสว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อุบาลีกล่าวไว้ชอบแล้ว, อุบาลีกล่าวแก้ปัญหานี้ ดุจทำ
รอยเท้าไว้ในที่ไม่มีรอยเท้า ดุจแสดงรอยเท้าไว้ในอากาศ ฉะนั้น ดังนี้แล้ว
               จึงทรงตั้งพระเถระไว้ในเอตทัคคะว่า๑-
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุสาวกของเราผู้ทรงวินัย อุบาลีนี้เป็นเยี่ยม.
               เรื่องทั้งหลายมีเรื่องนางสุปวาสาเป็นต้น๒- ถัดจากเรื่องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะนี้ไป มีเนื้อความชัดเจนแล้วทีเดียว.
๑- องฺ. เอก. เล่ม ๒๐/ข้อ ๒๑/หน้า ๓๒.
๒- บาลีเดิมเป็น สุปัพพา.
     ในเรื่องทั้งหลายมีเรื่องชักนำให้ภิกษุขืนเสพเมถุนธรรมในนางภิกษุณีเป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-      เจ้าลิจฉวีกุมารเหล่านั้นเป็นผู้ทรงขวนขวาย
ในการเล่น ได้ทำอย่างนั้นเพราะอนาจารของตน. ตั้งแต่กาลนั้นมา ความ
พินาศจึงได้เกิดมีขึ้นแก่เจ้าลิจฉวีทั้งหลาย เพราะทรงทำเหตุอย่างนั้น.
               ในเรื่องภิกษุผู้บวชเมื่อแก่มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               สองบทว่า ทสฺสนํ อคมาสิ ความว่า ภิกษุผู้เฒ่านั้นคิดว่า จักเยี่ยมภรรยาเก่านั้น จึงได้ไปยังเรือน เพราะความอนุเคราะห์. ขณะนั้น นางได้ชี้แจง
ถึงข้อที่ตนและพวกเด็กๆ ไม่มีที่พึ่ง ให้ท่านฟังโดยประการต่างๆ และทราบว่า
ภิกษุเฒ่านั้นไม่มีความไยดี จึงโกรธ      แล้วพูดว่า ท่านจงมาสึกเสียเถิด       จึงได้จับท่านโดยพลการ.
               ท่านผู้เฒ่าได้ถอยกลับไปเพื่อเปลื้องตน จึงได้ล้มหงายลง 
เพราะความชราทุพพลภาพ.
               ขณะนั้น นางได้ทำตามใจของตนแล้ว.
               แต่ภิกษุรูปนั้นเป็นพระอนาคามี ตัดกามราคะได้เด็ดขาดแล้ว 
เพราะฉะนั้น ท่านจึงไม่ยินดี ฉะนี้แล.
               เรื่องลูกเนื้อมีเนื้อความชัดเจนแล้วทีเดียว ฉะนี้แล.
ปฐมปาราชิกวรรณนา แห่งวินัยสังวรรณนา               
               ชื่อสมันตปาสาทิกาจบ.          
 ในข้อที่อรรถกถาชื่อสมันตปาสาทิกา 
ในวินัยนั้น ชวนให้เกิดความเลื่อมใสรอบด้าน
                   มีคำอธิบายดังจะกล่าวต่อไปดังนี้ว่า
                             เมื่อวิญญูชนทั้งหลาย สอดส่องอยู่โดย   ลำดับแห่งอาจารย์
 โดยการแสดงประเภทแห่งนิทานและวัตถุ โดยความเว้นลัทธิอื่น โดย
                         ความหมดจดแห่งลัทธิของตน โดยการชำระ   พยัญชนะให้เรียบร้อย โดยเนื้อความเฉพาะ    บท โดยลำดับแห่งบาลีและโยชนาแห่งบาลี
          โดยการวินิจฉัยสิกขาบทและโดยการชี้ความต่างแห่งวินัยในวิภังค์, 
   คำน้อยหนึ่งซึ่งไม่ชวนให้เกิดความเลื่อมใสย่อมไม่ปรากฏในสมันตปาสาทิกานี้ เพราะเหตุนั้น สังวรรณนาแห่งวินัยที่พระโลกนาถผู้อนุเคราะห์โลก
     ฉลาดในการฝึกเวไนย ได้ตรัสไว้นี้ จึงเป็นไปโดย   ชื่อว่า สมันตปาสาทิกา แล.

วินีตวัตถุ อุทานคาถา ปาราชิกกัณฑ์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

ทำบุญsearch-google  
[๔๘] เรื่องลิงตัวเมีย ๑ เรื่อง 
            เรื่องภิกษุวัชชีบุตร ๑ เรื่อง
       เรื่องปลอมเป็นคฤหัสถ์ ๑ เรื่อง
                 เรื่องเปลือยกาย ๑ เรื่อง
             เรื่องปลอมเป็นเดียรถีย์ ๗ เรื่อง เรื่องเด็กหญิง ๑ เรื่อง
๑. ยังองค์กำเนิดให้เข้าไปทางปัสสาวมรรคเป็นต้น แล้วถอนออกทางแผลใกล้ต่อมรรคนั้น.
๒. ยังองค์กำเนิดให้เข้าทางแผลใกล้ต่อมรรคแล้วถอนออกทางมรรค.
๓. บรรดาสองแผลที่เจือกัน ยังองค์กำเนิดให้เข้าไปทางแผลหนึ่งแล้วถอนออกทางแผลที่สอง.
ป.ส. หน้า ๓๑๗
เรื่องภิกษุณีชื่ออุปปลวัณณา ๑ เรื่อง เรื่องเพศกลับ ๒ เรื่อง
             เรื่องมารดา ๑ เรื่อง เรื่องธิดา ๑ เรื่อง
             เรื่องพี่น้องหญิง ๑ เรื่อง เรื่องภรรยา ๑ เรื่อง
             เรื่องภิกษุหลังอ่อน ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุมีองค์กำเนิดยาว ๑ เรื่อง
             เรื่องแผล ๒ เรื่อง เรื่องรูปปั้น ๑ เรื่อง
             เรื่องตุ๊กตาไม้ ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุชื่อสุนทระ ๑ เรื่อง
             เรื่องสตรี ๔ เรื่อง เรื่องป่าช้า ๕ เรื่อง
             เรื่องกระดูก ๑ เรื่อง เรื่องนาคตัวเมีย ๑ เรื่อง
             เรื่องนางยักษิณี ๑ เรื่อง เรื่องหญิงเปรต ๑ เรื่อง
             เรื่องบัณเฑาะก์ ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุอินทรีย์พิการ ๑ เรื่อง
             เรื่องจับต้อง ๑ เรื่อง เรื่องพระอรหันต์เมืองภัททิยะหลับ ๑ เรื่อง
             เรื่องภิกษุเมืองสาวัตถี ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุชาวมัลละเมืองเวสาลี ๓ เรื่อง
             เรื่องเปิดประตูนอน ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะฝัน ๑ เรื่อง
             เรื่องอุบาสิกาชื่อสุปัพพา ๙ เรื่อง เรื่องอุบาสิกาชื่อสัทธา ๙ เรื่อง
             เรื่องภิกษุณี ๑ เรื่อง เรื่องสิกขมานา ๑ เรื่อง
             เรื่องสามเณรี ๑ เรื่อง เรื่องหญิงแพศยา ๑ เรื่อง
             เรื่องบัณเฑาะก์ ๑ เรื่อง เรื่องสตรีคฤหัสถ์ ๑ เรื่อง
             เรื่องให้ผลัดกัน ๑ เรื่อง เรื่องภิกษุผู้เฒ่า ๑ เรื่อง
             เรื่องลูกเนื้อ ๑ เรื่อง.
เรื่องลิงตัวเมีย
             [๔๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในลิงตัวเมีย แล้วมี
ความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภิกษุวัชชีบุตร
          [๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุวัชชีบุตรชาวเมืองเวสาลีหลายรูปด้วยกัน 
ไม่บอกคืนสิกขาไม่ทำความเป็นผู้ทุรพลให้แจ้ง แล้วเสพเมถุนธรรม พวกเธอ
ได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว พวกเรา
ต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี
พระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องปลอมเป็นคฤหัสถ์
             [๕๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธี
อย่างนี้ แล้วปลอมเป็นคฤหัสถ์เสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องเปลือยกาย
             [๕๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วย
วิธีอย่างนี้ แล้วเปลือยกายเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว
เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องปลอมเป็นเดียรถีย์ ๗ เรื่อง
             [๕๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้แล้วนุ่งคากรองเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งเปลือกไม้กรองเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งผลไม้กรองเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยเส้นผมเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า
 พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยขนหางสัตว์เสพเมถุนธรรม เธอได้มีความ
รังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
สิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิก
แล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งผ้าทำด้วยขนปีกนกเค้าเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า
 พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท
ไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
             ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วนุ่งหนังเสือเสพเมถุนธรรม เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว
เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
 ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องเด็กหญิง
             [๕๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรรูปหนึ่ง เห็น
เด็กหญิงนอนอยู่บนตั่ง เกิดความกำหนัด จึงสอดนิ้วแม่มือเข้าไปในองค์
กำเนิดเด็กหญิงๆ นั้นตาย เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
เรื่องภิกษุณีชื่ออุปปลวัณณา
             [๕๕] ก็โดยสมัยนั้นแล มาณพคนหนึ่งมีจิตปฏิพัทธ์ในภิกษุณี ชื่ออุปปลวัณณา เมื่อภิกษุณีอุปปลวัณณา เข้าไปสู่บ้านเพื่อบิณฑบาต จึงเข้าไปซ่อน
อยู่ในกุฎี เวลาปัจฉาภัตรภิกษุณีอุปปลวัณณากลับจากบิณฑบาต ล้างเท้าแล้วเข้ากุฎีนั่งบนเตียง มาณพนั้นจึงเข้าปลุกปล้ำประทุษร้ายภิกษุณีอุปปลวัณณา
 นางจึงแจ้งเหตุนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลายๆ ได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ
 จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีผู้ไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องเพศกลับ ๒ เรื่อง
             [๕๖] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล เพศหญิงปรากฏแก่ภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุทั้ง
หลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตอุปัชฌาย์เดิมนั้นแหละ อุปสมบทเดิมนั้นแหละ พรรษาก็เหล่านั้น และให้อยู่ร่วมกับภิกษุณีทั้งหลายอาบัติเหล่าใดของภิกษุทั้งหลายที่
ทั่วไปกับภิกษุณีทั้งหลายเราอนุญาตให้ปลงอาบัติเหล่านั้นในสำนักภิกษุณี
ทั้งหลาย อาบัติเหล่าใดของภิกษุทั้งหลายที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุณีทั้งหลาย
 ไม่ต้องอาบัติ เพราะอาบัติเหล่านั้น
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล เพศชายปรากฏแก่ภิกษุณีรูปหนึ่ง ภิกษุทั้งหลาย
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ
ทั้งหลาย เราอนุญาตอุปัชฌาย์เดิมนั้นแหละอุปสมบทเดิมนั้นแหละ พรรษาก็
เหล่านั้น และให้อยู่ร่วมกับภิกษุทั้งหลาย อาบัติเหล่าใดของภิกษุณี
ทั้งหลายที่ทั่วไปกับภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปลงอาบัติเหล่านั้น ในสำนัก
ภิกษุทั้งหลาย อาบัติเหล่าใดของภิกษุณีทั้งหลายที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุ
ทั้งหลาย ไม่ต้องอาบัติเพราะอาบัติเหล่านั้น.
เรื่องมารดา
             [๕๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ แล้วเสพเมถุนธรรมในมารดา เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ
 จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องธิดา
          ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้
 แล้วเสพเมถุนธรรมในธิดา เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ      เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องพี่น้องหญิง
         ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้
 แล้วเสพ-เมถุนธรรมในพี่น้องหญิง เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ      เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภรรยา
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในภรรยาเก่า เธอได้มี
ความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภิกษุมีหลังอ่อน
             [๕๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีหลังอ่อน เธอถูกความกระสันบีบ
คั้นแล้ว ได้อมองค์กำเนิดของตนด้วยปาก เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ
 จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภิกษุมีองค์กำเนิดยาว       
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีองค์กำเนิดยาว เธอถูกความกระสันบีบคั้น
แล้วได้สอดองค์กำเนิดของตนเข้าสู่วัจจมรรคของตน เธอได้มีความรังเกียจ
ว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิก
แล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค
ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องแผล ๒ เรื่อง
             [๕๙] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้พบศพ และที่ศพนั้นมีแผลอยู่
ใกล้องค์กำเนิด ภิกษุนั้นคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ จึงสอดองค์
กำเนิดของตน เข้าในองค์กำเนิดของศพ แล้วถอนออกทางแผล เธอได้มี
ความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งได้พบศพ และที่ศพนั้นมีแผลอยู่
ใกล้องค์กำเนิดภิกษุนั้นคิดว่า เราจักไม่ต้องอาบัติด้วยวิธีอย่างนี้ จึงสอดองค์
กำเนิดของตนเข้าในแผล แล้วถอนออกทางองค์กำเนิดของศพ เธอได้มีความ
รังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องรูปปั้น
             [๖๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัด ได้ถูกต้องนิมิตแห่ง
รูปปั้นด้วยองค์กำเนิด เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
สิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
ดูกรภิกษุเธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องตุ๊กตาไม้
  ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีความกำหนัด ได้ถูกต้องนิมิตแห่งตุ๊กตา
ไม้ด้วยองค์กำเนิด เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
สิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอ
ไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องภิกษุชื่อสุนทระ
             [๖๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุชื่อสุนทระ บวชจากกรุงราชคฤห์ แล้วเดิน
ไปตามถนนสตรีผู้หนึ่งเห็นท่านแล้วกล่าวว่า ท่านเจ้าข้า นิมนต์หยุด
ประเดี๋ยวก่อน ดิฉันจักไหว้ นางไหว้พลางเลิกผ้าอันตรวาสกขึ้นแล้ว ได้อม
องค์กำเนิดด้วยปาก เธอได้มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ
สิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้น
แด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่าถาม เธอยินดีหรือ?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยินดี พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องสตรี ๔ เรื่อง
             [๖๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า
ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
         ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             สตรีนั้นแนะนำว่า    นิมนต์มาเถิดเจ้าค่ะ ดิฉันจักพยายามเอง ท่านไม่ต้องพยายาม โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค    พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ         เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล    สตรีผู้หนึ่งพบภิกษุแล้ว    ได้กล่าวคำนี้ว่า
 ท่านเจ้าขา   นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
         ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             สตรีนั้นแนะนำว่า    นิมนต์มาเถิดเจ้าค่ะ   ท่านจงพยายามเอง ดิฉันจักไม่พยายาม โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
      เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า 
ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
         ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             สตรีนั้นแนะนำว่า    นิมนต์มาเถิดเจ้าค่ะ    ท่านจงพยายามภายใน แล้วปล่อยสุกกะภายนอกโดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้วเราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
      เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า 
ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
         ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             สตรีนั้นแนะนำว่า   นิมนต์มาเถิดเจ้าค่ะ ท่านจงพยายามภายนอก แล้วปล่อยสุกกะภายใน โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้ทำอย่างนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
      เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค     พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องป่าช้า ๕ เรื่อง
             [๖๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้า เห็นศพซึ่งยังไม่ถูกสัตว์
กัด ได้เสพเมถุนธรรมในศพนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค       พระผู้มีพระภาคตรัสว่า      ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
          ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้า เห็นศพซึ่งยังไม่ถูกสัตว์กัด
โดยมาก ได้เสพเมถุนธรรมในศพนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า      ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้า เห็นศพซึ่งถูกสัตว์กัด
โดยมาก ได้เสพเมถุนธรรมในศพนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้า เห็นศพซึ่งมีศีรษะขาด ได้
สอดองค์กำเนิดเข้าไปกระทบในปากที่อ้า แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มี
พระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า      ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งไปป่าช้า เห็นศพซึ่งมีศีรษะขาด ได้
สอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากที่อ้า ไม่ให้กระทบ แล้วมีความรังเกียจว่า พระ
ผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องนาคตัวเมีย
             [๖๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในนาคตัวเมีย แล้ว
มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า      ดูกรภิกษุ       เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องนางยักษิณี
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในนางยักษิณี แล้วมี
ความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มี
พระภาคตรัสว่า       ดูกรภิกษุ       เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องหญิงเปรต
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในหญิงเปรต แล้วมี
ความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า       ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องบัณเฑาะก์
             ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเสพเมถุนธรรมในบัณเฑาะก์ แล้วมี
ความรังเกียจว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติ
ปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า       ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภิกษุมีอินทรีย์พิการ
             [๖๕] โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งมีอินทรีย์พิการ เธอคิดว่า เราไม่รู้
สึกสุขหรือทุกข์ อาบัติจักไม่มีแก่เรา จึงเสพเมถุนธรรม แล้วมีความรังเกียจว่า
 พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลายๆ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกร
ภิกษุทั้งหลาย โมฆบุรุษนั้นรู้สึกก็ตาม ไม่รู้สึกก็ตาม ต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องจับต้อง
             [๖๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งคิดว่า เราจักเสพเมถุนธรรมในสตรี
 ครั้นจับต้องตัวเข้าเท่านั้น ก็เกิดความกินแหนง เธอได้มีความรังเกียจว่า 
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกร
ภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องพระอรหันต์เมืองภัททิยะจำวัดหลับ
             [๖๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง อยู่ในที่พักกลางวันในป่า
ชาติยาวัน แขวงเมืองภัททิยะ จำวัดหลับอยู่ อวัยวะใหญ่น้อยของภิกษุนั้น
ถูกลมรำเพยให้ตึงตัว สตรีผู้หนึ่งพบเข้าแล้วได้นั่งคร่อมองค์กำเนิด กระทำการ
พอแก่ความประสงค์ แล้วหลีกไป ภิกษุเห็นองค์กำเนิดเปรอะเปื้อน จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้ด้วยอาการ ๕ อย่าง คือ กำหนัด ๑ ปวดอุจจาระ ๑
 ปวดปัสสาวะ ๑ ถูกลมรำเพย ๑ ถูกบุ้งขน ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้ ด้วยอาการ ๕ อย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิด
ของภิกษุนั้น พึงเป็นอวัยวะใช้การได้ ด้วยความกำหนัดใดข้อนั้นไม่ใช่ฐานะ
 ไม่ใช่โอกาส เพราะภิกษุนั้นเป็นอรหันต์ ภิกษุนั้นไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องภิกษุเมืองสาวัตถี ๔ เรื่อง
        [๖๘] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง อยู่ในที่พักกลางวันในป่าอันธวัน
 แขวงเมืองสาวัตถี จำวัดหลับอยู่ สตรีเลี้ยงโคคนหนึ่งพบเข้า จึงนั่งคร่อม
องค์กำเนิด ภิกษุนั้นยินดีกิริยาที่เข้าไป ยินดีกิริยาที่เข้าไปถึงที่แล้ว ยินดีกิริยา
ที่หยุดอยู่ ยินดีกิริยาที่ถอนออก แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า
 ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่า
อันธวัน แขวงเมืองสาวัตถีจำวัดหลับอยู่ สตรีเลี้ยงแพะคนหนึ่งพบเข้า 
จึงนั่งคร่อมองค์กำเนิด ภิกษุนั้นยินดีกิริยาที่เข้าไปยินดีกิริยาที่เข้าไป
ถึงแล้ว ยินดีกิริยาที่หยุดอยู่ ยินดีกิริยาที่ถอนออก แล้วมีความรังเกียจว่า
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่า
อันธวัน แขวงเมืองสาวัตถีจำวัดหลับอยู่ สตรีหาฟืนคนหนึ่งพบเข้า จึงนั่งคร่อม
องค์กำเนิด ภิกษุนั้นยินดีกิริยาที่รังเกียจว่าเข้าไป ยินดีกิริยาที่เข้าไปถึงที่
แล้ว ยินดีกิริยาที่หยุดอยู่ ยินดีกิริยาที่ถอนออก แล้วมีความพระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึง
กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค      ตรัสว่า       ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
             ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่า
อันธวัน แขวงเมืองสาวัตถี จำวัดหลับอยู่ สตรีขนโคมัยคนหนึ่งพบเข้า 
จึงนั่งคร่อมองค์กำเนิด ภิกษุนั้นยินดีกิริยาที่เข้าไป ยินดีกิริยาที่เข้าไป
ถึงที่แล้ว ยินดีกิริยาที่หยุดอยู่ ยินดีกิริยาที่ถอนออก แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว
กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
เรื่องภิกษุชาวมัลละเมืองเวสาลี ๓ เรื่อง
             [๖๙] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่ามหาวัน แขวงเมืองเวสาลี จำวัดหลับอยู่ สตรีคนหนึ่งพบเข้า จึงนั่งคร่อมองค์กำเนิด
 กระทำการพอแก่ความประสงค์ แล้วยืนหัวเราะอยู่ใกล้ๆ ภิกษุนั้นตื่นขึ้นแล้วได้ถามสตรีนั้นว่า นี่เป็นการกระทำของ
เธอหรือ?
   สตรีนั้นบอกว่า เจ้าค่ะ เป็นการกระทำของดิฉัน
             ภิกษุนั้นมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่
พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่าดูกรภิกษุ เธอรู้สึกตัวหรือ?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่รู้สึกตัว พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่รู้สึกตัว ไม่ต้องอาบัติ
             ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่ามหาวัน แขวงเมืองเวสาลี จำวัดหลับพิงต้นไม้อยู่ สตรีคนหนึ่งพบเข้า จึงนั่งคร่อมองค์
กำเนิด ภิกษุนั้นรีบลุกขึ้นทันที แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า 
ดูกรภิกษุ เธอยินดีหรือ?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยินดี พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ
             ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ในป่ามหาวันแขวงเมืองเวสาลีจำวัดหลับพิงต้นไม้อยู่ สตรีคนหนึ่งพบเข้า จึงนั่งคร่อมองค์
กำเนิด ภิกษุนั้นยันให้กลิ้งไป แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสถามว่า 
ดูกรภิกษุ เธอยินดีหรือ?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยินดี พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องภิกษุเปิดประตูนอน
             [๗๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในที่พักกลางวัน ณ กูฎาคาร
ศาลาป่ามหาวันแขวงเมืองเวสาลี เปิดประตูจำวัดหลับอยู่ อวัยวะใหญ่น้อย
ของเธอ ถูกลมรำเพยให้ตึงตัวครั้งนั้น สตรีหลายคนถือของหอมและดอกไม้
ไปสู่อาราม มุ่งตรงไปยังวิหาร พบภิกษุนั้น แล้วได้นั่งคร่อมองค์กำเนิด กระทำ
การพอแก่ความประสงค์ แล้วกล่าวว่าภิกษุนี้เป็นบุรุษองอาจนักแล้วถือ
ของหอมและดอกไม้กลับไป            ภิกษุเห็นองค์กำเนิดเปรอะเปื้อน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดย่อมเป็นอวัยวะใช้การได้ด้วยอาการ ๕ อย่าง
 คือ กำหนัด ๑ ปวดอุจจาระ ๑ ปวดปัสสาวะ ๑ ถูกลมรำเพย ๑ ถูกบุ้งขน ๑
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย องค์กำเนิดเป็นอวัยวะใช้การได้ด้วยอาการ ๕ อย่างนี้แล องค์กำเนิดของภิกษุนั้น พึงใช้การได้ด้วยความกำหนัดใด ข้อนั้น ไม่ใช่
ฐานะ ไม่ใช่โอกาส เพราะภิกษุนั้นเป็น
อรหันต์ ภิกษุนั้น
ไม่ต้องอาบัติ        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้จะพักผ่อนในกลางวัน ปิดประตูก่อนจึงจะพักผ่อนได้.
เรื่องภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะฝัน
          [๗๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุชาวเมืองภารุกัจฉะรูปหนึ่ง ฝันว่าได้เสพ
เมถุนธรรมในภรรยาเก่า แล้วคิดว่า เราไม่เป็นสมณะ จักสึกละ แล้วเดิน
ทางไปสู่เมืองภารุกัจฉะ พบท่านพระอุบาลีในระหว่างทาง จึงกราบเรียนเรื่อง
นั้นให้ทราบ ท่านพระอุบาลีกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส อาบัติไม่มีเพราะความฝัน.
เรื่องอุบาสิกาชื่อสุปัพพา ๙ เรื่อง
       [๗๒] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์
 เป็นผู้มีความเลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุน
ธรรม สตรีนั้นชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่าน
เจ้าขา นิมนต์ มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิดเจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ระหว่าง
ขาอ่อน โดยวิธีนี้อาบัติจัก ไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุ       เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า 
ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่สะดือ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุ          เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่เกลียวท้อง
 โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคพระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ซอกรักแร้
 โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้นแล้ว มีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุ         เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่คอ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ         เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ช่องหู 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่มวยผม 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
       ๘. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ง่ามมือ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๙. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสุปัพพา ในเมืองราชคฤห์ เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ    ดิฉันจักพยายามด้วยมือให้สุกกะเคลื่อน    โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
   ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องบัญญัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
เรื่องอุบาสิกาชื่อสัทธา ๙ เรื่อง
 [๗๓] ๑. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธาในเมืองสาวัตถีเป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า    นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ    ท่านจงพยายามที่ระหว่างขาอ่อน    โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
  [๗๔] ๒. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม
 สตรีนั้นชื่อว่าให้ทานอันเลิศ      นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า       ท่านเจ้าขา นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่สะดือ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า     ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๓. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่เกลียวท้อง 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๔. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ใกล้รักแร้ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
  ๕. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่คอ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๖. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ช่องหู 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๗. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่มวยผม 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๘. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ท่านจงพยายามที่ง่ามมือ 
โดยวิธีนี้อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
       ๙. ก็โดยสมัยนั้นแล อุบาสิกาชื่อสัทธา ในเมืองสาวัตถี เป็นผู้มีความ
เลื่อมใสยังอ่อนอยู่ นางมีความเห็นอย่างนี้ว่า สตรีใดให้เมถุนธรรม สตรีนั้น
ชื่อว่าให้ทานอันเลิศ นางพบภิกษุแล้วได้กล่าวคำนี้ว่า ท่านเจ้าขา 
นิมนต์มาเสพเมถุนธรรมเถิด
             ภิกษุนั้นห้ามว่า อย่าเลย น้องหญิง การเรื่องนี้ไม่ควร
             นางแนะนำว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ ดิฉัน   จักพยายามด้วยมือให้สุกกะเคลื่อน โดยวิธีนี้   อาบัติจักไม่มีแก่ท่าน
             ภิกษุนั้นได้กระทำตามนั้น แล้วมีความรังเกียจว่า พระผู้มีพระภาคทรง
บัญญัติสิกขาบทไว้แล้ว เราต้องอาบัติปาราชิกแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า    ดูกรภิกษุ เธอไม่ต้องอาบัติปาราชิก แต่ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
เรื่องภิกษุณี
 [๗๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลี จับภิกษุขืนให้ปฏิบัติ
ผิดในนางภิกษุณี เธอทั้งสองยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะเสียทั้งสอง เธอ
ทั้งสองไม่ยินดี ทั้งสองไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องสิกขมานา
             ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลี จับภิกษุขืนให้
ปฏิบัติผิดให้นางสิกขมานาเธอทั้งสองยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะเสีย
ทั้งสอง เธอทั้งสองไม่ยินดี ทั้งสองไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องสามเณรี
             ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลี จับภิกษุขืนให้
ปฏิบัติผิดในสามเณรีเธอทั้งสองยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะเสียทั้งสอง 
เธอทั้งสองไม่ยินดี ทั้งสองไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องหญิงแพศยา
             [๗๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลี จับภิกษุให้
ปฏิบัติผิดในหญิงแพศยา ภิกษุยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะภิกษุเสีย 
ภิกษุไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องบัณเฑาะก์
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลีจับภิกษุให้ปฏิบัติผิดในบัณเฑาะก์ภิกษุยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะภิกษุเสีย ภิกษุไม่ยินดีไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องสตรีคฤหัสถ์
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลีจับภิกษุให้ปฏิบัติผิดในสตรีคฤหัสถ์ภิกษุยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะภิกษุเสีย ภิกษุไม่ยินดีไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องให้ผลัดกัน
ก็โดยสมัยนั้นแล พวกลิจฉวีกุมารในเมืองเวสาลี จับภิกษุให้ปฏิบัติผิดในกันและกันเธอทั้งสองยินดี พระวินัยธรพึงให้นาสนะเสียทั้งสอง
 เธอทั้งสองไม่ยินดี ทั้งสองไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องภิกษุผู้เฒ่า
       [๗๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุผู้เฒ่ารูปหนึ่ง ได้ไปเยี่ยมภรรยาเก่า นาง
ได้จับบังคับว่าท่านจงมาสึกเสียเถิด ภิกษุนั้นถอยหลังล้มหงาย นางจึงขึ้น
คร่อมองค์กำเนิด เธอได้มีความรังเกียจจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
 พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุ เธอยินดีหรือเปล่า?
             ภิ. ข้าพระพุทธเจ้าไม่ยินดี พระพุทธเจ้าข้า
             ภ. ดูกรภิกษุ ภิกษุผู้ไม่ยินดี ไม่ต้องอาบัติ.
เรื่องลูกเนื้อ
    [๗๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่ในป่า ลูกเนื้อมาสู่ที่ถ่ายปัสสาวะ
ของเธอแล้วได้อมองค์กำเนิดพลางดื่มปัสสาวะ ภิกษุนั้นยินดีแล้วได้มีความ
รังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า 
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติปาราชิกแล้ว.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ จบ.