Translate

01 กันยายน 2567

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การทำสันถัตสำหรับนั่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปเสนวังคันตบุตร
[๙๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย เราปรารถนาจะหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส ใครๆ อย่าเข้าไปหาเรา นอกจากภิกษุ ผู้นำบิณฑบาตเข้าไปให้
รูปเดียว. ภิกษุเหล่านั้นรับพระพุทธาณัติแล้ว ไม่มีใครเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคในพระวิหารนี้เลย นอกจาก
ภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียวโดยแท้. ถึงอย่างนั้น สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ก็ยังตั้งกติกากันไว้ว่า
อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ ตลอดไตรมาส ใครๆ ไม่พึงเข้าไปเฝ้า
นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว ภิกษุรูปใดเข้าไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์. 
              [๙๒] ครั้งนั้น ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัทเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ ประทับ. ครั้นแล้วถวายบังคมพระผู้มีพระภาค นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว.
 พุทธประเพณี
               อันการที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนี้ นั่น
 เป็นพุทธประเพณี. ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า
      ดูกรอุปเสน พวกเธอ พอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้หรือ?
      พวกเธอเดินทางมาโดยได้รับความลำบากน้อยหรือ?
           ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า พอทนได้ พอให้อัตภาพเป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า 
             อนึ่ง พวกข้าพระพุทธเจ้าเดินทางมาโดยได้รับความลำบากเล็กน้อย พระพุทธเจ้าข้า.
 ก็แลขณะนั้น ภิกษุสัทธิวิหาริกของท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรนั่งเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
พระผู้มีพระภาค จึงพระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุรูปนั้นว่า
              ดูกรภิกษุ ผ้าบังสุกุลเป็นที่พอใจของเธอหรือ?
             ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า ผ้าบังสุกุล มิได้เป็นที่พอใจของข้าพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ก็ทำไมเธอจึงได้ทรงผ้าบังสุกุลเล่า ภิกษุ?. 
              ภิ. พระอุปัชฌายะของข้าพระพุทธเจ้าทรงผ้าบังสุกุล, 
    ข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องทรงผ้าบังสุกุล อย่างนั้นบ้าง พระพุทธเจ้าข้า.
 ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรว่า ดูกรอุปเสน บริษัท ของเธอนี้น่าเลื่อมใสนัก, เธอแนะนำบริษัทอย่างไร? 
              ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า     ผู้ใดขออุปสมบทต่อข้าพระพุทธเจ้า,
 ข้าพระพุทธเจ้าบอกกะเขาอย่างนี้ว่า อาวุโส ฉันเป็นผู้อยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาต เป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุล
เป็นวัตร, ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้า บังสุกุลเป็นวัตรบ้าง, ฉันก็จักให้ท่านอุปสมบท
ตามประสงค์ ถ้าเขารับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆ จึงให้เขาอุปสมบท, ถ้าเขาไม่รับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆ ก็ไม่ให้เขา
อุปสมบท. ภิกษุใดขอนิสัย ต่อข้าพระพุทธเจ้าๆ บอกกะภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า อาวุโส เราเป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือ
บิณฑบาต เป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร, ถ้าท่านจักถืออยู่ป่าเป็นวัตร ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้า บังสุกุล
เป็นวัตรบ้างได้, เราก็จักให้นิสัยแก่ท่านตามความประสงค์ ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้าๆ จึงจะให้นิสัย, 
ถ้าภิกษุนั้นรับคำของข้าพระพุทธเจ้าไม่ได้ ข้าพระพุทธเจ้าก็ไม่ให้นิสัย,
          ข้าพระพุทธเจ้าแนะนำบริษัทอย่างนี้แล พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน, เธอแนะนำบริษัทได้ดีจริงๆ เออก็เธอ
รู้กติกาของสงฆ์ ในเขตพระนครสาวัตถีไหม อุปเสน?. 
              อุ. ไม่ทราบเกล้าฯ พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดูกรอุปเสน สงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ตั้งกติกากันไว้ว่า 
ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมีพระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้นอยู่ตลอดไตรมาส, ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระองค์
นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาตเข้าไปถวายรูปเดียว, ภิกษุใดเข้าไปเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติ ปาจิตตีย์. 
              อุ. พระสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี จักทราบทั่วกันตามกติกาของตน. พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้ง
สิกขาบทที่พระองค์มิได้ทรงบัญญัติ และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรง
บัญญัติ ไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้.
                ภ. ดีแล้ว ดีแล้ว อุปเสน, ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่เรายังมิได้บัญญัติ หรือไม่ควร เพิกถอนสิกขาบท
ที่เราบัญญัติไว้ ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบท ตามที่เราได้บัญญัติไว้. เรา อนุญาตให้พวกภิกษุผู้ถือการอยู่ป่า
เป็นวัตร           ถือบิณฑบาตเป็นวัตร                         ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าหา เราได้ตามสะดวก.
 เวลานั้น ภิกษุหลายรูปกำลังรออยู่ที่นอกซุ้มประตูพระวิหาร          ด้วยตั้งใจว่า พวกเราจักให้ ท่านพระอุปเสน
วังคันตบุตรแสดงอาบัติปาจิตตีย์. ครั้นท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรกับภิกษุบริษัท ลุกจากอาสนะถวายบังคมพระ
ผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว, จึงภิกษุเหล่านั้นได้ถามท่าน พระอุปเสนวังคันตบุตรดังนี้ว่า อาวุโส อุปเสน 
                   ท่านทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถี ไหม?
 ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตรตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้พระผู้มีพระภาคก็รับสั่งถาม กระผมอย่างนี้ว่า ดูกรอุปเสน
 เธอทราบกติกาของสงฆ์ในเขตพระนครสาวัตถีไหม? กระผม กราบทูลว่า ไม่ทราบเกล้าฯ พระพุทธเจ้าข้า
 พระองค์รับสั่งต่อไปว่า ดูกรอุปเสน สงฆ์ในพระนคร สาวัตถีได้ตั้งกติกากันไว้ว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคมี
พระประสงค์จะเสด็จหลีกออกเร้น อยู่ตลอดไตรมาส, ใครๆ อย่าเข้าไปเฝ้าพระองค์ นอกจากภิกษุผู้นำบิณฑบาต
เข้าไปถวายรูปเดียว. ภิกษุใดเข้าเฝ้าพระองค์ ต้องให้แสดงอาบัติปาจิตตีย์. กระผมกราบทูลว่า พระสงฆ์ในเขต
พระนคร สาวัตถีจักทราบทั่วกันตามกติกาของตน. พวกข้าพระพุทธเจ้าจักไม่แต่งตั้งสิกขาบทที่พระองค์มิได้ ทรง
บัญญัติ และจักไม่เพิกถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ จักสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ ทรงบัญญัติไว้ ดังนี้.
 พระผู้มีพระภาคเลยทรงอนุญาตให้.      บรรดาภิกษุผู้ถือการอยู่ป่าเป็นวัตร ถือ
    บิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก ดังนี้.
 ภิกษุเหล่านั้นเห็นจริงด้วยในทันใดนั้นว่า ท่านพระอุปเสนวังคันตบุตร พูดถูกต้องจริง แท้, พระสงฆ์
ไม่ควรแต่งตั้งสิกขาบทที่ยังมิได้ทรงบัญญัติ หรือไม่ควรเพิกถอนสิกขาบทที่ทรง บัญญัติไว้, 
ควรสมาทานประพฤติในสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้. 
              [๙๓] ภิกษุทั้งหลายได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุผู้ถือการอยู่ป่า เป็นวัตร 
ถือบิณฑบาตเป็นวัตร ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร เข้าเฝ้าได้ตามสะดวก. ภิกษุเหล่านั้น ปรารถนาจะเข้าเฝ้า
พระผู้มีพระภาค ต่างละทิ้งสันถัต พากันสมาทานอารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ ปังสุกูลิกธุดงค์. 
 หลังจากนั้น พระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก เสด็จเที่ยวประพาสตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็น
สันถัตซึ่งทอดทิ้งไว้ในที่นั้นๆ ครั้นแล้วรับสั่งถามภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สันถัตเหล่านี้ของใคร ถูกทอดทิ้งไว้ในที่นั้นๆ ? 
              จึงภิกษุเหล่านั้น ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว. 
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
              ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
 อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑                        เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ 
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน
 ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑              เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑                   เพื่อถือตามพระวินัย ๑
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-  พระบัญญัติ ๓๔.๕. อนึ่ง ภิกษุ
ผู้ให้ทำสันถัตสำหรับนั่ง พึงถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่ง สันถัตเก่า เพื่อทำให้
เสียสี, ถ้าภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า ให้ทำ  สันถัตสำหรับนั่งใหม่, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
                  เรื่องพระอุปเสนวังคันตบุตร จบ.    
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๙๔] ที่ชื่อว่า สำหรับนั่ง ตรัสหมายผ้ามีชาย. 
              ที่ชื่อว่า สันถัต ได้แก่ ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ. 
              บท ว่า ผู้ให้ทำ คือ ทำเองก็ตาม ให้เขาทำก็ตาม. 
              ที่ชื่อว่า สันถัตเก่า คือ ที่แม้นุ่ง ๑- แล้วคราวเดียว แม้ห่ม ๒- แล้วคราวเดียว. 
              คำว่า พึงถือเอาคืบสุคตโดยรอบ ... เพื่อทำให้เสียสี คือ ตัดกลมๆ 
หรือสี่เหลี่ยม แล้วลาดในเอกเทศหนึ่ง หรือชีออกปนหล่อเพื่อความทน.
               คำว่า ถ้าภิกษุไม่ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า 
            ความว่าไม่ถือเอาสันถัต เก่า ๑ คืบสุคตโดยรอบแล้ว ทำเองก็ตาม ใช้ให้เขาทำก็ตาม ซึ่ง
สันถัตสำหรับนั่งใหม่ เป็น ทุกกฏในประโยคที่ทำ, เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, ต้องเสียสละแก่สงฆ์
 คณะ หรือบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตสำหรับนั่งนั้น อย่างนี้:-  
       ๑-๒ เห็นจะหลงมาจากจีวรเก่าในสิกขาบทที่ ๔ แห่งจีวรวรรค 
 วิธีเสียสละ
         เสียสละแก่สงฆ์ 
            ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัต เก่า
ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด 
ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตสำหรับ นั่งที่เสียสละให้ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-     ท่านเจ้าข้าขอสงฆ์
จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่ง
      ของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงให้ สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อว่า 
เสียสละแก่คณะ 
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนม
มือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-       ท่านเจ้าข้า สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัต
 เก่า ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดง
อาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตสำหรับ นั่งที่เสียสละให้ ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
      ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น ของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่าน
ทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลาย ถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลาย พึงให้สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่บุคคล 
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-  
ท่าน สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาคืบสุคตโดยรอบแห่งสันถัตเก่า ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ,
 ข้าพเจ้าสละสันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ 
พึงคืนสันถัตสำหรับ นั่งที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตสำหรับนั่งผืนนี้แก่ท่านดังนี้.
บทภาชนีย์
                    จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 
              [๙๕] สันถัตสำหรับนั่ง ตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
 สันถัตสำหรับนั่ง ตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ สันถัตสำหรับนั่ง
 คนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์. สันถัตสำหรับนั่ง คนอื่นทำค้างไว้ 
            ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง อาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกกฏ ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๙๖] ภิกษุถือเอาสันถัตเก่าหนึ่งคืบสุคตโดยรอบแล้วทำ ๑, ภิกษุหาไม่ได้ถือเอาแต่น้อย แล้วทำ ๑,
 ภิกษุหาไม่ได้ ไม่ถือเอาเลยแล้วทำ ๑, ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย ๑, ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี 
เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอน ก็ดี ๑,
 ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๔ ว่าด้วย การทำทรงสันถัตไว้ให้ได้ ๖ ฝน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องภิกษุหลายรูป
    [๘๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.             ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายให้เขาทำสันถัตใช้ทุกๆ ปี,
 พวกเธอวอนขอเขาอยู่ร่ำไปว่า ท่านทั้งหลายจงให้ขนเจียม   อาตมา   ต้องการขนเจียม. ชาวบ้านพากัน เพ่งโทษ
ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้                 จึงได้ขอให้เขาทำ สันถัตใช้ทุกๆ ปี
วอนขอเขาอยู่ร่ำไปว่า ท่านทั้งหลายจงให้ขนเจียม อาตมาต้องการขนเจียม ส่วนสันถัตของพวกเราทำคราวเดียว
     ถูกเด็กๆ ของพวกเราถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรด บ้าง                   หนูกัดเสียบ้าง ก็ยังอยู่ได้ถึง ๕-๖ ปี;
 ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ ขอ ให้เขาทำสันถัตใช้ทุกๆ ปี วอนขอเขาอยู่ร่ำไปว่า ท่านทั้งหลาย
จงให้ขนเจียม อาตมาต้องการ ขนเจียม. ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่
 บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนา
ว่า ไฉน ภิกษุทั้งหลายจึงได้ขอให้เขาทำสันถัตใช้ทุกๆ ปี วอนขอเขาอยู่ร่ำไปว่า ท่านทั้งหลายจงให้ ขนเจียม อาตมา
ต้องการขนเจียม ดังนี้เล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
 ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว
ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลาย ขอให้เขาทำสันถัตใช้ทุกๆ ปี วอนขอเขาอยู่
ร่ำไปว่า ทั้งหลายจงให้ขนเจียม อาตมาต้องการ ขนเจียม ดังนี้ จริงหรือ?
                 ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า 
ทรงติเตียน
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย          การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม
 ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ,           ไฉน โมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้ให้เขาทำสันถัตใช้ทุกๆ ปี
 วอนขอเขาอยู่ร่ำไปว่า ท่านทั้งหลายจงให้ขนเจียม อาตมา     ต้องการขนเจียม ดังนี้เล่า? การกระทำของโมฆบุรุษ
เหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน              ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชน
ที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของ พวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
                และ เพื่อความเป็นอย่างอื่น ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุทั้งหลายโดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว             ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
 ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ    ความ คลุกคลี      ความเกียจคร้าน ตรัส
คุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
 อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย,
 ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย
ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
                   ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
       เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑                                      เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ 
        เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑                        เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ 
  เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑                  เพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ 
    เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑                                       เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล        พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ               ๓๓.๔. อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝน, ถ้ายัง หย่อนกว่า ๖ ฝน เธอ
สละเสียแล้วก็ดี ยังไม่สละแล้วก็ดี         ซึ่งสันถัตนั้น ให้ทำสันถัต อื่นใหม่,             เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์
 ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้ว แก่                          ภิกษุทั้งหลายด้วย ประการฉะนี้.ฯ
            เรื่องภิกษุหลายรูป จบ.
 พระอนุบัญญัติ 
   เรื่องภิกษุอาพาธ
 [๘๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธอยู่ในพระนครโกสัมพี. พวกญาติส่งทูต ไปในสำนักภิกษุรูปนั้น
ว่า นิมนต์ท่านมา พวกผมจักพยาบาล. แม้ภิกษุทั้งหลายก็ได้กล่าวอย่างนี้ ว่า ไปเถิดอาวุโส พวกญาติจักได้พยาบาล
ท่าน. ภิกษุนั้นได้ตอบอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัต
ใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝน, ก็ผมกำลังอาพาธ ไม่สามารถจะนำสันถัตไป ด้วยได้ และผมเว้นสันถัตแล้ว 
ไม่สบาย  ผมจักไม่ไปละ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ทรงอนุญาตให้สมมติสันถัต 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติ สันถัตแก่ภิกษุผู้อาพาธ. 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย สงฆ์พึงให้สมมติสันถัตนั้น อย่างนี้:-
 วิธีสมมติสันถัต
 ภิกษุผู้อาพาธรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา กว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าอาพาธ ไม่สามารถจะนำสันถัตไปด้วยได้, ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้านั้น
 ขอสมมติสันถัตต่อสงฆ์ พึงขอแม้ครั้งที่ ๒ พึงขอแม้ครั้งที่ ๓, ภิกษุ ผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึง ประกาศให้สงฆ์ทราบ
ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถ
จะนำ สันถัตไปด้วยได้ เธอขอสมมติสันถัตต่อสงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้สมมติ
สันถัตแก่ภิกษุมีชื่อนี้ นี่เป็นญัตติ. ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุมีชื่อนี้ผู้นี้อาพาธ ไม่สามารถจะนำ สันถัต
ไปด้วยได้ เธอขอสมมติสันถัตต่อสงฆ์. สงฆ์ให้สมมติสันถัตแก่ภิกษุมีชื่อนี้; การ ให้สมมติสันถัตแก่ภิกษุมีชื่อนี้ 
ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบแก่ ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. การสมมติสันถัตอันสงฆ์ให้แล้วแก่
ภิกษุมีชื่อนี้ ชอบแก่สงฆ์, เหตุนั้นจึงนิ่ง. ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้ 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ               
           ๓๓.๔. ก. อนึ่ง ภิกษุให้ทำสันถัตใหม่แล้ว พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝน. ถ้ายัง หย่อนกว่า ๖ ฝน เธอสละเสียแล้วก็ดี
          ยังไม่สละแล้วก็ดี ซึ่งสันถัตนั้น ให้ทำสันถัต อื่นใหม่ เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.ฯ 
เรื่องภิกษุอาพาธ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
               [๘๘] ที่ชื่อว่า ใหม่ ตรัสหมายการทำขึ้น.  ที่ชื่อว่า สันถัต ได้แก่ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ. 
              บท ว่า ให้ทำแล้ว คือ ทำเองก็ตาม ใช้ให้เขาทำก็ตาม. 
              บท ว่า พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝน คือ พึงทรงไว้ให้ได้ ๖ ฝนเป็นอย่างเร็ว. 
              บท ว่า ถ้ายังหย่อนกว่า ๖ ฝน คือ ยังไม่ถึง ๖ ฝน. 
              บท ว่า สละเสียแล้วก็ดี ... ซึ่งสันถัตนั้น คือ ให้แก่คนอื่นไป.
               บท ว่า ยังไม่สละแล้วก็ดี คือ ยังไม่ได้ให้แก่ใครๆ. 
              บท ว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ คือ ยกเว้นภิกษุผู้ได้รับสมมติ.
               ภิกษุทำเองก็ตาม ใช้ให้เขาทำก็ตาม ซึ่งสันถัตอื่นใหม่ เป็นทุกกฏในประโยคที่ทำ,
       เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล 
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตนั้น อย่างนี้:- 
วิธีเสียสละ 
       เสียสละแก่สงฆ์
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า กระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ทำหย่อนกว่า ๖ ฝน เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตที่
เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้าขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็น
ของจำจะ สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้สันถัตผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่คณะ
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา กว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ทำหย่อนกว่า ๖ ฝน เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ
 เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ
    พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า,
สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะ สละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลาย
          ถึงที่แล้ว, ท่านทั้งหลายพึงให้สันถัตผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่บุคคล
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน
สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ทำหย่อนกว่า ๖ ฝน เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ เป็น ของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้
แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ 
พึงคืนสันถัตที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้. 
บทภาชนีย์ 
                    จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 
              [๘๙] สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 อนาปัตติวาร         [๙๐] ครบ ๖ ฝนแล้วภิกษุทำใหม่ ๑, เกิน ๖ ฝนแล้ว
       ภิกษุทำใหม่ ๑. ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี     เพื่อใช้เป็นของอื่น ๑, ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว
 ใช้สอย ๑, ภิกษุทำเป็น เพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี,
 ภิกษุได้ สมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล. 
    โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์
         นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๔
          พรรณนาฉัพพัสสสิกขาบท        
               ฉัพพัสสสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               สอง บท ว่า อูทหนฺติปิ อุมฺมิหนฺติปิ มีรูปความที่ท่านกล่าวไว้ว่า พวก
เด็กๆ ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง เบื้องบนสันถัตทั้งหลาย.
               พระปุสสเทวเถระกล่าวว่า ภิกษุผู้ได้รับสมมติอย่างนี้ว่า สันถัตสมมติสงฆ์ให้แล้ว
แก่ภิกษุชื่อนี้ ย่อมได้เพื่อทำสันถัตในที่ที่ตนไปถึงตลอดเวลาที่โรคยังไม่หาย. ถ้าเธอหายโรคแล้ว 
กลับอาพาธอีกด้วยพยาธิเดิมนั่นแล, บริหาร (การคุ้มครอง) นั้นนั่นแลยังอยู่, ไม่มีกิจที่จะต้องสมมติอีก.
               ส่วนพระอุปติสสเถระกล่าวว่า อาพาธนั้นกำเริบขึ้นหรืออาพาธอื่นก็ตามที, เธอได้ชื่อว่า
 เป็นผู้อาพาธ คราวเดียว ก็เป็นอันได้แล้วนั่นเทียว, ไม่มีกิจที่จะต้องสมมติใหม่.
               ข้อว่า โอเรน เจ ฉนฺนํ วสฺสานํ ได้แก่ ส่วนร่วมใน คือ ภายใน. แต่ใน
บทภาชนะ เพื่อจะแสดงแต่เพียงสังขยา จึงตรัสว่า ยังหย่อน ๖ ปี.
               ข้อว่า อนาปตฺติ ฉพฺพสฺสานิ กโรติ มีความว่า ย่อมทำสันถัตในเวลาครบ ๖ ปีบริบูรณ์. 
แม้ในบทที่ ๒ พึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ทำในเวลาเกิน ๖ ฝนไป. 
ความจริง ภิกษุนั้นจะทำตลอด ๖ ปี หามิได้แล.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               สมุฏฐานเป็นต้นก็เป็นเหมือนโกสิยสิกขาบทนั่นแล, 
แต่สิกขาบทนี้เป็นทั้งกิริยาและอกิริยาแล.
พรรณนาฉัพพัสสสิกขาบทที่ ๔ จบ.     

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วย การทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
            [๘๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขต
พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้าม การกระทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน
จึงถือเอาขนเจียมขาวหน่อยหนึ่งปนไว้ที่ชายสันถัต, แล้วให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนเหมือนอย่างเดิมนั่นแหละ.
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่าง ก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
 ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ถือเอาขนเจียมขาวหน่อยหนึ่งปนไว้ที่ชาย สันถัต แล้วให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน
        เหมือนอย่างเดิมนั้นเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในพระเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ข่าวว่า พวกเธอ ถือเอาขนเจียมขาวหน่อยหนึ่งปนไว้ที่ชายสันถัต แล้วให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน เหมือน เหมือนอย่างเดิมนั่นแหละ จริงหรือ?
 พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร
 ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอจึงได้ถือเอา ขนเจียมขาวหน่อยหนึ่งปนไว้ที่ชายสันถัต แล้ว
ให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนเหมือนอย่างเดิม นั้นเล่า การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอ
เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความ
เป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความ
เป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส
การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่
เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท
แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๓๒.๓. อนึ่ง ภิกษุผู้ให้ทำสันถัตใหม่ พึงถือเอาขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน ขนเจียมขาวเป็นส่วนที่ ๓, 
ขนเจียมแดงเป็นส่วนที่ ๔, ถ้าภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมดำ ล้วน ๒ ส่วน ขนเจียมขาวเป็นส่วนที่ ๓
 ขนเจียมแดงเป็นส่วนที่ ๔ ให้ทำสันถัตใหม่, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ฯ 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๘๓] ที่ชื่อว่า ใหม่ ตรัสหมายการทำขึ้น. 
              ที่ชื่อว่า สันถัต ได้แก่ ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ.
               บท ว่า ผู้ให้ทำ คือ ทำเองก็ตาม ใช้ให้เขาทำก็ตาม. 
              คำว่า พึงถือเอาขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน ความว่า พึงชั่งถือเอาขนเจียมดำล้วน น้ำหนัก ๒ ชั่ง. 
              บท ว่า ขนเจียมขาวเป็นส่วนที่ ๓ คือ ขนเจียมขาวน้ำหนัก ๑ ชั่ง. 
               บท ว่า ขนเจียมแดงเป็นส่วนที่ ๔ คือ ขนเจียมแดงน้ำหนัก ๑ ชั่ง. 
              คำว่า ถ้าภิกษุไม่ถือเอาขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน ขนเจียมขาวเป็นส่วนที่ ๓ ขนเจียมแดงเป็นส่วนที่ ๔ 
                 ความว่า ไม่ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ชั่ง ขนเจียมแดง ๑ ชั่ง ทำเอง ก็ดี ใช้เขาทำก็ดี ซึ่งสันถัตใหม่,
           เป็นทุกกฏในประโยคที่ทำ, เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตนั้นอย่างนี้:- 
        วิธีเสียสละ 
              เสียสละแก่สงฆ์
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ชั่ง ขนเจียมแดง ๑ ชั่ง ให้ทำแล้ว เป็น
ของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
               พึงคืนสันถัตที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-   
        ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะ สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. 
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้สันถัตผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่คณะ 
      ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า                       กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า
     นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า           ไม่ได้ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ชั่ง
  ขนเจียมแดง ๑ ชั่ง ให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ,          ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้ว
 พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
  ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำ จะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
 ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลาย                        พึงให้สันถัตผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ 
เสียสละแก่บุคคล
ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่ง          ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-  ท่าน
 สันถัตผืนนี้ของข้าพเจ้า ไม่ได้ถือเอาขนเจียมขาว ๑ ชั่ง ขนเจียมแดง ๑ ชั่ง ให้      ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ,
 ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ     ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัต
    ที่ เสียสละให้ด้วยคำว่า                       ข้าพเจ้าให้สันถัตผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.ฯ 
บทภาชนีย์ 
                    จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 
              [๘๔] สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกกฏ ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย, ต้องอาบัติทุกกฏ.ฯ 
อนาปัตติวาร
[๘๕] ภิกษุถือเอาขนเจียมขาว ๑ ชั่ง ขนเจียมแดง ๑ ชั่ง แล้วทำ ๑ ภิกษุถือเอา ขนเจียมขาวมากกว่า ขนเจียม
แดงมากกว่า แล้วทำ ๑ ภิกษุถือเอาขนเจียมขาวล้วน ขนเจียมแดง ล้วน แล้วทำ ๑ ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดีเป็น
เครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี ๑ เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอนก็ดี ๑
           ภิกษุวิกลจริต ๑               ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.ฯ 
          โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.
      อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์
            นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๓
            พรรณนาเทวภาคสิกขาบท       
             เทวภาคสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในเทวภาคสิกขาบทนั้น                                   มีวินิจฉัยดังนี้ :-
        สอง บท ว่า อนฺเต อาทิยิตฺวา มีความว่า ให้ติดขนเจียมขาวไว้ที่ชายแห่งสันถัตดุจอนุวาตที่ชายผ้าฉะนั้น.
               สอง บท ว่า เทฺว ภาคา แปลว่า ๒ ส่วน.
               บท ว่า อาทาตพฺพา แปลว่า พึงถือเอา.
               บท ว่า โคจริยานํ แปลว่า มีสีแดง.
               คำว่า เทฺว ตุลา อาทาตพฺพา ท่านกล่าวหมายเอาภิกษุผู้ประสงค์จะให้ทำด้วยขนเจียม ๔ ส่วน. บัณฑิต
พึงทราบสันนิษฐานว่า ก็โดยใจความ เป็นอันทรงแสดงคำนี้ทีเดียวว่า ภิกษุมีความประสงค์จะทำด้วยขนเจียม
 มีประมาณเท่าใด, ในขนเจียมมีประมาณเท่านั้น ขนเจียมดำ ๒ ส่วน ขนเจียมขาว ๑ ส่วน ขนเจียมแดง ๑ ส่วน.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเหมือนโกสิยสิกขาบทนั่นเอง.
             สิกขาบทนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นกิริยาและอกิริยาอย่างเดียว เพราะถือเอาและไม่ถือเอาทำ ฉะนี้แล.
   พรรณนาเทวภาคสิกขาบทที่ ๓ จบ.   

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๒ ว่าด้วย การทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
      [๗๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน เขตพระนครเวสาลี. 
ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ให้เขาทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน ชาวบ้านพากัน มาเที่ยวชมวิหารได้แลเห็นแล้ว จึงพากัน
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสาย พระศากยบุตรเหล่านี้ จึงได้ให้เขาทำสันถัตแห่งขนเจียมดำ
ล้วน เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม เล่า? ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่,
บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา, ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า
 ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ให้เขาทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาค 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้ว
ทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอ ให้เขาทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน จริงหรือ?
                   พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า                           จริง พระพุทธเจ้าข้า 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม
ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอจึงได้ให้ เขาทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนเล่า? การ
กระทำของพวกเธอนั้น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ
ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การ กระทำของพวกเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
      และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
            พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ
สมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
             เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑                              เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ 
             เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑                       เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ 
            เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑               เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ 
          เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระ สัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ               ๓๑.๒. อนึ่ง ภิกษุใด ให้ทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน,                       เป็นนิสสัคคิยปาจิตต์.ฯ
 เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๗๙] อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด
มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็น เถระก็ตาม
 เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด 
              บท ว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ.
       ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ อรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร.
              ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว.
          ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา.
              ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ.
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์.
  ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็น ผู้เจริญ. 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. 
ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ 
ชื่อว่าภิกษุเพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ

        ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียง กันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ
  ควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์ พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรมอันไม่กำเริบ
                   ควรแก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรง ประสงค์ในอรรถนี้.
  ที่ชื่อว่า ดำ มี ๒ อย่าง คือ ดำเองโดยกำเนิด อย่าง ๑ ดำโดยย้อมอย่าง ๑. 
 ที่ชื่อว่า สันถัต ได้แก่ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ. 
       บท ว่า ให้ทำ ความว่า ทำเองก็ดี ใช้ให้เขาทำก็ดี เป็นทุกกฏในประโยคที่ทำ, เป็น นิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, 
             ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตนั้น อย่างนี้:- 
วิธีเสียสละ 
เสียสละแก่สงฆ์         
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนผืนนี้ ของข้าพเจ้าให้ทำแล้ว เป็นของ จำจะสละ, ข้าพเจ้าสละ
สันถัตผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตที่เสีย สละให้
ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำ จะสละ
         เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,                   สงฆ์พึงให้สันถัต ผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่คณะ
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า       นั่งกระหย่ง
ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนผืนนี้ ของข้าพเจ้าให้ทำแล้ว เป็นของ จำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
                       พึงคืนสันถัตที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
 ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำ      จะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย 
        ถ้าความพร้อมพรั่งของทั้งท่านหลายถึงที่แล้ว,          ท่านทั้งหลาย                พึงให้สันถัตผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ 
เสียสละแก่บุคคล
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน 
สันถัตแห่งขนเจียมดำล้วนผืนนี้ ของข้าพเจ้าให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่าน. 
 ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัต
ที่ เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.ฯ 
บทภาชนีย์
                     จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
 [๘๐] สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้
อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัค
คีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุใช้ผู้อื่นทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกกฏ ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๘๑] ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี เป็นปลอกหมอน
ก็ดี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.ฯ
    โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์
          นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒
 สิกขาบทที่ ๒
              พรรณนาสุทธกาฬกสิกขาบท
               สุทธกาฬกสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
         ในสุทธกาฬกสิกขาบทนั้น 
  บทว่า สุทฺธกาฬกานํ 
               ความว่า ดำล้วน คือ ดำไม่เจือด้วยขนเจียมอย่างอื่น.
           คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับโกสิยสิกขาบทนั่นเอง.
               พรรณนาสุทธกาฬกสิกขาบทที่ ๒ จบ.               

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๑ ว่าด้วย การทำสันถัตเจือด้วยไหม พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
             [๗๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า         ประทับอยู่ ณ       อัคคาฬวเจดีย์ เขตพระนครอาฬวี,
 ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์เข้าไปหาพวกช่างไหม กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย      พวกท่าน ต้มตัวไหมไว้เป็นอันมาก 
จงให้แก่พวกอาตมาบ้าง แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทำสันถัตเจือ       ด้วยไหม ช่างไหมเหล่านั้นเพ่งโทษติเตียน
โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้เข้ามาหาพวกเรากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พวกท่าน
ต้มตัวไหมไว้เป็นอันมาก จงให้แก่ พวกอาตมาบ้าง แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทำสันถัตเจือด้วยไหม ดังนี้, แม้พวก
เราผู้ซึ่งทำสัตว์ ตัวเล็กๆ มากมายให้วอดวาย เพราะเหตุแห่งอาชีพ เพราะเหตุแห่งบุตรและภริยา ก็ยังชื่อว่า ไม่ได้
ลาภ หาได้ไม่สุจริต. ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกช่างไหมเหล่านั้น เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่ มักน้อย
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึง
เข้าไปหาพวกช่างไหม แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พวก ท่านต้มตัวไหมไว้เป็นอันมาก จงให้แก่พวกอาตมา
บ้าง แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทำสันถัต เจือด้วยไหม ดังนี้เล่า? แล้ว         กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น
แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอ เข้าไปหาพวกช่างไหม แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
 ท่านทั้งหลาย พวกท่านต้มตัวไหมไว้เป็นอันมาก จงให้แก่พวกอาตมาบ้าง 
แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทำสันถัตเจือด้วยไหม ดังนี้ จริงหรือ? 
              พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม
ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนพวกเธอจึงได้เข้าไป หาพวกช่างไหม แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน
ทั้งหลาย พวกท่านต้มตัวไหมไว้เป็นอันมาก จงให้ แก่พวกอาตมาบ้าง แม้พวกอาตมาก็ปรารถนาจะทำสันถัตเจือด้วย
ไหม ดังนี้เล่า? การกระทำของ พวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใส ของชุมชน
ที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
            พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์ โดยอเนกปริยายดังนี้ แล้วตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
 ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ
สมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญ
แห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน
ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อ ถือตามพระวินัย ๑. 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ
                      ๓๐.๑. อนึ่ง ภิกษุใด ให้ทำสันถัตเจือด้วยไหม, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.ฯ
               เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
 สิกขาบทวิภังค์
             [๗๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด
มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม
เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ
อรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. ชื่อว่า
ภิกษุ โดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ. ชื่อว่า
ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็น
ผู้เจริญ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ.
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียง
กันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่
สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ ชื่อว่า ภิกษุ
ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่มีชื่อว่า สันถัต ได้แก่ ผ้ารองนั่งที่เขาหล่อ ไม่ใช่ทอ.
             บทว่า ให้ทำ ความว่า ทำเองก็ดี ใช้ให้ทำก็ดี เจือด้วยไหมแม้เส้นเดียว เป็นทุกกฏ
ในประโยคที่ทำ, เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้สันถัตมา, ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละสันถัตนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตเจือด้วยไหมผืนนี้ ของข้าพเจ้าได้ทำแล้ว เป็นของจำจะ สละ, ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้
แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนสันถัตที่ เสียสละให้ ด้วย
ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้ ท่านข้าพเจ้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของ จำจะสละ เธอสละ
แล้วแก่สงฆ์.               ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,        สงฆ์พึงให้สันถัต ผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ 
เสียสละแก่คณะ
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า     ภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า สันถัตเจือด้วยไหมผืนนี้ของข้าพเจ้า                ให้ทำแล้วเป็นของจำจะสละ, 
ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนสันถัตที่เสียสละ ให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-  ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. สันถัตผืนนี้
ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว,
                   ท่าน ทั้งหลายพึงให้สันถัตผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ
 เสียสละแก่บุคคล
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง           ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า       นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
 ท่าน สันถัตเจือด้วยไหมผืนนี้ ของข้าพเจ้าให้ทำแล้ว เป็นของจำจะสละ,          ข้าพเจ้าสละสันถัตผืนนี้แก่ท่าน 
 ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ, พึงคืนสันถัต
        ที่เสีย สละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้สันถัตผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.ฯ 
  บทภาชนีย์
 จตุกกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ 
 [๗๖] สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตตนทำค้างไว้ ภิกษุใช้
ผู้อื่นให้ทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ ภิกษุทำต่อให้สำเร็จเอง, 
เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. สันถัตคนอื่นทำค้างไว้ 
ภิกษุใช้ผู้อื่นให้ทำต่อจนสำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
ทุกกฏ ภิกษุทำเองก็ดี ใช้ผู้อื่นทำก็ดี เพื่อใช้เป็นของอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
 ภิกษุได้สันถัตที่คนอื่นทำไว้แล้ว ใช้สอย, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
อนาปัตติวาร [๗๗] ภิกษุทำเป็นเพดานก็ดี เป็นเครื่องลาดพื้นก็ดี เป็นม่านก็ดี เป็นเปลือกฟูกก็ดี 
เป็นปลอกหมอนก็ดี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.ฯ 
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๑
               พรรณนาโกสิยสิกขาบท     
              โกสิยสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในโกสิยสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               หลายบท ว่า สนฺถริตฺวา กตํ โหติ มีความว่า สันถัตที่ลาดเส้นไหม
ซ้อนๆ กัน บนภาคพื้นที่เสมอแล้ว เอาน้ำข้าวเป็นต้นเทราดลงไปแล้วหล่อ.
               ในคำว่า เอเกนปิ โกสิยํสุนา มิสฺสิตฺวา นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบวินิจฉัยว่า สันถัตที่เจือ (ไหม) ด้วยอำนาจ
แห่งความชอบใจของตนจงยกไว้. ถ้าแม้นว่า ลมพัดเอาเส้นไหมเส้นเดียวไปตกลงในที่หล่อสันถัตนั้น 
แม้อย่างนี้ ก็ชื่อว่า หล่อสันถัตเจือ (ด้วยไหม) เหมือนกัน.
               คำที่เหลือทุกๆ แห่ง มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ
 ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ เวทนา ๓ ฉะนี้แล.
        พรรณนาโกสิยสิกขาบทที่ ๑ จบ.