Translate

02 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ ว่าด้วย บาตร พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๑            พรรณนาปัตตสิกขาบท       
               ปัตตสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-       ในปัตตสิกขาบทนั้น             
           มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               บท ว่า ปตฺตวณิชฺชํ มีความว่า พวกสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจักเที่ยวทำการขายบาตร หรือออกร้าน
ขายภาชนะดินในบ้านและนิคมเป็นต้น. ภาชนะท่านเรียกว่า อามัตตะ (ในคำว่า อามตฺติกาปณํ). ภาชนะเหล่านั้น
เป็นสินค้าของชนเหล่าใด ชนเหล่านั้น ชื่อว่า อามัตติกา (ผู้มีภาชนะเป็นสินค้า). ร้านตลาดของผู้มีภาชนะ
เป็นสินค้าเหล่านั้น ชื่อว่า อามัตติกาปณะ.               อธิบายว่า ร้านขายสินค้าของพวกช่างหม้อ.
               [อธิบายขนาดบาตร ๓-๙ ขนาด]               
               หลายบท ว่า ตโย ปตฺตสฺส วณฺณา ได้แก่ ขนาดแห่งบาตร ๓ ขนาด.
               สอง บท ว่า อฑฺฒาฬฺหโกทนํ คณฺหติ มีความว่า ย่อมจุข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๒ ทะนาน โดยทะนานมคธ.
 ในอันธกอรรถกถา ท่านกล่าวว่า ที่ชื่อว่า ทะนานมคธมี ๑๒ ปละครึ่ง. ในมหาอรรถกถา ท่านกล่าวว่า ในเกาะ
สิงหล ทะนานตามปกติใหญ่ ทะนานของชาวทมิฬเล็ก, ทะนานมคธ  ได้ขนาด. ทะนานครึ่ง โดยทะนานมคธนั้น เป็นหนึ่งทะนานสิงหล.
               บท ว่า จตุพฺภาคขาทนียํ มีความว่า ของเคี้ยวประมาณเท่าส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสุก. ขาทนียะนั้น พึงทราบ
            ด้วยสามารถแห่งแกง ถั่วเขียว พอหยิบด้วยมือได้.
           สอง บท ว่า ตทุปิยญฺจ พฺยญฺชนํ มีความว่า กับข้าวมีปลาเนื้อ ผักดองผลไม้และหน่อไม้เป็นต้น อันสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
               ในบาตรนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               พึงเอาข้าวสารแห่งข้าวสาลีเก่า (ซึ่งเก็บไว้แรมปี) ที่ไม่หัก ซึ่งซ้อมบริสุทธิ์ดีแล้ว ๒ ทะนานมคธ
 หุงให้เป็นข้าวสุกด้วยข้าวสารเหล่านั้นไม่เช็ดน้ำ ไม่เป็นข้าวท้องเล็น ไม่แฉะ ไม่เป็นก้อน สละสลวยดี เช่นกับ
กองดอกมะลิตูมในหม้อ แล้วบรรจุลงในบาตรไม่ให้เหลือ เพิ่มแกงถั่วที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงทุกอย่าง ไม่ข้นนัก 
ไม่เหลวนัก พอมือหยิบได้ลงไป ประมาณเท่าส่วนที่ ๔ แห่งข้าวสุกนั้น.           แต่นั้น จึงเพิ่มกับข้าวมีปลา เนื้อเป็นต้น ลงไปสมควรแก่คำข้าวเป็นคำๆ จนเพียงพอกับคำข้าวเป็นอย่างยิ่ง. 
ส่วนเนยใส น้ำมัน รสเปรียงและน้ำข้าวเป็นต้น ไม่ควรนับ. เพราะของเหล่านั้น มีคติอย่างข้าวสุกนั่นเทียว ไม่อาจ
เพื่อจะลดลงและไม่อาจจะเพิ่มขึ้นได้. อาหารที่บรรจุลงอย่างนี้แม้ทั้งหมดนั่น ถ้าตั้งอยู่เสมอแนวล่างแห่งขอบ
ปากบาตร, เมื่อเอาเส้นด้ายหรือไม้ซีก (เสี้ยนตาล) ปาดไป (ของในบาตรนี้) ถูกที่สุดภายใต้เส้นด้ายหรือไม้ซีก
นั้น (คือของในบาตรมีข้าวสุกทะนานครึ่งเป็นต้นนี้ถูกที่สุดเบื้องล่างแห่งด้ายหรือเสี้ยนตาลของบุคคลผู้ตัดด้วยด้าย
หรือเสี้ยนตาล), บาตรนี้ ชื่อว่าบาตรขนาดใหญ่ (อย่างกลาง). ถ้าของในบาตรนั้นพูนเป็นจอมเลยแนว (ขอบปาก
บาตร) นั้นขึ้นมา, บาตรนี้ชื่อว่าบาตรขนาดใหญ่อย่างเล็ก. ถ้าของในบาตรนั้น ไม่ถึงแนวขอบ (ปากบาตร) พร่องอยู่ภายในเท่านั้น, บาตรนี้ ชื่อว่า บาตรขนาดใหญ่อย่างใหญ่.
               บท ว่า นาฬิโกทนํ ได้แก่ ข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๑ ทะนานโดยทะนานมคธ.
               บท ว่า ปตฺโถทนํ ได้แก่ ข้าวสุกกึ่งทะนานโดยทะนานมคธ.
               บทที่เหลือ พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               แต่มีความแปลกกันในเหตุสักว่าชื่อ ดังต่อไปนี้ :-
               ถ้าของมีข้าวสุก ๑ ทะนานเป็นต้นแม้ทั้งหมดที่บรรจุลงแล้ว อยู่เสมอแนวขอบล่าง โดยนัยดังกล่าว
แล้วนั่นเอง. บาตรนี้ชื่อว่า บาตรขนาดกลาง (อย่างกลาง). ถ้าของพูนเป็นจอมเลยแนวขอบนั้นขึ้นมา, บาตรนี้ 
ชื่อว่า บาตรขนาดกลางอย่างเล็ก. ถ้าไม่ถึงแนวขอบนั้น, พร่องอยู่เพียงภายในเท่านั้น, บาตรนี้ชื่อว่า บาตรขนาดกลางอย่างใหญ่.         ถ้าของทั้งหมดมีข้าวสุกประมาณกึ่งทะนานเป็นต้น ที่บรรจุลงแล้วอยู่เสมอแนวล่าง (แห่งขอบปาก
บาตร), บาตรนี้ ชื่อว่าบาตรขนาดเล็ก (อย่างกลาง). ถ้าของพูนเป็นจอมเลยแนวขอบนั้นขึ้นมา, บาตรนี้ ชื่อว่าบาตร
ขนาดเล็กอย่างเล็ก. ถ้าของไม่ถึงแนวขอบนั้นพร่องอยู่ภายในเท่านั้น, บาตรนี้ ชื่อว่าบาตรขนาดเล็กอย่างใหญ่.
 ผู้ศึกษาพึงทราบบาตร ๙ ชนิดเหล่านี้ โดยประการดังกล่าวมาฉะนี้แล.             บรรดาบาตร ๙ ชนิดนั้น บาตร
          ๒ ชนิด คือ บาตรขนาดใหญ่อย่างใหญ่ ๑ บาตรเล็กอย่างเล็ก ๑ ไม่จัดเป็นบาตร (เป็นบาตรใช้ไม่ได้).
            จริงอยู่ คำว่า ใหญ่กว่านั้น ไม่ใช่บาตร เล็กกว่านั้น ไม่ใช่บาตร นี้ตรัสหมายเอาบาตร ๒ ชนิดนั่น. แท้จริง
บรรดาบาตร ๒ ชนิด บาตรขนาดใหญ่อย่างใหญ่ คือใหญ่กว่านั้น ตรัสว่า ไม่ใช่บาตร เพราะใหญ่กว่าขนาดใหญ่
. และบาตรขนาดเล็กอย่างเล็ก คือ เล็กกว่านั้น ตรัสว่า ไม่ใช่บาตร เพราะเล็กกว่าขนาดเล็ก. เพราะฉะนั้น บาตร
เหล่านี้ ควรใช้สอยอย่างใช้สอยภาชนะไม่ควรอธิษฐาน ไม่ควรวิกัป. ส่วนบาตร ๗ ชนิดนอกนี้ พึงอธิษฐานหรือวิกัป
ไว้ใช้เถิด.               เมื่อภิกษุไม่กระทำอย่างนี้ ให้บาตรนั้นล่วง ๑๐ วันไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คือเมื่อภิกษุให้
บาตรแม้ทั้ง ๗ ชนิด ล่วงกาลมี ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่งไป เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ แล.
               ข้อว่า นิสฺสคฺคิยํ ปตฺตํ อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ พึงทราบความว่า เป็นทุกกฏ ทุกๆ ประโยคอย่างนี้ คือ
เมื่อภิกษุดื่มยาคูแล้ว ล้างบาตร เป็นทุกกฏ, เมื่อฉันของควรเคี้ยว ฉันภัตตาหารแล้วล้างบาตร เป็นทุกกฏ.
               [อธิบายบาตรที่ควรอธิษฐานและวิกัป]               
             ก็ในคำว่า อนาปตฺติ อนฺโตทสาหํ อธิฏฺเฐติ วิกปฺเปติ นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบแม้บาตรที่ได้ประมาณเป็นบาตร
                  ควรอธิษฐานและวิกัป โดยนัยดังจะกล่าวอย่างนี้ :-
               บาตรเหล็ก ระบมแล้วด้วยการระบม ๕ ไฟ บาตรดินระบมแล้วด้วยการระบม ๒ ไฟ จึงควรอธิษฐาน. 
บาตรทั้ง ๒ ชนิด เมื่อให้มูลค่าที่ควรให้แล้วนั่นแล ถ้าระบมยังหย่อนอยู่แม้เพียงหนึ่งไฟหรือยังไม่ได้ให้มูลค่า
แม้เพียงกากณิกหนึ่ง ไม่ควรอธิษฐาน. ถ้าเจ้าของบาตรกล่าวว่า ท่านจงให้ในเวลาท่านมีมูลค่า, ท่านจงอธิษฐาน
ใช้สอยเถิด ดังนี้ ก็ยังไม่ควรอธิษฐานแท้. เพราะว่า ยังไม่ถึงการนับว่าเป็นบาตร เพราะการระบมยังหย่อนอยู่,
ยังไม่ถึงความเป็นบาตรของตน. ยังเป็นของผู้อื่นอยู่ทีเดียว เพราะมูลค่าทั้งหมด หรือส่วนหนึ่งยังไม่ได้ให้ เพราะ
ฉะนั้น เมื่อระบม และเมื่อให้มูลค่าเสร็จแล้วนั่นแล จึงเป็นบาตรควรอธิษฐานบาตรใบที่ควรอธิษฐานเท่านั้น จึงควร
วิกัป.          บาตรนั้นจะมาถึงมือแล้วก็ตาม ยังไม่มาถึงก็ตาม ควรอธิษฐาน หรือควรวิกัปไว้เสีย.
               ก็ถ้าว่า ช่างบาตรได้มูลค่าแล้ว หรือเป็นผู้ประสงค์จะถวายเอง กล่าวว่า ท่านขอรับ! ผมจักทำบาตร
ถวายท่าน ระบมแล้วในวันชื่อโน้น จักเก็บไว้ และภิกษุให้ล่วง ๑๐ วันไป จากวันที่ช่างบาตรนั้นกำหนดไว้ 
เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.              ก็ถ้าว่า ช่างบาตรกล่าวว่า ผมจักทำบาตรถวายท่าน ระบมแล้วจักส่งข่าวมาให้
ทราบ แล้วทำเหมือนอย่างนั้น, ส่วนภิกษุผู้ที่ช่างบาตรนั้นวานไปไม่บอกแก่ภิกษุนั้น, ภิกษุอื่นเห็นหรือได้ยิน 
จึงบอกว่า ท่านขอรับ! บาตรของท่านเสร็จแล้ว, การบอกของภิกษุนั่นไม่เป็นประมาณ. แต่ในเวลาที่ภิกษุซึ่ง
ช่างบาตรนั้นวานนั่นแหละบอก, เมื่อภิกษุให้ล่วง ๑๐ วันไปจำเดิม แต่วันที่ได้ยินคำบอกกล่าวของภิกษุนั้น เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               ถ้าช่างบาตรกล่าวว่า ผมจักทำบาตรถวายท่าน ระบมแล้วจักส่งไปในมือของภิกษุบางรูป แล้วกระทำตาม
พูดนั้น, แต่ภิกษุผู้รับบาตรมาเก็บไว้ในบริเวณของตนแล้วไม่บอกแก่เธอ, ภิกษุอื่นบางรูปกล่าวว่า ท่านขอรับ! บาตรที่
ได้มาใหม่สวยดีบ้างไหม? เธอกล่าวว่า คุณ! บาตรที่ไหนกัน? ภิกษุบางรูปนั้นกล่าวว่า ช่างบาตรส่งมาในมือของภิกษุ
ชื่อนี้. ถ้อยคำของภิกษุแม้นี้ก็ไม่เป็นประมาณ. แต่ในเวลาที่ภิกษุนั้นให้บาตร, เมื่อเธอให้ล่วง ๑๐ วันไปนับแต่
 วันที่ได้บาตรมา เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เพราะฉะนั้น อย่าให้ล่วง ๑๐ วัน พึงอธิษฐานหรือพึงวิกัปเสีย.
               [อธิบายการอธิษฐานบาตร]   
               บรรดาการอธิษฐานและวิกัปนั้น อธิษฐานบาตรมี ๒ คือ อธิษฐานด้วยกายอย่าง ๑ อธิษฐานด้วยวาจา
อย่าง ๑. ภิกษุเมื่อจะอธิษฐานด้วยอำนาจแห่งการอธิษฐาน ๒ อย่างนั้น พึงปัจจุทธรณ์บาตรเก่าที่ตั้งอยู่ต่อหน้า
             หรือในที่ลับหลังอย่างนี้ว่า       อิมํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามิ              แปลว่า ข้าพเจ้าถอนบาตรใบนี้
        หรือว่า เอตํ ปตฺตํ ปจฺจุทฺธรามิ แปลว่า ข้าพเจ้าถอนบาตรใบนั่น หรือให้แก่ภิกษุอื่นแล้ว เอามือลูบคลำบาตรใหม่
ที่ตั้งอยู่ในที่แห่งใดแห่งหนึ่งแล้ว ทำความคำนึงด้วยใจ แล้วทำกายวิการ อธิษฐานด้วยกาย หรือเปล่งวาจา แล้ว
                 อธิษฐานด้วยวาจาว่า        อิมํ ปตฺตํ อธิฏฺฐามิ                              แปลว่า ข้าพเจ้าอธิษฐานบาตรใบนี้.
               ในอธิษฐานวิสัยนั้น อธิษฐานมี ๒ อย่าง. ถ้าบาตรอยู่ในหัตถบาส พึงเปล่งวาจาว่า อิมํ ปตฺตํ อธิฏฺฐามิ
ข้าพเจ้าอธิษฐานบาตรใบนี้. ถ้าบาตรนั้นอยู่ภายในห้องก็ดี ที่ปราสาทชั้นบนก็ดี ในวิหารใกล้เคียงก็ดี, ภิกษุพึง
กำหนดสถานที่บาตรตั้งอยู่ แล้วพึงเปล่งวาจาว่า เอตํ ปตฺตํ อธิฏฺฐามิ ข้าพเจ้าอธิษฐานบาตรใบนั่น. ก็ภิกษุ
ผู้อธิษฐาน แม้อธิษฐานรูปเดียว                            ก็ควร. แม้จะอธิษฐานในสำนักของภิกษุอื่น ก็ควร.   
               การอธิษฐานในสำนักของภิกษุอื่นมีอานิสงส์ดังต่อไปนี้ :-
               ถ้าเธอเกิดความเคลือบแคลงว่า บาตร เราอธิษฐานแล้วหรือไม่หนอ ดังนี้, อีกรูปหนึ่งจักเตือนให้นึกได้ตัด
ความสงสัยเสีย. ถ้าภิกษุบางรูปได้บาตรมา ๑๐ ใบ ตนเองประสงค์จะใช้สอยทั้งหมดทีเดียว, อย่าพึงอธิษฐาน
ทั้งหมด. อธิษฐานบาตรใบหนึ่งแล้ววันรุ่งขึ้นปัจจุทธรณ์บาตรนั้นแล้วพึงอธิษฐานใบใหม่. โดยอุบายนี้อาจจะได้บริหาร (การคุ้มครอง) ตั้ง ๑๐๐ ปี.
               [ว่าด้วยการขาดอธิษฐานของบาตร]               
               ถามว่า การขาดอธิษฐาน พึงมีแก่ภิกษุผู้ไม่ประมาทอย่างนี้ได้หรือ?
               ตอบว่า พึงมีได้.
               หากว่า ภิกษุนี้ให้บาตรแก่ภิกษุอื่นก็ดี หมุนไปผิดก็ดี 
บอกลาสิกขาก็ดี กระทำกาละเสียก็ดี เพศของเธอกลับก็ดี ปัจจุทธรณ์เสียก็ดี บาตรมีช่องทะลุก็ดี บาตร
ย่อมขาดอธิษฐาน. และคำนี้แม้พระอาจารย์ทั้งหลายก็ได้กล่าวไว้ว่า
                         การขาดอธิษฐาน ย่อมมีได้ด้วยการให้ ๑
                         หมุนไปผิด ๑ ลาสิกขา ๑ กระทำกาลกิริยา ๑
                         เพศกลับ ๑ ปัจจุทธรณ์ (ถอน) ๑ เป็นที่ ๗
                         กับช่องทะลุ ๑ ดังนี้.
               แม้เพราะโจรลักและการถือเอาโดยวิสาสะ บาตรก็ขาดอธิษฐานเหมือนกัน. บาตรจะขาดอธิษฐาน
ด้วยช่องทะลุประมาณเท่าไร? จะขาดอธิษฐานด้วยช่องทะลุพอเมล็ดข้าวฟ่างลอดออกได้ และลอดเข้าได้.
               จริงอยู่ บรรดาธัญชาติ ๗ ชนิด เมล็ดข้าวฟ่างนี้ เป็นเมล็ดธัญชาติอย่างเล็ก. เมื่อช่องนั้นอุดให้กลับเป็น
ปกติด้วยผงเหล็ก หรือด้วยหมุดแล้วพึงอธิษฐานบาตรนั้นใหม่ภายใน ๑๐ วัน.
               ในการอธิษฐานที่ตรัสไว้ในคำว่า อนฺโตทสาหํ อธิฏฺเฐติ วิกปฺเปติ นี้ มีวินิจฉัยเพียงเท่านี้ก่อน.
               [ว่าด้วยการวิกัปบาตร]         
               ก็ในการวิกัป มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
    วิกัปมี ๒ อย่าง คือวิกัปต่อหน้าอย่าง ๑ วิกัปลับหลังอย่าง ๑.
               วิกัปต่อหน้าเป็นอย่างไร? คือภิกษุพึงรู้ว่าบาตรมีใบเดียวหรือหลายใบ และวางไว้ใกล้หรือมิได้วางไว้ใกล้
 แล้วกล่าวว่า อิมํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนี้ หรือว่า อิเม ปตฺเต ซึ่งบาตรเหล่านี้ ก็ดี ว่า เอตํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนั่น หรือว่า
 เอเต ปตฺเต ซึ่งบาตรเหล่านั้น ก็ดี แล้วกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัปแก่ท่าน นี้ชื่อว่าวิกัปต่อหน้าอย่าง ๑.
 ด้วยวิธีวิกัปเพียงเท่านี้จะเก็บไว้ควรอยู่. แต่จะใช้สอย จะจำหน่าย หรือจะอธิษฐานไม่สมควร.
               แต่เมื่อภิกษุผู้รับวิกัปกล่าวอย่างนี้ว่า มยฺหํ สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ
บาตรนี้ของข้าพเจ้า ท่านจงใช้สอย จงจำหน่าย หรือจงกระทำตามปัจจัยก็ตาม ดังนี้ ชื่อว่าถอน. จำเดิมแต่นั้น แม้การใช้สอยเป็นต้นควรอยู่.
            อีกนัยหนึ่ง ภิกษุทราบว่า บาตรมีใบเดียวหรือหลายใบ และวางไว้ใกล้หรือมิได้วางไว้ใกล้อย่างนั้นเหมือนกัน
 แล้วกล่าวว่า อิมํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนี้ หรือว่า อิเม ปตฺเต ซึ่งบาตรทั้งหลายเหล่านี้ก็ดี ว่า เอตํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนั่น 
หรือว่า เอเต ปตฺเต ซึ่งบาตรทั้งหลายเหล่านั่นก็ดี ในสำนักของภิกษุนั้นนั่นแหละ แล้วระบุชื่อแห่งบรรดาสหธรรมิก
ทั้ง ๕ รูปใดรูปหนึ่ง คือ ท่านใดท่านหนึ่งที่ตนชอบใจแล้วพึงกล่าวว่า ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัปแก่
ภิกษุชื่อว่าติสสะ ดังนี้ก็ดี ว่า ติสฺสาย ภิกฺขุนิยา ... ติสฺสาย สิกฺขมานาย ... ติสฺสสฺส สามเณรสฺส ... ติสฺสาย 
สามเณริยา วิกปฺเปมิ ข้าพเจ้าวิกัปแก่ภิกษุณีชื่อติสสา ... แก่สิกขมานาชื่อติสสา ... แก่สามเณรชื่อติสสะ ... แก่
สามเณรีชื่อติสสา ดังนี้ก็ดี นี้ชื่อว่าวิกัปต่อหน้า แม้อีกอย่างหนึ่ง. ด้วยคำเพียงเท่านี้ จะเก็บไว้ สมควรอยู่,
       แต่บรรดากิจมีการบริโภคเป็นต้น แม้กิจอย่างหนึ่งก็ไม่ควร.
   แต่เมื่อภิกษุผู้รับวิกัปนั้นกล่าวว่า ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน สนฺตกํ ฯเปฯ ติสฺสาย สามเณริยา สนฺตกํ ปริภุญฺช 
วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ บาตรนี้ของภิกษุชื่อติสสะ ฯลฯ ของสามเณรีชื่อติสสา ท่านจงใช้สอยก็ตาม
 จงจำหน่ายก็ตาม จงกระทำตามปัจจัยก็ตาม ดังนี้แล้ว ชื่อว่าถอน. จำเดิมแต่นั้น แม้การบริโภคเป็นต้นก็สมควร.
               วิกัปลับหลังเป็นอย่างไร? คือ ภิกษุทราบว่าบาตรมีใบเดียวหรือหลายใบ และว่าวางไว้ใกล้ 
หรือมิได้วางไว้ใกล้อย่างนั้นนั่นแลแล้วกล่าวว่า อิมํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนี้ หรือว่า อิเม ปตฺเต ซึ่งบาตรเหล่านี้ ก็ดี ว่า
 เอตํ ปตฺตํ ซึ่งบาตรนั่น หรือว่า เอเต ปตฺเต ซึ่งบาตรเหล่านั้นก็ดี แล้วกล่าวว่า ตุยฺหํ วิกปฺปนตฺถาย ทมฺมิ 
                  ข้าพเจ้าให้แก่ท่านเพื่อต้องการวิกัป ดังนี้.
               ภิกษุผู้รับวิกัปนั้น พึงถามเธอว่า ใครเป็นมิตรหรือเป็นเพื่อนเห็นกันของท่าน. ลำดับนั้น ภิกษุผู้วิกัปนอกนี้
 พึงกล่าวว่า ติสฺโส ภิกฺขุ ภิกษุชื่อว่าติสสะ ฯลฯ หรือว่า ติสฺสา สามเณรี สามเณรีชื่อว่าติสสา โดยนัยก่อนนั่นแล.
               ภิกษุนั้นพึงกล่าวอีกว่า อหํ ติสฺสสฺส ภิกฺขุโน ทมฺมิ ฯเปฯ หรือว่า ติสฺสาย สามเณริยา ทมฺมิ ข้าพเจ้าให้
แก่ภิกษุชื่อติสสะ ฯลฯ หรือว่า ข้าพเจ้าให้แก่สามเณรีชื่อติสสา. 
นี้ชื่อว่าวิกัปลับหลัง. ด้วยการวิกัปเพียงเท่านี้จะเก็บไว้ ควรอยู่,
      แต่บรรดากิจมีการบริโภคเป็นต้น กิจแม้อย่างเดียวไม่ควร.
               เมื่อภิกษุนั้นกล่าวว่า อิตฺถนฺนามสฺส สนฺตกํ ปริภุญฺช วา วิสฺสชฺเชหิ วา ยถาปจฺจยํ วา กโรหิ บาตรนี้
ของภิกษุชื่อนี้ ท่านจงใช้สอยก็ตาม จงจำหน่ายก็ตาม จงกระทำตามปัจจัยก็ตาม โดยนัยดังกล่าวแล้ว 
ในวิกัปต่อหน้าอย่างที่สองนั่นแล ย่อมชื่อว่าถอน. จำเดิมแต่นั้น แม้การจะใช้สอยเป็นต้น ก็ควร.
               แต่ข้อแตกต่างกันแห่งวิกัปทั้งสองอย่างนี้ และลำดับแห่งวรรณนาที่ยังเหลือทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบ
โดยนัยดังกล่าวแล้ว ในวรรณนาแห่งปฐมกฐินสิกขาบทนั่นแหละ พร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น ฉะนี้แล.
               ปัตตสิกขาบทที่ ๑ จบ.       

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ ว่าด้วย บาตร พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์   
    [๑๑๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์สั่งสมบาตรไว้เป็นอันมาก ชาวบ้าน
พากันเที่ยวชมวิหาร เห็นแล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะ เชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้
สั่งสมบาตรไว้เป็นอันมาก ท่านจักทำการขายบาตร หรือจักตั้งร้านขาย ภาชนะดินเผา. ภิกษุทั้งหลายได้ยิน
ชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้ มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ
 ผู้ใคร่ต่อสิกขา     ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์ จึงได้ทรงอติเรกบาตรเล่า?  
  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มี พระภาค.
 ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า          พวกเธอ ทรงอติเรกบาตร จริงหรือ? 
              พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร
 ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอจึงได้ทรง อติเรกบาตรเล่า? การกระทำของพวกเธอ
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใส
แล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็น ไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส            และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของคนบางพวก ที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท
               พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
 ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม
 แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า               ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจัก
บัญญัติสิกขาบท แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความ
สำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ
บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๔๐. ๑. อนึ่ง ภิกษุใด ทรงอติเรกบาตร, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอัน
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ ฉะนี้. 
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. / พระอนุบัญญัติ เรื่องพระอานนท์ 
            [๑๑๘] ก็โดยสมัยนั้นแล อติเรกบาตรเกิดขึ้นแก่ท่านพระอานนท์มีอยู่ และท่าน ประสงค์จะถวายบาตรนั้น
แก่ท่านพระสารีบุตร, แต่ท่านพระสารีบุตรอยู่ถึงเมืองสาเกต. ท่านพระอานนท์จึงมีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาค
ทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ภิกษุไม่พึงทรงอติเรกบาตร ก็นี่อติเรกบาตรบังเกิดแก่เรา และเราก็ใคร่จะถวายแก่ท่าน
พระสารีบุตร, แต่ท่านอยู่ถึงเมืองสาเกต. เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ? ครั้นแล้วท่านพระอานนท์ ได้กราบทูลเรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ ยังอีกนานเท่าไร สารีบุตรจึงจะกลับมา?. 
              พระอานนท์กราบทูลว่า ท่านจะกลับมาในวันที่ ๙ หรือ ๑๐ พระพุทธเจ้าข้า. 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง,
             อนึ่ง พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระอนุบัญญัติ 
๔๐. ๑. ก. พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างยิ่ง, 
                 ภิกษุให้ล่วง กำหนดนั้นไป, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.ฯ
  เรื่องพระอานนท์ จบ. / สิกขาบทวิภังค์
             [๑๑๙] บทว่า ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง คือ ทรงไว้ได้ ๑๐ วัน เป็นอย่างมาก.
             ที่ชื่อว่า อติเรกบาตร ได้แก่ บาตรที่ยังไม่ได้อธิษฐาน ยังไม่ได้วิกัป.
             ที่ชื่อว่า บาตร มี ๒ อย่าง คือ บาตรเหล็ก ๑ บาตรดินเผา ๑. ขนาดของบาตร
             บาตรมี ๓ ขนาด คือ บาตรขนาดใหญ่ ๑ บาตรขนาดกลาง ๑ บาตรขนาดเล็ก ๑.
             บาตรขนาดใหญ่ จุข้าวสุกแห่งข้าวสารกึ่งอาฬหก ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
             บาตรขนาดกลาง จุข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๑ นาฬี ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
             บาตรขนาดเล็ก จุข้าวสุกแห่งข้าวสาร ๑ ปัตถะ ของเคี้ยวเท่าส่วนที่ ๔ กับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
             ใหญ่กว่านั้นเป็นบาตรที่ใช้ไม่ได้ เล็กกว่านั้นเป็นบาตรที่ใช้ไม่ได้.
             [๑๒๐] คำว่า ให้ล่วงกำหนดนั้นไป เป็นนิสสัคคีย์ ความว่า เมื่ออรุณที่ ๑๑ ขึ้นมา บาตรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละบาตรนั้น อย่างนี้:-

วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์               [๑๒๑] ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่
 พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-               ท่านเจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้าล่วง ๑๐ วัน เป็น
ของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละบาตร ใบนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
 พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. 
บาตรใบนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะ สละ, เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,
 สงฆ์พึงให้บาตร ใบนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.     เสียสละแก่คณะ  
             [๑๒๒] ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุ ผู้แก่พรรษากว่า 
นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-               ท่านเจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของ
จำสละ, ข้าพเจ้าสละบาตร ใบนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ
 พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. บาตรใบนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลาย    ถึงที่แล้ว, ท่านทั้งหลายพึงให้บาตรใบนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่บุคคล   
           [๑๒๓] ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน บาตรใบนี้ของข้าพเจ้า ล่วง ๑๐ วัน เป็นของจำจะสละ,
 ข้าพเจ้าสละบาตรใบนี้ แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละ ให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้บาตรใบนี้แก่ท่าน ดั่งนี้.ฯ
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์            [๑๒๔] บาตรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุสงสัย, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรล่วง ๑๐ วันแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุสำคัญว่าอธิษฐานแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุสำคัญว่าวิกัปแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่ได้สละ ภิกษุสำคัญว่าสละแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่แตก ภิกษุสำคัญว่าแตกแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             บาตรยังไม่ถูกชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกชิงไปแล้ว, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ            [๑๒๕] บาตรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุยังไม่ได้เสียสละ บริโภค, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บาตรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว บริโภค, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             บาตรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุสงสัย บริโภค, ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    
     บาตรยังไม่ล่วง ๑๐ วัน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง บริโภค, ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร [๑๒๖] ภิกษุอธิษฐาน ๑, ภิกษุวิกัปไว้ ๑, ภิกษุสละให้ไป ๑, บาตรหายไป ๑, บาตรฉิบหาย ๑, บาตรแตก ๑, โจรชิงเอาไป ๑, ภิกษุถือวิสาสะ ๑, ในภาย ๑๐ วัน ๑,
 ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
             [๑๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ ไม่ให้คืนบาตรที่เสียสละ. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ภิกษุ
เสียสละแล้ว สงฆ์ คณะ หรือบุคคล จะไม่คืนให้ไม่ได้, ภิกษุรูปใดไม่คืนให้, ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
        ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย การแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
                   นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๑๐
 พรรณนากยวิกกยสิกขาบท 
            กยวิกกยสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
             ในกยวิกกยสิกขาบทนั้น            มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
             คำว่า กตีหิปิ ตฺยายํ คือ สังฆาฏิผืนนี้ ของท่านจักอยู่ได้กี่วัน.  ก็ในบท ว่า กตีหิปิ นี้ หิ ศัพท์ เป็นปทปูรณะ ปิ ศัพท์เป็นไปในความตำหนิ.            อธิบายว่า สังฆาฏิของท่านผืนนี้ชำรุด จักอยู่ได้สักกี่วัน,           อีกอย่างหนึ่ง ปาฐะว่า กติหํปิ ตฺยายํ ก็มี.              บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า กติหํ คือ สิ้นวันเท่าไร.
          มีคำอธิบายว่า ตลอดสักกี่วัน. 
บทที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วเหมือนกัน.
               คำว่า กตีหิปิ มฺยายํ นี้ ก็พึงทราบโดยนัยนี้เหมือนกัน.
            ในคำว่า คิหีปิ นํ คิหิสฺส นี้ ศัพท์ว่า นํ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งนามศัพท์.
               มีคำอธิบายว่า ธรรมดาว่าแม้คฤหัสถ์ ก็ยังคืนให้แก่คฤหัสถ์.
               บท ว่า นานปฺปการกํ คือ มีอย่างมิใช่น้อย ด้วยอำนาจแห่งกัปปิยภัณฑ์มีจีวรเป็นต้น. เพราะเหตุนั้นแล
 ในบทภาชนะแห่งบทว่า นานปฺปการํ นั้น ท่านจึงทรงแสดงเฉพาะกัปปิยภัณฑ์ตั้งต้นแต่จีวร มีด้ายชายผ้า
เป็นที่สุด. จริงอยู่ การแลกเปลี่ยนด้วยอกัปปิยภัณฑ์ย่อมไม่ถึงการสงเคราะห์เข้าในการซื้อขาย.
               [อธิบายการซื้อและขายที่ทำให้เป็นอาบัติ]               
               บท ว่า กยวิกฺกยํ ได้แก่ การซื้อและการขาย. ภิกษุเมื่อถือเอากัปปิยภัณฑ์ของคนอื่นโดยนัยเป็นต้นว่า
         ท่านจงให้สิ่งนี้ด้วยสิ่งนี้ ชื่อว่าย่อมถึงการซื้อ, เมื่อให้กัปปิยภัณฑ์ของตน ชื่อว่าย่อมถึงการขาย.
               บท ว่า อชฺฌาจรติ คือ ย่อมประพฤติข่มขู่. อธิบายว่า ย่อมกล่าววาจาล่วงเกิน.
               ข้อว่า ยโต กยิตญฺจ โหติ วิกฺกีตญฺจ มีความว่า ในเวลาทำภัณฑะของผู้อื่นให้อยู่ในมือของตน ชื่อว่าซื้อ 
และ             ในเวลาทำภัณฑะของตนให้อยู่ในมือของผู้อื่น ชื่อว่าขาย.                 แต่ด้วยบทนี้ ในบาลีท่านแสดงภัณฑะของตนก่อน โดยอนุรูปแก่คำว่า อิมํ เป็นต้น.
  บท ว่า นิสฺสชฺชิตพฺพํ มีความว่า พึงสละกัปปิยภัณฑ์ที่รับเอาจากมือของคนอื่น ด้วยอำนาจแห่งการซื้อขายอย่างนี้.
 ก็การซื้อขายอย่างนี้กับพวกคฤหัสถ์และนักบวชที่เหลือ เว้นสหธรรมิกทั้ง ๕ โดยที่สุดแม้กับมารดาบิดา ก็ไม่ควร.
               วินิจฉัยในการซื้อขายนั้นดังต่อไปนี้ :-
  ผ้ากับผ้าก็ตาม อาหารกับอาหารก็ตาม จงยกไว้, ภิกษุกล่าวถึงกัปปิยภัณฑ์อย่างใดอย่างหนึ่งว่า ท่านจงให้สิ่งนี้
ด้วยสิ่งนี้ เป็นทุกกฏ. ภิกษุกล่าวอย่างนั้นแล้วให้ภัณฑะของตนแม้แก่มารดาก็เป็นทุกกฏ. ภิกษุอันมารดากล่าวว่า
 ท่านจงให้สิ่งนี้ด้วยสิ่งนี้ หรือกล่าวว่า ท่านจงให้สิ่งนี้ ฉันจักให้สิ่งนี้แก่ท่าน แล้วถือเอาภัณฑะแม้ของมารดา
เพื่อตนก็เป็นทุกกฏ. เมื่อภัณฑะของตนถึงมือของคนอื่น และเมื่อภัณฑะของคนอื่นถึงมือของตน เป็นนิสสัคคีย์.
               แต่เมื่อภิกษุกล่าวกะมารดาหรือบิดาว่า ท่านจงให้สิ่งนี้                          ไม่เป็นการออกปากขอ. 
เมื่อภิกษุกล่าวว่า ท่านจงถือเอาสิ่งนี้ ไม่เป็นการยังสัทธาไทยให้ตกไป.  เมื่อ ภิกษุพูดกะผู้มิใช่ญาติว่า ท่านจงให้สิ่งนี้ เป็นการออกปากขอ, เมื่อพูดว่า         ท่านจงถือเอาสิ่งนี้
 เป็นการยังสัทธาไทยให้ตกไป. เมื่อภิกษุถึงการซื้อขายว่า ท่านจงให้สิ่งนี้ ด้วยสิ่งนี้ เป็นนิสสัคคีย์. เพราะฉะนั้น   อันภิกษุผู้จะ
แลกเปลี่ยนกัปปิยภัณฑ์ พึงแลกเปลี่ยนกับมารดาบิดาให้พ้นการซื้อขาย กับพวกคนผู้มิใช่ญาติให้พ้นอาบัติ ๓ ตัว
[อธิบายวิธีการแลกเปลี่ยนกัปปิยภัณฑ์]   ในกัปปิยภัณฑ์นั้น                     มีวิธีการแลกเปลี่ยนดังต่อไปนี้ :-
               ภิกษุมีข้าวสารเป็นเสบียงทาง เธอเห็นบุรุษถือข้าวสุกในระหว่างทางแล้วพูดว่า เรามีข้าวสาร, และเราไม่มี
ความต้องการด้วยข้าวสารนี้, แต่มีความต้องการด้วยข้าวสุก ดังนี้. บุรุษรับเอาข้าวสารแล้วถวายข้าวสุก ควรอยู่. ไม่
เป็นอาบัติทั้ง ๓ ตัว. ชั้นที่สุด แม้เพียงสักว่านิมิตกรรมก็ไม่เป็น. เพราะเหตุไร? เพราะมีมูลเหตุ. และพระผู้มีพระภาค
เจ้าได้ตรัสคำนี้ไว้ข้างหน้านั่นแลว่า          ภิกษุพูดว่า เรามีสิ่งนี้ แต่มีความต้องการด้วยสิ่งนี้และสิ่งนี้ดังนี้.
               อนึ่ง ภิกษุใดไม่กระทำอย่างนี้ แลกเปลี่ยนว่า ท่านจงให้สิ่งนี้ด้วยสิ่งนี้ เป็นอาบัติตามวัตถุแท้. ภิกษุเห็นคน
กินเดนกล่าวว่า เธอจงกินข้าวสุกนี้แล้ว นำน้ำย้อมหรือฟืนมาให้ แล้วให้ (ข้าวสุก) เป็นนิสสัคคีย์หลายตัวตามจำนวน
สะเก็ดน้ำย้อมและจำนวนฟืน. ภิกษุกล่าวว่า พวกท่านบริโภคข้าวสุกนี้แล้ว จงทำกิจชื่อนี้ แล้วใช้พวกช่างศิลป์มี
ช่างแกะสลักงาเป็นต้นให้ทำบริขารนั้นๆ บรรดาบริขารมีธมกรกเป็นต้น หรือใช้พวกช่างย้อมให้ซักผ้า เป็นอาบัติ
ตามวัตถุทีเดียว. ภิกษุให้พวกช่างกัลบกปลงผมให้พวกกรรมกรทำนวกรรม เป็นอาบัติตามวัตถุเหมือนกัน.
    ก็ถ้าภิกษุไม่กล่าวว่า พวกท่านบริโภคอาหารนี้แล้ว จงทำกิจนี้ กล่าวว่า เธอจงบริโภคอาหารนี้, เธอบริโภคแล้ว, 
(หรือ) จักบริโภค จงช่วยทำกิจชื่อนี้ ย่อมสมควร.
               ก็ในการให้ทำบริขารเป็นต้นนี้ ภัณฑะของผู้อื่นที่อยู่ในความรับผิดชอบของตน ชื่อว่าอันภิกษุพึงสละ ย่อม
ไม่มี ในการซักผ้าหรือในการปลงผม หรือในนวกรรมมีการถางพื้นที่เป็นต้น แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น เพราะท่านกล่าว
ไว้หนักแน่นในมหาอรรถกถา ใครๆ ไม่อาจคัดค้านคำนั้นได้ เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงแสดงปาจิตตีย์ ในเพราะการจ้าง
ซักผ้าเป็นต้นแม้นี้เหมือนแสดงปาจิตตีย์ ในเพราะนิสสัคคิยวัตถุที่ตนใช้สอยแล้ว หรือเสียหายแล้วฉะนั้น.
               [อธิบายอนาปัตติวาร]               
      ในคำว่า กยวิกฺกเย กยวิกฺกยสญฺญี เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบใจความอย่างนี้             ว่า ภิกษุใดถึงการซื้อขาย,
 ภิกษุนั้นจงเป็นผู้มีความสำคัญในการซื้อขายนั้นว่าเป็นการซื้อขาย หรือ            มีความสงสัย หรือมีความสำคัญว่า
ไม่ใช่การซื้อขายก็ตามที                       เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ทั้งนั้น. ในจูฬติกะเป็นทุกกฏเหมือนกันทั้ง ๒ บท.
           สอง บท ว่า อคฺฆํ ปุจฺฉติ มีความว่า ภิกษุถามว่า บาตรของท่านนี้ราคาเท่าไร? แต่เมื่อเจ้าของบาตรกล่าวว่า
 ราคาเท่านี้ ถ้ากัปปิยภัณฑ์ของภิกษุนั้นมีราคามาก, และภิกษุตอบอุบาสกนั้นไปอย่างนี้ว่า อุบาสก! วัตถุของเรานี้มี
ราคามาก ท่านจงให้บาตรของท่านแก่คนอื่นเถิด. ฝ่ายอุบาสกได้ยินคำนั้น กล่าวว่า ผมจะแถมกระถางอื่นให้อีก จะ
รับเอาไว้ ก็ควร. ของนั้นตกไปในลักษณะที่ตรัสไว้ว่า เรามีสิ่งนี้ เป็นต้น.             ถ้าบาตรนั้นมีราคาแพง สิ่งของของภิกษุมีราคาถูก และเจ้าของบาตรไม่รู้ว่าของนั้นราคาถูก, ภิกษุอย่า
พึงรับเอาบาตร พึงบอกว่า ของของเรามีราคาถูก.            จริงอยู่ เมื่อภิกษุกล่าวหลอกลวงว่า มีราคามากรับเอา 
(บาตร) ไป จะถึงความเป็นผู้อันพระวินัยธรพึงให้ตีราคาสิ่งของแล้วปรับ            อาบัติ. ถ้าเจ้าของบาตรกล่าวว่า 
   ช่างเถอะ ขอรับ! ที่เหลือจักเป็นบุญแก่ผม แล้วถวาย ควรอยู่.
               สอง บท ว่า กปฺปิยการกสฺส อาจิกฺขติ มีความว่า ภิกษุทำคนอื่น เว้นคนที่ตนรับภัณฑะจากมือ โดยที่สุดแม้
เป็นบุตร หรือพี่น้องชายของเขา ให้เป็นกัปปิยการกแล้วบอกว่า เธอจงเอาสิ่งนี้ด้วยสิ่งนี้ให้ด้วย. ถ้าบุตรหรือพี่น้อง
ชายนั้น เป็นคนฉลาดคัดเลือกต่อรองซ้ำๆ ซากๆ แล้ว จึงรับเอา, ภิกษุพึงยืนนิ่งอยู่. ถ้าเขาเป็นคนไม่ฉลาด ไม่รู้จัก
จะถือเอา พ่อค้าจะลวงเขา,
 ภิกษุพึงบอกเขาว่า เธออย่าเอา ดังนี้.
               ในคำว่า เรามีสิ่งนี้ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ภิกษุกล่าวว่า น้ำมันหรือเนยใสที่รับประเคนแล้วนี้ ของเรามีอยู่ แต่เราต้องการของอื่นที่ยังไม่ได้ประเคน.
ถ้าเขารับเอาน้ำมันหรือเนยใสนั้น ให้น้ำมันหรือเนยใสอื่น. อย่าพึงให้ตวงน้ำมันของตนก่อน. เพราะเหตุไร? เพราะยัง
มีน้ำมันที่เหลืออยู่ในทะนานน้ำมัน. น้ำมันที่เหลือนั้นจะพึงทำน้ำมันที่ยัง
ไม่ได้รับประเคน ของภิกษุผู้ตวงในภายหลังให้เสียไป ฉะนี้แล.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ 
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
   พรรณนากยวิกกยสิกขาบทที่ ๑๐ จบ   
               และจบวรรคทึ่ ๒          

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย การแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร   
        [๑๑๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน           อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็นผู้ชำนาญ ทำจีวรกรรม เธอเอาผ้าเก่าๆ ทำผ้าสังฆาฏิ ย้อมแต่งดีแล้ว
         ใช้ห่ม. ขณะนั้นแล ปริพาชกผู้หนึ่งห่มผ้ามีราคามาก เข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตรถึง สำนัก.
 ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ผ้าสังฆาฏิผืนนี้ของท่านงามแท้ จงแลกกันกับผ้าของข้าพเจ้าเถิด. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวว่า ท่านจงรู้เอาเองเถิด.
 ปริพาชกตอบสนองว่า "ข้าพเจ้ารู้ ขอรับ."  ท่านพระอุปนันทศากยบุตรตอบว่า ตกลง ขอรับ แล้วได้ให้ไป.
 จึงปริพาชกนั้น ได้ห่มผ้าสังฆาฏิผืนนั้น ไปสู่ปริพาชการาม.
 พวกปริพาชกพากันรุมถามปริพาชกผู้นั้นว่า สังฆาฏิผืนนี้ของท่านช่างงามจริง ท่านได้ มาแต่ไหน?. 
 ปริพาชกผู้นั้นตอบว่า ผมเอาผ้าของผมผืนนั้นแลกเปลี่ยนมา. 
 พวกปริพาชกกล่าวว่า ผ้าสังฆาฏิของท่านผืนนี้จักอยู่ได้สักกี่วัน, ผ้าของท่านผืนนั้นแหละ ดีกว่า.
ปริพาชกผู้นั้นเห็นจริงว่า ปริพาชกทั้งหลายพูดถูกต้อง. ผ้าสังฆาฏิของเราผืนนี้ จักอยู่ ได้สักกี่วัน, ผ้าผืนนั้นของเรา
ดีกว่า แล้วเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตรถึงสำนัก.
 ครั้นแล้ว ได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า โปรดนำผ้าสังฆาฏิของท่านไป โปรดคืนผ้าของ ผมมา. 
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรพูดว่า ข้าพเจ้าได้บอกท่านแล้วมิใช่หรือว่า จงรู้เอาเองเถิด ข้าพเจ้าจักไม่คืนให้.
 ปริพาชกนั้น จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาขึ้นในทันใดนั้นแลว่า ธรรมดาคฤหัสถ์ก็ยัง คืนให้แก่คฤหัสถ์
ผู้เดือดร้อน, ก็นี่บรรพชิตจักไม่คืนให้แก่บรรพชิตด้วยกันเทียวหรือ?. ภิกษุทั้งหลายได้ยินปริพาชกเหล่านั้นเพ่งโทษ
ติเตียน โพนทะนาอยู่, บรรดาผู้ที่เป็นผู้ มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตร จึงได้ถึงการแลกเปลี่ยนกับปริพาชกเล่า? แล้ว กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
 ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว
ทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่าเธอ ถึงการแลกเปลี่ยนกับปริพาชก จริงหรือ?
                ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียน  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า          ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ 
ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอจึงได้ถึงการแลกเปลี่ยนกับ ปริพาชกเล่า? 
การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชน
ที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
 และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่ เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความ
เกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่
สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแก่
สงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อ
ป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
 ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่ง พระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๓๘. ๑๐. อนึ่ง ...                    ภิกษุใดถึงการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
            เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๑๑๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติ อย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตร
อย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม 
เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด. 
      บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ. 
      ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. 
              ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา.
             ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. 
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม.
                 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็น พระอเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุ
 เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. 
  บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
                         นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ใน อรรถนี้. 
        ที่ชื่อว่า มีประการต่างๆ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขาร
 อันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ โดยที่สุด แม้ก้อนฝุ่น ไม้ชำระฟัน ด้วยชายผ้า. 
              บทว่า ถึงการแลกเปลี่ยน คือ ภิกษุพูดเป็นเชิงบังคับว่า จงให้ของสิ่งนี้ด้วยของ สิ่งนี้
     จงนำของสิ่งนี้มาด้วยของสิ่งนี้
     จงแลกเปลี่ยนของสิ่งนี้ด้วยของสิ่งนี้
     จงจ่ายของสิ่งนี้ด้วย ของสิ่งนี้
ดังนี้เป็นต้น, ต้องอาบัติทุกกฏ. ในเวลาที่แลกแล้ว คือของๆ ตนไปอยู่ในมือของ คนอื่น และเปลี่ยนแล้ว คือของๆ 
คนอื่น                 มาอยู่ในมือของตน, เป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของ จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละของสิ่งนั้น อย่างนี้:-
 วิธีเสียสละ
        เสียสละแก่สงฆ์
              ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนม
มือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ถึงการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ. ของสิ่งนี้ของ ข้าพเจ้าเป็นของจำจะ
สละ, ข้าพเจ้าสละของสิ่งนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืน
ของที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-  ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ของสิ่งนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็น
ของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้ของสิ่งนี้แก่ภิกษุ มีชื่อนี้.
 เสียสละแก่คณะ 
              ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่ง
กระหย่งประนมมือ  กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ถึงการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ. ของสิ่งนี้ของ 
ข้าพเจ้าเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละของสิ่งนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้
สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนของที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. ของสิ่นี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย.
      ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่าน        ทั้งหลายพึงให้ของสิ่งนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่บุคคล 
        ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
              ท่าน ข้าพเจ้าได้ถึงการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ. ของสิ่งนี้ของ              ข้าพเจ้าเป็น ของจำจะสละ, 
ข้าพเจ้าสละของสิ่งนี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนของ
       ที่เสียสละ ให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ของสิ่งนี้แก่ท่าน ดังนี้. 
บทภาชนีย์
                  ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๑๑๕] แลกเปลี่ยน ภิกษุสำคัญว่าแลกเปลี่ยน, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             แลกเปลี่ยน ภิกษุสงสัย, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             แลกเปลี่ยน ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้แลกเปลี่ยน, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
           ทุกกฏ      ไม่ได้แลกเปลี่ยน ภิกษุสำคัญว่าแลกเปลี่ยน, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ไม่ได้แลกเปลี่ยน ภิกษุสงสัย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
          ไม่ต้องอาบัติ       ไม่ได้แลกเปลี่ยน ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้แลกเปลี่ยน,                         ไม่ต้องอาบัติ.
           อนาปัตติวาร             [๑๑๖] ภิกษุถามราคา ๑, ภิกษุบอกแก่กัปปิยการกว่า ของสิ่งนี้ของเรามีอยู่ แต่เราต้อง
                การของสิ่งนี้และของสิ่งนี้ ดังนี้ ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ วรรคที่ ๒ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
             ๑. โกสิยสิกขาบท ว่าด้วยการทำสันถัตเจือด้วยไหม
            ๒. สุทธกาฬกสิกขาบท ว่าด้วยการทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน
              ๓. เทฺวภาคสิกขาบท ว่าด้วยการทำสันถัตแห่งขนเจียมดำล้วน ๒ ส่วน
       ๔. ฉัพพัสสสิกขาบท ว่าด้วยการทำทรงสันถัตไว้ให้ได้ ๖ ฝน
           ๕. นิสีทนสันถตสิกขาบท ว่าด้วยการทำสันถัตสำหรับนั่ง
             ๖. เอฬกโลมสิกขาบท ว่าด้วยการรับขนเจียม
             ๗. เอฬกโลมโธวาปนสิกขาบท ว่าด้วยการซักขนเจียม
             ๘. รูปิยอุคคหสิกขาบท ว่าด้วยการรับทองเงิน
             ๙. รูปิยสํโวหารสิกขาบท ว่าด้วยการซื้อขายด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ
      ๑๐. กยวิกยสิกขาบท ว่าด้วยการแลกเปลี่ยนมีประการต่างๆ

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย การซื้อขายด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
                 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙
พรรณนารูปิยสัพโยหารสิกขาบท         
      รูปิยสัพโยหารสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-             ในรูปิยสัพโยหารสิกขาบท๑- นั้น                  มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-           บท ว่า นานปฺปการกํ ได้แก่ มีประการมิใช่น้อย ด้วยอำนาจรูปิยะที่
                ทำ (เป็นรูปภัณฑ์) และมิได้ทำ (เป็นรูปภัณฑ์) เป็นต้น.           บท ว่า รูปิยสพฺโยหารํ ได้แก่ การแลกเปลี่ยนด้วยทองและเงิน.
               บท ว่า สมาปชฺชนฺติ มีความว่า พวกภิกษุฉัพพัคคีย์มองไม่เห็นโทษในการแลกเปลี่ยนด้วยทองและเงิน
ที่ตนรับไว้แล้ว เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการรับอย่างเดียว จึงกระทำ (การแลกเปลี่ยนด้วยรูปิยะ).
๑- บาลีและโยชนาเป็น รูปิยสังโวหารสิกขาบท.
               ในคำว่า สีสูปคํ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               ทองเงินรูปภัณฑ์ ที่ชื่อว่าสีสูปคะ เพราะอรรถว่า ประดับศีรษะ.
              ก็ในคัมภีร์ทั้งหลายเขียนไว้ว่า สีสูปกํ ก็มี. คำว่า สีสูปกํ นี้เป็นชื่อของ      เครื่องประดับศีรษะชนิดใดชนิดหนึ่ง. ในบททั้งปวงก็นัยนี้.
               ในบท ว่า กเตน กตํ เป็นต้นนี้ บัณฑิตพึงทราบการซื้อขายด้วยรูปิยะล้วนๆ เท่านั้น.
              ข้าพเจ้าจักกล่าววินิจฉัยในบทว่า รูปิเย รูปิยสญฺญี เป็นต้นต่อไป :-
               บรรดาวัตถุที่กล่าวแล้วในสิกขาบทก่อน เมื่อภิกษุซื้อขายนิสสัคคิยวัตถุด้วยนิสสัคคิยวัตถุ,
 เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า, ในเพราะการซื้อขายของอื่นๆ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้แล.
      แม้เมื่อซื้อขายทุกกฏวัตถุ หรือกัปปิยวัตถุด้วยนิสสัคคิยวัตถุ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               [ว่าด้วยการซื้อขายรูปิยะด้วยรูปิยะเป็นต้น]               
               จริงอยู่ ผู้ศึกษาพึงทราบติกะว่า ภิกษุมีความสำคัญในรูปิยะว่าเป็นรูปิยะ ซื้อขายสิ่งที่มิใช่อรูปิยะเป็นต้น นี้
เป็นอีกติกะหนึ่ง ซึ่งแม้มิได้ตรัสไว้ เพราะอนุโลมแก่ติกะที่สองที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งที่มิใช่รูปิยะว่าเป็น
รูปิยะ ซื้อขายรูปิยะ เป็นต้นนี้.               แท้จริง ภิกษุซื้อขายรูปิยะของผู้อื่นด้วยสิ่งมิใช่รูปิยะของตนก็ดี ซื้อขาย
สิ่งที่มิใช่รูปิยะของผู้อื่นด้วยรูปิยะของตนก็ดี แม้โดยการซื้อขายทั้งสองประการ ก็จัดเป็นทำการซื้อขายด้วย
      รูปิยะเหมือนกัน. เพราะฉะนั้น ในบาลีจึงตรัสไว้ติกะเดียวเท่านั้น ในฝ่ายรูปิยะข้างเดียวฉะนี้แล.
               ก็เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุแห่งนิสสัคคีย์ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับ
มูลค่า. เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะแลกเปลี่ยนในภายหลัง เพราะซื้อขายของหนัก. เมื่อซื้อขาย
ทุกกฏวัตถุนั่นแหละหรือกัปปิยวัตถุ ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า. เป็น
ทุกกฏเช่นกันด้วยสิกขาบทนี้ แม้ในเพราะแลกเปลี่ยนภายหลัง. เพราะเหตุไร? เพราะซื้อขายด้วยอกัปปิยวัตถุ.
               ส่วนในอรรถกถาอันธกะ ท่านกล่าวว่า ถ้าภิกษุถึงการซื้อขายเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ คำนั้น ท่านกล่าวไว้
ไม่ชอบ. เพราะเหตุไร? เพราะชื่อว่าการซื้อขาย นอกจากการให้และการรับ ไม่มี. และกยวิกกยสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการแลกเปลี่ยนกัปปิยวัตถุด้วยกัปปิย วัตถุเท่านั้น. ก็แลการแลกเปลี่ยนนั้นนอกจากพวกสหธรรมิก.
               สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาการซื้อขายรูปิยะ และสิ่งมิใช่รูปิยะด้วยรูปิยะ และการซื้อ
ขายรูปิยะด้วยสิ่งมิใช่รูปิยะ, ส่วนการซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏด้วยวัตถุแห่งทุกกฏ มิได้ตรัสไว้ในบาลีในสิกขาบทนี้
 (และ) มิได้ตรัสไว้ในบาลีในกยวิกกยสิกขาบทนั้นเลย. ก็ในการซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏ ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏนี้ 
ไม่ควรจะ (เป็นอนาบัติ). เพราะฉะนั้น พวกอาจารย์ผู้รู้พระประสงค์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคำว่า 
ในเพราะรับวัตถุแห่งทุกกฏ เป็นทุกกฏ ฉันใด, แม้ในเพราะซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏนั้น ด้วยวัตถุแห่งทุกกฏนั้น
นั่นแล เป็นทุกกฏ ก็ชอบแล้ว ฉันนั้นเหมือนกัน.              อนึ่ง เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุนิสสัคคีย์ ด้วยกัปปิยวัตถุ
เป็นอนาบัติด้วยสิกขาบทก่อนในเพราะการรับมูลค่า, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะแลกเปลี่ยน
ภายหลัง.              สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุมีความสำคัญในสิ่งมิใช่รูปิยะว่าไม่ใช่รูปิยะ
ซื้อขายรูปิยะ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เมื่อภิกษุซื้อขายวัตถุแห่งทุกกฏด้วยกัปปิยวัตถุนั้นนั่นแหละ ไม่เป็น
อาบัติ เหมือนอย่างนั้น ในเพราะการรับมูลค่า, เป็นทุกกฏด้วยสิกขาบทนี้ ในเพราะการแลกเปลี่ยนภายหลัง. เพราะเหตุไร? เพราะซื้อขายสิ่งเป็นอกัปปิยะ.
               อนึ่ง เมื่อภิกษุแลกเปลี่ยนกัปปิยวัตถุด้วยกัปปิยวัตถุ นอกจากพวกสหธรรมิก ไม่เป็นอาบัติ 
ด้วยสิกขาบทก่อน ในเพราะการรับมูลค่า. เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ด้วยกยวิกกยสิกขาบทข้างหน้า เพราะการแลก
เปลี่ยนภายหลัง. เมื่อภิกษุถือเอาพ้นการซื้อขายไป ไม่เป็นอาบัติ แม้โดย
           สิกขาบทข้างหน้า. (แต่) เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ประกอบการหาผลกำไร.
               [อธิบายปัตตจตุกกะเป็นอุทาหรณ์]               
                อนึ่ง ผู้ศึกษาพึงทราบปัตตจตุกกะนี้ อันแสดงถึงความที่                    รูปิยสัพโยหารสิกขาบทนี้หนัก.
 ความพิสดารว่า ภิกษุใดรับเอารูปิยะ แล้วจ้างให้ขุดแร่เหล็กขึ้นด้วยรูปิยะนั้น, ให้ช่างเหล็กถลุงแร่เหล็กนั้น แล้ว
ให้ทำบาตรด้วยโลหะนั้น. บาตรนี้ชื่อว่าเป็นมหาอกัปปิยะ ภิกษุนั้นไม่อาจทำให้          เป็นกัปปิยะได้ด้วยอุบายไรๆ 
ก็ถ้าว่า ทำลายบาตรนั้นแล้วให้ช่างทำกระถาง. แม้กระถางนั้นก็เป็นอกัปปิยะ. ให้กระทำมีด แม้ไม้สีฟันที่ตัดด้วยมีด
นั้น ก็เป็นอกัปปิยะ. ให้กระทำเบ็ด แม้ปลาที่เขาให้ตายด้วยเบ็ดนั้น ก็เป็นอกัปปิยะ. ภิกษุให้ช่างเผาตัวมีดให้ร้อน
แล้ว แช่น้ำ หรือนมสดให้ร้อน. แม้น้ำและนมสดนั้น ก็เป็นอกัปปิยะเช่นกัน.    ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า ก็ภิกษุใดรับรูปิยะแล้วซื้อบาตรด้วยรูปิยะนั้น แม้บาตรนี้ของภิกษุนั้น ก็เป็น
อกัปปิยะ ไม่สมควรแม้แก่สหธรรมิกทั้ง ๕. แต่ภิกษุนั้นอาจทำบาตรนั้น ให้เป็นกัปปิยะได้. จริงอยู่ บาตรนั้นจะเป็น
กัปปิยะได้ ต่อเมื่อให้มูลค่าแก่เจ้าของมูลค่า และเมื่อให้บาตรแก่เจ้าของบาตร. ภิกษุจะให้กัปปิยภัณฑ์แล้ว
รับเอาไปใช้สอยสมควรอยู่.           ฝ่ายภิกษุใดให้รับเอารูปิยะไว้แล้วไปยังตระกูลช่างเหล็กกับด้วยกัปปิยการก
 เห็นบาตรแล้วพูดว่า บาตรนี้ เราชอบใจ. และกัปปิยการกให้รูปิยะนั้นแล้ว ให้ช่างเหล็กตกลง. แม้บาตรใบนี้
อันภิกษุนั้นถือเอาโดยกัปปิยโวหาร เป็นเช่นกับบาตรใบที่ ๒ นั่นเองจัดเป็นอกัปปิยะเหมือนกันเพราะภิกษุรับมูลค่า.
               ถามว่า เพราะเหตุไร จึงไม่ควรแก่สหธรรมิกที่เหลือ?
               แก้ว่า เพราะไม่เสียสละมูลค่า.
    อนึ่ง ภิกษุใดไม่รับรูปิยะไปยังตระกูลช่างเหล็ก พร้อมกับกัปปิยการกที่ทายกส่งมาว่า ท่านจงซื้อบาตรถวายพระ
เถระ เห็นบาตรแล้ว ให้กัปปิยการกจ่ายกหาปณะว่า เธอจงรับเอากหาปณะเหล่านี้แล้ว ให้บาตรนี้ แล้วได้ถือเอาไป.
 บาตรนี้ไม่ควรแก่ภิกษุรูปนี้เท่านั้น เพราะจัดการไม่ชอบ, แต่ควรแก่ภิกษุเหล่าอื่น เพราะไม่ได้รับมูลค่า.
             ได้ทราบว่า อุปัชฌาย์ของพระมหาสุมเถระ มีชื่อว่าอนุรุทธเถระ. ท่านบรรจุบาตรเห็นปานนี้ของตนให้เต็ม
 ด้วยเนยใสแล้ว สละแก่สงฆ์. พวกสัทธิวิหาริกแม้ของพระจุลนาคเถระผู้ทรงไตรปิฎก ก็ได้มีบาตรเช่นนั้นเหมือนกัน.
 พระเถระสั่งให้บรรจุบาตรนั้นให้เต็ม ด้วยเนยใสแล้ว ให้เสียสละแก่สงฆ์ ดังนี้แล. นี้ชื่ออกัปปิยปัตตจตุกกะ.
      ก็ถ้าว่า ภิกษุไม่รับรูปิยะไปสู่ตระกูลแห่งช่างเหล็ก พร้อมด้วยกัปปิยการกที่ทายกส่งมาว่า เธอจงซื้อบาตรถวาย
พระเถระ เห็นบาตรแล้วกล่าวว่า บาตรนี้เราชอบใจ หรือว่า เราจักเอาบาตรนี้, และกัปปิยการกจ่ายรูปิยะนั้นให้
แล้ว ให้ช่างเหล็กยินยอมตกลง. บาตรนี้สมควรทุกอย่าง ควรแก่การบริโภคแม้แห่งพระพุทธทั้งหลาย.
               สอง บท ว่า อรูปิเย รูปิยสญฺญี ได้แก่ มีความสำคัญในทองเหลืองเป็นต้น ว่าเป็นทองคำเป็นต้น.
               สอง บท ว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า ถ้าภิกษุซื้อขายสิ่งที่มิใช่รูปิยะ ด้วยสิ่งที่มิใช่รูปิยะ
                  ซึ่งมีความสำคัญว่าเป็นรูปิยะนั้น เป็นอาบัติทุกกฏ.
               ในภิกษุผู้มีความสงสัย ก็มีนัยอย่างนี้.
               แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุมีความสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ แม้กระทำการซื้อขาย กับด้วยสหธรรมิก ๕ ว่า ท่านจงถือเอาสิ่งนี้แล้วให้สิ่งนี้.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ เป็นอจิตตกะ
 ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
        รูปิยสัพโยหารสิกขาบทที่ ๙ จบ.   

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย การซื้อขายด้วยรูปิยะ มีประการต่างๆ พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์   
        [๑๐๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ถึงความซื้อขายด้วยรูปิยะ มีประการ
ต่างๆ ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึง ได้ถึงความซื้อขาย
ด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามเล่า?. ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ 
ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาผู้ที่เป็นผู้ มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ
 ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ถึงการซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ เล่า? แล้วกราบทูล เรื่อง
นั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม  ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุ
เป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอถึง
การซื้อ ขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ จริงหรือ?.                   พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่
เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน พวกเธอจึงได้ถึงการซื้อ ขายด้วยรูปิยะมีประการ
ต่างๆ เล่า การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส
ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำ ของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส   และเพื่อความเป็นอย่าง อื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
  ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยาย ดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง ความเป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ
สมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
       ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ 
               เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑                      เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ 
                เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑               เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ 
                เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑     เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑              เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่น
แห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอ
                           พึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๓๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใดถึงความซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ,                    เป็น นิสสัคคิยปาจิตตีย์
            เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๑๑๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตร
อย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ.
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว.
                ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา.
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ. 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ 
               ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียง กันอุปสมบท
             ให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. 
 บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์ พร้อมเพรียงกันอุปสมบทด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ 
               นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
             ที่ชื่อว่า มีประการต่างๆ คือ เป็นรูปพรรณบ้าง ไม่เป็นรูปพรรณบ้าง เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณบ้าง. 
               ที่ชื่อว่า ไม่เป็นรูปพรรณ คือที่เรียกกันว่าเป็นแท่ง. 
          ที่ชื่อว่า เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ ได้แก่ของ ๒ อย่างนั้น. 
              ที่ชื่อว่า รูปิยะ ได้แก่ทองคำ กหาปณะ มาสกที่ทำด้วยโลหะ มาสกที่ทำด้วยไม้มาสกที่ทำด้วยครั่ง
          ซึ่งใช้เป็นมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้. 
               บทว่า ถึงความซื้อขาย คือ เอาของที่เป็นรูปพรรณซื้อขายของที่เป็นรูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่เป็นรูปพรรณ ซื้อของที่ยังไม่เป็นรูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่เป็นรูปพรรณ ซื้อของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่ยังไม่เป็นรูปพรรณ ซื้อของที่เป็นรูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่ยังไม่เป็นรูปพรรณ ซื้อของที่ยังไม่เป็นรูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่ยังไม่เป็นรูปพรรณ ซื้อของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ เป็นนิสสัคคีย์.
               เอาของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ ซื้อของที่เป็นรูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              เอาของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ ซื้อของที่มิใช่รูปพรรณ. เป็นนิสสัคคีย์. 
        เอาของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ ซื้อของที่เป็นทั้งรูปพรรณและมิใช่รูปพรรณ, เป็นนิสสัคคีย์. 
              ของที่ซื้อขายด้วยรูปิยะ ซึ่งเป็นนิสสัคคีย์นั้น, ต้องเสียสละในท่ามกลางสงฆ์.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละของนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละของที่ซื้อขายด้วยรูปิยกะ
ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า:- ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าถึงความซื้อขายด้วยรูปิยะมีประการต่างๆ, ของสิ่งนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละสิ่งของนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ. ถ้าคนทำการวัด
หรืออุบาสกเดินมาในสถานที่เสียสละนั่น, พึงบอกเขาว่า ท่านจงรู้ของสิ่งนี้ ถ้าเขาถามว่า จะให้ ผมนำสิ่งนี้ไปหาอะไร
มาอย่าบอกว่า จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา; ควรบอกแต่ของที่เป็นกัปปิยะ เช่นเนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย.
ถ้าเขานำของสิ่งนั้นไป แลกของ ที่เป็นกัปปิยะมาถวาย; เว้นภิกษุผู้ซื้อขายด้วยรูปิยะ ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป. ถ้า
ได้อย่างนี้, นั่นเป็นการดี; ถ้าไม่ได้ พึงบอกเขาว่า โปรดช่วยทิ้งของสิ่งนี้, ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี; ถ้าเขาไม่ทิ้งให้, 
           พึงสมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ,       องค์ ๕ ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ องค์ ๕ นั้น คือ 
               ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ, 
               ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง, 
               ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย, 
                ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว, และ 
                ๕. รู้จักว่าทำอย่างไรเป็นอันทิ้ง หรือไม่เป็นอันทิ้ง.
               ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติภิกษุนั้น อย่างนี้:-
 วิธีสมมติภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ พึงขอภิกษุให้รับตกลงก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย
ญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:- คำสมมติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่
แล้ว, สงฆ์พึงสมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ นี้เป็นญัตติ. ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สงฆ์สมมติภิกษุมีชื่อ
นี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ, การสมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบ
แก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงพูด. ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะแล้ว ชอบแก่สงฆ์. เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้า
ทรง ความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. ภิกษุผู้รับสมมติแล้วนั้น พึงทิ้งอย่าหมายที่ตก, ถ้าทิ้งหมายที่ตก; ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทภาชนีย์
                 ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๑๑๑] รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ, ซื้อขายรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             รูปิยะ ภิกษุสงสัย ซื้อขายรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ ซื้อขายรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             มิใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ ซื้อขายรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
          มิใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย ซื้อขายรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             มิใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ ซื้อขายรูปิยะ เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ          มิใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             มิใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ          มิใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร     [๑๑๒] ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.