Translate

03 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๖ ว่าด้วย การขอด้ายมาเอง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
       นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๖ 
       พรรณนาสุตตวิญญัตติสิกขาบท     สุตตวิญญัตติสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
                  ในสุตตวิญญัตติสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               [ว่าด้วยกำเนิดด้าย ๖ ชนิด]   
               บท ว่า โขมํ ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยเปลือกไม้โขมะ.
               บท ว่า กปฺปาสิกํ ได้แก่ ด้ายที่เกิดจากฝ้าย.
               บท ว่า โกเสยฺยํ ได้แก่ ด้ายที่กรอด้วยใยไหม.
               บท ว่า กมฺพลํ ได้แก่ ด้ายทำด้วยขนแกะ.
          บท ว่า สาณํ ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยเปลือกไม้สาณะ (ป่าน).
               บท ว่า ภงฺคํ อาจารย์พวกหนึ่งกล่าวว่า ได้แก่ ด้ายที่ทำด้วยปอชนิดหนึ่งต่างหาก. แต่ด้ายที่เขาทำผสมกันด้วยสัมภาระทั้ง ๕ อย่างนั่น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ภังคะ.
               หลายบท ว่า วายาเปติ ปโยเค ทุกฺกฏํ 
มีความว่า ถ้าช่างหูกไม่มีกระสวยและฟืมเป็นต้น, เขาคิดว่า เราจักนำของเหล่านั้นมาจากป่า จึงลับมีดหรือขวาน,
 ตั้งแต่นั้นไปเขากระทำประโยคใดๆ เพื่อต้องการเครื่องอุปกรณ์ก็ดี เพื่อต้องการจะทอจีวรก็ดี เป็นทุกกฏ
แก่ภิกษุทุกๆ ประโยคนั้นของช่างหูกในกิจทั้งปวง. เมื่อช่างหูกทอผ้าได้ด้านยาว ประมาณคืบ ๑ และด้านกว้างประมาณศอก ๑ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.  แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ทุกๆ ผัง๑- (ทุกๆ ช่วงผัง) แก่ภิกษุผู้ให้ช่าง
             หูกทออยู่จนถึงที่สุด (จนสำเร็จ). แม้คำนั้น ก็พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายเอาประมาณนี้นั่นแหละ.    จริงอยู่ ประมาณผ้าอย่างต่ำควรวิกัปได้ จึงถึงการนับว่าจีวรแล.
๑- ไม้สำหรับถ่างผ้าที่ทอให้ตึง ปลายทั้งสองมีเข็มสำหรับเสียบที่ริมผ้า.
     [อธิบายการใช้ให้ช่างหูกทอด้วยด้ายกัปปิยะเป็นต้น]               
               อนึ่ง บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า วายาเปติ ปโยเค ทุกฺกฏํ นี้อย่างนี้ :-       จะกล่าวถึงด้ายก่อน ที่ภิกษุขอเองเป็นอกัปปิยะ. ด้ายที่เหลืออันบังเกิดขึ้นด้วยอำนาจแห่งญาติเป็นต้น เป็นกัปปิยะ. แม้ช่างหูกก็ไม่ใช่ญาติและไม่ใช่คนปวารณา ภิกษุได้มาด้วยการขอ เป็นอกัปปิยะ. 
               ช่างหูกที่เหลือเป็นกัปปิยะ. บรรดาด้ายและช่างหูกเหล่านั้น ด้ายที่เป็นอกัปปิยะ เป็นนิสสัคคีย์แก่ภิกษุผู้ให้ช่างหูกที่เป็นอกัปปิยะทอ โดยนัยดังกล่าวแล้วในก่อน.
      อนึ่ง เมื่อภิกษุให้ช่างหูกที่เป็นอกัปปิยะนั้นแลทอด้ายที่เป็นกัปปิยะ เป็นทุกกฏ เหมือนเป็นนิสสัคคีย์ในเบื้องต้นนั่นแล.
           เมื่อภิกษุให้ช่างหูกอกัปปิยะนั้นแล ทอด้ายกัปปิยะและอกัปปิยะ ถ้าจีวรเป็นดุจกระทงนา เนื่องกันเท่าประมาณแห่งจีวรขนาดเล็ก อย่างนี้ คือ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายกัปปิยะล้วนๆ ตอนหนึ่งสำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ. เป็นปาจิตตีย์ในทุกๆ ตอนที่สำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ. เป็นทุกกฏใน (ตอนที่สำเร็จด้วยด้ายเป็นกัปปิยะ) นอกนี้ อย่างนั้นเหมือนกัน.
      ถ้ามีหลายตอนหย่อนกว่า ขนาดจีวรที่ควรวิกัปเป็นอย่างต่ำนั้น โดยที่สุด แม้ขนาดเท่าดวงไฟก็เป็นทุกกฏตามจำนวนตอนในทุกๆตอน.
      ถ้าจีวรทอด้วยด้ายที่คั่นลำดับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน) ให้ด้ายอกัปปิยะ อยู่ทางด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี, เป็นทุกกฏทุกๆ ผัง.
            จริงอยู่ เมื่อภิกษุใช้ให้ช่างหูกกัปปิยะทอด้ายที่เป็นอกัปปิยะ เป็นทุกกฏ เหมือนเป็นนิสสัคคีย์ในเบื้องต้น. เมื่อ
     ภิกษุให้ช่างหูกกัปปิยะนั้นนั่นเอง ทอด้ายที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ ถ้าว่า มีตอนแห่งด้ายอกัปปิยะหลายตอน
ขนาดเท่าจีวรอย่างเล็ก หรือหย่อนกว่า, ในตอนด้ายอกัปปิยะเหล่านั้น เป็นทุกกฏด้วยจำนวนตอน. ในตอนด้ายที่เป็น
กัปปิยะทั้งหลาย ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าจีวรทอด้วยด้ายคั่นลำดับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว 
(ด้านยืน)    ให้ด้ายอกัปปิยะอยู่ด้านขวาง (ด้านพุ่ง)            ก็ดี, เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง (ทุกๆ ช่วงผัง).
               [ว่าด้วยช่างหูก ๒ คนผลัดกันทอ]   
            ก็ถ้ามีช่างหูก ๒ คน คนหนึ่งเป็นกัปปิยะ คนหนึ่งเป็นอกัปปิยะและด้ายก็เป็นอกัปปิยะ, ถ้าช่างหูก ๒ คนนั้น
ผลัดกันทอ, เป็นปาจิตตีย์ในทุกๆ ผังที่ช่างหูกอกัปปิยะทอ เป็นทุกกฏ ในจีวรที่หย่อนลงมา. เป็นทุกกฏในตอนทั้ง
สองที่ช่างหูกกัปปิยะนอกนี้ทอ. ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คนจับฟืมทอด้วยกัน เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง. ถ้าด้ายเป็นกัปปิยะ 
และจีวร                มีตอนด้วยการกั้นดังกระทงนาเป็นต้น เป็นทุกกฏในทุกๆ ตอนที่              ช่างหูกอกัปปิยะทอ
         ในตอนที่ช่างหูกกัปปิยะนอกนี้ทอ ไม่เป็นอาบัติ. ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คน จับฟืมทอด้วยกัน เป็นทุกกฏในทุกๆ ผัง.
               ถ้าแม้ด้ายเป็นทั้งกัปปิยะทั้งอกัปปิยะ, ถ้าช่างหูกทั้งสองคนนั้นผลัดกันทอ, ในตอนที่สำเร็จด้วย
ด้ายอกัปปิยะ มีขนาดเท่าจีวรอย่างเล็ก ซึ่งช่างหูกอกัปปิยะทอ เป็นปาจิตตีย์ ตามจำนวนตอน. เป็นทุกกฏในตอนทั้งหลายที่หย่อนลงมา และที่สำเร็จด้วย
ด้ายกัปปิยะ. เป็นทุกกฏเหมือนกันในตอนที่สำเร็จด้วยด้ายอกัปปิยะ ซึ่งได้ขนาดหรือหย่อนลงมา ที่ช่างหูกกัปปิยะทอ. ในตอนที่สำเร็จด้วยด้ายกัปปิยะ ไม่เป็นอาบัติ.
               ถ้าช่างหูกทั้ง ๒ คนทอด้วยด้ายที่สลับกันทีละเส้นก็ดี ทอให้ด้ายอกัปปิยะอยู่ทางด้านยาว (ด้านยืน) 
ให้ด้ายกัปปิยะอยู่ทางด้านขวาง (ด้านพุ่ง) ก็ดี แม้ทั้งสองคนจับฟืมทอด้วยกันก็ดี, เป็นทุกกฏทุกๆ ผัง ในจีวรที่ไม่มีตอน.
                ส่วนเนื้อความว่า ในจีวรที่มีตอนเป็นทุกกฏหลายตัว ด้วยอำนาจแห่งตอน นี้ไม่ปรากฏในมหาอรรถกถา ปรากฏแต่ในมหาปัจจรีเป็นต้น,
                 ในอรรถกถานี้ปรากฏโดยอาการทุกอย่างแล.
               ถ้าทั้งด้ายก็เป็นกัปปิยะ ทั้งช่างหูกก็เป็นกัปปิยะ คือ เป็นญาติและเป็นคนปวารณา หรือภิกษุจ้างมา
ด้วยมูลค่า ไม่เป็นอาบัติ เพราะการใช้ให้ทอเป็นปัจจัย. แต่ภิกษุเมื่อจะป้องกันอาบัติ เพราะการล่วง ๑๐ วันเป็นปัจจัย
                  พึงอธิษฐานจีวรที่ทอแล้วนั่นแหละ ในเมื่อหูกที่ช่างหูกทอได้ขนาดเท่าจีวรที่ควรวิกัป.
                  เพราะว่า จีวรที่ช่างหูกทอให้สำเร็จลงโดยล่วง ๑๐ วันไป จะพึงเป็นนิสสัคคีย์ ฉะนี้แล.
               แม้ในจีวรที่พวกญาติเป็นต้นยกหูขึ้นแล้วมอบถวายว่า ท่านผู้เจริญ! ท่านพึงรับเอาจีวรนี้ เพื่อท่าน ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ถ้าช่างหูกอันภิกษุว่าจ้างมาอย่างนี้ หรือเป็นผู้ประสงค์จะถวายเสียเอง จึงกล่าวว่า ท่านขอรับ! ผมจักทอจีวรถวายท่านในวันชื่อโน้นแล้วจักเก็บไว้,
  และ          ภิกษุให้ล่วง ๑๐ วันไปจากวันที่ช่างหูกนั้นกำหนดไว้                                        เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               แต่ช่างหูกกล่าวว่า ผมจักทอจีวรถวายท่านแล้วจักส่งข่าวไปให้ทราบ แล้วทำเหมือนอย่างที่พูดไว้,
 แต่ภิกษุที่เขาวานไป ไม่บอกแก่ภิกษุนั้น, ภิกษุรูปอื่นเห็น หรือได้ยินแล้วบอกว่า ท่านขอรับ! จีวรของท่านสำเร็จแล้ว,
 การบอกของภิกษุนี้ ไม่เป็นประมาณ. แต่ในเวลาเมื่อเธอให้ล่วง ๑๐ วันไป จำเดิมแต่วันที่เธอได้ยินคำของภิกษุที่ช่างหูกนั้นวานไปนั่นแหละบอก จึงเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
ถ้าช่างหูกกล่าวว่า กระผมทอจีวรเพื่อท่านแล้ว จักส่งไปถวายในมือของภิกษุบางรูป แล้วกระทำตามที่พูดนั้น, 
แต่ภิกษุที่รับจีวรไปเก็บไว้ที่บริเวณของตน ไม่บอกแก่เธอ ภิกษุอื่นบางรูปกล่าวว่า ท่านขอรับ! จีวรที่มาใหม่สวยดี
บ้างหรือ? เธอกล่าวว่า จีวรที่ไหนกัน คุณ!? ภิกษุนั้นจึงตอบว่า ที่เขาส่งมาในมือแห่งภิกษุชื่อนี้, คำพูดแม้ของภิกษุนี้ 
ก็ไม่เป็น ประมาณ.               ต่อเมื่อใดภิกษุนั้นถวายจีวร เมื่อเธอให้ล่วง ๑๐ วันไปนับแต่วันที่ตนได้จีวรมานั้น เป็น
นิสสัคคิย  ปาจิตตีย์. แต่ถ้าค่าจ้างให้ทอเป็นของที่ภิกษุยังไม่ได้จ่ายให้,           ยังรักษาอยู่ตราบเท่าที่
ค่าจ้างทำยังเหลืออยู่ แม้เพียงกากณิกหนึ่ง.
               ข้อว่า อนาปตฺติ จีวรํสิพฺพิตุํ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอด้ายเพื่อต้องการเย็บจีวร.
               ในจีวรทั้งหลายมีว่า ผ้ารัดเข่าเป็นต้น มีอธิบายว่า คำว่า อาโยเค เป็นต้น เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิต. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขอด้ายมีผ้ารัดเข่าเป็นต้นเป็นนิมิต.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
               สุตตวิญญัตติสิกขาบท จบ.    

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๖ ว่าด้วย การขอด้ายมาเอง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์                  [๑๕๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่    ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต เขตพระนครราชคฤห์. 
         ครั้งนั้นถึงคราวทำจีวร พระฉัพพัคคีย์ ขอด้ายเขามาเป็นอันมาก. แม้ทำจีวรเสร็จแล้ว ด้ายก็ยังเหลืออยู่เป็นอันมาก.
 จึงพระฉัพพัคคีย์ ได้ปรึกษากันว่า อาวุโสทั้งหลาย ผิฉะนั้น พวกเราพากันไปขอด้ายแม้อื่นมาให้ช่างหูกทอจีวร
เถิด. ครั้นไปขอด้ายแม้อื่นมาแล้ว ให้ช่างหูกทอจีวร. แม้ทอจีวรแล้ว ด้ายก็ยังเหลืออยู่อีกมากมาย. จึงไปขอด้ายแม้อื่นมา ให้ช่างหูกทอจีวรอีกเป็นครั้งที่สอง. แม้ทอจีวรแล้ว ด้ายก็ยังเหลืออยู่อีก มากมาย. 
            จึงไปขอด้ายแม้อื่นมา ให้ช่างหูกทอจีวรอีกเป็นครั้งที่สาม.          ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ขอ      ด้ายเขามาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวรเล่า?. 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้ขอด้ายเขามาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวรเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่ 
พระผู้มีพระภาค. ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
       ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว
ทรงถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอ ขอด้ายเขามาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวร จริงหรือ?
               พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
  ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม 
ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนพวกเธอจึงได้ขอด้าย เขามาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวรเล่า?
 การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การ กระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง      ไม่เลื่อมใส และเพื่อความ เป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
  ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่ง
                           ความเป็นคนเลี้ยงยาก 
                             ความเป็นคนบำรุงยาก 
                             ความเป็นคนมักมาก 
                        ความเป็นคนไม่สันโดษ 
             ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน
 ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา 
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียรโดยอเนกปริยาย, กระทำธรรมีกถาที่สมควร
แก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่อง นั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
                      ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท             แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
                      เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ 
                      เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ 
                      เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ 
                      เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ 
                      เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ 
      เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
       พระบัญญัติ ๔๕. ๖.              อนึ่ง ภิกษุใดขอด้ายมาเองแล้ว ยังช่างหูกให้ทอจีวร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
                                                              เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
 สิกขาบทวิภังค์ 
 [๑๕๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด
 มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นลล เถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะ
       ก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า อนึ่ง ... ใด. 
      บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ. 
     ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร. 
     ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. 
     ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. 
     ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกขุ. 
  ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. 
                    ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ. 
                    ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. 
                    ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ 
                    ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ. 
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ
ควรแก่ฐานะ. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควร
               แก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
บทว่า เอง คือ ขอเขามาเอง, ด้ายมี ๖ อย่าง
             ที่ชื่อว่า ด้าย นั้นมี ๖ อย่าง คือ ทำด้วยเปลือกไม้ ๑ ทำด้วยฝ้าย ๑ ทำด้วยไหม ๑ ทำด้วยขนสัตว์ ๑ ทำด้วยป่าน ๑ ทำด้วยสัมภาระเจือกันในห้าอย่างนั้น ๑.
             บทว่า ยังช่างหูก คือ ยังช่างหูกให้ทอ, เป็นทุกกฏในประโยคที่ช่างหูกจัดทำอยู่นั้น, เป็นนิสสัคคีย์ ด้วยได้จีวรมา จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ เสียสละแก่สงฆ์ ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า 
นั่งกระหย่งประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอด้ายมาเองแล้วยังช่างหูกให้ทอ 
เป็นของ จำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืน        จีวรที่เสียสละ ให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะ สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อม
พรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้. เสียสละแก่คณะ ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป
 ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- ท่านข้าพเจ้า จีวร
ผืนนี้ของข้าพเจ้า ขอด้ายมาเองแล้วยังช่างหูกให้ทอ เป็นของ จำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
 ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่า
ดังนี้:- ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้า
ความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่าน ทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. เสียสละแก่บุคคล ภิกษุรูป
นั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- ท่าน จีวรผืนนี้ของ
ข้าพเจ้า ขอด้ายมาเองแล้วยังช่างหูกให้ทอ เป็นของจำจะ สละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน ครั้นสละแล้ว พึงแสดง
อาบัติ. ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสีย สละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกนิสสัคคิยปาจิตตีย์      [๑๕๕] ให้เขาทอ ภิกษุสำคัญว่าให้เขาทอ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
       ให้เขาทอ ภิกษุสงสัย, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
      ให้เขาทอ ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ให้เขาทอ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ        ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุสำคัญว่าให้เขาทอ, ต้องอาบัติทุกกฏ.        ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุสงสัย, ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ        ไม่ได้ให้เขาทอ ภิกษุสำคัญว่าไม่ได้ให้เขาทอ ไม่ต้องอาบัติ.
                                                                       อนาปัตติวาร
             [๑๕๖] ภิกษุขอด้ายมาเพื่อเย็บจีวร ๑                  ภิกษุขอด้ายมาทำผ้ารัดเข่า ๑ ภิกษุขอด้ายมาทำ
ประคตเอว ๑ ภิกษุขอด้ายมาทำผ้าอังสะ ๑                      ภิกษุขอด้ายมาทำถุงบาตร ๑ ภิกษุขอด้ายมาทำผ้า
กรองน้ำ ๑ ภิกษุขอต่อญาติ ๑ ภิกษุขอต่อคนปวารณา ๑                             ภิกษุขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๑
ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑             ภิกษุวิกลจริต ๑                             ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การให้จีวรแล้วชิงเอามา พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๕  
พรรณนาจีวรอัจฉินทนสิกขาบท   จีวรอัจฉินทนสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
            ในจีวรอัจฉินทนสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
                                 หลายบท ว่า ยํปิ ตฺยาหํ ตัดบทเป็น ยํปิ เต อหํ                      แปลว่า เราได้ให้จีวรแม้ใดแก่ท่าน
 ได้ยินว่า    พระอุปนนท์นั้นคิดว่า ภิกษุนี้จักนำบาตร จีวร รองเท้าและผ้าปูนอนเป็นต้นของเรา    ไปสู่ที่จาริกกับเรา 
           จึงได้ให้แล้ว เพราะเหตุนั้นแล เธอจึงได้กล่าวอย่างนั้น.
               [ว่าด้วยการชิงคืน ของภิกษุผู้ให้จีวร]               
           บท ว่า อจฺฉินฺทิ แปลว่า ได้ถือเอาแล้วโดยพลการ.
         แต่เพราะถือเอาด้วยสำคัญว่าของตน จึงไม่เป็นปาราชิกแก่เธอ. เพราะเธอทำให้ลำบากแล้วถือเอาจีวร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงบัญญัติอาบัติไว้.
               ข้อว่า สยํ อจฺฉินฺทติ นิสฺสคฺคิยํ ปาจิตฺติยํ มีความว่า สำหรับภิกษุผู้ชิงเอาจีวรผืนเดียว และมากผืนซึ่งเนื่องเป็นอันเดียวกัน เป็นอาบัติตัวเดียว. 
         เมื่อภิกษุชิงเอาจีวรมากผืนซึ่งไม่เนื่องเป็นอันเดียวกัน และตั้งอยู่แยกกัน และเมื่อใช้ให้ผู้อื่นนำมาให้โดยสั่งอย่างนี้ว่า เธอจงนำสังฆาฏิมา, จงนำผ้าอุตราสงค์มา เป็นอาบัติมากตัวตามจำนวนวัตถุ.
            แม้เมื่อกล่าวว่า เธอจงนำจีวรทั้งหมดที่เราให้แล้วคืนมา ก็เป็นอาบัติจำนวนมาก เพราะคำพูดคำเดียวนั่นแล.
               ข้อว่า อญฺญํ อาณาเปติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า สั่งว่า เธอจงถือเอาจีวร เป็นทุกกฏตัวเดียว. 
            ภิกษุผู้รับสั่งถือจีวรหลายตัว ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียว. 
             เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธอจงเอาสังฆาฏิมา, จงเอาอุตราสงค์มา เป็นทุกกฏทุกๆ คำพูด. 
              เมื่อกล่าวว่า เธอจงเอาจีวรที่เราให้ทั้งหมดคืนมา เป็นอาบัติจำนวนมาก เพราะคำพูดคำเดียว.
               สอง บท ว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ มีความว่า บริขารอย่างใดอย่างหนึ่ง เว้นจีวรอย่างเล็กที่ควรจะวิกัปได้ โดย
ที่สุดแม้แต่เข็ม. แม้ในจำพวกเข็มที่ห่อเก็บไว้ ก็เป็นทุกกฏหลายตัวตามจำนวนวัตถุ. ในเข็มที่ห่อไว้หลวมๆ (ก็เป็นทุกกฏมากตัวตามจำนวนวัตถุ) อย่างนั้นเหมือนกัน.
               ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวว่า ก็ในเข็มทั้งหลายที่เขามัดไว้แน่นเป็นทุกกฏตัวเดียวเท่านั้น. แม้ในเข็มที่เขาใส่ไว้ในกล่องเข็ม ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ถึงแม้ในเภสัชมีเครื่องเผ็ดร้อน ๓ ชนิดที่เขาใส่ไว้ในถุงย่ามมัดไว้หย่อน และมัดไว้แน่น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               [อธิบายการคืนให้แก่เจ้าของเดิมแห่งภิกษุผู้รับไป]               
               จีวรนี้สมควรแก่ท่านเท่านั้น ดังนี้ ก็ดี. อีกอย่างหนึ่ง ก็ภิกษุหนุ่มนั้นถูกพระเถระนั้น กล่าวถ้อยคำมีอาทิอย่างนี้ว่า คุณ! เราได้ให้จีวรแก่เธอ ด้วยหวังว่า จักทำวัตรและปฏิบัติ จักถืออุปัชฌาย์ จักเรียนซึ่งธรรมในสำนักของเรา มาบัดนี้ เธอนั้นไม่กระทำวัตร ไม่ถืออุปัชฌาย์ ไม่เรียนธรรม ดังนี้ 
    จึงให้คืนว่า ท่านขอรับ! ดูเหมือนท่านพูดเพื่อต้องการจีวร นี้
จีวรของท่าน. ภิกษุผู้รับไปนั้น ให้คืนแม้ด้วยอาการอย่างนี้ก็ดี.
               ก็หรือว่าพระเถระกล่าวถึงภิกษุหนุ่มผู้หลีกไปสู่ทิศว่า พวกท่านจงให้เธอกลับ เธอไม่กลับ. 
        พระเถระสั่งว่า พวกท่านจงยึดจีวรกันไว้ ถ้าอย่างนี้ เธอกลับเป็นการดี.     ถ้าเธอกล่าวว่า พวกท่านดูเหมือนจะพูด เพื่อต้องการบาตรและจีวร, พวกท่านจงรับเอามันไปเถิด แล้วให้คืน.         แม้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าภิกษุผู้รับไปนั้นให้คืนเองก็ดี.
               อนึ่ง พระเถระเห็นเธอสึกแล้วกล่าวว่า เราได้ให้บาตรและจีวรแก่เธอด้วยหวังว่า จักกระทำวัตร บัดนี้ เธอนั้นก็สึกไปแล้ว. ฝ่ายภิกษุหนุ่มที่สึกไปพูดว่า ขอท่านโปรดรับเอาบาตรและจีวรของท่านไปเถิด แล้วให้คืน.
        แม้อย่างนี้ ก็ชื่อว่าภิกษุผู้รับไปนั้นนั่นแล ให้คืนเองก็ดี. แต่จะให้ด้วยกล่าวอย่างนี้ว่า เราให้แก่เธอผู้ถืออุปัชฌาย์ในสำนักของเราเท่านั้น เราไม่ให้แก่ผู้ถืออุปัชฌาย์ในที่อื่น, เราให้เฉพาะแก่ผู้กระทำวัตร, ไม่ให้แก่ผู้ไม่กระทำวัตร 
          เราให้แก่ผู้เรียนธรรมเท่านั้นไม่ให้แก่ผู้ไม่เรียน เราให้แก่ผู้ไม่สึกเท่านั้น ไม่ให้แก่ผู้สึก ดังนี้ ไม่ควร. เป็นทุกกฏแก่ผู้ให้. แต่จะใช้ให้นำคืนมา ควรอยู่.
               ภิกษุผู้ชิงเอาจีวรที่ตนสละให้แล้วคืนมา พระวินัยธรพึงปรับตามราคาสิ่งของ.
                  คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้นแล.
               สิกขาบทนี้มี ๓ สมุฏฐาน ย่อมเกิดทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ฉะนี้แล.
               จีวรอัจฉินทนสิกขาบท จบ.    

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การให้จีวรแล้วชิงเอามา พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
 [๑๔๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน     อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น        ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวชวนภิกษุ                                สัทธิวิหาริกของภิกษุผู้เป็นพี่น้องกัน
ว่า อาวุโส จงมา เราจักพากันหลีกไปเที่ยวตามชนบท.            ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ผมไม่ไปขอรับ เพราะมีจีวรเก่า. 
ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวขะยั้นขะยอว่า ไปเถิด อาวุโส,   ผมจักให้จีวรแก่ท่าน แล้วได้ให้จีวรภิกษุรูปนั้น. 
 ภิกษุรูปนั้นได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคจักเสด็จเที่ยวจาริกไปตามชนบท จึงคิดว่า บัดนี้เราจักไม่ไปเที่ยว
ตามชนบทกับท่านพระอุปนันทศากยบุตรละ จักตามเสด็จพระผู้มีพระภาค เที่ยวจาริกไปตามชนบท. 
 ครั้นถึงกำหนด, ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวคำนี้กะภิกษุรูปนั้นว่า มาเถิด อาวุโส เราจักพากันไปเที่ยว            ตามชนบทในบัดนี้.  ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ผมไม่ไปกับท่านละ, 
                   ผมจักตามเสด็จพระผู้มีพระภาคเที่ยวจาริกไป ตามชนบท.        ท่านพระอุปนันทศากยบุตรกล่าวว่า ผมได้ให้จีวรแก่ท่านไปด้วยหมายใจว่าจักไปเที่ยว ตามชนบทด้วยกัน
                           ดังนี้แล้วโกรธ น้อยใจ ได้ชิงจีวรที่ให้นั้นคืนมา 
                ภิกษุรูปนั้นจึงได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดา
ภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่าไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรให้จีวรแก่ภิกษุไปเองแล้ว จึงได้ โกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมาเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค.
  ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงถามพระอุปนันทศากยบุตรว่า 
ดูกรอุปนันทะ 
        ข่าวว่า เธอให้จีวรแก่ ภิกษุเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมา จริงหรือ? 
          ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
  ทรงติเตียน พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า 
          ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉน เธอให้
จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว จึงได้โกรธ น้อยใจ ชิงเอาคืนมาเล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส 
 ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว, โดยที่แท้ การกระทำของเธอ
นั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อ          ความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
  ทรงบัญญัติสิกขาบท พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษ
     แห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี 
       ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ 
ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยายทรงกระทำธรร
         มีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย                 แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย                                 เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบท              แก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ 
                         เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ 
                         เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ 
                         เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ 
                         เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ 
                        เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ 
                        เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ 
                       เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ 
                       เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ 
                   เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑
                               เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
           ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
  พระบัญญัติ ๔๔. ๕. อนึ่งภิกษุใดให้จีวรแก่ภิกษุเองแล้ว โกรธ น้อยใจชิงเอามาก็ดี ให้ ชิงเอามาก็ดี, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.ฯ
 เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ [๑๕๐]
 บทว่า อนึ่ง ... ใด         ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด
 มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็น เถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.       
      บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. 
       ชื่อว่า ภิกษุ เพราะ อรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร. 
       ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. 
                          ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา. 
                           ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. 
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกขุ. 
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. 
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ เจริญ. 
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. 
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ. 
                             ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ.
                            ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. 
           บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่ สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ
                      นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             บท ว่า แก่ภิกษุ คือ แก่ภิกษุรูปอื่น.
             บท ว่า เอง คือ ให้เอง.
ที่ชื่อว่า จีวร ได้แก่ผ้าจีวร ๖ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งเข้าองค์กำหนดแห่งผ้าต้องวิกัปเป็นอย่างต่ำ.
บท ว่า โกรธ น้อยใจ คือ ไม่ชอบใน มีใจฉุนเฉียว เกิดมีใจกระด้าง.
 บท ว่า ชิงเอามา คือ ยื้อแย่งเอามาเอง จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์.
 บท ว่า ให้ชิงเอามา คือใช้คนอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
  ภิกษุผู้รับคำสั่งคราวเดียว ชิงเอามาแม้หลายคราว, ก็เป็น
  นิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้นอย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้แก่ภิกษุเองแล้วชิงเอามา เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
            ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ
เสียสละแก่คณะ            ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้แก่ภิกษุเองแล้วชิงเอามาเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ. ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ.เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล             ภิกษุรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
             ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้แก่ภิกษุเองแล้วชิงเอามา เป็นของจำจะสละ. ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์            [๑๕๑] อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ให้จีวรเองแล้ว โกรธน้อยใจ ชิงเอามา
ก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้จีวรเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี,เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ให้จีวรเองแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดีให้ชิงเอามาก็ดี, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ     ภิกษุให้บริขารอย่างอื่นแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุให้จีวรก็ดี บริขารอย่างอื่นก็ดี แก่อนุปสัมบันแล้ว โกรธ น้อยใจ ชิงเอามาก็ดี ให้ชิงเอามาก็ดี, ต้องอาบัติทุกกฏ.
        อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอุปสัมบัน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
        อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
        อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร           [๑๕๒] ภิกษุผู้ได้รับไปนั้นให้คืนเองก็ดี ภิกษุเจ้าของเดิมถือวิสาสะแก่ผู้ได้รับไปนั้น ก็ดี ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๔ ว่าด้วย ผ้าอาบน้ำฝน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ ปัตตวรรคที่ ๓ สิกขาบทที่ ๔   
    พรรณนาวัสสิกสาฏิกสิกขาบท   วัสสิกสาฏิกสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในวัสสิกสาฏิกสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
                       สอง บท ว่า วสฺสิกสาฏิกา อนุญฺญาตา มีความว่า ผ้าอาบน้ำฝน  พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้แล้ว
ในเรื่องนางวิสาขาในจีวรขันธกะ.
                             บท ว่า ปฏิกจฺเจว แปลว่า ก่อนนั่นเทียว.
                         หลายบท ว่า มาโส เสโส คิมฺหานํ มีความว่า ฤดูร้อน ๔ เดือน ยังเหลือเดือนสุดท้ายอีก ๑ เดือน.
               บท ว่า กตฺวา มีความว่า ให้สำเร็จลงด้วยการเย็บ ย้อมและกัปปะเป็นที่สุด. และภิกษุเมื่อจะทำ
พึงกระทำผืนเดียวเท่านั้น แล้วอธิษฐานในสมัย จะอธิษฐาน ๒ ผืน ไม่ควร.
               ข้อว่า อติเรกมาเส เสเส คิมฺหาเน ได้แก่ เมื่อเดือนที่มีชื่อว่า ฤดูร้อน ยังเหลือเกิน ๑ เดือน.
               แต่ผู้ศึกษาตั้งอยู่ในคำว่า อติเรกฑฺฒมาเส เสเส คิมฺหาเน กตฺวา นิวาเสติ (ทำนุ่งในเมื่อฤดูร้อนยังเหลืออยู่เกินกว่ากึ่งเดือน) นี้แล้ว
               พึงทราบเขตแห่งผ้าอาบน้ำฝน ๔ เขต คือเขตแห่งการแสวงหา ๑ เขตแห่งการกระทำ ๑ เขตแห่งการนุ่งห่ม ๑ เขตแห่งการอธิษฐาน ๑            และสมัย ๒ สมัย คือ กุจฉิสมัย ๑ ปิฏฐิสมัย ๑                       และจตุกกะ ๒ คือ ปิฏฐิสมัยจตุกกะ ๑ กุจฉิสมัยจตุกกะ ๑.
               บรรดาเขต สมัยและจตุกกะเหล่านั้น กึ่งเดือนหนึ่งตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่งหลังวันเพ็ญของเดือน ๗ ต้น 
ไปจนถึงวันอุโบสถในกาฬปักษ์ นี้เป็นเขตแห่งการแสวงหาและเขตแห่งการกระทำ.
               แท้จริง ในระหว่างนี้ ภิกษุจะแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนที่ยังไม่ได้ และจะทำผ้าอาบน้ำฝนที่ได้แล้ว ควรอยู่.
จะนุ่งห่มและจะอธิษฐานไม่ควร. กึ่งเดือนหนึ่ง ตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่ง หลังวันอุโบสถในกาฬปักษ์ไปจนถึงวันเพ็ญเดือน ๘ นี้ เป็นเขตแห่งการแสวงหา การกระทำและการนุ่งห่ม แม้ทั้ง ๓.
           จริงอยู่ ในระหว่างนี้จะแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนซึ่งยังไม่ได้ กระทำผ้าที่ได้แล้วและจะนุ่งห่ม ควรอยู่.
 จะอธิษฐานอย่างเดียวไม่ควร. ตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่ง หลังวันเพ็ญเดือน ๘ ไป จนถึงวันเพ็ญเดือนกัตติกา (เดือน ๑๒) ๔ เดือน นี้เป็นเขตแห่งการแสวงหาการกระทำ การนุ่งห่มและอธิษฐาน แม้ทั้ง ๔.
               จริงอยู่ ในระหว่างนี้จะแสวงหาผ้าอาบน้ำฝนที่ยังไม่ได้ หรือจะกระทำผ้าที่ได้แล้ว จะนุ่งห่ม และจะอธิษฐาน ควรอยู่. พึงทราบเขต ๔ อย่างนี้ก่อน.
               อนึ่ง ตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่งหลังวันเพ็ญเดือน ๑๒ ไปจนถึงวันเพ็ญแห่งเดือน ๘ ต้น, ๗ เดือนนี้ ชื่อว่าปิฏฐิสมัย (หลังสมัย).
               จริงอยู่ ในระหว่างนี้ เมื่อภิกษุทำการเตือนสติ โดยนัยเป็นต้นว่า กาลแห่งผ้าอาบน้ำฝน แล้วให้จีวร คือผ้าอาบน้ำฝนสำเร็จจากที่ของคนผู้ไม่ใช่ญาติ และไม่ใช่ปวารณา เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยสิกขาบทนี้.
               เมื่อกระทำวิญญัตติโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านจงให้จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนแก่เรา แล้วให้สำเร็จ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท.
               เมื่อกระทำการเตือนสติ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ให้สำเร็จจากที่แห่งญาติและคนปวารณา เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยสิกขาบทนี้แล, เมื่อกระทำวิญญัตติให้สำเร็จ
ไม่เป็นอาบัติ ด้วยอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท.
               สมจริงดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ในคัมภีร์ปริวารว่า๑-
               ขอจีวรกะมารดา และไม่ได้น้อมลาภไปเพื่อสงฆ์
               เพราะเหตุไร ภิกษุนั้นจึงต้องอาบัติ แต่ไม่ต้องอาบัติ
                         เพราะบุคคลผู้เป็นญาติ ปัญหาข้อนี้ ท่านผู้ฉลาด
                         ทั้งหลายคิดกันแล้ว
๑- วิ. ปริวาร. เล่ม ๘/ข้อ ๑๓๓๐/หน้า ๕๓๕.
               ก็ปัญหาข้อนี้ ท่านกล่าวหมายถึงเนื้อความนี้แล. พึงทราบปิฏฐิสมัยจตุกกะอย่างนี้.
               อนึ่ง ตั้งแต่วันแรมค่ำหนึ่งหลังวันเพ็ญแห่งเดือน ๗ ต้น ไปจนถึงวันเพ็ญเดือนกัตติกา ๕ เดือนนี้ ชื่อว่ากุจฉิสมัย (ท้องสมัย).
               จริงอยู่ ในระหว่างนี้ เมื่อภิกษุทำการเตือนสติ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ ให้จีวร คือผ้าอาบน้ำฝน
สำเร็จจากที่แห่งคนผู้มิใช่ญาติ และมิได้ปวารณา เป็นทุกกฏในเพราะเสียธรรมเนียม. แต่พวกชาวบ้านซึ่งเคยถวายจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนแม้ในกาลก่อน ถึงหากว่าจะเป็นผู้มิใช่ญาติและมิใช่ผู้ปวารณาของตน ก็ไม่มีการเสียธรรมเนียม เพราะทำการเตือนสติในชนเหล่านั้น ทรงอนุญาตไว้.
 เมื่อภิกษุกระทำวิญญัตติให้สำเร็จเป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ด้วยอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท.               เพราะเหตุไร? เพราะตรัสไว้ว่า ภิกษุเข้าไปหาพวกชาวบ้านผู้เคยถวายจีวร คือผ้าอาบน้ำฝนในก่อน แล้วพึงกล่าวอย่างนี้ ดังนี้เป็นต้น.
               ก็จีวร คือผ้าอาบน้ำฝนนี้ ตามปกติ ย่อมมีแม้ในหมู่ทายกผู้ถวายผ้าอาบน้ำฝนนั่นแล.
 เมื่อภิกษุเตือนให้เกิดสติ โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นเอง แล้วให้สำเร็จจากที่แห่งคนผู้เป็นญาติและคนปวารณา
 ไม่เป็นอาบัติด้วยสิกขาบทนี้, เมื่อกระทำวิญญัตติให้สำเร็จมา ไม่เป็นอาบัติด้วยอัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท.
               จริงอยู่ คำว่า ไม่พึงบอกเขาว่า จงถวายแก่เรา นี้ตรัสหมายถึงคนผู้มิใช่ญาติและมิใช่ปวารณานั่นเอง.
 พึงทราบกุจฉิสมัยจตุกกะ (หมวด ๔ ท้องสมัย) อย่างนี้.
               ในคำว่า นคฺโค กายํ โอวสฺสาเปติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝนนั้น พระวินัยธรอย่าปรับตามจำนวนเมล็ดน้ำฝน พึงปรับด้วยทุกกฏทุกๆ 
ประโยค ด้วยอำนาจเสร็จการอาบน้ำ. ก็แล ภิกษุนั้นอาบน้ำที่ตกลงมาจากอากาศอยู่ ในลานที่เปิดเผย 
(กลางแจ้ง) เท่านั้น (จึงต้องทุกกฏ).    
    เมื่ออาบอยู่ในซุ้มอาบน้ำและในบึง
     เป็นต้น หรือด้วยน้ำที่ใช้หม้อตักรด  (ตักอาบ) ไม่เป็นอาบัติ
                       ในคำ วสฺสํ อุกฺกฑฺฒียติ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
   ถ้าเมื่อผ้าอาบน้ำฝนทำเสร็จแล้ว พวกภิกษุให้เดือนท้ายฤดูสิ้นไปแล้วเลื่อนเดือนต้นฤดูฝนนั่นแหละขึ้นมาเป็น
เดือนท้ายฤดูร้อนอีก, พึงซักผ้าอาบน้ำฝนเก็บไว้. ไม่ต้องอธิษฐานไม่ต้องวิกัป ได้บริหารตลอด ๒ เดือน. พึงอธิษฐาน
ในวันวัสสูปนายิกา (วันเข้าพรรษา). ถ้าว่าผ้าอาบน้ำฝนภิกษุมิได้ทำ เพราะหลงลืมสติ หรือเพราะผ้าไม่พอก็ดี
ย่อมได้บริหารตลอด ๖ เดือน คือ ๒ เดือนนั้นด้วย ๔ เดือนฤดูฝนด้วย. แต่ถ้าภิกษุกรานกฐินในเดือนกัตติกา ย่อมได้
บริหารอีก ๔ เดือน. รวมเป็น ๑๐ เดือน ด้วยประการอย่างนี้. แม้ต่อจาก ๑๐ เดือนนั้นไป เมื่อมีความหวัง (จะได้
ผ้าอาบน้ำฝน) ของภิกษุผู้ทำให้เป็นจีวรเดิมเก็บไว้ ได้บริหารอีกเดือนหนึ่ง              ดังนั้นจึงได้บริหารตลอด ๑๑ เดือน ด้วยประการอย่างนี้.
               ถามว่า ก็ถ้าว่า ผ้าอาบน้ำฝนที่ได้แล้วและสำเร็จแล้ว ในเมื่อวันเข้าพรรษายังไม่มาถึง ด้วยอำนาจแห่งวันหนึ่งและสองวันเป็นต้นจนถึง ๑๐ วัน หรือในภายในพรรษา จะพึงอธิษฐานเมื่อไร?
               ตอบว่า คำนี้ ท่านไม่ได้วิจารณ์ไว้ในอรรถกถาทั้งหลาย. พวกเรามีอัตโนมัติอย่างนี้ว่า ก็แล ผ้าอาบน้ำฝนที่สำเร็จแล้ว ภายใน ๑๐ วันตั้งแต่วันที่ได้มา พึงอธิษฐานภายใน ๑๐ วันนั้นนั่นเอง. ที่สำเร็จในเมื่อล่วง ๑๐ วันไป พึงอธิษฐานในวันนั้น, เมื่อยังไม่ครบ ๑๐ วัน ไม่พึงให้เลยจีวรกาลไป.
               เพราะเหตุไร? เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า                               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
                     เราอนุญาตให้อธิษฐานไตรจีวร ไม่ใช่ให้วิกัป, 
ให้อธิษฐานผ้าอาบน้ำฝนตลอด ๔ เดือนฤดูฝน ต่อจากนั้นไปให้วิกัป.๒- เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ แม้เพราะล่วง ๑๐ วันไป ก่อนแต่วันเข้าพรรษา.
               สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า ภิกษุพึงทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างมาก.๓- เพราะฉะนั้น ผ้าอาบน้ำฝนที่ได้มาและสำเร็จแล้วในเมื่อวันเข้าพรรษา ยังมาไม่ถึงด้วยอำนาจแห่งวันหนึ่ง
และสองวันเป็นต้น จนถึง ๑๐ วัน หรือในภายในพรรษา พึงอธิษฐานในภายใน ๑๐ วันหรือในวันนั้น โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ, เมื่อยังไม่ครบ ๑๐ วัน ก็ไม่พึงให้ล่วงเลยจีวรกาลไป.
             ในอธิการแห่งผ้าอาบน้ำฝนนั้น จะพึงมีการท้วงว่า เพราะพระบาลีว่า เราอนุญาตให้อธิษฐานตลอด ๔ เดือน
ฤดูฝน, ในภายใน ๔ เดือน จะอธิษฐานในเวลาใดเวลาหนึ่ง ก็น่าจะใช้ได้. ถ้าเมื่อมีคำอย่างนี้ คำที่ตรัสไว้ว่า เราอนุญาตให้อธิษฐานผ้าปิดฝีได้ตลอดเวลาที่ยังมีอาพาธ และแม้ผ้าปิดฝีนั้น ก็ไม่ควรให้ล่วง ๑๐ วัน,
 และเมื่อมีการล่วง ๑๐ วันไปอย่างนั้น คำว่า พึงทรงอติเรกจีวรได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง นี้ก็จะผิดไป เพราะฉะนั้น
บัณฑิตจึงควรเชื่อถือคำตามที่กล่าวแล้วนั่นแล. หรือว่าได้เหตุที่ไม่หละหลวมอย่างอื่นแล้ว ก็ควรสลัดทิ้งเสีย.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๕/ข้อ ๑๖๐/หน้า ๒๑๘.   ๓- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๒/หน้า ๓.
               อนึ่ง แม้ในกุรุนทีก็กล่าวไว้ในที่สุดแห่งนิสสัคคีย์ว่า ผ้าอาบน้ำฝนควรอธิษฐานเมื่อไร? ก็แล ผ้าอาบน้ำฝนที่สำเร็จแล้วภายใน ๑๐ วันตั้งแต่วันที่ได้มา ควรอธิษฐานภายใน ๑๐ วันนั้นนั่นแหละ, ถ้าผ้าไม่พอ ย่อมได้บริหารไปจนถึงเพ็ญเดือน ๑๒.
               คำว่า อจฺฉินฺนจีวรสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาเฉพาะผ้าอาบน้ำฝนเท่านั้น.
       จริงอยู่ ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุเหล่านั้นผู้เปลือยกาย ในเพราะยังน้ำฝนให้รดร่างกาย.
         ก็ในบท ว่า อาปทาสุ นี้ อุปัทวะคือโจร ชื่อว่าอันตรายแห่งภิกษุผู้นุ่งผ้าอาบน้ำฝนมีราคาแพง อาบน้ำอยู่.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
               วัสสิกสาฏิกสิกขาบท จบ.   

นิสสัคคิยกัณฑ์ วรรคที่ ๓ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๔ ว่าด้วย ผ้าอาบน้ำฝน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [๑๔๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขต
พระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝน แก่ภิกษุทั้งหลายแล้ว. พระฉัพพัคคีย์ทราบว่า
พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตผ้าอาบน้ำฝนแล้ว จึง แสวงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนเสียก่อนบ้าง ทำแล้วนุ่งเสียก่อนบ้าง,
ครั้นผ้าอาบน้ำฝนเก่าแล้ว ก็เปลือยกายอาบน้ำฝน.
 บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
ไฉน พระฉัพพัคคีย์ จึงได้แสวงหาจีวร คือผ้าอาบน้ำฝนเสีย ก่อนบ้าง ทำแล้วนุ่งเสียก่อนบ้าง, เมื่อผ้าอาบน้ำฝนเก่า
แล้ว จึงได้เปลือยกายอาบน้ำฝนเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
  ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น,
 แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอ แสวงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนเสีย
ก่อนบ้าง ทำแล้วนุ่งเสียก่อนบ้าง, เมื่อผ้าอาบน้ำฝนเก่าแล้ว เปลือยกายอาบน้ำฝน จริงหรือ?. 
 พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั้น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร
ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนพวกเธอจึงได้ แสวงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนเสียก่อนบ้าง ทำแล้วนุ่ง
เสียก่อนบ้าง เมื่อผ้าอาบน้ำฝนเก่าแล้ว จึงได้ เปลือยกายอาบน้ำฝนเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็น
ไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว,
 โดยที่แท้ การกระทำของ พวกเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
 และเพื่อความเป็นอย่างอื่น ของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
  ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็น
คนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน, ตรัสคุณแห่งความเป็น
คนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่
น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ ความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
 ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เรา
จักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
 เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
 เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑
 เพื่อความเลื่อมใสของชุมชน ที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
 เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระ สัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
 ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๔๓. ๔. ภิกษุรู้ว่า ฤดูร้อนยังเหลืออีก ๑ เดือน พึงแสวงหาจีวรคือผ้าอาบ น้ำฝนได้, รู้ว่า ฤดูร้อนยังเหลือ
อีกกึ่งเดือน พึงทำนุ่งได้, ถ้าเธอรู้ว่า ฤดูร้อนเหลือ ล้ำกว่า ๑ เดือน แสวงหาจีวร คือผ้าอาบน้ำฝน. รู้ว่า ฤดูร้อนเหลือล้ำกว่ากึ่งเดือน ทำนุ่ง, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. ฯ
  เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. / สิกขาบทวิภังค์
[๑๔๖] คำว่า ภิกษุรู้ว่า ฤดูร้อนยังเหลืออีก ๑ เดือน พึงแสวงหาจีวร คือผ้า อาบน้ำฝนได้ นั้น 
        อธิบายว่า ภิกษุพึงเข้าไปหาชาวบ้านบรรดาที่เคยถวายจีวร คือ ผ้าอาบ น้ำฝนมาก่อน แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ถึงกาลแห่งผ้าอาบน้ำฝนแล้ว, ถึงสมัยแห่งผ้าอาบน้ำฝนแล้ว, แม้ชาวบ้านเหล่าอื่น ก็ถวายจีวรคือผ้าอาบน้ำฝน ดังนี้,
 แต่อย่าพูดว่า จงให้จีวรคือผ้าอาบน้ำฝน แก่อาตมา จงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนมาให้อาตมา จงแลกเปลี่ยนจีวร
คือผ้าอาบน้ำฝนมาให้อาตมา จงจ่ายจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนมาให้อาตมา ดังนี้เป็นต้น. คำว่า รู้ว่าฤดูร้อนยังเหลืออีก
กึ่งเดือน พึงทำนุ่งได้ นั้น คือเมื่อฤดูร้อนยังเหลือ อยู่กึ่งเดือน พึงทำนุ่งได้. คำว่า ถ้าเธอรู้ว่าฤดูร้อนเหลือล้ำกว่า 
๑ เดือน นั้น คือ เมื่อฤดูร้อนยังเหลือเกิน กว่า ๑ เดือน แสวงหาจีวรคือผ้าจีวรอาบน้ำฝน, เป็นนิสสัคคีย์. 
          คำว่า รู้ว่าฤดูร้อนเหลือล้ำกว่ากึ่งเดือน นั้น คือ เมื่อฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่า กึ่งเดือน ทำนุ่ง, เป็นนิสสัคคีย์ คือเป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนนั้นอย่างนี้:- 
วิธีเสียสละ 
        เสียสละแก่สงฆ์ 
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้ของข้าพเจ้า แสวงหาได้มาในฤดูร้อน ซึ่งยังเหลือเกินกว่า
๑ เดือน ทำนุ่งในฤดูร้อนซึ่งยังเหลืออยู่เกินกว่ากึ่งเดือน เป็นของ จำจะสละ. ข้าพเจ้าสละจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้
แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรคือผ้าอาบ น้ำฝนที่เสียสละ
ให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้
 เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์ พึงให้จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้
 แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
  เสียสละแก่คณะ 
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า 
กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา กว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- ท่านเจ้าข้า จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้
ของข้าพเจ้า แสวงหาได้มาในฤดูร้อน ซึ่งยังเหลืออยู่เกินกว่า ๑ เดือน, ทำนุ่งในฤดูร้อนซึ่งยังเหลืออยู่เกินกว่า กึ่งเดือน เป็น ของจำจะสละ.
 ข้าพเจ้าสละจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.  ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรคือผ้าอาบ น้ำฝนที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
 ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็น ของจำจะสละ. เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึง ที่แล้ว. ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. ฯ
เสียสละแก่บุคคล 
         ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า 
 ท่าน จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้ของข้าพเจ้า แสวงหาได้มาในฤดูร้อนซึ่งยัง เหลืออยู่เกินกว่าหนึ่งเดือน, ทำนุ่งในฤดูร้อนซึ่งยังเหลืออยู่เกินกว่ากึ่งเดือน, เป็นของ จำจะสละ.
 ข้าพเจ้าสละจีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรคือผ้าอาบ น้ำฝนที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรคือผ้าอาบน้ำฝนผืนนี้แก่ท่าน ดั่งนี้. 
บทภาชนีย์ 
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (แสวงหา) 
              [๑๔๗] ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่า ๑ เดือน ภิกษุสำคัญว่าเกิน แสวงหาจีวรคือผ้าอาบ น้ำฝน, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.   ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่า ๑ เดือน ภิกษุสงสัย แสวงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝน, เป็น นิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่า ๑ เดือน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง แสวงหาจีวรคือผ้าอาบน้ำฝน, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์ (ทำนุ่ง)
               ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่ากึ่งเดือน ภิกษุสำคัญว่าเกิน ทำนุ่ง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์. 
              ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่ากึ่งเดือน ภิกษุสงสัย ทำนุ่ง, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์. 
              ฤดูร้อนยังเหลือเกินกว่ากึ่งเดือน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ทำนุ่ง เป็นนิสสัคคีย์ ต้อง อาบัติปาจิตตีย์.
  ทุกกฏ               เมื่อผ้าอาบน้ำฝนมี ภิกษุเปลือยกายอาบน้ำฝน, ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึง ๑ เดือน ภิกษุสำคัญว่าเกิน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึง ๑ เดือน ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ต้องอาบัติ 
              ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึง ๑ เดือน ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ถึง ..., ไม่ต้องอาบัติ. ทุกกฏ
              ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึงกึ่งเดือน ภิกษุสำคัญว่าเกิน ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึงกึ่งเดือน ภิกษุสงสัย ..., ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ต้องอาบัติ
               ฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึงกึ่งเดือน ภิกษุสำคัญว่า ยังไม่ถึง ..., ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร [๑๔๘] ภิกษุรู้ว่าฤดูร้อนยังเหลืออีกหนึ่งเดือน แสวงหาจีวร คือผ้าอาบน้ำฝน ๑,
ภิกษุรู้ว่าฤดูร้อนยังเหลืออีกกึ่งเดือน ทำนุ่ง ๑, 
ภิกษุรู้ว่าฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึงหนึ่งเดือน แสวงหา จีวรคือผ้าอาบน้ำฝน ๑, ภิกษุรู้ว่าฤดูร้อนยังเหลือไม่ถึงกึ่งเดือน ทำนุ่ง ๑, เมื่อผ้าอาบน้ำฝน 
ภิกษุ แสวงหาได้แล้ว ฝนแล้ง เมื่อผ้าอาบน้ำฝน ภิกษุทำนุ่งแล้ว ฝนแล้ง ซักเก็บไว้ ๑, ภิกษุนุ่ง ในสมัย ๑, ภิกษุมีจีวรถูกโจรชิงไป ๑, ภิกษุมีจีวรหายเสีย ๑, มีอันตราย ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
  ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.