Translate

05 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๕ [ว่าด้วย นอนร่วมกับอนุปสัมบัน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
             [๒๘๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตเมืองอาฬวี
ครั้งนั้น พวกอุบาสกพากันมาสู่อารามเพื่อฟังธรรม เมื่อพระธรรมกถึกแสดงธรรมจบแล้ว ภิกษุชั้นเถระกลับไปยังที่อยู่ ภิกษุชั้นนวกะสำเร็จการนอนร่วมกับพวกอุบาสกอยู่ในศาลาที่ฟังธรรม นั้นเอง เผลอสติ ไม่รู้สึกตัว เป็นผู้เปลือยกายละเมอ กรนอยู่.
              พวกอุบาสกต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้สำเร็จการนอนเผลอสติ ไม่รู้สึกตัว เป็นผู้เปลือยกายละเมอ กรนอยู่เล่า 
              ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉนพระภิกษุทั้งหลาย จึงได้สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า ภิกษุทั้งหลายสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน จริงหรือ 
              ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท               พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้ สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันเล่า การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... 
              ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ              ๕๔. ๕. ก. อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน เป็นปาจิตตีย์. 
             ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการ ฉะนี้. เรื่องพระนวกะ จบ. 
เรื่องสามเณรราหุล 
              [๒๙๐] กาลต่อมา พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่เมืองอาฬวี ตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่พระนครโกสัมพี เสด็จจาริกโดยลำดับ, 
               ถึงพระนครโกสัมพีแล้ว ข่าวว่า พระองค์ประทับอยู่พทริการาม เขตพระนครโกสัมพีนั้น. 
              ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้กะท่านสามเณรราหุลว่า อาวุโสราหุล พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบทไว้ว่า ภิกษุไม่พึงสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน อาวุโสราหุล ท่านจงรู้สถานที่ควรนอน. 
              วันนั้น ท่านสามเณรราหุลหาที่นอนไม่ได้ จึงสำเร็จการนอนในวัจจกุฎี. 
              ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทมแล้ว ได้เสด็จไปวัจจกุฎี, ครั้นถึง จึงทรงพระกาสะ แม้ท่านราหุลก็กระแอมรับ. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ใครอยู่ในวัจจกุฎีนี้ 
              ท่านสามเณรราหุลทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าราหุล พระพุทธเจ้าข้า. 
              พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรราหุล เหตุไรเธอจึงนอน ณ ที่นี้ 
              จึงท่านสามเณรราหุล กราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบ. 
              ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบันได้ ๒-๓ คืน ... ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระอนุบัญญัติ               ๕๔. ๕. ข. อนึ่ง ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน, เป็นปาจิตตีย์. เรื่องสามเณรราหุล จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๒๙๑] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรง ประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน. 
              บทว่า ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน คือเกินกว่า ๒-๓ คืน. & บทว่า ร่วม คือด้วยกัน. 
              ที่ชื่อว่า การนอน ได้แก่ภูมิสถานเป็นที่นอนอันเขามุงทั้งหมด บังทั้งหมด มุงโดยมาก บังโดยมาก. 
              คำว่า สำเร็จการนอน ความว่า ในวันที่ ๔ เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว อนุปสัมบัน นอนแล้ว ภิกษุนอน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
               ภิกษุนอนแล้ว อนุปสัมบันนอน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              หรือนอนทั้งสอง, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ 
             ลุกขึ้นแล้ว กลับนอนอีก, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. บทภาชนีย์ ติกปาจิตตีย์
              [๒๙๒] อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน, ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ติกทุกกฏ 
              ในสถานที่มุงกึ่ง บังกึ่ง ภิกษุสำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าอนุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติ ทุกกฏ.
              อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ต้องอาบัติทุกกฏ. ไม่ต้องอาบัติ 
              อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน สำเร็จการนอนร่วม ยิ่งกว่า ๒-๓ คืน ไม่ต้องอาบัติ อนาปัตติวาร 
              [๒๙๓] ภิกษุอยู่ ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุอยู่ไม่ถึง ๒-๓ คืน ๑ ภิกษุอยู่ ๒ คืนแล้ว คืนที่ ๓ ออกไปก่อนอรุณ แล้วอยู่ใหม่ ๑ อยู่ในสถานที่มุงทั้งหมด ไม่บังทั้งหมด ๑ อยู่ในสถานที่บังทั้งหมด ไม่มุงทั้งหมด ๑ อยู่ในสถานที่ไม่มุงโดยมาก ไม่บังโดยมาก ๑ อนุปสัมบันนอน ภิกษุนั่ง ๑ ภิกษุนอน อนุปสัมบันนั่ง ๑ หรือนั่งทั้งสอง ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. 
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๕ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
    สิกขาบทที่ ๕ มุสาวาทวรรค สหเสยย
 พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถเรื่องพระนวกะและสามเณรราหุล] 
                 สองบทว่า มุฏฺฐสฺสตี อสมฺปชานา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสด้วยอำนาจการไม่ทำสติสัมปชัญญะในบุรพภาค. ก็ในกาลที่จิตหยั่งลงสู่ภวังค์ สติสัมปชัญญะจักมีแต่ที่ไหน? 
                 บทว่า วิกุชฺชมานา คือ ละเมออยู่. 
                 บทว่า กากากจฺฉมานา ได้แก่ เปล่งเสียงไม่มีความหมาย ดุจเสียงกา ทางจมูก. 
                 บทว่า อุปาสกา ได้แก่ พวกอุบาสกที่ลุกขึ้นก่อนกว่า. 
                 สองบทว่า เอตทโวจุํ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายได้กล่าวคำนี้ว่า "ท่านราหุล! สิกขาบทนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้แล้ว" ดังนี้ ด้วยเคารพในสิกขาบทนั่นเทียว. แต่โดยปกติ เพราะความเคารพในพระผู้มีพระภาคเจ้า และเพราะท่านราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษา ภิกษุเหล่านั้น 
        เมื่อท่านราหุลนั้นมายังที่อยู่ จึงปูลาดเตียงเล็กๆ หรือพนักพิง อย่างใดอย่าหนึ่งซึ่งมีอยู่ แล้วถวายจีวร (สังฆาฏิ) หรืออุตราสงค์ เพื่อต้องการให้ทำเป็นเครื่องหนุนศีรษะ. ในข้อที่ท่านพระราหุลเป็นผู้ใคร่ในการศึกษานั้น (มีคำเป็นเครื่องสาธก) ดังต่อไปนี้ :- 
                 ทราบว่า ภิกษุทั้งหลายเห็นท่านราหุลนั้นกำลังมาแต่ไกลเทียว ย่อมวางไม้กวาดกำและกระเช้าเทขยะไว้ข้างนอก. ต่อมา เมื่อภิกษุพวกอื่นกล่าวว่า ท่านผู้มีอายุ! นี้ใครเอามาวางทิ้งไว้ ดังนี้ ภิกษุอีกพวกหนึ่งจะกล่าวว่าอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ! ท่านราหุลเที่ยวมาในประเทศนี้ ชะรอยเธอวางทิ้งไว้กระมัง. ส่วนท่านราหุลนั้น ไม่เคยพูดแม้ในวันหนึ่งว่า นี้ไม่ใช่การกระทำของผมขอรับ เก็บงำไม้กวาดกำเป็นต้นนั้นแล้ว ขอขมาภิกษุทั้งหลายก่อน จึงไป. 
                 หลายบทว่า วจฺจกุฏิยํ เสยฺยํ กปฺเปสิ มีความว่า ท่านราหุลนั้นเพิ่มพูนอยู่ซึ่งความเป็นผู้ใคร่ในสิกขานั้นนั่นเอง จึงไม่ไปสู่สำนักแห่งพระธรรมเสนาบดี พระมหาโมคคัลลานะ และพระอานนทเถระเป็นต้น สำเร็จการนอนในเวจกุฎีที่บังคนของพระผู้มีพระภาคเจ้า. ได้ยินว่า กุฎีนั้น เขาติดบานประตูไว้ ทำการประพรมด้วยของหอมมีพวงดอกไม้แขวนไว้เต็ม ตั้งอยู่ดุจเจติยสถาน ไม่ควรแก่การบริโภคใช้สอยของคนเหล่าอื่น. 
                 สองบทว่า อุตฺตรึ ทฺวิรตฺตติรตฺตํ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงประทานบริหารสิ้น ๓ ราตรี เพื่อต้องการทำความสงเคราะห์แก่พวกสามเณร. 
                 จริงอยู่ การที่ภิกษุให้พวกเด็กในสกุลบวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ ไม่สมควร. 
                 บทว่า สหเสยฺยํ คือ การนอนร่วมกัน. แม้การนอน กล่าวคือการทอดกาย ท่านเรียกว่า ไสย. ภิกษุทั้งหลายนอนในเสนาสนะใด แม้เสนาสนะนั้น (ท่านเรียกว่า ไสย ที่นอน). บรรดาที่นอนสองอย่างนั้น เพื่อทรงแสดงเสนาสนะก่อน พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำมีอาทิว่า เสยฺยา นาม สพฺพจฺฉนฺนา ดังนี้. 
                 เพื่อทรงแสดงการเหยียดกาย จึงตรัสคำมีว่า อนุปสมฺปนฺเน นิปนฺเน ภิกฺขุ นิปชฺชติ (เมื่ออนุปสัมบันนอน ภิกษุก็นอน) เป็นต้น. เพราะฉะนั้น ในคำว่า เสยฺยํ กปฺเปยฺย นี้ มีเนื้อความดังนี้ว่า ภิกษุเข้าไปสู่ที่นอน กล่าวคือเสนาสนะ พึงสำเร็จ คือพึงจัดแจง ได้แก่ยังการนอน คือ การเหยียดกายให้สำเร็จ. 
 [อธิบายลักษณะแห่งที่นอนคือเสนาสนะต่างๆ กัน] 
                 ก็ด้วยบทว่า สพฺพจฺฉนฺนา เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสลักษณะแห่งที่นอน กล่าวคือเสนาสนะนั้น. เพราะเหตุนั้น เสนาสนะใดมุงทั้งหมดทีเดียว ในเบื้องบนด้วยเครื่องมุง ๕ ชนิด หรือด้วยวัตถุอะไรๆ อื่นก็ตาม, ที่นอนนี้ชื่อว่ามุงทั้งหมด. 
                 แต่ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านถือเอาโวหารที่ปรากฏ กล่าวด้วยอำนาจคำคล่องปากว่า ที่นอนอันมุงด้วยเครื่องมุง ๕ ชนิด ชื่อว่ามุงทั้งหมด ดังนี้ แม้ท่านกล่าวคำนั้นไว้แล้วก็จริง, ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจทำให้ไม่เป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุผู้อยู่ในกุฎีผ้าได้ เพราะฉะนั้น ผู้ศึกษาพึงทราบเครื่องมุงและเครื่องบังในสิกขาบทนี้ ชนิดใดชนิดหนึ่งซึ่งสามารถปิดบังได้. 
                 จริงอยู่ เมื่อถือเอาเครื่องมุง ๕ ชนิดเท่านั้น การนอนร่วมในกุฎี แม้ที่มุงด้วยไม้กระดาน ก็ไม่พึงมีได้. ก็เสนาสนะใดที่เขากั้นตั้งแต่พื้นดินจนจดหลังคาด้วยกำแพง หรือด้วยวัตถุอะไรๆ อื่นก็ตาม โดยที่สุดแม้ด้วยผ้า, ที่นอนนี้ พึงทราบว่า ชื่อว่าบังทั้งหมด. 
                 ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถากุรุนทีว่า ที่นอนแม้ที่เขากั้นด้วยเครื่องกั้นมีกำแพงเป็นต้น สูงศอกคืบโดยบรรยายอย่างต่ำที่สุด ไม่จดหลังคา จัดว่าบังทั้งหมดเหมือนกัน. ก็เพราะที่ที่มุงข้างบนมากกว่า ที่ไม่ได้มุงน้อย หรือว่าที่ที่เขากั้นโดยรอบมากกว่า ที่ไม่ได้กั้นน้อย ฉะนั้น ที่นอนนี้ จึงชื่อว่า มุงโดยมาก บังโดยมาก. 
                 ก็ปราสาทที่ประกอบด้วยลักษณะอย่างนี้ ถ้าแม้นมีถึง ๗ ชั้น มีอุปจารเดียวกัน หรือว่า ศาลา ๔ มุข มีห้องตั้งร้อย ก็ถึงอันนับว่า ที่นอนอันเดียวกันแท้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงที่นอนนั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ในวันที่ ๔ เมื่อดวงอาทิตย์อัสดงคตแล้ว อนุปสัมบันนอน ภิกษุก็นอน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ดังนี้. และเป็นปาจิตตีย์ โดยเพียงแต่นอนบนที่นอนนั้นเท่านั้น. 
                 ก็ถ้าว่า มีสามเณรมากรูป ภิกษุรูปเดียว เป็นปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนสามเณร ถ้าหากว่าสามเณรเหล่านั้นผุดลุกผุดนอน ภิกษุต้องอาบัติทุกๆ ประโยคของสามเณรเหล่านั้น. ก็ด้วยการผุดลุกผุดนอนของภิกษุ เป็นอาบัติแก่ภิกษุ เพราะประโยคของภิกษุนั่นเอง. 
                 ถ้าภิกษุมากรูป สามเณรรูปเดียว, แม้สามเณรรูปเดียว ก็ทำให้เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหมด. แม้ด้วยการผุดลุกผุดนอนของสามเณรนั้น ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหลายเหมือนกัน. ถึงในความที่ภิกษุและสามเณรมากรูปด้วยกันทั้งสองฝ่าย ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
 [อธิบายจตุกกะ ๔ มีอาวาสจตุกกะเป็นต้น] 
                 อีกนัยหนึ่ง ในสิกขาบทนี้ พึงทราบหมวด ๔ แม้มีอาวาสแห่งเดียวเป็นต้น. ความพิสดารว่า ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมกันกับอนุปสัมบันเพียงคนเดียวในอาวาสแห่งเดียวกันสิ้น ๓ ราตรี เป็นอาบัติทุกวัน จำเดิมแต่วันที่ ๔ แก่ภิกษุแม้นั้น, ฝ่ายภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วมสิ้น ๓ ราตรี กับอนุปสัมบันต่างกันหลายคน ในอาวาสแห่งเดียวนั่นเอง เป็นอาบัติทุกวันแก่ภิกษุแม้นั้น (จำเดิมแต่วันที่ ๔) 
               แม้ภิกษุใดสำเร็จการนอนร่วม สิ้น ๓ ราตรีกับอนุปสัมบันเพียงคนเดียวเท่านั้น ในอาวาสต่างๆ กัน เป็นอาบัติทุกๆ วัน แม้แก่ภิกษุนั้น (จำเดิมแต่วันที่ ๔). แม้ภิกษุใดเดินทางสิ้นระยะตั้ง ๑๐๐ โยชน์ สำเร็จการนอนร่วม (สิ้น ๓ ราตรี) กับอนุปสัมบันต่างกันหลายคน ในอาวาสต่างๆ กันเป็นอาบัติแม้แก่ภิกษุนั้นทุกๆ วัน นับแต่วันที่ ๔ ไป. ก็ชื่อว่า สหเสยยาบัตินี้ ย่อมเป็นแม้กับสัตว์เดียรัจฉาน เพราะพระบาลีว่า ที่เหลือ เว้นภิกษุ ชื่อว่า อนุปสัมบัน.
 ในสหเสยยาบัตินั้น การกำหนดสัตว์เดียรัจฉาน พึงทราบโดยนัยดังกล่าวแล้วในเมถุนธรรมาบัตินั่นแล. เพราะเหตุนั้น ถ้าแม้นว่า บรรดาสัตว์เดียรัจฉานชนิด ๔ เท้ามีเหี้ย แมวและตะกวดเป็นต้น เดียรัจฉานบางชนิดเข้าไปนอนอยู่ในที่มีอุปจารอันเดียวกัน 
            ในเสนาสนะเป็นที่อยู่ของภิกษุ จัดเป็นการนอนร่วมเหมือนกัน. ถ้าว่ามันเข้าไปทางโพรงของหัวไม้ขื่อ (คาน) มีโพรง ที่ตั้งอยู่ข้างบนฝาแห่งปราสาทที่เขาสร้างไว้เบื้องบนเสาทั้งหลาย ซึ่งมีฝาไม่เชื่อมต่อกันกับพื้นชั้นบน แล้วนอนอยู่ภายในไม้ขื่อ ออกไปทางโพรงนั้นนั่นเอง ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนร่วมภายใต้ปราสาท. 
                 ถ้ามีช่องบนหลังคา มันเข้าไปตามช่องนั้น อยู่ภายในหลังคาแล้วออกไปทางช่องเดิมนั้นแล, เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนร่วมภายในหลังคาที่พื้นชั้นบนซึ่งมีอุปจารต่างกัน, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนที่พื้นชั้นล่าง. ถ้าพวกภิกษุขึ้นทางด้านในปราสาททั้งนั้น ใช้สอยพื้นทั้งหมด, พื้นทั้งหมดมีอุปจารเดียวกัน, เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนบนพื้นใดพื้นหนึ่ง บรรดาพื้นทั้งหมดนั้น. 
      ภิกษุผู้นอนในเสนาสนะที่มีฝาเป็นเพิง ซึ่งสร้างโดยอาการคล้ายกับสภา นกพิราบเป็นต้นเข้าไปนอนอยู่ในที่ทั้งหลาย มีเต้าที่ทำเป็นรูปสัตว์ร้ายเป็นต้น เป็นอาบัติเหมือนกัน. นกพิราบเป็นต้นนอนในภายในชายคาที่ยื่นออกไปภายนอกเครื่องล้อม (ฝาผนังกั้น) ไม่เป็นอาบัติ. 
                 ถ้าแม้นเสนาสนะ กลมหรือสี่เหลี่ยมจตุรัส มีห้องตั้ง ๑๐๐ ห้อง ด้วยแถวห้องที่มีหลังคาเดียวกัน. ถ้าพวกภิกษุเข้าไปในเสนาสนะนั้นทางประตูสาธารณะประตูหนึ่งแล้ว เลยเข้าไปในห้องทั้งหมด ซึ่งมีอุปจารห้องที่มิได้กั้นด้วยกำแพงต่างหาก, เมื่ออนุปสัมบันนอนแล้วแม้ในห้องหนึ่ง ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหลายผู้นอนในทุกๆ ห้อง. 
                ถ้าห้องทั้งหลายมีหน้ามุข และหน้ามุขไม่ได้มุงข้างบน, ถ้าแม้นเป็นที่มีพื้นที่สูง, อนุปสัมบันนอนที่หน้ามุข ไม่ทำให้เป็นอาบัติแก่ภิกษุทั้งหลายผู้นอนในห้อง. แต่ถ้าว่า หน้ามุขมีหลังคาต่อเนื่องกันกับหลังคาแห่งห้องทีเดียว, อนุปสัมบันนอนที่หน้ามุขนั้น ทำให้เป็นอาบัติแก่ภิกษุทุกรูป, เพราะเหตุไร? เพราะเป็นห้องมุงทั้งหมด และบังทั้งหมด. 
                 จริงอยู่ เครื่องกั้นห้องนั่นแหละเป็นเครื่องกั้นหน้ามุขนั้นด้วยแล. สมจริงโดยนัยนี้แหละ ในอรรถกถาทั้งหลาย ท่านอาจารย์จึงปรับอาบัติไว้ ในซุ้มประตูทั้ง ๔ แห่งเครื่องกั้น (ฝาผนัง) โลหปราสาท. แต่คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาอันธกะว่า คำว่า ในหน้ามุขที่ไม่ได้กั้น เป็นอนาบัติ ท่านกล่าวหมายเอาหน้ามุขบนพื้น นอกจากพื้นดิน ดังนี้, 
               คำนั้น ท่านกล่าวหมายเอาห้องแถวที่มีหลังคาอันเดียวกัน ซึ่งสร้างไว้เป็นสัดส่วนต่างหาก ในแคว้นอันธกะก็คำที่ท่านกล่าวไว้ว่า บนพื้นนอกจากพื้นดิน ในอรรถกถาอันธกะนั้น ไม่มีในอรรถกถาทั้งหลายเลย ทั้งไม่สมด้วยพระบาลี. ความจริงพื้นดินแม้สูงถึง ๑๐ ศอก ก็ไม่ถึงการนับว่า เป็นเครื่องกั้นได้. 
                เพราะฉะนั้น แม้คำใดที่ท่านกล่าวประมาณแห่งพื้นดินไว้ในสิกขาบทที่ ๒ ในอันธกอรรถกถานั้น แล้วกล่าวว่า ฐาน กล่าวคือพื้นดินนั่น ชื่อว่ากั้นด้วยอุปจารเดียวกัน ดังนี้. คำนั้น บัณฑิตไม่ควรถือเอา. 
                 มหาปราสาทแม้เหล่าใด ที่มีทรวดทรงเป็นศาลาหลังเดียว ๒ หลัง ๓ หลัง และ ๔ หลัง. ภิกษุล้างเท้าในโอกาสหนึ่งแล้วเข้าไป อาจเดินเวียนรอบไปได้ในที่ทุกแห่ง. แม้ในมหาปราสาทเหล่านั้น ภิกษุย่อมไม่พ้นจากสหเสยยาบัติ ถ้าว่ามหาปราสาทเป็นที่อันเขาสร้างกำหนดอุปจารไว้ในที่นั้นๆ, เป็นอาบัติเฉพาะในที่มีอุปจารเดียวกันเท่านั้น. 
                 พวกช่างทำกำแพงกั้นในท่ามกลาง แห่งมณฑปซึ่งมีหลังคาฉาบปูนขาว ประกอบด้วยประตู ๒ ช่อง อนุปสัมบันเข้าไปทางประตูหนึ่งนอนอยู่ในเขตหนึ่ง และภิกษุนอนอยู่ในเขตหนึ่ง ไม่เป็นอาบัติ. ที่กำแพงมีช่อง แม้พอสัตว์ดิรัจฉานมีเหี้ยเป็นต้นเข้าไปได้, พวกเหี้ยนอนอยู่ในเขตหนึ่ง, ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน เพราะเรือนไม่ชื่อว่ามีอุปจารเดียวกับด้วยช่อง. ถ้าว่า พวกช่างเจาะตรงกลางกำแพง แล้วประกอบประตูไว้ เป็นอาบัติ เพราะเป็นที่มีอุปจารเดียวกัน. 
                ภิกษุทั้งหลายปิดบานประตูนั้นแล้วนอน เป็นอาบัติเหมือนกัน. เพราะการปิดประตู เรือนจะชื่อว่ามีอุปจารต่างกัน หรือประตูจะชื่อว่าไม่ใช่ประตูหามิได้เลย. เพราะบานประตูเขากระทำไว้เพื่อประโยชน์สำหรับใช้สอย ด้วยการปิดเปิดได้ตามสบาย ไม่ใช่เพื่อต้องการจะตัดการใช้สอย. ก็ถ้าว่าภิกษุทั้งหลายเอาจำพวกอิฐปิดประตูนั้นซ้ำอีก ไม่จัดว่าเป็นประตู ย่อมตั้งอยู่ในภาวะที่มีอุปจารต่างๆ กัน ตามเดิมนั่นแล. 
                 เรือนเจดีย์มีหน้ามุขยาว บานประตูบานหนึ่งอยู่ด้านใน, บานหนึ่งอยู่ด้านนอก, อนุปสัมบันนอนในระหว่างประตูทั้ง ๓ ย่อมทำให้เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนภายในเรือนเจดีย์ เพราะมีอุปจารเดียวกัน. 
                มีคำทักท้วงว่า ในคำว่า ทีฆมุขํ เป็นต้นนั้น อาจารย์ผู้ท้วงท่านใดพึงมีความประสงค์ดังนี้ว่า ชื่อว่า ความเป็นที่มีอุปจารเดียวกัน และมีอุปจารต่างกันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในอุทโทสิตสิกขาบท, แต่ในสิกขาบทนี้
 พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำเพียงเท่านี้ว่า ที่ชื่อว่าที่นอน ได้แก่ที่นอนอันเขามุงทั้งหมด บังทั้งหมด มุงโดยมาก บังโดยมาก ดังนี้เท่านั้น, และห้องที่ปิดประตูแล้ว จัดว่าบังทั้งหมดเหมือนกัน เพราะเหตุนั้น ในเรือนแห่งเจดีย์นั้น จึงเป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนร่วมกับอนุปสัมบัน ผู้นอนภายในเท่านั้น, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนร่วมกับอนุปสัมบันผู้นอนภายนอก. 
                 อาจารย์ผู้ท้วงนั้นอันสกวาทีพึงกล่าวค้านอย่างนี้ว่า ก็ในเรือนแห่งเจดีย์ที่ไม่ปิดประตู เหตุไร จึงเป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นอนร่วมกับอนุปสัมบันผู้นอนในภายนอกเล่า? 
                 อาจารย์ผู้ท้วง จะพึงเฉลยว่า เพราะหน้ามุขกับห้องเป็นที่มุงทั้งหมด. 
                 สกวาทีถามว่า ก็เมื่อปิดห้องแล้ว หลังคารื้อออกได้หรือ? 
                 อาจารย์ผู้โจทก์เฉลยว่า รื้อออกไม่ได้, เพราะหน้ามุขกับห้องบังทั้งหมด จึงรื้อไม่ได้. &@ สกวาทีถามว่า ผนังกั้น (หน้ามุข) รื้อออกได้หรือ? 
                 อาจารย์ผู้โจทก์จักกล่าวแน่นอนว่า รื้อออกไม่ได้ (เพราะ) อุปจารกั้นไว้ด้วยบานประตู. อาจารย์ผู้โจทก์จักดำเนินไปไกลแสนไกล โดยนัยอย่างนี้ แล้วจักวกกลับมาหาความมีอุปจารเดียวกัน และอุปจารต่างกันนั่นแหละอีก. 
                 อีกนัยหนึ่ง ถ้าหากว่า เนื้อความจะพึงเป็นอันเข้าใจได้ง่ายด้วยเหตุสักว่าพยัญชนะอย่างเดียวไซร้, ที่นอนมุงด้วยเครื่องมุง ๕ ชนิด ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น จึงจะจัดเป็นที่นอนได้ ตามพระบาลีที่ว่า มุงทั้งหมด,
 ที่นอนมุงด้วยเครื่องมุงอย่างอื่นไม่ใช่. และเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ไม่พึงเป็นอาบัติในที่นอนซึ่งมุงด้วยไม้กระดานเป็นต้น. เพราะไม่มีความเป็นอาบัตินั้น สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้เพื่อประโยชน์อันใด, ประโยชน์อันนั้นนั่นแหละ พึงเสียไป. จะเสียประโยชน์อันนั้นไปหรือหาไม่ก็ตามที ทำไมจะไปถือเอาคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้เล่า? หรือว่าใครเล่ากล่าวว่า ควรเชื่อถือถ้อยคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสไว้. 
                 จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำนี้ไว้ในอนิยตสิกขาบททั้งสองว่า อาสนะ ที่ชื่อว่ากำบัง คือเป็นอาสนะที่เขากำบังด้วยฝา บานประตู เสื่อลำแพน ม่านบัง ต้นไม้ เสาหรือฉาง อย่างใดอย่างหนึ่ง๑- ดังนี้. 
                 เพราะฉะนั้น ในอนิยตสิกขาบทนั้น ท่านถือเอาอาสนะที่เขากำบังด้วยวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง ฉันใด, ถึงในสิกขาบทนี้ บัณฑิตก็พึงถือเอาเสนาสนะนั้น ฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น เสนาสนะใดๆ จะเล็กหรือใหญ่ก็ตามที เกี่ยวเนื่องหรือไม่เกี่ยวเนื่องด้วยวัตถุอื่น ยาวหรือกลมหรือ ๔ เหลี่ยมจตุรัสก็ตาม มีพื้นชั้นเดียวหรือมีพื้นมากชั้นก็ตาม ซึ่งมีอุปจารเดียวกัน, เป็นสหเสยยาบัติในเสนาสนะนั้นๆ ทั้งหมด ซึ่งมุงทั้งหมด บังทั้งหมด หรือมุงโดยมาก ด้วยเครื่องกำบังอย่างใดอย่างหนึ่งแล. 
                 ในคำว่า มุงกึ่งหนึ่ง บังกึ่งหนึ่ง ต้องทุกกฏ นี้ ในมหาปัจจรีก็กล่าวว่า เป็นทุกกฏเหมือนกัน แม้ในคำมีอาทิอย่างนี้ว่า มุงทั้งหมด บังกึ่งหนึ่ง. แต่ในมหาอรรถกถากล่าวว่า ในเสนาสนะที่มุงทั้งหมด บังโดยมาก เป็นปาจิตตีย์, ในเสนาสนะมุงทั้งหมด บังกึ่งหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์, มุงโดยมาก บังกึ่งหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์, บังทั้งหมด มุงโดยมาก เป็นปาจิตตีย์, บังทั้งหมด มุงกึ่งหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์, บังโดยมาก มุงกึ่งหนึ่ง เป็นปาจิตตีย์, เป็นปาจิตตีย์ ๗ ตัว รวมกับปาจิตตีย์ที่ตรัสไว้ในบาลี. 
                 (ในมหาอรรถกถา) กล่าวว่า ในเสนาสนะมุงทั้งหมด บังเล็กน้อย เป็นทุกกฏ, มุงโดยมาก บังเล็กน้อย เป็นทุกกฏ, บังทั้งหมด มุงเล็กน้อย เป็นทุกกฏ, บังโดยมาก มุงเล็กน้อย เป็นทุกกฏ, เป็นอนาบัติ ๕ ตัว รวมกับทุกกฏในบาลี,
                ในเสนาสนะที่มุงกึ่งหนึ่ง บังเล็กน้อย เป็นอนาบัติ, บังกึ่งหนึ่ง มุงเล็กน้อย เป็นอนาบัติ, มุงเล็กน้อย บังเล็กน้อย เป็นอนาบัติ. 
                 ก็ในคำว่า ในสถานที่มุงทั้งหมด ไม่บังทั้งหมด นี้ ท่านกล่าวว่า มีความประสงค์เอาเปนัมพมณฑปวรรณ. พื้นดินย่อมไม่ถึงอันนับว่าเป็นผนังกั้นได้ ฉันใด, แม้ด้วยคำว่า ในที่มุงทั้งหมด ไม่บังทั้งหมด นี้ บัณฑิตก็พึงทราบคำว่า พื้นดิน ไม่ถึงอันนับว่าเป็นผนังกั้นได้ นี้ฉันนั้น. 
                 บทที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจเอฬกโลมสิกขาบท เกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล. 
 ๑- วิ. มหาวิ. เล่ม ๑/ข้อ ๖๓๕/หน้า ๔๓๓ 
 สหเสยยสิกขาบทที่ ๕ จบ.

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๔ เรื่องพระฉัพพัคคีย์ [ว่าด้วย สอนธรรมว่าพร้อมกัน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
             [๒๘๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบท พวกอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่.
             บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบท เหล่าอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ข่าวว่า พวกเธอยังเหล่าอุบาสก ให้กล่าวธรรมโดยบท, เหล่าอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่ จริงหรือ?
             พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอ จึงได้ยังเหล่าอุบาสกให้กล่าวธรรมโดยบทเล่า พวกอุบาสกจึงไม่เคารพ ไม่ยำเกรง ไม่ประพฤติให้ถูกอัธยาศัยในหมู่ภิกษุอยู่, 
ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย
 การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ             ๕๓. ๔. อนึ่ง ภิกษุใดยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท เป็นปาจิตตีย์. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ
สิกขาบทวิภังค์
             [๒๘๕] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ...           
          บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ, ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ ยกเว้นภิกษุ ภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน.
             [๒๘๖] ที่ชื่อว่า โดยบท ได้แก่ บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.
             ที่ชื่อว่า บท คือ ขึ้นต้นพร้อมกัน ให้จบลงพร้อมกัน.
             ที่ชื่อว่า อนุบท คือ ขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน.
             ที่ชื่อว่า อนุอักขระ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบันกล่าวพร้อมกันว่า รู ดังนี้ แล้วหยุด.
             ที่ชื่อว่า อนุพยัญชนะ คือ ภิกษุสอนว่า รูปํ อนิจฺจํ อนุปสัมบันเปล่งเสียงรับว่าเวทนา อนิจฺจา.
             บท ก็ดี อนุบท ก็ดี อนุอักขระ ก็ดี อนุพยัญชนะ ก็ดี ทั้งหมดนั้น ชื่อว่าธรรมโดยบท.
             ที่ชื่อว่า ธรรม ได้แก่บาลีที่เป็นพุทธภาษิต สาวกภาษิต อิสิภาษิต เทวตาภาษิต ซึ่งประกอบด้วยอรรถ ประกอบด้วยธรรม.
             บทว่า ให้กล่าว คือ ให้กล่าวโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ บท ให้กล่าวโดยอักขระ, ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ อักขระ.
บทภาชนีย์
ติกปาจิตตีย์            [๒๘๗] อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อนุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             อนุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ             อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอนุสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ.
             อุปสัมบัน ภิกษุสงสัย ให้กล่าวธรรมโดยบท ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ             อุปสัมบัน ภิกษุสำคัญว่าเป็นอุปสัมบัน ให้กล่าวธรรมโดยบท ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
             [๒๘๘] ภิกษุให้สวดพร้อมกัน ๑ ท่องพร้อมกัน ๑ อนุปสัมบันผู้กล่าวอยู่ สวดอยู่ซึ่งคัมภีร์ที่คล่องแคล่วโดยมาก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.
อรรถกถา     ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ 
         มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๔  
           มุสาวาทวรรค ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔  
           พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๔ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถบางปาฐะว่าด้วยการสอนธรรมโดยบท]  
               บทว่า อปฺปติสฺสา ได้แก่ ไม่ยำเกรง. 
               อธิบายว่า เมื่อพวกภิกษุฉัพพัคคีย์กล่าวว่า ดูก่อนอุบาสกทั้งหลาย! แม้ถ้อยคำก็ไม่อยากฟัง คือไม่เอื้อเฟื้อ.  
               อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ไม่มีความยำเกรง ไม่ประพฤติอ่อนน้อม. 
               บทว่า อสภาควุตฺติกา ได้แก่ ผู้มีความเป็นอยู่ไม่ถูกส่วนกัน.  
               อธิบายว่า ผู้มีความประพฤติไม่ดำเนินไปเหมือนอย่างที่พวกอุบาสกควรประพฤติในหมู่ภิกษุ.  
               คำว่า ปทโส ธมฺมํ วาเจยฺย ความว่า ให้กล่าวธรรมเป็นบทๆ รวมกัน (กับอนุปสัมบัน). อธิบายว่า ให้กล่าว (ธรรม) เป็นโกฏฐาสๆ (เป็นส่วนๆ). ก็เพราะบทที่มีชื่อว่าโกฏฐาสนั้นมีอยู่ ๔ อย่าง ฉะนั้น เพื่อแสดงบททั้ง ๔ อย่างนั้น พระอุบาลีเถระจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า บท อนุบท อนุอักขระ อนุพยัญชนะ.
               บรรดาบทเป็นต้นนั้น บท หมายเอาคาถาบาทหนึ่ง. อนุบท หมายเอาบาทที่สอง. อนุอักขระ หมายเอาอักขระตัวหนึ่งๆ (หมายเอาอักขระแต่ละตัว). อนุพยัญชนะ หมายเอาพยัญชนะตัวท้ายคล้ายกับพยัญชนะตัวต้น.  
               ผู้ศึกษาพึงทราบความต่างกันในบทเป็นต้นนั่นอย่างนี้ คือ อักขระแต่ละตัวชนิดใดชนิดหนึ่ง ชื่อว่า อนุอักขระ, ประชุมอักขระ ชื่อว่า อนุพยัญชนะ, ประชุมอักขระและอนุพยัญชนะ ชื่อว่า บท, บทแรก ชื่อว่า บทเหมือนกัน, บทที่สอง ชื่อว่า อนุบท.
               บัดนี้ บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในคำว่า ปทํ นาม เอกโต ปฏฺฐเปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป :- 
                เมื่อภิกษุให้กล่าวธรรม เนื่องด้วยคาถา เริ่มบทแต่ละบทนี้ว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา พร้อมกันกับอนุปสัมบัน แล้วให้จบลงก็พร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนบท. 
                พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุปทํ นาม ปาเฏกฺกํ ปฏฺฐเปตฺวา เอกโต โอสาเปนฺติ ต่อไป :- 
                เมื่อพระเถระกล่าวว่า มโนปุพฺพงฺคมา ธมฺมา ดังนี้ สามเณรกล่าวบทนั้นไม่ทัน จึงกล่าวบทที่สองพร้อมกันว่า มโนเสฏฺฐา มโนมยา. ภิกษุและสามเณรทั้งสองรูปนี้ ชื่อว่าขึ้นต้นต่างกัน ให้จบลงพร้อมกัน. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนอนุบท. 
                พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนฺวกฺขรํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน รูติ โอปาเตติ ต่อไป :- 
                ภิกษุสอนสามเณรว่า แน่ะสามเณร! เธอจงว่า รูปํ อนิจฺจํ กล่าวพร้อมกันเพียงรู-อักษรเท่านั้น แล้วหยุดอยู่. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ ก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนอนุอักขระ. และแม้ในคาถาพันธ์ บัณฑิตก็ย่อมได้นัยเช่นนี้เหมือนกันแท้ทีเดียว. 
                พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อนุพฺยญฺชนํ นาม รูปํ อนิจฺจนฺติ วุจฺจมาโน เวทนา อนิจฺจาติ สทฺทํ นิจฺฉาเรติ ต่อไป :- 
                สามเณรให้บอกสูตรนี้ว่า รูปํ ภิกฺขเว อนิจฺจํ เวทนา อนิจฺจา เป็นต้น พระเถระบอกว่า รูปํ อนิจฺจํ ดังนี้ เปล่งวาจากล่าวอนิจจบทนี้ว่า เวทนา อนิจฺจา พร้อมกับอนิจจบทของพระเถระว่า รูปํ อนิจฺจํ นี้ เพราะเป็นผู้มีปัญญาว่องไว. แม้สำหรับภิกษุผู้ให้กล่าวอย่างนี้ พระวินัยธรก็พึงปรับปาจิตตีย์หลายตัวตามจำนวนอนุพยัญชนะ.                 ส่วนความสังเขปในบทเหล่านี้มีดังนี้ว่า บรรดาบทเป็นต้นนี้ ภิกษุกล่าวบทใดๆ พร้อมกันย่อมต้องอาบัติด้วยบทนั้นๆ.  
               [ว่าด้วยภาษิต ๔ มีพุทธภาษิตเป็นต้น] 
วินัยปิฎกทั้งสิ้น อภิธรรมปิฎก ธรรมบท จริยาปิฎก อุทาน อิติวุตตกะ ชาตกะ สุตตนิบาต วิมานวัตถุ เปตวัตถุและพระสูตรทั้งหลายมีพรหมชาลสูตรเป็นต้น ชื่อว่าพุทธภาษิต. 
                ธรรมที่พวกสาวกผู้นับเนื่องในบริษัท ๔ ภาษิตไว้ มีอนังคณสูตร สัมมาทิฏฐิสูตร อนุมานสูตร จูฬเวทัลลสูตร มหาเวทัลลสูตรเป็นต้น ชื่อว่าสาวกภาษิต. 
                ธรรมที่พวกปริพาชกภายนอกกล่าวไว้ มีอาทิอย่างนี้ คือ ปริพาชกวรรคทั้งสิ้น คำปุจฉาของพราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์ ชื่อพาวรี ชื่อว่าอิสิภาษิต. 
                ธรรมที่พวกเทวดากล่าวไว้ ชื่อว่า เทวตาภาษิต. 
                เทวตาภาษิตธรรมนั้น บัณฑิตพึงทราบด้วยอำนาจแห่งเรื่องมีเทวตาสังยุตต์ เทวปุตตสังยุตต์ มารสังยุตต์ พรหมสังยุตต์ และสักกสังยุตต์เป็นต้น. 
                บทว่า อตฺถูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยอรรถกถา. 
                บทว่า ธมฺมูปสญฺหิโต ได้แก่ ธรรมที่อาศัยพระบาลี. 
                แม้ด้วยบททั้งสองนี้ พระอุบาลีเถระกล่าวธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฏฏะนั่นเอง. จะกล่าวถึงธรรมที่อาศัยนิพพานซึ่งปราศจากวัฏฏะ แม้ก็จริง, ถึงกระนั้น ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ให้กล่าวธรรมที่ขึ้นสู่สังคีติทั้ง ๓ คราว โดยบทเหมือนกัน. ไม่เป็นอาบัติแม้ในคำที่อาศัยพระนิพพาน ซึ่งท่านรจนาไว้โดยผูกเป็นคาถาโศลกเป็นต้น ด้วยอำนาจภาษาต่างๆ. 
                แม้ในสูตรที่ไม่ได้ยกขึ้นสู่สังคีติ ๓ คราว เช่นนี้ คือ กุลุมพสูตร ราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตรและนันโทปนันทสูตร ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน ถึงการทรมานพญานาค ชื่อว่าอปลาละ อาจารย์ก็กล่าวไว้ (ด้วยอำนาจก่อให้เกิดอาบัติ), แต่ในมหาปัจจรีท่านปฏิเสธ (อธิบายว่าไม่เป็นอาบัติ). 
                ในปฏิภาณส่วนตัวของพระเถระ ในเมณฑกมิลินทปัญหา ไม่เป็นอาบัติ. (แต่) เป็นอาบัติในถ้อยคำที่พระเถระนำมากล่าว เพื่อให้พระราชาทรงยินยอม. 
                อาจารย์ทั้งหลายกล่าวว่า ก็ปกรณ์ทั้งหลายมีอาทิ คือ วัณณปิฎก อังคุลิมาลปิฎก รัฐปาลครรชิต อาลวกครรชิต คุฬหอุมมังคะ คุฬหเวสสันดร คุฬหวินัย เวทัลลปิฎก๑- เป็นต้น ไม่เป็นพุทธพจน์แท้. 
                อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ธรรมชื่อว่า สีลูปเทส พระธรรมเสนาบดีกล่าวไว้, ในธรรมนั้น เป็นอาบัติเหมือนกัน ยังมีปกรณ์แม้อื่น เช่น มัคคกถา อารัมมณกถา วุฑฒิกรัณฑกญาณวัตถุ และอสุภกถาเป็นต้น, ในปกรณ์เหล่านั้น ท่านจำแนกโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ไว้. ในธุดงคปัญหา ท่านจำแนกปฏิปทาไว้, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า เป็นอาบัติในปกรณ์เหล่านั้น. 
                 แต่ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้นท่านกล่าวอนาบัติไว้ ในจำพวกราโชวาทสูตร ติกขินทริยสูตร จตุปริวัตตสูตร นันโทปนันทสูตร กุลุมพสูตร๑- นั่นแล ซึ่งไม่ขึ้นสู่สังคีติ แล้วกำหนดอรรถไว้ดังนี้ว่า บรรดาคำที่เหลือ เฉพาะคำที่ท่านนำมาจากพุทธพจน์กล่าวไว้เท่านั้น เป็นวัตถุแห่งอาบัติ นอกจากนี้ หาเป็นไม่. 
                คำว่า เอกโต อุทฺทิสาเปนฺโต มีความว่า ภิกษุแม้เรียนบาลีร่วมกับอนุปสัมบันกล่าวพร้อมกัน ไม่เป็นอาบัติ. 
                 ในคำนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- 
                 อุปสัมบันกับอนุปสัมบันนั่นแล้ว ขอให้อาจารย์สวด, อาจารย์คิดว่า เราจะสวดแก่อุปสัมบันและอนุปสัมบัน ทั้งสองผู้นั่งแล้ว จึงสวดพร้อมกันกับเธอเหล่านั้น. เป็นอาบัติแก่อาจารย์ เป็นอนาบัติแก่ภิกษุผู้เรียนเอาพร้อมกับอนุปสัมบัน. แม้อุปสัมบันกับอนุปสัมบันทั้งสองยืนเรียนอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน, ภิกษุหนุ่มนั่ง สามเณรยืน, ไม่เป็นอาบัติแก่อาจารย์ผู้บอก ด้วยคิดว่า เราจะกล่าวแก่ภิกษุผู้นั่ง. ถ้าภิกษุหนุ่มยืน ฝ่ายสามเณรนั่ง ไม่เป็นอาบัติแม้แก่อาจารย์ผู้กล่าวอยู่ ด้วยคิดว่า เราจะกล่าวแก่ภิกษุผู้ยืน. 
                 ถ้าสามเณรรูปหนึ่งนั่งอยู่ในระหว่างภิกษุมากรูป เป็นอจิตตกาบัติแก่อาจารย์ผู้ให้กล่าวธรรมโดยบทในเพราะสามเณรนั่งอยู่ด้วย. 
                 ถ้าสามเณรยืนหรือนั่งละอุปจารเสีย เพราะสามเณรไม่นับเนื่องอยู่ในพวกภิกษุที่อาจารย์ให้กล่าว (ธรรมโดยบท) เธอจึงถึงการนับว่า เรียนเอาคัมภีร์เล็ดลอดออกไปโดยทิศาภาคหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ (แก่อาจารย์) 
 ๑- เป็นพระสูตรฝ่ายมหายาน ของเราไม่มี. - ผู้ชำระ. 
                 คำว่า เอกโต สชฺฌายํ กโรนฺโต มีความว่า อุปสัมบันเมื่อกระทำการสาธยายร่วมกันกับอนุปสัมบัน สวดพร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้นแล ไม่เป็นอาบัติ. แม้ภิกษุเรียนอุเทศในสำนักแห่งอนุปสัมบัน สวดร่วมกับอนุปสัมบันนั้น ก็ไม่เป็นอาบัติ. เพราะว่า แม้อุปสัมบันนี้ก็ถึงอันนับว่า กระทำสาธยายพร้อมกันแท้. 
                คำว่า เยภุยฺเยน ปคุณํ คณฺฐํ ภณนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า ถ้าในคาถาเดียวกัน บาทหนึ่งๆ ยังจำไม่ได้ ที่เหลือจำได้ นี้ชื่อว่าคัมภีร์ที่คล่องแคล่ว โดยมาก. แม้ในพระสูตร ผู้ศึกษาก็พึงทราบโดยนัยนี้. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ทักให้คัณฐะนั้นค้างอยู่ จึงสวดแม้พร้อมกันด้วยกล่าวว่า เธอจงสวดอย่างนี้. 
                สองบทว่า โอสาเรนฺตํ โอปาเตติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กล่าวกะอนุปสัมบันผู้สวดสูตรวกวนอยู่ ในท่ามกลางบริษัทว่า เธอจงสวดอย่างนี้ แล้วสวดแม้พร้อมกันกับอนุปสัมบันนั้น. ก็คำใดที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้นว่า ภิกษุผู้อันอนุปสัมบันกล่าวว่า ท่านอย่าสวดกับผม ถ้าสวดเป็นอนาบัติ ดังนี้. 
 คำนั้นไม่มีในมหาอรรถกถา. ก็ภาวะแห่งคำที่ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้นนั้นไม่มีเลย ถูกแล้ว (ก็ความที่อาบัติไม่มีแก่ภิกษุนั้นเลย ถูกแล้ว). เพราะเหตุไร? เพราะอาบัติเกิดจากการกระทำ. แต่เมื่อมีการถือเอาอรรถนอกนี้ สิกขาบทนี้จะพึงเป็นทั้งกิริยาทั้งอกิริยา. 
                 บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีธรรมโดยบทเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางวาจา ๑ วาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
 ปทโสธัมมสิกขาบทที่ ๔ จบ.

04 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๓ [ว่าด้วย พูดส่อเสียด] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์ 
       [๒๕๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
      ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้,
       ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น, เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น.  
      บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุ ผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้แล้ว บอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้ ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็รุนแรงยิ่งขึ้น แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
      ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
ข่าวว่า พวกเธอเก็บเอา คำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้, ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ เพื่อทำลายฝ่ายโน้น, เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้นจริงหรือ? 
พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท      พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉนพวกเธอจึงได้เก็บเอาคำส่อเสียดของพวกภิกษุผู้ก่อความบาดหมาง เกิดทะเลาะ ถึงวิวาทกัน ไปบอก คือฟังคำของฝ่ายนี้ แล้วบอกแก่ฝ่ายโน้น เพื่อทำลายฝ่ายนี้, ฟังคำของฝ่ายโน้น แล้วบอกแก่ฝ่ายนี้ 
   เพื่อทำลายฝ่ายโน้น เพราะเหตุนั้น ความบาดหมางที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้วก็รุนแรงยิ่งขึ้น การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว  
     ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ ๕๒. ๓. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะส่อเสียดภิกษุ. เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ. สิกขาบทวิภังค์ 
       [๒๕๖] ที่ชื่อว่า ส่อเสียด ขยายความว่า วัตถุสำหรับเก็บมาส่อเสียด มีได้ด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ ของคนผู้ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ของคนผู้ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑. 
       ภิกษุเก็บเอาวัตถุสำหรับส่อเสียดมากล่าวโดยอาการ ๑๐ อย่าง คือ ชาติ ๑ ชื่อ ๑ โคตร ๑ การงาน ๑ ศิลปะ ๑ โรค ๑ รูปพรรณ ๑ กิเลส ๑ อาบัติ ๑ คำด่า ๑.
 บทภาชิณีย์ ที่ชื่อว่า ชาติ ได้แก่กำเนิด มี ๒ คือ กำเนิดทราม ๑ กำเนิดอุกฤษฏ์ ๑. krr ที่ชื่อว่า กำเนิดทราม ได้แก่กำเนิดคนจัณฑาล กำเนิดคนจักสาน กำเนิดพราน กำเนิดคนช่างหนัง กำเนิดคนเทดอกไม้ นี่ชื่อว่ากำเนิดทราม. 
     ที่ชื่อว่า กำเนิดอุกฤษฏ์ ได้แก่กำเนิดกษัตริย์ กำเนิดพราหมณ์ นี่ชื่อว่า กำเนิด อุกฤษฏ์ ฯลฯ ๑- 
              ที่ชื่อว่า คำด่า ได้แก่คำด่ามี ๒ คำ คำด่าทราม ๑ คำด่าอุกฤษฏ์ ๑. 
            ที่ชื่อว่า คำด่าทราม ได้แก่คำด่าว่า เป็นอูฐ เป็นแพะ เป็นโค เป็นลา เป็นสัตว์ดิรัจฉาน เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, คำด่าที่เกี่ยวด้วยยะอักษรภะอักษร, หรือนิมิตของชายและนิมิตของหญิง นี่ชื่อว่า คำด่าทราม.  
 ๑. ที่ ฯลฯ ไว้นี้ หมายถึงนาม โคตรเป็นต้น พึงดูในสิกขาบทที่ ๒ ข้อ ๑๘๘ ถึง ๑๙๕ @หน้า ๒๕-๒๗ 
    ที่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์ ได้แก่คำด่าว่า เป็นบัณฑิต เป็นคนฉลาด เป็นนักปราชญ์ เป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, นี่ชื่อว่า คำด่าอุกฤษฏ์. 
 อุปสัมบันส่อเสียดอุปสัมบัน พูดเหน็บแนมกระทบชาติทราม [๒๕๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นชาติคนจัณฑาล, ชาติคนจักสาน,  ชาติพราน, ชาติคนช่างหนัง,  ชาติคนเทดอกไม้. ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ [๒๕๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป-สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นชาติกษัตริย์, เป็นชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่อทราม [๒๕๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อว่าอวกัณณกะ,  ชื่อชวกัณณกะ,  ชื่อธนิฏฐกะ, ชื่อสวิฏฐกะ,   ชื่อกุลวัฑฒกะ,  ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์ [๒๖๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียด ไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า ชื่อพุทธรักขิต,  ชื่อธัมมรักขิต,  ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรทราม [๒๖๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโกสิยโคตร ภารทวาชโคตร ดังนี้เป็นต้น, ต้อง อาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์ [๒๖๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโคตมโคตร, โมคคัลลานโคตร,  กัจจายนโคตร,  วาเสฏฐโคตร, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานทราม [๒๖๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานช่างไม้,  เป็นคนทำงานเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์ [๒๖๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนทำงานไถนา, . ทำงานค้าขาย,  ทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปะทราม [๒๖๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างจักสาน, มีวิชาการช่างหม้อ,  มีวิชา การช่างหูก,  มีวิชาการช่างหนัง,  มีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ [๒๖๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป-สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า มีวิชาการช่างนับ,  มีวิชาการช่างคำนวณ,  มีวิชา การช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโรคทราม [๒๖๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเรื้อน,  โรคฝี,  โรคกลาก,  โรคมองคร่อ, โรคลมบ้าหมู, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์ [๒๖๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโรคเบาหวาน, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติ ปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม [๒๖๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนสูงเกินไป,   ต่ำเกินไป,  ดำเกินไป,   ขาวเกินไป, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ [๒๗๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นคนไม่สูงนัก,  ไม่ต่ำนัก,  ไม่ดำนัก,  ไม่ขาวนัก, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม [๒๗๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ถูกราคะกลุ้มรุม,   ถูกโทสะย่ำยี,   ถูกโมหะ ครอบงำ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ [๒๗๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ปราศจากราคะ,  ปราศจากโทสะ,  ปราศจาก โมหะ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติทราม [๒๗๓] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก,  อาบัติสังฆาทิเสส,  อาบัติถุลลัจจัย, อาบัติปาจิตตีย์,  อาบัติปาฏิเทสนียะ,  อาบัติทุกกฏ,  อาบัติทุพภาสิต, ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ [๒๗๔] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นโสดาบัน ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม [๒๗๕] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นอูฐ,   เป็นแพะ,  เป็นโค, เป็นลา, เป็นสัตว์ดิรัจฉาน  เป็นสัตว์นรก, สุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่ทุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ [๒๗๖] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเหน็บแนมท่านว่า เป็นบัณฑิต,  เป็นคนฉลาด,  เป็นคนมีปัญญา,  เป็นพหูสูต,   เป็นธรรมกถึก, ทุคติของท่านไม่มี, ท่านต้องหวังได้แต่สุคติ, ดังนี้เป็นต้น ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม
[๒๗๗] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติคน จัณฑาล,  เป็นชาติคนจักสาน,  เป็นชาติพราน,  เป็นชาติคนช่างหนัง, เป็นชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์
[๒๗๘] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่ อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นชาติกษัตริย์, ชาติพราหมณ์, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่อทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่ออวกัณณกะ,  ชื่อ ชวกัณณกะ,  ชื่อธนิฏฐกะ,  ชื่อสวิฏฐกะ,  ชื่อกุลวัฑฒกะ, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชื่ออุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกชื่อพุทธรักขิต, ชื่อธัมมรักขิต,  ชื่อสังฆรักขิต, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโกสิยโคตร  เป็นภาร ทวาชะโคตร ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโคตรอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโคตมโคตร,  บางพวก เป็นโมคคัลลานโคตร, บางพวกเป็นกัจจายนโคตร, บางพวกเป็นวาเสฏฐโคตร, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่านดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานช่างไม้,  เป็นคนทำงานเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นคนทำงานไถนา, เป็นคนทำงานค้าขาย, เป็นคนทำงานเลี้ยงโค, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปะทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างจักสาน,  มีวิชาการช่างหม้อ,  มีวิชาการช่างหูก, มีวิชาการช่างหนัง,  มีวิชาการช่างกัลบก, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบศิลปะอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีวิชาการช่างนับ,  มีวิชา การช่างคำนวณ,  มีวิชาการช่างเขียน, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเรื้อน, โรคฝี,  โรคกลาก, โรคมองคร่อ,  โรคลมบ้าหมู, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง- อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบโรคอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโรคเบาหวาน,  ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกสูงเกินไป, ต่ำเกินไป, ดำเกินไป, ขาวเกินไป, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกไม่สูงนัก,  ไม่ต่ำนัก,  ไม่ดำนัก, ไม่ขาวนัก, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบกิเลสทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกถูกราคะกลุ้มรุม,  ถูกโทสะย่ำยี, ถูกโมหะครอบงำ,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น, ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกปราศจากราคะ, ปราศจาก โทสะ, ปราศจากโมหะ,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกต้องอาบัติปาราชิก, อาบัติ สังฆาทิเสส, อาบัติถุลลัจจัย,  อาบัติปาจิตตีย์,  อาบัติปาฏิเทสนียะ,  อาบัติทุกกฏ, อาบัติทุพภาสิต, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์
อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นโสดาบัน, .ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาททราม อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกมีความประพฤติดังอูฐ,  ดังแพะ, ดังโค,  ดังลา,  ดังสัตว์ดิรัจฉาน, ดังสัตว์นรก, สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ [๒๗๙] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า มีภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ บางพวกเป็นบัณฑิต,  เป็นคนฉลาด,  เป็นคนมีปัญญา, เป็นพหูสูต,  เป็นธรรมกถึก, ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี, ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบชาติทราม [๒๘๐] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติคนจัณฑาล, ชาติคนจักสาน,  ชาติพราน,  ชาติคนช่างหนัง,  ชาติคนเทดอกไม้, ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นชาติกษัตริย์,  ชาติพราหมณ์, ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบชื่อทราม อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่ออวกัณณกะ,  ชื่อชวกัณณกะ  ชื่อธนิฏฐกะ, ชื่อสวิฏฐกะ,  ชื่อกุลวัฑฒกะ,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ชื่อพุทธรักขิต, ... ชื่อธัมมรักขิต,  ชื่อสังฆรักขิต,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบโคตรทราม  ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโกสิยโคตร,  ภารทวาชโคตร,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์  ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโคตมโคตร,  โมคคัลลานโคตร,  กัจจายนโคตร, วาเสฏฐโคตร, . ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบการงานทราม   ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นช่างไม้,  คนเทดอกไม้,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบการงานอุกฤษฏ์  ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นคนทำงานไถนา,  เป็นคนทำงานค้าขาย,  เป็นคนทำงาน เลี้ยงโค,  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบศิลปะทราม .ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างจักสาน  มีวิชาการช่างหม้อ  มีวิชาการช่างหูก  มีวิชาการช่างหนัง  มีวิชาการช่างกัลบก ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้อง อาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์   ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีวิชาการช่างนับ  มีวิชาการช่างคำนวณ  มีวิชาการช่างเขียน  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบโรคทราม  ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเรื้อน  โรคฝี  โรคกลาก,. โรคมองคร่อ  โรคลม บ้าหมู  ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์  ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโรคเบาหวาน   ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ สูงเกินไป ... ต่ำเกินไป ... ดำเกินไป ... ขาวเกินไป ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ไม่สูงนัก ... ไม่ต่ำนัก ... ไม่ดำนัก ... ไม่ขาวนัก ... ภิกษุนั้นไม่ ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ถูกราคะกลุ้มรุม ... ถูกโทสะย่ำยี ... ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ปราศจากราคะ ... ปราศจากโทสะ, ... ปราศจากโมหะ, ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ ต้องอาบัติปาราชิก ... อาบัติสังฆาทิเสส ... อาบัติถุลลัจจัย ... อาบัติปาจิตตีย์ ... อาบัติปาฏิเทสนียะ ... อาบัติทุกกฏ ... อาบัติทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่า คนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นโสดาบัน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยเหน็บแนมกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... ภิกษุจำพวกไรกันแน่ เป็นบัณฑิต ... เป็นคนฉลาด ... เป็นคนมีปัญญา ... เป็น พหูสูต, ... เป็นธรรมกถึก ทุคติของภิกษุพวกนั้นไม่มี ภิกษุพวกนั้นต้องหวังได้แต่สุคติ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติทราม [๒๘๑] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุป- *สัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติคนจัณฑาล ... ไม่ใช่ชาติคนจักสาน ... ไม่ใช่ชาติพราน ... ไม่ใช่ชาติคนช่างหนัง ... ไม่ใช่ชาติคนเทดอกไม้ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้น ไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยเหน็บแนมกระทบชาติอุกฤษฏ์ อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชาติกษัตริย์ ... ไม่ใช่ชาติพราหมณ์ ดังนี้เป็นต้น ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบชื่อทราม อนุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันว่า ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่ออวกัณณกะ ... ไม่ใช่ชื่อชวกัณณกะ ... ไม่ใช่ ชื่อธนิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อสวิฏฐกะ ... ไม่ใช่ชื่อกุลวัฑฒกะ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบชื่ออุกฤษฏ์ ... ภิกษุชื่อนี้ พูดเปรยเหน็บแนมว่า พวกเราไม่ใช่ชื่อพุทธรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อธัมมรักขิต ... ไม่ใช่ชื่อสังฆรักขิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบโคตรทราม ... พวกเราไม่ใช่โกสิยโคตร ... ไม่ใช่ภารทวาชโคตร ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบโคตรอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่โคตมโคตร ... ไม่ใช่โมคคัลลานโคตร ... ไม่ใช่กัจจายนโคตร ... ไม่ใช่ วาเสฏฐโคตร, ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานทราม ... พวกเราไม่ใช่ช่างไม้ ... ไม่ใช่คนเทดอกไม้ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้, ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยเหน็บแนมกระทบการงานอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่คนทำงานไถนา ... ไม่ใช่คนทำงานค้าขาย ... ไม่ใช่คนทำงานเลี้ยงโค ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบศิลปะทราม ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างจักสาน ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหม้อ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหูก ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างหนัง ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างกัลบก ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบศิลปะอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่มีวิชาการช่างนับ ... ไม่ใช่มีวิชาการช่างคำนวณ ... ไม่ใช่มีวิชาการ ช่างเขียน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบโรคทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นคนโรคเรื้อน ... ไม่ใช่เป็นโรคฝี ... ไม่ใช่เป็นโรคกลาก ... ไม่ใช่เป็น โรคมองคร่อ ... ไม่ใช่เป็นโรคลมบ้าหมู ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบโรคอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นโรคเบาหวาน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบรูปพรรณทราม ... พวกเราไม่ใช่สูงเกินไป ... ไม่ใช่ต่ำเกินไป ... ไม่ใช่ดำเกินไป ... ไม่ใช่ขาวเกินไป ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบรูปพรรณอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ไม่สูงนัก ... ไม่ใช่ไม่ต่ำนัก ... ไม่ใช่ไม่ดำนัก ... ไม่ใช่ไม่ขาวนัก ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบกิเลสทราม ... พวกเราไม่ใช่ถูกราคะกลุ้มรุม ... ไม่ใช่ถูกโทสะย่ำยี ... ไม่ใช่ถูกโมหะครอบงำ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบกิเลสอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่ปราศจากราคะ ... ไม่ใช่ปราศจากโทสะ ... ไม่ใช่ปราศจากโมหะ ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบอาบัติทราม ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องอาบัติปาราชิก ... สังฆาทิเสส ... ถุลลัจจัย ... ปาจิตตีย์ ... ปาฏิ- *เทสนียะ ... ทุกกฏ ... ทุพภาสิต ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด 
พูดเปรยกระทบอาบัติอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นผู้ต้องโสดาบัน ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติ ทุกกฏ ทุกๆ คำพูด. 
พูดเปรยกระทบคำสบประมาททราม ... พวกเราไม่ใช่มีความประพฤติดังอูฐ ... ดังแพะ ... ดังโค ... ดังลา ... ดังสัตว์ดิรัจฉาน ... ดังสัตว์นรก สุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่ทุคติ ... ภิกษุนั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
 พูดเปรยกระทบคำสบประมาทอุกฤษฏ์ ... พวกเราไม่ใช่เป็นบัณฑิต ... ไม่ใช่เป็นคนฉลาด ... ไม่ใช่เป็นคนมีปัญญา, ... ไม่ใช่ เป็นพหูสูต ... ไม่ใช่เป็นธรรมกถึก ทุคติของพวกเราไม่มี พวกเราต้องหวังได้แต่สุคติ, ... ภิกษุ นั้นไม่ว่าคนอื่น ว่าเฉพาะท่าน ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ ทุกๆ คำพูด.
ต้องอาบัติตามวัตถุ           [๒๘๒] อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ทุกๆ คำพูด.
           อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อนุปสัมบันต้องอาบัติทุกกฏ.
           อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อุปสัมบันต้องอาบัติทุกกฏ.
           อุปสัมบันได้ยินถ้อยคำของอนุปสัมบันแล้ว เก็บเอาคำส่อเสียดไปบอกแก่อนุปสัมบันต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
           [๒๘๓] ภิกษุไม่ต้องการจะให้เขาชอบ ๑ ภิกษุไม่ประสงค์จะให้เขาแตกกัน ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
   สิกขาบทที่ ๓  มุสาวาทวรรค เปสุญญาวาท
            พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๓ ดังต่อไปนี้ :- 
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์]  
 บทว่า ภณฺฑนชาตานํ ได้แก่ ผู้เกิดบาดหมางกันแล้ว. 
 ส่วนเบื้องต้นแห่งความทะเลาะกัน ชื่อว่า ภัณฑนะ (ความบาดหมาง). 
 คือ การปรึกษากันในฝักฝ่ายของตน มีอาทิว่า เมื่อเขากล่าวคำอย่างนี้ว่า กรรมอย่างนี้ อันคนนี้และคนนี้กระทำแล้ว พวกเราจักกล่าวอย่างนี้ (ชื่อว่า ภัณฑนะ ความบาดหมาง). การล่วงละเมิดทางกายและวาจา ให้ถึงอาบัติ ชื่อว่า กลหะ (การทะเลาะ). การกล่าวขัดแย้งกัน ชื่อว่า วิวาทะ. พวกภิกษุผู้ถึงความวิวาทกันนั้น ชื่อว่า วิวาทาปันนะ. 
  บทว่า เปสุญฺญํ ได้แก่ ซึ่งวาจาส่อเสียด. มีคำอธิบายว่า ซึ่งวาจาทำให้สูญเสียความเป็นที่รักกัน. 
  บทว่า ภิกฺขุเปสุญฺเญ ได้แก่ ในเพราะคำส่อเสียดภิกษุทั้งหลาย.  
               อธิบายว่า ในเพราะคำส่อเสียดที่ภิกษุฟังจากภิกษุแล้วนำเข้าไปบอกแก่ภิกษุ. 
                 สองบทว่า ทฺวีหิ อากาเรหิ ได้แก่ ด้วยเหตุ ๒ อย่าง. 
        บทว่า ปิยกมฺยสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาให้ตนเป็นที่รักของเขาว่า เราจักเป็นที่รักของผู้นี้ อย่างนี้หนึ่ง. 
           บทว่า เภทาธิปฺปายสฺส วา คือ ของผู้ปรารถนาความแตกร้าวแห่งคนหนึ่งกับคนหนึ่ง ว่าคนนี้จักแตกกันกับคนนี้ด้วยอาการ อย่างนี้หนึ่ง. 
           บททั้งปวง มีบทว่า ชาติโต วา เป็นอาทิ มีนัยดังกล่าวแล้วในสิกขาบทก่อนนั่นแล. แม้ในสิกขาบทนี้ ชนทั้งหมดจนกระทั่งนางภิกษุณีเป็นต้น ก็ชื่อว่า อนุปสัมบัน. 
            สองบทว่า น ปิยกมฺยสฺส น เภทาธิปฺปายสฺส มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เห็นภิกษุรูปหนึ่งกำลังด่า และรูปหนึ่งอดทนได้แล้วกล่าว เพราะตนเป็นผู้มักติคนชั่วอย่างเดียว โดยทำนองนี้ว่า โอ! คนไม่มียางอายจักสำคัญคนดีชื่อแม้เช่นนี้ว่า ตนควรว่ากล่าวได้เสมอ. 
              บทที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น. 
           สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ วาจากับจิต ๑ กายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล. 
เปสุญญวาทสิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒

ทำบุญsearch-google  
               มุสาวาทวรรค โอมลวาทสิกขาบทที่ ๒               
               พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
               [แก้อรรถเรื่องภิกษุฉัพพัคคีย์และโคนันทิวิสาล]               
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า โอมสนฺติ คือ ย่อมกล่าวเสียดแทง. 
               บทว่า ขุํสนฺติ คือ ย่อมด่า. 
               บทว่า วมฺเภนฺติ คือ ย่อมขู่กรรโชก. 
               ด้วยบทว่า ภูตปุพฺพํ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงนำเรื่องนี้มาแสดงเพื่อทรงตำหนิการกล่าวเสียดแทง. 
               คำว่า นนฺทิ ในคำว่า นนฺทิวิสาโล นาม (นี้) เป็นชื่อของโคถึกนั้น. 
               ก็โคถึกนั้นมีเขายาวใหญ่ เพราะเหตุนั้น เจ้าของจึงตั้งชื่อว่า นันทิวิสาล. โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์เป็นโคถึกชื่อนันทิวิสาล. พราหมณ์เลี้ยงดูโคถึกนั้นอย่างดีเหลือเกิน ด้วยอาหารมียาคูและข้าวสวยเป็นต้น. ครั้งนั้น โคนันทิวิสาลนั้น เมื่อจะอนุเคราะห์พราหมณ์ จึงกล่าวคำว่า เชิญท่านไปเถิด ดังนี้เป็นต้น. 
               สองบทว่า ตตฺเถวอฏฺฐาสิ มีความว่า แม้ในกาลแห่งอเหตุกปฏิสนธิ โคนันทิวิสาลย่อมรู้จักคำกล่าวเสียดแทงของผู้อื่นได้ โดยเป็นคำไม่เป็นที่พอใจ เพราะฉะนั้น มันใคร่เพื่อแสดงโทษแก่พราหมณ์ จึงได้ยืนนิ่งอยู่. 
               หลายบทว่า สกฏสตํ อติพทฺธํ ปวฏฺเฏสิ มีความว่า พระโพธิสัตว์ เมื่อจะลากเกวียน ๑๐๐ เล่มที่จอดไว้ตามลำดับสอดไม้ไว้ภายใต้ กระทำให้ต่อเนื่องกันอันบรรทุกเต็มด้วยถั่วเขียว ถั่วเหลืองและทรายเป็นต้น. เกวียน ๑๐๐ เล่ม เป็นของอันตนจะต้องลากไปอีก ในเมื่อกำถึงส่วนของกำแรกตั้งอยู่ก่อนแล้ว แม้ก็จริง ถึงกระนั้น (พระโพธิสัตว์) ก็ได้ลากไปตลอดที่ประมาณชั่ว ๑๐๐ เล่มเกวียน เพื่อให้เกวียนเล่มหลังจอดในที่เกวียนเล่มหน้าจอดอยู่. 
               จริงอยู่ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายย่อมไม่มีการกระทำที่ย่อหย่อน. 
               บาทคาถาว่า เตน จตฺตมโน อหุ มีความว่า โคนันทิวิสาลนั้นมีใจเบิกบาน เพราะการได้ทรัพย์นั้นของพราหมณ์ และเพราะการงานของตน. 
               ก็ในคำว่า อกฺโกเสนปิ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์จะจำแนกไว้ข้างหน้าว่า คำด่ามี ๒ อย่าง คือคำด่าที่เลว ๑ คำด่าที่ดี ๑ เพราะฉะนั้น จึงไม่ตรัสเหมือนอย่างที่ตรัสไว้ในก่อนว่า ย่อมด่าด้วยคำที่เลวบ้าง ตรัสไว้อย่างนี้ว่า อกฺโกเสน (โดยคำสบประมาท) ดังนี้.
               [แก้อรรถโอมสวาทเป็นต้น]               
               ชาติแห่งคนการช่างถากไม้ชื่อว่า เวณชาติ
               อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เวฬุการชาติ ดังนี้ก็มี. 
               ชาติแห่งพรานเนื้อเป็นต้น ชื่อว่า เนสาทชาติ
               ชาติแห่งคนการช่างทำหนัง ชื่อว่า รถการชาติ (ชาติแห่งคนทำรถ). 
               ชาติแห่งคนเทดอกไม้ ชื่อว่า ปุกฺกุสชาติ
               คำว่า อวกณฺณกา เป็นชื่อของพวกทาส เพราะฉะนั้น จึงเป็นคำเลว. 
               บทว่า โอญาตํ แปลว่า ที่เขาเย้ยหยัน. 
               ภิกษุบางพวกสวดว่า อุญฺญาตํ ดังนี้ก็มี. 
               บทว่า อวญฺญาตํ แปลว่า ที่เขาเหยียดหยาม. 
               บทว่า หีฬิตํ แปลว่า ที่เขาเกลียดชัง. 
               บทว่า ปริภูตํ แปลว่า ที่เขาดูหมิ่นว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยคนนี้. 
               บทว่า อจิตีกตํ แปลว่า ที่เขาไม่กระทำความเคารพยกย่อง. 
               การงานช่างไม้ ชื่อว่า โกฏฐกกรรม. นิ้วหัวแม่มือ ชื่อว่า มุทธา (วิชาการช่างนับ). การนับที่เหลือมีการนับไม่ขาดสายเป็นต้น ชื่อว่า คณนา (วิชาการช่างคำนวณ). อักษรเลข ชื่อว่า เลขา (วิชาการช่างเขียน). โรคเบาหวาน ท่านเรียกว่า โรคอุกฤษฏ์ เพราะไม่มีเวทนา.
               บทว่า ปาฏิกงฺขา แปลว่า พึงปรารถนา. 
               สองบทว่า ยกาเรน วา ภกาเรน วา มีความว่า คำด่าที่ประกอบ  อักษร และ  อักษร (ชื่อว่า เป็นคำด่าที่เลว). 
               ในคำว่า กาฏโกฏจิกาย วา (นี้) นิมิตแห่งบุรุษชื่อว่า กาฏะนิมิตแห่งสตรีชื่อว่า โกฏจิกา. คำด่าที่ประกอบด้วยบททั้งสองนั่นอันใด คำด่านั่นชื่อว่า เลวแล. 
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงยกอาบัติขึ้นปรับ ด้วยอำนาจแห่งชนิดของอักโกสวัตถุมีชาติเป็นต้นเหล่านั้น จึงตรัสคำมีอาทิว่า อุปสมฺปนฺโน อุปสมฺปนฺนํ ดังนี้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น สามบทว่า ขุํเสตุกาโม วมฺเภตุกาโม มงฺกุกตฺตุกาโม มีความว่า ผู้ประสงค์จะด่า ประสงค์จะติเตียน ประสงค์จะทำให้อัปยศ. 
               สองบทว่า หีเนน หีนํ ได้แก่ ด้วยคำกล่าวถึงชาติอันเลว คือด้วยชาติที่เลว. 
               บัณฑิตพึงทราบอรรถในบททั้งปวง โดยอุบายอย่างนี้. 
               อนึ่ง บรรดาบทเหล่านี้ ภิกษุ เมื่อกล่าวให้เลวด้วยถ้อยคำอันเลว ถึงจะกล่าวคำจริงก็ตาม ถึงอย่างนั้น เธอก็ต้องปาจิตตีย์ทุกๆ คำพูด เพราะเป็นผู้ประสงค์จะกล่าวเสียดแทง. และเมื่อกล่าวให้เป็นคนเลวด้วยคำที่ดี แม้จะกล่าวคำไม่จริงก็ตาม. 
               ถึงอย่างนั้น ก็ต้องอาบัติปาจิตตีย์ด้วยสิกขาบทนี้ เพราะเป็นผู้ประสงค์จะกล่าวเสียดสี ไม่ใช่ด้วยสิกขาบทก่อน. ฝ่ายภิกษุใดกล่าวคำเป็นต้นว่า เจ้าเป็นจัณฑาลดี เจ้าเป็นพราหมณ์ดี เจ้าเป็นจัณฑาลชั่ว เจ้าเป็นพราหมณ์ชั่ว ดังนี้, แม้ภิกษุนั้น พระวินัยธรพึงปรับด้วยอาบัติเหมือนกัน. 
               ก็ในวาระว่า สนฺติ อิเธกจฺเจ เป็นต้นนี้ เป็นอาบัติทุกกฏ เพราะเป็นคำกล่าวกระทบกระทั่ง. แม้ในวาระว่า เย-นูน-น-มยํ ดังนี้เป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน. 
               แต่ในอนุปสัมบันเป็นทุกกฏอย่างเดียว ในวาระทั้ง ๔. 
               แต่ด้วยคำว่า โจโรสิ คณฺฐิเภทโกสิ (เจ้าเป็นโจร เจ้าเป็นคนทำลายปม) เป็นต้น ทุกๆ วาระเป็นทุกกฏเหมือนกัน ทั้งอุปสัมบันทั้งอนุปสัมบัน. 
               อนึ่ง เพราะความประสงค์จะเล่น เป็นทุพภาษิตทุกๆ วาระ ทั้งอุปสัมบัน ทั้งอนุปสัมบัน. ความเป็นผู้มีความประสงค์ในอันล้อเลียนและหัวเราะ ชื่อว่าความเป็นผู้มีความประสงค์จะเล่น. 
               ก็ในสิกขาบทนี้ เว้นภิกษุเสีย สัตว์ทั้งหมดมีนางภิกษุณีเป็นต้น บัณฑิตพึงทราบว่า ตั้งอยู่ในฐานะแห่งอนุปสัมบัน. 
               ในคำว่า อตฺถปุเรกฺขารสฺส เป็นต้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้กล่าวอรรถแห่งพระบาลี ชื่อว่า อัตถปุเรกขาระ (ผู้มุ่งอรรถ). ผู้บอกสอนพระบาลี พึงทราบว่า ธัมมปุเรกขาระ (ผู้มุ่งธรรม). ผู้ตั้งอยู่ในการพร่ำสอน กล่าวโดยนัยเป็นต้นว่า ถึงบัดนี้ เจ้าเป็นคนจัณฑาล, เจ้าก็อย่าได้ทำบาป, อย่าได้เป็นคนมีมืดมามืดไปเป็นเบื้องหน้า ดังนี้. พึงทราบว่า ชื่อว่า อนุสาสนีปุเรกขาระ (ผู้มุ่งสอน). 
               บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
               สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ฉะนี้แล. 
               แต่ในอาบัติเหล่านี้ อาบัติทุพภาษิต เกิดทางวาจากับจิต เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตกะ อกุศลจิต มีเวทนา ๒ คือ สุขเวทนา ๑ อุเปกขาเวทนา ๑   
  โอมสวาทสิกขาบทที่ ๒ จบ.