Translate

07 กันยายน 2567

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องพระฉันนะ [ว่าด้วย แกล้งกล่าวคำอื่น] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

              [๓๕๘] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตพระนครโกสัมพี. 
              ครั้งนั้น ท่านพระฉันนะประพฤติอนาจารเอง แล้วถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร? ต้องเพราะเรื่องอะไร? ต้องอย่างไร? ท่านทั้งหลายว่าใคร? ว่าเรื่องอะไร? 
              บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง? ต้องอะไร? ต้องเพราะเรื่องอะไร? ต้องอย่างไร? ท่านทั้งหลายว่าใคร? ว่าเรื่องอะไร? ดังนี้เล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม             ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่า เธอถูกไต่สวนร?ดังนี้ จริงหรือ?             
ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. เพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง? ... ว่าเรื่องอะไร
ทรงติเตียน
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอเมื่อถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง? ... ว่าเรื่องอะไร? ดังนี้เล่า? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... 
           ครั้นทรงติเตียนแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้น สงฆ์จงยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ.         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงยกอัญญวาทกกรรมอย่างนี้-
กรรมวาจาลงอัญญวาทกกรรม
             ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ นี่เป็นญัตติ.
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ กลับเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อน. สงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ. การยกอัญญวาทกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงพูด.
             อัญญวาทกกรรมอันสงฆ์ยกแล้วแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่สงฆ์, เหตุนั้นจึงนิ่ง, ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
ทรงบัญญัติสิกขาบท
             [๓๕๙] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ... แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ...             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ         ๖๑. ๒. ก. เป็นปาจิตตีย์ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น.             ก็สิกขาบทนี้ ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ เรื่องพระฉันนะ จบ.
เรื่องพระฉันนะ
             [๓๖๐] อนึ่ง โดยสมัยนั้นแล ท่านพระฉันนะถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ คิดว่า เมื่อเราเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนจักต้องอาบัติ จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก.บรรดาภิกษุผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระฉันนะถูกไต่สวน เพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบากเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค-.
ทรงสอบถาม             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามท่านพระฉันนะว่า ดูกรฉันนะ ข่าวว่า เธอเมื่อถูกไต่สวน เพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก จริงหรือ?
            ท่านพระฉันนะทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉน เธอเมื่อถูกไต่สวนเพราะต้องอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ จึงได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก? การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นทรงติเตียนแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้ากระนั้นสงฆ์จงยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงยกวิเหสกกรรมอย่างนี้:-กรรมวาจาลงวิเหสกกรรม
             ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจาว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ นี่เป็นญัตติ.
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ภิกษุฉันนะนี้ถูกไต่สวนด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ ได้นิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก. สงฆ์ยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ. การยกวิเหสกกรรมแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด, ท่านผู้นั้นพึงพูด.
             วิเหสกกรรมอันสงฆ์ยกแล้วแก่ภิกษุฉันนะ ชอบแก่สงฆ์, เหตุนั้นจึงนิ่ง, ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
             [๓๖๑] พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระฉันนะ โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ...             
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระอนุบัญญัติ             ๖๑. ๒. ข. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.  เรื่องพระฉันนะ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๖๒] ที่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น คือ ภิกษุเมื่อถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่องอะไร ต้องอย่างไร ท่านทั้งหลายว่าใคร ว่าเรื่องอะไร, ดังนี้ นี่ชื่อว่า เป็นผู้กล่าวคำอื่น.
             [๓๖๓] ที่ชื่อว่า เป็นผู้ให้ลำบาก คือ ภิกษุเมื่อถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก นี่ชื่อว่า เป็นผู้ให้ลำบาก.
บทภาชนีย์
             [๓๖๔] เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกอัญญวาทกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ต้องอะไร ต้องในเพราะเรื่องอะไร ต้องอย่างไร ท่านทั้งหลายว่าใคร ว่าเรื่องอะไร ดังนี้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เมื่อสงฆ์ยังไม่ยกวิเหสกกรรม ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก ต้องอาบัติทุกกฏ.
             [๓๖๕] เมื่อสงฆ์ยกอัญญวาทกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงเอาเรื่องอื่นมาพูดกลบเกลื่อนว่า ใครต้อง ... ว่าเรื่องอะไร ดังนี้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เมื่อสงฆ์ยกวิเหสกกรรมแล้ว ภิกษุถูกไต่สวนในเพราะวัตถุหรืออาบัติ ณ ท่ามกลางสงฆ์ไม่ปรารถนาจะบอกเรื่องนั้น ไม่ปรารถนาจะเปิดเผยเรื่องนั้น จึงนิ่งเสีย ทำให้สงฆ์ลำบาก ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะปาจิตตีย์
             [๓๖๖] กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์. ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
             กรรมเป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.             
                 กรรมเป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบาก.
ติกะทุกกฏ
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ-.
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ-.
             กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุสำคัญว่ากรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ-.
อนาปัตติวาร 
            [๓๖๗] ภิกษุไม่เข้าใจจึงถาม ๑ ภิกษุอาพาธให้การไม่ได้ ๑ ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่าความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือความวิวาทจักมีแก่สงฆ์ ๑ ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า จักเป็นสังฆเภท หรือสังฆราชี ๑ ภิกษุไม่ให้การด้วยคิดว่า สงฆ์จักทำกรรมโดยไม่ชอบธรรม โดยเป็นวรรค หรือจักไม่ทำกรรมแก่ภิกษุผู้ควรแก่กรรม ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒
 สิกขาบทที่ ๒ เสนาสนวรรค อัญญวาท
                 พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถปฐมบัญญัติ เรื่องพระฉันนะ] 
         สองบทว่า อนาจารํ อาจริตฺวา คือ กระทำสิ่งที่ไม่ควรทำ.                 
         มีคำอธิบายว่า ต้องอาบัติในทางกายทวารและวจีทวาร. 
                สองบทว่า อญฺเญนญฺญํ ปฏิจรติ ได้แก่ ย่อมกลบเกลื่อน คือปกปิด ทับถมคำอื่นด้วยคำอื่น. 
                 บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงวิธีกลบเกลื่อนนั้น จึงตรัสคำว่า โก อาปนฺโน เป็นต้น. ในคำนั้น มีพจนสัมพันธ์ดังต่อไปนี้ :- 
                 ได้ยินว่า พระฉันนะนั้นถูกภิกษุทั้งหลาย เห็นการล่วงละเมิดบางอย่างแล้ว สอบถามด้วยอาบัติในท่ามกลางสงฆ์ว่า ดูก่อนผู้มีอายุ! ท่านเป็นผู้ต้องอาบัติ ใช่ไหม? กล่าวว่า ใครต้อง ดังนี้. 
                 ลำดับนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ท่าน จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องอาบัติอะไร? ทีนั้น เมื่อภิกษุทั้งหลายกล่าวว่า ปาจิตตีย์ หรือทุกกฏ เมื่อจะถามวัตถุ จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าต้องในเพราะวัตถุอะไร?
            ลำดับนั้น เมื่อพวกภิกษุกล่าวว่า ในเพราะวัตถุชื่อโน้น จึงถามว่า ข้าพเจ้าต้องอย่างไร? และข้าพเจ้าทำอะไร จึงต้อง? ดังนี้. 
                 ครั้งนั้น เมื่อพวกภิกษุกล่าวว่า ทำการละเมิดชื่อนี้ จึงต้อง กล่าวว่า พวกท่านพูดกะใครกัน? ดังนี้. ทีนั้นเมื่อพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราพูดกะท่าน จึงกล่าวว่า พวกท่านพูดเรื่องอะไร? 
                อีกอย่างหนึ่ง ในคำว่า โก อาปนฺโน นี้ มีวิธีกลบเกลื่อนคำอื่น ด้วยคำอื่น แม้นอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ :- 
                 ภิกษุถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นกหาปณะ (เหรียญกษาปณ์) ในถุงของท่าน, ท่านทำกรรมไม่สมควรอย่างนี้ เพื่ออะไร? แล้วกล่าวว่า ที่พวกท่านเห็นถูกแล้ว ขอรับ! แต่นั่นไม่ใช่กหาปณะ มันเป็นก้อนดีบุก ดังนี้ก็ดี,
                    ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นท่านดื่มสุรา, ท่านทำกรรมไม่สมควรอย่างนี้ เพื่ออะไร? แล้วกล่าวว่า ที่พวกท่านเห็นถูกแล้ว ขอรับ! แต่นั่นไม่ใช่สุรา, เป็นยาดองชื่ออริฏฐะ เขาปรุงขึ้นเพื่อต้องการเป็นยา ดังนี้ก็ดี,
             ถูกพวกภิกษุกล่าวว่า พวกเราเห็นท่านนั่งในอาสนะกำบังกับมาตุคาม, ท่านทำกรรมไม่สมควรอย่างนี้ เพื่ออะไร? แล้วกล่าวว่า ท่านที่เห็นนับว่าเห็นถูกแล้ว, แต่ในที่นั่นมีบุรุษผู้รู้เดียงสาอยู่เป็นเพื่อน, เพราะเหตุไรท่านจึงไม่เห็นเขา? ดังนี้ก็ดี, 
              ถูกพวกภิกษุถามว่า ท่านเห็นการละเมิดเช่นนี้ บางอย่างไหม? ตะแคงหูเข้าไปพูดว่า ไม่ได้ยิน หรือจ้องตาเข้าไปหาพวกภิกษุ ผู้กระซิบถาม ในที่ใกล้หูก็ดี, บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมกลบเกลื่อนถ้อยคำ. 
                 พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า อญฺญวาทเก วิเหสเก ปาจิตฺติยํ นี้ต่อไป :- 
                 คำใด๑- ย่อมกล่าวความอื่นจากที่ถาม เพราะฉะนั้น คำนั้นชื่อว่าอัญญวาทกะ. คำว่า อัญญวาทกะ นี้ เป็นชื่อแห่งความกลบเกลื่อนถ้อยคำ (การกลบเกลื่อนเหตุอื่นด้วยเหตุอื่น). 
                 ความเป็นผู้นิ่งใด ย่อมทำสงฆ์ให้ลำบาก เพราะฉะนั้น ความเป็นผู้นิ่งนั่น ชื่อว่าวิเหสกะ. คำว่า วิเหสกะ นี้เป็นชื่อแห่งความเป็นผู้นิ่ง. ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น ในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบากนั้น. 
                 ด้วยบทว่า ปาจิตฺติยํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปาจิตตีย์ ๒ ตัวใน ๒ วัตถุ. 
                 สองบทว่า อญฺญวาทกํ โรเปตุ ความว่า สงฆ์จงยกอัญญวาทกรรมขึ้น คือจงให้ตั้งขึ้น. แม้ในคำว่า วิเหสกํ โรเปตุ นี้ก็นัยนี้เหมือนกัน. 
                 สองบทว่า อโรปิเต อญฺญวาทเก ได้แก่ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่นที่สงฆ์ไม่ได้ยกขึ้นด้วยกรรมวาจา. แม้ในคำว่า อโรปิเต วิเหสเก นี้ ก็นัยนี้เหมือนกัน. 
                 ในคำว่า ธมฺมกมฺเม ธมฺมกมฺมสญฺญี เป็นต้น พึงทราบใจความโดยนัยนี้ว่า อัญญวาทกวิเหสกโรปนกรรม นั้นใด อันสงฆ์กระทำแล้ว, ถ้ากรรมนั้นเป็นกรรมชอบธรรม, และภิกษุนั้นมีความสำคัญในกรรมนั้นว่า เป็นกรรมชอบธรรม ยังทำความเป็นผู้กล่าวคำอื่น และความเป็นผู้ให้ลำบาก เมื่อนั้น ภิกษุนั้นต้องอาบัติปาจิตตีย์ ในเพราะความเป็นผู้กล่าวคำอื่น และในเพราะความเป็นผู้ให้ลำบากนั้น. 
                 สองบทว่า อชานนฺโต ปุจฺฉติ มีความว่า ภิกษุเมื่อไม่รู้ว่าตนต้องอาบัติเลยจึงถามว่า ท่านทั้งหลายพูดอะไร? ข้าพเจ้าไม่รู้เลย. 
             สองบทว่า คิลาโน น กเถติ มีความว่า ภิกษุมีพยาธิที่ปาก เช่นพยาธิที่เป็นเหตุให้ไม่สามารถจะพูดได้. 
                 ในคำว่า สงฺฆสฺส ภณฺฑนํ วา เป็นต้น บัณฑิตพึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่า เมื่อเรากล่าวในท่ามกลางสงฆ์ ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง หรือความวิวาทจักมีแก่สงฆ์ เพราะการพูดนั้นเป็นปัจจัย, ความวิวาทนั้นอย่าได้มีเลย จึงไม่พูด. 
                      บทที่เหลือตื้นทั้งนั้นแล. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้น ทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยาก็มี เป็นอกิริยาก็มี. 
                   จริงอยู่ เมื่อภิกษุกลบเกลื่อนถ้อยคำ เป็นกิริยา เมื่อทำให้ลำบากเพราะความเป็นผู้นิ่ง เป็นอกิริยา เป็นสัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้ แล.
 ๑- แปลตามโยชนา ๒/๒๔-๒๕ 
 อัญญวาทสิกขาบทที่ ๒ จบ.

ปาจิตตีย์กัณฑ์ ปาจิตตีย์ มุสาวาทวรรคที่ ๒ ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี [ว่าด้วย พรากของเขียว] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

               [๓๕๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี. 
               ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีทำนวกรรม ตัดต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง. แม้ภิกษุชาวรัฐอาฬวีรูปหนึ่งก็ตัดต้นไม้. เทวดาผู้สิงสถิตอยู่ที่ต้นไม้นั้น ได้กล่าวคำนี้กะภิกษุนั้น ว่า ท่านเจ้าข้า ท่านประสงค์จะทำที่อยู่ของท่าน โปรดอย่าตัดต้นไม้อันเป็นที่อยู่ของข้าพเจ้าเลย. 
              ภิกษุรูปนั้นไม่เชื่อฟังได้ตัดลงจนได้ แลฟันถูกแขนทารกลูกของเทวดานั้น. เทวดาได้คิดขึ้นว่า ถ้ากระไรเราพึงปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้แหละ แล้วคิดต่อไปว่า ก็การที่เราจะพึงปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้นั้นไม่สมควรเลย ถ้ากระไรเราควรกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาค 
              ดั่งนั้นเทวดานั้นจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
             พระผู้มีพระภาคทรงประทานสาธุการว่า ดีแล้วๆ เทวดา ดีนักหนาที่ท่านไม่ปลงชีวิตภิกษุรูปนั้น ถ้าท่านปลงชีวิตภิกษุรูปนั้นในวันนี้ ตัวท่านจะพึงได้รับบาปเป็นอันมาก ไปเถิดเทวดา ต้นไม้ในโอกาสโน้นว่างแล้ว ท่านจงเข้าไปอยู่ที่ต้นไม้นั้น.            
             ประชาชนพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พวกพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ตัดต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง? พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรทั้งหลายย่อมเบียดเบียนอินทรีย์ อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ. 
             ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกเขาเพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาอยู่ บรรดาที่มักน้อย ... ต่างพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวี จึงได้ตัดต้นไม้เองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม             พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้นไม้ จริงหรือ?
             ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ตัดเองบ้าง ให้คนอื่นตัดบ้าง ซึ่งต้นไม้? เพราะคนทั้งหลายสำคัญในต้นไม้ว่ามีชีวะ การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ             ๖๐. ๑. เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะพรากภูตคาม.     เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
              [๓๕๕] ที่ชื่อว่า ภูตคาม ได้แก่พืช ๕ ชนิด พืชเกิดจากเหง้า ๑ พืชเกิดจากต้น ๑ พืชเกิดจากข้อ ๑ พืชเกิดจากยอด ๑ พืชเกิดจากเมล็ดเป็นที่ครบห้า ๑.
              ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากเหง้า ได้แก่ ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู, หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่เหง้า งอกที่เหง้า นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากเหง้า.
              ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากต้น ได้แก่ ต้นโพธิ์ ต้นไทร ต้นดีปลี ต้นมะเดื่อ ต้นเต่าร้าง ต้นมะขวิด, หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ต้น งอกที่ต้น นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากต้น.
              ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากข้อ ได้แก่ อ้อย ไม้ไผ่ ไม้อ้อ หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ข้อ งอกที่ข้อ นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากข้อ.
              ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากยอด ได้แก่ ผักบุ้งล้อม แมงลัก เถาหญ้านาง, หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่ยอด งอกที่ยอด นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากยอด.
              ที่ชื่อว่า พืชเกิดจากเมล็ด ได้แก่ข้าว ถั่ว งา หรือแม้พืชอย่างอื่นใดซึ่งเกิดที่เมล็ด งอกที่เมล็ด นั่นชื่อว่า พืชเกิดจากเมล็ด เป็นที่ครบห้า.
บทภาชนีย์
              [๓๕๖] พืช ภิกษุสำคัญว่าพืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
              พืช ภิกษุสงสัย ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
              พืช ภิกษุสำคัญว่า ไม่ใช่พืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ไม่ต้องอาบัติ.
              ไม่ใช่พืช ภิกษุสำคัญว่าพืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
              ไม่ใช่พืช ภิกษุสงสัย ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ.
              ไม่ใช่พืช ภิกษุสำคัญว่า ไม่ใช่พืช ตัดเองก็ดี ให้คนอื่นตัดก็ดี ทำลายเองก็ดี ให้คนอื่นทำลายก็ดี ต้มเองก็ดี ให้คนอื่นต้มก็ดี ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร 
             [๓๕๗] ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้พืชนี้ ท่านจงให้พืชนี้ ท่านจงนำพืชนี้มา เรามีความต้องการด้วยพืชนี้ ท่านจงทำพืชนี้ให้เป็นกัปปิยะดังนี้ ๑ ภิกษุไม่แกล้งพราก ๑ ภิกษุทำเพราะไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.     ภูตคามวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.
               อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ ภูตคามวรรคที่ ๒
 สิกขาบทที่ ๑ ปาจิตตีย์ เสนาสน พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑ แห่งเสนาสนวรรค๑- ดังต่อไปนี้
 ๑- บาลีเป็นภูตคามวรรค [เรื่องภิกษุชาวเมืองอาฬวี ตัดต้นไม้]
                บทว่า อนาทิยนฺโต คือ ไม่เชื่อฟังถ้อยคำของเทวดานั้น. 
                 หลายบทว่า ทารกสฺสพาหุํ อาโกฏฺเฏสิ มีความว่า ภิกษุนั้นไม่อาจยั้งขวานที่เงื้อขึ้น จึงตัดเอาแขนตรงที่ใกล้ราวนม ของทารกผู้นอนอยู่บนวิมานทิพย์ ซึ่งตั้งอยู่บนต้นไม้ อันเทวดานั้นได้มาจากสำนักของท้าวจาตุมมหาราช ซึ่งล่วงเลยวิสัยแห่งจักษุของพวกมนุษย์. 
                 ในคำว่า น โข ปเนตํ ปฏิรูปํ เป็นต้น มีการพรรณนาโดยสังเขปดังต่อไปนี้ :- 
                 ได้ยินว่า ในป่าหิมพานต์มีการประชุมเทวดาทุกๆ วันปักษ์, ในป่าหิมพานต์นั้น พวกเทวดาย่อมถามถึงรุกขธรรมว่า ท่านตั้งอยู่หรือไม่ได้ตั้งอยู่ในรุกขธรรม. ชื่อว่า รุกขธรรม ได้แก่ การที่รุกขเทวดาไม่ทำความประทุษร้ายทางใจ ในเมื่อต้นไม้ถูกตัด. 
                 บรรดาเทวดาเหล่านั้น เทวดาองค์ใดไม่ตั้งอยู่ในรุกขธรรม, เทวดาองค์นั้นย่อมไม่ได้เพื่อจะเข้าสู่ที่ประชุม. เทวดาองค์นั้นได้มองเห็นโทษมีการไม่ตั้งอยู่ในรุกขธรรมเป็นปัจจัยนี้ ด้วยประการดังนี้ และระลึกถึงบุรพจรรยาในปางที่พระตถาคตเจ้าเสวยพระชาติเป็นพญาช้างฉัททันต์เป็นต้น โดยกระแสแห่งพระธรรมเทศนาที่ตนเคยสดับมาเฉพาะพระพักตร์แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า. 
                 เพราะเหตุนั้น เทวดานั้นจึงได้มีความรำพึงว่า น โข ปเนตํ ปฏิรูปํ ฯเปฯ ชีวิตาโวโรเปยฺยุํ (ก็การที่เราจะปลงชีวิตภิกษุรูปนี้เสีย ณ ที่นี้ นั่นไม่สมควรเลย) ดังนี้. ก็ความรำพึงนี้ว่า ถ้ากระไร เราควรกราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ ได้มีแก่เทวดานั้นผู้ฉุกคิดอยู่อย่างนี้ว่า ภิกษุนี้เป็นบุตรมีบิดา, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสดับอัชฌาจารนี้ของภิกษุนี้แล้ว จักทรงป้องกันมารยาท จักทรงบัญญติสิกขาบทแน่นอน. 
                 คำว่า สจชฺช ตฺวํ เทวเต มีความว่า ดูก่อนเทวดา! ถ้าท่าน (ปลงชีวิตภิกษุรูปนั้น) ในวันนี้ไซร้. 
                 บทว่า ปสเวยฺยาสิ แปลว่า พึงให้เกิด คือ พึงให้บังเกิดขึ้น. 
                 ก็แลพระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว เมื่อจะให้เทวดานั้นยินยอม จึงได้ตรัสพระคาถานี้ว่า๑- 
                บุคคลใดแล ข่มความโกรธที่เกิดขึ้นแล้วได้ เหมือนกับสารถีหยุดรถ ซึ่งกำลังแล่นอยู่ได้ เราตถาคตเรียกบุคคลนั้นว่า เป็นสารถี ชนนอกจากนี้ เป็นแต่คนถือบังเหียน. 
                ในเวลาจบพระคาถา เทวดานั้นได้ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล. พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงธรรมแก่บริษัทผู้ประชุมกันพร้อมแล้ว จึงได้ทรงภาษิตพระคาถานี้อีกว่า๒- 
          ภิกษุใดแล ย่อมกำจัดซึ่งความโกรธที่เกิดขึ้น เหมือนหมอกำจัดพิษงูที่แล่นซ่านไปแล้วด้วย โอสถทั้งหลาย ฉะนั้น ภิกษุนั้นย่อมละฝั่งนี้ และฝั่งโน้นได้ เหมือนงูลอกคราบเก่าแก่ทิ้งไปฉะนั้น. 
                 บรรดาคาถาทั้งสองนั้น คาถาที่ ๑ พระธรรมสังคาหกาจารย์ยกขึ้นสู่สังคหะ ในธรรมบท, คาถาที่ ๒ ยกขึ้นสู่สังคหะ ในสุตตนิบาต, ส่วนเรื่องยกขึ้นสู่สังคหะ ใน
 ๑- ขุ. ธ. เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๗/หน้า ๔๔-๔๕ ๒- ขุ. สุ.เล่ม ๒๕/ข้อ ๒๙๔/หน้า ๓๒๔ 
                  ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่นั่นเทียว ทรงตรวจดูสถานที่อยู่ของเทวดานั้น ทอดพระเนตรเห็นสถานที่อันสมควรแล้วจึงตรัสว่า ไปเถิดเทวดา! ณ ที่โอกาสโน้นมีต้นไม้ว่างอยู่, เธอจงเข้าไปอยู่ที่ต้นไม้นั้น. 
                 ได้ยินว่า ต้นไม้นั้นไม่มีในแคว้นอาฬวี, มีอยู่ภายในกำแพงเครื่องล้อมแห่งพระเชตวัน ซึ่งมีเทวบุตรผู้เป็นเจ้าของได้จุติไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ต้นไม้นั้นจึงตรัสว่า ว่างแล้ว. ก็แลจำเดิมแต่ปางนั้นมา เทวดานั้นได้ความคุ้มครองจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้เป็นพุทธอุปัฏฐายิกา. 
                 ในคราวมีเทวสมาคม เมื่อเทวดาผู้มีศักดิ์ใหญ่ทั้งหลายมาอยู่ เทวดาเหล่าอื่นผู้มีศักดิ์น้อย ย่อมถอยร่นไปจนจดมหาสมุทร และภูเขาจักรวาล. 
                 ส่วนเทวดานี้นั่งฟังธรรมอยู่ในที่อยู่ของตนนั่นแหละ. เทวดานั้นนั่งฟังปัญหาทั้งหมด แม้ที่พวกภิกษุถามในปฐมยาม (และ) ที่พวกเทวดาถามในมัชฌิมยามบนวิมานนั้นนั่นแล. แม้ท้าวมหาราชทั้ง ๔ มาสู่ที่บำรุงของพระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะไป ก็เยี่ยมเทวดานั้นก่อนแล้วจึงไป.
 [แก้อรรถปาฐะว่าภูตคามปาตัพยตาย]
            ในบทว่า ภูตคามปาตพฺยตาย นี้ พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ :- 
                 ที่ชื่อว่า ภูตะ เพราะอรรถว่า เกิดอยู่ด้วย เติบโตขึ้นอยู่ด้วย. 
                 อธิบายว่า ย่อมเกิด ย่อมเจริญ หรือว่า เกิดแล้ว เจริญแล้ว.  
                บทว่า คาโม แปลว่า กอง. กองแห่งภูตทั้งหลาย เหตุนั้นจึงชื่อว่าภูตคาม. อีกอย่างหนึ่ง กอง คือภูต ชื่อภูตคาม. คำว่า ภูตคาม นั่นเป็นชื่อแห่งหญ้า และต้นไม้เขียวสดที่ยืนต้นแล้ว เป็นต้น. 
                 ภาวะแห่งการพราก ชื่อ ปาตัพยตา (ความเป็นแห่งการพราก). 
                 อธิบายว่า ภาวะอันบุคคลพึงบริโภคใช้สอยตามความพอใจ ด้วยการตัดและการทุบเป็นต้น. ในเพราะความเป็นผู้พรากภูตคามนั้นแห่งภิกษุนั้น.
                    คำนี้เป็นสัตตมีวิภัตติลงในอรรถแห่งนิมิต. อธิบายว่า เป็นปาจิตตีย์ เพราะความเป็นผู้พรากภูตคามเป็นเหตุ คือ เพราะการตัดภูตคามเป็นต้นเป็นปัจจัย. 
 [อธิบายภูตคาม ๕ ชนิดมีมูลพืชเป็นต้น] 
                 บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงจำแนกแสดงภูตคามนั้น จึงตรัสคำเป็นต้นว่า ภูตคาโม นามปญฺจ วีชชาตานิ ดังนี้. 
                ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า ในคำว่า ภูตคามเป็นต้นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยกภูตคามขึ้นด้วยคำว่า ภูตคาโม นาม ดังนี้ แล้วตรัสคำ ปญฺจ วีชชาตานิ เป็นต้น เพื่อทรงแสดงพืชที่เมื่อมันมีอยู่ ภูตคามจึงมี. แม้เมื่อมีอย่างนี้ คำว่า ยานิ วาปนญฺญานิปิ อตฺถิ มูเล ชายนฺติ เป็นต้น ก็ไม่สมกัน. 
               จริงอยู่ พืช ๕ ชนิดมีพืชเกิดจากเหง้าเป็นต้น ไม่ใช่เกิดอยู่ที่เหง้าเป็นต้น, แต่พืชเหล่านั้น เมื่อจะเกิดที่เหง้าเป็นต้น ก็ชื่อว่ามูลพืชเป็นต้น เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบวรรณนาในคำว่า ภูตคาโม นาม เป็นต้นนี้ (โดยนัยที่กำลังจะกล่าว) อย่างนี้ :- 
                บทว่า ภูตคาโม นาม เป็นบทควรแจก. 
                 บทว่า ปญฺจ เป็นการกำหนดชนิดแห่งภูตคามนั้น. 
               บทว่า วีชชาตานิ เป็นบทแสดงไขธรรมที่ได้กำหนดไว้. 
         ใจความแห่งบทว่า วีชชาตานิ นั้นว่า ที่ชื่อว่า พีชชาต เพราะอรรถว่า เกิดจากจำพวกเมล็ด คำนี้เป็นชื่อแห่งพืชมีต้นไม้เป็นต้น. 
                 อีกนัยหนึ่ง พืชเหล่านั้นด้วย เกิดแล้วด้วย คือ ผลิแล้ว ได้แก่ มีใบและรากงอกออกแล้ว เพราะเหตุนั้นจึงชื่อว่า พีชชาต. ด้วยคำว่า พีชชาต นี้ เป็นอันท่านทำการสงเคราะห์เอาพืช มีขิงเป็นต้น ที่เขาชำไว้ในทรายเปียกเป็นต้น ซึ่งมีใบและรากงอกขึ้นแล้ว. 
                 บัดนี้ พืชมีต้นไม้เป็นต้นที่ตรัสเรียกว่า พีชชาต เพราะเกิดจากพืชเหล่าใด, เมื่อจะทรงแสดงพืชเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า มูลพีชํ เป็นต้น. อุเทศแห่งพืช มีพืชเกิดจากรากเหง้าเป็นต้นนั้น ปรากฏชัดเจนแล้วแล.
            ในคำว่า ก็หรือว่าพืชแม้อย่างอื่นใด บรรดามีซึ่งเกิดที่เหง้า งอกที่เหง้า นี้ ในอุเทศ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพืชที่เกิดจากเมล็ด. 
                 เพราะฉะนั้น พึงเห็นใจความในคำว่า ยานิ วาปนญฺญานิ เป็นต้นนี้อย่างนี้ว่า ก็หรือพืชแม้อย่างอื่นใดบรรดามี เป็นต้นว่า ไม้กอ ไม้เถา และไม้ต้น ซึ่งเกิดและงอกขึ้นที่เหง้ามีชนิดเช่น รากเหง้าเชือกเขา๑- (รากเหง้าเถามัน) กระจับ บัวแดง บัวเขียว บัวขาบ บัวขาว (บัวสาย) เผือก มันและแคฝอยเป็นต้น, ไม้กอ ไม้เถา และไม้ต้นเป็นอาทินั้น ย่อมเกิดและย่อมงอกที่เหง้าใด, ก็เหง้านั้น 
                      พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในบาลี, พืชเกิดจากเหง้า มีขมิ้นเป็นต้นนี้ แม้ทั้งหมด ชื่อว่า มูลพืช. ในขันธพืชเป็นต้น (พืชเกิดจากลำต้น) ก็นัยนี้. 
                 ก็อีกอย่างหนึ่ง บรรดาพืชทั้งหลาย มีพืชที่เกิดจากลำต้นเป็นอาทินี้ พืชเหล่าใดมีต้นมะกอก ต้นช้างน้าว (อ้อยช้างก็ว่า) สลัดได ทองหลาง กรรณิการ์เป็นต้น บัณฑิตพึงเห็นว่า พืชเกิดจากลำต้น, พืชทั้งหลายมีเถาส้ม เถาสี่เหลี่ยมและเถาดีปลี (ยี่หร่าก็ว่า) เป็นต้น 
                 บัณฑิตพึงเห็นว่า พืชเกิดแต่ข้อ, พืชมีปอ มะลิ หงอนไก่เป็นต้น บัณฑิตพึงเห็นว่า พืชเกิดจากยอด, พืชมีเมล็ดมะม่วง หว้าและขนุนเป็นต้น พึงทราบว่า พืชเกิดจากเมล็ด. 
                 บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงชนิดแห่งอาบัติ อนาบัติ และชนิดแห่งความถูกพราก ด้วยอำนาจสัญญา (ชื่อ) ในคำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า ภูตคามปาตพฺยตาย ปาจิตฺติยํ (เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะความถูกพรากแห่งภูตคาม) จึงตรัสคำว่า พีเช พีชสญฺญี เป็นต้น. 
                 ภูตคามที่เกิดจากเมล็ด บัณฑิตพึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า พืช ในคำว่า พีเช พีชสญฺญี นั้น ดุจข้าวสุกแห่งข้าวสารข้าวสาลี เขาเรียกกันว่า ข้าวสุกแห่งข้าวสาลี 
               ในคำว่า สาลีนญฺเจว โอทนํภุญฺชติ เป็นต้น ฉะนั้น. ส่วนพืชที่ท่านคัดออกไว้ให้พ้นไปจากภูตคามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในคำว่า พีชคามภูตคามสมารมฺภา ปฏิวิรโต เป็นต้นเป็นวัตถุแห่งทุกกฏ.
            อีกอย่างหนึ่ง บัณฑิตพึงประกอบกับบทต้นแห่งสิกขาบทวิภังค์ที่ว่า ภูตคาโม นาม แล้วพึงทราบเนื้อความในคำว่า พีเช พีชสญฺญี นี้ อย่างนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญในพืชที่มีชื่อว่าภูตคาม ว่าเป็นพืช เอาศัสตราเป็นต้น ตัดเองก็ดี ใช้ให้คนอื่นตัดก็ดี เอาก้อนหินเป็นต้นทุบเองก็ดี 
              ใช้ให้คนอื่นทุบก็ดี นำเอาไฟเข้าไปเผาเองก็ดี ใช้คนอื่นให้เผาก็ดี ต้องปาจิตตีย์. แต่บัณฑิตไม่พึงถือเอาตามพระบาลี ปรับปาจิตตีย์ ในเพราะความพราก มีชนิดตัดพืชนอกไป
 ๑- สมัยนี้แปลว่าว่ามันฝรั่ง แต่ชาวอินเดียเรียกว่า "อาล" -ผู้ชำระ
. [อธิบายพีชคามและภูตคามเป็นต้น] 
           จริงอยู่ ในภูตคามสิกขาบทนี้ มีวินิจฉัยกถา ดังต่อไปนี้ :- 
                ภิกษุพรากภูตคาม เป็นปาจิตตีย์. พรากพีชคามแม้ทั้ง ๕ อย่าง อันนอกจากภูตคาม เป็นทุกกฏ. ชื่อว่า พีชคามและภูตคามนี้ อยู่ในนํ้าก็มี อยู่บนบกก็มี. 
                 บรรดาพีชคามและภูตคามที่อยู่ในนํ้าและบนบกทั้งสองนั้น พีชคามและภูตคามที่อยู่ในนํ้า คือ เสวาลชาติ (สาหร่าย) ทั้งที่มีใบและไม่มีใบทั้งหมดมีชนิดเช่นแหนและจอกเป็นต้น โดยที่สุดกระทั่งฝ้านํ้า (ตระไคร้นํ้า) บัณฑิตพึงทราบว่า ภูตคาม. ชื่อว่าฝ้านํ้า (ตระไคร้นํ้า) ข้างบนแข็ง มีสีกร้าน ข้างล่างอ่อน มีสีเขียว. 
                บรรดาเสวาลชาตินั้น รากของสาหร่ายใดหยั่งลงไปอยู่ในแผ่นดิน, แผ่นดินเป็นฐานของสาหร่ายนั้น. นํ้าเป็นฐานของสาหร่ายที่ลอยไปมาบนนํ้า เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้พรากภูตคามที่อยู่ในแผ่นดินในที่ใดที่หนึ่งก็ดี ยกขึ้นย้ายไปสู่ที่อื่นก็ดี. เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้พรากภูตคามที่ลอยไปมาบนนํ้าเหมือนกัน. แต่จะเอามือทั้งสองแหวกไปทางโน้นทางนี้ แล้วอาบนํ้า ควรอยู่.  
                แท้จริง นํ้าทั้งสิ้นเป็นฐานของสาหร่ายที่อยู่ในนํ้านั้น เพราะเหตุนั้น สาหร่ายนั้น ยังไม่จัดว่าเป็นอันภิกษุย้ายไปสู่ที่อื่น ด้วยเหตุเพียงเท่านี้. แต่จะแกล้งยกขึ้นจากนํ้า โดยเว้นนํ้าเสียไม่ควร. ยกขึ้นพร้อมทั้งนํ้า แล้ววางลงในนํ้าอีก ควรอยู่. 
                สาหร่ายออกมาทางช่องผ้ากรองนํ้า, ควรให้ทำกัปปิยะก่อน จึงบริโภคนํ้า. ภิกษุถอนเถาวัลย์และหญ้าที่เกิดในนํ้า มีกออุบลและกอปทุมเป็นต้น ขึ้นจากนํ้าก็ดี พรากเสียในนํ้านั้นเองก็ดี เป็นปาจิตตีย์. พรากกออุบลและกอปทุมเป็นต้นที่คนอื่นถอนขึ้นไว้แล้ว เป็นทุกกฏ. 
               จริงอยู่ กออุบลและปทุมเป็นต้นที่คนอื่นถอนขึ้นไว้นั้น ย่อมถึงรากสงเคราะห์เข้าในพีชคาม. แม้สาหร่ายคือจอกและแหน๑- ที่เขายกขึ้นจากนํ้าแล้ว ยังไม่เหี่ยว ย่อมถึงซึ่งอันสงเคราะห์เข้าในพืชที่เกิดจากยอด. 
                 ในอรรถกถามหาปัจจรีเป็นต้น ท่านกล่าวไว้ว่า แหน๒- ไม่มีราก และหน่อและตระไคร้นํ้าเป็นต้น เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ. เหตุในคำนั้นไม่ปรากฏ. ในอันธกอรรถกถา ท่านกล่าวไว้ว่า ยังไม่เป็นภูตคามที่สมบูรณ์ เหตุนั้นจึงเป็นทุกกฏ. แม้คำในอันธกอรรถกถานั้น ก็ไม่สมกัน (กับพระบาลี). 
                 จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าปรับปาจิตตีย์ในเพราะภูตคาม, ปรับทุกกฏในเพราะพีชคาม. 
                 ชื่อว่า ภูตคามอันไม่สมบูรณ์ เป็นโกฏฐาสที่ ๓ ไม่ได้มาในบาลี ไม่ได้มาในอรรถกถาทั้งหลายเลย. ก็ถ้าจะพึงมีมติว่า แหนไม่มีรากและหน่อนั้น จักถึงการสงเคราะห์เข้าในพีชคามไซร้, แม้คำนั้นก็ไม่ควร เพราะพืชเช่นนั้น ไม่เป็นมูลเหตุแห่งภูตคามเลย. 
                อีกนัยหนึ่ง คำว่า บรรดาฐานะที่หนักและเบา ภิกษุควรตั้งอยู่ในฐานะที่หนัก นี้เป็นลักษณะแห่งวินัย.
 ๑- ๑. โยชนาปาฐะ ๒/๒๕-๑ ตตฺถ ติลพีชกเสวาโล นาม อุปริ ขฺทฺทกปตฺโต เหฏฺฐา ขุทฺทกมูโล เสวาโล. สาสปเสวาโล นาม สาสปมตฺโต ขุทฺทกเสวาโล. แปลว่า บรรดาสาหร่ายเหล่านั้น ที่ชื่อว่า ติลพีชกสาหร่าย ได้แก่ สาหร่ายที่ข้างบนมีใบเล็กๆ ข้างล่างมีรากเล็กๆ ที่มีชื่อว่า สาสปสาหร่าย ได้แก่ สาหร่ายเล็กๆ มีขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด.
 ๒-๒. โยชนาปาฐะ ๒/๒๑ อนนฺตกติลกพีชโกติ อมูลงฺกุรติลพีชโก พืชขนาดเท่าเมล็ดงาไม่มีรากและหน่อ ชื่อว่าแหน. -ผู้ชำระ
[ว่าด้วยภูตคามที่เกิดบนบกและการพรากภูตคามนั้น] 
        วินิจฉัยในภูตคามที่เกิดบนบกต่อไป :- 
                 ส่วนที่เหลือของจำพวกต้นไม้ที่ถูกตัดจัดว่าเป็นตอไม้ที่เขียวสด. ในตอไม้เขียวสดนั้น ตอแห่งไม้กุ่ม ไม้กระถินพิมาน ไม้ประยงค์และไม้ขนุนเป็นต้น ย่อมงอกขึ้นได้. ตอไม้นั้น ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยภูตคาม. ตอแห่งต้นตาลและมะพร้าวเป็นต้น ย่อมไม่งอกขึ้นได้. ตอแห่งต้นตาลเป็นต้นนั้น ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยพีชคาม. 
                 ส่วนตอกล้วยที่ยังไม่ตกเครือ ท่านสงเคราะห์ด้วยภูตคาม. ตอกล้วยที่ตกเครือแล้ว ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยพีชคาม. แต่ต้นกล้วยที่ตกเครือแล้ว ท่านสงเคราะห์เข้าด้วยภูตคามเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ยังมีใบเขียวอยู่.
                   ไม้ไผ่ที่ตกขุยแล้ว ก็อย่างนั้น. แต่ไม้ไผ่ ในเวลาแห้งลงมาตั้งแต่ยอด จึงถึงอันสงเคราะห์ด้วยพีชคาม. สงเคราะห์ด้วยพีชคามชนิดไหน. ด้วยพีชคามชนิดเกิดจากข้อ อะไรเกิดจากต้นไผ่นั้น. จริงอยู่ ถ้าหากว่าอะไรๆ ไม่พึงเกิด. (ต้นไผ่ตกขุย) พึงถึงการสงเคราะห์เข้าในภูตคาม. 
                 ชนทั้งหลายตัดไม้ช้างน้าวเป็นต้น รวมเป็นกองไว้. กิ่งทั้งหลายแม้ประมาณศอกหนึ่งงอกออกจากท่อนไม้ที่รวมเป็นกองไว้ ย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าด้วยพีชคามเหมือนกัน.
                ชนทั้งหลายปักลงในพื้นดิน เพื่อประโยชน์เป็นมณฑปก็ดี เพื่อประโยชน์เป็นรั้วก็ดี เพื่อประสงค์จะปลูกเถาวัลย์ก็ดี. เมื่อจำพวกรากและใบงอกออกแล้ว ย่อมถึงอันนับเข้าเป็นภูตคามอีกแม้โดยแท้, ถึงอย่างนั้นเมื่องอกเพียงตุ่มรากหรือเพียงตุ่มใบก็สงเคราะห์เข้าเป็นพืชคามเท่านั้น. 
                 เมล็ดจำพวกใดจำพวกหนึ่ง ที่ชนทั้งหลายเอานํ้ารดชำไว้ในแผ่นดิน หรือว่าชนทั้งหลายใส่ดินเปียกลงในกระถางเป็นต้นเพาะไว้, เมล็ดทั้งหมดนั้น แม้เมื่องอกเพียงตุ่มราก หรือเพียงตุ่มใบ ก็จัดเป็นเพียงพืชเท่านั้น. 
                 ถ้าแม้นว่า รากทั้งหลายและหน่อข้างบนงอกออก ก็ยังจัดเป็นพืชนั่นแล ตลอดเวลาที่หน่อยังไม่เขียว, ก็เมื่อใบแห่งถั่วเขียวเป็นต้นงอกขึ้น หรือเมื่อหน่อแห่งข้าวเปลือกเป็นต้นเขียวสด เกิดใบมีสีเขียวแล้ว ย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าเป็นภูตคาม. 
                 รากแห่งเมล็ดตาลทั้งหลายงอกออกทีแรก เหมือนเขี้ยวสุกร. แม้เมื่องอกออกแล้ว ก็จัดเป็นพีชคามเหมือนกัน ตลอดเวลาที่ม้วนกลีบ ใบข้างบนยังไม่คลี่ออก. หน่องอกทะลุเปลือกมะพร้าวออกเหมือนไม้สลัก ก็จัดเป็นพีชคามอยู่นั่นเอง ตลอดเวลาที่ม้วนกลีบใบเขียวคล้ายกับเขามฤคยังไม่มี. แม้เมื่อรากยังไม่ออก กลีบใบเช่นนั้นเกิดขึ้นแล้ว ก็ถึงการสงเคราะห์เข้าในภูตคามที่ไม่มีราก. 
                 จำพวกเมล็ดมีเมล็ดมะม่วงเป็นต้น พระวินัยธรพึงตัดสินด้วยจำพวกข้าวเปลือกเป็นต้น. ก้านหรือรุกขชาติอย่างใดอย่างหนึ่งอื่นก็ดี เกิดที่ต้นไม้แล้ว คลุมโอบต้นไม้. ต้นไม้นั่นแหละเป็นฐานของก้านเป็นต้นนั้น. ภิกษุพรากก้านเป็นต้นนั้นก็ดี ถอนขึ้นจากต้นไม้นั้นก็ดี เป็นปาจิตตีย์. 
                 เถาวัลย์ชนิดหนึ่งไม่มีราก ย่อมพันพุ่มไม้ป่าและท่อนไม้ดุจวงแหวน (ฝอยทอง), แม้เถาวัลย์นั้นก็มีวินิจฉัยอย่างนี้เหมือนกัน. ที่หน้ามุขเรือน กำแพงชุกชี และเจดีย์เป็นต้น มีตระไคร้น้ำสีเขียว. ตลอดเวลาที่ยังไม่เกิดใบ ๒-๓ ใบ ย่อมถึงการสงเคราะห์เข้าเป็นพืชเกิดจากยอด. เมื่อใบทั้งหลายเกิดแล้ว เป็นวัตถุแห่งปาจิตตีย์. เพราะเหตุนั้น จะให้การฉาบปูนขาวในฐานะเช่นนั้น ไม่ควร. 
               จะให้การฉาบน้ำปูนขาวที่ละเอียดบนที่อันอนุปสัมบันฉาบแล้ว ควรอยู่. ถ้าในฤดูร้อนตระไคร้น้ำแห้งติดอยู่. จะเอาไม้กวาดเป็นต้นขูดตระไคร้น้ำนั้นออกเสีย ควรอยู่. ตระไคร้น้ำข้างนอกหม้อน้ำดื่มเป็นต้น เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ, อยู่ภายในเป็นอัพโพหาริก. แม้เห็ดราที่ไม้ชำระฟันและขนมเป็นต้น เป็นอัพโพหาริกเหมือนกัน. 
                 สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ถ้าฝาที่เขากระทำบริกรรมด้วยยางไม้เกิดเป็นเห็ดรา ภิกษุพึงชุบผ้าให้เปียกบีบแล้วเช็ดเถิด.๑- 
                 ปาสาณชาติ ปาสาณทัททุ เสวาละ เสเลยยกะ๒- (ราหิน ตะไคร้หิน สาหร่าย และเอื้องหินหรือเอื้องผา) เป็นต้น ยังไม่มีสีเขียวสด และไม่มีใบ เป็นวัตถุแห่งทุกกฏ. เห็ด เป็นวัตถุแห่งทุกกฏตลอดเวลาที่ยังตูมอยู่. จำเดิมแต่บานแล้ว เป็นอัพโพหาริก. ก็ภิกษุเก็บเห็ดจากต้นไม้สดแกะเอาเปลือกต้นไม้ออก เพราะเหตุนั้น จึงเป็นปาจิตตีย์ ในเพราะการแกะเปลือกไม้นั้น. แม้ในสะเก็ดไม้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
                 สะเก็ดแห่งต้นช้างน้าว และต้นกุ่มเป็นต้น หลุดจากต้นแล้ว ยังเกาะอยู่. เมื่อภิกษุถือเอาสะเก็ดนั้น ไม่เป็นอาบัติ. แม้ยางไม้ไหลออกจากต้นไม้แล้ว ยังติดอยู่ก็ดี ติดอยู่ที่ต้นไม้แห้งก็ดี จะถือเอา ควรอยู่. จะถือเอาจากต้นที่ยังสด ไม่ควร. แม้ในครั่ง ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. เมื่อภิกษุเขย่าต้นไม้ ให้ใบเหลืองหล่นก็ดี 
               ทำให้ดอกมีดอกกรรณิการ์โรยเป็นต้นหล่นก็ดี เป็นปาจิตตีย์ทั้งนั้น. แม้ภิกษุจารึกตัวอักษรลงบนต้นไม้ มีต้นช้างน้าว และต้นสลัดไดเป็นต้น ตรงที่ยังอ่อนก็ดี ที่ใบตาลซึ่งเกิดอยู่บนต้นตาลเป็นต้นนั้นก็ดี ด้วยความคะนองมือ ก็นัยนี้นั่นแล. 
                เมื่อพวกสามเณรเลือกเก็บดอกไม้อยู่ ภิกษุจะเหนี่ยวกิ่งลงให้ ก็ควร. แต่ภิกษุอย่าพึงอบน้ำดื่มด้วยดอกไม้เหล่านั้น. ภิกษุต้องการอบกลิ่นน้ำดื่ม พึงอุ้มสามเณรขึ้นแล้วให้เก็บดอกไม้ให้. แม้กิ่งไม้ที่มีผล ตนเองต้องการจะขบฉัน อย่าพึงเหนี่ยวลงมา. พึงอุ้มสามเณรขึ้นแล้วให้เก็บผลไม้. 
               จะจับฉุดมาร่วมกับสามเณรทั้งหลายผู้กำลังถอนไม้กอ หรือเถาวัลย์อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ควร. แต่เพื่อให้เกิดความอุตสาหะแก่สามเณรเหล่านั้น จะจับที่ปลายแสดงท่าทีฉุด ดุจกำลังลากมา ควรอยู่. 
                 ภิกษุกรีดกิ่งต้นไม้ที่มีกิ่งงอกขึ้น อันตนมิได้ให้อุปสัมบันทำให้เป็นกัปปิยะถือเอา เพื่อประโยชน์แก่พัดไล่แมลงวันเป็นต้น ที่เปลือกหรือที่ใบ โดยที่สุดแม้ด้วยเล็บมือ เป็นทุกกฏ. 
             แม้ในขิงสดเป็นต้นก็นัยนี้แล. ก็ถ้าหากว่า รากแห่งขิงสดที่ภิกษุให้กระทำให้เป็นกัปปิยะแล้ว เก็บไว้ในพื้นที่เย็น งอกขึ้น จะตัดที่ส่วนเบื้องบนควรอยู่. ถ้าเกิดหน่อจะตัดที่ส่วนข้างล่าง ก็ควร. เมื่อรากกับหน่อเขียวเกิดแล้ว จะตัดไม่ควร.
 ๑- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๔๓๙/หน้า๒๔๙ ๒- วิมติ ; สาเลยฺยกํ นาม สิลาย สมภูตา เอกา คนฺธชาติ. แปลว่า ของหอมชนิดหนึ่งเกิดจากหิน ชื่อว่า สาเลยยกะ. เห็นจะได้แก่ ที่เรียกกันว่าเมือกผา หรือโมกผา สารตฺถทีปนี ๓/๒๖๕ สาเลยฺยกํ นาม สิลาย สมฺภูตฺ เอกา สคนฺธชาติ. -ผู้ชำระ.
 [ว่าด้วยการตัดทำลายเผาเองและใช้ให้ทำเป็นต้น] 
                 สองบทว่า ฉินฺทติ วา ฉินฺทาเปติ วา มีความว่า ภิกษุเมื่อจะกวาดพื้นดิน ด้วยคิดว่า เราจักตัดหญ้า ตัดเองก็ดี ใช้คนอื่นให้ตัดก็ดี โดยที่สุดแม้ด้วยซี่ไม้กวาด. 
                 สองบทว่า ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา มีความว่า โดยที่สุดแม้เมื่อจะเดินจงกรมแกล้งเอาเท้าทั้งสองเหยียบไป ด้วยคิดว่า สิ่งที่จะขาดจงขาดไป, สิ่งที่จะแตก จงแตกไป, เราจักแสดงที่ที่เราจงกรม ดังนี้ ย่อมทำลายเองก็ดี ใช้คนอื่นให้ทำลายก็ดี ซึ่งหญ้าและเถาวัลย์เป็นต้น. ถ้าแม้นว่า เมื่อภิกษุทำหญ้าและเถาวัลย์ให้เป็นขมวด หญ้าและเถาวัลย์จะขาด, แม้ทำให้เป็นขมวด ก็ไม่ควร. 
                 ก็ชนทั้งหลายย่อมตอกไม้แมงมุม (หุ่นยนต์แมงมุม) ผูกหนามที่ต้นตาลเป็นต้น เพื่อต้องการไม่ให้พวกโจรขึ้นลัก. การกระทำอย่างนั้น ไม่ควรแก่ภิกษุ. ก็ถ้าว่า หุ่นยนต์แมงมุมเป็นแต่เพียงติดอยู่ที่ต้นไม้เท่านั้น, ไม่บีบรัดต้นไม้ ควรอยู่ แม้จะกล่าวว่า เธอจงตัดต้นไม้ จงตัดเถาวัลย์ จงถอนเหง้า หรือราก ดังนี้ ก็ควรอยู่ เพราะเป็นคำพูด ไม่กำหนดลงแน่นอน. แต่จะกำหนดลงไป พูดคำเป็นต้นว่า จงตัดต้นไม้นี้ ไม่ควร. 
                ถึงแม้การระบุชื่อกล่าวคำเป็นต้นว่า จงตัด จงทุบ จงถอน ต้นมะม่วง เถาสี่เหลี่ยม หัวเผือกมัน หญ้ามุงกระต่าย สะเก็ดต้นไม้โน้น ดังนี้ ก็เป็นคำที่ไม่กำหนดแน่นอนเหมือนกัน. แท้จริง คำเป็นต้นว่า ต้นมะม่วงนี้ เท่านั้น ชื่อว่าเป็นคำกำหนดแน่นอน, คำนั้น ไม่ควร. 
                 สองบทว่า ปจติ วา ปจาเปติ วา มีความว่า บัณฑิตพึงทราบคำทั้งปวง โดยนัยดังได้กล่าวแล้วในปฐวีขนนสิกขาบทนั้นแลว่า ชั้นที่สุด แม้ประสงค์จะระบมบาตร แกล้งก่อไฟข้างบนกองหญ้าเป็นต้น เผาเองก็ดี ใช้คนอื่นให้เผาก็ดี ดังนี้. แต่จะกล่าวไม่กำหนดแน่นอนว่า จงต้มถั่วเขียว จงต้มถั่วเหลือง เป็นต้น ควรอยู่. จะกล่าวอย่างนี้ว่า จงต้มถั่วเขียวเหล่านี้, จงต้มถั่วเหลืองเหล่านี้ ไม่ควร. 
                 ในคำว่า อนาปตฺติ อิมํ ชาน เป็นต้น บัณฑิตพึงเห็นเนื้อความอย่างนี้ว่า เธอจงรู้มูลเภสัชนี้ จงให้รากไม้ หรือใบไม้นี้ก็ดี จงนำต้นไม้หรือเถาวัลย์นี้มาก็ดี ต้องการดอกไม้หรือผลไม้หรือใบไม้นี้ก็ดี จงกระทำต้นไม้ หรือเถาวัลย์ หรือว่าผลไม้นี้ ให้เป็นกัปปิยะก็ดี. 
                ด้วยคำเพียงเท่านี้ ย่อมเป็นอันภิกษุกระทำการปลดเปลื้องภูตคาม. แต่ภิกษุผู้จะบริโภคพึงให้อนุปสัมบันทำให้เป็นกัปปิยะซ้ำอีก เพื่อปลดเปลื้องพีชคาม.
 [อธิบายการทำกัปปิยะและวัตถุที่ใช้ทำกัปปิยะ] 
                 ก็การกระทำกัปปิยะในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบโดยกระแสแห่งสูตรนี้ว่า 
                 ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเพื่อบริโภคผลไม้ ด้วยสมณกัปปะ (สมณโวหาร) ๕ คือผลที่จี้ด้วยไฟ ที่แทงด้วยมีด ที่จิกด้วยเล็บ ผลที่ไม่มีเมล็ด ที่ปล้อนเม็ดออกแล้ว เป็นที่คำรบ ๕.-
                 บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อคฺคิปริจิตํ มีอรรถว่า ฉาบ คือลวก เผา จี้แล้วด้วยไฟ. 
                 บทว่า สตฺถกปริจิตํ มีอรรถว่า จด คือฝาน ตัด หรือแทงแล้วด้วยมีดเล็กๆ. ในข้อว่า จิกด้วยเล็บ ก็นัยนี้นั่นแล. ผลไม้ที่ไม่มีเมล็ดและผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออกแล้ว เป็นกัปปิยะด้วยตัวมันเองแท้. 
                 ภิกษุเมื่อจะทำกัปปิยะด้วยไฟ พึงทำกัปปิยะด้วยบรรดาไฟฟืนและไฟโคมัยเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุดแม้ด้วยแท่งโลหะที่ร้อน. ก็แลวัตถุนั้นจับไว้ข้างหนึ่ง พึงกล่าวคำว่า กัปปิยัง๒- แล้วทำเถิด. 
                 เมื่อจะทำด้วยมีดแสดงรอยตัด รอยผ่า ด้วยปลายหรือด้วยคมแห่งมีดที่ทำด้วยโลหะอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุดแม้แห่งเข็มและมีดตัดเล็บเป็นต้น. พึงกล่าวว่า กัปปิยัง แล้วทำเถิด. 
                เมื่อจะทำกัปปิยะด้วยเล็บ อย่าพึงทำด้วยเล็บเน่า. ก็เล็บของพวกมนุษย์ สัตว์ ๔ เท้ามีสีหะ เสือโคร่ง เสือเหลืองและลิงเป็นต้น และแห่งนกทั้งหลายเป็นของแหลมคม, พึงทำด้วยเล็บเหล่านั้น. กีบแห่งสัตว์มีม้า กระบือ สุกร เนื้อและโคเป็นต้น ไม่คม, อย่าพึงทำด้วยกีบเหล่านั้น. แม้ทำแล้วก็ไม่เป็นอันทำ. 
                ส่วนเล็บช้าง ไม่เป็นกีบ. จะทำกัปปิยะด้วยเล็บช้างเหล่านั้น ควรอยู่. แต่การทำกัปปิยะด้วยเล็บเหล่าใด สมควร, พึงแสดงการตัด การจิกด้วยเล็บเหล่านั้นที่เกิดอยู่ในที่นั้นก็ดี ที่ยกขึ้นถือไว้ก็ดี กล่าวว่า กัปปิยัง แล้วกระทำเถิด. 
                 บรรดาพืชเป็นต้นเหล่านั้น ถ้าแม้นว่าพืชกองเท่าภูเขาก็ดี ต้นไม้จำนวนพันที่เขาตัดแล้ว ทำให้เนื่องเป็นอันเดียวกันกองไว้ก็ดี อ้อยมัดใหญ่ที่เขามัดรวมไว้ก็ดี, เมื่อทำพืชเมล็ดหนึ่ง กิ่งไม้กิ่งหนึ่งหรืออ้อยลำหนึ่งให้เป็นกัปปิยะแล้ว ย่อมเป็นอันทำให้เป็นกัปปิยะแล้วทั้งหมด. อ้อยลำและไม้ฟืนเป็นของอันเขามัดรวมกันไว้. 
               อนุปสัมบันจะแทงไม้ฟืนด้วยตั้งใจว่า เราจักกระทำอ้อยให้เป็นกัปปิยะ ดังนี้ ก็ควรเหมือนกัน. แต่ถ้าเป็นของที่เขาผูกมัดด้วยเชือกหรือด้วยเถาวัลย์ใด จะแทงเชือกหรือเถาวัลย์นั้น ไม่ควร. 
                ชนทั้งหลายบรรจุกระเช้าให้เต็มด้วยลำอ้อยท่อนแล้วนำมา. เมื่อทำอ้อยท่อนลำหนึ่งให้เป็นกัปปิยะแล้ว อ้อยท่อนทั้งหมดย่อมเป็นอันทำให้กัปปิยะแล้วเหมือนกัน. 
                 ก็ถ้าว่า พวกทายกนำภัตปนกับพริกสุกเป็นต้นมา, เมื่อภิกษุกล่าวว่า จงกระทำกัปปิยะ ถ้าแม้นว่า อนุปสัมบันแทงที่เมล็ดข้าวสวย ก็สมควรเหมือนกัน. แม้ในเมล็ดงาและข้าวสารเป็นต้น ก็นัยนี้นั่นแล. แต่พริกสุกเป็นต้นนั้นที่เขาใส่ลงในข้าวต้ม ไม่ตั้งอยู่ติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน. บรรดาพริกสุกเป็นต้นนั้น พึงทำกัปปิยะแทงที่ละเมล็ดนั่นเทียว. 
             เยื่อในแห่งผลมะขวิดเป็นต้น ร่อนเปลือกแล้วคลอนอยู่ (หลุดจากกะลาคลอนอยู่ข้างใน) ภิกษุพึงให้ทุบแล้วให้ทำกัปปิยะ. (ถ้า) ยังติดเนื่องเป็นอันเดียวกัน (กับเปลือก), จะทำ (กัปปิยะ) แม้ทั้งเปลือก (ทั้งกะลา) ก็สมควร. 
- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๒๕/หน้า ๑๑ ๒- อุปสัมบันผู้ให้ทำกัปปิยะกล่าวว่า "กปฺปิยํ กโรหิ" อนุปสัมบันผู้ทำกัปปิยะเอามือหนึ่งจับสิ่งของที่จะทำกัปปิยะ มือหนึ่งจับวัตถุที่จะใช้ทำกัปปิยะ มีมีดเป็นต้นแล้ว ตัดหรือผ่าหรือจี้ลงไปที่สิ่งของนั้นพร้อมกล่าวว่า "กปฺปิยํ ภนฺเต" เป็นเสร็จพิธี. = ผู้ชำระ. 
 [อธิบายอนาปัตติวาร] 
                 บทว่า อสญฺจิจฺจ มีความว่า เมื่อภิกษุกลิ้งหินและต้นไม้เป็นต้นก็ดี ฉุดลากกิ่งไม้ก็ดี เอาไม้เท้ายันพื้นดินเดินไปก็ดี หญ้าเป็นต้นขาดไป. หญ้าเหล่านั้น ย่อมชื่อว่า เป็นอันภิกษุไม่ได้จงใจทำให้ขาด เพราะไม่ได้จงใจตัดอย่างนี้ว่า เราจักตัดหญ้า ด้วยการกลิ้งเป็นต้นนั้น. ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่แกล้งตัดอย่างนี้. 
                บทว่า อสติยา มีความว่า ส่งใจไปทางอื่นยืนพูดอะไรๆ กับใครๆ เอาหัวแม่เท้า หรือมือเด็ดหญ้า หรือเถาวัลย์อยู่, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ตัด เพราะไม่มีสติอย่างนี้. 
                 บทว่า อชานนฺตสฺส มีความว่า ภิกษุไม่รู้ว่า พีชคาม หรือว่า ภูตคาม มีอยู่ในภายในนี้ ทั้งไม่รู้ว่า เรากำลังตัด วางสิ่ว เสียมและจอบที่รั้ว หรือที่กองฟาง เพื่อต้องการเก็บรักษาอย่างเดียว หรือว่า มือถูกไฟไหม้ ทิ้งไฟลงก็ดี, 
                 ถ้าว่าในที่นั้น หญ้าเป็นต้น ขาดก็ดี ถูกไฟไหม้ก็ดี ไม่เป็นอาบัติ. แต่ในทุกๆ อรรถกถาในมนุสสวิคคหปาราชิกวรรณนา ท่านกล่าวไว้ว่า ถ้าภิกษุถูกต้นไม้โค่นทับ หรือว่าตกลงในหลุม และอาจเพื่อจะตัดต้นไม้แล้ว กลิ้งต้นไม้นั้นไปเสีย หรือขุดแผ่นดินแล้วออกมาได้, 
             ภิกษุไม่ควรจะกระทำด้วยตนเอง แม้เพราะเหตุแห่งชีวิต, แต่ภิกษุอื่นจะขุดพื้นดิน หรือตัดต้นไม้ หรือว่าตัดท่อนไม้จากต้นไม้สด งัดต้นไม้นั้นไปแล้ว ให้ (ภิกษุนั้น) ออกมาควรอยู่ ไม่เป็นอาบัติ. 
                 เหตุในคำนั้นไม่ปรากฏ. แต่ปรากฏเพียงสูตรเดียวนี้เท่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตอนุญาตให้จุดไฟรับ ให้ทำการป้องกัน ในเมื่อไฟป่ากำลังไหม้มา๑- ดังนี้. 
                 ถ้าว่า (การขุดดินเป็นต้น) จะอนุโลมเข้าสูตรนี้ได้ ก็ไม่อาจได้เหตุแตกต่างกันนี้ว่า เพื่อตนไม่ควร เพื่อผู้อื่นควร. 
                 ถ้าในสูตรนี้ อาจารย์ผู้โจทก์พึงกล่าวว่า ภิกษุผู้ทำเพื่อประโยชน์ตนเอง ย่อมกระทำด้วยอกุศลจิต เพราะรักตนเท่านั้น, แต่ภิกษุอื่นกระทำให้ด้วยความการุณ เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นอาบัติ. แม้คำที่ว่าเพื่อประโยชน์แก่ตน นั่นก็ไม่ใช่เหตุ. 
                 จริงอยู่ ภิกษุย่อมต้องอาบัตินี้ แม้ด้วยอกุศลจิต แต่เพราะคำนี้ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทุกแห่ง จึงไม่อาจเพื่อจะค้านได้, บัณฑิตจึงควรแสวงหายุติในคำนี้, อีกอย่างหนึ่งพึงรับไว้โดยเชื่อต่ออรรถกถาจารย์ทั้งหลายแล. 
                       บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล. 
 ๑- วิ. จุลฺ. เล่ม ๗/ข้อ ๑๗๗/หน้า ๖๙ 
 ภูตคามสิกขาบทที่ ๑ จบ.

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี [ว่าด้วย ขุดดิน] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี
                    [๓๔๙] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ อัคคาฬวเจดีย์ เขตรัฐอาฬวี. 
                   ครั้งนั้น พวกภิกษุชาวรัฐอาฬวีช่วยกันทำนวกรรม ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพี? พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ย่อมเบียดเบียนอินทรีย์ อย่างหนึ่ง ซึ่งมีชีวะ. 
          ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ภิกษุชาวรัฐอาฬวีจึงได้ขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
                    พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอขุดเองบ้าง ให้คนอื่นขุด บ้างซึ่งปฐพี จริงหรือ?
                 ภิกษุชาวรัฐอาฬวีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงได้ขุด เองบ้าง ให้คนอื่นขุดบ้างซึ่งปฐพีเล่า? เพราะคนทั้งหลายสำคัญในปฐพีว่ามีชีวะ การกระทำ ของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่ง ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๙. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุใด ขุดก็ดี ให้ขุดก็ดี ซึ่งปฐพี, เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องภิกษุชาวรัฐอาฬวี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๓๕๐] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด ... 
              บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. 
              ที่ชื่อว่า ปฐพี ได้แก่ปฐพี ๒ อย่าง คือ ปฐพีแท้อย่างหนึ่ง ปฐพีไม่แท้อย่างหนึ่ง. 
             ที่ชื่อว่า ปฐพีแท้ คือ มีดินร่วนล้วน มีดินเหนียวล้วน มีหินน้อย มีกรวดน้อยมีกระเบื้องน้อย มีแร่น้อย มีทรายน้อย มีดินร่วนมาก มีดินเหนียวมาก แม้ดินที่ยังไม่ได้เผาไฟก็เรียกว่า ปฐพีแท้. 
              กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดเกิน ๔ เดือนมาแล้ว แม้นี้ก็เรียกว่า ปฐพีแท้. 
              ที่ชื่อว่า ปฐพีไม่แท้ คือเป็นหินล้วน เป็นกรวดล้วน เป็นกระเบื้องล้วน เป็นแร่ล้วนเป็นทรายล้วน มีดินร่วนน้อย มีดินเหนียวน้อย มีหินมาก มีกรวด มีกระเบื้อง มีแร่ มีทรายมากแม้ดินที่เผาไฟแล้ว ก็เรียกว่า ปฐพีไม่แท้. 
              กองดินร่วนก็ดี กองดินเหนียวก็ดี ที่ฝนตกรดยังหย่อนกว่า ๔ เดือน, แม้นี้ก็เรียกว่าปฐพีไม่แท้. 
              [๓๕๑] บทว่า ขุด คือ ขุดเอง ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              บทว่า ให้ขุด คือ ใช้ให้คนอื่นขุด ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              สั่งครั้งเดียว เขาขุดแม้หลายครั้ง ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
บทภาชนีย์
            [๓๕๒] ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
              ปฐพี ภิกษุสงสัย ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า มิใช่ปฐพี ขุดเองก็ดี ใช้ให้เขาขุดก็ดี ทำลายเองก็ดี ใช้ให้เขาทำลายก็ดี เผาไฟเองก็ดี ใช้ให้เขาเผาไฟก็ดี ไม่ต้องอาบัติ. 
                 มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่า ปฐพี ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                 มิใช่ปฐพี ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
              ไม่ต้องอาบัติ              มิใช่ปฐพี ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ปฐพี ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
        [๓๕๓] ภิกษุกล่าวว่า ท่านจงรู้ดินนี้ ท่านจงให้ดินนี้ ท่านจงนำดินนี้มา เรามีความต้องการด้วยดินนี้ ท่านจงทำดินนี้ให้เป็นกัปปิยะ ดังนี้ ๑ ภิกษุไม่แกล้ง ๑ ภิกษุไม่มีสติ ๑ ภิกษุไม่รู้ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
ปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
                  ๑. มุสาวาทสิกขาบท   ว่าด้วยพูดเท็จ 
                  ๒. โอมสวาทสิกขาบท  ว่าด้วยพูดเสียดสี
                  ๓. เปสุญญสิกขาบท ว่าด้วยพูดส่อเสียด
                 ๔. ปทโสธัมมสิกขาบท ว่าด้วยสอนธรรมว่าพร้อมกัน 
           ๕. ปฐมสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับอนุปสัมบัน 
            ๖. ทุติยสหเสยยสิกขาบท ว่าด้วยนอนร่วมกับมาตุคาม 
            ๗. ธัมมเทสนาสิกขาบท ว่าด้วยแสดงธรรม 
            ๘. ภูตาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอุตตริมนุสสธรรม 
            ๙. ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบท ว่าด้วยบอกอาบัติชั่วหยาบ 
           ๑๐. ปฐวีขณนสิกขาบท ว่าด้วยขุดดิน 
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑
สิกขาบทที่ ๑๐     มุสาวาทวรรค ปฐวีขนน
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถ เรื่องปฐพีแท้ไม่แท้] 
                 พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปฐพีแท้ และปฐพีไม่แท้ ด้วยบทเหล่านี้ว่า ชาตา จ ปฐวี อชาตา จ ปฐวี ดังนี้.
                 ในบททั้งหลายมีบทว่ามีหินน้อยเป็นต้น ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความอย่างนี้ว่า ที่ปฐพีแท้นี้มีหินน้อย ฉะนั้น จึงชื่อว่า อัปปปาสาณะ. 
                 ในบทว่า มีหินน้อย เป็นต้นนั้น พึงทราบว่า มีหินเกินกว่าขนาดกำมือหนึ่ง. กรวด ก็พึงทราบว่า มีขนาดกำมือหนึ่ง. เศษกระเบื้องชื่อ กถลา. ก้อนกรวดที่ปรากฏ (หินกรวดคล้ายวลัย) ชื่อ มรุมพา. ทรายนั่นแหละ ชื่อว่า วาลุกา. 
                 สองบทว่า เยภุยฺเยน ปํสุ มีความว่า ใน ๓ ส่วน ๒ ส่วนเป็นดินร่วนเสีย, ส่วนหนึ่งเป็นหินเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่ง. 
                บทว่า อทฑฺฒาปิ มีความว่า ยังไม่ได้เผาไฟ โดยประการใดประการหนึ่ง ด้วยอำนาจแห่งเตาไฟ ที่ระบมบาตร และเตาช่างหม้อเป็นต้น. ก็ปฐพีที่ยังไม่ได้เผาไฟนั้น ไม่มีต่างหาก, พึงทราบว่าเป็นปฐพีชนิดใดชนิดหนึ่ง มีดินซุยล้วนเป็นต้น.  
                สองบทว่า เยภุยฺเยน สกฺขรา ได้แก่ มีก้อนกรวดมากกว่า. 
                 ได้ยินว่า ในหัตถิกุจฉิประเทศ พวกภิกษุให้ขนดินมาเต็มกระบุงหนึ่ง แล้วล้างในลำราง รู้ว่าเป็นปฐพีมีกรวดโดยมาก จึงขุดสระโบกขรณีเสียเอง. 
                 ก็สองบทว่า อปฺปปํสุ อปฺปมตฺติกา ซึ่งมีอยู่ตรงกลาง ผนวกเข้าหมวด ๕ มีหินโดยมากเป็นต้นนั่นแล. แท้จริง คำนี้เป็นคำแสดงชนิดแห่งปฐพีทั้ง ๒ นั้นนั่นแล. 
                 ในคำว่า สยํ ขนติ อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺส นี้ ผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นปาจิตตีย์ทุกๆ ครั้งที่ขุด.
                 คำว่า สกึ อาณตฺโต พหุกํปิ ขนติ มีความว่า ถ้าแม้นว่า ผู้รับสั่งขุดตลอดทั้งวัน ก็เป็นปาจิตตีย์ตัวเดียวเท่านั้นแก่ผู้สั่ง. แต่ถ้าผู้รับสั่งเป็นคนเกียจคร้าน ผู้สั่งต้องสั่งบ่อยๆ เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุผู้สั่งให้เขาขุดทุกๆ คำ. 
                 พรรณนาบาลีเท่านี้ก่อน.
 [บาลีมุตตกวินิจฉัยว่าด้วยการขุดดินเป็นต้น] 
                 ส่วนวินิจฉัยนอกพระบาลี ดังต่อไปนี้ :- 
                 ภิกษุกล่าวว่า เธอจงขุดสระโบกขรณี ดังนี้ ควรอยู่. เพราะว่า สระที่ขุดแล้วเท่านั้น จึงชื่อว่าเป็นสระโบกขรณี ฉะนั้น โวหารนี้เป็นกัปปิยโวหาร. 
                      แม้ในคำเป็นต้นว่า จงขุด บึง บ่อ หลุม ดังนี้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แต่จะกล่าวว่า จงขุดโอกาสนี้ จงขุดสระโบกขรณีในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่ควร. จะกล่าวไม่กำหนดแน่นอนลงไปว่า จงขุดเหง้า จงขุดราก ดังนี้ 
                     ควรอยู่. จะกล่าวว่า จงขุดเถาวัลย์นี้ จงขุดเหง้าหรือรากในโอกาสนี้ ดังนี้ ไม่สมควร. 
                 เมื่อชำระสระโบกขรณี อาจจะเอาหม้อวิดเปือกตมเหลวๆ ใดออกได้, จะนำเปือกตมนั้นออก ควรอยู่. จะนำเปือกตมที่ข้นออก 
                  ไม่ควร. เปือกตมแห้งเพราะแสงแดด แตกระแหง. ในเปือกตมแห้งนั้น ส่วนใดไม่เนื่องกับแผ่นดินในเบื้องล่าง, จะนำเปือกตมนั้นแลออก 
                  ควรอยู่. ชื่อว่าระแหง (แผ่นคราบน้ำ,๑- ดินร่วนเพราะน้ำแห้ง) มีอยู่ในที่น้ำไหลไป, ย่อมไหวเพราะถูกลมพัด จะนำเอาระแหงนั้นออก ควรอยู่. ฝั่ง (ตลิ่ง) แห่งสระโบกขรณีเป็นต้น พังตกลงไปริมน้ำ. ถ้าถูกฝนตกรดต่ำกว่า ๔ เดือน จะฟันออกหรือทุบออก ก็ควร. ถ้าเกิน ๔ เดือน 
                      ไม่ควร. แต่ถ้าตกลงในน้ำเลย. แม้เมื่อฝนตกรดเกิน ๔ เดือนแล้ว ก็ควร เพราะน้ำ (ฝน) ตกลงไปในน้ำเท่านั้น.
 ๑- วิมติ ; แก้ว่า อุทกปปฺปฏโกติ อุทเก อนฺโตภูมิยํ ปวิฏฺเฐ ตสฺส อุปริภาคํ ฉาเทตฺวา ตนุปํสุ วา มตฺติกา วา ปฏลํ หุตฺวา ปตมานา ติฏฺฐติ, ตสฺมึ อุทเก สุกฺเขปิ ตํ ปฎลํ วาเตน จลมานา ติฏฺฐติ, ตํ อุทกปปฺปฏโก นาม-ผู้ชำระ. 
                 ภิกษุทั้งหลายขุด (เจาะ) สะพังน้ำ (ตระพังหิน) บนหินดาด. ถ้าแม้นว่า ผงละเอียดตกลงไปในตระพังหินนั้น ตั้งแต่แรกทีเดียว. ผงละเอียดนั้นถูกฝนตกรด, ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน จึงถึงอันนับว่า เป็นอกัปปิยปฐพี. 
   เมื่อน้ำงวดแล้ว (แห้งแล้ว) พวกภิกษุผู้ชำระตระพังหิน จะแยกผงละเอียดนั้นออก ไม่ควร. ถ้าเต็มด้วยน้ำอยู่ก่อน, ผงละอองตกลงไปภายหลัง, จะแยกผงละอองนั้นออก ควรอยู่. 
   แท้จริง แม้เมื่อฝนตกในตระพังหินนั้น น้ำย่อมตกลงในน้ำเท่านั้น. ผงละเอียดมีอยู่บนพวกหินดาด ผงละเอียดนั้น เมื่อถูกฝนตกซะอยู่ ก็ติดกันเข้าอีก. จะแยกผงละอองแม้นั้นออกโดยล่วง ๔ เดือนไป ไม่ควร. 
                 จอมปลวกเกิดขึ้นที่เงื้อมเป็นเองไม่มีคนสร้าง, จะแยกออกตามสะดวก ควรอยู่. ถ้าจอมปลวกเกิดขึ้นในที่แจ้ง ถูกฝนตกรดต่ำกว่า ๔ เดือนเท่านั้น จึงควร. แม้ในดินเหนียวของตัวปลวกที่ขึ้นไปบนต้นไม้เป็นต้น มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แม้ในขุยไส้เดือน ขุยหนู และระแหงกีบโคเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
   เปือกตมที่ถูกตัดด้วยกีบฝูงโค (โคลนรอยกีบฝูงโค) เรียกว่าระแหงกีบโค. ก็ถ้าว่า ระแหงกีบโคนั้น ติดกับแผ่นดินทางพื้นล่าง, แม้ในวันเดียวจะแยกออก ก็ไม่ควร.
   ภิกษุถือเอาก้อนดินเหนียวที่ถูกไถตัดแม้ในที่ที่ชาวนาไถไว้ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
                 เสนาสนะเก่า ไม่มีหลังคา หรือมีหลังคาพังก็ตาม ถูกฝนตกรดเกิน ๔ เดือน ย่อมถึงซึ่งอันนับว่า ปฐพีแท้เหมือนกัน. ภิกษุจะถือเอากระเบื้องมุงหลังคา หรือเครื่องอุปกรณ์มีกลอนเป็นต้น ที่เหลือจากเสนาสนะเก่านั้น ด้วยสำคัญว่า เราจะเอาอิฐ จะเอากลอน จะเอาเชิงฝา จะเอากระดานปูพื้น จะเอาเสาหิน ดังนี้ ควรอยู่. 
  ดินเหนียวตกลงติดกับกระเบื้องหลังคาเป็นต้นนั้น ไม่เป็นอาบัติ. แต่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เอาดินเหนียวที่ฉาบฝา. ถ้าดินก้อนใดๆ ไม่เปียกชุ่ม, 
ภิกษุถือเอาดินก้อนนั้นๆ ไม่เป็นอาบัติ. 
                ภายในเรือนมีกองดิน เมื่อกองดินนั้นถูกฝนตกรดเสียวันหนึ่ง ชนทั้งหลายจึงมุงเรือน. ถ้ากองดินเปียกทั้งหมด, ต่อล่วงไปได้ ๔ เดือน กลายเป็นปฐพีแท้เหมือนกัน. ถ้าส่วนเบื้องบนแห่งกองดินนั้นเท่านั้นเปียก ภายในไม่เปียก, 
   จะใช้ให้พวกกัปปิยการกคุ้ยเอาดินเท่าจำนวนที่เปียกออกเสีย ด้วยกัปปิยโวหารแล้ว ใช้สอยดินส่วนที่เหลือตามสะดวกก็ควร. 
              จริงอยู่ ดินที่เปียกน้ำแล้วจับติดเนื่องเป็นอันเดียวกันนั่นแล จัดเป็นปฐพีแท้, นอกนี้ไม่ใช่แล. 
                 กำแพงดินเหนียวอยู่ในที่แจ้ง ถ้าถูกฝนตกรดเกิน ๔ เดือน ย่อมถึงอันนับว่า ปฐพีแท้. แต่ภิกษุจะเอามือเปียกจับต้องดินร่วนอันติดอยู่ที่ปฐพีแท้นั้น ควรอยู่. ถ้าหากว่า เป็นกำแพงอิฐ, ตั้งอยู่ในฐานเป็นเศษกระเบื้องอิฐเสียโดยมาก จะคุ้ยเขี่ยออกตามสบาย ก็ได้. 
                 ภิกษุจะโยกเอาเสามณฑปที่ตั้งอยู่ในที่แจ้ง ไปทางโน้นทางนี้ ทำให้ดินแยกออก ไม่ควร. ยกขึ้นตรงๆ เท่านั้น จึงควร. สำหรับภิกษุผู้จะถือเอาต้นไม้แห้ง หรือตอไม้แห้งแม้อย่างอื่น ก็นัยนี้แล. 
                 ภิกษุทั้งหลายเอาพวกไม้ท่อนงัดหิน หรือต้นไม้กลิ้งไป เพื่อการก่อสร้าง. แผ่นดินในที่กลิ้งไปนั้น แตกเป็นรอย, ถ้าภิกษุทั้งหลายมีจิตบริสุทธิ์กลิ้งไป ไม่เป็นอาบัติ. แต่ทว่า 
                 ภิกษุทั้งหลาย เป็นผู้ใคร่จะทำลายแผ่นดินด้วยเลศนั้นนั่นเอง เป็นอาบัติ. พวกภิกษุผู้ลากกิ่งไม้เป็นต้นไปก็ดี ผ่าฟืนบนแผ่นดินก็ดี ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. จะตอกหรือจะเสียบแม้วัตถุอย่างใดอย่างหนึ่งมีกระดูก เข็มและหนามเป็นต้นลงไปในแผ่นดิน ก็ไม่ควร. 
                แม้จะถ่ายปัสสาวะ ด้วยคิดอย่างนี้ว่า เราจะพังแผ่นดินด้วยกำลังแห่งสายน้ำปัสสาวะ ก็ไม่ควร. 
               เมื่อภิกษุถ่าย ดินพัง เป็นอาบัติ. แม้จะเอาไม้กวาดครูดถู ด้วยคิดว่า เราจักทำพื้นดินที่ไม่เสมอ ให้เสมอ ดังนี้ ก็ไม่ควร. ความจริง ควรจะกวาดด้วยหัวข้อแห่งวัตรเท่านั้น. 
            ภิกษุบางพวกกระทุ้งแผ่นดิน ด้วยปลายไม้เท้า เอาปลายนิ้วหัวแม่เท้าขีดเขียน (แผ่นดิน). เดินจงกรมทำลายแผ่นดิน ครั้งแล้วครั้งเล่า ด้วยคิดว่า เราจักแสดงสถานที่ที่เราจงกรม ดังนี้, 
               กรรมเช่นนั้น ไม่ควรทุกอย่าง. แต่ภิกษุผู้กระทำสมณธรรมเพื่อยกย่องความเพียร มีจิตบริสุทธิ์ จงกรม สมควรอยู่. เมื่อกระทำ (การเดินจงกรมอยู่แผ่นดิน) จะแตกก็ไม่เป็นอาบัติ.              
                ภิกษุทั้งหลายครูดสีที่แผ่นดิน ด้วยคิดว่า จักล้างมือ ไม่ควร. ส่วนภิกษุผู้ไม่ครูดสี แต่วางมือเปียกลงบนแผ่นดิน แล้วแตะเอาละอองไป ได้อยู่. 
               ภิกษุบางพวกอาพาธด้วยโรคคันและหิดเป็นต้น จึงครูดสีอวัยวะใหญ่น้อยลงบนที่มีตลิ่งชันเป็นต้น, การทำนั้นก็ไม่สมควร.
 [ว่าด้วยการขุดเองและการใช้ให้ขุดแผ่นดินเป็นต้น] 
                 สองบทว่า ขนติ วา ขนาเปติ วา มีความว่า ภิกษุขุดเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นขุดก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุดด้วยปลายนิ้วเท้าบ้าง ด้วยซี่ไม้กวาดบ้าง. 
                 สองบทว่า ภินฺทติ วา ภินฺทาเปติ วา มีความว่า ภิกษุทำลายเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นทำลายก็ดี (ซึ่งแผ่นดิน) ชั้นที่สุด แม้จะเทน้ำ. 
                 สองบทว่า ทหติ วา ทหาเปติ วา มีความว่า ภิกษุเผาเองก็ดี ใช้ให้ผู้อื่นเผาก็ดี ชั้นที่สุดจะระบมบาตร. ภิกษุจุดไฟเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นจุด ในที่มีประมาณเท่าใด, เป็นปาจิตตีย์มีประมาณเท่านั้นตัว. 
                ภิกษุ แม้เมื่อจะระบมบาตร พึงระบมในที่เคยระบมแล้วนั่นแหละ. จะวางไฟลงบนแผ่นดินที่ไฟยังไม่ไหม้ ไม่ควร. แต่จะวางไฟลงบนกระเบื้องสำหรับระบมบาตร ควรอยู่.
                    วางไฟลงบนกองฟืน, ไฟนั้นไหม้ฟืนเหล่านั้น แล้วจะลุกลามเลยไปไหม้ดิน ไม่ควร. แม้ในที่มีอิฐและหินเป็นต้น ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
                 จริงอยู่ ในที่แม้นั้น จะวางไฟลงบนกองอิฐเป็นต้นนั่นแล ควรอยู่. เพราะเหตุไร? เพราะอิฐเป็นต้นนั้น มิใช่เชื้อไฟ. จริงอยู่ อิฐเป็นต้นนั้น ไม่ถึงอันนับว่า เป็นเชื้อแห่งไฟ. จะติดไฟแม้ที่ตอไม้แห้งและต้นไม้แห้งเป็นต้น ก็ไม่ควร. 
                 แต่ถ้าว่า ภิกษุจะติดไฟด้วยคิดว่า เราจักดับไฟที่ยังไม่ทันถึงแผ่นดินเสียก่อนแล้วจึงจักไป ดังนี้ ควรอยู่. 
                ภายหลังไม่อาจเพื่อจะดับได้ ไม่เป็นอาบัติ เพราะไม่ใช่วิสัย. ภิกษุถือคบเพลิงเดินไป เมื่อมือถูกไฟไหม้จึงทิ้งลงที่พื้น, ไม่เป็นอาบัติ. ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีว่า จะเติมเชื้อก่อไฟ ในที่คบเพลิงตกนั่นแหละ ควรอยู่. 
                  ท่านกล่าวไว้ในมหาปัจจรีนั้นนั่นแลว่า ก็ที่มีประมาณเท่าใด ในแผ่นดินซึ่งถูกไฟไหม้ ไอร้อนระอุไปถึง จะโกยที่ทั้งหมดนั้นออก ควรอยู่. 
                 ก็ภิกษุใดยังไม่รู้จะสีให้ไฟเกิดด้วยไม้สีไฟ เอามือหยิบขึ้นแล้วกล่าวว่า ผมจะทำอย่างไร? ภิกษุอื่นบอกว่า จงทำให้ลุกโพลงขึ้น. เธอกล่าวว่า มันจะไหม้มือผม จึงบอกว่า จงทำอย่างที่มันจะไม่ไหม้. แต่ไม่พึงบอกว่า จงทิ้งลงที่พื้น. 
                ถ้าว่า เมื่อไฟไหม้มือ เธอทิ้งลง, ไม่เป็นอาบัติ เพราะเธอไม่ได้ทิ้งลงด้วยตั้งใจว่า เราจักเผาแผ่นดิน. ท่านกล่าวไว้ในกุรุนทีว่า ถึงจะก่อไฟในที่ไฟตกลง ก็ควร. 
                 ก็ในคำว่า อนาปตฺติ อิมํ ชาน เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงทราบใจความอย่างนี้ คือ (ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กล่าวว่า) เธอจงรู้หลุมสำหรับเสานี้, จงรู้ดินเหนียวก้อนใหญ่, จงรู้ดินปนแกลบ, จงให้ดินเหนียวก้อนใหญ่, จงให้ดินปนแกลบ, จงนำดินเหนียวมา, จงนำดินร่วนมา, ต้องการดินเหนียว, ต้องการดินร่วน, จงทำหลุมให้เป็นกัปปิยะสำหรับเสานี้, จงทำดินเหนียวนี้ให้เป็นกัปปิยะ, จงทำดินร่วนนี้ให้เป็นกัปปิยะ. 
                 บทว่า อสญฺจิจฺจ มีความว่า เมื่อภิกษุกลิ้งหินและต้นไม้เป็นต้นไป หรือเดินเอาไม้เท้ายันๆ ไป แผ่นดินแตก. แผ่นดินนั้นชื่อว่า อันภิกษุไม่ได้แกล้งทำแตก เพราะเธอไม่ได้จงใจทำลายอย่างนี้ว่า เราจักทำลาย (แผ่นดิน) ด้วยไม้เท้านี้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่แกล้งทำลาย ด้วยประการฉะนี้. 
                 บทว่า อสติยา มีความว่า ภิกษุส่งใจไปทางอื่นยืนพูดอะไรกับคนบางคนเอานิ้วหัวแม่เท้า หรือไม้เท้าขีดเขียนแผ่นดินไปพลาง, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ขีดเขียน หรือทำลาย (ดิน) ด้วยไม่มีสติอย่างนี้. 
                 บทว่า อชานนฺตสฺส มีความว่า ภิกษุไม่รู้แผ่นดินที่ฝนตกรดภายในเรือน ซึ่งมุงหลังคาปิดแล้วว่า เป็นอกัปปิยปฐพี จึงโกยออก ด้วยสำคัญว่า เป็นกัปปิยปฐพีก็ดี ไม่รู้ว่า เราขุด เราทำลาย เราเผาไฟก็ดี เก็บเสียมเป็นต้น เพื่อต้องการรักษาไว้อย่างเดียวก็ดี มือถูกไฟไหม้ ทิ้งไฟลงก็ดี, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่รู้อย่างนี้. 
                       บทที่เหลือตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล. 
                       ปฐวีขนนสิกขาบทที่ ๑๐ จบ. มุสาวาทวรรคที่ ๑ 
จบบริบูรณ์ ตามวรรณนานุกรม.

06 กันยายน 2567

ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร [ว่าด้วย บอกอาบัติชั่วหยาบ] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร 
              [๓๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร กำลังเป็นผู้ก่อ
           การ ทะเลาะกับพระฉัพพัคคีย์ ท่านต้องอาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิ แล้วได้ขอปริวาสเพื่ออาบัติ นั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นแก่ท่าน. 
          ก็แลสมัยนั้น ในพระนครสาวัตถีมีสังฆภัต ของประชาชนหมู่หนึ่ง ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะในโรงภัต พระฉัพพัคคีย์ได้กล่าว กะอุบาสกเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย ท่านพระอุปนันทศากยบุตรนั่น เป็นพระประจำตระกูลที่ พวกท่านสรรเสริญ ได้พยายามปล่อยอสุจิด้วยมือ บริโภคของที่เขาถวายด้วยศรัทธา ท่านต้อง อาบัติชื่อสัญเจตนิกาสุกกวิสัฏฐิแล้ว 
   ได้ขออยู่ปริวาสเพื่ออาบัตินั้นต่อสงฆ์ๆ ได้ให้ปริวาสเพื่อ อาบัตินั้น แก่ท่านแล้ว ท่านกำลังอยู่ปริวาส จึงนั่งท้ายอาสนะ. บรรดาภิกษุที่มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน พระฉัพพัคคีย์จึงได้บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า? แล้วกราบทูลเนื้อความนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
พระผู้มีพระภาคตรัสถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกเธอบอกอาบัติ ชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน จริงหรือ? พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย ไฉน พวกเธอจึงบอก อาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบันเล่า? การกระทำของพวกเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อม- *ใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๕๘. ๙. อนึ่ง ภิกษุใด บอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุ แก่อนุปสัมบัน เว้นไว้ แต่ภิกษุได้รับสมมติ, เป็นปาจิตตีย์.
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๓๔๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด ... บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ... นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้. บทว่า ของภิกษุ คือ ของภิกษุรูปอื่น. อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓. ที่ชื่อว่า อนุปสัมบัน คือ เว้นภิกษุและภิกษุณี นอกนั้นชื่อว่าอนุปสัมบัน. บทว่า บอก คือ บอกแก่สตรี บุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต. บทว่า เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ คือ ยกเว้นแต่ภิกษุที่สงฆ์สมมติ.
บทภาชนีย์
            [๓๔๔] การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี, การสมมติภิกษุ กำหนด สกุล ไม่กำหนดอาบัติก็มี, การสมมติภิกษุ กำหนดอาบัติและกำหนดสกุลก็มี, 
           การสมมติภิกษุ ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุลก็มี. ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติ คือ สงฆ์กำหนดอาบัติว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้. 
           ที่ชื่อว่า กำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดสกุลว่า พึงบอกในสกุลมีจำนวนเท่านี้. 
          ที่ชื่อว่า กำหนดอาบัติและกำหนดสกุล คือ สงฆ์กำหนดอาบัติและกำหนดสกุลไว้ ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้.
          ที่ชื่อว่า ไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล คือ สงฆ์ไม่ได้กำหนดอาบัติ และไม่ได้ กำหนดสกุลไว้ว่า พึงบอกตามจำนวนอาบัติเท่านี้ ในสกุลมีจำนวนเท่านี้. 
          [๓๔๕] ในการกำหนดอาบัติ ภิกษุบอกอาบัติอื่นนอกจากอาบัติที่สงฆ์กำหนดไว้ ต้อง อาบัติปาจิตตีย์. ในการกำหนดสกุล ภิกษุบอกในสกุลอื่นนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดไว้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
          ในการกำหนดอาบัติและกำหนดสกุล ภิกษุบอกอาบัตินอกจากอาบัติที่สงฆ์กำหนดให้ ในสกุลนอกจากสกุลที่สงฆ์กำหนดให้ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
          ในการไม่กำหนดอาบัติ ไม่กำหนดสกุล บอก ไม่ต้องอาบัติ.
ติกะปาจิตตีย์
           [๓๔๖] อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่าอาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ ภิกษุได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
           อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้รับสมมติ, ต้อง อาบัติปาจิตตีย์. 
          อาบัติชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่อาบัติชั่วหยาบ บอกแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุ ได้รับสมมติ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ
        [๓๔๗] ภิกษุบอกอาบัติไม่ชั่วหยาบ ต้องอาบัติทุกกฏ. ภิกษุบอกอัชฌาจารที่ชั่วหยาบก็ตาม ไม่ชั่วหยาบก็ตาม แก่อนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
      อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
        อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ. 
       อาบัติไม่ชั่วหยาบ ภิกษุสำคัญว่า อาบัติไม่ชั่วหยาบ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร
     [๓๔๘] ภิกษุบอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ ๑ ภิกษุบอกอาบัติ ไม่บอกวัตถุ ๑ ภิกษุได้รับสมมติ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. มุสาวาทวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
อรรถกถา ปาจิตติยกัณฑ์ ปาจิตติย์ 
มุสาวาทวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙ 
        มุสาวาทวรรค ทุฏฐุลลาโรจน
         พึงทราบวินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ ดังต่อไปนี้ :-
 [แก้อรรถ เรื่องอาบัติชั่วหยาบ] 
                 ท่านกล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ในพระบาลีนี้ว่า อาบัติที่ชื่อว่า ชั่วหยาบ ได้แก่ปาราชิก ๔ และสังฆาทิเสส ๑๓ ดังนี้ เพื่อแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์. แต่สังฆาทิเสสทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้. &@ ในบาลีนั้น มีการวิจารณ์ดังต่อไปนี้ :- 
                 ถ้าว่า เมื่อภิกษุบอกปาราชิก ไม่พึงเป็นปาจิตตีย์ไซร้. แม้เมื่อมีศัพท์ว่าอุปสัมบัน สำหรับภิกษุและภิกษุณี ในสิกขาบทใด ท่านไม่ประสงค์เอานางภิกษุณี, ในสิกขาบทนั้น เว้นภิกษุเสีย ที่เหลือนอกนี้ ท่านเรียกว่า อนุปสัมบัน ฉันใด, ในสิกขาบทนี้ก็ฉันนั้น แม้เมื่อมีศัพท์ว่าทุฏฐุลละ 
               สำหรับปาราชิกและสังฆาทิเสส ถ้าไม่ทรงประสงค์เอาปาราชิก พระผู้มีพระภาคเจ้าก็จะพึงตรัสคำนี้เท่านั้นว่า อาบัติที่ชื่อว่าชั่วหยาบ ได้แก่สังฆาทิเสส ๑๓. 
                 ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ เป็นต้นนั้น พึงมีมติของบางอาจารย์ว่า ภิกษุใดต้องปาราชิกแล้ว, ภิกษุนั้นเคลื่อนแล้วจากภิกษุภาวะ เพราะเหตุนั้น ภิกษุ เมื่อบอกอาบัติของภิกษุนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ. เมื่อมีอธิบายอย่างนี้ แม้ภิกษุผู้ด่าก็พึงต้องอาบัติทุกกฏและต้องปาจิตตีย์เท่านั้น. 
                 สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ (ในปาราชิก) ว่า บุคคลเป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ ต้องธรรมคือปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่ง, ถ้าบุคคลเป็นผู้มีความเข้าใจว่าบริสุทธิ์ ให้บุคคลผู้นั้นกระทำโอกาส แล้วพูดมีความประสงค์จะด่า ต้องโอมสวาท. 
              เมื่อบาลีถูกวิจารณ์อย่างนี้ ปาจิตตีย์นั่นแหละ ย่อมปรากฏแม้แก่ผู้บอกอาบัติปาราชิก. จะปรากฏ แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น พระอรรถกถาจารย์เท่านั้นเป็นหลักได้ 
                 ในคำว่า ทุฏฺฐุลฺลา นาม อาปตฺติ นี้เพราะ (คำว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อทรงแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์ แต่สังฆาทิเสสทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้) พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้แล้วในอรรถกถาทั้งปวง. การวิจารณ์แม้อย่างอื่น หามีไม่. 
                 แม้ในเบื้องต้น ข้าพเจ้าก็ได้กล่าวไว้แล้วว่า &@ ธรรมและวินัยใด อันพระพุทธเจ้าตรัสแล้ว 
       ธรรมและวินัยนั้น อันโอรสทั้งหลายของ &@ พระพุทธเจ้านั้นรู้แล้วอย่างนั้นนั่นเทียว ดังนี้เป็นต้น. 
                 จริงอยู่ พระอรรถกถาจารย์ทั้งหลายย่อมทราบพระประสงค์ของพระพุทธเจ้า. 
                 ก็คำของพระอรรถกถาจารย์นั่น บัณฑิตพึงทราบโดยบรรยายแม้นี้ :- 
                 สมจริงดังที่ตรัสไว้ว่า เว้นไว้แต่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ. 
                 ก็การบอกแก่ภิกษุผู้ได้รับสมมติ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่อประโยชน์ในอันสำรวมต่อไป คือเพื่อประโยชน์จะไม่ต้องอาบัติเช่นนั้นอีก, และไม่ใช่เพื่อต้องการจะประกาศเพียงโทษของภิกษุนั้น, ทั้งไม่ใช่เพื่อต้องการเกียดกันที่พึ่งของภิกษุนั้นในพระศาสนา, และความเป็นภิกษุของผู้ต้องปาราชิกโดยไม่ต้องอาบัติเห็นปานนั้นอีก หามีไม่ เพราะเหตุนั้น 
              คำที่พระอรรถกถาจารย์กล่าวไว้ในอรรถกถาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสปาราชิกไว้ เพื่อแสดงอรรถแห่งทุฏฐุลลศัพท์ แต่สังฆาทิเสส ทรงประสงค์เอาในสิกขาบทนี้ ดังนี้ เป็นอันท่านกล่าวชอบแล้ว. 
                 ก็ในคำว่า อตฺถิ ภิกฺขุสมฺมติ อาปตฺติปริยนฺตา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :- 
                 ภิกษุสมมติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้นี้ไม่ได้มาในบางสิกขาบท, แต่เพราะภิกษุสมมติตรัสไว้ในสิกขาบทนี้นั่นแล จึงควรทราบว่า สงฆ์เห็นภิกษุผู้ต้องอาบัติเนืองๆ แล้วอปโลกน์ ๓ ครั้ง ทำด้วยความเป็นผู้แสวงหาประโยชน์เกื้อกูลแก่ภิกษุนั้นว่า ภิกษุนี้จักถึงความสังวรต่อไป แม้ด้วยความละอายและความเกรงกลัวในคนเหล่าอื่นอย่างนี้. 
                 คำว่า อทุฏฺฐุลฺลํ อาปตฺตึ อาโรเจติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เป็นทุกกฏ แก่ภิกษุผู้บอกกองอาบัติแม้ทั้ง ๕. ในมหาปัจจรีท่านปรับอาบัติทุกกฏอย่างเดียว แม้แก่ภิกษุผู้บอกอาบัติปาราชิก. 
                 ในคำว่า อนุปสมฺปนฺนสฺส ทุฏฺฐุลฺลํ วา อทุฏฺฐุลฺลํ วา อชฺฌาจารํ นี้ ท่านกล่าวรูปความไว้ว่า สิกขาบท ๕ ข้างต้น ชื่อว่าอัชฌาจารชั่วหยาบ ที่เหลือชื่อว่าอัชฌาจารไม่ชั่วหยาบ, ก็สุกกวิสัฏฐิ กายสังสัคคะ ทุฏฐุลลวาจา และอัตตกามะ ชื่อว่าเป็นอัชฌาจารของภิกษุนั้น. 
                 สองบทว่า วตฺถุํ อาโรเจติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้บอกอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ต้องสุกกวิสัฏฐิ ต้องกายสังสัคคะ ต้องทุฏฐุลละ ต้องอัตตกามะ. 
                 สองบทว่า อาปตฺตึ อาโรเจติ มีความว่า ภิกษุกล่าวว่า ภิกษุนี้ต้องปาราชิก ต้องสังฆาทิเสส ต้องถุลลัจจัย ต้องปาจิตตีย์ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏ ทุพภาสิต ดังนี้ ไม่เป็นอาบัติ. เมื่อภิกษุบอกเชื่อมต่ออาบัติกับวัตถุโดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุนี้ปล่อยอสุจิ ต้องสังฆาทิเสส ดังนี้เท่านั้น จึงเป็นอาบัติ. 
                 คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น. 
                 สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เกิดขึ้นทางกายกับจิต ๑ ทางวาจากับจิต ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต เป็นทุกขเวทนา ดังนี้แล. 
 ทุฏฐุลลาโรจนสิกขาบทที่ ๙ จบ.