Translate

20 พฤศจิกายน 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะ ทรงอนุญาตรองเท้า ทรงอนุญาตรองเท้าหลายชั้นที่ใช้แล้ว

Google Workspace logo
  ทำบุญ  ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะเจ้าพระองค์นั้น
    [๕] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ด้วยวิธีอย่างนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ที่พวกกุลบุตรพยากรณ์อรหัตกล่าวแต่เนื้อความ และไม่น้อมเข้าไปหาตน  ก็แต่ว่าโมฆบุรุษบางจำพวกในธรรมวินัยนี้พยากรณ์อรหัต ทำทีเหมือนเป็นของสนุก ภายหลังต้องทุกข์เดือดร้อน ดังนี้.
   ต่อแต่นั้นพระองค์รับสั่งกะท่านพระโสณะว่า ดูกรโสณะ เธอเป็นสุขุมาลชาติเราอนุญาตรองเท้าชั้นเดียวแก่เธอ.
   ท่านพระโสณะกราบทูลว่า ข้าพระพุทธเจ้าละเงินประมาณ ๘๐ เล่มเกวียน และละกองพลกอปรด้วยช้าง ๗ เชือก ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว จักมีผู้กล่าวแก่พระพุทธเจ้าว่าโสณโกฬิวิสะละเงินประมาณ ๘๐ เล่มเกวียน และละกองพลกอปรด้วยช้าง ๗ เชือก ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตแล้ว
   เดี๋ยวนี้ยังข้องอยู่ในเรื่องรองเท้าชั้นเดียว ถ้าพระผู้มีพระภาคจักได้ ทรงอนุญาตแก่พระภิกษุสงฆ์ แม้ข้าพระพุทธเจ้าจักใช้สอย ถ้าจักไม่ทรงอนุญาตแก่พระภิกษุสงฆ์ แม้ข้าพระพุทธเจ้าก็จักไม่ใช้สอย พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรองเท้าชั้นเดียว ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้า ๒ ชั้น ไม่พึงสวมรองเท้า ๓ ชั้น ไม่พึงสวมรองเท้าหลายชั้น รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมรองเท้าสีต่างๆ
   [๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าสีเขียวล้วน .... สวมรองเท้าสีเหลืองล้วน ....
สวมรองเท้าสีแดงล้วน .... สวมรองเท้าสีบานเย็นล้วน
สวมรองเท้าสีดำล้วน ....  สวมรองเท้าสีแสดล้วน
   สวมรองเท้าสีชมพูล้วน ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าสีเขียวล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีเหลืองล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแดงล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีบานเย็นล้วน ไม่พึงสวมรองเท้า สีดำล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีแสดล้วน ไม่พึงสวมรองเท้าสีชมพูล้วน รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมรองเท้ามีหู ไม่สมควร
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้ามีหูสีเขียว ....สวมรองเท้ามีหูสีเหลือง .... สวมรองเท้ามีหูสีแดง
สวมรองเท้ามีหูสีบานเย็น .... สวมรองเท้ามีหูสีดำ
สวมรองเท้ามีหูสีแสด .... สวมรองเท้ามีหูสีชมพู
   ชาวบ้านพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกามภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีเขียว ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีเหลือง ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีแดง ไม่พึงสวมรองเท้า
   มีหูสีบานเย็น ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีดำ ไม่พึงสวมรองเท้ามีหู
สีแสด ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูสีชมพู รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติทรงห้ามสวมรองเท้าบางชนิด
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าติดแผ่นหนังหุ้มส้น .... สวมรองเท้าหุ้มแข้ง ....สวมรองเท้าปกหลังเท้า
สวมรองเท้ายัดนุ่น .... สวมรองเท้ามีหูลายคล้ายขนปีกนกกระทา .... สวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแกะ
สวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแพะ
สวมรองเท้าที่ทำประกอบหูงอนดุจหางแมงป่อง
สวมรองเท้าที่เย็บด้วยปีกนกยูง
สวมรองเท้าอันวิจิตร
   คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลาย จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติห้ามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าติดแผ่นหนังหุ้มส้น ไม่พึงสวมรองเท้าหุ้มแข้ง ไม่พึงสวมรองเท้าปกหลังเท้า ไม่พึงสวมรองเท้ายัดนุ่น ไม่พึงสวมรองเท้ามีหูลายคล้ายขนปีกนกกระทา ไม่พึงสวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแกะ
   ไม่พึงสวมรองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐานดุจเขาแพะ ไม่พึงสวมรองเท้าที่ทำประกอบหูงอนดุจหางแมงป่อง ไม่พึงสวมรองเท้าที่เย็บด้วยขนปีกนกยูง ไม่พึงสวมรองเท้าที่อันวิจิตร รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติทรงห้ามสวมรองเท้าขลิบหนัง
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังราชสีห์ .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังเสือโคร่ง .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังเสือเหลือง .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังชะมด
   สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังนาก .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังแมว .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังค่าง .... สวมรองเท้าขลิบด้วยหนังนกเค้า
   คนทั้งหลายเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติห้ามว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังราชสีห์ ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังเสือโคร่ง ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วย   หนังเสือเหลือง ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังชะมด ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังนาก ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังแมว
   ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังค่าง ไม่พึงสวมรองเท้าขลิบด้วยหนังนกเค้า รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
ทรงอนุญาตรองเท้าหลายชั้นที่ใช้แล้ว
   [๗] ครั้งนั้น เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงอันตรวาสกแล้ว ทรงถือบาตรจีวรเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าไปบิณฑบาตในพระนครราชคฤห์ มีภิกษุรูปหนึ่งเป็นปัจฉาสมณะ แต่ภิกษุรูปนั้นเดินเขยกตามพระผู้มีพระภาคไปเบื้องพระปฤษฎางค์ อุบาสกคนหนึ่งสวมรองเท้าหลายชั้น
      ได้เห็นพระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จพระ
   พุทธดำเนินมาแต่ไกลเทียว ครั้นแล้วจึงถอดรองเท้า เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น อภิวาทแล้วจึงได้ถามว่า เพราะอะไรพระผู้เป็นเจ้าจึงเดินเขยก ขอรับ? ภิกษุรูปนั้นตอบว่า เพราะเท้าทั้งสองของอาตมาแตก จ้ะ.
อุ. นิมนต์พระผู้เป็นเจ้ารับรองเท้า ขอรับ.
ภิ. อย่าเลย ท่าน เพราะผู้มีพระภาคทรงห้ามรองเท้าหลายชั้น.
พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า เธอรับรองเท้านั้นได้ ภิกษุ.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรองเท้าหลายชั้นที่ใช้แล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย รองเท้าหลายชั้นที่ใหม่ ภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
ห้ามสวมรองเท้าในที่บางแห่ง
   [๘] ก็โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงฉลองพระบาทเสด็จพระดำเนินอยู่ในที่แจ้งภิกษุเถระทั้งหลายทราบว่า พระศาสดามิได้ทรงฉลองพระบาทเสด็จพระพุทธดำเนินอยู่ ดังนี้
   จึงเดินไม่สวมรองเท้า เมื่อพระศาสดาเสด็จพระพุทธดำเนินมิได้ทรงฉลองพระบาท แม้เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า แต่พระฉัพพัคคีย์เดินสวมรองเท้า บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เมื่อพระศาสดาเสด็จพระพุทธดำเนินมิได้ทรงฉลองพระบาท
   แม้เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จึงได้สวมรองเท้าเล่า?
      แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าเมื่อเราผู้ศาสดาเดินมิได้สวมรองเท้า แม้เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า แต่พระฉัพพัคคีย์เดินสวมรองเท้า จริงหรือ?  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเราผู้ศาสดาเดินมิได้สวมรองเท้า แม้เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายเดินก็ไม่สวมรองเท้า แต่ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้เดินสวมรองเท้าเล่า อันคฤหัสถ์ชื่อเหล่านี้นุ่งห่มผ้าขาว ยังมีความเคารพ มีความยำเกรง มีความประพฤติเสมอภาค ในอาจารย์ทั้งหลาย เพราะเหตุแห่งศิลปะ
   ซึ่งเป็นเครื่องเลี้ยงชีพอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พึงงามในธรรมวินัยนี้เป็นแน่ ถ้าพวกเธอบวชในธรรมวินัยอันเรากล่าวดีแล้วอย่างนี้ จะพึงมีความเคารพ มีความยำเกรง มีความประพฤติเสมอภาค อยู่ในอาจารย์ ในภิกษุปูนอาจารย์ ในอุปัชฌายะ ในภิกษุปูนอุปัชฌายะ การกระทำของเหล่าโมฆบุรุษนั่น
   ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เมื่ออาจารย์ ภิกษุปูนอาจารย์ อุปัชฌายะ ภิกษุปูนอุปัชฌายะ เดินมิได้สวมรองเท้า ภิกษุไม่พึงเดินสวมรองเท้า รูปใดเดินสวมรองเท้า ต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าภายในอาราม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
ภิกษุอาพาธเป็นหน่อที่เท้า
   [๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นหน่อที่เท้า ภิกษุทั้งหลายพยุงภิกษุรูปนั้นให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่ายปัสสาวะบ้าง พระผู้มีพระภาคเสด็จเที่ยวจาริกตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกภิกษุกำลังพยุงภิกษุรูปนั้นให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่ายปัสสาวะบ้าง จึงเสด็จเข้าไปใกล้ภิกษุพวกนั้น 
   แล้วได้ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้อาพาธเป็นอะไร? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ท่านรูปนี้อาพาธเป็นหน่อที่เท้า พวกข้าพระพุทธเจ้าต้องพยุงท่านรูปนี้ ให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ให้ถ่ายปัสสาวะบ้าง พระพุทธเจ้าข้า.
พระพุทธานุญาตให้สวมรองเท้าเป็นพิเศษ
   [๑๐] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีเท้าชอกช้ำ หรือมีเท้าแตก หรืออาพาธมีหน่อที่เท้า สวมรองเท้าได้
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายมีเท้ามิได้ล้าง ขึ้นเตียงบ้าง ขึ้นตั่งบ้าง ทั้งจีวร ทั้งเสนาสนะย่อมเสียหาย พวกภิกษุจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวมรองเท้าในขณะที่คิดว่าประเดี๋ยวจักขึ้นเตียงหรือขึ้นตั่ง.
   สมัยต่อมา เวลากลางคืน ภิกษุทั้งหลายเดินไปสู่โรงอุโบสถก็ดี สู่ที่ประชุมก็ดี ย่อมเหยียบตอบ้าง หนามบ้าง ในที่มืด เท้าทั้งสองได้รับบาดเจ็บ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภายในอาราม เราอนุญาตให้สวมรองเท้า และใช้คบเพลิง ประทีป ไม้เท้าได้.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมเขียงเท้าไม้
   ครั้นต่อมา ถึงเวลาปัจจุสมัยแห่งราตรี พระฉัพพัคคีย์ลุกขึ้นสวมเขียงเท้าที่ทำด้วยไม้แล้วเดินอยู่กลางแจ้ง มีเสียงขฏะขฏะ ดังอึกทึก กล่าวดิรัจฉานกถา มีเรื่องต่างๆ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่องขุนพล เรื่องภัย เรื่องรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องดอกไม้
   เรื่องของหอม เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องนคร เรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ เหยียบแมลงตายเสียบ้าง ยังภิกษุทั้งหลายให้
     เคลื่อนจากสมาธิบ้าง บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย
   ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์ เมื่อเวลาปัจจุสมัยแห่งราตรี ได้ลุกขึ้นสวมเขียงเท้าที่ทำด้วยไม้แล้วเดินอยู่กลางแจ้ง มีเสียงขฏะขฏะ ดังอึกทึก กล่าวดิรัจฉานกถา มีเรื่องต่างๆ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร .... เรื่องความเจริญและความเสื่อมด้วยประการนั้นๆ
   เหยียบแมลงตายเสียบ้าง ยังภิกษุทั้งหลายให้เคลื่อนจากสมาธิบ้าง แล้วจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุฉัพพัคคีย์ เมื่อปัจจุสมัยแห่งราตรี ได้ลุกขึ้นสวมเขียงเท้าที่ทำด้วยไม้ แล้วเดินอยู่กลางแจ้ง มีเสียงขฏะขฏะดังอึกทึก กล่าวดิรัจฉานกถา มีเรื่องต่างๆ คือ พูดเรื่องพระราชา เรื่องโจร .... เรื่องความเจริญและความเสื่อม
   ด้วยประการนั้นๆ เหยียบแมลงตายเสียบ้าง ยังภิกษุทั้งหลายให้เคลื่อนจากสมาธิบ้าง จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขียงเท้าที่ทำด้วยไม้ อันภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมเขียงเท้าใบตาล
   [๑๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินไปสู่จาริกทางพระนครพาราณสี เสด็จพระพุทธดำเนินสู่จาริกโดยลำดับ ถึงพระนครพาราณสี ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนครพาราณสีนั้น.
   ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์คิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามเขียงเท้าไม้ จึงให้ตัดต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลมาทำเขียงเท้าสวม ต้นตาลเล็กๆ นั้นถูกตัดแล้วย่อมเหี่ยวแห้ง.
   ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ให้ตัดต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลมาทำเขียงเท้าสวมเล่า ต้นตาลเล็กๆ ถูกตัดแล้วย่อมเหี่ยวแห้ง พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้น เพ่งโทษ
   ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุฉัพพัคคีย์สั่งให้ตัดต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลมาทำเขียงเท้าสวม ต้นตาลเล็กๆ นั้นถูกตัดแล้ว
   ย่อมเหี่ยวแห้ง จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าจึงทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้ให้ตัดต้นตาลเล็กๆ แล้วเอาใบตาลทำเขียงเท้าสวมเล่า ต้นตาลเล็กๆ นั้นถูกตัดแล้ว ย่อมเหี่ยวแห้ง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะชาวบ้านมีความสำคัญในต้นไม้ว่ามีชีวะ การกระทำของเหล่าโมฆบุรุษนั่น ไม่เป็นไปเพื่อ
   ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขียงเท้าสานด้วยใบตาล อันภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมเขียงเท้าไม้ไผ่
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์คิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงห้ามเขียงเท้าสานด้วยใบตาล จึงได้ให้ตัดไม้ไผ่เล็กๆ แล้วเอาใบไผ่มาทำเขียงเท้าสวม ไม้ไผ่เล็กๆ นั้น ถูกตัดแล้ว ย่อมเหี่ยวแห้ง. ชาวบ้านจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้ให้ตัดไม้ไผ่เล็กๆ แล้วเอาใบไผ่มา
   ทำเขียงเท้าสวมเล่า ไม้ไผ่เล็กๆ นั้นถูกตัดแล้วย่อมเหี่ยวแห้ง พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรย่อมเบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ. ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า .... ครั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เขียงเท้าสานด้วยใบไผ่ อันภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมเขียงเท้าชนิดต่างๆ
   [๑๒] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครพาราณสีตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินจาริกทางพระนครภัททิยะ เสด็จพระพุทธดำเนินจาริกโดยลำดับถึงพระนครภัททิยะ ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ในป่าชาติยาวัน
เขตพระนครภัททิยะนั้น.
   ก็โดยสมัยนั้นแล พวกภิกษุชาวพระนครภัททิยะ ตั้งหน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้องทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้า
   สานด้วยใบเป้ง ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ พวกเธอละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเสีย. บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย .... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า ไฉนเล่าพวกภิกษุชาวพระนครภัททิยะ จึง
   ได้ตั้งหน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่
   คือ ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้องได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก
   ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ภิกษุเหล่านั้นได้ละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเสีย แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุชาวพระนครภัททิยะตั้งหน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้า
   สานด้วยหญ้าปล้อง ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก ทำเองบ้าง สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ย่อมละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญาเสีย จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนเล่าโมฆบุรุษเหล่านั้นจึงได้ตั้งหน้าพากเพียรตกแต่งเขียงเท้าหลากหลายอยู่ คือ ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้า ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้า
   สานด้วยหญ้าปล้อง ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง
   ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าสานด้วยแฝก ได้ทำเองบ้าง ได้สั่งให้ทำบ้าง ซึ่งเขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ โมฆบุรุษเหล่านั้นได้ละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิจิต อธิปัญญาเสีย ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของเหล่าโมฆบุรุษนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชน
   ที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมเขียงเท้าสานด้วยหญ้าเขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย เขียงเท้าสานด้วยหญ้าปล้อง เขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง เขียงเท้าสานด้วยแฝก เขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ เขียงเท้าประดับด้วยทองคำ เขียงเท้า
   ประดับด้วยเงิน เขียงเท้าประดับด้วยแก้วมณี เขียงเท้าประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ เขียงเท้าประดับด้วยแก้วผลึก เขียงเท้าประดับด้วยทองสัมฤทธิ์ เขียงเท้าประดับด้วยกระจก เขียงเท้าทำด้วยดีบุก เขียงเท้าทำด้วยสังกะสี เขียงเท้าทำด้วยทองแดง รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เขียงเท้าบางชนิดที่สำหรับสวมเดิน อันภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เขียงเท้าบางชนิดที่สำหรับสวมเดิน อันภิกษุไม่พึงสวม รูปใดสวม ต้องอาบัติทุกกฏ พระพุทธบัญญัติห้ามจับโค  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเขียงเท้าที่ตรึงอยู่กับที่ ไม่ใช่สำหรับใช้สวมเดิน ๓ ชนิด คือ เขียงเท้าที่สำหรับเหยียบถ่ายอุจจาระ ๑ เขียงเท้าที่สำหรับเหยียบถ่ายปัสสาวะ ๑ เขียงเท้าที่สำหรับเหยียบในที่ชำระ ๑. [๑๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครภัททิยะ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินจาริกทางพระนครสาวัตถี เสด็จพระพุทธดำเนินจาริกโดยลำดับถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ในพระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์จับโคกำลังข้ามแม่น้ำอจิรวดี ที่เขาบ้าง ที่หูบ้าง ที่คอบ้าง ที่ หางบ้าง ขึ้นขี่หลังบ้าง มีจิตกำหนัด ถูกต้ององค์กำเนิดบ้าง กดลูกโคให้จมน้ำตายบ้าง ประชาชนทั้งหลาย พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้จับโค กำลังข้ามน้ำ ที่เขาบ้าง ที่หูบ้าง ที่คอบ้าง ที่หางบ้าง ขึ้นขี่หลังบ้าง มีจิตกำหนัดถูกต้ององค์กำเนิดบ้าง กดลูกโคให้จมน้ำตายบ้าง เหมือนพวกคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม ฉะนั้น. ภิกษุทั้งหลายได้ยินชาวบ้านเหล่านั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ ห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจับเขาโค หูโค คอโค หางโค ไม่พึงขี่หลังโค รูปใดจับและขึ้นขี่ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง องค์กำเนิดโค อันภิกษุมีจิตกำหนัด ไม่พึงถูกต้อง รูปใดถูกต้อง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ภิกษุไม่พึงฆ่าลูกโค รูปใดฆ่า พึงปรับอาบัติตามธรรม. พระพุทธเรื่องยาน [๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ขี่ยานซึ่งเทียมด้วยโคตัวเมีย มีบุรุษเป็นสารถีเทียมด้วยโคตัวผู้ มีสตรีเป็นสารถีบ้าง.
ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนชายหนุ่มหญิงสาวไปเล่นน้ำในแม่น้ำคงคาและแม่น้ำมหี ฉะนั้น ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงไปด้วยยาน รูปใดไปต้องอาบัติทุกกฏ.สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งไปพระนครสาวัตถีในโกศลชนบท
เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค แต่อาพาธเสียกลางทาง และได้หลีกจากทางนั่งอยู่ ณ โคนไม้แห่งหนึ่ง ประชาชนพบภิกษุนั้นจึงเรียนถามว่า พระคุณเจ้าจะไปไหน ขอรับ?
ภิกษุนั้นตอบว่า อาตมาจะไปพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค จ้ะ
ป. นิมนต์มา ไปด้วยกันเถิด ขอรับ ภิ.อาตมาไม่อาจ เพราะกำลังอาพาธ จ้ะ
ป.นิมนต์มาขึ้นยานเถิด ขอรับ ภิ. ไม่ได้จ้ะ เพราะพระผู้มีพระภาคทรงห้ามยาน ภิกษุนั้นรังเกียจอยู่ดังนั้นจึงไม่ยอมขึ้นยาน ครั้นไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว จึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยานแก่ภิกษุผู้อาพาธ. ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้คิดกันว่า ยานที่ทรงอนุญาตนั้นเทียมด้วยโคตัวเมีย หรือเทียมด้วยโคตัวผู้ แล้วกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยานที่เทียมด้วยโคตัวผู้ และยานที่ใช้มือลาก. สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งไม่ผาสุกอย่างแรง เพราะความกระเทือนแห่งยาน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตคานหามมีตั่งนั่ง และเปลผ้าที่เขาผูกติดกับไม้คาน. อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะทรงอนุญาตรองเท้าเป็นต้น | ว่าด้วยรองเท้า บทว่า เอกปลาสิกํ ได้แก่ ชั้นเดียว. วินิจฉัยในคำว่า อสีติสกฏวาเห นี้ พึงทราบดังนี้ :- สองเล่มเกวียน พึงทราบว่าเป็นหนึ่งวาหะ. วินิจฉัยในคำว่า สตฺตหตฺถิกญฺจ อนีกํ นี้ พึงทราบดังนี้ ปริมาณนี้ คือช้างพัง ๖ เชือก กับช้างพลาย ๑ เชือก เป็นอนีกะหนึ่ง ๗ อนีกะเช่นนี้ ชื่อว่า สัตตหัตถิกอนีกะ. บทว่า ทิคุณา ได้แก่ ๒ ชั้น. บทว่า ติคุณา ได้แก่ ๓ ชั้น รองเท้ามีชั้นตั้งแต่ ๔ ชั้นขึ้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า รองเท้าหลายชั้น. บทว่า สพฺพนีลกา ได้แก่ เขียวล้วนทีเดียว. แม้ในสีต่างๆ มีเหลืองล้วนเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกัน. ก็บรรดารองเท้าสีเหล่านั้น รองเท้าเขียวครามมีสีคล้ายสีดอกผักตบ รองเท้าเหลืองมีสีคล้ายดอกกรรณิการ์ รองเท้าแดงมีสีคล้ายดอกชบา รองเท้าแดงสำลาน คือแดงอ่อน มีสีคล้ายฝาง รองเท้าดำมีสีคล้ายสีลูกประคำดีควาย รองเท้าแดงเข้มมีสีคล้ายหลังตะขาบ รองเท้าแดงกลายๆ มีสีเจือกัน คล้ายสีใบไม้เหลือง, แต่ในกุรุนทีแก้ว่ามีสีคล้ายดอกบัวหลวง. บรรดารองเท้าเหล่านี้ ภิกษุได้ชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว เอาผ้าเช็ดน้ำยาทำลายสีเสียแล้วสวม ควรอยู่. แม้ทำลายสีเสียเพียงเล็กน้อย ก็ควรเหมือนกัน. บทว่า นีลวทฺธิกา ได้แก่ รองเท้าที่มีหูเท่านั้นเขียว. แม้ในสีทั้งปวงมีสีเหลืองเป็นต้น มีนัยเหมือนกัน. แม้รองเท้าที่มีหูเขียวเป็นต้นเหล่านั้น ก็พึงทำลายสีเสียแล้วจึงค่อยสวม. บทว่า ขลฺลกพทฺธา ได้แก่ รองเท้าที่ทำติดแผ่นหนังที่พื้นขึ้นมาเพื่อปิดส้น. รองเท้าของชาวโยนกเรียกว่า รองเท้าหุ้มเป็นกระบอกได้แก่รองเท้าที่ปิดเท้าทั้งหมดจนถึงแข้ง. บทว่า ปาลิคุณฺฐิมา ได้แก่ รองเท้าที่หุ้มหลังเท้า ปิดแต่เพียงบนหลังเท่านั้น ไม่ปิดแข้ง. บทว่า ตูลปุณฺณิกา ได้แก่ รองเท้าที่ทำยัดด้วยปุยนุ่น. บทว่า ติตฺติรปตฺติกา ได้แก่ รองเท้าที่มีหูงดงาม เช่นกับปีกนกกระทา. บทว่า เมณฺฑวิสาณวทฺธิกา ได้แก่ รองเท้าที่ทำประกอบหูมีสัณฐานคล้ายเขาแกะ ที่ปลายเชิงงอน แม้ในรองเท้าที่มีหูดังเขาแพะเป็นต้น ก็นัยนี้แล. บทว่า วิจฺฉิกาฬิกา ได้แก่ รองเท้าที่ทำประกอบหูมีสัณฐานดังหางแมงป่อง ที่ปลายเชิงงอนนั้นเอง. บทว่า โมรปิญฺชปริสิพฺพิตา ได้แก่ รองเท้าที่เย็บที่พื้นก็ดี ที่หูก็ดี ด้วยขนปีกนกยูงต่างด้าย. บทว่า จิตฺรา ได้แก่ รองเท้าที่งดงามต่างๆ แม้ในรองเท้าเหล่านี้ ภิกษุได้ชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นของที่อาจเอาสิ่งที่ไม่ควรเหล่านั้น เป็นต้นว่า หนังหุ้มส้นออกเสียได้ พึงเอาออกเสียแล้วใช้เถิด. แต่เมื่อสิ่งที่ไม่ควรมีหนังหุ้มส้นเป็นต้นนั้นยังมีอยู่ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้ใช้. รองเท้าที่ทำประกอบหนังราชสีห์ที่ริมโดยรอบเหมือนติดอนุวาตในจีวร ชื่อว่า รองเท้าขลิบด้วยหนังราชสีห์. บทว่า อุลูกจมฺมปริกฺขตา ได้แก่ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังนกเค้าแมว ถึงในรองเท้าเหล่านี้ชนิดใดชนิดหนึ่ง พึงเอาหนังนั้นออกแล้วสวมเถิด. บทว่า โอมุกฺกํ ได้แก่ สวมแล้วถอดออก. บทว่า นวา ได้แก่ ยังมิได้ใช้. บทว่า อภิชีวนิกสฺส มีความว่า คฤหัสถ์ทั้งหลายย่อมเป็นอยู่เฉพาะ คือสำเร็จการเลี้ยงชีวิต ด้วยศิลปะใด มีความเคารพในอาจารย์เพราะเหตุแห่งศิลปะนั้น. ในคำว่า อิธ โข ตํ ภิกฺขเว นี้. บทว่า ตํ เป็นเพียงนิบาต ความว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย...พึงงามในธรรมวินัยนี้แล. สองบทว่า ยํ ตุมฺเห ได้แก่ เย ตุมฺเห อีกอย่างหนึ่ง. มีคำอธิบายว่า ยทิ ตุมฺเห จริงอยู่ นิบาต คือ ยํ ใช้ในอรรถแห่ง ยทิ ศัพท์. วินิจฉัยในคำว่า อาจริเยสุ เป็นอาทิ เฉพาะอาจารย์ ๔ พวกนี้ คือบรรพชาจารย์ อุปสัมปทาจารย์ นิสสยาจารย์ อุทเทสาจารย์ จัดเป็นอาจารย์แท้ ในบทว่า อาจริเยสุ นี้. ภิกษุมีพรรษา ๖ พอเป็นอาจารย์ของภิกษุผู้ไม่มีพรรษาได้. ด้วยว่า ภิกษุผู้ไม่มีพรรษานั้นจักอาศัยเธออยู่ในกาลที่ตนมีพรรษา ๔, ด้วยประการอย่างนี้ แม้ภิกษุเหล่านี้จัดว่าผู้พอเป็นอาจารย์ได้แท้ คือภิกษุผู้มีพรรษา ๗ พอเป็นอาจารย์ของภิกษุพรรษาเดียวได้, ผู้มีพรรษา ๘ พอเป็นอาจารย์ ผู้มีพรรษา ๒ ได้, ผู้มีพรรษา ๙ พอเป็นอาจารย์ของผู้มีพรรษา ๓ ได้, ผู้มีพรรษา ๑๐ พอเป็นอาจารย์ของผู้มีพรรษา ๔ ได้ฝ่ายภิกษุผู้เป็นเพื่อนเห็น เพื่อนคบของอุปัชฌาย์ก็ดี, ภิกษุเหล่าใดเหล่าหนึ่งซึ่งเป็นผู้ใหญ่กว่า ๑๐ พรรษาก็ดี ภิกษุเหล่านั้นทั้งหมด ชื่อว่าผู้ปูนอุปัชฌาย์; เมื่อภิกษุทั้งหลายมี ประมาณเท่านี้ ไม่สวมรองเท้าก้าวเดินอยู่ ย่อมเป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้สวมรองเท้าก้าวเดิน. ที่ชื่อว่าอาพาธเป็นหน่อที่เท้าได้แก่เนื้อคล้ายเดือย เป็นของยื่นออกจากพื้นเท้า. | ว่าด้วยเขียงเท้า บทว่า ติณปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้าที่ทำด้วยหญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง. บทว่า หินฺตาลปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้าที่ทำด้วยใบเป้ง เขียงเท้าที่ทำแล้ว แม้ด้วยใบเต่าร้าง ไม่ควรเหมือนกัน. บทว่า กมลปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้าที่ทำด้วยหญ้าที่ชื่อว่า กมลวรรณ พระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า เขียงเท้าที่ทำด้วยแฝก ดังนี้ก็มี. บทว่า กมฺพลปาทุกา ได้แก่ เขียงเท้าที่ทำด้วยขนเจียม. บทว่า อสงฺกมนียาโย ได้แก่ เขียงเท้าที่ตั้งไว้เป็นอันดีบนพื้นไม่คลอน เคลื่อนที่ไม่ได้. พระพุทธบัญญัติห้ามจับโค เรื่องยาน ว่าด้วยยาน สองบทว่า องฺคชาตํ ฉุปนฺติ ได้แก่ ถูกองคชาตด้วยองคชาตนั่นเอง. สองบทว่า โอคาเหตฺวา มาเรนฺติ ได้แก่ ยึดไว้แน่นให้ตายภายในน้ำ. บทว่า อิตฺถียุตฺเตน ได้แก่ เทียมด้วยโคตัวเมีย. บทว่า ปุริสนฺตเรน ได้แก่ มีบุรุษเป็นสารถี. บทว่า ปุริสยุตฺเตน ได้แก่ เทียมด้วยโคผู้. บทว่า อิตฺถนฺตเรน ได้แก่ มีสตรีเป็นสารถี. บทว่า คงฺคามหิยาย ได้แก่ การกีฬาในแม่น้ำคงคาและแม่น้ำมหี. วินิจฉัยในข้อว่า ปุริสยุตฺตํ หตฺถวฏฺฏกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ยานที่เทียมด้วยโคผู้ จะมีสตรีเป็นสารถีหรือมีบุรุษเป็นสารถีก็ตาม ควร. ส่วนยานที่ลากไปด้วยมือ สตรีลากหรือบุรุษลากก็ตาม ควรเหมือนกัน. บทว่า ยานุคฺฆาเตน มีความว่า กายทั้งปวงของภิกษุนั้นย่อมสั่นคลอน เพราะความเหวี่ยงไปแห่งยาน ความไม่สำราญ ย่อมเสียดแทงเพราะปัจจัยนั้น. บทว่า สิวิกํ ได้แก่ คานหามมีตั่งนั่ง. บทว่า ปาฏงฺกึ ได้แก่ เปลผ้าที่เขาผูกติดกับไม้คาน.:- 

16 พฤศจิกายน 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะ เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร เป็นต้น

Google Workspace logo
  ทำบุญ  ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธะเจ้าพระองค์นั้น

        [๑]โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับ พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสวยราชสมบัติเป็นอิสราธิบดี ในหมู่บ้านแปดหมื่นตำบล
    ก็สมัยนั้น ในเมืองจัมปา มีเศรษฐีบุตร ชื่อ
   โสณโกฬิวิสโคตร เป็น สุขุมาลชาติ ที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขามีขนงอกขึ้น คราวหนึ่ง พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้า ให้ราษฎรในตำบลแปดหมื่นนั้นประชุมกันแล้วทรงส่งทูตไปในสำนักเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะ ดุจมีพระราชกรณียกิจสักอย่างหนึ่ง ด้วยพระบรมราชโองการว่าเจ้า
   โสณะจงมา เราปรารถนาให้เจ้าโสณะมา จึงมารดาบิดาของเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้พูดตักเตือนเศรษฐีบุตรนั้นว่า พ่อโสณะ พระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรเท้าทั้งสองของเจ้า ระวังหน่อยพ่อโสณะ เจ้าอย่าเหยียดเท้าทั้งสอง
   ไปทางที่พระเจ้าอยู่หัวประทับอยู่ จงนั่งขัดสมาธิตรงพระพักตร์ของพระองค์ เมื่อเจ้านั่งแล้ว พระเจ้าอยู่หัว จักทอดพระเนตรเท้าทั้งสองได้ ครั้งนั้น ชนบริวารทั้งหลายได้นำเศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะไปด้วยคานหาม ลำดับนั้น เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้เข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราชถวายบังคมแล้ว
   นั่งขัดสมาธิ ตรงพระพักตร์ของท้าวเธอ ท้าวเธอได้ทอดพระเนตรเห็นโลมชาติที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเขา แล้ว  ทรงอนุศาสน์ประชาราษฎรในตำบลแปดหมื่นนั้น ในประโยชน์ปัจจุบัน ทรงส่งไปด้วยพระบรมราโชวาทว่า ดูกรพนาย เจ้าทั้งหลายอันเราสั่งสอนแล้วในประโยชน์ปัจจุบัน เจ้าทั้งหลาย จงไปเฝ้า
   พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคของเราพระองค์นั้นจักทรงสั่งสอนเจ้าทั้งหลาย ในประโยชน์ภายหน้า ครั้งนั้น พวกเขาพากันไปทางภูเขาคิชฌกูฏ.
พระสาคตเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์
   ก็สมัยนั้น ท่านพระสาคตะเป็นอุปัฏฐากของพระผู้มีพระภาค จึงพวกเขาพากันเข้าไปหาท่านพระสาคตะ แล้วได้กราบเรียนว่า ท่านขอรับ  ประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนี้ เข้ามาในที่นี้เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค ขอประทานโอกาสขอรับ ขอพวก
   ข้าพเจ้าพึงได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค
   ท่านพระสาคตะบอกว่า ถ้าเช่นนั้น พวกท่านจงอยู่ ณ ที่นี้สักครู่หนึ่งก่อน จนกว่าอาตมาจะกราบทูลพระผู้มีพระภาคให้ทรงทราบดังนี้ และเมื่อพวกเขากำลังเพ่งมองอยู่ข้างหน้า ท่านพระสาคตะดำลงไปในแผ่นหินอัฒจันทร์ผุดขึ้นตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนี้พากันเข้ามา ณ ที่นี้
   เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบกาลอันควรในบัดนี้ พระพุทธเจ้าข้าพระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรสาคตะ ถ้ากระนั้นเธอจงปูลาดอาสนะ ณ ร่มเงาหลังวิหาร ท่านพระสาคตะทูลสนองพระพุทธดำรัสว่า ทราบเกล้าฯ แล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วถือตั่งดำลงไปตรงพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค
   เมื่อประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนั้นกำลังเพ่งมองอยู่ตรงหน้า จึงผุดขึ้นลากแผ่นหินอัฒจันทร์แล้วปูลาดอาสนะในร่มเงาหลังพระวิหาร.
เสด็จออกให้ประชาชนเข้าเฝ้า
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากพระวิหาร แล้วประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ ที่จัดไว้ ณ ร่มเงาหลังพระวิหาร จึงประชาชนชาวตำบลแปดหมื่นนั้นเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วถวายบังคมนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง และพวกเขาพากันสนใจแต่ท่านพระสาคตะเท่านั้น หาได้สนใจต่อพระผู้มีพระภาค ไม่ทันที
   นั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขาด้วยพระทัยแล้ว จึงตรัสเรียกท่านพระสาคตะมารับสั่งว่า ดูกรสาคต ถ้ากระนั้นเธอจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ซึ่งเป็นธรรมอันยวดยิ่งของมนุษย์ ให้ยิ่งขึ้นไปอีก
   ท่านพระสาคตะทูลรับสนองพระพุทธาณัติว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า แล้วเหาะขึ้นสู่เวหาส เดินบ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง  สำเร็จการนอนบ้าง บังหวนควันบ้าง โพลงไฟบ้าง หายตัวบ้าง ในอากาศกลางหาว ครั้นแสดงอิทธิปฏิหาริย์อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์หลายอย่างในอากาศกลางหาว
   แล้วลงมาซบศีรษะลงที่พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของข้าพระพุทธเจ้า ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวกพระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเป็นพระศาสดาของ
   ข้าพระพุทธเจ้า  ข้าพระพุทธเจ้าเป็นสาวก ดังนี้ จึงประชาชนตำบลแปดหมื่นนั้นพูดสรรเสริญว่า ชาวเราผู้เจริญ อัศจรรย์นัก ประหลาดแท้ เพียงแต่พระสาวกยังมีฤทธิ์มากถึงเพียงนี้ ยังมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้พระศาสดาต้องอัศจรรย์แน่ ดังนี้ แล้วพากันสนใจต่อพระผู้มีพระภาคเท่านั้น หาสนใจต่อท่าน
พระสาคตะไม่
ทรงแสดงอนุปุพพิกกถาและจตุราริยสัจ
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของพวกเขาด้วยพระทัย แล้วทรงแสดงอนุปุพพิกถา คือ ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา  สัคคกถาโทษ ความต่ำทรามความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย  และอานิสงส์ในความออกบรรพชา เมื่อพระองค์ทรงทราบว่าพวกเขามีจิตสงบ มีจิตอ่อน มีจิตปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว
   จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนาที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรม ปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน
   ได้เกิดแก่พวกเขา ณ ที่นั่งนั้นเองว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาด ปราศจากมลทินควรได้รับน้ำย้อมเป็นอย่างดี
   ฉะนั้น พวกเขาได้เห็นธรรมแล้ว ได้บรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้งแล้ว มีธรรมอันหยั่งลงแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้วปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้แกล้วกล้า ไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ในคำสอนของพระศาสดา ได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่า ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระพุทธเจ้าข้า
   ภาษิตของพระองค์ไพเราะนัก พระพุทธเจ้าข้า พระองค์ทรงประกาศธรรมโดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ดังนี้
     ข้าพระพุทธเจ้าเหล่านี้ ขอถึงพระผู้มีพระภาค
   พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่า เป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำพวกข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็น อุบาสกผู้มอบชีวิตถึงสรณะ จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป.
เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะออกบวช
   [๒] ครั้งนั้น เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า ด้วยวิธีอย่างไร ๆ เราจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย ไฉนหนอ เราพึงปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะ ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
   ครั้น ประชาชนเหล่านั้นชื่นชมยินดี ภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่งถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณหลีกไปแล้ว หลังจากประชาชนพวกนั้นหลีกไปแล้วไม่นานนัก เขาได้เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่นั้นแล ได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ด้วยวิธีอย่างไรๆ ข้าพระพุทธเจ้าจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว
   ทำไม่ได้ง่าย ข้าพระพุทธเจ้าปรารถนาจะปลงผมและหนวดครองผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต
   ขอพระองค์ทรงพระกรุณาโปรดให้ข้าพระพุทธเจ้าบวชเถิด พระพุทธเจ้าข้า เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะได้รับบรรพชา อุปสมบทในพุทธสำนักแล้ว ก็แลท่านพระโสณะอุปสมบทแล้ว
   ไม่นาน ได้พำนักอยู่ ณ ป่าสีตวันท่านปรารภความเพียรเกินขนาดเดินจงกรมจนเท้าทั้ง ๒ แตก สถานที่เดินจงกรมเปื้อนโลหิต ดุจสถานที่ฆ่าโค ฉะนั้น.
   ครั้งนั้น ท่านพระโสณะไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า บรรดาพระสาวกของพระผู้มีพระภาค ที่ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นรูปหนึ่ง แต่ไฉนจิตของเราจึงยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นเล่า สมบัติในตระกูลของเราก็ยังมีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล
   ถ้ากระไร เราพึงสึกเป็นคฤหัสถ์แล้วบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านด้วยพระทัยแล้วจึงทรงอันตรธานที่คิชฌกูฏบรรพต มาปรากฏพระองค์ ณ ป่าสีตวัน เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น
    คราวนั้น พระองค์พร้อมด้วยภิกษุเป็นอันมาก
   เสด็จเที่ยวจาริกตามเสนาสนะ ได้เสด็จเข้าไปทางสถานที่เดินจงกรมของท่านพระโสณะ ได้ทอดพระเนตรเห็นสถานที่เดินจงกรมเปื้อนโลหิต ครั้นแล้วจึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งถามว่า
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย สถานที่เดินจงกรมแห่งนี้ของใครหนอ เปื้อนโลหิต เหมือนสถานที่ฆ่าโค
   ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลว่า ท่านพระโสณะปรารภความเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจนเท้าทั้ง ๒ แตก สถานที่เดินจงกรมแห่งนี้ของท่านจึงเปื้อนโลหิต ดุจสถานที่ฆ่าโค ฉะนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้เสด็จเข้าไปทางที่อยู่ของท่านพระโสณะ ครั้นแล้วประทับนั่งเหนือพุทธอาสน์ที่จัดไว้ถวาย แม้ท่านพระโสณะก็ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค แล้วนั่งเฝ้าอยู่.
ตั้งความเพียรสม่ำเสมอเทียบเสียงพิณ
   พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามท่านพระโสณะผู้นั่งเฝ้าอยู่ว่า ดูกรโสณะ เธอไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ได้มีความปรีวิตกแห่งจิตเกิดขึ้น อย่างนี้ว่า บรรดาพระสาวกของพระผู้มีพระภาคที่ปรารภความเพียรอยู่ เราก็เป็นรูปหนึ่ง แต่ไฉน จิตของเราจึงยังไม่หลุดพ้นจากอาสวะทั้งหลาย เพราะไม่ถือมั่นเล่า สมบัติในตระกูลของเรา
   ก็ยังมีอยู่ เราอาจบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล
   ถ้ากระไร เราพึงสึกเป็นคฤหัสถ์ แล้วบริโภคสมบัติและบำเพ็ญกุศล ดังนี้ มิใช่หรือ?
   ท่านพระโสณะทูลรับว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อครั้งเธอยังเป็นคฤหัสถ์ เธอฉลาดในเสียงสายพิณ มิใช่หรือ?
   โส. อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คราวใดสายพิณของเธอตึงเกินไปคราวนั้นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม?
   โส. หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คราวใดสายพิณของเธอหย่อนเกินไป คราวนั้นพิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม?
   โส. หาเป็นเช่นนั้นไม่ พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คราวใดสายพิณของเธอไม่ตึงนักไม่หย่อนนัก ตั้งอยู่ในคุณภาพสม่ำเสมอ คราวนั้น พิณของเธอมีเสียงหรือใช้การได้บ้างไหม?
   โส. เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
ภ. ดูกรโสณะ เหมือนกันนั่นแล ความเพียรที่ปรารภเกินไปนัก ย่อมเป็นไปเพื่อความฟุ้งซ่าน ความเพียรที่ย่อหย่อนนัก ก็เป็นไปเพื่อเกียจคร้าน เพราะเหตุนั้นแล เธอจงตั้งความเพียรแต่พอเหมาะจงทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายเสมอกัน และจงถือนิมิตในความสม่ำเสมอนั้น
   ท่านพระโสณะทูลรับสนองพระพุทธพจน์ว่า จะปฏิบัติตามพระพุทธโอวาทอย่างนั้นพระพุทธเจ้าข้า ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงสั่งสอนท่านพระโสณะด้วยพระโอวาทข้อนี้แล้ว ทรง
   อันตรธานที่ป่าสีตวันต่อหน้าท่านพระโสณะ แล้วมาปรากฏพระองค์ ณ คิชฌกูฏบรรพตเปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
พระโสณะสำเร็จพระอรหัตผล
   ครั้นกาลต่อมา ท่านพระโสณะได้ตั้งความเพียรแต่พอเหมาะ ทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายเสมอกัน และได้ถือนิมิตในความสม่ำเสมอ ครั้นแล้วได้หลีกออกอยู่แต่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีเพียร มีตนส่งไป ไม่นานเท่าไรนัก ได้ทำให้แจ้งซึ่งคุณพิเศษอันยอดเยี่ยม เป็นที่สุด พรหมจรรย์ ที่กุลบุตรทั้งหลายออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องประสงค์ ด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยตนเอง
   ในปัจจุบันนี้แหละ เข้าถึงอยู่แล้ว ได้รู้ชัดแล้วว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี ก็แลบรรดาพระอรหันต์ทั้งหลาย ท่านพระโสณะได้เป็นพระอรหันต์รูปหนึ่งแล้ว
พรรณนาคุณของพระขีณาสพ
   [๓] ครั้งนั้น ท่านพระโสณะบรรลุพระอรหัตแล้ว ได้คิดว่า ถ้ากระไรเราพึงพยากรณ์อรหัตผลในสำนักพระผู้มีพระภาค แล้วจึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมนั่งเฝ้าอยู่
ครั้นแล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาค ว่าดังนี้:-
พระพุทธเจ้าข้า ภิกษุใด เป็นพระอรหันต์มีอาสวะสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ปลงภาระลงแล้ว มีประโยชน์ของตนได้ถึงแล้วโดยลำดับ มีกิเลส
   เครื่องประกอบสัตว์ไว้ในภพหมดสิ้นแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้ชอบ ภิกษุนั้นย่อมน้อมใจ ไปสู่ เหตุ ๖ สถาน คือ
๑.น้อมใจไปสู่บรรพชา 
๒.น้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด
๓. น้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน
๔. น้อมใจไปสู่ความสิ้นอุปาทาน
๕. น้อมใจไปสู่ความสิ้นตัณหา และ
๖. น้อมใจไปสู่ความไม่หลงไหล
   พระพุทธเจ้าข้า ก็บางทีจะมีบางท่านในพระธรรมวินัยนี้สำคัญเห็นเช่นนี้ว่า ท่านผู้นี้อาศัยคุณแต่เพียงศรัทธาอย่างเดียวเป็นแน่ จึงน้อมใจไปสู่บรรพชา ดังนี้พระพุทธเจ้าข้า ก็ข้อนี้ไม่พึง
   เห็นอย่างนั้นเลย ภิกษุขีณาสพผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจที่จำจะต้องทำ หรือจะต้องกลับสะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว จึงน้อมใจสู่บรรพชา
   โดยที่ตนปราศจากราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงน้อมใจไปสู่บรรพชาโดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะจึงน้อมใจไปสู่บรรพชา โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะ
   พระพุทธเจ้าข้า ก็บางทีจะมีบางท่านในพระธรรมวินัยนี้ สำคัญเห็นเช่นนี้ว่า ท่านผู้นี้ปรารถนาลาภสักการะและความสรรเสริญเป็นแน่ จึงน้อมใจไปในความเงียบสงัด ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า
   ข้อนี้ก็ไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ภิกษุขีณาสพผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจที่จำจะต้องทำ หรือจะต้องกลับสะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว จึงน้อมใจไป
   สู่ความเงียบสงัด โดยที่ตนปราศจากราคะ เพราะสิ้นราคะจึงน้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด โดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความเงียบสงัด โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะ พระพุทธเจ้าข้า ก็บางทีจะมีบางท่าน
      ในพระธรรมวินัยนี้ สำคัญเห็นเช่นนี้ว่า ท่านผู้นี้
   เชื่อถือสีลัพพตปรามาส โดยความเป็นแก่นสารเป็นแน่ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน ดังนี้ พระพุทธเจ้าข้า ข้อนี้ก็ไม่พึงเห็นอย่างนั้นเลย ภิกษุขีณาสพผู้อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว มีกิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว ไม่เห็นว่าตนยังมีกิจที่จำจะต้องทำ หรือ จะต้องกลับสะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว
   จึงน้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน โดยที่ตนปราศจากราคะเพราะสิ้นราคะ  จึงน้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน โดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่เบียดเบียน
   โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะ
... จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นอุปาทาน โดยที่ตนปราศจากราคะเพราะสิ้นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นอุปาทาน โดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นอุปาทาน โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะ
    สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งนุ่งผ้าคากรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้าเปลือกไม้กรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้าผลไม้กรอง .... รูปหนึ่งนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยผมคน .... รูปหนึ่งนุ่งผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์ .... รูปหนึ่ง
... จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นตัณหา โดยที่ตนปราศจากราคะเพราะสิ้นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นตัณหา โดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความสิ้นตัณหา โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะ
... จึงน้อมใจไปสู่ความไม่หลงใหล โดยที่ตนปราศจากราคะ เพราะสิ้นราคะ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่หลงใหล โดยที่ตนปราศจากโทสะ เพราะสิ้นโทสะ จึงน้อมใจไปสู่ความไม่หลงใหล
               โดยที่ตนปราศจากโมหะ เพราะสิ้นโมหะพระพุทธเจ้าข้า แม้หากรูปารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยจักษุ ผ่านมาสู่คลองจักษุของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้น อันอารมณ์ไม่ทำให้
  เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้น
               แม้หากสัททารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยโสต               แม้หากคันธารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยฆานะ               แม้หากรสารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยชิวหา
               แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยกาย                แม้หากธรรมารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยมโน ผ่านมาสู่คลองใจของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงำจิต
               ของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้นอัน                อารมณ์ ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้น
พระพุทธเจ้าข้า ภูเขาล้วนแล้วด้วยศิลา ไม่มีช่อง ไม่มีโพรง เป็นแท่งทึบอันเดียวกัน แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศตะวันออก ก็ยังภูเขานั้นให้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านไม่ได้เลย แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศตะวันตก แม้หากลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศเหนือ
               ลมฝนอย่างแรง พัดมาแต่ทิศใต้ ก็ยังภูเขานั้นให้หวั่นไหว สะเทือนสะท้าน ไม่ได้เลย แม้ฉันใด. พระพุทธเจ้าข้า แม้หากรูปารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยจักษุ ผ่านมาสู่คลองจักษุของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ย่อมไม่ครอบงำจิต
               ของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้นอันอารมณ์ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิดและความดับของจิตนั้น.
แม้หากสัททารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยโสต แม้หากคันธารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบด้วยฆานะ แม้หากรสารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบด้วยชิวหา แม้หากโผฏฐัพพารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยกาย
แม้หากธรรมารมณ์ที่หยาบ ซึ่งจะพึงทราบชัดด้วยมโน ผ่านมาสู่คลองใจของภิกษุผู้มีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบอย่างนี้ ก็ไม่ครอบงำจิตของภิกษุนั้นได้เลย จิตของภิกษุนั้นอันอารมณ์ ไม่ทำให้เจือติดอยู่ได้ เป็นธรรมชาติตั้งมั่นไม่หวั่นไหว
               และภิกษุนั้นย่อมพิจารณาเห็นความเกิด และความดับของจิตนั้น ฉันนั้นเหมือนกันแล.นิคมคาถา
[๔] ภิกษุน้อมไปสู่บรรพชา ๑ ผู้น้อมไปสู่ความเงียบสงัด               แห่งใจ ๑ ผู้น้อมไปสู่ความไม่เบียดเบียน ๑ ผู้น้อมไปสู่               ความสิ้นอุปาทาน ๑ ผู้น้อมไปสู่ความสิ้นตัณหา ๑ ผู้น้อมไปสู่ความไม่หลงไหลแห่งใจ ๑
               ย่อมมีจิตหลุดพ้นโดยชอบ เพราะเห็นความเกิด และความดับแห่งอายตนะ               ภิกษุมีจิตหลุดพ้นแล้วโดยชอบ มีจิตสงบนั้น ไม่ต้องกลับ               สะสมทำกิจที่ได้ทำแล้ว กิจที่จำจะต้องทำก็ไม่มี เปรียบเหมือนภูเขา
               ที่ล้วนแล้วด้วยศิลาเป็นแท่งทึบอันเดียวกัน               ย่อมไม่สะเทือนด้วยลม ฉันใด รูป เสียง กลิ่น รส               ผัสสะ และธรรมารมณ์ ทั้งที่น่าปรารถนา และไม่น่า               ปรารถนาทั้งสิ้น ย่อมทำท่านผู้คงที่ให้หวั่นไหวไม่ได้
               ฉันนั้น จิตของท่านตั้งมั่น หลุดพ้นแล้ว ท่านย่อมพิจารณาเห็นความเกิด และความดับของจิตนั้นด้วย. อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะ 
เศรษฐีบุตรโสณโกฬิวิสะเข้าเฝ้าพระเจ้าพิมพิสารเป็นต้น อรรถกถาจัมมขันธกะ เรื่องพระโสณโกลิวิสเถระ
&@บทว่า อสฺสราธิปจฺจํ ได้แก่ ประกอบด้วยอิสระภาพและความเป็นใหญ่ยิ่ง. บทว่า รชฺชํ ได้แก่ ความเป็นพระราชา หรือกิจที่พระราชาจะพึงทรงทำ.  วินิจฉัยในข้อว่า โสโณ นาม โกลิวิโส นี้ พึงทราบดังนี้ :-
&&คำว่า โสณะ เป็นชื่อของเศรษฐีบุตรนั้น,   คำว่า โกลิวิสะ เป็นโคตร.    สองบทว่า ปาทตเลสุ โลมานิ มีความว่า ที่ฝ่าเท้าทั้งสองของเศรษฐีบุตรนั้นแดง มีขนอันละเอียดมีสีคล้ายดอกอัญชัน งดงามดังนายช่างได้ตกแต่งแล้ว. 
&@ได้ยินว่า ในกาลก่อน โสณเศรษฐีบุตรนั้นได้เป็นหัวหน้าของบุรุษแปดหมื่นคน พร้อมด้วยบุรุษเหล่านั้น ช่วยกันสร้างบรรณศาลาในสถานที่อยู่ของพระปัจเจกพุทธเจ้า แล้ววางผ้าปาวารขนสัตว์อย่างงามของตนทำให้เป็นผ้าเช็ดเท้า ในสถานเป็น
               ที่เหยียบด้วยเท้าของพระปัจเจกพุทธเจ้า.   และทุกๆ คนได้อุปัฏฐากพระปัจเจกพุทธเจ้า   ตลอดไตรมาส. นี้เป็นความประกอบบุพกรรมของโสณเศรษฐีบุตรนั้นกับบุรุษแปดหมื่นคนเท่านั้น.
บทว่า คามิกสหสฺสานิ ได้แก่ กุลบุตรแปดหมื่น ซึ่งอยู่ในบ้านเหล่านั้น. สองบทว่า เกนจิเทว กรณีเยน มีความว่า คล้ายกับมีราชกิจอะไรๆ ที่ควรทำ. แต่ราชกิจเล็กน้อยที่ควรทำของท้าวเธอก็หามีไม่นอกจากเพื่อต้องการทอดพระเนตรตัวเขา.
               ได้ยินว่า พระราชาเมื่อจะให้กุลบุตรทั้งแปดหมื่นนั้นประชุมกัน ได้ให้ประชุมกันแล้วด้วยทรงเห็นอุบายว่า ด้วยอุบายอย่างนี้ โสณะจะไม่ระแวงจักมา.
               สองบทว่า ทิฏฺฐธมฺมิเก อตฺเถ มีความว่า พระเจ้าพิมพิสารทรงอนุศาสน์ประโยชน์ซึ่งเกื้อกูลในโลกนี้ โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า การงานทั้งหลายมีกสิกรรมและพาณิชยกรรมเป็นต้น ควรทำตามธรรม มารดาบิดาควรเลี้ยงตามธรรม.
               สามบทว่า โส โน ภควา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายนั้น จักทรงพร่ำสอนท่านทั้งหลายในประโยชน์ซึ่งเป็นไปในสัมปรายภพ. สองบทว่า ภควนฺตํ ปฏิเวเทมิ มีความว่า เราจะทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าให้ทรงทราบ.
               สองบทว่า ปาฏิกาย นิมฺมุชฺชิตฺวา มีความว่า ดำลงในศิลาคล้ายอัฒจันทร์ในภายใต้แห่งบันได. หลายบทว่า ยสฺสทานิ ภนฺเต ภควา กาลํมญฺญ
บทว่า วิหารปฺปจฺฉายายํ ได้แก่ ในร่มเงาที่ท้ายวิหาร. บทว่าสมนฺนาหรนฺติ ได้แก่ ทำในใจบ่อยๆ ด้วยอำนาจความเลื่อมใส. สองบทว่า ภิยฺโยโส มตฺตาย มีความว่า ท่านจงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์วิเศษกว่าอีก โดยประมาณยิ่งเถิด. 
บทว่า อนฺตรธายติ ได้แก่ เป็นรูปที่มองไม่เห็น. สองบทว่า โลหิเตน ผุฏฺโฐ ได้แก่ เป็นที่จงกรมซึ่งเปื้อนเลือด. บทว่า ควาฆาตนํ มีความว่า เป็นเช่นกับสถานที่ฆ่าโคทั้งหลาย.    บทว่า กุสโล ได้แก่ ผู้ฉลาดในการดีดพิณ.
               สองบทว่า วีณาย ตนฺติสฺสเร ได้แก่เสียงแห่งสายพิณ. บทว่า อจฺจายิกา ได้แก่ เป็นสายที่ขึงตึงนัก คือกวดเขม็งนัก  บทว่า สรวตี ได้แก่ สมบูรณ์ด้วยเสียง. บทว่า กมฺมญฺญา ได้แก่ ควรแก่การงาน.
บทว่า อติสิถิลา ได้แก่ เป็นสายที่หย่อนนัก. บทว่า สเม คุเณปติฏฺฐิตา ได้แก่ ขึงกะให้เสียงเป็นกลางๆ.    สองบทว่า วิริยสมถํ อธิฏฺฐาหิ มีความว่า ท่านจงอธิษฐานสมถะอันสัมปยุตด้วยความเพียร. 
               อธิษฐานว่า จงประกอบด้วยความสงบเนื่องด้วยความเพียร.    สามบทว่า อินฺทฺริยานญฺจ สมตํ ปฏิวิชฺฌ มีความว่า จงทราบข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายมีสัทธาเป็นต้นต้องเป็นของเสมอๆ กัน คือเท่าๆ กัน คือจงเข้าใจข้อที่อินทรีย์ทั้งหลายที่ตนประกอบอยู่ บรรดาอินทรีย์
เหล่านั้น สัทธาและปัญญา และปัญญากับสัทธา ความเพียรกับสมาธิ และสมาธิกับความเพียร ต้องพอดีๆ กัน.    ข้อว่า ตตฺถ จ นิมิตฺตํ คณฺหาหิ มีความว่า เมื่อความสม่ำเสมอกันนั้นมีอยู่, นิมิตใดเป็นราวกะเงาในกระจกพึงเกิดขึ้น, ท่านจงถือเอานิมิตนั้น คือสมถ
นิมิต วิปัสสนานิมิต มรรคนิมิต ผลนิมิต ความว่า จงให้นิมิตนั้นเกิด.    สองบทว่า อญฺญํ พฺยากเรยฺยํ มีความว่าเราพึงให้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่า เราเป็นอรหันต์.    บทว่า ฉฏฺฐานานิ ได้แก่เหตุ ๖ ประการ.
               สองบทว่า อธิมุตฺโต โหติ มีความว่าเป็นผู้ตรัสรู้ คือทำให้ประจักษ์แล้วดำรงอยู่.   บททั้งปวงว่า เนกฺขมฺมาธิมุตฺโตเป็นต้น พระโสณโกลิวิสะกล่าวด้วยอำนาจพระอรหัต. จริงอยู่ พระอรหัต เรียกว่าเนกขัมมะ เพราะออกจากกิเลสทั้งปวง, เรียกว่าวิเวก เพราะสงัด
จาก   กิเลสเหล่านั้นเอง, เรียกว่าความไม่เบียดเบียน เพราะไม่มีความเบียดเบียน, เรียกว่าความสิ้นตัณหา เพราะเกิดขึ้น   ในที่สุดแห่งความสิ้นตัณหา, เรียกว่าความสิ้นอุปาทาน เพราะเกิดในที่สุดแห่งความสิ้นอุปาทาน
 , เรียกว่าความไม่หลงงมงาย เพราะไม่มีความหลงงมงาย.    สองบทว่า เกวลํ สทฺธามตฺตกํ มีความว่า ท่านผู้มีอายุนี้อาศัยคุณมาตรว่าศรัทธาล้วนๆ ปราศจากปฏิเวธ คือไม่เจือปนระคนด้วยปัญญาเครื่องตรัสรู้. 
               บทว่า ปฏิจยํ ได้แก่ เจริญด้วยทำซ้ำซาก.   บทว่า วีตราคตฺตา ได้แก่ เป็นผู้ตรัสรู้พระอรหัต กล่าวคือเนกขัมมะแล้วดำรงอยู่ เพราะราคะเป็นกิเลสไปปราศแล้วด้วยตรัสรู้มรรคนั่นเอง. อธิบายว่า อยู่ด้วยธรรมสำหรับอยู่คือผลสมาบัติ คือเป็นผู้มีใจน้อมไป
   ในผลสมาบัตินั้น.    แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยนี้เหมือนกัน.   บทว่า ลาภสกฺการสิโลกํ ได้แก่ ความได้ปัจจัยสี่ ๑ ความที่ปัจจัยสี่เหล่านั้นและเขาทำดีต่อ ๑ ความกล่าวเยินยอ ๑. บทว่า นิกามยมาโน ได้แก่ ต้องการ คือปรารถนา. 
               บทว่า ปวิเวกาธิมุตฺโต มีความว่า พยากรณ์อรหัตอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าน้อมไปในวิเวก.    บทว่า สีลพฺพตปรามาสํ ได้แก่สักว่าความถือที่ถืออิงศีลและพรต.  บทว่า สารโต ปจฺจาคจฺฉนฺโต ได้แก่ ทราบอยู่โดยความเป็นแก่นสาร. บทว่า อพฺยาปชฺฌาธิมุตฺโต
   มีความว่า พยากรณ์อรหัตซึ่งหาความเบียดเบียนมิได้. เนื้อความในวาระทั้งปวง พึงทราบโดยนัยนี้.    บทว่า ภุสา ได้แก่ มีกำลัง.   หลายบทว่า เนวสฺส จิตฺตํ ปริยาทิยนฺติ มีความว่า อารมณ์เหล่านั้นไม่สามารถจะยึดจิตของพระขีณาสพนั้นตั้งอยู่ได้. 
               บทว่า อมิสฺสีกตํ มีความว่า จิตของท่านอันอารมณ์ทำให้เจือด้วยกิเลสไม่ได้. อธิบายว่า อารมณ์ทั้งหลายย่อมทำจิตให้เป็นธรรมชาติเจือกับกิเลสทั้งหลาย เพราะไม่มีกิเลสเหล่านั้น จิตของท่านจึงชื่อว่าอันอารมณ์ทำให้เจือด้วยกิเลสไม่ได้. 
               บทว่า ฐิตํ ได้แก่ ตั่งมั่น.   บทว่า อเนญฺชปฺปตฺตํ ได้แก่ ถึงความไม่หวั่นไหว.    บทว่า วยญฺจสฺสานุปสฺสติ ได้แก่ เห็นทั้งความเกิด ทั้งความดับแห่งจิตนั้น.
   สองบทว่า เนกฺขมฺมํ อธิมุตฺตสฺส ได้แก่ ตรัสรู้พระอรหัตตั้งอยู่. พระอรหัตนั่นเอง พระโสณโกลิวิสเถระกล่าวแล้วแม้ด้วยบทที่เหลือทั้งหลาย.
               บทว่า อุปาทานกฺขยสฺส เป็นฉัฏฐีวิภัตติใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. สองบทว่า อสมฺโมหญฺจ เจตโส ได้แก่ และความไม่หลงงมงายแห่งจิต. ภิกษุนั้นน้อมไปแล้วด้วย. สองบทว่า ทิสฺวา อายตนุปฺปาทํ ได้แก่ เห็นความเกิดและความดับแห่งอายตนะทั้งหลาย. 
   หลายบทว่า สมฺมา จิตฺตํ วิมุจฺจติ มีความว่า จิตย่อมหลุดพ้นด้วยอำนาจผลสมาบัติ เพราะข้อปฏิบัติเครื่องเห็นแจ้งนี้ โดยชอบคือตามเหตุตามนัย ได้แก่น้อมไปในนิพพานเป็นอารมณ์. 
               บทว่า สนฺตจิตฺตสฺส ได้แก่ มีจิตเยือกเย็น.    บทว่า ตาทิโน คือ จัดว่าผู้คงที่ เพราะไม่หวั่นไหวด้วยความยินดียินร้าย ในอิฏฐารมณ์และอนิฏฐารมณ์. สองบทว่า อญฺญํ พฺยากโรนฺติ ได้แก่ พยากรณ์อรหัต. 
   สองบทว่า อตฺโถ จ วุตฺโต มีความว่า ตนอันผู้อื่นจะทราบว่าเป็นอรหันต์ด้วยเนื้อความใด เนื้อความนั้นอันกุลบุตรทั้งหลายกล่าวแล้ว. ส่วนเนื้อความแห่งสูตร    พึงถือเอาจากวรรณนาแห่งสุตตันตะเถิด.
   สองบทว่า อตฺตา จ อนุปนีโต มีความว่า ทั้งไม่น้อมตนเข้าไปด้วยอำนาจพยัญชนะอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าเป็นอรหันต์. 
   หลายบทว่า อถ จ ปนิเธกจฺเจ โมฆปุริสา มีความว่า ฝ่ายบุรุษเปล่าเหล่าอื่น ทำทีเหมือนสนุก พยากรณ์อรหัตผลซึ่งไม่มีเลย ทำให้มีด้วยเหตุสักว่าถ้อยคำ.

15 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ พระพุทธานุญาตเตวาจิกาปวารณา เป็นต้น อันตราย ๑๐ ประการ

search-google ทำบุญ
สัญจรภัยในวันปวารณา
   [๒๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ณ อาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท คนชาวดงได้มาพลุกพล่าน ในวันปวารณา.  ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณา ๓ หน  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณา ๒ หน.
   คนชาวดงได้มาพลุกพล่านมากขึ้น  ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณา ๒ หน  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เราอนุญาตให้ปวารณาหนเดียว. ชนชาวดงได้มาพลุกพล่านหนักขึ้นอีก. ภิกษุทั้งหลายไม่อาจปวารณาหนเดียว
   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ปวารณามีพรรษาเท่ากัน.
ราตรีจวนสว่าง
   ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา  ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า คนเหล่านี้มัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จัก
   ปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีนี้ก็จักสว่างเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติ อย่างไรหนอ  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา ชาวบ้านในตำบลนี้มัวให้ทานอยู่ จนราตรีจวนสว่าง  หากภิกษุทั้งหลาย
   ในอาวาสนั้น มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ชาวบ้านพากันให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จะปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน  ราตรีนี้ก็จักสว่างเสียก่อน ดังนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบ ด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  ชาวบ้านมัวให้ทานอยู่จนราตรีจวนสว่างถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน  ราตรีจักสว่างเสียก่อน.
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุทั้งหลายกล่าวธรรมกัน .... ภิกษุที่เชี่ยวชาญในพระสูตร  สังคายนาพระสูตรกัน .... พระวินัยธรตัดสินพระวินัยกัน ....
พระธรรมกถึกสนทนาธรรมกัน .... 
   ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง. 
หากภิกษุทั้งหลาย
ในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า  ภิกษุทั้งหลายทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่าง ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ราตรีจักสว่างเสียก่อน ดังนี้.
   ภิกษุผู้ฉลาดสามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุทั้งหลายมัวทะเลาะกันจนราตรีจวนสว่างถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันปวารณาทั่วกัน  ราตรีจักสว่างเสียก่อน  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว  สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน หนเดียว มีพรรษาเท่ากัน.
ฝนกำลังตั้งเค้า
   ก็โดยสมัยนั้นแล  ในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ถึงวันปวารณาภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก.  สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนกำลังตั้งเค้ามาใหญ่  จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า  ภิกษุสงฆ์นี้มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา
   ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน พวกเราจะพึงปฏิบัติสถานไรหนอ  แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่ผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาค รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มาประชุมกันมาก.  สถานที่ประชุมคับแคบคุ้มฝนไม่ได้  และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ภิกษุสงฆ์มาประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ
   คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน
   ฝนนี้ก็จักตกหนักเสียก่อน.  ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติ กรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  ภิกษุสงฆ์นี้ประชุมกันมาก สถานที่ประชุมคับแคบ คุ้มฝนไม่ได้ และฝนก็กำลังตั้งเค้ามาใหญ่  ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วกัน ฝนนี้ก็จักตกเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
อันตราย ๑๐ ประการ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งในตำบลนี้ ถึงวันปวารณา มีอันตรายเกิดขึ้น คือ
๑. พระราชาเสด็จมา .... ๒. โจรปล้น
๓. ไฟไหม้ .... ๔. น้ำหลากมา
๕. คนมามาก .... ๖. ผีเข้าสิงภิกษุ
๗. สัตว์ร้ายเข้ามา .... ๘. งูร้ายเลื้อยเข้ามา
๙. ภิกษุจะถึงเสียชีวิต ....
๑๐. มีอันตรายแก่พรหมจรรย์เกิดขึ้น.
   ในข้อนั้น หากภิกษุทั้งหลายในอาวาสนั้นมีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า  เหตุฉุกเฉินนี้แหละ คือ  อันตรายแก่พรหมจรรย์  ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน.  ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วย ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า เหตุฉุกเฉินนี้คืออันตรายแก่พรหมจรรย์ ถ้าสงฆ์จักปวารณา ๓ หน  สงฆ์จักไม่ทันได้ปวารณาทั่วถึงกัน  อันตรายแก่พรหมจรรย์นี้ก็จักเกิดเสียก่อน. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน .... หนเดียว .... มีพรรษาเท่ากัน.
ภิกษุมีอาบัติห้ามปวารณา
   [๒๔๕]  ก็โดยสมัยนั้นแล  พระฉัพพัคคีย์มีอาบัติติดตัวได้ปวารณา.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ภิกษุผู้มีอาบัติ
   ติดตัวปวารณา รูปนั้นทำโอกาส โจทด้วยอาบัติ.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์อันสงฆ์ให้ทำโอกาส ก็ไม่ปรารถนาจะทำโอกาส. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้งดปวารณาของภิกษุผู้ไม่ยอมทำโอกาส.
วิธีงดปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แล  สงฆ์พึงงดปวารณาอย่างนี้:-
   เมื่อถึงวันปวารณา ๑๔ ค่ำ หรือ ๑๕ ค่ำ  เมื่อบุคคลนั้นอยู่พร้อมหน้า ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลมีชื่อนี้ มีอาบัติติดตัวปวารณา ข้าพเจ้าของดปวารณาของเธอเสีย เมื่อเธอยังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์ไม่พึงปวารณา.
   เท่านี้ เป็นอันงดปวารณาแล้ว.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์หารือกันว่า ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก งดปวารณาของพวกเราก่อน ดังนี้ จึงรีบงดปวารณาของภิกษุที่บริสุทธิ์ไม่มีอาบัติเสียก่อน เพราะเรื่องอันไม่สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร แม้ปวารณาของภิกษุที่ปวารณาแล้วก็งดด้วย.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงงดปวารณา ของภิกษุผู้บริสุทธิ์  ไม่มีอาบัติ  เพราะเรื่องอันไม่สมควร เพราะเหตุอันไม่สมควร  รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง แม้ปวารณาของภิกษุ ที่ปวารณาแล้ว ก็ไม่พึงงด รูปใดงด ต้องอาบัติทุกกฏ.
ลักษณะปวารณาที่ไม่เป็นอันงด
   [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล ปวารณาเป็นอันงด อย่างนี้ไม่เป็นอันงด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปวารณาไม่เป็นอันงดอย่างไรเล่า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน
อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว
   จึงงดปวารณา ปวารณาไม่เป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากัน อันภิกษุกล่าวว่าจบแล้ว จึงงดปวารณา
ปวารณาไม่เป็นอันงด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล  ปวารณาไม่เป็นอันงด.
ลักษณะปวารณาเป็นอันงด
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปวารณาเป็นอันงดอย่างไรเล่า?
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๓ หน  อันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ  จึงงดปวารณา ปวารณาเป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณา ๒ หน ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณาหนเดียว ..
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อปวารณามีพรรษาเท่ากันอันภิกษุกล่าวว่ายังไม่ทันจบ จึงงดปวารณา  ปวารณาเป็นอันงด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อย่างนี้แล  ปวารณาเป็นอันงด.
ภิกษุผู้งดปวารณา
   [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุเสีย.  ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์  มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์ 
   เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  แต่มีความประพฤติทางวาจาไม่บริสุทธิ์  มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด
   เมื่อถูกซักถามก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าวห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  แต่มีอาชีวะไม่บริสุทธิ์  เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม. สงฆ์พึงกล่าว
   ห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า  ท่านองค์นี้แล  มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์  มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  มีอาชีวะบริสุทธิ์  แต่เป็นผู้เขลา ไม่ฉลาด เมื่อถูกซักถาม ก็ไม่อาจให้คำตอบข้อที่ซักถาม.สงฆ์พึงกล่าว
   ห้ามว่า อย่าเลย ภิกษุ อย่าทุ่มเถียงกัน อย่าทะเลาะกัน  อย่าแก่งแย่งกัน  อย่าวิวาทกันเลย ดังนี้ แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้ งดปวารณาของภิกษุเสีย. ถ้าภิกษุเหล่าอื่นรู้จักภิกษุรูปนั้นว่า ท่านองค์นี้แล มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติทางวาจาบริสุทธิ์  มีอาชีวะบริสุทธิ์ เป็นบัณฑิต ฉลาด มีปัญญา เมื่อถูกซักถาม
สามารถให้คำตอบข้อที่ซักถามได้.
   ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า อาวุโส
   คุณงดปวารณาของภิกษุรูปนี้เพราะอะไร?
   งดเพราะศีลวิบัติหรือ?  งดเพราะอาจารวิบัติหรือ?
   งดเพราะทิฏฐิวิบัติหรือ?
   หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า ข้าพเจ้างดเพราะศีลวิบัติ ข้าพเจ้า  งดเพราะอาจารวิบัติ 
     ข้าพเจ้างดเพราะทิฏฐิวิบัติ.
   เธออันสงฆ์พึงถาม  อย่างนี้ว่า  คุณรู้จักศีลวิบัติ รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติหรือ?  หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้จักศีลวิบัติ
    รู้จักอาจารวิบัติ รู้จักทิฏฐิวิบัติ.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส ก็ศีลวิบัติเป็นอย่างไร?
   อาจารวิบัติเป็นอย่างไร?  ทิฏฐิวิบัติเป็นอย่างไร?  หากเธอจะพึงตอบ  อย่างนี้ว่า ปาราชิก ๔  สังฆาทิเสส ๑๓ นี้ชื่อว่าศีลวิบัติ  ถุลลัจจัย  ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ  ทุกกฏ ทุพภาสิต  นี้ชื่อว่าอาจารวิบัติ มิจฉาทิฏฐิ  อันตคาหิกทิฏฐิ
   นี้ชื่อว่า ทิฏฐิวิบัติ.  เธออันสงฆ์พึงถาม อย่างนี้ว่า  อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยเหตุอะไร?
   งดด้วยได้เห็นหรือ?  งดด้วยได้ฟังหรือ?
   งดด้วยสงสัยหรือ?.  หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า
   ข้าพเจ้างดด้วยได้เห็นก็ดี  ข้าพเจ้างดด้วยได้ฟังก็ดี ข้าพเจ้างดด้วยสงสัยก็ดี.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า  อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็นอย่างไร?
   คุณเห็นอะไร?  คุณเห็นว่าอย่างไร?
  คุณเห็นเมื่อไร?  คุณเห็นที่ไหน?
  ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิก  คุณเห็นหรือ?
  ภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส คุณเห็นหรือ?
   ภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติ
ปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต  คุณเห็นหรือ?  คุณอยู่ที่ไหน? และภิกษุนี้อยู่ที่ไหน?
   คุณทำอะไรบ้าง?  ภิกษุนี้ทำอะไรบ้าง?.
   หากเธอจะพึงตอบอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย
   ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้เห็น  แต่งดปวารณาด้วยได้ฟังต่างหาก. เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่า อาวุโส  คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟังมาอย่างไร?
   คุณได้ฟังเรื่องอะไร? คุณได้ฟังมาว่าอย่างไร?
   คุณได้ฟังมาเมื่อไร?  คุณได้ฟังที่ไหน?
  คุณได้ฟังว่า  ภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ?
  ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ?
  ได้ฟังว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจจัย
.... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิตหรือ? ได้ฟังมาจากภิกษุหรือ?  ได้ฟังมาจากภิกษุณีหรือ? ได้ฟังมาจากสิกขมานาหรือ?
   ได้ฟังมาจากสามเณรหรือ? ได้ฟังมาจากสามเณรีหรือ?  ได้ฟังมาจากอุบาสกหรือ?  ได้ฟังมาจากอุบาสิกาหรือ?
   ได้ฟังมาจากพระราชาหรือ?  ได้ฟังมาจากราชมหาอำมาตย์หรือ? ได้ฟังมาจากพวกเดียรถีย์หรือ?
   ได้ฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์หรือ?.
   หากเธอจะพึงตอบ อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยได้ฟัง  แต่ข้าพเจ้างดปวารณาด้วยสงสัยต่างหาก.  เธออันสงฆ์พึงถามอย่างนี้ว่าอาวุโส คุณงดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัยอย่างไร?  คุณสงสัยอะไร?
สงสัยว่าอย่างไร? สงสัยเมื่อไร? สงสัยที่ไหน?
คุณสงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติปาราชิกหรือ?
สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติสังฆาทิเสสหรือ?
   สงสัยว่าภิกษุนี้ต้องอาบัติถุลลัจ .... อาบัติปาจิตติยะ .... อาบัติปาฏิเทสนียะ .... อาบัติทุกกฏ
   อาบัติทุพภาสิตหรือ?  คุณฟังมาจากภิกษุแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากภิกษุณี แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจาก
   สิกขมานาแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรแล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากสามเณรีแล้วสงสัยหรือ?
   คุณฟังมาจากอุบาสกแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากอุบาสิกา แล้วสงสัยหรือ? คุณฟังมาจากพระราชาแล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากราชมหาอำมาตย์แล้วสงสัยหรือ? คุณฟัง
   มาจากพวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ?  คุณฟังมาจากพวกสาวกเดียรถีย์แล้วสงสัยหรือ?  หากเธอจะพึงตอบ
  อย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ข้าพเจ้ามิได้งดปวารณาของภิกษุนี้ด้วยสงสัย ความจริงแม้ข้าพเจ้าเองก็ไม่ทราบว่า เรางดปวารณาของภิกษุนี้เสียด้วยเหตุไรเล่า?.
ฟังคำปฏิญาณของโจทก์และจำเลย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นตอบข้อซักถามไม่เป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณไม่ควรฟ้องภิกษุจำเลย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้น
   ตอบข้อซักถามเป็นที่พอใจของสพรหมจารีผู้รู้ทั้งหลาย สงฆ์ควรบอกว่า  คุณควรฟ้องภิกษุจำเลย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า  ตนตามกำจัดด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสสแล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรมแล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุโจทก์นั้นปฏิญาณว่า ตนตามกำจัดด้วยอาบัติถุลลัจจัยไม่มีมูล ด้วยอาบัติปาจิตติยะ
   ด้วยอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ด้วยอาบัติทุกกฏ
   .... ด้วยอาบัติทุพภาสิตไม่มีมูล สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติปาราชิก สงฆ์พึงนาสนะเสีย แล้วจึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติสังฆาทิเสส สงฆ์พึงปรับอาบัติสังฆาทิเสส แล้วจึงปวารณา. ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากภิกษุจำเลยนั้นปฏิญาณว่า ตนต้องอาบัติถุลลัจจัย .... อาบัติปาจิตติยะ อาบัติปาฏิเทสนียะ
.... อาบัติทุกกฏ .... อาบัติทุพภาสิต 
   สงฆ์พึงปรับอาบัติตามธรรม แล้วปวารณาเถิด.
มีความเห็นไม่ตรงกันในอาบัติที่ต้อง
   [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่า  ต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่า ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย พึงนำภิกษุรูปนั้น ออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
   ปรับอาบัติตามธรรม  แล้วเข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุรูปนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติถุลลัจจัย ในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏบางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย
     บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุพวกที่มีความเห็นว่า ต้องอาบัติถุลลัจจัย  พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย
   ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล  อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติปาจิตติยะ .... ต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ .... ต้องอาบัติทุกกฏ .... ต้องอาบัติทุพภาสิต ในวันปวารณา.
   ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้อง
   อาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ ต้องอาบัติทุพภาสิตในวันปวารณา. ภิกษุบางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติถุลลัจจัย บางพวก
   มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต   บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาจิตติยะ บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต  บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติปาฏิเทสนียะ 
บางพวก  มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต
      บางพวกมีความเห็นว่าต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่มีความเห็นว่าต้องอาบัติทุพภาสิต พึงนำภิกษุรูปนั้นออกไปในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  ปรับอาบัติตามธรรมแล้ว เข้าไปหาสงฆ์กล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย ภิกษุนั้นต้องอาบัติใดแล อาบัตินั้นเธอทำคืนตามธรรมแล้ว ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้วสงฆ์พึงปวารณา.
วัตถุและบุคคลปรากฎ
   [๒๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า   ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุนี้ปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ  ถ้าความ
พร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุ แล้วปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์
   ถ้าวัตถุปรากฏ บุคคลไม่ปรากฏ เธอจงระบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า 
   ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บุคคลนี้ปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ  ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดบุคคล แล้วปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาค   ทรงบัญญัติปวารณา
   ไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ถ้าบุคคลปรากฏ วัตถุไม่ปรากฏ เธอจงระบุวัตถุนั้นมาเดี๋ยวนี้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ในวันปวารณาว่า ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วัตถุและบุคคลนี้ปรากฏ  ถ้าความพร้อมพรั่ง
   ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงงดวัตถุและบุคคลแล้ว ปวารณาเถิด. ภิกษุนั้นอันสงฆ์พึงกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติปวารณาไว้สำหรับภิกษุทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ และพร้อมเพรียงกัน  ถ้าวัตถุและบุคคลปรากฏ เธอจงระบุวัตถุและบุคคลนั้นมาเดี๋ยวนี้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากวัตถุปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังบุคคลจึงปรากฏ ควรพูดขึ้น. หากบุคคลปรากฏก่อนปวารณา ภายหลังวัตถุจึงปรากฏ ก็ควรพูดขึ้น. หากวัตถุและบุคคลปรากฏ  ก่อนปวารณา.
    ถ้าเมื่อทำปวารณาแล้ว ฟื้นเรื่องนั้นขึ้นเป็นปาจิตติยะ เพราะฟื้นเรื่องขึ้น.ภิกษุก่อความบาดหมางเป็นต้น
   [๒๕๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกันที่เคยเห็นร่วมคบหากันมา จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง  ในโกศลชนบท ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อ
   ความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่ด้วยประสงค์ว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย.
   ภิกษุเหล่านั้นได้ทราบข่าวว่า ณ สถานที่ใกล้เคียงของพวกเรา  มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ จำพรรษาอยู่
   ด้วยมุ่งหมายว่าในวันปวารณา พวกเราจักงดปวารณาของภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้ พวกเราจะพึง
ปฏิบัติอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  มากรูปด้วยกัน  ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมาจำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง. ณ สถานที่ใกล้เคียงของภิกษุเหล่านั้น มีภิกษุเหล่าอื่นที่ก่อความ
   บาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท  ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์  จำพรรษาอยู่ ด้วยมุ่งหมายว่า  ในวันปวารณา  พวกเราจักงดปวารณาของพวกภิกษุที่อยู่จำพรรษาเหล่านั้นเสีย ดังนี้.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุเหล่านั้นทำอุโบสถ ๒ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ หรือ ๓ อุโบสถ คือ ที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕
   ให้เป็นอุโบสถ ๑๔ ค่ำ ด้วยประสงค์ว่า ไฉนพวกเราพึงปวารณาก่อนภิกษุเหล่านั้น. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
 หากภิกษุ   พวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  มาสู่อาวาส  ภิกษุพวกเจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงรีบประชุมปวารณาเสียโดยเร็ว  ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย
 พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว
ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด  ก็จงทำสถานนั้นเถิด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  ไม่แจ้งให้ทราบก่อนมาสู่อาวาสนั้น พวกภิกษุ
   เจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  พึงลุกขึ้นแล้วรับบาตรจีวร  พึงต้อนรับด้วยน้ำดื่ม.  พึงเสแสร้งกล่าวแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้ว
   ไปปวารณานอกสีมา.
   ครั้นแล้วพึงแจ้งว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกเราปวารณากันเสร็จแล้ว ท่านทั้งหลายจะสำคัญสถานใด ก็จงทำสถานนั้นเถิด.  ถ้าได้วิธีการนั้นอย่างนี้  การได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาด ผู้สามารถ  พึงประกาศให้ภิกษุเจ้าถิ่นทั้งหลายทราบว่า ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความ
   พร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว
พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้ พึงปวารณาในวันกาฬปักที่จะมาถึงเถิด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า
   ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.  พวกเธออันภิกษุทั้งหลาย พึงกล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะ ยังไม่ปวารณาก่อนละ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากภิกษุที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงอยู่คอยไปถึงวันกาฬปักษ์นั้น  ภิกษุเจ้าถิ่นผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้พวกภิกษุเจ้าถิ่นทราบว่า
   ขอท่านเจ้าถิ่นทั้งหลาย จงฟังข้าพเจ้า  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว พวกเราพึงทำอุโบสถ  พึงสวดปาติโมกข์ในบัดนี้เถิด พวกเราพึงปวารณาในวันชุณหปักษ์ที่จะมาถึงเถิด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง  ก่อความทะเลาะ  ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว  ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น  จะพึงกล่าวกะภิกษุเหล่านั้น  อย่างนี้ว่า  ดีแล้ว อาวุโสทั้งหลาย  ขอพวกท่านจงปวารณาต่อพวกเราในบัดนี้เถิด.
   พวกเธออันภิกษุทั้งหลายพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  อาวุโสทั้งหลาย  พวกท่านไม่เป็นใหญ่ในปวารณาของพวกเรา พวกเราจะยังไม่ปวารณาก่อนละ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   หากภิกษุพวกที่ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ทำความอื้อฉาว
   ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์เหล่านั้น จะพึงอยู่คอยไปถึงวันชุณหปักษ์แม้นั้น ภิกษุเหล่านั้นทุกรูปไม่ปวารณา  ก็ต้องปวารณาในวันเพ็ญเดือน ๑๒ เป็นที่ครบ ๔ เดือนที่จะมาถึง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้ไม่อาพาธ  ภิกษุอาพาธนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า  ท่านกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าจะหายอาพาธหายอาพาธแล้ว
   เมื่อจำนงจึงค่อยโจท. หากภิกษุอาพาธถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้อาพาธ ภิกษุผู้ไม่อาพาธนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว 
       อย่างนี้ว่า อาวุโส ภิกษุรูปนี้แล
   กำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม อาวุโส ขอท่านจงรออยู่จนกว่าภิกษุรูปนี้หายอาพาธ ภิกษุนั้นหายอาพาธแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท.
   หากภิกษุผู้ไม่อาพาธถูกว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณาอยู่ ภิกษุอาพาธงดปวารณาของภิกษุอาพาธๆ นั้น  อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายกำลังอาพาธ อันผู้อาพาธ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ไม่สู้จะอดทนต่อการซักถาม โปรดรออยู่ก่อนจนกว่าจะหายอาพาธด้วยกัน หายอาพาธด้วยกันแล้ว เมื่อจำนงจึงค่อยโจท.
   หากภิกษุผู้อาพาธนั้นถูกว่ากล่าวอย่างนี้ ยังขืนโจท เป็นปาจิตติยะ เพราะไม่เอื้อเฟื้อ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าเมื่อภิกษุเหล่านั้นกำลังปวารณากัน ภิกษุผู้ไม่อาพาธงดปวารณาของภิกษุผู้ไม่อาพาธ.  ทั้งสองฝ่าย สงฆ์พึงสอบสวนสืบสวนเป็นการสงฆ์ปรับอาบัติตามธรรม แล้วจึงปวารณาเถิด.