Translate

21 พฤศจิกายน 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ ภิกษุอาพาธในฤดูสารท เป็นต้น พระพุทธานุญาตเภสัช ๕ ในกาล

Google Workspace logo 
 ทำบุญ 
   [๒๕] โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง
   มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น ครั้นแล้วจึงตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งถามว่า
ดูกรอานนท์
   ทำไมหนอ เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น
   ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลาย อันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก
   เพราะอาพาธนั้น   พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมองมีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น.
พระพุทธานุญาตเภสัช ๕ ในกาล
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับในที่สงัดทรงหลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งพระทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารท ถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวพรรณ
   เหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เราจะพึงอนุญาตอะไรหนอ เป็นเภสัชแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งจะพึงสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และจะไม่พึงปรากฏเป็นอาหารหยาบ ทีนั้นพระองค์ได้มีพระปริวิตกสืบต่อไปว่า เภสัช ๕ นี้แล คือ เนยใส
   เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัช
   อยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ผิฉะนั้น เราพึงอนุญาตเภสัช ๕ นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ให้รับประเคนในกาลแล้วบริโภคในกาล ครั้นเวลาสายัณห์พระองค์เสด็จออกจากที่หลีกเร้น ทรงทำธรรมีกถา
   ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้
   ว่า เดี๋ยวนี้ ภิกษุทั้งหลายอันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารท ถูกต้องแล้ว ยาคูที่ดื่มเข้าไปก็พุ่งออก แม้ข้าวสวยที่ฉันแล้วก็พุ่งออก เพราะอาพาธนั้น พวกเธอจึงซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็น เราจะพึงอนุญาตอะไรหนอเป็นเภสัชแก่ภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเป็น
   เภสัชอยู่ในตัวและเขาสมมติว่าเป็นเภสัช ทั้งจะพึงสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลกและไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นได้มีความปริวิตกสืบต่อไปว่า เภสัช ๕ นี้แล คือ เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย เป็นเภสัชอยู่ในตัว และเขาสมมติว่าเป็นเภสัช
   ทั้งสำเร็จประโยชน์ในอาหารกิจแก่สัตวโลก และไม่ปรากฏเป็นอาหารหยาบ ผิฉะนั้น เราพึงอนุญาตเภสัช ๕ นี้แก่ภิกษุทั้งหลาย ให้รับประเคนในกาลแล้วบริโภคในกาล ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับประเคนเภสัช ๕ นั้นในกาล แล้วบริโภคในกาล.
พระพุทธานุญาตเภสัช ๕ นอกกาล
   [๒๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ นั้นในกาล แล้วบริโภคในกาล โภชนาหารของพวกเธอชนิดธรรมดา ชนิดเลว ไม่ย่อย ไม่จำต้องกล่าวถึงโภชนาหารที่ดี พวกเธออันอาพาธซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทนั้น และอันความเบื่อภัตตาหารนี้ถูกต้องแล้ว เพราะเหตุ ๒ ประการนั้น
   ยิ่งเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น พระผู้มีพระภาคได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุเหล่านั้นซึ่งซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น
   ครั้นแล้วจึง ตรัสเรียกท่านพระอานนท์ มารับสั่งถามว่า ดูกรอานนท์ ทำไมหนอ เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายยิ่ง ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น?
   ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้ภิกษุทั้งหลายรับประเคนเภสัช ๕ นั้น ในกาลแล้วบริโภคในกาล โภชนาหารของพวกเธอชนิดธรรมดา ชนิดเลว ไม่ย่อย ไม่จำต้องกล่าวถึงโภชนาหารที่ดี พวกเธออันอาพาธ ซึ่งเกิดชุมในฤดูสารทนั้น และอันความเบื่อภัตตาหารนี้ถูกต้องแล้ว
   เพราะเหตุ ๒ ประการนั้น ยิ่งเป็นผู้ซูบผอม เศร้าหมอง มีผิวพรรณไม่ดี มีผิวเหลืองขึ้นๆ มีเนื้อตัวสะพรั่งด้วยเอ็นมากขึ้น.
   ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับประเคนเภสัช ๕ นั้น แล้วบริโภคได้ทั้งในกาลทั้งนอกกาล.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ 
ภิกษุอาพาธในฤดูสารทเป็นต้น
อรรถกถาเภสัชชขันธกะ| ว่าด้วยเภสัช
วินิจฉัยในเภสัชชขันธกะ พึงทราบดังนี้ :- 
   สองบทว่า สารทิเกน อาพาเธน ได้แก่ อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นในสารทกาล.๑- 
   จริงอยู่ ในกาลนั้น ภิกษุทั้งหลายย่อมเปียกด้วยน้ำฝนบ้าง ย่อมเหยียบย่ำโคลนบ้าง แดดย่อมกล้าในระหว่างๆ บ้าง เพราะเหตุนั้น ดีของภิกษุเหล่านั้นย่อมเป็นของซึมเข้าไปในลำไส้. 
   ๑- กล่าวตามฤดู ๖ ในตำราแพทย์ ไท, สารทฤด ได้แก่ เดือนสิบเอ็ดกับเดือนสิบสอง และว่าเป็นไข้เพื่อลม. 
   สองบทว่า อาหารตฺถญฺจ ผเรยฺย มีความว่า วัตถุพึงยังประโยชน์ด้วยอาหารให้สำเร็จ.   บทว่า นจฺฉาเทนฺติ มีความว่า ย่อมไม่ยอมไป คือไม่สามารถจะระงับโรคลมได้. 
   บทว่า สิเนสิกานิ ได้แก่ โภชนะที่สนิท. 
   บทว่า ภตฺตจฺฉาทเกน คือ ความไม่ย่อยแห่งอาหาร. 
   ในคำว่า กาเล ปฏิคฺคหิตํ เป็นต้น มีความว่า รับประเคนเจียวกรอง ในเมื่อเวลาเที่ยงยังไม่ล่วงเลยไป. 
   สองบทว่า เตลปริโภเคน ปริภุชิตุํ มีความว่า เพื่อบริโภคอย่างบริโภคน้ำมัน ซึ่งเป็นสัตตาหกาลิก. 
   บทว่า วจตฺถํ ได้แก่ ว่านที่เหลือ. 
สองบทว่า นิสทํ นิสทโปตํ ได้แก่ ตัวหินบดและลูกหินบด. 
ชื่อว่า ปัคควะ นั้น เป็นชาติไม้เถา (ได้แก่บอระเพ็ด). 
    บทว่า นตฺตมาลํ ได้แก่ กระถินพิมาน. 
   วินิจฉัยในบทว่า อจฺฉวสํ เป็นอาทิ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวในอรรถกถาแห่งนิสสัคคิยกัณฑ์๒- นั่นแล. 
   แม้วินิจฉัยในมูลเภสัชเป็นต้น ก็ได้กล่าวแล้วในขุททกวรรณนา๓- เหมือนกัน เพราะเหตุนั้น คำใดๆ ที่ไม่ได้กล่าวแล้วในก่อน ข้าพเจ้าจักพรรณนาเฉพาะคำนั้นๆ ในที่นี้. หิงคุ หิงคุชตุและหิงคุสิปาฏิกา ก็คือชาตแห่งหิงคุนั่นเอง. ตกะ ตกปัตติและตกปัณณิยะ ก็คือชาติครั่งนั่นเอง. 
๒- สมนฺต ทุติย. ๒๕๕. ๓- สมนฺต. ทุตยิ. ๔๑๓. 
เกลือสมุทร นั้นได้แก่ เกลือที่เกิดตามฝั่งทะเลเหมือนทราย. 
   ชื่อว่า กาฬโลณะ นั้นได้แก่ เกลือตามปกติ. 
   เกลือสินเธาว์นั้น ได้แก่ เกลือมีสีขาว เกิดตามภูเขา. 
ชื่อว่า อุพภิทะ นั้นได้แก่ เกลือที่เป็นหน่อขึ้นจากแผ่นดิน.
   ชื่อว่า พิละ นั้นได้แก่ เกลือที่เขาหุงกับเครื่องปรุงทุกอย่าง เกลือนั้นแดง. 
   บทว่า ฉกนํ ได้แก่ โคมัย. 
   สองบทว่า กาโย วา ทุคฺคนฺโธ มีความว่า กลิ่นตัวของภิกษุบางรูป เหมือนกลิ่นตัวแห่งสัตว์มีม้าเป็นต้น จุรณแห่งไม้ซึกและดอกคำเป็นต้น หรือจุรณแห่งเครื่องหอมทุกๆ อย่าง ควรแก่ภิกษุแม้นั้น. 
   บทว่า รชนนิปกฺกํ ได้แก่ กากเครื่องย้อม. ภิกษุจะตำแม้ซึ่งจุรณตามปกติแล้วแช่น้ำอาบ ก็ควร. แม้จุรณตามปกตินั้น ย่อมถึงความนับว่า กากเครื่องย้อมเหมือนกัน. 
   อมนุษย์เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสด เพราะเหตุนั้น ภิกษุจึงชื่อว่าไม่ได้เคี้ยวกินเนื้อดิบและดื่มเลือดสดนั้น. อมนุษย์ ครั้นเคี้ยวกินและดื่มแล้วได้ออกไป เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อาพาธเกิดแต่อมนุษย์นั้นของเธอย่อมระงับ. 
    คำว่า อญฺชนํ นี้ เป็นคำกล่าวครอบยาตาทั้งหมด. 
   บทว่า กาฬญฺชนํ ได้แก่ ชาติแห่งยาตาชนิดหนึ่ง หรือยาตาที่หุงด้วยเครื่องปรุงทุกอย่าง. 
บทว่า รสญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่างๆ. 
บทว่า โสตญฺชนํ ได้แก่ ยาตาที่เกิดในกระแสน้ำเป็นต้น. 
   หรดาล กลีบทอง ชื่อเครุกะ. 
ชื่อว่า กปัลละ นั้นได้แก่ เขม่าที่เอามาจากเปลวประทีป. 
ชื่อว่า จันทนะ ได้แก่ จันทน์ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีจันทน์แดงเป็นต้น. เครื่องยาตาทั้งหลายมีกฤษณาเป็นต้น ปรากฏแล้ว. เครื่องยาแม้เหล่าอื่นมีอุบลเขียวเป็นต้น ย่อมควรเหมือนกัน. 
   บทว่า อญฺชนุปปึสเนหิ ได้แก่ เครื่องยาทั้งหลายที่จะพึงบดผสมกับยาตา. แต่เครื่องบดยาตาไรๆ จะไม่ควรหามิได้. 
   บทว่า อฏฺฐิมยํ มีความว่า ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยกระดูกที่เหลือ เว้นกระดูกมนุษย์. บทว่า ทนฺตมยํ ได้แก่ ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยงา ทุกอย่างมีงาช้างเป็นต้น. ขึ้นชื่อว่า ภาชนะที่ไม่ควร ย่อมไม่มีในภาชนะที่ทำด้วยเขาเลย. ภาชนะยาตาที่แล้วด้วยไม้อ้อเป็นต้น เป็นของควรโดยส่วนเดียวแท้. 
   บทว่า สลาโกธานิยํ มีความว่า ชนทั้งหลายย่อมเก็บไม้ด้ามยาตาในที่เก็บอันใด เราอนุญาตที่เก็บอันนั้นเป็นกลักก็ตาม เป็นถุงก็ตาม. บทว่า อํสวทฺธก นั้น ได้แก่ หูสำหรับสะพายแห่งถุงยาตา. 
   สองบทว่า ยมกํ นตฺถุกรณึ ได้แก่ กล้องยานัตถ์อันเดียวเป็นหลอดคู่ มีรูเท่ากัน. ข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว เตลปากํ มีความว่า การหุงน้ำมันทุกชนิด เป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตให้ใส่เครื่องยาอย่างใดอย่างหนึ่ง ลงได้แท้. 
   บทว่า อติปกฺขิตฺตมชฺชานิ มีความว่า มีน้ำเมาอันตนใส่เกินเปรียบไป. 
   อธิบายว่า ปรุงใส่น้ำเมามากไป. 
   ลมในอวัยวะใหญ่น้อย ชื่ออังควาตะ. 
   บทว่า สมฺภารเสหํ ได้แก่ การเข้ากระโจมด้วยใบไม้ที่จะพึงหักได้ต่างๆ อย่าง. 
   บทว่า มหาเสทํ มีความว่า เราอนุญาตให้นึ่งร่างกายด้วยบรรจุถ่านไฟให้เต็มหลุม ประมาณเท่าตัวคนแล้ว กลบด้วยฝุ่นและทรายเป็นต้น ลาดใบไม้ที่แก้ลมได้ต่างๆ ชนิด บนหลุมนั้น แล้วนอนพลิกไปพลิกมาบนใบไม้นั้น ด้วยตัวอันทาน้ำมันแล้ว. 
   บทว่า ภงฺโคทกํ ได้แก่ น้ำที่ต้มเดือดด้วยใบไม้ต่างๆ ที่จะพึงหักได้. พึงรดตัวด้วยใบไม้เหล่านั้นและน้ำ เข้ากระโจม. 
   บทว่า อุทโกฏฺฐกํ ได้แก่ ซุ้มน้ำ. ความว่า เราอนุญาตให้ใช้อ่างหรือรางที่เต็มด้วยน้ำอุ่นแล้วลงในอ่างหรือรางนั้น ทำการนึ่งให้เหงื่อออก. สองบทว่า ปพฺพวาโต โหติ
      มีความว่า ลมย่อมออกตามข้อๆ.
   สองบทว่า โลหิตํ โมเจตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุปล่อยโลหิตด้วยมีด. สองบทว่า มชฺชํ อภิสงฺขริตุํ มีความว่า เท้าที่ผ่าแล้ว จะหายเป็นปกติได้ด้วยน้ำเมาใด เราอนุญาตให้ภิกษุใส่ยาต่างๆ ลงในกะลามะพร้าวเป็นต้นปรุงน้ำเมานั้น คือให้หุงยาเป็นที่สบายแก่เท้าทั้งสอง. 
   สองบทว่า ติลกกฺเกน อตฺโถ มีความว่า ต้องการด้วยงาทั้งหลายที่บดแล้ว. บทว่า กพฬิกํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุพอกแป้งที่ปากแผล.๔-  บทว่า สาสปกุฑฺเฑน มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุชะล้างด้วยแป้งเมล็ดผักกาด. 
      บทว่า วฑฺฒมํสํ ได้แก่ เนื้อที่งอกขึ้นดังเดือย. 
      บทว่า วิกาสิกํ ได้แก่ ผ้าเก่าสำหรับกันน้ำมัน. 
   สองบทว่า สพฺพํ วณปฏิกมฺมํ มีความว่า ขึ้นชื่อว่าการรักษาแผลทุกอย่างบรรดามี เราอนุญาตทั้งหมด. 
   สองบทว่า สามํ คเหตฺวา มีความว่า ยามหาวิกัตินี้ อันภิกษุผู้ถูกงูกัดอย่างเดียวเท่านั้น พึงถือเอาฉันเอง หามิได้ เมื่อพิษอันสัตว์กัดแล้ว แม้อย่างอื่น ภิกษุก็พึงถือเอาฉันเองได้ แต่ในเหตุเหล่าอื่น รับประเคนแล้วเท่านั้นจึงควร. 
   ข้อว่า น ปฏิคฺคาหาเปตพฺโพ มีความว่า ถ้าคูถถึงภาคพื้นแล้ว ต้องรับประเคน แต่จะถือเอาเองซึ่งคูถที่ยังไม่ถึงภาคพื้นควรอยู่. โรคที่เกิดขึ้นแต่น้ำซึ่งสตรีให้เพื่อทำให้อยู่ในอำนาจ ชื่อว่าอาพาธเกิดแต่ยาอันหญิงแม่เรือนให้. 
   บทว่า สิตาโลลึ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุเอาดินที่ติดผาลของผู้ไถนาด้วยไถ ละลายน้ำดื่ม. 
บทว่า ทุฏฺฐคหณิโก มีความว่า ผู้มีไฟธาตุเผาอาหารเสีย. 
   อธิบายว่า อุจจาระออกยาก. 
   บทว่า อามิสขารํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุเผาข้าวสุกที่ตากแห้งให้ไหม้ แล้วดื่มน้ำด่างที่ไหลออกจากเถ้านั้น. 
บทว่า มุตฺตหรีฏกํ ได้แก่ สมอไทยที่ดองด้วยมูตรโค. 
บทว่า อภิสนฺนกาโย ได้แก่ มีกายเป็นโทษมาก. 
   บทว่า อจฺฉกญฺชิกํ ได้แก่ น้ำข้าวใส. 
   บทว่า อกฏยูสํ ได้แก่ น้ำถั่วเขียวต้ม ที่ไม่ข้น. 
บทว่า กฏากฏํ ได้แก่ น้ำถั่วเขียวต้มนั้นเอง แต่ขันหน่อย. 
   บทว่า ปฏิจฺฉาทนเยน ได้แก่ รสแห่งเนื้อ. 
๔- กพฬิกาติ. อปนาหเภสชฺชนฺติ วิมติวิโนทนี.
ยาสำหรับพอก.
อรรถกพระพุทธานุญาตน้ำมันเปลว [๒๗]
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยน้ำมันเปลวเป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำมันเปลวเป็นเภสัช คือ น้ำมันเปลวหมี น้ำมันเปลวปลา น้ำมันเปลวปลาฉลาม
   น้ำมันเปลวหมู น้ำมันเปลวลา ที่รับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในกาล บริโภคอย่างน้ำมัน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในวิกาล เจียวในวิกาล กรองในวิกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๓ ตัว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในวิกาล กรองในวิกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในวิกาล หากจะ
พึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ต้องอาบัติทุกกฏ ๑ ตัว
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุรับประเคนในกาล เจียวในกาล กรองในกาล หากจะพึงบริโภคน้ำมันเปลวนั้น ไม่ต้องอาบัติ.
พระพุทธานุญาตมูลเภสัช
   [๒๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตรากไม้ที่เป็นเภสัช คือ ขมิ้น ขิง ว่านน้ำ ว่านเปราะ อุตพิด ข่า แฝก แห้วหมู ก็ หรือ
   มูลเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนมูลเภสัชเหล่านั้นแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตเครื่องบดยา
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยรากไม้ที่เป็นเภสัชชนิดละเอียด จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตตัวหินบด ลูกหินบด.
พระพุทธานุญาตกสาวเภสัช
   [๒๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยน้ำฝาดเป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำฝาดที่เป็นเภสัช คือ น้ำฝาดสะเดาะ น้ำฝาดมูกมัน น้ำฝาดกระดอม
หรือ ขี้กา น้ำฝาดบรเพ็ด หรือพญามือเหล็ก น้ำฝาดกถินพิมาน ก็หรือกสาวเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนกสาวเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.


โปเกมอน เดอะมูฟวี่ ตอน ความแค้นของมิวทู อีโวลูชัน
เด็กและครอบครัว/ภาพยนตร์แนวแฟนตาซี ‧ 1 ชม. 38 นาที
พ.ศ. 2562 ‧


Pokemon The First Movie Mewtwo Strikes Back (1998) ความแค้นของมิวทู
ดูหนัง-POKEMON THE FIRST MOVIE MEWTWO STRIKES BACK (1998) ความแค้นของมิวทู
                 





เมื่อโปเกม่อน ต่างสายพันธุ์ ต้องมาเผชิญหน้ากับแบบหลีกเลี่ยงไม่ได้ แน่นอนการต่อสู้จึงเกิดขึ้น และในการต่อสู้ครั้งนี้ ก็มีเหล่าโปเกม่อนตัวอื่นๆ มากมาย ที่มาเป็นพยานในครั้งนี้ คราวนี้ทั้งสองจะเป็นศัตรูกันไปตลอดหรืออาจจะเป็นมิตรกันก็ได้ มาร่วมลุ้นกันว่าใครจะเป็นผู้ชนะ และใครจะเป็นผู้ปราชัยพบกับโปเกม่อนมากมายหลายสายพันธุ์ที่จะมารวมตัวกันให้ เห็นแก่สายตาของคุณหนู
          
พระพุทธานุญาตปัณณเภสัช[๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยใบไม้เภสัชจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตใบไม้ที่เป็นเภสัช คือ ใบสะเดา ใบมูกมัน ใบกระดอม หรือขี้กา ใบกะเพรา หรือแมงลัก ใบฝ้าย ก็หรือปัณณเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนปัณณเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มีภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. พระพุทธานุญาตผลเภสัช[๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยผลไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผลไม้ที่เป็นเภสัช คือ ลูกพิลังกาสา ดีปลี พริก สมอไทย สมอพิเภก มะขามป้อม ผลแห่งโกฐ ก็หรือผลเภสัช แม้ชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จ ประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวในของควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนผลเภสัชเหล่านั้นแล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. พระพุทธานุญาตชตุเภสัช[๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยางไม้เป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยางไม้ที่เป็นเภสัช คือ ยางอันไหลออกจากต้นหิงคุ ยางอันเขาเคี่ยวจากก้านและใบ แห่งต้นหิงคุ ยางอันเขาเคี่ยวจากใบแห่งต้นหิงคุ หรือเจือของอื่นด้วย ยางอันไหลออกจากยอดไม้ตกะ ยางอันไหลออกจากใบแห่งต้นตกะ ยางอันเขาเคี่ยวจากใบหรือไหลออกจากก้าน แห่งต้นตกะ กำยานก็หรือชตุเภสัชชนิดอื่นใดบรรดามีที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยว ในของควรเคี้ยว ที่ ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนชตุเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภคต้องอาบัติทุกกฏ. พระพุทธานุญาตโลนเภสัชเป็นต้น[๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยเกลือเป็นเภสัช จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเกลือที่เป็นเภสัช คือ เกลือสมุทร เกลือดำ เกลือสินเธาว์ เกลือดินโป่ง เกลือหุง ก็หรือโลณเภสัชชนิดอื่นใดบรรดามี ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรเคี้ยวในของ ควรเคี้ยว ที่ไม่สำเร็จประโยชน์แก่ของควรบริโภคในของควรบริโภค รับประเคนโลณเภสัชเหล่านั้น แล้วเก็บไว้ได้จนตลอดชีพ ต่อมีเหตุ จึงให้บริโภคได้ เมื่อเหตุไม่มี ภิกษุบริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ พระพุทธานุญาตจุณเภสัชเป็นต้น[๓๔] โดยสมัยนั้นแล ท่านพระเวลัฏฐสีสะ อุปัชฌาย์ของท่านพระอานนท์ อาพาธเป็นโรคฝีดาษ หรืออีสุกอีใส ผ้านุ่งผ้าห่มกรังอยู่ที่ตัว เพราะน้ำเหลืองของโรคนั้น ภิกษุทั้งหลายเอาน้ำชุบๆ ผ้าเหล่านั้นแล้วค่อยๆ ดึงออกมา พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินตามเสนาสนะได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุพวกนั้นกำลังเอาน้ำชุบๆ ผ้านั้นแล้วค่อยๆ ดึงออกมา ครั้นแล้วเสด็จพระพุทธดำเนินเข้าไปทางภิกษุเหล่านั้น ได้ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้อาพาธโรคอะไร? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ท่านรูปนี้อาพาธโรคฝีดาษ หรืออีสุกอีใส ผ้ากรังอยู่ที่ตัว เพราะน้ำเหลือง พวกข้าพระพุทธเจ้าเอาน้ำชุบๆ ผ้าเหล่านั้น แล้วค่อยๆ ดึงออกมา. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้นแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเภสัชชนิดผง สำหรับภิกษุผู้เป็นฝีก็ดี พุพองก็ดี สิวก็ดี โรคฝีดาษ หรืออีสุกอีใสก็ดี มีกลิ่นตัวแรงก็ดี เราอนุญาตโคมัย ดินเหนียว กากน้ำย้อม สำหรับภิกษุไม่อาพาธ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตครกสาก. พระพุทธานุญาตเครื่องกรอง[๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายที่อาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่กรองแล้ว จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตวัตถุเครื่องกรองยาผง ภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยยาผงที่ละเอียด พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผ้ากรองยา. พระพุทธานุญาตเนื้อดิบและเลือดสด[๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเพราะผีเข้า พระอาจารย์ พระอุปัชฌายะช่วยกันรักษาเธอ ก็ไม่สามารถแก้ไขให้หายโรคได้ เธอเดินไปที่เขียงแล่หมูแล้วเคี้ยวกินเนื้อดิบ ดื่มกินเลือดสด อาพาธเพราะผีเข้าของเธอนั้น หายดังปลิดทิ้ง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเนื้อดิบ เลือดสด ในเพราะอาพาธเกิดแต่ผีเข้า. พระพุทธานุญาตยาตาเป็นต้น[๓๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเป็นโรคนัยน์ตา ภิกษุทั้งหลายจูงเธอไป ให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินตามเสนาสนะ ได้ทอดพระเนตรเห็นพวกภิกษุนั้นกำลังจูงภิกษุรูปนั้นไปให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง จึงเสด็จ พระพุทธดำเนินเข้าไปทาง ภิกษุพวกนั้นแล้วได้ตรัสถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปนี้อาพาธเป็นอะไร? ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ท่านรูปนี้อาพาธเป็นโรคนัยน์ตา พวกข้าพระพุทธเจ้าคอยจูงท่านรูปนี้ไปให้ถ่ายอุจจาระบ้าง ปัสสาวะบ้าง พระพุทธเจ้าข้า. ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตยาตา คือ ยาตาที่ปรุงด้วยเครื่องปรุงหลายอย่าง ยาตาที่ทำด้วยเครื่องปรุงต่างๆ ยาตาที่เกิดในกระแสน้ำเป็นต้น หรดากลีบทอง เขม่าไฟพวกภิกษุอาพาธมีความต้องการด้วยเครื่องยาที่จะบดผสมกับยาตา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้จันทร์ กฤษณา กะลัมพัก ใบเฉียง แห้วหมู สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายเก็บยาตาชนิดผงไว้ในโอบ้าง ในขันบ้าง ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ปลิวลงจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกลักยาตา สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้กลักยาตาชนิดต่างๆ คือ ชนิดที่ทำด้วยทองคำบ้าง ชนิดที่ทำด้วยเงินบ้าง คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้กลักยาตาชนิดต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกลักยาตาที่ทำด้วยกระดูก ทำด้วยงา ทำด้วยเขา ทำด้วยไม้อ้อ ทำด้วยไม้ไผ่ ทำด้วยยาง ทำด้วยผลไม้ ทำด้วยโลหะ ทำด้วยเปลือกสังข์ สมัยต่อมา กลักยาตาไม่มีฝาปิด ผงหญ้าบ้าง ฝุ่นบ้าง ปลิวตกลง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด. ฝาปิดยังตกได้ พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ผูกด้าย แล้วพันกับกลักยาตา. กลักยาตาแตก พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตให้ถักด้วยด้าย. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลาย ป้ายยาตาด้วยนิ้วมือ นัยน์ตาช้ำ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ป้ายยาตา. สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้ไม้ป้ายตาชนิดต่างๆ คือ ที่ทำด้วยทองคำบ้าง ที่ทำด้วย เงินบ้าง คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ไม้ป้ายยาตาชนิดต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตไม้ป้ายยาตาที่ทำด้วยกระดูก ทำด้วยงา ทำด้วยเขาทำด้วยเปลือกสังข์ สมัยต่อมา ไม้ป้ายยาตาตกลงที่พื้นเปื้อน ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตภาชนะสำหรับเก็บไม้ป้ายยาตา. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายบริหารกลักยาตาบ้าง ไม้ป้ายยาตาบ้าง ด้วยมือ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายเราอนุญาตถุงกลักยาตา. หูถุงสำหรับสะพายไม่มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกผูกเป็นสายสะพาย. พระพุทธานุญาตน้ำมันเป็นต้น[๓๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระปิลินทวัจฉะปวดศีรษะ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำมันทาศีรษะ โรคปวดศีรษะยังไม่หาย ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการนัตถุ์น้ำมันที่นัตถุ์ไหลออก ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล้องสำหรับนัตถุ์. สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ใช้กล้องสำหรับนัตถุ์ชนิดต่างๆ คือ ทำด้วยทองคำบ้าง ชนิดที่ทำด้วยเงินบ้าง คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้กล้องสำหรับนัตถุ์ชนิดต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล้องสำหรับนัตถุ์ที่ทำด้วยกระดูก .... ทำด้วยเปลือกสังข์ ท่านพระปิลินทวัจฉะนัตถุ์ไม่เท่ากัน ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล้องสำหรับนัตถุ์ ประกอบด้วยหลอดคู่ โรคปวดศีรษะยังไม่หาย ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สูดควัน ภิกษุทั้งหลายจุดเกลียวผ้าแล้วสูดควันนั้นนั่นแหละ คอแสบร้อน จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล้องสูดควัน สมัยต่อมา ฉัพพัคคีย์ใช้กล้องสูดควันชนิดต่างๆ คือ ชนิดที่ทำด้วยทองคำบ้าง ชนิดที่ทำด้วยเงินบ้าง คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้กล้องสูดควันชนิดต่างๆ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตกล้องสูดควันที่ทำด้วยกระดูก .... ทำด้วยเปลือกสังข์ สมัยต่อมา กล้องสูดควันไม่มีฝาปิด ตัวสัตว์เข้าไปได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตฝาปิด สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายบริหารกล้องสูดควันด้วยมือ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถุงกล้องสูดควัน กล้องสูดควันเหล่านั้นอยู่ร่วมกันย่อมกระทบกันได้ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่ พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตถุงคู่ หูสำหรับสะพายไม่มี ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเชือกผูกเป็นสายสะพาย.

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะ พระพุทธบัญญัติห้ามใช้ที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่ เป็นต้น


Google Workspace logo  ทำบุญ 
   [๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ใช้ที่นั่งและที่นอนอันสูงใหญ่ คือ เตียงมีเท้าเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะ   วิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมี
   สีหะและเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน ๑๖ คน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะมีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดี
   ทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง ชาวบ้านเที่ยวชมวิหารไปพบเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือน เหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้ที่นั่งและที่นอนอันสูงใหญ่ คือ เตียงมีเท้าสูงเกินประมาณ เตียงมีเท้าทำเป็นรูปสัตว์ร้าย ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้ เครื่องลาดที่
   ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน ๑๖ คน เครื่องลาดหลังช้าง เครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่
   ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะ มีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธบัญญัติห้ามใช้หนังผืนใหญ่
   [๑๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์รู้ว่าพระผู้มีพระภาค ทรงห้ามที่นั่งและที่นอนอันสูงใหญ่ จึงใช้หนังผืนใหญ่ คือ หนังสีหะ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง หนังเหล่านั้นตัดตามขนาดเตียงบ้าง ตัดตามขนาดตั่งบ้าง ปูลาดไว้ภายในเตียงบ้าง ปูลาดไว้ภายนอกเตียงบ้าง ปูลาดไว้ภายในตั่งบ้าง ปูลาด
   ไว้ภายนอกตั่งบ้าง ชาวบ้านเที่ยวชมวิหารไปพบเข้า จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงใช้หนังผืนใหญ่ คือ หนังสีหะ หนังเสือโคร่ง หนังเสือเหลือง รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
เรื่องภิกษุใจร้าย
   [๑๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์รู้ว่าพระผู้มีพระภาคทรงห้ามหนังผืนใหญ่ จึงใช้หนังโค หนังเหล่านั้นตัดตามขนาดเตียงบ้าง ตัดตามขนาดตั่งบ้าง ปูลาดไว้ภายในเตียงบ้าง ปูลาดไว้ภายนอกเตียงบ้าง ปูลาดไว้ภายในตั่งบ้าง ปูลาดไว้ภายนอกตั่งบ้าง. มีภิกษุใจร้ายรูปหนึ่ง เป็นกุลุปกะของอุบาสก
   ใจร้ายคนหนึ่ง ครั้นเวลาเช้า ภิกษุใจร้ายรูปนั้นนุ่งอันตรวาสก ถือบาตรจีวรแล้วเดินเข้าไปในบ้านของอุบาสกใจร้ายคนนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดไว้ จึงอุบาสกใจร้ายคนนั้น เข้าไปหาภิกษุใจร้ายรูปนั้น นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้น ลูกโคของอุบาสกใจร้ายคนนั้น เป็นสัตว์กำลังรุ่น
   รูปร่างเข้าที น่าดูน่าชม งามคล้ายลูกเสือเหลือง จึงภิกษุใจร้ายรูปนั้นจ้องมองดูมันด้วยความสนใจ ทีนั้น อุบาสกใจร้ายได้กล่าวกะภิกษุใจร้ายว่า พระคุณเจ้าจ้องมองดูมันด้วยความสนใจเพื่อประสงค์อะไรขอรับ?  ภิกษุใจร้ายรูปนั้น ตอบว่า อาวุโส อาตมาต้องประสงค์หนังของมัน ทีนั้น อุบาสก
   ใจร้ายจึงฆ่ามันแล้วได้ถลกหนังถวายแก่ภิกษุใจร้ายรูปนั้น ภิกษุใจร้ายรูปนั้นได้เอาผ้าสังฆาฏิห่อหนังเดินไป ครั้งนั้น แม่โค มีความรักลูก จึงเดินตามภิกษุใจร้ายรูปนั้นไปข้างหลังๆ ภิกษุทั้งหลายถามภิกษุใจร้ายรูปนั้นว่า อาวุโส ทำไมแม่โคตัวนี้จึงเดินตามท่านมาข้างหลังๆ ขอรับ? ภิกษุใจร้ายรูปนั้นตอบ
   ว่า อาวุโสทั้งหลาย แม้ผมเองก็ไม่ทราบว่า มันเดินตามผมมาข้างหลังๆ ด้วยเหตุอะไร ขณะนั้นผ้าสังฆาฏิของภิกษุใจร้ายรูปนั้นเปื้อนเลือด ภิกษุทั้งหลาย จึงถามภิกษุใจร้ายรูปนั้นว่า อาวุโส ก็ผ้าสังฆาฏิผืนนี้ท่านห่ออะไรไว้ ขอรับ?  ภิกษุใจร้ายรูปนั้นได้แจ้งความนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลาย
   ถามว่า อาวุโสก็ท่านชักชวนให้เขาฆ่าสัตว์หรือขอรับ?
ภิกษุใจร้าย
   ตอบว่า อย่างนั้นขอรับ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงชักชวนให้เขาฆ่าสัตว์เล่า พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนการฆ่าสัตว์ ทรงสรรเสริญการงดจากการฆ่าสัตว์ โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
พระพุทธบัญญัติห้ามใช้หนังโค
   [๑๘] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุใจร้ายนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่า เธอชักชวน ให้เขาฆ่าสัตว์ จริงหรือ?
    ภิกษุใจร้ายนั้นกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอจึงได้ชักชวนให้เขาฆ่าสัตว์เล่า
ดูกรโมฆบุรุษ
   เราติเตียนการฆ่าสัตว์ สรรเสริญการงดเว้นจากการฆ่าสัตว์ไว้ โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ การกระทำของเธอนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงชักชวนในการฆ่าสัตว์ รูปใดชักชวน
   พึงปรับอาบัติตามธรรม. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง หนังโคอันภิกษุไม่พึงใช้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ หนังอะไรๆ ภิกษุไม่พึงใช้ รูปใดใช้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา เตียงก็ดี ตั่งก็ดี ของชาวบ้าน เขาหุ้มด้วยหนัง ถักด้วยหนัง ภิกษุทั้งหลาย รังเกียจไม่นั่งทับ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสอนุญาตแก่
   ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นั่งทับเตียงตั่งที่เป็นอย่างคฤหัสถ์ แต่ไม่อนุญาตให้นอนทับ.
   สมัยต่อมา วิหารทั้งหลายเขาผูกรัดด้วยเชือกหนัง ภิกษุทั้งหลายรังเกียจไม่นั่งพิงแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นั่งพิงเฉพาะเชือก.
พระพุทธบัญญัติห้ามสวมรองเท้าเข้าบ้าน
   [๑๙] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สวมรองเท้าเข้าบ้าน คนทั้งหลาย เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนเหล่าคฤหัสถ์ผู้บริโภคกาม. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ทรงบัญญัติห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวมรองเท้าเข้าบ้าน รูปใดสวมเข้าไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตให้ภิกษุอาพาธสวมรองเท้าเข้าบ้าน
   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธเว้นรองเท้าเสียไม่อาจเข้าบ้านได้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธสวมรองเท้าเข้าบ้านได้.
เรื่องพระโสณกุฏิกัณณะ
   [๒๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัจจานะอยู่ ณ ปปาตะบรรพตเขตกุรรฆระนครในอวันตีชนบท ก็คราวนั้นอุบาสกชื่อโสณกุฏิกัณณะ เป็นอุปัฏฐากของท่านพระมหากัจจานะ นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อุบาสกโสณกุฏิกัณณะนั่งอยู่ ณ ที่นั้นแล ได้กราบเรียนคำนี้กะท่านพระมหา
   กัจจานะว่า ท่านขอรับ ด้วยวิธีอย่างไรๆ กระผมจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระคุณเจ้าแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยังครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์นี้ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย กระผมปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะออกจากเรือน
     บวชเป็นบรรพชิต ขอพระคุณเจ้ากรุณาโปรดให้
   กระผมบวชเถิด ขอรับ เมื่ออุบาสกโสณกุฏิกัณณะกราบเรียนเช่นนี้แล้ว ท่านมหากัจจานะได้กล่าวคำนี้กะอุบาสกโสณกุฏิกัณณะว่า โสณะ การประพฤติพรหมจรรย์ซึ่งต้องนอนผู้เดียว บริโภคอาหารหนเดียวจนตลอดชีพ ทำได้ยากนักแล เอาเถอะ โสณะ คุณจงเป็นคฤหัสถ์อยู่ในจังหวัดนี้แหละ
   แล้วประกอบตามพระพุทธศาสนา ประกอบตามพรหมจรรย์ ซึ่งต้องนอนผู้เดียว บริโภคอาหารหนเดียว ควรแก่กาลเถิด. คราวนั้น ความตั้งใจบรรพชาซึ่งได้เกิดแก่อุบาสกโสณกุฏิกัณณะนั้นสงบลงแล้ว แม้ครั้งที่สองแล อุบาสกโสณกุฏิกัณณะ ....
แม้ครั้งที่สามแล อุบาสกโสณกุฏิกัณณะได้เข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ นมัสการแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง อุบาสกโสณกุฏิกัณณะนั่งอยู่ ณ ที่นั้นแล ได้กราบเรียนคำนี้ กะท่านพระมหากัจจานะว่า ท่านขอรับ ด้วยวิธีอย่างไรๆ กระผมจึงจะรู้ทั่วถึงธรรมที่พระคุณเจ้าแสดงแล้ว อันบุคคลที่ยัง
   ครองเรือนอยู่ จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียวให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่ขัดแล้ว ทำไม่ได้ง่าย กระผมปรารถนาจะปลงผมและหนวด ครองผ้ากาสายะออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ขอพระคุณเจ้ากรุณาโปรดให้กระผมบวชเถิดขอรับ ครั้นนั้น ท่านมหากัจจานะให้
     อุบาสกโสณกุฏิกัณณะบรรพชาแล้ว.
   ก็สมัยนั้น อวันตีชนบทอันตั้งอยู่แถบใต้ มีภิกษุน้อยรูป ท่านพระมหากัจจานะจัดหาพระภิกษุสงฆ์แต่ที่นั้นๆ ให้ครบองค์ประชุมทสวรรคได้ยากลำบาก ต่อล่วงไปถึง ๓ ปี จึงอุปสมบทให้ท่านพระโสณะได้.
พระโสณเถระรำพึงแล้วอำลาเข้าเฝ้า
   ครั้งนั้น ท่านพระโสณะจำพรรษาแล้ว ไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้ยินมาอย่างชัดเจนว่า เป็นผู้เช่นนี้และเช่นนี้ แต่เรามิได้เฝ้าต่อพระพักตร์ เราควรไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น หากพระอุปัชฌายะจะ
   พึงอนุญาตแก่เรา ครั้นเวลาสายัณห์ ท่านออกจากที่หลีกเร้นแล้ว จึงเข้าไปหาท่านพระมหากัจจานะ ไหว้แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบเรียนว่า ท่านขอรับ กระผมไปในที่สงัดหลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เราได้ยินมา
   อย่างชัดเจนว่า เป็นผู้เช่นนี้และเช่นนี้ แต่เรามิได้เฝ้าต่อพระพักตร์ เราควรไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น หากพระอุปัชฌายะจะพึงอนุญาตแก่เรา ท่านขอรับ กระผมจะไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น หากท่านพระอุปัชฌายะจะอนุญาตแก่กระผม.
อาณัติกพจน์ของพระอุปัชฌายะ ๕ ประการ
   ท่านมหากัจจานะ กล่าวว่าดีละ ดีละ คุณโสณะ คุณจงไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น คุณจักเห็นพระองค์ผู้น่าเลื่อมใส ผู้เป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส มีพระอินทรีย์สงบ มีพระทัยสงบ ทรงถึงความฝึกกายและความสงบจิตอันสูงสุด ทรงทรมานแล้ว คุ้มครองแล้ว มีอินทรีย์
   อันสำรวมแล้ว ผู้ไม่ทำบาป คุณโสณะ ถ้าเช่นนั้น คุณจงถวายบังคมพระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าตามฉันสั่งว่า ท่านมหากัจจานะ อุปัชฌายะของข้าพระพุทธเจ้า ถวายบังคม พระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้าพระพุทธเจ้าข้า ดังนี้ และคุณจงกราบทูลอย่างนี้ว่า
๑. พระพุทธเจ้าข้า จังหวัดอวันตีทักขิณาบถ มีภิกษุน้อยรูป ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดหาภิกษุสงฆ์แต่ที่นั้นๆ ให้ครบองค์ประชุมทสวรรคได้ยากลำบาก นับแต่วันข้าพระพุทธเจ้าบรรพชาล่วงไป ๓ ปี จึงได้อุปสมบท ถ้ากระไรเฉพาะในอวันตีทักขิณาบถ พึงทรงอนุญาตอุปสมบทด้วยคณะสงฆ์น้อยรูปกว่านี้ได้.
๒. พระพุทธเจ้าข้า พื้นดินในอวันตีทักขิณาบถ มีดินสีดำมาก ขรุขระดื่นดาด ด้วยระแหงกีบโค ถ้ากระไร เฉพาะในอวันตีทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตรองเท้าหลายชั้น.
๓. พระพุทธเจ้าข้า คนทั้งหลายในอวันตีทักขิณาบถนิยมการอาบน้ำ ถือว่าน้ำทำให้บริสุทธิ์ ถ้ากระไร เฉพาะในอวันติทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาค พึงทรงอนุญาตการอาบน้ำได้เป็นนิตย์.
๔. พระพุทธเจ้าข้า ในอวันตีทักขิณาบถ มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ในมัชฌิมชนบท มีหญ้าตีนกา หญ้าหางนกยูง หญ้าหนวดแมว หญ้าหางช้าง แม้ฉันใด ในอวันตีทักขิณาบถก็มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้ากระไร เฉพาะใน
   อวันตีทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาค พึงทรงอนุญาตหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค.
๕. พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายฝากถวายจีวรเพื่อหมู่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมา ด้วยคำว่าข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายจีวรผืนนี้แก่ท่านผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ ภิกษุผู้รับฝากมาบอกว่า อาวุโส คนทั้งหลาย มีชื่อนี้ถวายจีวรแก่ท่านแล้ว พวกภิกษุผู้รับคำบอกเล่า รังเกียจไม่ยินดีรับ ด้วยคิดว่า พวกเราไม่ต้องการของเป็นนิสสัคคีย์ ถ้ากระไร ขอพระผู้มีพระภาคพึงตรัสชี้แจงในเรื่องจีวร.
พระโสณเถระเข้าเฝ้า
   ท่านพระโสณะรับสนองคำของท่านพระมหากัจจานะว่าปฏิบัติตามอย่างนั้นขอรับ แล้วลุกจากอาสนะอภิวาทท่านพระมหากัจจานะทำประทักษิณแล้ว เก็บเสนาสนะ ถือบาตรจีวรเดินไปทางที่จะไปพระนครสาวัตถี ถึงพระนครสาวัตถี พระวิหารเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี
   โดยลำดับ เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะท่านพระอานนท์ว่า ดูกรอานนท์ เธอจงจัดเสนาสนะต้อนรับภิกษุอาคันตุกะรูปนี้ จึงท่านพระอานนท์คิดว่า พระผู้มีพระภาคทรงพระบัญชาใช้เราเพื่อภิกษุรูปใดว่า
   ดูกรอานนท์ เธอจงจัดเสนาสนะ ต้อนรับภิกษุอาคันตุกะรูปนี้ ดังนี้ พระผู้มีพระภาคย่อมปรารถนาจะประทับอยู่ในพระวิหารแห่งเดียวกับภิกษุรูปนั้น พระผู้มีพระภาคปรารถนาจะประทับอยู่ในพระวิหารแห่งเดียวกับท่าน
   พระโสณะเป็นแน่ ดังนี้ จึงจัดเสนาสนะต้อนรับท่านพระโสณะในพระวิหารอันเป็นที่ประทับของพระผู้มีพระภาค.
ถวายเทศน์ในพระวิหาร
   [๒๑] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในที่แจ้งจนดึก จึงเสด็จเข้าพระวิหาร แม้ท่านพระโสณะก็ยับยั้งอยู่ในที่แจ้งจนดึกจึงเข้าพระวิหาร ครั้นเวลาปัจจุสมัยแห่งราตรี พระผู้มีพระภาคทรงตื่นพระบรรทมแล้วทรงอัชเฌสนาท่านพระโสณะว่า ดูกรภิกษุ เธอจงกล่าวธรรมตามถนัด ท่านพระโสณะกราบทูล
   สนองพระพุทธบัญชาว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า แล้วได้สวดพระสูตรทั้งหลาย อันมีอยู่ในอัฏฐกวรรค จนหมดสิ้นโดยสรภัญญะ ครั้นจบสรภัญญะของท่านพระโสณะ พระผู้มีพระภาคทรงพระปราโมทย์โปรดประทานสาธุการว่า ดีละ ดีละ ภิกษุ สูตรทั้งหลายที่มีในอัฏฐกวรรคเธอเรียนมาดีแล้ว
   ทำไว้ในใจดีแล้ว ทรงจำได้แม่นยำดี เธอเป็นผู้ประกอบด้วยวาจาไพเราะเพราะพริ้ง ไม่มีโทษ ให้เข้าใจรู้ความได้แจ่มชัด เธอมีพรรษาเท่าไร ภิกษุ? ท่านพระโสณะกราบทูลว่า
   ข้าพระพุทธเจ้ามีพรรษาเดียว พระพุทธเจ้าข้า
ภ. เพราะเหตุไร เธอจึงมัวประพฤติชักช้าเช่นนั้นเล่า ภิกษุ?
โส. ข้าพระพุทธเจ้าเห็นโทษในกามทั้งหลายนานแล้ว แต่เพราะฆราวาสคับแคบ มีกิจมาก มีกรณียมาก จึงได้ประพฤติชักช้าอยู่ พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงเปร่งพระอุทาน
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความข้อนี้แล้ว จึงทรงเปล่งพระอุทานนี้ในเวลานั้น ว่าดังนี้:-
อารยชนเห็นโทษในโลก ทราบธรรมที่ปราศจาก
อุปธิแล้ว ฉะนั้น จึงไม่ยินดีในบาป เพราะคน
สะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป.
กราบทูลอาณัติกพจน์ของพระอุปัชฌายะ ๕ ประการ
   [๒๒] ลำดับนั้น ท่านพระโสณะคิดว่า พระผู้มีพระภาคกำลังโปรดปรานเรา เวลานี้ ควรกราบทูลถ้อยคำที่พระอุปัชฌายะของเราสั่งมา ดังนี้ แล้วลุกจากที่นั่ง ห่มจีวรเฉวียงบ่า หมอบลงที่พระบาทยุคลของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า แล้วได้กราบทูลคำนี้ต่อพระผู้มีพระภาคว่าพระพุทธเจ้าข้า ท่าน
   พระมหากัจจานะ อุปัชฌายะของข้าพระพุทธเจ้า ขอถวายบังคมพระบาทยุคลของพระองค์ด้วยเศียรเกล้า และสั่งให้ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลอย่างนี้ว่า
๑. พระพุทธเจ้าข้า จังหวัดอวันตีทักขิณาบถ มีภิกษุน้อยรูป ข้าพระพุทธเจ้าได้จัดหาภิกษุสงฆ์แต่ที่นั้นๆ ให้ครบองค์ประชุมทสวรรคได้ยากลำบาก นับแต่วันข้าพระพุทธเจ้าบรรพชาล่วงไป ๓ ปี จึงได้อุปสมบท ถ้ากระไร เฉพาะในอวันตีทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตอุปสมบท ด้วยคณะสงฆ์น้อยรูปกว่านี้ได้
๒. พระพุทธเจ้าข้า พื้นดินในอวันตีทักขิณาบถ มีดินสีดำมาก ขรุขระดื่นดาดด้วยระแหงกีบโค ถ้ากระไร เฉพาะในอวันตีทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตรองเท้าหลายชั้น
๓. พระพุทธเจ้าข้า คนทั้งหลายในอวันตีทักขิณาบถนิยมการอาบน้ำ ถือว่าน้ำทำให้บริสุทธิ์ ถ้ากระไร เฉพาะในอวันตีทักขิณาบถขอพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตอาบน้ำได้เป็นนิตย์
๔. พระพุทธเจ้าข้า ในอวันตีทักขิณาบถ มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ในมัชฌิมชนบท มีหญ้าตีนกา หญ้าหางนกยูง หญ้าหนวดแมว หญ้าหางช้าง แม้ฉันใด ในอวันตีทักขิณาบถก็มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้ากระไร เฉพาะในอวันตี
   ทักขิณาบถ ขอพระผู้มีพระภาคพึงทรงอนุญาตหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค
   ๕. พระพุทธเจ้าข้า เดี๋ยวนี้คนทั้งหลายฝากถวายจีวรแก่หมู่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมา ด้วยคำว่าข้าพเจ้าทั้งหลายขอถวายจีวรผืนนี้แก่ท่านผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ ภิกษุผู้รับฝากมาบอกว่า อาวุโส คนทั้งหลายมีชื่อนี้ถวายจีวรแก่ท่านแล้ว พวกภิกษุผู้ได้รับคำบอกเล่า รังเกียจไม่ยินดีรับ ด้วยคิดว่า พวกเราไม่ต้องการของ เป็นนิสสัคคีย์ ถ้ากระไร ขอพระผู้มีพระภาคพึงตรัสชี้แจงในเรื่องจีวร.
พระพุทธานุญาตพิเศษ
   [๒๓] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
   ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย จังหวัดอวันตีทักขิณาบถ มีภิกษุน้อยรูป เราอนุญาตการอุปสมบทด้วยคณะสงฆ์มีวินัยธรเป็นที่ ๕ ได้ ทั่วปัจจันตชนบท ๑-
กำหนดเขตปัจจันตชนบทและมัชฌิมชนบท
บรรดาชนบทเหล่านั้น ปัจจันตชนบท มีกำหนดเขต ดังนี้:-
ในทิศบูรพามีนิคมชื่อกชังคละ ถัดนิคมนั้นมาถึงมหาสาลนคร นอกนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท ๑-
๑. จังหวัดภายในเป็นศูนย์กลางของประเทศ
   ในทิศอาคเนย์ มีแม่น้ำชื่อสัลลวตี นอกแม่น้ำสัลลวตีนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็นมัชฌิมชนบท
   ในทิศทักษิณ มีนิคมชื่อเสตกัณณิกะ นอกนิคมนั้นออกไปเป็นปัจจันตชนบท ร่วมใน เป็นมัชฌิมชนบท
   ในทิศปัจฉิม มีพราหมณคามชื่อถูนะ นอกนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมใน เป็นมัชฌิมชนบท
   ในทิศอุดร มีภูเขาชื่ออุสีรธชะ นอกนั้นออกไป เป็นปัจจันตชนบท ร่วมในเป็น มัชฌิมชนบท
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการอุปสมบท ด้วยคณะสงฆ์มีวินัยธรเป็นที่ ๕ ได้ ทั่วปัจจันตชนบทเห็นปานนี้

ดูหนัง-อ็อคเตรเวียน จักรพรรดิ์





 
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พื้นดินในอวันตีทักขิณาบถ มีดินสีดำมาก ดื่นดาดด้วยระแหงกีบโค เราอนุญาตรองเท้าหลายชั้น ทั่วปัจจันตชนบท ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนทั้งหลายในอวันตีทักขิณาบถ นิยมการอาบน้ำ ถือว่าน้ำทำให้บริสุทธิ์ เราอนุญาตการอาบน้ำได้เป็นนิตย์ทั่วปัจจันตชนบท ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอวันตีทักขิณาบถ มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ในมัชฌิมชนบท มีหญ้าตีนกา หญ้าหางนกยูง หญ้าหนวดแมว
หญ้าหางช้าง แม้ฉันใด ในอวันตีทักขิณาบถ ก็มีหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ฉันนั้นเหมือนกันแล เราอนุญาตหนังเครื่องลาด คือ หนังแกะ หนังแพะ หนังมฤค ทั่วปัจจันตชนบท ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง คนทั้งหลายในโลกนี้ฝากถวายจีวรเพื่อหมู่ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาด้วยคำว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายจีวรผืนนี้แก่ภิกษุผู้มีชื่อนี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ยินดีได้
จีวรนั่นยังไม่ควรนับราตรีตลอดเวลาที่ยังไม่ถึงมือ. จัมมขันธกะ ที่ ๕ จบ. ไม่ ในขันธกะนี้มี ๖๓ เรื่อง
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ จัมมขันธกะ พระพุทธบัญญัติห้ามใช้ที่นั่งและที่นอนสูงใหญ่เป็นต้น ว่าด้วยอุจจาสยนะและมหาสยนะ วินิจฉัยในข้อว่า อุจฺจาสยนมหาสยนานิ นี้ พึงทราบดังนี้ :- ที่นอนสูง นั้นได้แก่ เตียงที่ห้องเกินประมาณ. ที่นอนใหญ่ นั้นได้แก่ เครื่องลาดเป็นอกัปปิยะ. ในอาสันทิเป็นต้น อาสันทิ นั้นได้แก่ ที่นั่งอันเกินประมาณ. บัลลังก์ นั้นได้แก่ ที่นั่งที่เขาทำรูปสัตว์ร้ายติดไว้ที่เท้า. โคณกะ นั้นได้แก่ ผ้าโกเชาว์ ผืนใหญ่มีขนยาว. ได้ยินว่า ขนผ้าแห่งโกเชาว์นั้น ยาวเกินสี่นิ้ว. จิตตกะ นั้นได้แก่ เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะซึ่งวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้าย. ปฏิกา นั้นได้แก่ เครื่องลาดขาว ทำด้วยขนแกะ. ปฏลิกา นั้นได้แก่ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะมีลายดอกไม้แน่นอกแจนี่มันก็ต้องไปใหุ้้ดสถถุกกกกกเนื่องกัน เรียกกันว่า ผ้าชาวโยนก ผ้าคนทมิฬ. อชินปเวณิ นั้นได้แก่ เครื่องลาดที่ทำเป็นชั้น ซึ่งเ ตูลิกา นั้นได้แก่ ฟูกที่ยัดนุ่นตามปกตินั่นเอง. วิกติกา นั้นได้แก่ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยรูปราชสีห์และเสือโคร่งเป็นต้น. อุทฺธโลมี นั้นได้แก่ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะ มีขนขึ้นข้างเดียว. ปาฐะว่า อุทฺธํโลมี ก็มี. เอกันตโลมี นั้นได้แก่ เครื่องลาดทำด้วยขนแกะ มีขนขึ้นทั้งสองข้าง. กฏิสสะ นั้นได้แก่ เครื่องปูนอนที่ทอด้วยด้ายทองแกมไหมขลิบด้วยทอง. โกเสยยะ นั้นได้แก่ ผ้าปูที่นอนที่ทอด้วยเส้นไหมขลิบด้วยทอง. แต่เป็นไหมล้วนใช้ได้. กุตตกะ นั้นได้แก่ เครื่องปูนอนที่ทำด้วยขนแกะ ใหญ่พอนางฟ้อน ๑๖ คนยืนรำได้. หัตถัตถระและอัสสัตถระ ได้แก่ เครื่องลาดบนหลังช้างและหลังม้านั่นเอง. และในรถัตถระ ก็มีนัยเหมือนกัน. ย็บซ้อนกันด้วยหนังเสือ โดยขนาดเท่าตัวเตียง. กทลีมิคปวรปัจจัตถรณะ นั้นได้แก่ เครื่องปูนอนอย่างดีที่สุด. ได้ยินว่า ชนทั้งหลายทาบหนังชะมดบนผ้าขาวแล้วเย็บติดกัน ทำเป็นเครื่องลาดนั้น. สอุตตรัจฉทัง นั้นได้แก่ ที่นอนที่มีเพดาน ข้างบนพร้อม. อธิบายว่า ที่นอนที่พร้อมด้วยเพดานแดงซึ่งติดไว้ข้างบน. ถึงมีเพดานขาว เมื่อมีเครื่องลาดที่เป็นอกัปปิยะอยู่ข้างใต้ ย่อมไม่ควร แต่เมื่อไม่มี ควรอยู่. อุภโตโลหิตกุปธานะ นั้นได้แก่ ที่นอนมีหมอนแดงสองข้างแห่งเตียง คือหมอนศีรษะหนึ่ง หมอนหนุนเท้าหนึ่ง ที่นอนชนิดนี้ไม่ควร. แต่ว่า หมอนใดลูกเดียว เท่านั้น ที่หน้าสองข้างจะแดงก็ตาม มีสีดังดอกบัวหลวงก็ตาม วิจิตรก็ตาม ถ้าประกอบด้วยประมาณ หมอนนั้นย่อมควร. ส่วนหมอนใหญ่ทรงห้าม. ทีปิจฉาปะ ได้แก่ ลูกเสือเหลือง. บทว่า โอคุมฺผิยนฺติ มีความว่า ชนทั้งหลายใช้เชือกหนังร้อยผูกที่พรึงรองฝาเป็นต้น. บทว่า อภินิสีทิตุํ มีความว่า (เราอนุญาต) เพื่อภิกษุนั่งทับ คือพิงได้. วินิจฉัยในข้อว่า คิลาเนน ภิกฺขุนา สอุปาหเนน นี้ พึงทราบดังนี้ :- ภิกษุใดจัดว่าผู้อาพาธไม่สวมรองเท้า ไม่สามารถจะเข้าบ้านได้. เรื่องพระโสณกุฏิกัณณะ บทว่า กุรรฆเร ได้แก่ ในเมืองมีชื่ออย่างนั้น. โคจรคามของพระมหากัจจายนะนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวด้วยบทว่า กุรรฆเร นั้น. สองบทว่า ปปาเต ปพฺพเต ได้แก่ ที่ภูเขาปปาต. สถานเป็นที่อยู่ของท่าน พระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวด้วยสองบทว่า ปปาเต ปพฺพเต นั้น. คำว่า โสณะ เป็นชื่อของอุบาสกนั้น. ก็และอุบาสกนั้นทรงเครื่องประดับหูมีราคาโกฏิหนึ่ง. เพราะฉะนั้นจึงเรียกกันว่า กุฏิกัณณะ ความว่า โกฏิกัณณะ. บทว่า เอกเสยฺยํ ได้แก่ การนอนของบุคคลผู้เดียว. ความว่า พรหมจรรย์ประกอบด้วยการเป็นที่ประกอบความเพียรเนืองๆ. บทว่า ปาสาทิกํ ได้แก่ ให้เกิดความเลื่อมใส. บทว่า ปสาทนียํ นี้เป็นคำกล่าวซ้ำเนื้อความของบทว่า ปาสาทิกํ นั้นแล. บทว่า อุตฺตมทมถสมถํ ได้แก่ ความฝึกและความ สงบคือปัญญาและสมาธิอันอุดม.   ความว่า ความสงบกายและสงบจิตดังนี้ก็ได้. บทว่า ทนฺตํ มีความว่า ชื่อว่าผู้ทรมานแล้ว เพราะกิเลสเครื่องดิ้นรนซึ่งเป็นข้าศึกทั้งปวงเป็นของเด็ดขาดไปแล้ว. อธิบายว่า ผู้สิ้นกิเลสแล้ว.  บทว่า คุตฺตํ ได้แก่ ผู้คุ้มครองแล้วด้วยความป้องปก คือความระวัง.    บทว่า ยตินฺทฺริยํ ได้แก่ ทรงชนะอินทรีย์แล้ว. บทว่า นาคํ ได้แก่ ผู้เว้นจากบาป. ความว่า ผู้ปราศจากกิเลส. หลายบท ติณฺณํ เม วสฺสานํ อจฺจเยน มีความว่า ต่อล่วงไปสามเดือนจำเดิมแต่วันบรรพชาของข้าพเจ้า. สองบทว่า อุปสมฺปทํ อลตฺถํ ความว่า ข้าพเจ้าจึงได้อุปสมบท. บทว่า กณฺหุตฺตรา ได้แก่ มีดินดำยิ่งนัก. ความว่า มีดินดำเป็นก้อนนูนขึ้น. บทว่า โคกณฺฏกหตา คือ เป็นภาคพื้นที่ถูกทำให้เสียด้วยระแหงกีบโคซึ่งตั้งขึ้นจากพื้นที่ถูกกีบโคเหยียบ. ได้ยินว่า รองเท้าชั้นเดียวไม่อาจกันระแหงกีบโคเหล่านั้นได้, พื้นแผ่นดินเป็นของแข็งขรุขระด้วยประการดังนี้. ติณชาติมีอยู่ ๔ อย่างเหล่านี้ คือ เอรคุ คือหญ้าตีนกา ๑ โมรคุ คือหญ้าหางนกยูง ๑ มัชชารุ คือหญ้าหนวดแมว ๑ ชันตุ คือหญ้าหางช้าง ๑ ชนทั้งหลายย่อมทำเสื่อลำแพนและเสื่ออ่อนด้วยหญ้าเหล่านี้. บรรดาติณชาติ ๔ ชนิดนั้น หญ้าเอรคุนั้นได้แก่หญ้าทราย, หญ้าทรายนั้นเป็นของหยาบ. หญ้าโมรคุมียอดสีแดงละเอียดอ่อน มีสัมผัสสบาย. เสื่อที่ทำด้วยหญ้าโมรคุนั้น เมื่อนอนแล้วพอลุกขึ้นเป็นของฟูขึ้นอีกได้. ชนทั้งหลายย่อมทำแม้ซึ่งผ้าสาฎกด้วยหญ้ามัชชารุ. หญ้าชันตุมีสีคล้ายแก้วมณี. สองบทว่า เสนาสนํ ปญฺญาเปสิ มีความว่า พระอานนท์ผู้มีอายุได้ปูฟูกหรือเสื่อลำแพน. ก็แลครั้นปูแล้วจึงบอกแก่พระโสณะว่า ผู้มีอายุ พระศาสดามีพระประสงค์จะอยู่ในที่มุงที่บังอันเดียวกับท่าน, เสนาสนะสำหรับท่าน เราจัดไว้แล้ว ในพระคันธกุฎีนั่นเอง. หลายบทว่า ปฏิภาตุ ตํ ภิกฺขุ ธมฺโม ภาสิตุํ มีความว่าธรรมจงรับหน้าที่ต่อญาณ กล่าวคือปฏิญาณ เพื่อสวด. บทว่า อฏฺฐกวคฺคิกานิ๑- มีความว่า พระโสณะผู้มีอายุได้สวดพระสูตร ๑๖ สูตรมีกามสูตรเป็นต้น ที่ว่าเป็นอัฏฐกวัคคิกะ๒- เหล่านั้น. บทว่า วิสฺสฏฺฐาย คือ มีอักขระอันสละสลวย. บทว่า อเนลคลาย มีความว่า ความเป็นวาจาประกอบด้วยโทษ ย่อมไม่มี. สองบาทคาถาว่า อริโย น รมตี ปาเป, ปาเป น รมตี สุจิ๓- มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คนสะอาดย่อมไม่ยินดีในบาป เพื่อแสดงเนื้อความวิเศษว่า จริงอยู่ บุคคลใดประกอบด้วยคุณธรรมเครื่องเป็นผู้สะอาดทางกายวาจาและใจ, บุคคลนั้นย่อมไม่ยินดีในบาป เพราะฉะนั้น เฉพาะพระอริยเจ้า ชื่อว่าไม่ยินดีในบาป. หลายบทว่า อยํ ขฺวสฺส กาโล ความว่า เวลานี้แลพึงเป็นกาล. บทว่า ปริทสฺสิ ได้แก่ สั่งมาแล้ว. ในคำนี้ว่า อยํ ขฺวสฺส กาโล ... ปริทสฺสิ มีคำอธิบายดังนี้ว่า อุปัชฌาย์ของเราให้เรารับทราบคำสั่งอันใดมาว่า เธอพึงทูลเรื่องนี้ด้วย เรื่องนี้ด้วย, เวลานี้พึงเป็นกาลแห่งคำสั่งนั้น, เอาเถิด เราจะทูลคำสั่งนั้นเดี๋ยวนี้. บทว่า วินยธรปญฺจเมน คือ มีอาจารย์ผู้สวดประกาศเป็นที่ ๕. วินิจฉัยในข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว สพฺพปจฺจนฺติเมสุ ชนปเทสุ คณงฺคณุปาหนํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- รองเท้าที่ทำด้วยหนังชนิดใดชนิดหนึ่ง เว้นหนังมนุษย์เสีย ย่อมควรแม้ในถุงรองเท้า ฝักมีดและฝักกุญแจ ก็นัยนี้แล. ๑- อฏฺฐกวคฺคิกานีติ : อฏฺฐกวคฺคภูตานิ กามสุตฺตาทีนิ โสฬสสุตฺตานีติ สารตฺถทีปนี. ๒- เป็นวรรคที่ ๔ แห่งสุตตนิบาต ขุททกนิกาย๓๙๓. ๓- มหาวคฺค.ทุติย. ๓๔. ว่าด้วยหนัง  ก็แลวินิจฉัยในคำว่า จมฺมานิ อตฺถรณานิ นี้ พึงทราบดังนี้ :-  ภิกษุจะปูหนังแกะและหนังแพะอย่างใดอย่างหนึ่งแล้วนอนหรือนั่งก็ควร. วินิจฉัยในหนังมฤค พึงทราบดังนี้ :- หนังแห่งมฤคชาติ คือเนื้อทราย เนื้อสมัน เนื้อฟาน กวาง เนื้อถึก ละมั่งเหล่านี้เท่านั้นควร. ส่วนหนังแห่งสัตว์เหล่าอื่นไม่ควร. ลิง ค่าง นางเห็น ชะมดและสัตว์ร้ายเหล่าใดเหล่าหนึ่งบรรดามี หนังของสัตว์เหล่านั้นไม่ควร. ในสัตว์เหล่านั้น ที่ชื่อว่าสัตว์ร้าย ได้แก่ ราชสีห์ เสือโคร่ง เสือเหลือง หมี เสือดาว. แต่จะไม่ควรเฉพาะสัตว์เหล่านี้พวกเดียวเท่านั้น หามิได้ อันหนังของสัตว์เหล่าใด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่าไม่ควร เว้นสัตว์เหล่านั้นเสีย สัตว์ทั้งหลายที่เหลือชั้นที่สุดแม้โค กระบือ กระต่าย แมวเป็นต้น รวมทั้งหมด พึงทราบว่า สัตว์ร้ายเหมือนกันในอรรถนี้. จริงอยู่ หนังของสัตว์ทุกๆ ชนิดไม่ควร. ข้อว่า น ตํ ตาว คณนูปคํ, ยาว น หตฺถํ คจฺฉติ มีความว่า จีวรซึ่งชนทั้งหลายนำมาแล้วแต่ยังมิได้ถวายก็ดี จีวรที่เขาฝากไปให้ แต่ยังมิได้บอกว่า จีวรเกิดขึ้นแก่ท่านแล้ว ดังนี้ก็ดี เพียงใด จีวรนั้นยังไม่ต้องนับวัน คือไม่ควรเพื่ออธิษฐาน. อธิบายว่า ยังไม่เข้าถึงความถือเอาที่ควรอธิษฐานเพียงนั้น. แต่จีวรที่เขานำมาถวายแล้วก็ดี จีวรที่เขาฝากไปให้และบอกแล้วก็ดี จีวรที่ภิกษุได้ฟังว่า เกิดแล้วก็ดีในกาลใด จำเดิมแต่กาลนั้นไป ภิกษุย่อมได้บริหาร ๑๐ วันเท่านั้นฉะนี้ อรรถกถาจัมมขันธกะ 
หัวข้อประจำขันธกะ [๒๔] พระเจ้าแผ่นดินมคธ ทรงปกครองพลเมือง ๘๐,๐๐๐ ตำบล รับสั่งให้โสณเศรษฐี เข้าเฝ้า ๑ พระสาคตเถระแสดงอิทธิปาฏิหาริย์อันเป็นธรรมยวดยิ่งของมนุษย์มากมาย ณ คิชฌกูฏบรรพต ๑ โสณเศรษฐีบุตรออกบวช และปรารภความเพียรเกินขนาด เดินจงกรมจน เท้าแตก ๑ เปรียบเทียบความเพียรด้วยสายพิณ ๑ ทรงอนุญาตรองเท้าชั้นเดียว ๑ ทรงห้าม รองเท้าสีเขียว ๑ รองเท้าสีเหลือง ๑ รองเท้าสีแดง ๑ รองเท้าสีบานเย็น ๑ รองเท้าสีดำ ๑ รองเท้าสีแสด ๑ รองเท้าสีชมพู ๑ รองเท้ามีหูวิจิตร ๑ รองเท้าหุ้มส้น ๑ รองเท้าหุ้มแข็ง ๑ รองเท้าที่ยัดด้วยนุ่น ๑ รองเท้าที่มีลายคล้ายขนปีกนกกระทา ๑ รองเท้าที่ทำหูงอนมีสัณฐาน ดุจเขาแกะ ๑ รองเท้าที่หูงอนมีสัณฐานดุจเขาแพะ ๑ รองเท้าที่ทำประกอบหูงอนดุจหางแมง ป่อง ๑ รองเท้าที่เย็บด้วยขนปีกนกยูง ๑ รองเท้าที่วิจิตร ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังราชสีห์ ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังเสือโคร่ง ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังเสือเหลือง ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนัง ชะมด ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังนาก ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังแมว ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนัง ค่าง ๑ รองเท้าที่ขลิบด้วยหนังนกเค้า ๑ เท้าแตก ๑ สวมรองเท้าในวัด ๑ เท้าเป็นหน่อ ล้างเท้า ตอไม้ และสวมเขียงเท้าเดินเสียงดังขฏะ ขฏะ ๑ เขียงเท้าสานด้วยใบตาล ๑ เขียงเท้า สานด้วยใบไผ่ ๑ เขียงเท้าสานด้วยหญ้า ๑ เขียงเท้าสานด้วยหญ้ามุงกระต่าย ๑ เขียงเท้าสาน ด้วยหญ้าปล้อง ๑ เขียงเท้าสานด้วยใบเป้ง ๑ เขียงเท้าสานด้วยแฝก ๑ เขียงเท้าถักด้วยขนสัตว์ ๑ เขียงเท้าประดับด้วยทองคำและเงิน ๑ เขียงเท้าประดับด้วยแก้วมณี ๑ เขียงเท้าประดับด้วย แก้วไพฑูรย์ ๑ เขียงเท้าประดับด้วยแก้วผลึก ๑ เขียงเท้าทำด้วยทองสัมฤทธิ์ ๑ เขียงเท้าประดับ ด้วยกระจก ๑ เขียงเท้าทำด้วยดีบุก ๑ เขียงเท้าทำด้วยสังกะสี ๑ เขียงเท้าทำด้วยทองแดง ๑ จับโค ๑ ขี่ยานและภิกษุอาพาธ ๑ ยานเทียมด้วยโคตัวผู้ ๑ คานหาม ๑ ที่นั่งและที่นอน ๑ หนังผืนใหญ่ ๑ หนังโค ๑ ภิกษุใจร้าย ๑ เตียงตั่งของพวกคฤหัสถ์ที่หุ้มหนัง ๑ สวมรองเท้า เข้าบ้าน และภิกษุอาพาธ ๑ พระมหากัจจานะ ๑ พระโสณะ สวดสูตร อันมีอยู่ในอัฏฐกวรรค โดยสรภัญญะและพระพุทธเจ้าผู้เป็นนายกได้ทรงประทานพร ๕ อย่างนี้ แก่พระโสณะเถระ คือ อนุญาตสงฆ์ปัญจวรรคทำการอุปสมบทได้ ๑ สวมรองเท้าหลายชั้นได้ ๑. อาบน้ำได้เป็นนิตย์ ๑ ใช้หนังเครื่องลาดได้ ๑ ทายกถวายจีวร เมื่อยังไม่ถึงมือภิกษุ ยังไม่ต้องนับราตรี ๑ หัวข้อประจำขันธกะ จบ.