Translate

31 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร อรรถกถา ปริวาร ย่อหัวข้อสมุฏฐาน สมุฏฐานสีสวัณณนา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
อรรถกถา ปริวาร ย่อหัวข้อสมุฏฐาน    สมุฏฐานสีสวัณณนา  ก็แลวินิจฉัยในสมุฏฐานกถา อันเป็นอันดับแห่งโสฬสมหาวารนั้น พึงทราบดังนี้ :-
   คาถาว่า อนตฺตา อิติ นิจฺฉยา มีความว่า บัญญัติและนิพพาน ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา. (เมื่อดวงจันทร์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้ายังไม่อุทัยขึ้นมา).
   บทว่า สภาคธมฺมานํ ได้แก่ สังขตธรรมที่มีส่วนเสมอกันด้วยอาการมีอาการคือไม่เที่ยงเป็นต้น.
   ข้อว่า นามมตฺตํ น ญายติ มีความว่า แม้เพียงแต่ชื่อ (แห่งสังขตธรรมเหล่านั้น) ย่อมไม่ปรากฏ.
    บทว่า ทุกฺขหานึ ได้แก่ บำบัดทุกข์เสีย.
    บาทคาถาว่า ขนฺธกา ยา จ มาติกา มีความว่า ขันธกะทั้งหลายและมาติกาเหล่าใด. อนึ่ง บาลีก็เหมือนกันนี้.
   บาทคาถาว่า สมุฏฺฐานนิยโต กตํ มีความว่า สมุฏฐานที่ท่านทำให้เป็นของแน่นอน คือจัดไว้เป็นหลักที่แน่ ชื่อว่า นิตยสมุฏฐาน.
   การสงเคราะห์ ๓ สิกขาบท คือ ภูตาโรจนสิกขาบท โจรีวุฏฐาปนสิกขาบทและอนนุญญาตสิกขาบท ด้วยคำว่า สมุฏฺฐานนิยโต กตํ นั่น อันบัณฑิตพึงพิจารณา.
   จริงอยู่ ๓ สิกขาบทนี้เท่านั้น เป็นนิยตสมุฏฐาน คือเป็นสมุฏฐานที่ไม่เจือปนกับสมุฏฐานเหล่าอื่น.
   บาทคาถาว่า สมฺเภทนิทานญฺจญฺญํ มีความว่า ความเจือปนกันและเหตุแม้อื่น. บัณฑิตพึงพิจารณาการถือเอาความเจือปนกันแห่งสมุฏฐาน ใน ๒ คำนั้น ด้วยคำว่า สัมเภท. จริงอยู่ เว้น ๓ สิกขาบทนั้นเสีย สิกขาบทที่เหลือจัดเป็นสัมภินนสมุฏฐาน. บัณฑิตพึงตรวจดูนิทาน กล่าวคือประเทศที่บัญญัติแห่งสิกขาบททั้งหลายด้วยคำว่า นิทาน.
   บาทคาถาว่า สุตฺเต ทิสฺสนฺติ อุปริ มีความว่า ๓ ส่วนนี้ คือ สมุฏฐานนิยม สัมเภท นิทานแห่งสิกขาบททั้งหลาย ย่อมเห็นได้ คือย่อมปรากฎในสูตรเท่านั้น.
   บรรดาสมุฏฐานนิยม สัมเภทและนิทานนั้น สมุฏฐานนิยมและสัมเภท ในปุริมนัยก่อน ย่อมปรากฏในคำว่า ย่อมเกิดขึ้นด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง คือกายกับจิต เป็นอาทิ. ส่วนนอกจากนี้ ชื่อนิทาน ย่อมปรากฏในเบื้องหน้าอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว 
   ในกรุงเวสาลี ในกรุงราชคฤห์ ในกรุงสาวัตถี ในเมืองอาฬวี ในกรุงโกสัมพี ในแคว้นสักกะทั้งหลาย และในแคว้นภัคคะทั้งหลาย. บัณฑิตพึงทราบว่า คำนี้จักปรากฏในสูตรซึ่งมาข้างหน้า. 
   เนื้อความแห่งคาถาว่า วิภงฺเค ทฺวีสุ เป็นต้น พึงทราบดังต่อไปนี้ :- ในวันอุโบสถ ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลายย่อมสวดสิกขาบทใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติไว้ในวิภังค์ทั้ง ๒, ข้าพเจ้าจักกล่าวสมุฏฐานตามสมควรแก่สิกขาบทนั้น ; ท่านทั้งหลายจงฟังคำนั้นของข้าพเจ้า.
   บทว่า สญฺจริตฺตานุภาสญฺจ ได้แก่ สัญจริตตสิกขาบทและสมนุภาสนสิกขาบท.
   สองบทว่า อติเรกญฺจ จีวรํ ได้แก่ อติเรกจีวรสิกขาบท. อธิบายว่า กฐินสิกขาบท. 
   สองบทว่า โลมานิ ปทโสธมฺโม ได้แก่ เอฬกโลมสิกขาบททั้งหลายและปทโสธัมมสิกขาบท. 
         บทว่า ภูตสํวิธาเนน จ ได้แก่ ภูตาโรจนสิกขาบทและการชักชวนเดินทางไกล. 
         บทว่า เถยฺยเทสนโจรญฺจ ได้แก่ เถยยสัตถสิกขาบท การแสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้มีร่มในมือ และโจรีวุฏฐาปนสิกขาบท. 
         สองบทว่า อนนุญฺญาตาย เตรส มีความว่า สมุฏฐานเหล่านี้รวมกับการบวชสตรีที่มารดาบิดาหรือสามีไม่อนุญาต จึงเป็นสมุฏฐาน ๑๓. 
         บาทคาถาว่า สทิสา อิธ ทิสฺสเร มีความว่า ในอุภโตวิภังค์นี้ สมุฏฐานทั้งหลายที่คล้ายกันแม้เหล่าอื่น ย่อมปรากฏ ในสมุฏฐานอันหนึ่งๆ ในบรรดาสมุฏฐาน ๑๓ เหล่านี้.
                    [ว่าด้วยปฐมปาราชิกสมุฏฐาน] 
   บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า เมถุนํ สุกฺกสํสคฺโค เป็นต้น เพื่อแสดงสมุฏฐานเหล่านั้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เมถุนํ นี้ พึงทราบก่อน. สมุฏฐานใหญ่อันหนึ่ง ชื่อว่าปฐมปาราชิก. สมุฏฐานที่เหลือ คล้ายกับปฐมปาราชิกสมุฏฐานนั้น. 
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สุกฺกสํสคฺโค ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิสมุฏฐานและกายสังสัคคสมุฏฐาน. 
         บาทคาถาว่า อนิยตา ปฐมิกา ได้แก่ อนิยตสิกขาบทที่ ๑.
          บาทคาถาว่า ปุพฺพูปปริปาจิตา ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า ชานํ ปุพฺพูปคตํ ภิกฺขุํ และภิกขุนีปริปาจิตปิณฑปาตสิกขาบท. 
         บาทคาถาว่า รโห ภิกฺขุนิยา สห ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการนั่งในที่ลับกับภิกษุณี. 
         บาทคาถาว่า สโภชเน รโห เทฺว จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการนั่งแทรกแซง ในสโภชนสกุล และรโหนิสัชชสิกขาบททั้ง ๒. 
         บาทคาถาว่า องฺคุลิ อุทเก หสํ ได้แก่ อังคุลีปโฏทกสิกขาบทและอุทเกหัสสธัมมสิกขาบท. 
         บาทคาถาว่า ปหาเร อุคฺคิเร เจว ได้แก่ ปหารทานสิกขาบทและตลสัตติกอุคคิรณสิกขาบท. 
         บาทคาถาว่า เตปญฺญาสา จ เสขิยา ได้แก่ เสขิยสิกขาบท ๕๓ มีปริมัณฑลนิวาสนสิกขาบทเป็นอาทิ ที่ท่านกล่าวไว้ในที่สุดแห่งขุททกวัณณนาเหล่านี้ คือ :- 
         ปริมัณฑลกสิกขาบท ๒, สุปฏิจฉันนกสิกขาบท ๒, 
         สุสังวุตสิกขาบท ๒, โอกขิตตจักขุกสิกขาบท ๒, อุกขิตตกายกสิกขาบท ๒, 
         กายัปปจาลิกสิกขาบท ๒, พาหุปปจาลิกสิกขาบท ๒, 
         สีสัปปจาลิกสิกขาบท ๒, ขัมภกสิกขาบท ๒, โอคุณฐิตสิกขาบท ๒, 
         อุกกุฏิกสิกขาบท ๑, ปัลลัตถิกสิกขาบท ๑, สักกัจจปฏิคคหณสิกขาบท ๑, 
         ปัตตสัญญิตาสิกขาบท ๑, สมสูปกสิกขาบท ๑, สมติตติกสิกขาบท ๑, 
         สักกัจจภุญชิสสสิกขาบท ๑, ปัตตสัญญีภุญชิสสสิกขาบท ๑, 
         สปทานภุญชิสสสิกขาบท ๑, สมสูปกภุญชิสสสิกขาบท ๑, ถูปิกตสิกขาบท ๑, 
         พยัญชนสิกขาบท ๑, อุชฌานสัญญิสิกขาบท ๑, นาติมหันตกวฬสิกขาบท ๑, 
         มัณฑลอาโลปสิกขาบท ๑, อนาหตสิกขาบท ๑, สัพพหัตถสิกขาบท ๑, 
         ปิณฑุกเขปกสิกขาบท ๑, กวฬาวัจเฉทกสิกขาบท ๑, อวคัณฑกสิกขาบท ๑, 
         หัตถนิทธูนกสิกขาบท ๑, สิตถาวการกสิกขาบท ๑, ชิวหานิจฉารกสิกขาบท ๑, 
         จปุจปุการกสิกขาบท ๑, สุรุสุรุการกสิกขาบท ๑, หัตถนิลเลหสิกขาบท ๑, 
         ปัตตนิลเลหสิกขาบท ๑, โอฏฐนิลเลหสิกขาบท ๑, สามิสสิกขาบท ๑, 
         สสิตถกสิกขาบท ๑, และปกิณณกสิกขาบท ๓ เหล่านี้ คือ ยืนถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ๑, 
         ยืนหรือนั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะบ้วนน้ำลายลงในของเขียว ๑,
         ยืนหรือนั่งถ่ายอุจจาระปัสสาวะบ้วนน้ำลายลงในน้ำ ๑, 
         บาทคาถาว่า อธกฺขคามาวสฺสุตา ได้แก่ อธักขกสิกขาบท คามันตรคมนสิกขาบทและสิกขาบทว่าด้วยการที่ภิกษุณีผู้มีจิตกำหนัดรับของควรเคี้ยว จากมือของบุรุษผู้มีจิตกำหนัด ของภิกษุณีทั้งหลาย. 
         บาทคาถาว่า ตลมตฺถญฺจ สุทฺธิกา ได้แก่ ตลฆาฎกสิกขาบท ชตุมัตถกสิกขาบท และอุทกสุทธิกาสิกขาบท สาทิยนสิกขาบท. 
         บาทคาถาว่า วสฺสํ วุตฺถา จ โอวาทํ ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า วสฺสํ วุตฺถา ฉ ปญฺจ โยชนานิ และสิกขาบทว่าด้วยการไม่ไปเพื่อโอวาท. 
         บาทคาถาว่า นานุพนฺเธ ปวตฺตินึ มีความว่า สิกขาบทเหล่านี้มี ๗๖ รวมทั้งวุฎฐาปิตปวัตนนานุพันธสิกขาบท. 
         สองบทว่า อิเม สิกฺขา ได้แก่ สิกขาบททั้งหลายเหล่านี้. ศัพท์ว่า อิเม ท่านทำให้ผิดลิงค์เสีย. 
         บาทคาถาว่า กายมานสิกา กตา ความว่า สิกขาบทเหล่านี้ ท่านจัดเป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็นสมุฏฐาน.
                    [ว่าด้วยทุติยปาราชิกสมุฏฐาน]
         บทว่า อทินฺนํ นี้ พึงทราบก่อน. คำว่าอทินนาทาน หรือคำว่า ทุติยปาราชิก เป็นสมุฏฐานใหญ่อันหนึ่ง.
         บทที่เหลือเป็นเช่นกับอทินนาทานนั้น.
         บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า วิคฺคหุตฺตรึ ได้แก่ มนุสสวิคคหสิกขาบทและอุตตริมนุสสธัมมสิกขาบท.
         สองบทว่า ทุฏฺฐุลฺลา อตฺตกามินํ ได้แก่ ทุฏฐุลลวาจสิกขาบทและอัตตกามปาริจริยสิกขาบท.
         สองบทว่า อมูลา อญฺญภาคิยา ได้แก่ ทุฏฐโทสสิกขาบททั้ง ๒.
         สองบทว่า อนิยตา ทุติยิกา ได้แก่ อนิยตสิกขาบทที่ ๒.
         สองบทว่า อจฺฉินฺเท ปริณามเน ได้แก่ การให้จีวรเองแล้วชิงเอามา และการน้อมลาภของสงฆ์มาเพื่อตน.
         บาทคาถาว่า มุสาโอมสเปสุณา ได้แก่ มุสาวาทสิกขาบท ๑ โอมสวาทสิกขาบท ๑ ภิกขุเปสุญญสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า ทุฏฐุลฺลา ปฐวีขเณ ได้แก่ ทุฏฐุลลาปัตติอาโรจนสิกขาบท ๑ ปฐวีขณนสิกขาบท ๑.
         สามบทว่า ภูตํ อญฺญาย อุชฺฌเป ได้แก่ ภูตคามสิกขาบท อัญญวาทกสิกขาบท และอุชฌาปนกสิกขาบท.
         สองบทว่า นิกฑฺฒนํ สิญฺจนญฺจ ได้แก่ วิหารโตนิกัฑฒนสิกขาบท ๑ อุทเกนติณาทิสิญจนสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า อามิสเหตุ ภุตฺตาวี ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า อามิสเหตุ ภิกฺขุนิโย โอวทนฺติ ๑, สิกขาบทว่าด้วยปวารณาภิกษุผู้ฉันเสร็จแล้ว ด้วยของเคี้ยวเป็นต้น อันมิใช่เดน ๑.
         สามบทว่า เอหิ อนาทริ ภึสา ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า เอหาวุโส คามํ วา เป็นต้น ๑, อนาทริยสิกขาบท ๑, ภิกขุภิงสาปนกสิกขาบท ๑,
         สองบทว่า อปนิเธ จ ชีวิตํ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการซ่อนบริขารมีบาตรเป็นต้น ๑, สิกขาบทว่าด้วยการแกล้งปลงชีวิตสัตว์ ๑.
         สามบทว่า ชานํ สปฺปาณกํ กมฺมํ ได้แก่ ชานังสัปปาณกอุทกสิกขาบท ๑, ปุนกัมมายุโกฏนสิกขาบท ๑.
         บทว่า อูนสํวาสนาสนา ได้แก่ อูนวีสติวัสสสิกขาบท ๑, สิกขาบทว่าด้วยการอยู่ร่วมกับภิกษุที่ถูกสงฆ์ยกวัตร ๑, นาสิตกสามเณรสัมโภคสิกขาบท ๑.
         บทว่า สหธมฺมิกวิเลขา ได้แก่ สหธัมมิกวุจจมานสิกขาบท ๑ สิกขาบทที่มาว่า วิเลขาย สํวตฺตนฺติ ๑.
         สองบทว่า โมโห อมูลเกน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยเป็นปาจิตตีย์ เพราะความเป็นผู้แสร้งทำหลง ๑, สิกขาบทว่าด้วยการโจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑.
         สามบทว่า กุกฺกุจฺจํ จีวรํ ทตฺวา ได้แก่ กุกกุจจอุปปาทนสิกขาบท ๑, สิกขาบทว่าด้วยการให้ฉันทะเพื่อกรรมที่เป็นธรรมแล้วกลับบ่นว่า ๑, สิกขาบทว่าด้วยการให้จีวรแล้วกลับบ่นว่า ๑.
         สองบทว่า ปริณเมยฺย ปุคฺคเล ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยน้อมลาภสงฆ์ไปเพื่อบุคคล.
         บาทคาถาว่า กินฺเต อกาลอจฺฉินฺเท ได้แก่ สิกขาบทที่มาว่า พระผู้เป็นเจ้า บุรุษบุคคลนั่น จักทำประโยชน์อะไรแก่ท่าน ๑ สิกขาบทว่าด้วยการอธิษฐานอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกัน ๑, สิกขาบทว่าด้วยการแลกจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงเอามา ๑.
         สองบทว่า ทุคฺคหิ นิรเยน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการยกโทษผู้อื่น ด้วยเครื่องที่จับไม่ถนัด ใคร่ครวญไม่ดี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการแช่งด้วยนรก หรือพรหมจรรย์ ๑.
         สามบทว่า คณํ วิภงฺคํ ทุพฺพลํ ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงทำอันตรายแก่จีวรลาภของคณะ ๑ ที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงห้ามการแจกจีวรที่เป็นธรรม ๑ ที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงก้าวล่วงจีวรกาลสมัยเสีย ด้วยจำนงเฉพาะซึ่งจีวรอันไม่มั่นคง ๑.
         บาทคาถาว่า กฐินาผาสุปสฺสยํ ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงห้ามการรื้อกฐินที่เป็นธรรม ๑ ภิกษุณีใด พึงแกล้งทำความไม่สำราญแก่ภิกษุณี ๑ ภิกษุณีใดให้ที่อยู่แก่ภิกษุณีแล้ว โกรธ ไม่พอใจ พึงฉุดคร่านางก็ดี ๑.
         สองบทว่า อกฺโกสจณฺฑี มจฺฉรี ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใดพึงด่าก็ดี ซึ่งภิกษุ ๑ ภิกษุณีใดเป็นผู้ดุร้าย พึงกล่าวขู่คณะ ๑ ภิกษุณีใด พึงเป็นผู้หวงตระกูล ๑.
         สองบทว่า คพฺภินี จ ปายนฺติยา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีมีครรภ์ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสตรีผู้ยังต้องให้บุตรดื่มนมให้บวช ๑.
         หลายบทว่า เทฺว วสฺสา สิกฺขา สงฺเฆน ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานาผู้ยังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานาผู้ศึกษาเสร็จแล้วในธรรม ๖ แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ ให้บวช ๑.
         สองบทว่า ตโย เจว คิหิคตา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีมีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุหย่อน ๑๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสตรีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุครบ ๑๒ ปีแล้ว แต่ยังไม่ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ให้บวช ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสตรีคฤหัสถ์ ผู้มีอายุครบ ๑๒ ปีแล้ว ได้ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปีแล้ว แต่สงฆ์ยังมิได้สมมติ ให้บวช ๑.
         สองบทว่า กุมารีภูตา ติสฺโส จ ได้แก่ สตรีผู้เป็นนางกุมารี ๓ จำพวกที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสโดยนัยมีคำว่า ภิกษุณีใด พึงยังสตรีผู้เป็นนางกุมารี มีอายุหย่อน ๒๐ ปีให้บวช เป็นต้น.
         บทว่า อูนทฺวาทสสมฺมตา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด มีพรรษาหย่อน ๑๒ พึงเป็นอุปัชฌาย์ยังนางสิกขมานาให้อุปสมบท ๑ ภิกษุณีใด มีพรรษาครบ ๑๒ แล้วแต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติ พึงเป็นอุปัชฌาย์ ยังนางสิกขมานาให้อุปสมบท ๑.
         สองบทว่า อลนฺตา ว โสกาวสฺสํ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ผู้อันนางภิกษุณีใดกล่าวอยู่ว่า อย่าเพ่อก่อนแม่คุณ เธออย่ายังนางสิกขมานา ให้บวช ดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ผู้มีใจร้ายยังความโศกให้ครอบงำใจบุรุษให้บวช ๑.
         สามบทว่า ฉนฺทา อนุวสฺสา จ เทฺว ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ให้อุปสมบทด้วยการมอบฉันทะที่ตกค้าง ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ให้อุปสมบทตามปี ๑ ภิกษุณีใด พึงยังนางสิกขมานา ให้อุปสมบทปีละ ๒ รูป ๑.
         สามบทว่า สมุฏฺฐานา ติกา กตา มีความว่า ๗ สิกขาบทนี้จัดเป็นติกสมุฏฐาน (คือ เกิดโดยทวาร ๓).
                    [ว่าด้วยสัญจริตตสมุฏฐาน]
         สามบทว่า สญฺจริ กุฏิ วิหาโร ได้แก่ สัญจริตตสิกขาบท ๑ สัญญาจิกายกุฏิกรณสิกขาบท ๑ มหัลลกวิหารกรณสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า โธวนญฺจ ปฏิคฺคโห ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักจีวรเก่า ๑ จีวรปฏิคคหณสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า วิญฺญตฺตุตฺตริ อภิหฏฺฐุํ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการออกปากขอจีวรกะคฤหบดีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดียิ่งกว่าอุตราสงค์ และอันตรวาสกนั้น ๑.
         สองบทว่า อุภินฺนํ ทูตเกน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่มาว่า จีวรเจตาปนํ อุปกฺขฏํ โหติ และสิกขาบทว่าด้วยค่าจีวรที่เขาส่งไปด้วยทูต.
         หลายบทว่า โกสิยา สุทฺธเทฺวภาคา ฉพฺพสฺสานิ นิสีทนํ ได้แก่ ๕ สิกขาบท มีสิกขาบทที่ว่า โกสิยมิสฺสกํ สนฺถตํ เป็นต้น.
         สองบทว่า ริญฺจนฺติ รูปิกา เจว ได้แก่ เอฬกโลมโธวาปนสิกขาบทที่มาในคัมภีร์วิภังค์ว่า ริญฺจนฺติ อุทฺเทสํ ๑ รูปียปฏิคคหณสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า อุโภ นานปฺปการกา ได้แก่ ๒ สิกขาบท คือ รูปียสังโวหารสิกขาบทและกยวิกกยสิกขาบท.
         สองบทว่า อูนพนฺธนวสฺสิกา ได้แก่ อูนปัญจพันธนปัตตสิกขาบท ๑ วัสสิกสาฏิกสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า สุตฺตํ วิกปฺปเนน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยออกปากขอด้ายให้ช่างหูกทอจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยการเข้าไปหาช่างหูกถึงความกำหนดในจีวร ๑.
         บทว่า ทฺวารทานสิพฺพินี จ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ด้วยวางเช็ดหน้าเพียงไรแต่กรอบแห่งประตู ๑ ภิกษุณีใด พึงให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ ภิกษุใด พึงเย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑.
         บทว่า ปูวปจฺจยโชติ จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยการปวารณาด้วยขนมหรือด้วยสัตตุผง เพื่อนำไปตามปรารถนา ๑ จาตุมาสปัจจยปวารณาสิกขาบท ๑ โชติสมาทหนสิกขาบท ๑.
         หลายบทว่า รตนํ สูจ มญฺโจ จ ตุลํ นิสีทนกณฺฑุ จ วสฺสิกา จ สุคเตน ได้แก่ รตนสิกขาบท ๑ และ ๗ สิกขาบทมีสูจิฆรสิกขาบทเป็นต้น.
         หลายบทว่า วิญฺญตฺติ อญฺญเจตาปนา, เทฺวสงฺฆิกา มหาชนิกา เทฺว ปุคฺคลา ลหุกา ครุ ได้แก่ ๙ สิกขาบทมีสิกขาบทว่า อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงออกปากขอกะคนอื่นแล้ว ออกปากขอกะคนอื่นอีก เป็นต้น.
         สามบทว่า เทฺว วิฆาสา สาฏิกา จ ได้แก่ วิฆาสสิกขาบททั้ง๒ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงทิ้งเองก็ดี พึงยังผู้อื่นให้ทิ้งก็ดี ซึ่งอุจจาระหรือปัสสาวะ หรือหยากเยื่อ หรืออาหารที่เป็นเดน ภายนอกฝาก็ตาม ภายนอกกำแพงก็ตาม ๑ ภิกษุณีใดพึงทิ้ง
เองก็ดี พึงยังผู้อื่นให้ทิ้งก็ดีซึ่งอุจจาระหรือปัสสาวะหรือหยากเยื่อ หรืออาหารที่เป็นเดน ในของสดเขียว ๑ และอุทกสาฏิกสิกขาบท.
         คำว่า สมณจีวเรน จ นั่น ท่านกล่าวหมายเอาพระบาลีนี้ว่า สมณจีวรํ ทเทยฺย.
                    [ว่าด้วยสมนุภาสนสมุฏฐาน]
         บทว่า เภทานุตฺตทุพฺพจทูสทุฏฐุลฺลทิฏฺฐิ จ ได้แก่ สังฆเภทสิกขาบท ๑ เภทานุวัตตกสิกขาบท ๑ ทุพพจสิกขาบท ๑ กุลทูสกสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลาปัตติปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ ทิฏฐิอัปปฏินิสสัชชสิกขาบท ๑.
         สามบทว่า ฉนฺทํ อุชฺชคฺฆิกา เทฺว จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยไม่มอบฉันทะไปเสีย ๑ และ ๒ สิกขาบทว่าด้วยการไปและการนั่งในละแวกบ้าน และทั้งหัวเราะลั่น.
         บทว่า เทฺวปฺปสทฺทา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่ว่า เราจักเป็นผู้มีเสียงน้อยไปในละแวกบ้าน ๑ นั่งในละแวกบ้าน ๑.
         บทว่า น พฺยาหเร ได้แก่ สิกขาบทที่ว่า เราจักไม่พูดด้วยปากที่ยังมีคำข้าว.
         หลายบทว่า ฉมา นีจาสเน ฐานํ, ปจฺฉโต อุปฺปเถน จ ได้แก่ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุนั่งที่แผ่นดิน แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นั่งบนอาสนะ ๑ นั่งบนอาสนะต่ำ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ผู้นั่งบนอาสนะสูง ๑ ผู้ยืนอยู่ แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้นั่ง ๑ ผู้ไปข้างหลัง
แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ ผู้ไปข้างหน้า ๑ ผู้เดินไปนอกทาง แสดงธรรมแก่บุคคลไม่เป็นไข้ ผู้ไปในทาง ๑.
         สองบทว่า วชฺชานุวตฺติ คหณา ได้แก่ ปาราชิก ๓ สิกขาบทกล่าวคือ วัชชปฏิจฉาทนสิกขาบท ๑ อุกขิตตานุวัตตนสิกขาบท ๑ หัตถคหณาทิสิกขาบท ๑.
         สองบทว่า โอสาเร ปจฺจาจิกฺขนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่บอกเล่าสงฆ์ผู้กระทำ ไม่ทราบความพอใจของคณะ พึงถอนโทษ (ภิกษุณี ผู้อันสงฆ์ผู้พร้อมเพรียงยก
วัตรแล้ว โดยธรรมโดยวินัย โดยสัตถุศาสน์) ๑. ภิกษุณีใดโกรธเคือง มีใจไม่แช่มชื่น พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้ากล่าวคืนพระพุทธเจ้า ดังนี้เป็นต้น ๑.
         หลายบทว่า กิสฺมึ สํสฏฺฐา เทฺว วธิ ได้แก่ หลายสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด อันสงฆ์ทำภายหลัง ในอธิกรณ์บางเรื่องเท่านั้น ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีทั้งหลายเป็นผู้คลุกคลีกันอยู่ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้คลุกคลีกันอยู่เถิด แม่เจ้าดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณีใด พึงประหารข่วนตัวแล้วร้องไห้ดังนี้ ๑.
         สองบทว่า วิสิพฺเพ ทุกฺขิตาย จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงเลาะเองก็ดี ให้ผู้อื่นเลาะก็ดี ซึ่งจีวรของภิกษุณี ๑ ภิกษุณีใด พึงไม่บำรุงเองก็ดี ไม่พึงให้ผู้อื่นบำรุงก็ดี ซึ่งสหชีวินีผู้ถึงทุกข์ ๑.
         หลายบทว่า ปุน สํสฏฺฐา น วูปสเม ได้แก่ สังสัฏฐสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสซ้ำอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงอยู่คลุกคลีด้วยคหบดีก็ดี ด้วยบุตรของคหบดีก็ดี ๑ และสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใดผู้อันภิกษุณีกล่าวอยู่ว่า มาเถิด แม่เจ้าท่านจงยังอธิกรณ์นี้ให้ระงับ ดังนี้ รับแล้วว่า สาธุ ภายหลังเธอผู้ไม่มีอันตราย พึงไม่ยังอธิกรณ์ให้ระงับ ๑.
         สองบทว่า อารามญฺจ ปวารณา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด รู้อยู่ ซึ่งอารามอันมีภิกษุ ไม่ไต่ถามก่อน พึงเข้าไปดังนี้ ๑ ภิกษุณีใด จำพรรษาแล้ว พึงไม่ปวารณาด้วยสถาน#- ๓ ... ในอุภโตสงฆ์ ดังนี้ ๑.
         หลายบทว่า อนฺวฑฺฒมาสํ สหชีวินี เทฺว ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ธรรม ๒ อย่าง (คือ อุโบสถ ๑ การเข้าไปหาเพื่อโอวาท ๑) อันภิกษุณีพึงหวังเฉพาะจากสงฆ์ทุกกึ่งเดือน และ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังสหชิวินีให้บวชแล้ว ไม่อนุเคราะห์ตลอด ๒ พรรษา ๑ ภิกษุณีใด พึงยังสหชีวินีให้บวชแล้ว ไม่พาไปเอง ๑.
         สองบทว่า จีวรํ อนุพนฺธนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงพูดกะนางสิกขมานาว่า แน่ะแม่เจ้า ถ้าว่า เธอจักให้จีวรแก่เราไซร้ ด้วยอย่างนั้น เราจักยังเธอให้อุปสมบท ดังนี้เป็นต้น ๑ ภิกษุณีใด พึงพูดกะนางสิกขมานาว่า แน่ะแม่เจ้า ถ้าว่า เธอจักติดตามเราไปตลอด ๒ พรรษาไซร้ ด้วยอย่างนั้น เราจักยังเธอให้อุปสมบท ดังนี้ ๑.
         ธรรม ๓๗ เหล่านี้ (ทั้งหมด เป็นสมุฏฐานอันหนึ่ง มีองค์ ๓ คือ กาย วาจา จิต เหมือนสมนุภาสนสมุฏฐาน).
         #- คือ ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา.
                    [ว่าด้วยกฐินสมุฏฐาน]
         สามบทว่า อุพฺภตํ กฐินํ ตีณิ ได้แก่ ๓ สิกขาบทข้างต้นที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ครั้นจีวรสำเร็จแล้ว กฐินอันภิกษุรื้อเสียแล้ว.
         สองบทว่า ปฐมํ ปตฺตเภสชฺชํ ได้แก่ ปัตตสิกขาบทที่ ๑ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า พึงทรงอติเรกบาตรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง และสิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เภสัชอันควรลิ้ม.
         สองบทว่า อจฺเจกญฺจาปิ สาสงฺกํ ได้แก่ อัจเจกจีวรสิกขาบท ๑ สาสังกสิกขาบท อันเป็นลำดับแห่งอัจเจกจีวรสิกขาบทนั้นเอง ๑.
         สองบทว่า ปกฺกมนฺเตน วา ทุเว ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในภูตคามวรรคว่า เมื่อหลีกไป ไม่เก็บเองก็ดี ซึ่งเตียงเป็นต้นนั้น.
         สองบทว่า อุปสฺสยํ ปรมฺปรา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ไปสู่ที่อาศัยแห่งภิกษุณีแล้ว พึงสอนภิกษุณีทั้งหลาย ๑ เป็นปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนะทีหลัง ๑.
         สองบทว่า อนติริตฺตํ นิมนฺตนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด ฉันเสร็จห้ามเสียแล้ว เคี้ยวก็ดี ฉันก็ดี ซึ่งของเคี้ยวก็ตาม ซึ่งของฉันก็ตาม อันไม่เป็นเดน ๑ ภิกษุใด รับนิมนต์แล้ว มีภัตรอยู่แล้ว ๑.
         สามบทว่า วิกปฺปํ รญฺโญ วิกาเล ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุใด วิกัปจีวรเอง ... ๑ ของพระราชาผู้กษัตริย์ ๑ ภิกษุใด ... พึงเข้าไปสู่บ้านในเวลาวิกาล ๑.
         บทว่า โวสาสารญฺญเกน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ถ้าภิกษุณีมายืนยันสั่งเสียอยู่ในที่นั้น ๑ ภิกษุใดอยู่ในเสนาสนะป่าเห็นปานนั้น รับของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี อันเขาไม่ได้บอกให้รู้ก่อน ๑.
         สองบทว่า อุสูยา สนฺนิจยญฺจ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด มักพูดด้วยความริษยา ๑ ภิกษุณีใด พึงทำการสะสมบาตร ๑.
         หลายบทว่า ปุเร ปจฺฉา วิกาเล จ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาก่อนอาหาร ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลายในเวลาภายหลังอาหาร ดังนี้ ๑ อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงเข้าไปสู่สกุลทั้งหลาย ในเวลาวิกาล ดังนี้ ๑.
         สองบทว่า ปญฺจาหิกา สงฺกมนี ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงยังการผลัดสังฆาฏิ ให้ก้าวล่วง ๕ วันไป ๑ ภิกษุณีใด พึงทรงจีวรที่ตนยืมมา ซึ่งจะต้องส่งคืน ๑.
         สองบทว่า เทฺวปิ อาวสเถน จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสรวมกับที่พักอย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด ไม่มอบหมายจีวรในที่พัก พึงบริโภค ไม่มอบหมายที่พัก พึงหลีกไปสู่ที่จาริก.
         สองบทว่า ปสาเข อาสเน เจว ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด ไม่บอกซึ่งฝี (หรือพุพอง) อันเกิดที่โคนขา (กะสงฆ์หรือกะคณะ) ๑. ภิกษุณีใด ไม่ขออนุญาตก่อนพึงนั่งบนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ๑.
         ๒๙ สิกขาบทเหล่านี้ (ย่อมเกิดโดยทวาร ๓ คือ กายกับวาจาแต่ไม่เกิดโดยลำพังจิต ทุกสิกขาบทรวมทั้งกฐินสิกขาบทมีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน).
                    [ว่าด้วยเอฬกโลมสมุฏฐาน]
         สามบทว่า เอฬกโลมา เทฺว เสยฺยา ได้แก่ เอฬกโลมสิกขาบท ๑ และสหไสยสิกขาบท ๒.
        บทว่า อาหจฺจปิณฺฐโภชนํ ได้แก่ อาหัจจปาทกสิกขาบทและอาวสถปิณฑโภชนสิกขาบท.
         บทว่า คณวิกาลสนฺนิธิ ได้แก่ ๓ สิกขาบท คือ คณโภชนสิกขาบท ๑ วิกาลโภชนสิกขาบท ๑ สันนิธิการกสิกขาบท ๑.
               บทว่า ทนฺตโปเณนเจลกา ได้แก่ ทันตโปณสิกขาบทและอเจลกสิกขาบท. 
               สามบทว่า อุยฺยุตฺตํ วเส อุยฺโยธิ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้า
ตรัสว่า พึงไปเพื่อดูเสนาอันยกออกแล้ว พึงอยู่ในกองทัพ พึงไปสู่สนามรบก็ดี ฯลฯ ไปดูกองทัพก็ดี.
               สามบทว่า สุรา โอเรน นหายนา ได้แก่ สุราปานสิกขาบท ๑ โอเรนัฑฒมาสังนหานสิกขาบท ๑. 
               สามบทว่า ทุพฺพณฺเณ เทฺว เทสนิกา ได้แก่ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๒ สิกขาบทที่เหลือจากที่ตรัสแล้ว ๑. 
               สองบทว่า ลสุณุตฺติฏฺเฐ นจฺจนา ได้แก่ ลสุณสิกขาบท ๑ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด พึงเข้าไปปฏิบัติภิกษุผู้กำลังฉัน ด้วยน้ำฉันก็ดี ด้วยการพัดก็ดี ๑. สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใดพึงไปดูการฟ้อนก็ดี การประโคมก็ดี ๑. 
               ต่อจากนี้ไป พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย เขียนเพี้ยนบาลี. ผู้ศึกษาพึงทราบลำดับ
              ในคำว่า นหานํ อตฺถรณํ เสยฺยา เป็นอาทินี้ เหมือนเนื้อความที่ข้าพเจ้าอธิบาย (ต่อไป). 
               สามบทว่า นหานํ อตฺถรณํ เสยฺยา ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีเหล่าใด พึงเปลือยกายอาบน้ำ ภิกษุณีเหล่าใด พึงใช้ผ้าปูนอนและผ้าห่มผืนเดียวกันนอนด้วยกัน
๒ รูป ภิกษุณีเหล่าใด พึงนอนบนเตียงเดียวกัน ๒ รูป. 
               สามบทว่า อนฺโตรฏฺเฐ ตถา พหิ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด ไม่มีพวก พึงเที่ยวจาริกไป ... ในที่ซึ่งรู้กันว่า น่ารังเกียจภายในแคว้น ไม่มีพวก
เที่ยวจาริกไป ... ในที่ซึ่งรู้กันว่าน่ารังเกียจภายนอกแคว้น. 
               สองบทว่า อนฺโตวสฺสํ จิตฺตาคารํ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด พึงหลีกไปสู่จาริก ภายในกาลฝน ภิกษุณีใด พึงไปเพื่อดูพระราชวังก็ดี เรือนงามก็ดี ฯลฯ
สระโบกขรณีก็ดี. 
               สองบทว่า อาสนฺทิ สุตฺตกนฺตนา ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด พึงใช้สอยอาสันทิหรือบัลลังก์ พึงกรอด้าย. 
               สองบทว่า เวยฺยาวจฺจํ สหตฺถา จ ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด พึงทำความขวนขวายแก่คฤหัสถ์ พึงให้ของเคี้ยวก็ดี ของฉันก็ดี ด้วยมือของตน แก่ชาวบ้าน
ก็ดี แก่ปริพาชกก็ดี แก่ปริพาชิกาก็ดี. 
               คำว่า อภิกฺขุกาวาเสน จ นั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสิกขาบทนี้ว่า
ภิกษุณีใด พึงอยู่จำพรรษาในอาวาสไม่มีภิกษุ. 
               สามบทว่า ฉตฺตํยานญฺจ สงฺฆาณึ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด ไม่อาพาธ พึงใช้ร่มและรองเท้า ไม่เป็นไข้ พึงไปด้วยยาน ภิกษุณีใด พึงใช้เข็มขัด. 
               สองบทว่า อลงฺการํ คนฺธวาสิตํ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุณีใด พึงทรงไว้ซึ่งเครื่องแต่งตัวสำหรับสตรี พึงอาบด้วยของหอมและสี พึงอาบด้วยแป้งอบ. 
               ด้วยบทว่า ภิกฺขุนี เป็นต้น ตรัส ๔ สิกขาบทมีสิกขาบทว่า ภิกษุณีใด พึงใช้ภิกษุณี
ให้นวด เป็นอาทิ. 
               สองบทว่า อสงฺกจฺฉิกา อาปตฺติ ได้แก่ อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้ว่า
ภิกษุณีใด ไม่มีประคดอกเข้าบ้าน ต้องปาจิตตีย์. 
               บาทคาถาว่า จตฺตาริสา จตุตฺตรี ได้แก่ ๔๔ สิกขาบทเหล่านี้ทั้งหมด. 
               หลายบทว่า กาเยน น วาจาจิตฺเตน กายจิตฺเตน น วาจโต มีความว่า
เกิดทางกายและกายกับจิต ไม่เกิดทางวาจากับจิตไม่เกิดทางวาจา. 
      คำว่า ทุกสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ ชื่อว่าเอฬกโลมสมุฏฐานเสมอกันนี้ มีเนื้อความชัดเจนแล้ว.
                            [ว่าด้วยปทโสธัมมสมุฏฐาน]
               สองบทว่า ปทญฺญตฺร อสมฺมตา ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุใด พึงยังอนุปสัมบันให้กล่าวธรรมโดยบท ๑, ภิกษุใดพึงแสดงธรรมแก่มาตุคาม
ยิ่งกว่า ๖-๕ คำ เว้นแต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสา ๑, ภิกษุใด ไม่ได้รับสมมติสั่งสอนพวกภิกษุณี ๑. 
               คำว่า ตถา อตฺลงฺคเตน จ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสิกขาบทนี้ว่า
เมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว สั่งสอนพวกภิกษุณี. 
               สองบทว่า ติรจฺฉานวิชฺชา เทฺว ได้แก่ ๒ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
อย่างนี้ว่า ภิกษุณีใด พึงเรียนติรัจฉานวิชชา ๑, พึงบอกติรัจฉานวิชชา ๑. 
               คำว่า อโนกาเส จ ปุจฺฉนา นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสิกขาบทนี้ว่า
ภิกษุณีใด พึงถามปัญหากะภิกษุซึ่งตนไม่ขอโอกาสก่อน.
             [ว่าด้วยอัทธานสมุฏฐาน]
               สองบทว่า อทฺธานนาวํ ปณีตํ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
ภิกษุใด ชักชวนกันแล้ว เดินทางไกลร่วมกันกับภิกษุณี ๑, ชักชวนกันแล้วขึ้นเรือลำเดียวกับภิกษุณี ๑,
ภิกษุใด มิใช่อาพาธ ขอโภชนะอันประณีต เพื่อประโยชน์แก่ตนแล้วฉัน ๑. 
               สองบทว่า มาตุคาเมน สงฺฆเร ได้แก่ สิกขาบทคือชักชวนกันแล้วไปกับมาตุคาม ๑,
สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ภิกษุณีใด พึงนำ (ถอน-โกน-ตัด) ขนในที่แคบ ๑. 
               สองบทว่า ธญฺญํ นิมนฺติตา เจว ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสว่า ภิกษุณีใด
พึงขอข้าวเปลือก ๑, ภิกษุณีใด รับนิมนต์แล้วก็ดี ห้ามโภชนะแล้วก็ดี พึงเคี้ยวของเคี้ยวก็ตาม
พึงฉันของฉันก็ตาม ๑.
บทว่า อฏฺฐ จ ได้แก่ ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทที่ตรัสเพื่อภิกษุณีทั้งหลาย.
             [ว่าด้วยเถยยสัตถสมุฏฐาน]
               สองบทว่า เถยฺยสตฺถํ อุปสฺสุติ ได้แก่ สิกขาบทคือชักชวนแล้วเดินทางไกลสายเดียวกัน
กับพวกเกวียนพวกต่างผู้เป็นโจร ๑, สิกขาบทคือยืนแอบฟัง ๑. 
               คำว่า สูปวิญฺญาปเนน จ นี้ ตรัสหมายเอาการออกปากขอแกงและข้าวสุก. 
               สามบทว่า รตฺติฉนฺนญฺจ โอกาสํ ได้แก่ ๓ สิกขาบทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสอย่างนี้
ว่า ภิกษุณีใด พึงยืนร่วมหรือพึงเจรจาตัวต่อตัวกับบุรุษในราตรีที่มืดไม่มีไฟ ๑, ในโอกาสกำบัง ๑, ในที่กลางแจ้ง ๑. 
               คำว่า พฺยูเหน สตฺตมา นี้ ตรัสหมายเอาสิกขาบทที่มาเป็นลำดับแห่งสิกขาบทนั้นนั่นแลว่า
กับบุรุษที่ถนนหรือที่ตรอกตัน. 
                       ธัมมเทสนสมุฏฐาน ๑๑ สิกขาบท ตื้นทั้งนั้น. 
               พึงทราบสมุฏฐานที่เจือกันอยู่นี้ก่อน :- 
               ส่วนนิยตสมุฏฐานมี ๓ อย่าง, นิยตสมุฏฐานนั้น มีเฉพาะแต่ละสิกขาบทเท่านั้น,
เพื่อแสดงนิยตสมุฏฐานนั้นเฉพาะแผนก จึงตรัสคำว่า ภูตํ กาเยน ชายติ เป็นต้น. คำนั้นตื้นทั้งนั้น. 
               บทว่า เนตฺติธมฺมานุโลมิกํ ได้แก่ อนุโลมแก่ธรรม กล่าวคือบาลีแห่งวินัย.
                              สมุฏฐานสีสวัณณนา จบ

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร ย่อหัวข้อสมุฏฐาน

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
 [๘๒๖] สังขารทั้งปวงที่ปัจจัยปรุงแต่ง ไม่เที่ยงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
  พระนิพพานและบัญญัติ ท่านวินิจฉัยว่า เป็นอนัตตา.
  เมื่อดวงจันทร์คือพระพุทธเจ้ายังไม่เกิดขึ้น
  เมื่อดวงอาทิตย์ คือ พระพุทธเจ้า ยังไม่อุทัยขึ้นมา
 เพียงแต่ชื่อของสภาคธรรมเหล่านั้น ก็ยังไม่มีใครรู้จัก.
  พระมหาวีรเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้มีพระจักษุ ทรงทำ
  ทุกกรกิริยามีอย่างต่างๆ ทรงบำเพ็ญบารมีแล้วเสด็จ
  อุบัติในโลกเป็นไปกับพรหมโลก พระองค์ทรงแสดง
  พระสัทธรรม อันดับเสียซึ่งทุกข์ นำมาซึ่งความสุข.
  พระอังคีรส ศากยมุนี ผู้อนุเคราะห์แก่ประชาทุก
  ถ้วนหน้า อุดมกว่าสรรพสัตว์ดุจราชสีห์ ทรงแสดง
  พระไตรปิฎก คือ พระวินัย ๑ พระสุตตันตะ ๑
   พระอภิธรรม ๑ ซึ่งมีคุณมาก อย่างนี้ พระสัทธรรม
   จะเป็นไปได้ ผิว่า พระวินัย คือ อุภโตวิภังค์
   ขันธกะและมาติกา ที่ร้อยกรองด้วยคัมภีร์ บริวาร
   เหมือนดอกไม้ร้อยด้วยเส้นด้าย ยังดำรงอยู่.
ในคัมภีร์บริวารนั้นแล สมุฏฐานท่านจัดไว้แน่นอน
   ความเจือปนกัน และนิทานอื่นย่อมเห็นได้ ในพระ
   สูตรข้างหน้า เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักด้วย
   ดี ใคร่ต่อ ธรรม พึงศึกษาคัมภีร์บริวารเถิด.
ในวันอุโบสถ ภิกษุและภิกษุณีย่อม สวดสิกขาบท อัน
   พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ในวิภังค์ทั้ง ๒
   ข้าพเจ้าจักกล่าวสมุฏฐานตามที่รู้ ขอท่านทั้งหลาย
   จงฟังข้าพเจ้า. ปฐมปราชิกสิกขาบท ๑ ทุติยปาราชิกสิกขาบท ๑ ต่อแต่นั้น สัญจริตสิกขาบท ๑ สมนุภาสน สิกขาบท ๑ อติเรกจีวรสิกขาบท ๑ เอฬกโลมสิกขาบททั้งหลาย ๑ ปทโสธัมมสิกขาบท ๑ ภูตาโรจนสิกขาบท ๑ สังวิธานสิกขาบท ๑
   เถยยสัตถสิกขาบท ๑ เทสนาสิกขาบท ๑ โจรีวุฏฐาปนสิกขาบท ๑ รวมกับการบวชสตรีที่มารดาบิดา หรือสามีไม่อนุญาต จึงเป็นสมุฏฐาน ๑๓.
   ในอุภโตวิภังค์นี้ นัยแห่งสมุฏฐาน ๑๓ นี้ วิญญูชนทั้งหลาย คิดกันแล้ว ที่คล้ายคลึงกัน ย่อมปรากฏในสมุฏฐานอันหนึ่งๆ.
ปฐมปาราชิกสมุฏฐาน
   [๘๒๗] สิกขาบทว่าด้วยเสพเมถุน ๑ สิกขาบทว่าด้วยปล่อยน้ำสุกกะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยเคล้าคลึงกาย ๑ อนิยตสิกขาบทที่หนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันบิณฑบาตที่ภิกษุณีแนะให้เขาถวาย ๑ สิกขาบทว่าด้วยนั่งในที่ลับกับภิกษุณี ๑ สิกขาบทว่าด้วยแทรกแซง
ในสโภชนสกุล ๑ สิกขาบทว่าด้วยนั่งในที่ลับ ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยจี้ด้วยนิ้วมือ ๑ สิกขาบทว่าด้วยหัวเราะในน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ประหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยเงือดเงื้อหอกคือฝ่ามือ ๑ เสขิยวัตร ๕๓ สิกขาบท ๑ อธักขกสิกขาบทของภิกษุณี ๑ คามันตรคมนสิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี
พอใจรับของฉันจากมือบุรุษ ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้ของลับกระทบกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีท่อนยางกลม ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีชำระด้วยน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้วไม่หลีกไปสู่จาริก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ไปรับโอวาท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ติดตามปวัตตินี ๑
       สิกขาบทเหล่านี้ รวม ๗๖ สิกขาบท ท่านจัดไว้เป็นสิกขาบทมีกายกับจิตเป็นสมุฏฐาน ทุกๆ สิกขาบทมีสมุฏฐานอัหนึ่งเหมือนปฐมปาราชิกสิกขาบท ฉะนั้น.  ปฐมปาราชิกสมุฏฐาน จบ
ทุติยปาราชิกสมุฏฐาน
   [๘๒๘] สิกขาบทว่าด้วยถือเอาสิ่งของที่เจ้าของมิได้ให้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยพรากกายมนุษย์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่าวอวดธรรมอันยิ่งของมนุษย์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดเคาะด้วยวาจาชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่าวบำเรอตนด้วยกาม ๑ สิกขาบทว่าด้วยตามกำจัดด้วยปาราชิกธรรมไม่มีมูล ๑ สิกขาบทว่า
ด้วยถือเอาเลศแห่งอธิกรณ์เรื่องอื่น ๑ อนิยตสิกขาบทที่สอง ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้จีวรแล้วชิงเอาคืนมา ๑ สิกขาบทว่าด้วยน้อมลาภของสงฆ์มาเพื่อตน ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดเท็จ ๑ สิกขาบทว่าด้วยด่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดส่อเสียดภิกษุ ๑ สิกขาบทว่าด้วยบอกอาบัติชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยขุดแผ่นดิน ๑
สิกขาบทว่าด้วยพรากภูตคาม ๑ สิกขาบทว่าด้วยพูดกลบเกลื่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยโพนทะนา ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉุดคร่าออกจากวิหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยเอาน้ำรด ๑ สิกขาบทว่าด้วยสอนภิกษุณีเพราะเห็นแก่อามิส ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุฉันเสร็จแล้ว ๑ สิกขาบทว่าด้วยการชวนภิกษุเข้าไปบิณฑบาตในบ้าน ๑
สิกขาบทว่าด้วยการไม่เอื้อเฟื้อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยการหลอกภิกษุให้กลัวผี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการซ่อนบริขาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยการแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุรู้อยู่ใช้น้ำมีตัวสัตว์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฟื้นอธิกรณ์เพื่อทำใหม่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยบวชคนมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วย
การอยู่ร่วมกับภิกษุที่สงฆ์ยกวัตร ๑ สิกขาบทว่าด้วยการสมโภคกับสามเณรที่ถูกนาสนะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุผู้อันภิกษุทั้งหลายว่ากล่าวโดยชอบธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยธรรมอันเป็นไปเพื่อความยุ่งเหยิง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการแกล้งทำหลง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการโจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสไม่มีมูล ๑
สิกขาบทว่าด้วยการแกล้งก่อความรำคาญ ๑ สิกขาบทว่าด้วยการให้ฉันทะเพื่อกรรมที่เป็นธรรมแล้วกลับบ่นว่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยการให้จีวร แล้วกลับบ่นว่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยการน้อมลาภสงฆ์ไปเพื่อบุคคล ๑ สิกขาบทว่าด้วยคำที่ว่าบุรุษบุคคลนั่นจักทำอะไรแก่ท่านได้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอธิษฐานอกาลจีวรเป็น
กาลจีวรแล้วให้แจก ๑ สิกขาบทว่าด้วยแลกจีวรกับภิกษุณีแล้วชิงคืนมา ๑ สิกขาบทว่าด้วยการยกโทษผู้อื่นด้วยความถือผิดเข้าใจผิด ๑ สิกขาบทว่าด้วยแช่งด้วยนรก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึงทำอันตรายแก่จีวรลาภของคณะ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึงห้ามการแจกจีวรอันเป็นธรรม ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใด
พึงยังสมัยจีวรกาลให้ล่วงไปด้วยหวังจะ จะได้จีวรอันไม่แน่นอน ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึงห้ามการเดาะกฐินที่เป็นธรรม ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดพึงแกล้งก่อความไม่ผาสุกแก่ภิกษุณี ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดให้ที่อยู่แล้ว ไม่พอใจฉุดคร่าภิกษุณีออก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดด่าหรือกล่าวขู่ภิกษุ ๑ สิกขาบทที่ว่า
ภิกษุณีใดดุร้ายกล่าวขู่คณะ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดหวงสกุล ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีมีครรภ์ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีแม่ลูกอ่อน ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดบวชสิกขมานาผู้ยังไม่ได้ศึกษาในธรรม ๖ ครบ ๒ ปี ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีใดบวชสิกขมานาผู้ศึกษาเสร็จในธรรม ๖ ครบ ๒ ปีแต่สงฆ์ยังไม่ได้
สมมติ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชสตรีคฤหัสถ์ ๓ สิกขาบท ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยการบวชเด็กหญิงรวม ๓ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีมีพรรษาหย่อน ๑๒ ให้อุปสมบท๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีมีพรรษาครบ ๑๒ แล้ว แต่สงฆ์ยังไม่ได้สมมติให้อุปสมบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอันภิกษุณีทั้งหลายอย่าเพ่อก่อน
 ท่านอย่ายังสิกขมานาให้อุปสมบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียังสิกขมานาผู้มีใจร้ายยังชายให้ระทมโศกให้อุปสมบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้อุปสมบทด้วยมอบฉันทะที่ค้างคราว ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้อุปสมบททุกๆ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้สิกขมานาบวชปีละ ๒ รูป ๑
       สิกขาบทเหล่านี้รวม ๗๐ สิกขาบท จัดเป็นสมุฏฐาน ๓ คือ เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย และเกิดแต่ทวาร ๓ เหมือนทุติยปาราชิกสิกขาบทฉะนั้น.  ทุติยปาราชิกสมุฏฐาน จบ

สัญจริตตสมุฏฐาน
   [๘๒๙] สิกขาบทว่าด้วยชักสื่อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยสร้างกุฏิ ๑ สิกขาบทว่าด้วยสร้างวิหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้ภิกษุณีซักจีวรเก่า ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้ภิกษุณีขอจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยยินดีเฉพาะผ้าอุตราสงค์และอันตรวาสก ๑ สิกขาบทว่าด้วยถึงความกำหนดในจีวร ๒ สิกขาบท ๑
สิกขาบทว่าด้วยส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรด้วยทูต ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ทำสันถัตเจือไหม ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ทำสันถัตขนเจียมดำล้วน ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ทำสันถัตถือเอาขนเจียมดำ ๒ ส่วน ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้สันถัตใหม่ให้ได้ ๖ ปี ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ทำสันถัตสำหรับนั่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยการทอดทิ้งอุเทศ ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับรูปิยะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยแลกเปลี่ยนและซื้อขายมีประการต่างๆ รวม ๒ สิกขาบท ๑
สิกขาบทว่าด้วยบาตรมีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยแสวงหาผ้าอาบน้ำฝน ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอด้าย ๑ สิกขาบทว่าด้วยเข้าไปหาช่างหูกถึงความกำหนดในจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยวางเช็ดหน้าจนถึงกรอบประตู ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบทว่าด้วยเย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ๑ สิกขาบทว่าด้วยปวารณาด้วยขนม ๑ สิกขาบทว่าด้วยปวารณาด้วยปัจจัยสี่ ๑
สิกขาบทว่าด้วยการติดไฟผิง ๑
สิกขาบทว่าด้วยการเก็บรตนะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่องเข็ม ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำเตียง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำเตียงตั่งหุ้มนุ่น ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำผ้าปูนั่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำผ้าปิดฝี ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำผ้าอาบน้ำฝน ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำจีวรขนาดสุคตจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีขอของอื่นแล้วขอของอื่นอีก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นแล้วให้จ่ายของอื่นอีก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นด้วยบริขารของสงฆ์ ๒ สิกขาบท ๑
สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นด้วยบริขารของคนหมู่มาก ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายของอื่นด้วยบริขารส่วนบุคคล ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มบาง ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้จ่ายผ้าห่มหนา ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีทิ้งอาหารเป็นเดน ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้ทำผ้าอาบน้ำเกินประมาณ ๑ สิกขาบทที่ว่าภิกษุณีให้สมณจีวร ๑
      ธรรมคือสิกขาบทเหล่านี้ ๕๐ ถ้วนเกิดด้วยสมุฏฐาน ๖ คือ เกิดแต่กาย มิใช่วาจาแลจิต เกิดแต่วาจา มิใช่กายแลจิต เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย และเกิดด้วยทวาร ๓ อนึ่ง สิกขาบทเหล่านี้ มีสมุฏฐาน ๖ เช่นกับสัญจริตตสิกขาบท.  สัญจริตตสมุฏฐาน จบ

สมนุภาสนสมุฏฐาน
   [๘๓๐] สิกขาบทว่าด้วยทำลายสงฆ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุว่ายาก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุประทุษร้ายสกุล ๑ สิกขาบทว่าด้วยปิดอาบัติชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่สละทิฏฐิ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่มอบฉันทะ ๑ สิกขาบทว่าด้วยหัวเราะ ๒ สิกขาบท ๑
สิกขาบทว่าด้วยพูดเสียงดัง ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยมีคำข้าวอยู่ในปากจักไม่พูด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุนั่งบนแผ่นดินแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุนั่งบนอาสนะต่ำแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุยืนอยู่แสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุไปข้างหลังแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุเดินนอกทางแสดงธรรม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีปิดโทษ ๑
สิกขาบทว่าด้วยภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ถูกยกวัตร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียินดีการจับต้อง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับภิกษุณีเข้าหมู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีบอกคืนพระพุทธเจ้าเป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีถูกตัดสินให้แพ้อธิกรณ์เรื่องหนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอยู่คลุกคลี ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีประหารตนแล้วร้องไห้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเลาะจีวรของภิกษุณี ๑
สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่บำรุงสหชีวินีผู้ตกระกำลำบาก ๑ สิกขาบทที่ตรัสซ้ำถึงภิกษุณีอยู่คลุกคลีกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ระงับอธิกรณ์ ๑ สิกขาบทที่ว่าด้วยภิกษุณีไม่บอกก่อนเข้าไปสู่อาราม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ปวารณาโดย ๓ สถาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพึงหวังธรรม ๒ อย่างจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่อนุเคราะห์และไม่พาสหชีวินีไปจาริก ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพูดให้สิกขมานาถวายจีวรแล้วจักบวชให้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีพูดให้สิกขมานาติดตาม ๑
       ธรรม คือ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๓๗ สิกขาบท เกิดแต่กายวาจาและจิต ทุกๆสิกขาบทมีสมุฏฐานอันหนึ่ง เหมือนสมนุภาสนสิกขาบท.  สมนุภาสนสมุฏฐาน จบ

กฐินสมุฏฐาน
   [๘๓๑] สิกขาบทว่าด้วยกฐินอันภิกษุเดาะแล้ว ๓ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยใช้อติเรกบาตรสิกขาบทที่หนึ่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยเภสัช ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับอัจเจกจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุอยู่ในเสนาสนะป่ามีความรังเกียจเก็บไตรจีวรไว้ในละแวกบ้านได้ ๑ สิกขาบทว่าด้วยเมื่อหลีกไปไม่เก็บเตียงหรือตั่ง ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยเข้าไปสู่ที่อยู่ภิกษุณีแล้วสอน
๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันโภชนะทีหลัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยห้ามภัตรแล้วฉันภัตตาหารไม่เป็นเดน ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับนิมนต์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยวิกัปจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่ได้รับบอกก่อนเข้าไปในพระราชมณเฑียร ๑ สิกขาบทว่าด้วยเข้าบ้านในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันภัตตาหารที่ภิกษุณียืนสั่งเสียอยู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอยู่เสนาสนะป่ารับของเคี้ยวเป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วย
ภิกษุณีพูดให้ร้าย ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีทำการสั่งสมบาตร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาก่อนอาหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีผลัดเปลี่ยนผ้าสังฆาฏิเกินกำหนด ๕ วัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้จีวรผลัดเปลี่ยน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่มอบหมายจีวร
สับเปลี่ยนและที่พัก ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีให้ผ่าฝีอันเกิดที่แง้มขา ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่บอกก่อนนั่งบนอาสนะข้างหน้าภิกษุ ๑
       ธรรม คือ สิกขาบทเหล่านี้มี ๒๙ สิกขาบท เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่จิต  และเกิดแต่ทวารทั้ง ๓ ทุกๆ สิกขาบทรวมทั้งกฐินสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน.  กฐินสมุฏฐาน จบ

เอฬกโลมสมุฏฐาน 
     [๘๓๒] สิกขาบทว่าด้วยขนเจียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนร่วมกัน ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยเตียงเท้าเสียบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันอาหารในโรงทาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันอาหารเป็นหมู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันอาหารในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันอาหารที่ทำการสั่งสม ๑ สิกขาบทว่าด้วยรับประเคน
ไม้ชำระฟัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้อาหารแก่อเจลก ๑ สิกขาบทว่าด้วยไปดูเสนาอันยกออกไปแล้ว ๑ สิกขาบทว่าด้วยอยู่ในกองทัพ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไปสู่สนามรบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยดื่มสุรา ๑ สิกขาบทว่าด้วยยังไม่ถึงกึ่งเดือนอาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำจีวรใหม่ให้เสียสี ๑ ปาฏิเทสนียะ ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบท
ว่าด้วยภิกษุณีฉันกระเทียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเข้าไปปฏิบัติภิกษุผู้กำลังฉัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไปดูฟ้อนรำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเปลือยกายอาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ๒ รูปใช้ผ้าปูนอนและผ้าห่มผืนเดียวกันนอนด้วยกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี ๒ รูป นอนเตียงเดียวกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วย
ภิกษุณีไม่มีพวกเที่ยวจาริกภายในแว่นแคว้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่มีพวกเที่ยวจาริกภายนอกแว่นแคว้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีหลีกไปสู่จาริกภายในพรรษา ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไปดูโรงละคร ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สอยเก้าอี้นอน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีกรอด้าย ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณี
ช่วยทำธุระของคฤหัสถ์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีให้ของเคี้ยวด้วยมือของตนแก่ชาวบ้านเป็นต้น ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้ร่ม ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไปด้วยยาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้เครื่องประดับเอว ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้เครื่องประดับสำหรับ
สตรี ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอาบน้ำ ปรุงเครื่องประเทืองผิว ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีอาบน้ำปรุงกำยานเป็นเครื่องอบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้ภิกษุณีนวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สิกขมานานวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สามเณรีนวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีใช้สตรีคฤหัสถ์นวด ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีผู้เข้าบ้านไม่มีผ้ารัดถันต้องอาบัติ ๑
       รวมเป็น ๔๔ สิกขาบท เกิดแต่กาย มิใช่วาจากับจิต เกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจาทุกๆ สิกขาบท รวมทั้งเอฬกโลมสิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เสมอกัน.  เอฬกโลมสมุฏฐาน จบ

ปทโสธัมมสมุฏฐาน
   [๘๓๓] สิกขาบทว่าด้วยสอนธรรมแก่อนุปสัมบันว่าพร้อมกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยแสดงธรรมแก่มาตุคาม ยิ่งกว่า ๕-๖ คำ เว้นแต่มีบุรุษผู้รู้เดียงสา ๑ สิกขาบทว่าด้วยยังไม่ได้รับสมมติสั่งสอนภิกษุณี ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุได้รับสมมติแล้วสอนภิกษุณีเมื่อพระอาทิตย์อัสดงคตแล้ว ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีเรียน
และบอกติรัจฉานวิชา ๒ สิกขาบท ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีไม่ขอโอกาสก่อนถามปัญหา ๑ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๗ สิกขาบท เกิดแต่วาจา มิใช่กายและจิต เกิดแต่วาจากับจิต แต่มิใช่เกิดแต่กาย ทุกๆ สิกขาบท มีสมุฏฐาน ๒ เหมือนปทโสธัมมสมุฏฐาน ฉะนั้น.  ปทโสธัมมสมุฏฐาน จบ

อัทธานสมุฏฐาน
   [๘๓๔] สิกขาบทว่าด้วยชักชวนภิกษุณีเดินทางไกล ๑ สิกขาบทว่าด้วยชักชวนภิกษุณีลงเรือลำเดียวกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอโภชนะอันประณีต ๑ สิกขาบทว่าด้วยชักชวนมาตุคามเดินทางด้วยกัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีถอนขนในที่แคบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีขอข้าวเปลือก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับ
นิมนต์แล้วฉันภัตตาหาร ๑ ปาฏิเทสนียะของภิกษุณี ๘ สิกขาบท ๑ สิกขาบทเหล่านี้ร่วม ๑๕ สิกขาบท เกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต เกิดแต่กายกับวาจามิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่กายกับจิต มิใช่เกิดแต่วาจา เกิดแต่กายวาจาและจิต เป็น ๔ สมุฏฐาน
พระพุทธเจ้าผู้มีพระญาณ ทรงบัญญัติว่า มีวินัยเสมอกับอัทธานสมุฏฐาน.  อัทธานสมุฏฐาน จบ

เถยยสัตถสมุฏฐาน
   [๘๓๕] สิกขาบทว่าด้วยชักชวนพวกเกวียนผู้เป็นโจรเดินทางร่วม ๑ สิกขาบทว่าด้วยยืนแอบฟัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอแกงและข้าวสุก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในเวลาค่ำคืน ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในโอกาสกำบัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในที่กลางแจ้ง ๑ สิกขาบทว่า
ด้วยภิกษุณียืนร่วมกับบุรุษในตรอกตัน ๑ รวมสิกขาบทเหล่านี้ ๗ สิกขาบทเกิดแต่กายกับจิต มิใช่เกิดแต่วาจา เกิดแต่ทวาร ๓ สิกขาบทเหล่านี้ มีสมุฏฐาน ๒ พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ ได้ทรงแสดงแล้วว่า เหมือนเถยยสัตถสมุฏฐาน.  เถยยสัตถสมุฏฐาน จบ

ค้นหาหนังTHE TYRANT (2024) (SEASON 1)
|2024|HD THAI เดอะไทแรนต์ พ.ศ. 2567 ‧ แอคชั่น ‧ 1 ซีซัน : 7.4/10 · IMDb
เรื่องราวสุดระทึกขวัญ เมื่อทางรัฐบาลเกาหลีที่ต้องการพัฒนาโครงการลับ เพื่อเป็นการกระตุ้นขีดจำกัดและความสามารถของมนุษย์ชาติ แต่ทว่าเมื่อโครงการลับดัง
กล่าวได้ถูกเปิดโปร่งโดยฝีมือของหน่วยสืบราชการลับของสหรัฐอเมริกา ทำให้โครงการดังกล่าวได้ถูกสั่งปิดและนำตัวอย่างสารทั้งหมดไปกำจัดทันที แต่ทว่าระหว่างการขนส่งสารอันตรายนั้น ได้มีกลุ่มคนร้ายโจมตีเพื่อแย่งชิงสารนั้นไป
ทำให้ภารกิจนี้กลายเป็นภารกิจใหญ่ระหว่างสหรัฐอเมริกาและรัฐบาลเกาหลี ทั้งสองฝ่ายต้องร่วมมือกันเพื่อไม่ให้สารร้ายนั้นตกไปอยู่ในมือของคนชั่ว
THE TYRANT (2024) (SEASON 1)
ธัมมเทสนาสมุฏฐาน [๘๓๖] พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมไม่แสดงธรรมแก่คนมีร่มในมือ ๑ มีไม้พลองใน มือ ๑ มีศาตราในมือ ๑ มีอาวุธในมือ ๑ สวมเขียงเท้า ๑ สวมรองเท้า ๑ ไปในยาน ๑ อยู่ บนที่นอน ๑ นั่งรัดเข่า ๑ โพกศีรษะ ๑ คลุมศีรษะ ๑ รวมเป็น ๑๑ สิกขาบท พอดี เกิดแต่ วาจากับจิต มิใช่เกิดแต่กาย ทุกๆ สิกขาบทมีสมุฏฐานอันหนึ่งเสมอกับธัมมเทสนาสมุฏฐาน. ธัมมเทสนาสมุฏฐาน จบ ภูตาโรจนสมุฏฐาน [๘๓๗] สิกขาบทว่าด้วยบอกอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง เกิดแต่กาย มิใช่เกิดแต่วาจา มิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่วาจา มิใช่เกิดแต่กาย และมิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่เกิด แต่จิต ชื่อว่าภูตาโรจนสมุฏฐาน ย่อมเกิดแต่สมุฏฐาน ๓. ภูตาโรจนสมุฏฐาน จบ โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐาน [๘๓๘] สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีรับหญิงโจรให้บวช เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่เกิดแต่ กาย และเกิดโดยทวารทั้ง ๓ โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐานนี้ พระพุทธเจ้าผู้ธรรมราชาทรงตั้งไว้ว่า มี สมุฏฐาน ๒ ไม่ซ้ำกัน. โจรีวุฏฐาปนสมุฏฐาน จบ อนนุญาตสมุฏฐาน [๘๓๙] สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีบวชสตรีที่มารดาบิดา หรือสามีมิได้อนุญาต เกิดแต่ วาจา มิใช่เกิดแต่กาย และมิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่กายกับวาจา มิใช่เกิดแต่จิต เกิดแต่วาจากับจิต มิใช่เกิดแต่กาย เกิดแต่กายวาจาจิต ๓ สถาน จึงมีสมุฏฐาน ๔ ไม่ซ้ำกัน. อนนุญาตสมุฏฐาน จบ [๘๔๐] ก็สมุฏฐาน ๑๓ ทรงแสดงไว้ดีแล้วโดยย่อๆ เป็นเหตุทำความไม่หลง อนุโลม แก่ธรรมที่เป็นแบบ วิญญูชนเมื่อทรงจำสมุฏฐานนี้ไว้ได้ ย่อมไม่หลงในสมุฏฐานแล. ย่อหัวข้อสมุฏฐาน จบ
อรรถกถา ปริวาร ย่อหัวข้อสมุฏฐาน สมุฏฐานสีสวัณณนา
             
วิกิพีเดีย 폭군 (드라마대한민국의 시리즈 The Tyrantเป็นซีรีส์เกาหลีใต้แนว แอคชั่น
 นิยาย วิทยาศาสตร์แฟนตาซี ซึ่งออกฉายทาง Disney+ ในเดือนสิงหาคม 2024 เป็นผลงานภาคแยก
             จอมทรราช
         ประเภทแอ็คชั่น, นิยายวิทยาศาสตร์, แฟนตาซี
         ประเทศที่ออกอากาศธงสาธารณรัฐเกาหลี เกาหลี
         ช่องทางการออกอากาศดิสนีย์+
         ระยะเวลาออกอากาศวันที่ 14 สิงหาคม 2567
         จำนวนการออกอากาศซีรี่ส์ 4 ตอน
    บริษัทผู้ผลิตบริษัทภาพยนตร์ Geumwol, Studio & New ผลิต จองฮยอนจู
การผลิตปาร์ค ฮุนจอง สคริปต์ปาร์ค ฮุนจอง
เรื่องราวของกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่รวมตัวกันเพื่อคว้าตัวอย่างสุดท้ายของ 'โปรแกรมทรราช' หลังจากที่มันหายไปในอุบัติเหตุการขนส่ง และพวกเขาก็ไล่ล่ากันไปมาเพื่อจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน       คิมจูฮอน  : ผู้กำกับ ซา   ลี กี-ยอง  : ลี กี- ยอง
      มูจินซอง  : สถานียอนโมยอง   จัสติน ฮาร์วีย์  : คร็อกโคไดล์ 1
      ควอนฮยอก  : จระเข้ 2   ปาร์คฮยองซู  : ผู้จัดการโช
      อีซึงคยอง: ฮันกอม   ชเว จองวู  : ศาสตราจารย์ โนห์
      จาง ยองนัม  : คุณนายกวาน   อีซองมิน  : รับบทเป็น มิสเตอร์แช 
      ยุนแดยอล: ผู้ลักพาตัว 2   .

เชิงอรรถ

    1.  คุณจะเห็นชื่อจริงของนักแสดงสลักเป็นอักษรจีนบนแผ่นชื่อที่ปรากฏในตอนที่ 3