Translate

05 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๕ ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น ว่าด้วยองค์คุณของพระวินัยธร ว่าด้วยภิกษุอยู่ป่าเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยอาบัติเป็นต้น
   [๙๗๙] อาบัติมี ๕ กองอาบัติมี ๕ วินีตวัตถุมี ๕. อนันตริยกรรมมี ๕. บุคคลที่แน่นอนมี ๕ อาบัติมีการตัดเป็นวินัยกรรมมี ๕ ต้องอาบัติด้วยอาการ ๕ อาบัติมี ๕ เพราะมุสาวาทเป็นปัจจัย.
   ภิกษุไม่เข้ากรรมด้วยอาการ ๕ คือ ตนเองไม่ทำกรรม ๑ ไม่เชิญภิกษุอื่น ๑ ไม่ให้ฉันทะหรือปาริสุทธิ ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมย่อมคัดค้าน ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมเสร็จแล้ว เห็นว่าไม่เป็นธรรม ๑.
   ภิกษุเข้ากรรมด้วยอาการ ๕ คือ ตนเองทำกรรม ๑ เชิญภิกษุอื่น ๑ ให้ฉันทะหรือปาริสุทธิ ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรม ไม่คัดค้าน ๑ เมื่อสงฆ์ทำกรรมเสร็จแล้ว เห็นว่าเป็นธรรม ๑
   ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาต กิจ ๕ อย่างควร คือไม่บอกลาเที่ยวไป ๑ ฉันเป็นหมู่ได้ ๑ ฉันโภชนะทีหลังได้ ๑ ความไม่ต้องคำนึง ๑ ความไม่ต้องกำหนดหมาย ๑
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ จะเป็นภิกษุเลวทรามก็ดี จะเป็นภิกษุมีธรรมอันไม่กำเริบก็ดี ย่อมถูกระแวง ถูกรังเกียจ คือ มีหญิงแพศยาเป็นโคจร ๑ มีหญิงหม้ายเป็นโคจร ๑ มีสาวเทื้อเป็นโคจร ๑ มีบัณเฑาะก์เป็นโคจร ๑ มีภิกษุณีเป็นโคจร ๑.
   น้ำมันมี ๕ คือ น้ำมันงา ๑ น้ำมันเมล็ดพันธุ์ ผักกาด ๑ น้ำมันมะทราง ๑ น้ำมันละหุ่ง ๑ น้ำมันเปลวสัตว์ ๑.
   น้ำมันเปลวสัตว์หมี ๕ คือ น้ำมันเปลวหมี ๑ น้ำมันเปลวปลา ๑ น้ำมันเปลวปลาฉลาม ๑ น้ำมันเปลวหมู ๑ น้ำมันเปลวลา ๑.
   ความเสื่อมมี ๕ คือ ความเสื่อมญาติ ๑ ความเสื่อมโภคสมบัติ ๑ ความเสื่อม คือ โรค ๑ ความเสื่อมศีล ๑ ความเสื่อมทางทิฏฐิ คือ เห็นผิด ๑.
   ความถึงพร้อมมี ๕ คือ ความถึงพร้อมแห่งญาติ ๑ ความถึงพร้อมแห่งโภคสมบัติ ๑ ความถึงพร้อมแห่งความไม่มีโรค ๑ ความถึงพร้อมแห่งศีล ๑ ความถึงพร้อมแห่งความเห็นชอบ.
   นิสัยระงับจากพระอุปัชฌาย์มี ๕ คือ พระอุปัชฌาย์หลีกไป ๑ สึก ๑ ถึงมรณภาพ ๑ ไปเข้ารีตเดียรถีย์ ๑  สั่งบังคับ ๑.
   บุคคล ๕ จำพวกไม่ควรให้อุปสมบท คือ มีกาลบกพร่อง ๑ มีอวัยวะบกพร่อง ๑ มีวัตถุวิบัติ ๑ มีความกระทำเสียหาย ๑ ไม่บริบูรณ์ ๑.
   ผ้าบังสุกุลมี ๕ คือ ผ้าตกที่ป่าช้า ๑ ผ้าตกที่ตลาด ๑ ผ้าหนูกัด ๑ ผ้าปลวกกัด ๑ ผ้าถูกไฟไหม้ ๑.
   ผ้าบังสุกุลแม้อื่นอีก ๕ คือ ผ้าที่วัวกัด ๑ ผ้าที่แพะกัด ๑ ผ้าที่ห่มสถูป ๑ ผ้าที่เขาทิ้งในที่อภิเษก ๑ ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมา ๑.
   อวหารมี ๕ คือ เถยยาวหาร ๑ ปสัยหาวหาร ๑ ปริกัปปาวหาร ๑ ปฏิจฉันนาวหาร ๑ กุสาวหาร ๑.
       มหาโจรที่มีปรากฏอยู่ในโลก มี ๕.
       ภัณฑะที่ไม่ควรจ่าย มี ๕.
       ภัณฑะที่ไม่ควรแบ่ง มี ๕.
   อาบัติที่เกิดแต่กาย มิใช่วาจา มิใช่จิต มี ๕.
   อาบัติที่เกิดแต่กายและวาจา มิใช่จิต มี ๕.
       อาบัติที่เป็นเทสนาคามินี มี ๕.
       สงฆ์ มี ๕ ปาติโมกขุเทศ มี ๕.
   ในชนบทชายแดนทุกแห่ง คณะมีพระวินัยธรเป็นที่ ๕ ให้กุลบุตรอุปสมบทได้.
   การกรานกฐินมีอานิสงส์ ๕ กรรม มี ๕.
       อาบัติที่เป็นยาวตติยกา มี ๕.
       ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติปาราชิก.
       ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
       ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่ผู้อื่นไม่ให้ ด้วยอาการ ๕ ต้องอาบัติทุกกฏ.
       ภิกษุไม่ควรบริโภคอกัปปิยวัตถุ ๕ คือ ของที่เขาไม่ให้ ๑ ไม่ทราบ ๑ เป็นอกัปปิยะ ๑ ยังไม่ได้รับประเคน ๑ ไม่ทำให้เป็นเดน ๑.
       ภิกษุควรบริโภคกัปปิยวัตถุ ๕ คือ ของที่เขาให้ ๑ ทราบแล้ว ๑ เป็นกัปปิยะ ๑ รับประเคนแล้ว ๑ ทำให้เป็นเดน ๑.

       การให้ไม่จัดเป็นบุญ แต่โลกสมมติว่าเป็นบุญมี ๕ คือ ให้น้ำเมา ๑ ให้มหรสพ ๑ ให้สตรี ๑ ให้โคผู้ ๑ ให้จิตรกรรม ๑.
   สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว บรรเทาได้ยากมี ๕ คือ ราคะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ โทสะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ โมหะบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ ปฏิภาณบังเกิดแล้วบรรเทาได้ยาก ๑ จิตที่คิดจะไปบังเกิดแล้ว บรรเทาได้ยาก ๑.
   การกวาดมีอานิสงส์ ๕ คือ จิตของตนเลื่อมใส ๑ จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๑ เทวดาชื่นชม ๑ สั่งสมกรรมที่เป็นไปเพื่อให้เกิดความเลื่อมใส ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ๑.
   การกวาดมีอานิสงส์แม้อื่นอีก ๕ คือ จิตของตนเลื่อมใส ๑ จิตของผู้อื่นเลื่อมใส ๑ เทวดาชื่นชม ๑ เป็นอันทำตามคำสั่งสอนของพระศาสดา ๑ ชุมชนมีในภายหลังถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑.
ว่าด้วยองค์คุณของพระวินัยธร
   [๙๘๐] พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ ไม่กำหนดถ้อยคำของตน ไม่กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ย่อมปรับอาบัติโดยไม่เป็นธรรม ๑ ย่อมปรับอาบัติไม่ตามปฏิญญา ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตน ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่น ๑ กำหนดที่สุดถ้อยคำของตนทั้งกำหนดที่สุดถ้อยคำของผู้อื่นแล้วปรับอาบัติ ๑ ย่อมปรับอาบัติตามธรรม ๑ ย่อมปรับอาบัติตามปฏิญญา ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลาคือ ไม่รู้จักอาบัติ ๑ ไม่รู้จักมูลของอาบัติ ๑ ไม่รู้จักเหตุเกิดอาบัติ ๑ ไม่รู้จักการระงับอาบัติ ๑ ไม่รู้จักทางระงับอาบัติ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติ ๑ รู้จักมูลของอาบัติ ๑ รู้จักเหตุเกิดอาบัติ  ๑ รู้จักการระงับอาบัติ ๑ รู้จักทางระงับอาบัติ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักมูลของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักเหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักความระงับของอธิกรณ์ ๑ ไม่รู้จักข้อปฏิบัติอันให้ถึงความระงับแห่งอธิกรณ์ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอธิกรณ์ ๑ รู้จักมูลของอธิกรณ์ ๑ รู้จักเหตุเหตุเกิดของอธิกรณ์ ๑ รู้จักความระงับของอธิกรณ์ ๑ รู้จักข้อปฏิบัติอันให้ถึงความระงับแห่งอธิกรณ์ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักวัตถุ ๑ ไม่รู้จักเหตุเค้ามูล ๑ ไม่รู้จักบัญญัติ ๑ ไม่รู้จักอนุบัญญัติ ๑ ไม่รู้จักทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักวัตถุ ๑ รู้จักเหตุเป็นเค้ามูล ๑ รู้จักบัญญัติ ๑ รู้จักอนุบัญญัติ ๑ รู้จักทางแห่งถ้อยคำอันเข้าอนุสนธิกันได้ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักญัตติ ๑ ไม่รู้จักตั้งญัตติ ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ไม่ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ ไม่รู้จักกาล ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักญัตติ ๑ รู้จักตั้งญัตติ ๑ ฉลาดในเบื้องต้น ๑ ฉลาดในเบื้องปลาย ๑ รู้จักกาล ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑  ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑  ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ยึดถือ ไม่ใส่ใจ ไม่ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ให้ดี ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ยึดถือ ใส่ใจ ใคร่ครวญถ้อยคำที่สืบต่อจากอาจารย์ด้วยดี ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑  ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑  ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้โดยพิสดาร จำแนกไม่ถูกต้อง สวดไม่คล่องแคล่ว วินิจฉัยไม่ถูกต้อง โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ จำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกถูกต้อง สวดได้คล่องแคล่ว วินิจฉัยถูกต้องดี โดยสูตร โดยอนุพยัญชนะ ๑
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ นับว่าเป็นผู้เขลา คือ ไม่รู้จักอาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ไม่ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
   พระวินัยธรประกอบด้วยองค์ ๕ นับว่าเป็นผู้ฉลาด คือ รู้จักอาบัติและไม่ใช่อาบัติ ๑ รู้จักอาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้จักอาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้จักอาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ ฉลาดในการวินิจฉัยอธิกรณ์ ๑.
ว่าด้วยภิกษุอยู่ป่าเป็นต้น
   [๙๘๑] ภิกษุผู้ถืออยู่ป่ามี ๕ คือ เพราะเป็นผู้เขลา เพราะเป็นผู้งมงาย จึงอยู่ป่า ๑ เป็นผู้ปรารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ จึงอยู่ป่า ๑ เพราะมัวเมา เพราะจิตฟุ้งซ่านจึงอยู่ป่า ๑ เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า พระสาวกของพระพุทธเจ้าสรรเสริญ จึงอยู่ป่า ๑ เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ
ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติตามนี้ จึงอยู่ป่า ๑.
       ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตมี ๕.
       ภิกษุผู้ถือผ้าบังสุกุลมี ๕.
       ภิกษุผู้ถืออยู่โคนไม้มี ๕.
       ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าช้ามี ๕.
       ภิกษุผู้ถืออยู่กลางแจ้งมี ๕.
       ภิกษุผู้ถือผ้าสามผืนมี ๕.
       ภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับมี ๕.
       ภิกษุผู้ถือการนั่งมี ๕.
       ภิกษุผู้ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้มี ๕.
       ภิกษุผู้ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียวมี ๕.
 ภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรที่เขานำมาถวายเมื่อภายหลังมี ๕.
 ภิกษุผู้ถือการฉันเฉพาะในบาตรมี ๕ คือ เพราะเป็นผู้เขลา เพราะเป็นผู้งมงาย จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เป็นผู้ปวารถนาลามก ถูกความปรารถนาครอบงำ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะมัวเมา เพราะจิตฟุ้งซ่าน จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะเข้าใจว่า พระพุทธเจ้า และพระสาวกของพระพุทธเจ้า
สรรเสริญ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑ เพราะอาศัยความมักน้อย สันโดษ ขัดเกลา ความเงียบสงัด และเพราะอาศัยความเป็นแห่งการฉันเฉพาะในบาตรมีประโยชน์ด้วยความปฏิบัติตามนี้ จึงถือการฉันเฉพาะในบาตร ๑.
ว่าด้วยองค์ของภิกษุผู้ต้องถือนิสัย
   [๙๘๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อุโบสถ ๑ ไม่รู้อุโบสถกรรม  ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อุโบสถ ๑ รู้อุโบสถกรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
    ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้ปวารณา ๑ ไม่รู้ปวารณากรรม ๑  ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ  ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้ปวารณา ๑ รู้ปวารณากรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
    ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ  ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้อุโบสถ ๑ ไม่รู้อุโบสถกรรม  ๑ ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อุโบสถ ๑ รู้อุโบสถกรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ ไม่รู้ปวารณา ๑ ไม่รู้ปวารณากรรม ๑  ไม่รู้ปาติโมกข์ ๑ ไม่รู้ปาติโมกขุทเทศ  ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัย คือ รู้ปวารณา ๑ รู้ปวารณากรรม ๑ รู้ปาติโมกข์ ๑ รู้ปาติโมกขุทเทศ ๑ มีพรรษา ๕ หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๕ จะไม่ถือนิสัยอยู่ไม่ได้ คือ  ไม่รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ไม่รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ ไม่รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ ไม่รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาหย่อนห้า ๑.
    ภิกษุณีประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสัยอยู่ คือ รู้อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ รู้อาบัติเบาและอาบัติหนัก ๑ รู้อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ รู้อาบัติชั่วหยาบและอาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ มีพรรษาห้า หรือมีพรรษาเกินห้า ๑.
โทษในกรรมไม่น่าเลื่อมใสเป็นต้น
   [๙๘๓] กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใสมีโทษ  ๕ คือ ตนเองก็ติเตียนตน ๑ ผู้รู้ทั้งหลายใคร่ครวญแล้วก็ติเตียน ๑ กิตติศัพท์อันทรามย่อมขจรไป ๑ หลงใหลทำกาละ ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก  ย่อยเข้าถึงอบาย ทุคคติ วินิบาต นรก ๑.
   กรรมที่น่าเลื่อมใสมีคุณ ๕ คือ ตนเองก็ไม่ติเตียนตน ๑ ผู้รู้ทั้งหลายใคร่ครวญแล้วก็สรรเสริญ ๑ กิตติศัพท์อันดีย่อมขจรไป ๑ ไม่หลงใหลทำกาละ ๑ เบื้องหน้าแต่ตายเพราะกายแตก ย่อมเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ ๑.
   กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใส มีโทษแม้อื่นอีก ๕ คือ ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสย่อมไม่เลื่อมใส ๑ คนบางพวกที่เลื่อมใสแล้วย่อมเป็นอย่างอื่นไป ๑ เขาไม่เป็นอันทำคำสอนของพระศาสดา ๑ หมู่ชนมีในภายหลังย่อมถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑ จิตของเขาไม่เลื่อมใส ๑.
   กรรมที่น่าเลื่อมใสมีคุณ ๕ คือ ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสย่อมเลื่อมใส ๑ ผู้ที่เลื่อมใสแล้วย่อมเลื่อมใสยิ่งขึ้นไป ๑ เขาเป็นอันทำคำสอนของพระศาสดา ๑ หมู่ชนมีในภายหลังย่อมถือเป็นทิฏฐานุคติ ๑ จิตของเขาย่อมเลื่อมใส ๑.
   ภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูลมีโทษ ๕ คือ ต้องอาบัติเพราะไม่บอกลาเที่ยวไป ๑ ต้องอาบัติเพราะนั่งในที่ลับ ๑ ต้องอาบัติเพราะอาสนะกำบัง ๑ แสดงธรรมแก่มาตุคามด้วยวาจาเกิน ๕-๖ คำต้องอาบัติ ๑ เป็นผู้มากด้วยความดำริในกามอยู่ ๑.
   ภิกษุผู้เข้าไปสู่ตระกูล คลุกคลีอยู่ในตระกูลเกินเวลา มีโทษ ๕ คือ เห็นมาตุคามเนืองๆ ๑ เมื่อมีการเห็นก็มีการเกี่ยวข้อง ๑ เมื่อมีการเกี่ยวข้องก็ต้องคุ้นเคย ๑ เมื่อมีความคุ้นเคยก็มีจิตกำหนัด ๑ เมื่อมีจิตกำหนัดก็หวังข้อนี้ได้ คือ เธอจักไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์ หรือจักต้องอาบัติที่เศร้าหมองอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือจักบอกลาสิกขาเวียนมาเพื่อเป็นคฤหัสถ์ ๑.
ว่าด้วยพืชและผลไม้
   [๙๘๔] พืชมี ๕ ชนิด คือ พืชเกิดจากเหง้า  ๑ พืชเกิดจากต้น ๑ พืชเกิดจากข้อ ๑ พืชเกิดจากยอด ๑ พืชเกิดจากเมล็ด ๑.
   ผลไม้ที่ควรบริโภคด้วยวิธีอันควรแก่สมณะมี ๕ คือ จี้ด้วยไฟ ๑ กรีดด้วยศาสตรา ๑. จิกด้วยเล็บ ๑ ไม่มีเมล็ด ๑ เขาปล้อนเมล็ดออกแล้วเป็นที่ห้า ๑.
ว่าด้วยวิสุทธิ ๕
   [๙๘๕] วิสุทธิมี ๕ คือ ภิกษุแสดงนิทานแล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๑
   แสดงนิทาน แสดงปาราชิก ๔ แล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๒
   แสดงนิทาน แสดงปาราชิก  ๔ แสดงสังฆาทิเสส ๑๓ แล้ว นอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๓
   แสดงนิทาน แสดงปาราชิก  ๔ แสดงสังฆาทิเสส ๑๓ แสดงอนิยต ๒ แล้วนอกนั้นพึงสวดด้วยสุตบท นี้เป็นวิสุทธิข้อที่ ๔
   สวดโดยพิสดารอย่างเดียว เป็นวิสุทธิข้อที่ ๕.
   วิสุทธิแม้อื่นอีก ๕ คือ สุตตุทเทศ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ  ๑ สามัคคีอุโบสถ ๑ ปวารณาเป็นที่ห้า ๑.
ว่าด้วยอานิสงส์การทรงวินัยเป็นต้น
   [๙๘๖] การทรงวินัยมีอานิสงส์ ๕ คือ กองศีลของตนเป็นอันคุ้มครองรักษาดีแล้ว ๑ ผู้ที่ถูกความรังเกียจครอบงำย่อมหวนระลึกได้ ๑ กล้าพูดในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ข่มด้วยดีซึ่งข้าศึก โดยสหธรรม ๑ เป็นผู้ปฏิบัติเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑.
       การงดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม มี ๕
       การงดปาติโมกข์เป็นธรรม มี ๕.
หมวด ๕ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๘๗] อาบัติ ๑ กองอาบัติ ๑ วินีตวัตถุ ๑ อนันตริยกรรม ๑ บุคคล ๑ อาบัติมีอันตัดเป็นวินัยกรรม ๑ ต้องอาบัติ ๑ ปัจจัย ๑ ไม่เข้ากรรม ๑ เข้ากรรม ๑ กิจควร ๑ ภิกษุถูกระแวง  ๑ น้ำมัน ๑ เปลวมัน ๑ ความเสื่อม  ๑ ความเจริญ ๑ ความระงับ ๑ บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๑ ผ้าบังสุกุลที่ตก ณ ป่าช้า ๑
ผ้าบังสุกุลที่โคกัด ๑ การลัก ๑ โจร ๑ สิ่งของไม่ควรจ่าย ๑ สิ่งของไม่ควรแบ่ง ๑ อาบัติเกิดแต่กาย ๑ เกิดแต่กายและวาจา ๑ เป็นเทสนาคามินี
๑ สงฆ์ ๑ ปาติโมกขุทเทศ ๑ ปัจจันติมชนบท ๑ อานิสงส์กฐิน ๑ กรรม ๑ อาบัติเป็นยาวตติยกา ๑  ปาราชิก ๑ ถุลลัจจัย  ๑ ทุกกฏ ๑ ของเป็นอกัปปิยะ ๑ ของเป็นกัปปิยะ  ๑
สิ่งที่ให้แล้วไม่เป็นบุญ ๑ สิ่งที่บรรเทาได้ยาก ๑ การกวาด ๑ การกวาดอย่างอื่นอีก ๑ ถ้อยคำ ๑ อาบัติ ๑ อธิกรณ์ ๑ วัตถุ ๑ ญัตติ  ๑ อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ ปาติโมกข์ทั้งสอง ๑ อาบัติเบา
และอาบัติเป็นที่แปด ๑ จงทราบฝ่ายดำและฝ่ายขาวดังข้างต้นนี้ อยู่ป่า ๑ ถือเที่ยวบิณฑบาต ๑ ทรงผ้าบังสุกุล ๑ อยู่โคนไม้ ๑ อยู่ป่าช้า ๑ อยู่ที่แจ้ง ๑ ทรงผ้า ๓ ผืน ๑
ถือเที่ยวบิณฑบาตตามลำดับแถว ๑ ถือการนั่ง ๑ ถืออยู่ในเสนาสนะตามที่จัดไว้ ๑ ถือนั่งฉัน ณ อาสนะแห่งเดียว ๑ ถือการห้ามภัตรที่ถวายทีหลัง ๑ ถือฉันข้าวในบาตร ๑ อุโบสถ ๑
ปวารณา ๑ อาบัติและมิใช่อาบัติ ๑ บทฝ่ายดำและฝ่ายขาวดังข้างต้นนี้ สำหรับภิกษุณีก็เหมือนกัน กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใส ๑ กรรมที่น่าเลื่อมใส ๑
กรรมที่ไม่น่าเลื่อมใสและน่าเลื่อมใสอื่นอีก ๒ อย่าง ๑ ภิกษุเข้าไปสู่สกุล ๑ ภิกษุคลุกคลีอยู่เกินเวลา ๑ พืช ๑ ผลไม้ควรแก่สมณะ ๑ วิสุทธิ ๑ วิสุทธิแม้อื่นอีก ๑ อานิสงส์
การทรงพระวินัย ๑  งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรม ๑ งดปาติโมกข์เป็นธรรม ๖ หมวดห้าล้วนที่กล่าวแล้ว จบ
                            หัวข้อประจำหมวด ๕ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๕  [พรรณนาหมวด ๕]วินิจฉัยในหมวด ๕ พึงทราบดังนี้ :-.  
        ข้อว่า ปญฺจ ปุคฺคลา นิยตา นี้ บ่งถึงบุคคลผู้ทำอนันตริยกรรมนั่นเอง. 
         ขึ้นชื่อว่าอาบัติ มีการตัดเป็นวินัยกรรม ๕ พึงทราบในเพราะเตียงตั่งและผ้าปูนั่ง ผ้าปิดฝี ผ้าอาบน้ำฝนและสุคตจีวร ซึ่งเกินประมาณ. 
         บทว่า ปญฺจหากาเรหิ มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ด้วยอาการ ๕ เหล่านี้ คือ ความเป็นผู้ไม่ละอาย ความไม่รู้ ความเป็นผู้สงสัยแล้วขืนทำ
ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าควรในของที่ไม่ควร ความเป็นผู้มีความสำคัญว่าไม่ควรในของที่ควร. 
         ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย มุสาวาทปจฺจยา ได้แก่ ปาราชิก ถุลลัจจัย ทุกกฏ สังฆาทิเสส และปาจิตตีย์. 
         บทว่า อนามนฺตจาโร ได้แก่ ความไม่มีแห่งการต้องบอกลาจึงเทียวไปนี้ว่า ภิกษุไม่บอกลาภิกษุซึ่งมีอยู่ ถึงความเป็นผู้เที่ยวไปในสกุลทั้งหลายก่อนฉันก็ดี ทีหลังฉันก็ดี. 
         บทว่า อนธิฏฺฐานํ มีความว่า การฉันต้องคำนึงถึงสมัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เว้นไว้แต่สมัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะฉันเป็นหมู่ ชื่อว่าความคำนึง.
         การที่ไม่ต้องทำอย่างนั้น ชื่อว่าความไม่ต้องคำนึง. 
         ความหมายอันใด ในโภชนะทีหลัง อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว, การที่ไม่ต้องทำความหมายอันนั้น ชื่อว่าความไม่ต้องหมาย.
         จริงอยู่ ๕ วัตถุนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามแล้วด้วยธุดงค์ของภิกษุผู้ถือเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตรนั่นเอง. 
         บทว่า อุสฺสงฺกิตปริสงฺกิโต มีความว่า เป็นผู้อันภิกษุทั้งหลายผู้ได้เห็นได้ฟัง ระแวงแล้วและรังเกียจแล้ว. 
         อีกอย่างหนึ่ง ภิกษุแม้เป็นพระขีณาสพ ผู้มีอันไม่กำเริบเป็นธรรมดา ก็เป็นผู้ถูกระแวงถูกรังเกียจ. เพราะเหตุนั้น อโคจรทั้งหลาย อันภิกษุพึงเว้น.
         จริงอยู่ ภิกษุผู้ปรากฏเสมอในอโคจรเหล่านั้น ย่อมไม่พ้นจากความเสื่อมยศ หรือจากความติเตียน.
                              [ว่าด้วยผ้าบังสุกุลเป็นอาทิ]
               บทว่า โสสานิกํ ได้แก่ ผ้าที่ตกที่ป่าช้า. 
               บทว่า อาปณิกํ ได้แก่ ผ้าที่ตกที่ประตูตลาด. 
               บทว่า ถูปจีวรํ ได้แก่ ผ้าที่เขาห่มจอมปลวกทำพลีกรรม. 
               บทว่า อภิเสกิกํ ได้แก่ จีวรที่เขาทิ้งที่สถานที่อาบน้ำ หรือที่สถานที่อภิเษกของพระราชา. 
               บทว่า คตปฏิยาคตํ ได้แก่ ผ้าที่เขานำไปสู่ป่าช้าแล้วนำกลับมาอีก. 
               มหาโจร ๕ จำพวก ได้กล่าวแล้วในอุตริมนุสธัมมสิกขาบท.๑- 
               ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย กายโต สมุฏฺฐหนฺติ มีความว่า ภิกษุต้องอาบัติ ๕ ด้วยสมุฏฐานแห่งอาบัติที่ ๑ ได้แก่ อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ใน
อันตรเปยยาลอย่างนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่าควรทำกุฏีด้วยการขอเขาเอง. 
               ข้อว่า ปญฺจาปตฺติโย กายโต จ วาจโต จ มีความว่า ภิกษุย่อมต้องอาบัติ ๕ ด้วยสมุฏฐานแห่งอาบัติที่ ๓ คือ ย่อมต้องอาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้
ในอันตรเปยยาลนั้นแลอย่างนี้ว่า ภิกษุมีความสำคัญว่าควร ชักชวนกันทำกุฎี ดังนี้. 
               บทว่า เทสนาคามินิโย มีความว่า เว้นปาราชิกและสังฆาทิเสสเสีย ได้แก่อาบัติที่เหลือ. 
               สองบทว่า ปญฺจ กมฺมานิ ได้แก่ กรรม ๕ คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรมและปฏิสารณียกรรมรวม ๔ และอุกเขปนียกรรมทั้ง ๓ อย่าง ๑. 
               สองบทว่า ยาวตติยเก ปญฺจ ได้แก่ อาบัติ ๓ คือ ปาราชิก ถุลลัจจัย ทุกกฏของภิกษุณีผู้ประพฤติตามภิกษุผู้อันสงฆ์ยกวัตร ผู้ไม่ยอมสละ เพราะสมนุภาสน์
เพียงครั้งที่ ๓ สังฆาทิเสส เพราะสมนุภาสน์ในเภทกานุวัตตกสิกขาบทเป็นต้น. ปาจิตตีย์ เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก. 
               บทว่า อทินฺนํ ได้แก่ ของที่ผู้อื่นไม่ประเคน. 
               บทว่า อวิทิตํ ได้แก่ ชื่อว่าไม่ทราบ เพราะไม่มีเจตนาว่า เรารับประเคน. 
               บทว่า อกปฺปิยํ ได้แก่ ของที่ไม่ได้ทำให้ควร ด้วยสมณกัปปะ ๕. ก็หรือว่าเนื้อที่ไม่ควร โภชนะที่ไม่ควร แม้อื่น ก็ชื่อว่าของไม่ควร. 
               บทว่า อกตาติริตฺตํ ได้แก่ ของภิกษุห้ามโภชนะแล้ว ไม่ได้ทำให้เป็นเดน. 
               บทว่า สมชฺชทานํ ได้แก่ การให้มหรสพคือฟ้อนเป็นต้น. 
               บทว่า อุสภทานํ ได้แก่ การปล่อยโคผู้ในภายในแห่งฝูงโค. 
               บทว่า จิตตกมฺมทานํ มีความว่า การที่ให้สร้างอาวาสแล้วทำจิตรกรรมในอาวาสนั้น สมควร.
               แต่คำว่า จิตฺตกมฺมทานํ นี้ท่านกล่าวหมายเอาการให้จิตรกรรมที่เป็นลายรูปภาพ. 
               จริงอยู่ ทาน ๕ อย่างนี้ โลกสมมติกันว่าเป็นบุญก็จริง แต่ที่แท้ หาเป็นบุญไม่ คือเป็นอกุศลนั่นเอง. 
               ความเป็นผู้ใคร่เพื่อจะพูด เรียกว่าปฏิภาณ ในคำว่า อุปฺปนฺนํ ปฏิภาณํ นี้.
               ความว่า ธรรม ๕ อย่างนี้อันบุคคลบรรเทาได้ยาก เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าบรรเทาได้ไม่ง่าย.
               แต่บุคคลอาจบรรเทาได้ด้วยเหตุที่เป็นอุบาย คือด้วยการพิจารณาและพร่ำสอนเป็นต้น ที่เหมาะกัน.
                               ๑- มหาวิภังค์ ๑/๑๖๙.
                              [อานิสงส์แห่งการกวาด]
               ใน ๒ บทว่า สกจิตฺตํ ปสีทติ นี้ มีเรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์. 
               ได้ยินว่า พระปุสสเทวเถระ ผู้อยู่ที่กาฬันทกาฬวิหาร กวาดลานเจดีย์ ทำอุตรางสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง แลดูลานเจดีย์ซึ่งเกลี่ยทรายไว้เรียบร้อย ราวกะลาดด้วยดอก
ย่างทราย ให้เกิดปีติและปราโมทย์มีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ได้ยืนอยู่แล้ว. ในขณะนั้น มารได้จำแลงเป็นลิงดำเกิดแล้วที่เชิงเขา เรี่ยรายโคมัยไว้เกลื่อนที่ลานเจดีย์ ไปแล้ว.
พระเถระไม่ได้อาจเพื่อบรรลุพระอรหัต, กวาดแล้ว ได้ไปเสีย. แม้ในวันที่ ๒ มาร ได้จำแลงเป็นโคแก่ กระทำประการแปลกเช่นนั้นนั่นแล. ในวันที่ ๓
ได้นิรมิตอัตภาพเป็นมนุษย์ มีเท้าเก เดินเอาเท้าคุ้ยรอบไป. 
               พระเถระคิดว่า บุรุษแปลกเช่นนี้ ไม่มีในโคจรคามประมาณโยชน์หนึ่งโดยรอบ นี่คงเป็นมารแน่ละ จึงกล่าวว่า เจ้าเป็นมารหรือ?.
               มารตอบว่า ถูกละผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นมาร บัดนี้ไม่ได้อาจเพื่อจะลวงท่านละ.
               พระเถระถามว่า ท่านเคยเห็นพระตถาคตหรือ?. 
               มารตอบว่า แน่ละเคยเห็น
               พระเถระกล่าวว่า ธรรมดามารย่อมเป็นผู้มีอานุภาพใหญ่ เชิญท่านนิรมิตอัตภาพให้คล้ายอัตภาพของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก่อน.
               มารกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่สามารถนิรมิตรูปเช่นนั้น ผู้เจริญ แต่เอาเถอะ
ข้าพเจ้าจักนิมิตรูปเทียมที่จะพึงเห็นคล้ายรูปนั้น ดังนี้แล้วได้จำแลงเพศของตนตั้งอยู่ด้วยอัตภาพคล้ายพระรูปของพระพุทธเจ้า.
               พระเถระแลดูมารแล้วคิดว่า มารนี้ มีราคะ โทสะ โมหะ ยังงามถึงเพียงนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงงามอย่างไรหนอ?
               เพราะว่า พระองค์ปราศจากราคะ โทสะ โมหะ โดยประการทั้งปวง ดังนี้แล้ว ได้ปีติมีพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ เจริญวิปัสสนาบรรลุพระอรหัตแล้ว.
               มารกล่าวว่า ผู้เจริญ ข้าพเจ้าถูกท่านลวงแล้ว. ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า มารแก่ จะมีประโยชน์อะไรที่เราจะลวงคนเช่นท่าน. 
               ภิกษุหนุ่มชื่อทัตตะ แม้ในโลกันตรวิหาร กวาดลานเจดีย์แล้วแลดู ได้โอทาตกสิณ, ยังสมาบัติ ๘ ให้เกิดแล้ว, ภายหลังเจริญวิปัสสนา กระทำให้แจ้งซึ่งผล ๓. 
               ใน ๒ บทว่า ปรจิตฺตํ ปสีทติ นี้ มีเรื่องเหล่านี้เป็นอุทาหรณ์. 
               ภิกษุหนุ่มชื่อติสสะ กวาดลานเจดีย์ใกล้ท่าชัมพุโกละแล้ว ได้เอามือถือตะกร้าเทหยากเยื่อเที่ยวยืนอยู่.
               ในขณะนั้น พระเถระชื่อติสสทัตตะลงจากเรือ แลดูลานเจดีย์ ทราบว่า เป็นสถานที่เธอผู้มีจิตอบรมแล้วกวาดไว้ จึงถามปัญหาตั้งพันนัย. ฝ่ายพระติสสะแก้ได้ทั้งหมด. 
               พระเถระในวิหารแม้บางตำบล กวาดลานเจดีย์แล้ว ทำวัตรเสร็จ. พระเถระ ๔ รูปผู้ไหว้เจดีย์มาจากโยนกประเทศ เห็นลานเจดีย์แล้ว ไม่เข้าข้างใน ยืนอยู่ที่ประตูนั่นเอง.
               พระเถระรูปหนึ่งตามระลึกได้ ๘ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๑๖ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๒๐ กัป รูปหนึ่งตามระลึกได้ ๓๐ กัป. 
               ในคำว่า เทวตา อตฺตมนา โหนฺติ นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. 
               ได้ยินว่า ภิกษุรูปหนึ่ง ในวิหารตำบล ๑ กวาดลานเจดีย์และลานโพธิ์แล้ว ไปอาบน้ำ.
               เทพดาทั้งหลายมีจิตเลื่อมใสว่า ตั้งแต่กาลที่สร้างวิหารนี้มา ไม่มีภิกษุที่เคยบำเพ็ญวัตรกวาดอย่างนี้ จึงพากันมา ได้ยืนถือดอกไม้อยู่ในมือ.
               พระเถระมาแล้วกล่าวว่า พวกท่านเป็นชาวบ้านไหน? เทพดาจึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญ พวกข้าพเจ้าอยู่ที่นี่เอง เลื่อมใสในวัตรของท่านว่า
ตั้งแต่กาลที่สร้างวิหารนี้มา ไม่มีภิกษุที่เคยบำเพ็ญวัตรกวาดอย่างนี้ จึงยืนถือดอกไม้อยู่ในมือ. 
               ในบทว่า ปสาทิกสํวตฺตนิยํ นี้ มีเรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์. 
               ได้ยินว่า ถ้อยคำนี้ปรารภบุตรอมาตย์คนหนึ่งและพระอภัยเถระ เกิดขึ้นว่า บุตรอมาตย์จะเป็นผู้น่าเลื่อมใส หรือว่าพระอภัยเถระจะเป็นผู้น่าเลื่อมใสหนอ?
               ญาติทั้งหลายพูดกันว่า เราทั้งหลายจักแลดูชนทั้ง ๒ นั้นในที่เดียวกัน จึงแต่งตัวบุตรอมาตย์แล้วได้พากันไปด้วยความคิดว่า จักให้ไหว้พระมหาเจดีย์.
               ฝ่ายมารดาของพระเถระ ให้ทำจีวรมีราคาบาทหนึ่ง๑- ส่งไปให้บุตรด้วยสั่งว่า บุตรของเราจงให้ปลงผมแล้วห่มจีวรนี้ มีภิกษุสงฆ์แวดล้อมจงไหว้พระมหาเจดีย์.
               บุตรอมาตย์มีญาติห้อมล้อมขึ้นสู่ลานเจดีย์ ทางประตูด้านปราจีน.
               พระอภัยเถระมีภิกษุสงฆ์แวดล้อม ขึ้นสู่ลานเจดีย์ทางประตูด้านทักษิณ มาพบกับบุตรอมาตย์นั้นที่ลานเจดีย์ จึงกล่าวว่า ผู้มีอายุ ท่านเทหยากเยื่อในที่ซึ่ง
พระมหัลลกเถระได้กวาดไว้จะจับคู่แข่งกับเราหรือ? ได้ยินว่า ในอัตภาพที่ล่วงไปแล้วพระอภัยเถระเป็นพระมหัลลกเถระ ได้กวาดลานเจดีย์ที่กาชรคาม.
               บุตรอมาตย์เป็นมหาอุบาสก ถือหยากเยื่อไปเทในที่ซึ่งท่านกวาดไว้. 
               หลายบทว่า สตฺถุ สาสนํ กตํ โหติ มีความว่า ชื่อว่า วัตรคือการกวาดนี้ อันพระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงสรรเสริญ. 
               เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้ทำวัตรคือการกวาดนั้น จึงเป็นอันได้ทำตามคำสอนของพระศาสดา. เรื่องต่อไปนี้ เป็นอุทาหรณ์ในข้อนั้น. 
               ได้ยินว่า พระสารีบุตรไปสู่หิมวันตประเทศ ไม่กวาดก่อนนั่งเข้านิโรธที่เงื้อมตำบลหนึ่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงระลึกถึง ก็ทรงทราบความที่พระเถระไม่กวาดก่อนนั่ง
จึงเสด็จมาทางอากาศทรงแสดงรอยพระบาทไว้ในที่ซึ่งมิได้กวาดข้างหน้าพระเถระแล้วเสด็จกลับ.
               พระเถระออกจากสมาบัติแล้ว เห็นรอยพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ประจงตั้งไว้ซึ่งความละอายและและความเกรงกลัวอย่างแรงกล้า คุกเข่าลงคิดว่า พระ
ศาสดาได้ทรงทราบความที่เราไม่กวาดก่อนนั่งแล้วหนอ บัดนี้เราจักขอให้พระองค์ทรงทำการทักท้วงในท่ามกลางสงฆ์ ไปสู่สำนักของพระทศพล
ถวายบังคมแล้วนั่ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอไปไหน? สารีบุตร แล้วตรัสว่า บัดนี้ การที่ไม่กวาดก่อนนั่ง ไม่สมควรแก่เธอ ผู้ตั้งอยู่ในตำแหน่ง
เป็นรองถัดเราไป.  จำเดิมแต่นั้นมา พระเถระเมื่อยืน แม้ในสถานที่ปลดลูกดุม ได้เอาเท้าเขี่ยหยากเยื่อแล้วจึงยืน. 
                              ๑- บาลีบางฉบับเป็น ปาสทิกํ แปลว่า น่าเลื่อมใสก็มี.
                              [ว่าด้วยองค์ของพระวินัยธร]
   หลายบทว่า อตฺตโน ภาสปริยนฺตํ น อุคฺคณฺหาติ มีความว่า ไม่กำหนดที่สุดแห่งถ้อยคำของตน อย่างนี้ว่า ในคดีนี้ ได้สูตรเท่านี้ ได้วินิจฉัยเท่านี้ เราจักกล่าวสูตรและวินิจฉัยเท่านี้. 
   แต่เมื่อไม่กำหนดอย่างนี้ว่า นี้เป็นคำต้น นี้เป็นคำหลังของโจทก์ นี้เป็นคำต้น นี้เป็นคำหลังของจำเลย ในคำของโจทก์และจำเลยนี้ คำที่ควรเชื่อถือเท่านี้ คำที่ไม่ควรเชื่อถือเท่านี้
   ชื่อว่า ไม่กำหนดที่สุดแห่งถ้อยคำของผู้อื่น. 
               สองบทว่า อาปตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักความทำต่างกันแห่งอาบัติ ๗ กองว่า ปาราชิกหรือสังฆาทิเสส เป็นต้น. 
               บทว่า มูลํ มีความว่า มูลของอาบัติมี ๒ คือ กายและวาจา ไม่รู้จักมูล ๒ นั้น. 
               บทว่า สมุทยํ มีความว่า สมุฏฐานแห่งอาบัติ ๖ ชื่อว่าเหตุเกิดของอาบัติ ไม่รู้จักเหตุของอาบัติ ๖ นั้น. มีคำอธิบายว่า ไม่รู้จักวัตถุของอาบัติมีปาราชิกเป็นต้นบ้าง. 
               บทว่า นิโรธํ มีความว่า ไม่รู้จักเหตุดับของอาบัติอย่างนี้ว่า อาบัตินี้ย่อมดับคือย่อมระงับด้วยการแสดง อาบัตินี้ด้วยการอยู่กรรม.
               อนึ่ง เมื่อไม่รู้จักสมถะ ๗ ชื่อว่าไม่รู้จักข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับแห่งอาบัติ. 
               วินิจฉัยในหมวด ๕ แห่งอธิกรณ์ พึงทราบดังนี้ :- 
   ความว่า ไม่รู้วิภาคนี้ คือ อธิกรณ์ ๔ ชื่อว่าอธิกรณ์. มูล ๓๓ ชื่อว่ามูลแห่งอธิกรณ์. วิวาทาธิกรณ์มีมูล ๑๒. อนุวาทาธิกรณ์มีมูล ๑๔. อาปัตตาธิกรณ์มีมูล ๖.
   กิจจาธิกรณ์มีมูล ๑. มูลเหล่านั้นจักมีแจ้งข้างหน้า. 
   สมุฏฐานแห่งอธิกรณ์ ชื่อว่าเหตุเกิดแห่งอธิกรณ์. วิวาทาธิกรณ์อาศัยเภทกรวัตถุ ๑๘ เกิดขึ้น อนุวาทาธิกรณ์อาศัยวิบัติ ๔ เกิดขึ้น อาปัตตาธิกรณ์อาศัยกองอาบัติ ๗
   เกิดขึ้น กิจจาธิกรณ์อาศัยสังฆกิจ ๔ อย่างเกิดขึ้น. 
               สองบทว่า อธิกรณนิโรธํ น ชานาติ มีความว่า ไม่อาจเพื่อจะหยั่งถึงเค้าเงื่อนจากเค้าเงื่อน ให้วินิจฉัยถึงความระงับโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา. 
               อนึ่ง เมื่อไม่รู้จักสมถะ ๗ อย่างนี้ว่า อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๒ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๔ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๓ อธิกรณ์นี้ระงับด้วยสมถะ ๑
               ชื่อว่าไม่รู้จักข้อปฏิบัติเป็นทางให้ถึงความดับแห่งอธิกรณ์. 
               สองบทว่า วตฺถุํ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักวัตถุแห่งอาบัติ ๗ กองอย่างนี้ว่า นี้เป็นวัตถุแห่งปาราชิก นี้เป็นวัตถุแห่งสังฆาทิเสส. 
               บทว่า นิทานํ ได้แก่ ไม่รู้ว่า สิกขาบทนี้ทรงบัญญัติแล้วในนครนี้ บรรดานครทั้งหลาย ๗ สิกขาบทนี้ ทรงบัญญัติในนครนี้. 
               สองบทว่า ปญฺญตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ผู้ไม่รู้จักบัญญัติแรกในสิกขาบทนั้นๆ. 
5.3/10 · IMDb Vina: Sebelum 7 Hari Film ‧ 2567 BE ‧ 1 hr 40 min
วีนา คืนบาป สาปจากหลุม 2024 ‧ Horror/Drama ‧ 1 ชั่วมง 40 นาที
|HD THAI 
ดูหนังออนไลน์ Vina Before 7 Days วีนา คืนบาป สาปจากหลุม (2024)
วีนา คืนบาป สาปจากหลุม วีน่า หญิงสาวผู้ตกเป็นเหยื่อ
ของความโหดร้าย โดยแก๊งนักซิ่งของเมืองซิเรบอน ปฏิเสธ
ที่จะยอมรับว่าความตายของเธอเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ จึง
ทำให้วิญญาณของเธอเริ่มออกตามหาความจริงในช่วงเวลา
7 วันก่อนที่จะเกิดเหตุดังกล่าวขึ้น ว่าเบื้องหลังของมัน คืออะไรกันแน่
เล่นหลักดูหนังไม่ได้ ลองกดตัวเล่นอื่น ตัวเล่นหลัก  แจ้งปัญหา

บทว่า อนุปญฺญตฺตึ ได้แก่ ไม่รู้จักบัญญัติเพิ่มเติม. บทว่า อนุสนฺธิวจนปถํ ได้แก่ ไม่รู้จักเพื่อจะกล่าวด้วยอำนาจความสืบเนื่องกัน แห่งถ้อยคำ และความสืบเนื่องกันแห่งวินิจฉัย. สองบทว่า ญตฺตึ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักญัตติทุกๆ อย่าง. หลายบทว่า ญตฺติยา กรณํ น ชานาติ มีความว่า ไม่รู้จักกิจที่จะพึงทำด้วยญัตติ. ชื่อว่าญัตติกรรม ย่อมใช้ใน ๙ สถาน มีโอสารณาเป็นต้น. ไม่รู้ว่า เป็นผู้เข้ากรรมแล้วด้วยญัตติ ในญัตติทุติยกรรมและญัตติจตุตถกรรม. หลายบทว่า น ปุพฺพกุสโล โหติ น อปรกุสโล มีความว่า ไม่รู้จักคำที่จะพึงสวดก่อน และคำที่จะพึงสวดทีหลังบ้าง, ไม่รู้ว่า ธรรมดาญัตติต้องตั้งก่อน ไม่ควรตั้งทีหลัง บ้าง. สองบทว่า อกาลญฺญู จ โหติ มีความว่า ไม่รู้จักเวลา คือไม่ได้รับเผดียง ไม่ได้รับเชิญ ก็สวด คือไม่รู้จักทั้งกาลญัตติ ทั้งเขตญัตติ ทั้งโอกาสแห่งญัตติ. [ว่าด้วยภิกษุผู้อยู่ป่า] สองบทว่า มนฺทตฺตา โมมูหตฺตา ได้แก่ ไม่รู้จักอานิสงส์ในธุดงค์ เพราะ เป็นคนงมงายด้วยไม่รู้ทั่วทุกๆ อย่าง. บทว่า ปาปิจฺโฉ ได้แก่ ปรารถนาปัจจัยลาภ ด้วยการอยู่ป่านั้น. บทว่า ปวิเวกํ ได้แก่ กายวิเวก จิตตวิเวก อุปธิวิเวก. บทว่า อิทมฏฺฐิตํ มีวิเคราะห์ว่า ประโยชน์แห่งการอยู่ป่านั้น ย่อมมีด้วยปฏิบัติงามนี้ เพราะเหตุนั้น การอยู่ป่านั้น ชื่อว่า อิทมฏฺฐิ (มีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้). ความเป็นแห่งการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้ ชื่อว่า อิทมฏฺฐิตา, อาศัยการอยู่ป่ามีประโยชน์ด้วยการปฏิบัติงามนี้นั่นแล. อธิบายว่า ไม่อิงโลกามิสน้อยหนึ่งอื่น. [ว่าด้วยองค์ของภิกษุผู้ต้องถือนิสัย] สองบทว่า อุโปสถํ น ชานาติ ได้แก่ ไม่รู้จักอุโบสถ ๙ อย่าง. บทว่า อุโปสถกมฺมํ ได้แก่ ไม่รู้จักอุโบสถกรรม ๔ อย่าง ต่างโดยชนิดมีเป็นวรรคโดยอธรรมเป็นต้น. บทว่า ปาฏิโมกฺขํ ได้แก่ ไม่รู้จักมาติกา ๒ อย่าง. บทว่า ปาฏิโมกฺขุทฺเทสํ ได้แก่ ไม่รู้จักปาฏิโมกขุทเทส ๙ อย่างแม้ทั้งหมด. บทว่า ปวารณํ ได้แก่ ไม่รู้จักปวารณา ๙ อย่าง. ปวารณากรรมคล้ายกับอุโบสถกรรมนั่นแล. [วินิจฉัยในอปาสาทิกปัญจกะ] วินิจฉัยในอปาสาทิกปัญจกะ พึงทราบดังนี้ :- อกุศลกรรมมีกายทุจริตเป็นต้น เรียกว่ากรรมไม่น่าเลื่อมใส. กุศลกรรมมีกายสุจริตเป็นต้น เรียกว่ากรรมน่าเลื่อมใส. บทว่า อติเวลํ มีความว่า คลุกคลีอยู่ในสกุลทั้งหลายเกินเวลา คือสิ้นกาลมากกว่า อยู่ในวิหารน้อย. การที่กิเลสทั้งหลายหยั่งลงในภายใน ชื่อว่าช่อง. บทว่า สงฺกิลิฏฺฐํ ได้แก่ อาบัติต่างโดยชนิดในเพราะทุฏฐุลลวาจาและอาบัติในเพราะกายสังสัคคะเป็นอาทิ. วินิจฉัยในวิสุทธิปัญจกะ พึงทราบดังนี้ :- ปวารณาทั้ง ๙ อย่าง พึงทราบโดยปวารณาศัพท์. บทที่เหลือในที่ทั้งปวง ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล. พรรณนาหมวด ๕ จบ.

04 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๔ ว่าด้วยการต้องและออกจากอาบัติเป็นต้น ว่าด้วยอนริยโวหารเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยการต้องและออกจากอาบัติเป็นต้น
   [๙๖๕] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจาของตน ออกด้วยวาจาของผู้อื่น
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจาของผู้อื่น ออกด้วยวาจาของตน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจาของตน ออกด้วยวาจาของตน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจาของผู้อื่น ออกด้วยวาจาของผู้อื่น.
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยกาย ออกด้วยวาจา
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจา ออกด้วยกาย
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยกาย ออกด้วยกาย
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยวาจา ออกด้วยวาจา.
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุหลับแล้ว จึงต้อง ตื่นแล้ว จึงออก
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุตื่นแล้ว จึงต้อง หลับแล้ว จึงออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุหลับแล้ว จึงต้อง หลับแล้ว จึงออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุตื่นแล้ว จึงต้อง ตื่นแล้ว จึงออก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ตั้งใจ จึงต้อง ตั้งใจ จึงออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุตั้งใจ จึงต้อง ไม่ตั้งใจ จึงออก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ตั้งใจ จึงต้อง ไม่ตั้งใจ จึงออก
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุตั้งใจ จึงต้อง ตั้งใจ จึงออก.
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องอยู่ จึงแสดง แสดงอยู่ จึงต้อง
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องอยู่ จึงออก ออกอยู่ จึงต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยกรรม ออกด้วยสิ่งมิใช่กรรม
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยสิ่งมิใช่กรรม ออกด้วยกรรม
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยกรรม ออกด้วยกรรม
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องด้วยสิ่งมิใช่กรรม ออกด้วยสิ่งมิใช่กรรม.
ว่าด้วยอนริยโวหารเป็นต้น
   [๙๖๖] โวหารอันไม่ประเสริฐ มี ๔ คือ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่เห็นว่าเห็น ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่ได้ยินว่าได้ยิน ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่ทราบว่าทราบ ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่รู้ ว่ารู้ ๑.
   โวหารอันประเสริฐ มี ๔ คือ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่เห็นว่าไม่เห็น ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่ได้ยินว่าไม่ได้ยิน ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่ทราบว่าไม่ทราบ ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ไม่รู้ว่า ไม่รู้ ๑.
   โวหารอันไม่ประเสริฐแม้อื่นอีก ๔ คือ ความกล่าวในสิ่งที่เห็นว่าไม่เห็น ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ได้ยินว่าไม่ได้ยิน ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ทราบว่าไม่ทราบ ๑ ความกล่าวในสิ่งที่รู้ว่า ไม่รู้ ๑.
   โวหารอันประเสริฐ มี ๔ คือ ความกล่าวในสิ่งที่เห็นว่าเห็น ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ได้ยินว่าได้ยิน ๑ ความกล่าวในสิ่งที่ทราบว่าทราบ ๑ ความกล่าวในสิ่งที่รู้ว่ารู้ ๑.
    ปาราชิกของภิกษุ ทั่วไปกับภิกษุณี มี ๔.
    ปาราชิกของภิกษุณี ไม่ทั่วไปกับภิกษุ มี ๔.
    บริขารมี ๔ คือ มีอยู่ บริขารควรรักษา คุ้มครอง นับว่าเป็นสมบัติของเรา ควรใช้สอย ๑ มีอยู่ บริขารควรรักษา คุ้มครอง แต่ไม่นับว่าเป็นสมบัติของเรา ควรใช้สอย ๑ มีอยู่บริขารควรรักษา คุ้มครอง แต่ไม่นับว่าเป็นสมบัติของเรา ไม่ควรใช้สอย ๑ มีอยู่ บริขารไม่ควรรักษา ไม่ควรคุ้มครอง ไม่นับว่าเป็นสมบัติของเรา ไม่ควรใช้สอย ๑.
ว่าด้วยการต้องและออกจากอาบัติเป็นต้น
[๙๖๗] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องต่อหน้า ออกลับหลัง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องลับหลัง ออกต่อหน้า
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องต่อหน้า ออกต่อหน้า
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องลับหลัง ออกลับหลัง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่รู้อยู่ จึงต้อง รู้อยู่ จึงออก
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุรู้อยู่ จึงต้อง ไม่รู้อยู่ จึงออก
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุรู้อยู่ จึงต้อง รู้อยู่ จึงออก
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่รู้อยู่ จึงต้อง ไม่รู้อยู่ จึงออก.
ว่าด้วยการอาบัติเป็นต้น
   [๙๖๘] ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๔ คือ ต้องด้วยกาย ๑ ต้องด้วยวาจา ๑ ต้องด้วยกายและวาจา ๑ ต้องด้วยกรรมวาจา ๑.
   ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๔ คือ ในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ในท่ามกลางคณะ ๑ ในสำนักบุคคล ๑ เพราะเพศเปลี่ยนแปลง ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการ ๔ คือ ออกด้วยกาย ๑ ออกด้วยวาจา ๑ ออกด้วยกายด้วยวาจา ๑ ออกด้วยกรรมวาจา ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๔ คือ ในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ในท่ามกลางคณะ ๑ ในสำนักบุคคล ๑ เพราะเพศเปลี่ยนแปลง ๑.
   ภิกษุละเพศอันเดิม  ตั้งอยู่ในเพศสตรี อันเกิด ณ ภายหลังพร้อมกับการได้เพศใหม่ วิญญัติย่อมระงับไป บัญญัติย่อมดับไป.
   ภิกษุณีละเพศสตรีอันเป็นเพศเดิม ตั้งอยู่ในเพศบุรุษอันเกิด ณ ภายหลังพร้อมกับการได้เพศใหม่ วิญญัติย่อมระงับไป บัญญัติย่อมดับไป.
   การโจทมี ๔ คือ โจทด้วยศีลวิบัติ ๑ โจทด้วยอาจารวิบัติ ๑ โจทด้วยทิฏฐิวิบัติ ๑ โจทด้วยอาชีววิบัติ ๑.
   ปริวาสมี ๔ คือ ปฏิจฉันนปริวาส ๑ อัปปฏิจฉันนปริวาส ๑ สุทธันตปริวาส ๑ สโมธานปริวาส ๑.
   มานัตมี ๔ คือ ปฏิจฉันนมานัต ๑ อัปปฏิจฉันนมานัต ๑ ปักขมานัต ๑ สโมธานมานัต ๑.
   รัตติเฉทของมานัตตจาริกภิกษุมี ๔ คือ อยู่ร่วม ๑  อยู่ปราศ ๑ ไม่บอก ๑ ประพฤติในคณะอันหย่อน ๑.
 พระบัญญัติที่ทรงยกขึ้นแสดงเองมี ๔.
   ของที่รับประเคนไว้ฉันมี ๔ คือ ยาวกาลิก ๑ ยามกาลิก ๑ สัตตาหกาลิก ๑ ยาวชีวิก ๑.
 ยามหาวิกัฏมี ๔ คือ คูถ ๑ มูตร ๑ เถ้า ๑ ดิน ๑.
   กรรมมี ๔ คือ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑.
   กรรมแม้อื่นอีก ๔ คือ กรรมเป็นวรรคโดยอธรรม ๑ กรรมพร้อมเพรียงโดยอธรรม ๑ กรรมเป็นวรรคโดยธรรม ๑ กรรมพร้อมเพรียงโดยธรรม ๑.
   วิบัติมี ๔  คือ ศีลวิบัติ ๑ อาจารวิบัติ ๑ ทิฏฐิวิบัติ ๑ อาชีววิบัติ ๑.
   อธิกรณ์มี ๔ คือ วิวาทาธิกรณ์ ๑ อนุวาทาธิกรณ์ ๑ อาปัตตาธิกรณ์ ๑ กิจจาธิกรณ์ ๑.
   ผู้ประทุษร้ายบริษัทมี ๔ คือ ภิกษุผู้ทุศีล มีธรรมทราม เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ๑ ภิกษุณีผู้ทุศีล มีธรรมทราม เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ๑ อุบาสกผู้ทุศีล มีธรรมทราม เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ๑ อุบาสิกาผู้ทุศีล มีธรรมทราม เป็นผู้ประทุษร้ายบริษัท ๑.
   ผู้งามในบริษัทมี ๔ คือ ภิกษุผู้มีศีล มีธรรมงาม เป็นผู้งามในบริษัท ๑ ภิกษุณีผู้มีศีล มีธรรมงาม เป็นผู้งามในบริษัท ๑ อุบาสกผู้มีศีล มีธรรมงาม เป็นผู้งามในบริษัท ๑ อุบาสิกาผู้มีศีล มีธรรมงาม เป็นผู้งามในบริษัท ๑.
ว่าด้วยพระอาคันตุกะเป็นต้น
   [๙๖๙] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาคันตุกะต้อง ภิกษุเจ้าถิ่น ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเจ้าถิ่นต้อง ภิกษุอาคันตุกะ ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาคันตุกะและภิกษุเจ้าถิ่น  ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาคันตุกะ และภิกษุเจ้าถิ่น ไม่ต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุผู้เตรียมไป ต้อง ภิกษุเจ้าถิ่น  ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเจ้าถิ่น ต้อง ภิกษุผู้เตรียมไป ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุผู้เตรียมไป และภิกษุเจ้าถิ่น  ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุผู้เตรียมไป และภิกษุเจ้าถิ่น ไม่ต้อง.
ว่าด้วยสิกขาบทมีวัตถุต่างกันเป็นต้น
   [๙๗๐] ความที่สิกขาบท มีวัตถุต่างกัน มีอยู่ ความที่สิกขาบทมีอาบัติต่างกัน ไม่มี
   ความที่สิกขาบทมีอาบัติต่างกันมีอยู่ ความที่สิกขาบทมีวัตถุต่างกัน ไม่มี
   ความที่สิกขาบทมีวัตถุต่างกัน และมีอาบัติต่างกัน มีอยู่
   ความที่สิกขาบทมีวัตถุต่างกัน และมีอาบัติต่างกัน ไม่มีเลย.
   ความที่สิกขาบทมีวัตถุเป็นสภาคกัน มีอยู่ ความที่สิกขาบทมีอาบัติเป็นสภาคกัน ไม่มี
   ความที่สิกขาบทมีอาบัติเป็นสภาคกัน มีอยู่ ความที่สิกขาบทมีวัตถุเป็นสภาคกัน ไม่มี
   ความที่สิกขาบทมีวัตถุเป็นสภาคกัน และมีอาบัติเป็นสภาคกัน มีอยู่
   ความที่สิกขาบทมีวัตถุเป็นสภาคกัน และมีอาบัติเป็นสภาคกัน ไม่มีเลย.
ว่าด้วยพระอุปัชฌาย์ต้องอาบัติเป็นต้น
   [๙๗๑] มีอยู่ อาบัติ พระอุปัชฌาย์ต้อง สัทธิวิหาริกไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ สัทธิวิหาริกต้อง พระอุปัชฌาย์ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก ต้อง
มีอยู่ อาบัติ พระอุปัชฌาย์และสัทธิวิหาริก ไม่ต้อง.
มีอยู่ อาบัติ พระอาจารย์ต้อง อันเตวาสิกไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ อันเตวาสิกต้อง พระอาจารย์ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ พระอาจารย์และอันเตวาสิกต้อง
มีอยู่ อาบัติ พระอาจารย์และอันเตวาสิกไม่ต้อง.
ว่าด้วยปัจจัยแห่งการขาดพรรษาเป็นต้น
   [๙๗๒] การขาดพรรษาไม่ต้องอาบัติมีปัจจัย ๔ คือ สงฆ์แตกกัน ๑ มีพวกภิกษุประสงค์จะทำลายสงฆ์ ๑ มีอันตรายแก่ชีวิต ๑ มีอันตรายแก่พรหมจรรย์ ๑.
   วจีทุจริตมี ๔ คือ พูดเท็จ ๑ พูดส่อเสียด ๑ พูดคำหยาบ ๑ พูดเพ้อเจ้อ ๑.
   วจีสุจริตมี ๔ คือ พูดจริง ๑ พูดไม่ส่อเสียด ๑ พูดคำสุภาพ ๑ พูดพอประมาณ ๑.
ว่าด้วยถือเอาทรัพย์เป็นต้น
   [๙๗๓] มีอยู่ ภิกษุถือเอาทรัพย์เอง ต้องอาบัติหนัก ใช้ผู้อื่น ต้องอาบัติเบา
   มีอยู่ ภิกษุถือเอาทรัพย์เอง ต้องอาบัติเบา ใช้ผู้อื่น ต้องอาบัติหนัก
มีอยู่ ภิกษุถือเอาทรัพย์เองก็ดี ใช้ผู้อื่นก็ดี ต้องอาบัติหนัก
มีอยู่ ภิกษุถือเอาทรัพย์เองก็ดี ใช้ผู้อื่นก็ดี ต้องอาบัติเบา.
   มีอยู่ บุคคลควรอภิวาท แต่ไม่ควรลุกรับ
   มีอยู่ บุคคลควรลุกรับ แต่ไม่ควรอภิวาท
   มีอยู่ บุคคลควรอภิวาทและควรลุกรับ
   มีอยู่ บุคคลไม่ควรอภิวาทและไม่ควรลุกรับ.
   มีอยู่ บุคคลควรแก่อาสนะ แต่ไม่ควรอภิวาท
   มีอยู่ บุคคลควรอภิวาท แต่ไม่ควรแก่อาสนะ
   มีอยู่ บุคคลควรแก่อาสนะและอภิวาท
 มีอยู่ บุคคลไม่ควรแก่อาสนะและไม่ควรอภิวาท
ว่าด้วยต้องอาบัติในกาลเป็นต้น
[๙๗๔] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาล ไม่ต้องในเวลาวิกาล
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในเวลาวิกาล ไม่ต้องในกาล
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาลและในเวลาวิกาล
 มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ต้องในกาล และไม่ต้องในเวลาวิกาล.
    มีอยู่ กาลิกที่รับประเคนแล้ว ควรในกาล ไม่ควรในเวลาวิกาล
    มีอยู่ กาลิกที่รับประเคนแล้ว ควรในเวลาวิกาล ไม่ควรในกาล
    มีอยู่ กาลิกที่รับประเคนแล้ว ควรในกาลและในเวลาวิกาล
    มีอยู่ กาลิกที่รับประเคนแล้ว ไม่ควรในกาลและในเวลาวิกาล.
    มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในปัจจันติมชนบท ไม่ต้องในมัชฌิมชนบท
    มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในมัชฌิมชนบท ไม่ต้องในปัจจันติมชนบท
    มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในปัจจันติมชนบทและมัชฌิมชนบท
    มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ต้องในปัจจันติมชนบทและมัชฌิมชนบท.
    มีอยู่ วัตถุ ย่อมควรในปัจจันติมชนบท ไม่ควรในมัชฌิมชนบท
    มีอยู่ วัตถุ ย่อมควรในมัชฌิมชนบท ไม่ควรในปัจจันติมชนบท
    มีอยู่ วัตถุ ย่อมควรในปัจจันติมชนบทและมัชฌิมชนบท
    มีอยู่ วัตถุ ย่อมไม่ควรในปัจจันติมชนบทและมัชฌิมชนบท.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในภายใน ไม่ต้องในภายนอก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในภายนอก ไม่ต้องในภายใน
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายในและภายนอก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ต้องภายในและภายนอก.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายในสีมา ไม่ต้องภายนอกสีมา
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายนอกสีมา ไม่ต้องภายในสีมา
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายในสีมาและภายนอกสีมา
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ต้องภายในสีมาและภายนอกสีมา.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในบ้าน ไม่ต้องในป่า
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในป่า ไม่ต้องในบ้าน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในบ้านและในป่า
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่ต้องในบ้านและในป่า.
ว่าด้วยการโจทเป็นต้น
   [๙๗๕] การโจทมี ๔ คือ โจทชี้วัตถุ ๑ โจทชี้อาบัติ ๑ โจทห้ามสังวาส ๑ โจทห้ามสามีจิกรรม ๑.
       กิจเบื้องต้นมี ๔.
       ความพร้อมพรั่งถึงที่แล้วมี ๔.
       อาบัติปาจิตตีย์มีเหตุมิใช่อย่างอื่นมี ๔.
       สมมติภิกษุมี ๔.
   ถึงอคติมี ๔ คือ ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึง ภยาคติ ๑.
   ไม่ถึงอคติมี  ๔ คือ ไม่ถึงฉันทาคติ ๑ ไม่ถึงโทสาคติ ๑ ไม่ถึงโมหาคติ ๑ ไม่ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุอลัชชีประกอบด้วยองค์ ๔ ย่อมทำลายสงฆ์ คือ ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักประกอบด้วยองค์ ๔ ย่อมสมานสงฆ์ผู้แตกกันแล้วให้สามัคคี คือ ไม่ถึงฉันทาคติ ๑ ไม่ถึงโทสาคติ ๑ ไม่ถึงโมหาคติ ๑ ไม่ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ อันภิกษุไม่ควรถามวินัย คือ ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   อันภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ ไม่ควรถามวินัย คือ  ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ อันภิกษุไม่พึงตอบวินัย คือ  ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   อันภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ ไม่พึงตอบวินัย คือ  ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุประกอบองค์ ๔ ไม่พึงให้คำซักถามคือ  ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๔ ไม่พึงสนทนาวินัยด้วย คือ  ถึงฉันทาคติ ๑ ถึงโทสาคติ ๑ ถึงโมหาคติ ๑ ถึงภยาคติ ๑.
ว่าด้วยภิกษุอาพาธต้องอาบัติเป็นต้น
   [๙๗๖] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธต้อง ไม่อาพาธไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่อาพาธต้อง อาพาธ ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธก็ดี ไม่อาพาธก็ดี ย่อมต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธก็ดี ไม่อาพาธก็ดี ไม่ต้อง
ว่าด้วยงดปาติโมกข์
      [๙๗๗] งดปาติโมกข์ ไม่ประกอบด้วยธรรมมี ๔ งดปาติโมกข์ประกอบด้วยธรรมมี ๔.   หมวด ๔ จบ
หัวข้อประจำหมวด
   [๙๗๘] วาจาของตน ๑ กาย ๑ หลับ ๑ ไม่ตั้งใจ ๑ ต้องอาบัติ ๑ กรรม ๑ โวหาร ๔ อย่าง ๑ ปาราชิกของภิกษุ ๑ ปาราชิกของภิกษุณี ๑ บริขาร ๑ ต่อหน้า ๑ ไม่รู้ ๑ กาย ๑ ท่ามกลาง ๑ ออกจากอาบัติ ๒ อย่าง ๑ ได้เพศใหม่ ๑ โจท ๑ ปริวาส ๑ มานัต ๑ รัตติเฉทของมานัตต
จาริกภิกษุ ๑ พระบัญญัติที่ทรงยกขึ้นแสดงเอง ๑ กาลิกที่รับประเคน ๑ ยามหาวิกัฏ ๑ กรรม ๑ กรรมอีก ๑ วิบัติ ๑ อธิกรณ์ ๑ ทุศีล ๑ โสภณ ๑ อาคันตุกภิกษุ ๑ คมิกภิกษุ ๑ ความที่สิกขาบทมีวัตถุต่างกัน ๑ ความที่สิกขาบทเป็นสภาคกัน ๑ อุปัชฌาย์ ๑ อาจารย์ ๑ ปัจจัย ๑ วจีทุจริต ๑ วจีสุจริต ๑
ถือเอาทรัพย์ ๑ บุคคลควรอภิวาท ๑ บุคคลควรแก่อาสนะ ๑ กาล ๑ ควร ๑ ปัจจันติมชนบท ๑ ควรในปัจจันติมชนบท ๑ ภายใน ๑ ภายในสีมา ๑ บ้าน ๑ โจท ๑ กิจเบื้องต้น ๑ ความพร้อมพรั่งถึงที่แล้ว ๑ อาบัติปาจิตตีย์มีเหตุมิใช่อื่น ๑ สมมติ ๑ อคติ ๑ ไม่ถึงอคติ ๑ อลัชชี ๑ มีศีลเป็นที่รัก ๑
ควรถาม ๒ อย่าง ๑ ควรตอบ ๒ อย่าง ๑ ซักถาม ๑ สนทนา ๑ อาพาธ ๑ งดปาติโมกข์ ๑
หัวข้อประจำหมวด ๔ จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๔  
[พรรณนาหมวด ๔] [ว่าด้วยประเภทของอาบัติ]
   วินิจฉัยในหมวด๔ พึงทราบดังนี้ :-
   ข้อว่า สกวาจาย อาปชฺชติ ปรวาจาย วุฏฺฐาติ มีความว่า ภิกษุต้องอาบัติต่างโดยชนิดมีปทโสธัมมาบัติเป็นอาทิ เนื่องด้วยวจีทวาร ถึงสถานที่ระงับด้วยติณวัตถารกะแล้ว ย่อมออกด้วยกรรมวาจาของภิกษุอื่น. 
   ข้อว่า ปรวาจาย อาปชฺชติ สกวาจาย วุฏฺฐาติ มีความว่า ภิกษุต้องด้วยกรรมวาจาของภิกษุอื่น เพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก เมื่อแสดงในสำนักของบุคคล ชื่อว่าออกด้วยวาจาของตน. 
   ข้อว่า สกวาจาย อาปชฺชติ สกวาจาย วุฏฺฐาติ มีความว่า ภิกษุต้องอาบัติต่างโดยชนิดมีปทโสธัมมาบัติเป็นอาทิ เนื่องด้วยวจีทวารด้วยวาจาของตน แม้เมื่อแสดงแล้วออกเสียเอง ชื่อว่าออกด้วยวาจาของตน.
        ข้อว่า ปรวาจาย อาปชฺชติ ปรวาจาย วุฏฺฐาติ
 มีความว่า ภิกษุต้องสังฆาทิเสส มีสวดสมนุภาสน์เพียงครั้งที่ ๓ ด้วยกรรมวาจาของผู้อื่น แม้เมื่อออก
ชื่อว่าย่อมออกด้วยกรรมวาจามีปริวาสกัมมวาจาเป็นต้นของภิกษุอื่น. 
               วินิจฉัยในจตุกกะเหล่าอื่นจากปฐมจตุกกะนั้น พึงทราบดังนี้ :-
             ภิกษุต้องอาบัติที่เป็นไปทางกายทวาร ด้วยกาย เมื่อแสดงเสียชื่อว่าออกด้วยวาจา. 
               ต้องอาบัติที่เป็นไปทางวจีทวาร ด้วยวาจา ชื่อว่าย่อมออกด้วยกาย เพราะติณวัตถารกสมถะ. 
               ต้องอาบัติที่เป็นไปทางกายทวาร ด้วยกาย ชื่อว่าย่อมออกจากอาบัติที่เป็นไปทางกายทวารนั้นแล ด้วยกาย เพราะติณวัตถารกสมถะ. 
               ต้องอาบัติที่เป็นไปทางวจีทวาร ด้วยวาจา เมื่อแสดงอาบัตินั้นแลเสีย ชื่อว่าออกด้วยวาจา. 
               ภิกษุผู้หลับ ย่อมต้องอาบัติที่จะพึงต้องตามจำนวนแห่งขน เพราะกาย ถูกเตียงของสงฆ์ที่ไม่ลาดด้วยเครื่องลาดของตน และอาบัติที่จะ
พึงต้องเพราะนอนในเรือนร่วมกัน. และเมื่อตื่นแล้วรู้ว่าตนต้องแล้วแสดงเสีย ชื่อว่าตื่นแล้วออก แต่เมื่อตื่นอยู่ ต้องแล้ว นอนในสถานที่
ระงับด้วยติณวัตถารกะ ชื่อว่ากำลังตื่นต้อง หลับไป ออก. แม้ ๒ บทเบื้องหลัง ก็พึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแล. 
               ภิกษุผู้ไม่มีความตั้งใจ ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติที่เป็นอจิตตกะ. เมื่อแสดงเสียในภายหลัง ชื่อว่ามีความตั้งใจออก. 
               ภิกษุผู้มีความตั้งใจ ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติที่เป็นสจิตตกะ. เธอนอนอยู่ในสถานที่ระงับด้วยติณวัตถารกะ ชื่อว่าไม่มีความตั้งใจออก.
แม้ ๒ บทที่เหลือ ก็พึงทราบโดยทำนองที่กล่าวแล้วนั่นแล. 
               ภิกษุใด แสดงสภาคาบัติ ภิกษุนี้ชื่อว่าแสดงอาบัติ อย่างใดอย่างหนึ่งมีปาจิตตีย์เป็นต้น ต้องทุกกฏ เพราะการแสดงเป็นปัจจัย.
จริงอยู่ เมื่อแสดงอาบัตินั้น ย่อมต้องทุกกฏ. แต่เมื่อต้องทุกกฏนั้น ชื่อว่าย่อมออกจากอาบัติปาจิตตีย์เป็นต้น. เมื่อออกจากอาบัติมี
ปาจิตตีย์เป็นต้น ชื่อว่าย่อมต้องทุกกฏนั้น. จตุกกะนี้ว่า อตฺถิ อาปชฺชนฺโต เทเสติ ดังนี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวหมายเอาประโยค
อันหนึ่งเท่านั้น ของบุคคลผู้หนึ่ง ด้วยประการฉะนี้.

               [วินิจฉัยในกัมมจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในกัมมจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุต้องอาบัติเพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก ด้วยกรรม, เมื่อแสดงเสีย ชื่อว่าออกด้วยมิใช่กรรม. 
               ต้องอาบัติเพราะปล่อยสุกกะเป็นต้น ด้วยมิใช่กรรม, ย่อมออกด้วยกรรม มีปริวาสเป็นอาทิ. 
               ต้องอาบัติเพราะสมนุภาสน์ ด้วยกรรมเท่านั้น ย่อมออกด้วยกรรม. 
               ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ด้วยมิใช่กรรม ย่อมออกด้วยมิใช่กรรม.

               [วินิจฉัยในปริกขารจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในปริกขารจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               บริขารของตนเป็นที่ ๑. บริขารของสงฆ์เป็นที่ ๒. บริขารของเจดีย์เป็นที่ ๓. บริขารของคฤหัสถ์เป็นที่ ๔. ก็ถ้าว่า บริขารของคฤหัสถ์นั้น
เป็นของที่เขานำมา เพื่อประโยชน์แก่บาตร จีวร นวกรรมและเภสัช. ภิกษุจะให้กุญแจ และให้บริขารนั้นอยู่ข้างในก็ควร.

               [วินิจฉัยในสัมมุขจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในสัมมุขจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุต้องอาบัติเพราะไม่ยอมสละทิฏฐิลามก ต่อหน้าสงฆ์แท้, แต่ในเวลาออกไม่มีกิจที่สงฆ์จะต้องทำ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าออกลับหลัง. 
               ต้องอาบัติ เพราะปล่อยสุกกะเป็นต้น ลับหลัง ย่อมออกต่อหน้าสงฆ์. 
               ต้องอาบัติสมนุภาสน์ต่อหน้าสงฆ์เท่านั้น ย่อมออกต่อหน้า. 
               ย่อมต้องอาบัติที่เหลือต่างโดยชนิด มีสัมปชานมุสาวาทเป็นต้นลับหลังและออกก็ลับหลัง. 
               อชานันตจตุกกะ เหมือนกับอจิตตกจตุกกะ.

               [ว่าด้วยเพศกลับ]               
               บทว่า ลิงฺคปาตุภาเวน มีความว่า เมื่อเกิดเพศกลับแก่ภิกษุหรือภิกษุณีผู้นอนแล้วเท่านั้น จึงเป็นอาบัติเพราะนอนร่วมเรือนกัน. 
               คำว่า ลิงฺคปาตุภาเวน นี้แล ท่านกล่าวเจาะจงอาบัติ เพราะนอนร่วมเรือนกันนั้น. 
               ก็อาบัติที่ไม่ทั่วไป แก่ภิกษุและภิกษุณีทั้ง ๒ ฝ่าย ย่อมออกเพราะความปรากฎแห่งเพศ.

               [วินิจฉัยในสหปฏิลาภจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในสหปฏิลาภจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               เพศของภิกษุใด ย่อมเปลี่ยนไป, ภิกษุนั้น พร้อมกับได้เพศ (ใหม่) ย่อมละเพศบุรุษเดิมเสีย ด้วยอำนาจแห่งเพศที่เกิดขึ้นก่อน
และด้วยความเป็นเพศประเสริฐ ตั้งอยู่ในเพศสตรีอันเกิด ณ ภายหลัง. กายวิญญัตติและวจีวิญญัตติ ซึ่งเป็นไปด้วยอำนาจแห่งจริต
ของบุรุษและอาการของบุรุษเป็นต้น ย่อมระงับไป บัญญัติที่เป็นไปอย่างนี้ว่า ภิกษุก็ดี บุรุษก็ดี ย่อมดับไป. ก็สิกขาบท ๔๖ เหล่าใด
อันไม่ทั่วไปด้วยภิกษุณีทั้งหลาย, ไม่เป็นอาบัติ เพราะสิกขาบทเหล่านั้นเลย. 
               ก็วินิจฉัยในจตุกกะที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :- 
               เพศของภิกษุณีใด ย่อมเปลี่ยนไป, ภิกษุณีนั้น ย่อมละเพศสตรีที่นับว่าเกิดภายหลัง เพราะเกิดขึ้นภายหลังบ้าง เพราะความเป็นเพศทรามบ้าง
ตั้งอยู่ในเพศบุรุษ ที่นับว่าเกิดก่อน โดยประการดังกล่าวแล้ว. วิญญัตติซึ่งแผกจากที่กล่าวแล้ว ย่อมระงับไป. บัญญัติที่เป็นไปอย่างนี้
ว่า ภิกษุณีก็ดี สตรีก็ดี ย่อมดับไป. สิกขาบท ๑๓๐ เหล่าใด อันไม่ทั่วไปด้วยภิกษุทั้งหลาย, ไม่เป็นอาบัติ เพราะสิกขาบทเหล่านั้นเลย. 
               สองบทว่า จตฺตาโร สามุกฺกํสา ได้แก่ มหาปเทส ๔. จริงอยู่ มหาปเทส ๔ นั้น ท่านกล่าวว่า สามุกฺกํสา เพราะเป็นข้อที่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงรื้อขึ้น คือยกขึ้นตั้งไว้เอง ในเมื่อยังไม่เกิดเรื่องขึ้น. 
               บทว่า ปริโภคา ได้แก่ กลืนของที่ควรกลืน. 
               ส่วนน้ำ เพราะไม่เป็นกาลิก ไม่ได้รับประเคน ก็ควร. 
               ยาวกาลิกเป็นต้น ที่ไม่ได้รับประเคน ไม่ควรกลืน. 
               ยามหาวิกัฏ ๔ อย่าง เพราะเป็นของเฉพาะกาล ควรกลืนในกาลที่ตรัสไว้อย่างไร. 
               สองบทว่า อุปาสโก สีลวา ได้แก่ ผู้ครองศีล ๕ หรือศีล ๑๐.

               [วินิจฉัยในอาคันตุกาทิจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในอาคันตุกาทิจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุผู้กางร่มสวมรองเท้า คลุมศีรษะเข้าสู่วิหารและเที่ยวไปในวิหารนั้น เฉพาะเป็นอาคันตุกะจึงต้อง เป็นเจ้าถิ่นไม่ต้อง. 
               ฝ่ายภิกษุผู้ไม่ทำอาวาสิกวัตร เป็นเจ้าถิ่น จึงต้อง เป็นอาคันตุกะไม่ต้อง. ทั้ง ๒ พวก ย่อมต้องอาบัติที่เป็นทางกายทวารและวจีทวาร
ที่เหลือ. ทั้งอาคันตุกะ ทั้งเจ้าถิ่น ย่อมไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน). 
               วินิจฉัยแม้ในคมิยจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุผู้ไม่ยังคมิยวัตรให้เต็มไปเสีย เป็นผู้เตรียมจะไป จึงต้อง, เป็นเจ้าถิ่น ไม่ต้อง. 
               เมื่อไม่ทำอาวาสิกวัตร เป็นเจ้าถิ่น จึงต้อง ผู้เตรียมจะไป ไม่ต้อง. ทั้ง ๒ พวก ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. ทั้ง ๒ พวก ไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน).

               [วินิจฉัยในวัตถุนานัตตตาทิจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในวัตถุนานัตตตาทิจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ความที่ปาราชิก ๔ มีวัตถุต่างๆ กันและกันแล ย่อมมี, ความที่ปาราชิก ๔ มีอาบัติต่างกันและกันหามีไม่. จริงอยู่ อาบัติปาราชิกนั้นทั้งหมด
คงเป็นอาบัติปาราชิกเหมือนกัน. แม้ในสังฆาทิเสสเป็นต้นก็นัยนี้แล. 
               ส่วนโยชนาในคำว่า อาปตฺตินานตฺตตา น วตฺถุนานตฺตตา นี้ พึงทราบโดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ความเป็นต่างกันแห่งอาบัติแล ย่อมมีอย่างนี้
คือ เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุ เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณี เพราะเคล้าคลึงกันและกันด้วยกาย แห่งภิกษุและภิกษุณี, ความเป็นต่างกัน
แห่งวัตถุหามีไม่, ความเคล้าคลึงกันด้วยกายแล เป็นวัตถุแห่งอาบัติแม้ทั้ง ๒, 
               อนึ่ง เพราะฉันกระเทียม เป็นปาจิตตีย์แก่ภิกษุณี เป็นทุกกฏแก่ภิกษุ. 
               พึงทราบความที่ปาราชิก ๔ กับสังฆาทิเสส ๑๓ มีวัตถุต่างกัน และมีอาบัติต่างกัน. 
               พึงทราบความที่สังฆาทิเสสเป็นต้น กับอนิยตเป็นต้น มีวัตถุต่างกันและมีอาบัติต่างกันอย่างนั้น. 
               ความที่วัตถุเป็นของต่างกัน (และ) ความที่อาบัติเป็นของต่างกัน ไม่มีแก่ภิกษุและภิกษุณีผู้ต้องปาราชิก ๔ ข้างต้น พ้องกัน. 
               ในภิกษุและภิกษุณีผู้ต้องอาบัติต่างกันก็ตาม ในภิกษุและภิกษุณีผู้ต้องอาบัติที่ทั่วไป (แก่กันและกัน) ที่เหลือก็ตาม มีนัยเหมือนกัน.

               [วินิจฉัยในวัตถุสภาคาทิจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในวัตถุสภาคาทิจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               เพราะภิกษุกับภิกษุณีเคล้าคลึงกันด้วยกาย มีความที่วัตถุเป็นสภาคกัน ไม่มีความที่อาบัติเป็นสภาคกัน. 
               ในปาราชิก ๔ มีความที่อาบัติเป็นสภาคกัน ไม่มีความที่วัตถุเป็นสภาคกัน. ในสังฆาทิเสสเป็นอาทิ มีนัยเหมือนกัน. 
               ในปาราชิก ๔ ของภิกษุและภิกษุณี มีความที่วัตถุเป็นสภาคกันด้วย มีความที่อาบัติเป็นสภาคกันด้วย. ในอาบัติที่ทั่วไปทั้งปวงก็นัยนี้. 
               ในอาบัติที่ไม่ทั่วไป ความที่วัตถุเป็นสภาคกันก็ไม่มี และความที่อาบัติเป็นสภาคกันก็ไม่มี. 
               ก็ปัญหาที่ ๑ ในจตุกกะต้น เป็นปัญหาที่ ๒ ในจตุกกะนี้, และปัญหาที่ ๒ ในจตุกกะต้นนั้น เป็นปัญหาที่ ๑ ในจตุกกะนี้.
ไม่มีความทำต่างกันในปัญหาที่ ๓ และที่ ๔

               [วินิจฉัยในอุปัชฌายจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในอุปัชฌายจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ก็เพราะไม่ทำวัตรที่อุปัชฌาย์พึงทำแก่สัทธิวิหาริก อุปัชฌาย์ต้องอาบัติ, สัทธิวิหาริกไม่ต้อง. 
               เมื่อไม่ทำวัตรอันสัทธิวิหาริกพึงทำแก่อุปัชฌาย์ สัทธิวิหาริกย่อมต้องอาบัติ, อุปัชฌาย์ไม่ต้อง. 
               สัทธิวิหาริกและอุปัชฌาย์ทั้ง ๒ ฝ่าย ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. ทั้ง ๒ ฝ่าย ไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป. แม้ในอาจริยจตุกกะ ก็นัยนี้แล.

               [วินิจฉัยในอาทิยันตจตุกกะเป็นอาทิ]               
               วินิจฉัยในอาทิยันตจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของไม่ได้ให้บาท ๑ หรือเกินกว่าบาทด้วยมือของตน ต้องอาบัติหนัก. ใช้ผู้อื่นด้วยสั่งบังคับว่า
ท่านจงถือเอาทรัพย์หย่อนกว่าบาท ต้องอาบัติเบา. ๓ บทที่เหลือ พึงทราบโดยนัยนี้. 
               วินิจฉัยในอภิวาทนารหจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               สำหรับภิกษุณีทั้งหลายก่อน ในโรงฉัน แม้อุปัชฌาย์อยู่ถัดจากภิกษุณีองค์ที่ ๙ ไป ก็เป็นผู้ควรอภิวาท แต่ไม่ควรลุกรับ.
และสำหรับภิกษุผู้กำลังฉันค้าง ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งที่เป็นผู้ใหญ่กว่า ย่อมเป็นผู้ควรอภิวาท แต่ไม่ควรลุกรับโดยไม่แปลกกัน. 
               ภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น ไปถึงสำนักแล้ว เป็นผู้ควรลุกรับ แต่ไม่ควรอภิวาท ของภิกษุผู้อยู่ปริวาส แม้มีพรรษา ๖๐. 
    ในสถานที่ไม่ทรงห้าม ภิกษุที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นผู้ควรอภิวาทและควรลุกรับของภิกษุใหม่.
ฝ่ายภิกษุใหม่ เป็นผู้ไม่ควรอภิวาท ไม่ควรลุกรับ ของภิกษุผู้ใหญ่. 
     บทที่ ๑ แห่งอาสนารหจตุกกะ กับบทที่ ๒ ในจตุกกะก่อน และบทที่ ๒ แห่งอาสนารหจตุกกะ กับบทที่ ๑
ในจตุกกะก่อน เหมือนกันโดยใจความ.

               [วินิจฉัยในกาลจตุกกะเป็นอาทิ]               
               วินิจฉัยในกาลจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุเมื่อห้าม (โภชนะ) แล้วฉัน ชื่อว่าต้องในกาล ไม่ต้องในวิกาล. 
               เมื่อต้องอาบัติเพราะวิกาลโภชน์ ชื่อว่าต้องในวิกาล ไม่ต้องในกาล. 
               เมื่อต้องอาบัติที่เหลือ ชื่อว่าต้องทั้งในกาลและในวิกาล. เมื่อไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) ชื่อว่าไม่ต้องทั้งในกาลทั้งในวิกาล. 
               วินิจฉัยในปฏิคคหิตจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               อามิสที่รับประเคนก่อนภัตกาล ควรในกาล ไม่ควรในวิกาล.
               น้ำปานะ ควรในวิกาล ไม่ควรในกาลในวันรุ่งขึ้น. 
               สัตตาหกาลิก ยาวชีวิก ควรทั้งในกาลและในวิกาล. 
               กาลิก ๓ มียาวกาลิกเป็นต้น ที่ล่วงกาลของตนๆ และอกัปปิยมังสะ เป็นอุคคหิตก์และอาหารที่รับประเคน (ค้าง) ไว้ ไม่ควรทั้งในกาลและในวิกาล. 
               วินิจฉัยในปัจจันติมจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               เมื่อผูกสีมาในทะเล ชื่อว่าต้องในปัจจันติมชนบท ไม่ต้องในมัชฌิมชนบท. 
               เมื่อให้อุปสมบทด้วยคณะปัญจวรรค และเมื่อทรงไว้ซึ่งรองเท้า ๔ ชั้น อาบน้ำเป็นนิตย์และเครื่องปูลาดหนัง
ชื่อว่าต้องในมัชฌิมชนบท ไม่ต้องในปัจจันติมชนบท. 
               แม้ภิกษุผู้กล่าวอยู่ว่า ๔ วัตถุนี้ ไม่ควรในปัจจันติมชนบทนี้ ชื่อว่าต้องในปัจจันติมชนบท. 
               ฝ่ายภิกษุผู้กล่าวอยู่ว่า ๔ วัตถุนี้ ควรในมัชฌิมชนบทนี้ ชื่อว่าต้องในมัชฌิมชนบท. 
               ภิกษุย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ในมัชฌิมชนบทและในปัจจันติมชนบทแม้ทั้ง ๒. ไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) ในที่ไหนๆ. 
               วินิจฉัยในจตุกกะที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :- 
               วัตถุทั้ง ๔ ประการ มีอุปสมบทด้วยคณะปัญจวรรคเป็นต้น ควรในปัจจันติมชนบท. 
               แม้การที่ภิกษุแสดงว่า นี้ควร ก็ควรในปัจจันติมชนบทนั้นเหมือนกัน แต่ไม่ควรในมัชฌิมชนบท. 
               ส่วนการที่ภิกษุแสดงว่า นี้ไม่ควร ควรในมัชฌิมชนบท ไม่ควรในปัจจันติมชนบท. วัตถุที่เหลืออันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาต
ว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเกลือ ๕ ชนิด เป็นต้น, วัตถุนั้นควรในชนบททั้ง ๒. ส่วนวัตถุใด ทรงห้ามว่า ไม่ควร,
วัตถุนั้นไม่ควรในชนบทแม้ทั้ง ๒.

               [วินิจฉัยในอันโตอาทิจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในอันโตอาทิจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุย่อมต้องอาบัติเพราะนอนเบียดเป็นต้น ในภายใน ไม่ต้องในภายนอก. 
               เมื่อวางเสนาสนะมีเตียงของสงฆ์เป็นต้น ไว้กลางแจ้งแล้วหลีกไปเสีย ชื่อว่าต้องในภายนอก ไม่ต้องในภายใน.
ที่เหลือชื่อว่าต้องทั้งภายในและภายนอก. อาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) ชื่อว่าไม่ต้องทั้งภายในทั้งภายนอก. 
               วินิจฉัยในอันโตสีมาทิจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุอาคันตุกะ เมื่อไม่ยังวัตรให้เต็ม ชื่อว่าต้องในภายในสีมา. 
               ภิกษุผู้เตรียมจะไป เมื่อไม่ยังวัตรให้เต็ม ชื่อว่าต้องในภายนอกสีมา. 
               ภิกษุย่อมต้องอาบัติเพราะมุสาวาทเป็นต้น ทั้งภายในสีมาและภายนอกสีมา. ย่อมไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) ในที่ไหนๆ. 
               วินิจฉัยในคามจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               ภิกษุย่อมต้องอาบัติที่ทรงตั้งไว้ควรศึกษา อันเนื่องเฉพาะด้วยละแวกบ้าน ในบ้าน, ไม่ต้องในป่า. 
               ภิกษุณีเมื่อให้อรุณขึ้น ย่อมต้องในป่า, ไม่ต้องในบ้าน. 
               ภิกษุย่อมต้องอาบัติเพราะมุสาวาทเป็นต้น ทั้งในบ้านและในป่า ย่อมไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) ในที่ไหนๆ.

               [วินิจฉัยในปุพพกิจจาทิจตุกกะ]               
               สองบทว่า จตฺตาโร ปุพฺพกิจฺจา มีความว่า พระอรรถกถาจารย์กล่าวว่า กรรม ๔ อย่างนี้คือ การปัดกวาด ตามประทีป ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ พร้อมทั้ง
ปูลาดอาสนะ เรียกว่า ปุพพกรณ์. ส่วนกิจ ๔ อย่างนี้คือ นำฉันทะ ปาริสุทธิ บอกฤดู นับภิกษุและสอนภิกษุณี พึงทราบว่า ปุพพกิจ. 
               สองบทว่า จตฺตาโร ปตฺตกลฺลา มีความว่า วันอุโบสถ ๑ ภิกษุผู้เข้ากรรมมีจำนวนเท่าไร เธอเป็นผู้มาแล้ว ๑ สภาคาบัติไม่มี ๑
บุคคลควรเว้นไม่มีในหัตถบาสสงฆ์นั้น ๑ รวมเรียกว่าปัตตกัลละ ฉะนี้แล. 
               สองบทว่า จตฺตาริ อนญฺญปาจิตฺติยานิ มีความว่า ปาจิตตีย์ ๔ สิกขาบทนี้คือ สิกขาบทว่าด้วยสำเร็จการนอนเบียด, 
สิกขาบทที่ว่า เอหาวุโส คามํ วา นิคมํ วา เป็นอาทิ, สิกขาบทว่าด้วยแกล้งก่อความรำคาญ, สิกขาบทว่าด้วยแอบฟัง ที่พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้อย่างนี้ว่า ทำความหมายอย่างนี้เท่านั้นให้เป็นปัจจัยหาใช่อย่างอื่นไม่ เป็นปาจิตตีย์. 
               สองบทว่า จตสฺโส ภิกฺขุสมฺมติโย มีความว่า สมมติในที่อื่น พ้นจากสมมติ ๑๓ ที่มาแล้วอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุอยู่
ปราศจากไตรจีวรแม้สิ้นราตรี ๑ เว้นเสียแต่ภิกษุได้สมมติ, ถ้าภิกษุ ... พึงให้ทำสันถัตอื่นใหม่ เว้นแต่ภิกษุได้สมมติ, ถ้าเธออยู่
ปราศจากยิ่งกว่านั้น เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ, พึงบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่อนุปสัมบัน เว้นไว้แต่ภิกษุได้สมมติ.

               [วินิจฉัยในคิลานจตุกกะ]               
               วินิจฉัยในคิลานจตุกกะ พึงทราบดังนี้ :- 
               เมื่อออกปากขอเภสัชอื่น ด้วยความเป็นผู้ละโมบ ในเมื่อมีกิจที่จะต้องทำด้วยเภสัชอื่น ภิกษุผู้อาพาธต้อง (อาบัติ). 
               เมื่อออกปากขอเภสัช ในเมื่อมีกิจที่จะต้องทำด้วยของมิใช่เภสัช ภิกษุไม่อาพาธต้อง. 
               ภิกษุผู้อาพาธและไม่อาพาธทั้ง ๒ ย่อมต้องอาบัติเพราะมุสาวาทเป็นต้น. ทั้ง ๒ ไม่ต้องอาบัติที่ไม่ทั่วไป (แก่ตน) 
                              บทที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
                              พรรณนาหมวด ๔ จบ.