Translate

30 สิงหาคม 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๔ ว่าด้วย การให้ภิกษุณีซักจีวรเก่า พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

        นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑
สิกขาบทที่ ๔       พรรณนาปูราจีวรโธวาปนสิกขาบท           ปูราณจีวรสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
   ในปูราณจีวรสิกขาบทนั้น                          มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
[อธิบายบุคคลที่จัดเป็นญาติและมิใช่ญาติ] 
ข้อว่า ยาว สตฺตมา ปิตามหยุคา มีความว่า บิดาของบิดาชื่อว่าปิตามหะ. ยุคแห่งปิตามหะ
 ชื่อว่า ปิตามหยุค.  ประมาณแห่งอายุ ท่านเรียกว่า ยุค.          ก็ศัพท์ว่า ยุค นี้เป็นเพียงโวหารพูดกันเท่านั้น. แต่โดยเนื้อความ ปิตามหะ 
นั่นแหละ ชื่อว่า ปิตามหยุค.   บรรพบุรุษถัดขึ้นไปจากปิตามหยุคนั้น แม้ทั้งหมด 
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงถือเอาด้วยปิตามหศัพท์นั่นเอง.
               นางภิกษุณีผู้ซึ่งไม่เกี่ยวเนื่องกันมาตลอด ๗ ชั่วบุรุษอย่างนี้ ตรัสเรียกว่า ไม่ใช่คนเกี่ยวเนื่องกันมาตลอด
๗ ชั่วอายุของบุรพชนก. ปิตามหศัพท์นี้ เป็นมุขแห่งเทศนาเท่านั้น. แต่เพราะพระบาลีว่า มาติโต วา ปิติโต วา ดังนี้
ปิตามหยุคก็ดี ปิตามหียุคก็ดี มาตามหยุคก็ดี มาตามหียุคก็ดี ก็ชื่อว่า ปิตามหยุค, แม้พวกญาติมีพี่น้อง ชายพี่น้อง
หญิง หลานลูกและเหลนเป็นต้น ของปิตามหยุคเป็นต้นแม้เหล่านั้น ทั้งหมดนั้น พึงทราบว่า ทรงสงเคราะห์เข้า
ในคำว่า ปิตามหยุคนี้ทั้งนั้น.              ใน ๔ ยุค คือ ปิตามหยุค ปิตามหียุค มาตามหยุค และมาตามหียุคนั้น 
มีนัยพิสดารดังต่อไปนี้ :-               ภิกษุณี ไม่ใช่คนเนื่องถึงกันด้วยความเกี่ยวเนื่องทางมารดา ไม่ใช่คน
เนื่องถึงกันด้วยความเกี่ยวเนื่องทางบิดา ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนกอย่างนี้ คือ บิดา, บิดาของบิดา (ปู่), บิดาของ
ปู่ นั้น (ปู่ทวด), บิดาแม้ของปู่ทวดนั้น (ปู่ชวด),           ตลอด ๗ ชั่วยุค ทั้งข้างสูงและข้างต่ำ แม้อย่างนี้ คือ บิดา ๑
มารดาของบิดา (ย่า) ๑ บิดาและมารดาของมารดาแม้นั้น (ตายาย) ๑ พี่น้องชาย ๑ พี่น้องหญิง ๑ บุตร ๑ ธิดา ๑,
               ตลอด ๗ ชั่วยุค แม้อย่างนี้ คือ บิดา, พี่น้องชายของบิดา, พี่น้องหญิงของบิดา, ลูกชายของบิดา, ลูกหญิง
ของบิดา, เชื้อสายบุตรธิดาแม้ของชนเหล่านั่น,               ตลอด ๗ ชั่วยุค อย่างนี้ คือ มารดา, มารดาของมารดา 
(ยาย), มารดาของยายนั้น (ยายทวด), มารดาของยายทวดแม้นั้น (ยายชวด),  ตลอด ๗ ชั่วยุค ทั้งข้างสูง
และข้างต่ำ แม้อย่างนี้ คือ มารดา ๑ บิดาของมารดา (ตา) ๑ บิดาและมารดาของตานั้น (ทวดชายหญิง) ๑ พี่น้อง
ชาย ๑ พี่น้องหญิง ๑ บุตร ๑ ธิดา ๑,      ตลอด ๗ ชั่วยุค แม้อย่างนี้ คือ มารดา, พี่น้องชายของมารดา (ลุงน้าชาย),
 พี่น้องหญิงของมารดา (ป้าน้าหญิง), ลูกชายของมารดา, ลูกหญิงของมารดา, เชื้อสายบุตรธิดาของชนแม้
เหล่านั้น, นี้ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ.
               [ว่าด้วยจีวรเก่าและการใช้ให้ซัก]               
 บทว่า อุภโตสงฺเฆ มีความว่า ภิกษุณีผู้อุปสมบท ด้วยอัฏฐวาจิยกรรม คือ ด้วยญัตติจตุตถกรรม ในฝ่ายภิกษุสงฆ์ ๑
ด้วยญัตติจตุตถกรรม ในฝ่ายภิกษุณีสงฆ์ ๑.               ข้อว่า สกึ นิวตฺถํปิ สกึ ปารุตํปิ มีความว่า จีวรที่ย้อมแล้วทำ
กัปปะเสร็จ นุ่งหรือห่ม แม้เพียงครั้งเดียว. ชั้นที่สุดพาดไว้บนบ่า หรือบนศีรษะ โดยมุ่งการใช้สอยเป็นใหญ่ เดิน
ทางไป หรือว่า หนุนศีรษะนอน, แม้จีวรนั่นก็ชื่อว่า จีวรเก่าเหมือนกัน.
   ในกุรุนที ท่านกล่าวว่า ก็ถ้าว่า ภิกษุนอนเอาจีวรไว้ใต้ที่นอน หรือเอามือทั้งสองยกขึ้นทำเป็นเพดานบนอากาศ 
ไม่ให้ถูกศีรษะเดินไป. นี้ยังไม่ชื่อว่า ใช้สอย.              ในคำว่า โธตํ นิสฺสคฺคิยํ นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
     ภิกษุณีที่ถูกภิกษุใช้อย่างนี้ ย่อมจัดเตาไฟ ขนฟืนมา ก่อไฟ ตักน้ำมา เพื่อประโยชน์แก่การซัก, ย่อมเป็นทุกกฏ
แก่ภิกษุ ทุกๆ ประโยคของนางภิกษุณี ตลอดเวลาที่นางภิกษุณียังยกจีวรนั้นขึ้นซักอยู่, จีวรนั้นพอซักเสร็จแล้วยก
ขึ้น ก็เป็นนิสสัคคีย์. ถ้านางภิกษุณีสำคัญว่า จีวรยังซักไม่สะอาด จึงเทน้ำราดหรือซักใหม่, เป็นทุกกฏ 
ทุกๆ ประโยค ตลอดเวลาที่ยังไม่เสร็จ. แม้ในการย้อมและการทุบ ก็มีนัยอย่างนี้. ก็ภิกษุณีเทน้ำย้อมลงในราง
สำหรับย้อม แล้วย้อมเพียงคราวเดียว, กระทำกิจอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนแต่การเทน้ำย้อมเป็นต้นนั้น เพื่อประโยชน์
แก่การย้อม หรือว่าภายหลัง กลับย้อมใหม่ เป็นทุกกฏแก่ภิกษุทุกๆ 
ประโยคในฐานะทั้งปวง. แม้ในการทุบ ก็พึงทราบประโยคอย่างนี้.
               ข้อว่า อญฺญาติกาย อญฺญาติกสญฺญี ปุราณจีวรํ โธวาเปติ
               มีความว่า ถ้าแม้นว่า ภิกษุไม่พูดว่า เธอจงซักจีวรนี้ให้เรา, แต่ทำกายวิการ เพื่อประโยชน์แก่การซัก ให้
ที่มือด้วยมือ หรือวางไว้ใกล้เท้า หรือฝากต่อๆ ไป คือ ส่งไปในมือของนางสิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสิกา
และเดียรถีย์ เป็นต้น หรือว่า โยนไปในที่ใกล้แห่งนางภิกษุณีผู้กำลังซักอยู่ที่ท่าน้ำ, คือในโอกาสภายใน ๑๒ ศอก
จีวรเป็นอันภิกษุใช้นางภิกษุณีให้ซักเหมือนกัน. ก็ถ้าว่าภิกษุละอุปจารวางไว้ห่างจากร่วมในเข้ามา และนางภิกษุณี
นั้น ซักแล้วนำมา, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุ. ภิกษุให้จีวรในมือแห่งนางสิกขมานาก็ดี สามเณรก็ดี อุบาสิกาก็ดี เพื่อ
ประโยชน์แก่การซัก, ถ้านางสิกขมานานั้นอุปสมบทแล้ว จึงซัก, เป็นอาบัติเหมือนกัน. ให้ไว้ในมือแห่งอุบาสก ถ้า
อุบาสกนั้น เมื่อเพศกลับแล้ว บรรพชาอุปสมบทในสำนักนางภิกษุณีแล้ว จึงซัก, เป็นอาบัติเหมือนกัน. แม้ในจีวรที่ให้
ในมือของสามเณร หรือของภิกษุในเวลาเพศกลับ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน.
               [ว่าด้วยอาบัติและอนาบัติในการใช้ให้ซัก]               
 ในคำว่า โธวาเปติ รชาเปติ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-            จีวรเป็นนิสสัคคีย์ด้วยวัตถุแรก เป็นทุกกฏแก่ภิกษุ
ด้วยวัตถุที่ ๒, เมื่อภิกษุให้กระทำทั้ง ๓ วัตถุ เป็นนิสสัคคีย์ด้วยวัตถุแรก เป็นทุกกฏ ๒ ตัว ด้วยวัตถุที่เหลือ. แต่เพราะ
เมื่อภิกษุใช้ให้กระทำการซักเป็นต้นนี้ตามลำดับหรือว่าผิดลำดับ ก็ไม่มีความพ้นจากอาบัติ ฉะนั้น พระผู้มีพระภาค
เจ้าจึงตรัสจตุกกะ ๓ หมวดไว้ในพระบาลีนี้.         แต่ถ้าแม้เมื่ออภิกษุกล่าวว่า เธอจงย้อม ซัก จีวรนี้แล้วนำมาให้เรา
             ดังนี้ นางภิกษุณีนั้นซักก่อนแล้ว จึงย้อมภายหลัง                                    เป็นทุกกฏกับนิสสัคคีย์เท่านั้น
            ในคำที่ตรงกันข้ามแม้ทั้งหมด ก็พึงทราบนัยอย่างนี้.             ก็ถ้าว่า เมื่อภิกษุกล่าวว่า เธอซักแล้ว จงนำมา 
นางภิกษุณีซักด้วย ย้อมด้วย, เป็นอาบัติ เพราะการซักเป็นปัจจัยอย่างเดียว, ไม่เป็นอาบัติในเพราะการย้อม.
             พึงทราบอนาบัติ โดยลักษณะนี้ว่า ภิกษุมิได้สั่ง ซักเอง ในเพราะการกระทำเกินกว่าคำที่ภิกษุสั่งทุกๆ แห่ง
 ด้วยประการอย่างนี้. แต่เมื่อภิกษุกล่าวว่า กิจใดที่จะพึงกระทำในจีวรนี้, กิจนั้นจงเป็นภาระของเธอทั้งหมด ดังนี้ 
ย่อมต้องอาบัติมากหลาย เพราะคำพูดคำเดียว.  ก็บทเหล่านี้ว่า อญฺญาติกาย เวมติโก อญฺญาติกาย ญาติกสญฺญี 
พึงทราบโดยพิสดาร ด้วยสามารถแห่งจตุกกะ ๓ หมวด โดยนัยดังกล่าวแล้วนั่นแหละ.
               สอง บทว่า เอกโต อุปสมฺปนฺนาย มีความว่า เป็นทุกกฎแก่ภิกษุ ผู้ใช้นางภิกษุณีผู้อุปสมบท ในสำนัก
แห่งภิกษุณีทั้งหลายให้ซัก. แต่เมื่อใช้นางภิกษุณีผู้อุปสมบทในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายให้ซัก เป็นอาบัติตามวัตถุ
เหมือนกัน. นางสากิยานี ๕๐๐ ชื่อว่าผู้อุปสมบทในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลาย.
               สอง บทว่า อวุตฺตา โธวติ มีความว่า ภิกษุณีผู้มาเพื่ออุเทศ หรือว่า เพื่อโอวาท เห็นจีวรสกปรก ฉวยเอาไป
จากที่วางไว้ หรือให้นำมาให้ด้วยกล่าวว่า พระคุณเจ้าโปรดให้เถิด ดิฉันจัก
ซัก แล้วซักก็ดี ย้อมก็ดี ทุบก็ดี ภิกษุณีนี้ชื่อว่า ผู้อันภิกษุไม่ได้สั่ง ซักเอง.
           แม้ภิกษุณีใดได้ยินภิกษุสั่งภิกษุหนุ่ม หรือสามเณรว่า เธอจงซักจีวรนี้แล้ว กล่าวว่า พระคุณเจ้าจงนำมาเถิด
 ดิฉันจักซักเอง แล้วซักหรือถือเอาเป็นของยืมแล้ว ซัก ย้อมให้ แม้ภิกษุณีนี้ก็ชื่อว่า ผู้อันภิกษุไม่ได้สั่ง ซักเอง.
               สอง บทว่า อญฺญํ ปริกฺขารํ มีความว่า ภิกษุใช้ภิกษุณีให้ซักล้างบรรดาบริขารมีถุงรองเท้า ถลกบาตร
 ผ้าอังสะ ประคดเอว เตียงตั่ง ฟูกและเสื่ออ่อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่เป็นอาบัติ. คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ 
มีอรรถตื้นทั้งนั้น.    ก็ในบรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์
 อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
พรรณนาปูราณจีวรโธวาปนสิกขาบทที่ ๔ จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๔ ว่าด้วย การให้ภิกษุณีซักจีวรเก่า พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องพระอุทายี
 [๔๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน                   อารามของ อนาถปิณฑิกคหบดีเขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ปุราณาทุติยิกาของท่านพระอุทายี บวชอยู่ ในสำนักภิกษุณี นางมายังสำนักท่าน
พระอุทายีเสมอ แม้ท่าน
พระอุทายีก็ไปยังสำนักภิกษุณีนั้น เสมอ และบางครั้งก็ฉันอาหารอยู่ในสำนักภิกษุณีนั้น. เช้าวันหนึ่ง ท่านพระอุทายี
ครอง อันตรวาสกแล้วถือบาตรจีวรเข้าไปหาภิกษุณีนั้นถึงสำนัก ครั้นแล้วนั่งบนอาสนะ เปิดองค์กำเนิด เบื้องหน้า
ภิกษุณีนั้น แม้ภิกษุณีนั้นก็นั่งบนอาสนะ เปิดองค์กำเนิดเบื้องหน้าท่านพระอุทายี ท่านพระอุทายีมีความกำหนัด ได้
เพ่งดูองค์กำเนิดของนาง อสุจิได้เคลื่อนจากองค์กำเนิดของ ท่านพระอุทายี ท่านพระอุทายีได้พูดกะนางว่า 
             ดูกรน้องหญิง เธอจงไปหาน้ำมา ฉันจะซักผ้า อันตรวาสก 
              นางบอกว่า ส่งมาเถิดเจ้าข้า ดิฉันเองจักซักถวาย. 
ครั้นแล้วนางได้ดูดอสุจินั้นของท่าน ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งได้สอดเข้าไปในองค์กำเนิด นางได้ตั้งครรภ์เพราะ
เหตุนั้นแล้ว.              ภิกษุณีทั้งหลายได้พูดกันอย่างนี้ว่า ภิกษุณีรูปนี้มิใช่พรหมจารินี ภิกษุณีรูปนี้จึงมีครรภ์. 
              นางพูดว่า แม่เจ้า ดิฉันมิใช่พรหมจารินีก็หาไม่ 
ครั้นแล้วนางได้แจ้งความนั้นแก่ภิกษุณี ทั้งหลาย.               ภิกษุณีทั้งหลาย พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า 
ไฉนท่านพระอุทายี จึงได้ให้ ภิกษุณีซักจีวรเก่าเล่า แล้วแจ้งความนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. บรรดาภิกษุผู้มักน้อย 
สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีจึง
ได้ให้ภิกษุณีซักจีวรเก่าเล่า แล้วกราบทูล เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
 ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า ดูกรอุทายี ข่าวว่าเธอให้ภิกษุณี ซักจีวรเก่า จริงหรือ? 
              ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. นางเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ? 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน           พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม
ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ บุรุษที่มิใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำ อันสมควรหรือไม่สมควร
 การกระทำอันน่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใสของสตรีที่มิใช่ญาติ เมื่อ เป็นเช่นนั้น เธอยังให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
ซักจีวรเก่าได้ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใส
ยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
               และเพื่อความเป็น อย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท
  พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุทายี โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
 ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณ
แห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่
น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น 
ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เรา
จักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
 เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มี
ศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่ง
พระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
            ๒๓.๔. อนึ่ง ภิกษุใด ยังภิกษุณีผู้มิใช่ญาติให้ซักก็ดี ให้ย้อมก็ดี ให้ทุบก็ดี ซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. 
เรื่องพระอุทายี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
             [๔๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด
มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็น
เถระก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด
             บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขา
จริยวัตร ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์ 
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระ
เสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบท
ให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้
ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า ภิกษุณี ได้แก่ สตรีผู้อุปสมบทแล้วในสงฆ์ ๒ ฝ่าย.
             ที่ชื่อว่า จีวรเก่า ได้แก่ ผ้าที่นุ่งแล้วหนหนึ่งก็ดี ห่มแล้วหนหนึ่งก็ดี.
             ภิกษุสั่งว่า จงซัก ต้องอาบัติทุกกฏ จีวรที่ภิกษุณีซักแล้วเป็นนิสสัคคีย์.
             ภิกษุสั่งว่า จงย้อม ต้องอาบัติทุกกฏ จีวรที่ภิกษุณีย้อมแล้วเป็นนิสสัคคีย์.
             ภิกษุสั่งว่า จงทุบ ต้องอาบัติทุกกฏ เมื่อภิกษุณีทุบด้วยมือก็ตาม ด้วยตะลุมพุกก็ตาม
เพียงทีเดียว จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำจะต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า
ภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า จีวรเก่าผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว
 เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะ
สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า
 กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า จีวรเก่าผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว 
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
             ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละเธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย 
ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
      ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า
        ท่าน จีวรเก่าผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละ
ให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๑
             [๔๔] ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซักซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
    ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อมซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
    ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ทุบซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ทุบ ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
    ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ทุบ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๑
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซักซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อมซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับ นิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ทุบซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ทุบ ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ทุบ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๑
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซักซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
  ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อมซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้ทุบ ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
   ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ทุบซึ่งจีวรเก่า เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ทุบ ให้ซัก ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ทุบ ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
    ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ทุบ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งจีวรเก่า ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
ทุกกฏ
             ภิกษุใช้ภิกษุณีให้ซักจีวรเก่าของภิกษุอื่น ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุใช้ภิกษุณีให้ซักผ้าปูนั่ง ผ้าปูนอน ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุใช้ภิกษุณีผู้อุปสมบทในสงฆ์ฝ่ายเดียวให้ซัก ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร            [๔๕] ภิกษุณีผู้เป็นญาติซักให้เอง ๑ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติเป็นผู้ช่วยเหลือ ๑ ภิกษุไม่ได้บอกใช้ ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักให้เอง ๑ ภิกษุใช้ให้ซักจีวรที่ยังไม่ได้บริโภค ๑ ภิกษุใช้ให้ซักบริขารอย่างอื่น ๑- 
เว้นจีวร ๑ ใช้สิกขมานาให้ซัก ๑ ใช้สามเณรีให้ซัก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๔ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วย การเก็บจีวรไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

      นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๓
 สิกขาบทที่ ๓      พรรณนาตติยกฐินสิกขาบท  
ตติยกฐินสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น    ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-         พึงทราบวินิจฉัยตติยกฐิน      สิกขาบท ดังต่อไปนี้ :-
               [แก้อรรถเรื่องภิกษุรูปหนึ่ง]   
              หลายบทว่า อุสฺสาเปตฺวา ปุนปฺปุนํ วิมชฺชติ 
               มีความว่า ภิกษุนั่นสำคัญว่า เมื่อรอยย่นหายแล้ว จีวรนี้จักใหญ่ขึ้น จึงเอาน้ำรด เอาเท้าเหยียบ เอามือดึง
ขึ้นแล้วรีดทีหลัง. จีวรนั้นแห้งแล้วด้วยแสงแดด ก็มีประมาณเท่าเดิมนั่นแล. ภิกษุนั้นก็กระทำอย่างนั้นซ้ำอีก. 
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ดึงขึ้นแล้วรีดเป็นหลายครั้ง. พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับนั่งที่
พระคันธกุฎีนั่นแล ทอดพระเนตรเห็นภิกษุนั้นลำบากอยู่อย่างนั้น จึงเสด็จออกประดุจเสด็จไปสู่เสนาสนจาริก 
ได้เสด็จไปในที่นั้น. เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า อทฺทสา โข ภควา เป็นต้น.
               บทว่า เอกาทสมาเส ได้แก่ ตลอด ๑๑ เดือนที่เหลือ เว้นเดือนกัตติกาหลัง หนึ่งเดือน.
               บทว่า สตฺตมาเส ได้แก่ ๗ เดือนที่เหลือ เว้น ๕ เดือน คือเดือนกัตติกานั่นด้วย ๔ เดือนฤดูฝนด้วย.
               [แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยความหวังจะได้จีวร]               
    หลายบทว่า กาเลปิ อาทิสฺส ทินฺนํ มีความว่า จีวรที่ทายกอุทิศถวายแก่สงฆ์ว่า นี้เป็นอกาลจีวร หรือที่ทายกถวาย
แก่บุคคลผู้เดียวว่า ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่ท่าน ดังนี้.              บทว่า สงฺฆโต วา มีความว่า จีวรเกิดขึ้นจากสงฆ์ด้วย
  อำนาจแห่งส่วนที่ถึงแก่ตนก็ดี.            บทว่า คณโต วา มีความว่า พวกทายกย่อมถวายแก่คณะอย่างนี้ว่า พวก
ข้าพเจ้าถวายจีวรนี้แก่คณะแห่งภิกษุผู้เรียนพระสูตร, ถวายจีวรนี้แก่คณะแห่งภิกษุผู้เรียนพระอภิธรรม, จีวรพึงเกิด
ขึ้นจากคณะนั้นด้วยอำนาจแห่งส่วนที่ถึงแก่ตนก็ดี.               คำว่า โน จสฺส ปาริปูริ คือ ถ้าผ้านั้นยังไม่พอ.
     อธิบายว่า จีวรที่ควรอธิษฐานได้ อันภิกษุทำอยู่ด้วยผ้าประมาณเท่าใดจึงจะพอ, ถ้าจีวรนั้นประมาณเท่านั้นยัง
ไม่มี คือขาดไป.         ในคำว่า ปจฺจาสา โหติ สงฺฆโต วา เป็นต้นมีวินิจฉัยดังนี้ :-
      มีความหวังจากสงฆ์ หรือจากคณะอย่างนี้ว่า ณ วันชื่อโน้น สงฆ์จักได้จีวร, คณะจักได้จีวร, จีวรจักเกิดขึ้นแก่เรา
 จากสงฆ์หรือจากคณะนั้น.               อีกอย่างหนึ่ง ความว่า มีความหวังจากญาติ หรือจากมิตรอย่างนี้ว่า ผ้าพวก
ญาติส่งมาแล้ว พวกมิตรส่งมาแล้วแก่เราเพื่งประโยชน์แก่จีวร,                            ชนเหล่านั้นมาแล้ว จักถวายจีวร
               ก็ในบทว่า ปํสุกูลโต วา ผู้ศึกษาพึงประกอบคำว่า มีความหวังจะได้อย่างนี้ว่า เราจักได้ผ้าบังสุกุลก็ตาม.
               สองบทว่า อตฺตโน วา ธเนน ความว่า มีความหวังอย่างนี้ว่า เราจักได้
ในวันชื่อโน้นด้วยทรัพย์มีฝ้ายและด้ายเป็นต้น ของตนก็ตาม.
               ข้อว่า ตโต เจ อุตฺตรึ นิกฺขิเปยฺย สติยาปิ ปจฺจาสาย 
                มีความว่า ถ้าหากภิกษุพึงเก็บไว้เกินกว่าเดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
               แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสไว้อย่างนี้ เพราะเมื่อจีวรที่หวังจะได้มาเกิดขึ้นในระหว่าง จีวรที่หวังจะได้มา
ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่จีวรเดิมเกิดขึ้นไป จนถึงวันที่ ๒๐ ย่อมทำจีวรเดิมให้มีคติแห่งตน, ต่อจากวันที่ ๒๐ นั้นไป 
จีวรเดิมย่อมทำจีวรที่หวังจะได้มาให้มีคติแห่งตน ก็เพราะเหตุนั้น เพื่อทรงแสดงความพิเศษนั้นจึงตรัสบทภาชนะ
โดยนัยมีอาทิว่า ตทหุปฺปนฺเน มูลจีวเร ดังนี้. คำว่า ตทหุปฺปนฺเน เป็นต้น มีอรรถกระจ่างทีเดียว.
               คำว่า วิสภาเค อุปฺปนฺเน มูลจีวเร มีความว่า ถ้าว่าจีวรเดิมเนื้อละเอียด จีวรที่หวังจะได้มาเนื้อหยาบ ไม่อาจ
เพื่อประกอบเข้ากันได้และราตรีก็ยังมีเหลือคือยังไม่เต็มเดือนก่อน.
               บทว่า น อกามา มีความว่า ภิกษุเมื่อไม่ปรารถนาก็ไม่พึงให้ทำจีวร. ได้จีวรที่หวังจะได้มาอื่นแล้วเท่านั้น 
พึงกระทำในภายในกาล. แม้จีวรที่หวังจะได้มา พึงอธิษฐานเป็นบริขารโจล. ถ้าจีวรเดิมเป็นผ้าเนื้อหยาบ, 
จีวรที่หวังจะได้มาเป็นผ้าเนื้อละเอียด, พึงอธิษฐานจีวรเดิมให้เป็นบริขารโจล แล้วเก็บจีวรที่หวังจะได้มานั่นแล 
ให้เป็นจีวรเดิม. จีวรนั้นย่อมได้บริหารอีกเดือนหนึ่ง ภิกษุย่อมได้เพื่อผลัดเปลี่ยนกันและกัน เก็บไว้เป็นจีวรเดิม
จนตราบเท่าที่ตนปรารถนา โดยอุบายนี้นั้นแล.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.             ปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นเดียวกับปฐมกฐินสิกขาบทนั้นแล.
     พรรณนาตติยกฐินสิกขาบทที่ ๓ จบ.  

29 สิงหาคม 2567

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๓ ว่าด้วย การเก็บจีวรไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง   
            [๓๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.       ครั้งนั้น อกาลจีวรเกิดแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เธอจะทำจีวร ก็ไม่พอ จึงเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง 
พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปตาม เสนาสนะ ทอดพระเนตรเห็นเธอเอาจีวรนั้นจุ่มน้ำตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง จึง
เสด็จเข้าไปหา แล้วตรัสถามว่า ดูกรภิกษุ เธอจุ่มจีวรนี้ลงในน้ำแล้วดึงเป็นหลายครั้ง เพื่อประสงค์อะไร? 
              ภิกษุรูปนั้นกราบทูลว่า อกาลจีวรผืนนี้เกิดแก่ข้าพระพุทธเจ้า จะทำจีวรก็ไม่พอ เพราะ ฉะนั้น 
ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้จุ่มจีวรนี้ตากแล้วดึงเป็นหลายครั้ง พระพุทธเจ้าข้า.
               ภ. ก็เธอยังมีหวังจะได้จีวรมาอีกหรือ? 
              ภิ. มี พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงอนุญาตอกาลจีวร 
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงกระทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะ
ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รับอกาลจีวร แล้วเก็บไว้ได้ โดยมีหวังว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม.
[๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายทราบว่าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้รับ อกาลจีวรแล้วเก็บไว้ได้ โดยมีหวัง
ว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม จึงรับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกิน หนึ่งเดือน. จีวรเหล่านั้นเธอห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง.
        ท่านพระอานนท์เที่ยวจาริกไปตามเสนาสนะ ได้เห็นจีวรเหล่านั้น ซึ่งภิกษุทั้งหลาย ห่อแขวนไว้ที่สายระเดียง. 
        ครั้นแล้วจึงถามภิกษุทั้งหลายว่า จีวรเหล่านี้ของใครห่อแขวนไว้ที่ สายระเดียง?
   ภิกษุเหล่านั้นตอบว่า อกาลจีวรเหล่านี้ของพวกกระผม พวกกระผมเก็บไว้ โดยมีหวัง ว่าจะได้จีวรใหม่มาเพิ่มเติม.
               อา. เก็บไว้นานเท่าไรแล้ว? 
              ภิ. นานกว่าหนึ่งเดือน ขอรับ. 
         ท่านพระอานนท์จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุทั้งหลายจึงได้รับอกาลจีวร แล้ว
เก็บไว้เกินหนึ่งเดือนเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
           ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุ รับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้เกินหนึ่งเดือน 
                             จริงหรือ? 
 ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า  จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน 
  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เหมาะ 
ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้รับอกาลจีวรแล้วเก็บไว้
เกินหนึ่งเดือนเล่า การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษ เหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
 หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น เป็นไป
เพื่อความ ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และ เพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุเหล่านั้น โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็น
คนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็น
คนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส 
การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่อง
นั้น แก่ภิกษุ ทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่
ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑
 เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิด ในปัจจุบัน
๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่ง
ของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
         ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
 ๒๒.๓. จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว กฐินเดาะเสียแล้ว อกาลจีวรเกิดขึ้นแก่ ภิกษุ ภิกษุหวังอยู่ก็พึงรับ ครั้นรับแล้ว พึงรีบ
ให้ทำ ถ้าผ้านั้นมีไม่พอ เมื่อความ หวังว่าจะได้มีอยู่ ภิกษุนั้นพึงเก็บจีวรนั้นไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง เพื่อจีวรที่ยัง
 บกพร่องจะได้พอกัน ถ้าเก็บไว้ยิ่งกว่ากำหนดนั้น แม้ความหวังว่าจะได้มีอยู่ ก็เป็น นิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์. 
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ. 
สิกขาบทวิภังค์  [๓๔]
 บทว่า จีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว ความว่า จีวรของภิกษุทำสำเร็จแล้วก็ดี หายเสียก็ดี ฉิบหายเสียก็ดี ถูกไฟไหม้
เสียก็ดี หมดหวังว่าจะได้ทำจีวรก็ดี. คำว่า กฐินเดาะเสียแล้ว คือเดาะเสียแล้วด้วยมาติกาอันใดอันหนึ่งในมาติกา ๘
หรือ สงฆ์เดาะเสียในระหว่าง. ที่ชื่อว่า อกาลจีวร ได้แก่ผ้าที่เมื่อไม่ได้กรานกฐินเกิดได้ตลอด ๑๑ เดือน เมื่อได้
 กรานกฐินแล้ว เกิดได้ตลอด ๗ เดือน แม้ผ้าที่เขาเจาะจงให้เป็นอกาลจีวรถวายในกาล นี่ก็ ชื่อว่าอกาลจีวร. 
               บทว่า เกิดขึ้น คือ เกิดแต่สงฆ์ก็ตาม แต่คณะก็ตาม แต่ญาติก็ตาม 
             แต่มิตรก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของตนก็ตาม.
    [๓๕] บทว่า หวังอยู่ คือ เมื่อต้องการ ก็พึงรับไว้. คำว่า ครั้นรับแล้วพึงรีบให้ทำ คือ พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน
    [๓๖] พากย์ว่า ถ้าผ้านั้นมีไม่พอ คือ จะทำไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งไม่เพียงพอ. พากย์ว่า ภิกษุนั้นจึงเก็บจีวรนั้นไว้ได้
เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง คือ เก็บไว้ได้เดือน หนึ่งเป็นอย่างนาน. คำว่า เพื่อจีวรที่ยังบกพร่องจะได้พอกัน คือ เพื่อ
ประสงค์จะยังจีวรที่บกพร่องให้บริบูรณ์. พากย์ว่า เพื่อความหวังว่าจะได้มีอยู่ คือ มีความหวังว่าจะได้มา
แต่สงฆ์ก็ตาม แต่ คณะก็ตาม แต่ญาติก็ตาม แต่มิตรก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของตนก็ตาม.
จีวรที่มีหวัง
      [๓๗] พากย์ว่า ถ้าเก็บไว้ยิ่งกว่ากำหนดนั้น แม้ความหวังว่าจะได้มีอยู่
             อธิบายว่า จีวรเดิมเกิดขึ้นในวันนั้น จีวรที่หวังก็เกิดในวันนั้น พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๑ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๑๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑๐ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๑ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๙ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๒ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๘ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๓ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๗ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๔ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๖ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๕ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๕ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๖ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๔ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๗ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๓ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๘ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๒ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๒๙ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงให้ทำให้เสร็จใน ๑ วัน.
             จีวรเดิมเกิดได้ ๓๐ วัน จีวรที่หวังจึงเกิด พึงอธิษฐาน พึงวิกัปไว้ พึงสละให้ผู้อื่นไป ในวันนั้นแหละ. 
ถ้าไม่อธิษฐาน ไม่วิกัปไว้ หรือไม่สละให้ผู้อื่นไป เมื่ออรุณที่ ๓๑ ขึ้นมา 
จีวรนั้นเป็นนิสสัคคีย์ คือ เป็นของจำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้;-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้า
ภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
             ท่านเจ้าข้า อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละ
ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.             ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-             ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า อกาลจีวรผืนนี้ของ
ภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่ง
กระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่าท่านเจ้าข้า อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละ
 ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ 
                     พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า อกาลจีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
 ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว             ท่านทั้งหลายพึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้. 
เสียสละแก่บุคคล
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือกล่าวอย่างนี้ว่า
       ท่าน อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ล่วงเดือนหนึ่ง เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่ท่าน.
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืน
จีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
    [๓๘] เมื่อจีวรเดิมเกิดขึ้นแล้ว จีวรที่หวังจึงเกิดขึ้น เนื้อผ้าไม่เหมือนกัน
                      และราตรียังเหลืออยู่ ภิกษุไม่ต้องการ ก็ไม่พึงให้ทำ.
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์    [๓๙] จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรล่วงเดือนหนึ่งแล้ว ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุสำคัญว่าอธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุสำคัญว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุสำคัญว่าสละให้ไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่หาย ภิกษุสำคัญว่าหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ฉิบหาย ภิกษุสำคัญว่าฉิบหายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกไฟไหม้ ภิกษุสำคัญว่าถูกไฟไหม้แล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             จีวรยังไม่ถูกโจรชิงไป ภิกษุสำคัญว่าถูกโจรชิงไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ            [๔๐] จีวรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุไม่เสียสละ บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ. จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง 
ภิกษุสำคัญว่าล่วงแล้ว บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง ภิกษุสงสัย บริโภค ต้องอาบัติทุกกฏ.
         ไม่ต้องอาบัติ             จีวรยังไม่ล่วงเดือนหนึ่ง             ภิกษุสำคัญว่ายังไม่ล่วง บริโภค ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร  [๔๑] ในภายในหนึ่งเดือน ภิกษุอธิษฐาน ๑ ภิกษุวิกัปไว้ ๑ ภิกษุสละให้ไป ๑ จีวรหาย ๑ จีวรฉิบหาย 
๑ จีวรถูกไฟไหม้ ๑ โจรชิงเอาไป ๑ ภิกษุถือวิสาสะ ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๓ จบ.

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒ [ว่าด้วย การอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้ราตรีหนึ่ง] พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

    จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๒                พรรณนาอุทโทสิตสิกขาบท                 อุทโทสิตสิกขาบท ว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นอาทิ 
           ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-               วินิจฉัยในอุทโทสิตสิกขาบทนั้น                                   พึงทราบต่อไปนี้ :-
    [แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องภิกษุหลายรูป]   
               บท ว่า สนฺตรุตฺตเรน มีความว่า อันตรวาสก (ผ้านุ่ง) 
              ตรัสเรียกว่า อันตระ. อุตราสงค์ (ผ้าห่ม) ตรัสเรียกว่า อุตตระ. 
ผ้าห่มกับผ้านุ่งชื่อว่า สันตรุตตระ. มีแต่ผ้าห่มกับผ้านุ่งนั้น. อธิบายว่า พร้อมด้วยผ้าอุตราสงค์กับผ้าอันตรวาสก.
               บท ว่า กณฺณกิตานิ ได้แก่ เกิดราเป็นจุดดำๆ ขาวๆ ในโอกาสที่เหงื่อถูก.
               คำว่า อทฺทสา โข อายสฺมา อานนฺโท เสนาสนจาริกํ อาหิณฺฑนฺโต
               มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าสู่พระคันธกุฎี เพื่อพระประสงค์จะพักผ่อน
ในกลางวัน ได้โอกาสนั้นแล้ว เก็บภัณฑะไม้ และภัณฑะดิน ที่เก็บไว้ไม่ดี ปัดกวาดสถานที่ที่ไม่ได้กวาด กระทำ
ปฏิสันถารกับพวกภิกษุอาพาธ ไปถึงเสนาสนสถานแห่งภิกษุเหล่านั้นได้เห็นแล้ว. เพราะเหตุนั้น พระธรรม
สังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า ท่านพระอานนท์เที่ยวไปยังเสนาสนจาริกได้เห็นแล้วแล.
               [อนุบัญญัติแก้อรรถเรื่องภิกษุอาพาธ]               
               คำว่า อวิปฺปวาสสมฺมตึทาตุํ มีความว่า สมมติในการไม่อยู่ปราศ (ไตรจีวร) ชื่ออวิปปวาสสมมติ. 
อนึ่ง สมมติเพื่อการไม่อยู่ปราศ (ไตรจีวร) ชื่ออวิปปวาสสมมติ. ก็ในอวิปปวาสสมมตินี้ มีอานิสงส์อย่างไร? ภิกษุ
อยู่ปราศจากจีวรผืนใด, จีวรผืนนั้น ย่อมไม่เป็นนิสสัคคีย์ และภิกษุผู้อยู่ปราศจากไม่ต้องอาบัติ. อยู่ปราศจาก
ได้สิ้นเวลาเท่าไร? พระมหาสุมเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ชั่วเวลาที่โรคยังไม่หาย, แต่เมื่อโรคหายแล้ว ภิกษุพึงรีบกลับมา
สู่สถานที่เก็บจีวร ดังนี้. พระมหาปทุมเถระกล่าวว่า เมื่อภิกษุนั้นรีบด่วนมา โรคพึงกลับกำเริบขึ้น เพราะฉะนั้น ควร
จะค่อยๆ มา, ก็ภิกษุยังแสวงหาพวกเกวียน หรือว่า ทำความผูกใจอยู่ว่า เราจะไป จำเดิมแต่กาลใด, จะอยู่
ปราศจากจำเดิมแต่กาลนั้นไป ก็ควร, แต่เมื่อภิกษุทำการทอดธุระอย่างนี้ว่าเราจักยังไม่ไปในเวลานี้ พึงถอนเสีย, 
ไตรจีวรที่ถอนแล้วจักตั้งอยู่ในฐานะเป็นอติเรกจีวร ดังนี้.
              ถามว่า ถ้าว่า โรคของเธอกลับกำเริบขึ้น, เธอจะพึงทำอย่างไร?
               แก้ว่า พระปุสสเทวเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ถ้าโรคนั้นนั่นเองกลับกำเริบขึ้น อวิปปวาสสมมตินั้นนั่นแล ยังคง
เป็นสมมติอยู่, ไม่มีกิจที่จะต้องให้สมมติใหม่ ; ถ้าโรคอื่นกำเริบ, พึงให้สมมติใหม่ ดังนี้. พระอุปติสสเถระกล่าว
ว่า โรคนั้นหรือโรคอื่นก็ตาม จงยกไว้, ไม่มีกิจที่จะต้องให้สมมติใหม่ ดังนี้.
             ส่วนในบท ว่า นิฏฺฐิตจีวรสฺมึ ภิกฺขุนา นี้ บัณฑิตอย่าเข้าใจอรรถเหมือนในสิกขาบทก่อน พึงทราบอรรถ
แห่งตติยาวิภัตติ ด้วยอำนาจแห่งฉัฏฐีวิภัตติอย่างนี้ว่า นิฏฺฐิเต จีวรสฺมึ ภิกฺขุโน เมื่อจีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว ดังนี้. 
เพราะอรรถด้วยอำนาจแห่งตติยาวิภัตติว่า กิจชื่อนี้ อันภิกษุพึงกระทำ ดังนี้ ไม่มี, แต่ว่า อรรถด้วยอำนาจแห่ง
ฉัฏฐีวิภัตติอย่างนี้ว่า เมื่อจีวรของภิกษุสำเร็จแล้ว และเมื่อกฐินเดาะแล้ว ถ้าภิกษุมีปลิโพธขาดแล้วอย่างนี้ พึงอยู่
ปราศจากไตรจีวร แม้สิ้นราตรีหนึ่ง ดังนี้ ย่อมสมควร (เพราะเหตุใด ; 
เพราะเหตุนั้น พึงทราบอรรถแห่งตติยาวิภัตติด้วยอำนาจฉัฏฐีวิภัตติ).
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติจีวเรน ได้แก่ จากบรรดาไตรจีวรที่อธิษฐานแล้ว จีวรผืนใดผืนหนึ่ง. 
จริงอยู่ ภิกษุแม้อยู่ปราศจากจีวรผืนเดียว ก็จัดว่าเป็นผู้อยู่ปราศจากไตรจีวร เพราะเป็นผู้อยู่ปราศจาก 
(จีวรผืนหนึ่ง) อันนับเนื่องในความสำเร็จเป็นไตรจีวร เพราะเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า ติจีวเรน นั้น 
พระองค์จึงตรัสคำว่า สงฺฆาฏิยา เป็นต้น.
               บท ว่า วิปฺปวเสยฺย คือ พึงเป็นผู้อยู่ปราศจาก.
               [อธิบายสถานที่เก็บจีวรและวิธีปฏิบัติ]               
               คำว่า คาโม เอกูปจาโร เป็นอาทิ ตรัสไว้เพื่อให้กำหนดลักษณะแห่งการไม่อยู่ปราศจาก (ไตรจีวร). ต่อจาก
              คำว่า คาโม เอกูปจาโร เป็นต้นนั้นไป พระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อจะทรงขยายบทมาติกา ๑๕ บทเหล่านั้นนั่น
แล    ให้พิสดารตามลำดับ จึงตรัสว่า               คาโม เอกูปจาโร นาม เป็นต้น
               ในคำว่า คาโม เอกูปจาโร นั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-              พระราชวังของพระราชาพระองค์หนึ่ง หรือบ้าน
ของนายบ้านคนหนึ่ง ชื่อว่าบ้านของตระกูลเดียว.    บท ว่า ปริกฺขิตฺโต 
มีความว่า ล้อมแล้วด้วยกำแพง ด้วยรั้ว หรือด้วยคู อย่างใดอย่างหนึ่ง.
 ท่านแสดงความที่บ้านของตระกูลเดียว มีอุปจารเดียวด้วยคำมีประมาณเพียงเท่านี้.        สอง บทว่า อนฺโตคาเม
 วฏฺฐพฺพํ มีความว่า ภิกษุจะเก็บจีวรไว้ในบ้านเช่นนี้แล้ว ให้อรุณขึ้นในที่ซึ่งตนชอบใจในละแวกบ้านย่อมควร.
    ด้วย บทว่า อปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านนั้นนั่นแล มีอุปจารต่างๆ กัน.          คำว่า ตสฺมึ ฆเร วฏฺฐพฺพํ 
    มีความว่า พึงอยู่ในเรือนหลังที่ตนเก็บจีวรไว้ในบ้านเห็นปานนั้น.
               หลาย บทว่า หตฺถปาสา วา น วิชหิตพฺพํ มีความว่า อีกอย่างหนึ่ง ไม่พึงละเรือนนั้น จากหัตถบาสโดยรอบ. 
มีคำอธิบายว่า ไม่พึงละให้ห่างจากประเทศประมาณ ๒ ศอกคืบไป. ก็การอยู่ภายใน ๒ ศอกคืบ ย่อมสมควร. 
ล่วงเลยประมาณนั้นไป ถ้าแม้นภิกษุผู้มีฤทธิ์ยังอรุณให้ตั้งขึ้นในอากาศ                 ก็เป็นนิสสัคคีย์เหมือนกัน
               ก็บัณฑิตพึงทราบการกำหนดเรือนในบทว่า 
ยสฺมึ ฆเร ในวิสัยว่า บ้านของตระกูลเดียวนี้ โดยลักษณะเป็นต้นว่า                   เป็นเรือนของตระกูลเดียวดังนี้.
             คำว่า นานากุลสฺส คาโม ได้แก่ ตำหนักแห่งพระราชาต่างพระองค์กัน หรือบ้านของพวกนายบ้าน
ต่างๆ เช่นเมืองไพศาลีและเมืองกุสินาราเป็นต้น.
               ด้วย บทว่า ปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านของตระกูลต่างกัน มีอุปจารเดียวกัน.
               ท่านกล่าวสภาด้วยลิงค์ตรงกันข้าม ในคำว่า สภาเย วา ทฺวารมูเล วา นี้ ว่า สภายํ.
               บท ว่า ทฺวารมูเล ได้แก่ ที่ใกล้ประตูเมือง.
               มีคำอธิบายว่า หรือพึงอยู่ในเรือนที่ตนเก็บจีวรไว้ในบ้านเห็นปานนั้น. เมื่อภิกษุไม่อาจจะอยู่ในเรือนนั้น 
เพราะเสียงอึกทึก หรือเพราะคนพลุกพล่าน พึงอยู่ในสภาหรือที่ใกล้ประตูเมือง. เมื่อไม่อาจอยู่แม้ในสภา
หรือในที่ใกล้ประตูเมืองนั้น พึงอยู่ในที่ผาสุก แห่งใดแห่งหนึ่งแล้วมาในภายในอรุณ ไม่พึงละจากหัตถบาส แห่งสภา
และที่ใกล้ประตูเมืองนั้นเลย. ส่วนกิจที่ภิกษุจะพึงอยู่ในหัตถบาสแห่งเรือน หรือแห่งจีวร ไม่มีเลย.
               คำว่า สภายํ คจฺฉนฺเตน หตฺถปาเส จีวรํ นิกฺขิปิตฺวา มีความว่า ถ้าว่า ภิกษุไม่เก็บไว้ในเรือน ไปยังสภาด้วย
ทำในใจว่า เราจักเก็บไว้ที่สภา, เมื่อภิกษุนั้นไปยังสภา พึงเหยียดแขนออกไปในหัตถบาส เก็บจีวรไว้ที่ร้านตลาด
บางร้าน ที่เป็นทางแห่งการเก็บไว้ คือ อยู่ในหัตถบาสอย่างนี้ว่า เอาเถอะ! เราจักเก็บจีวรนี้ไว้ แล้วพึงอยู่ที่สภา หรือที่
ใกล้ประตู หรือไม่พึงละ (จีวร) จากหัตถบาส โดยนัยก่อนนั่นแล.
               [มติต่างๆ ในสถานที่เก็บและการรักษาจีวร]               
               ในวิสัยว่า สภาเย วา ทฺวารมูเล วา นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               พระปุสสเทวเถระกล่าวไว้ก่อนว่า ไม่มีกิจจำเป็นที่จะต้องอยู่ในหัตถบาสแห่งจีวร, 
จะอยู่ในที่ใดที่หนึ่ง จะเป็นหัตถบาสถนนก็ดี หัตถบาสสภาก็ดี หัตถบาสประตูก็ดี ย่อมสมควรทั้งนั้น ดังนี้.
               ส่วนพระอุปติสสเถระกล่าวว่า เมืองมีประตูมากก็มี มีสภามากก็มี เพราะฉะนั้น จะอยู่ในที่ทั่วไป 
ไม่สมควร, แต่ไม่พึงละจากหัตถบาสแห่งสภาและประตู ซึ่งมีอยู่ในที่ตรงหน้าแห่งถนนที่ตนเก็บจีวรไว้, 
จริงอยู่ เมื่อเป็นอย่างนี้ อาจจะทราบความเป็นไปแห่งจีวรได้ ดังนี้.
          แต่เมื่อภิกษุไปยังสภา เก็บจีวรไว้ในมือของชาวร้านตลาดคนใด, ถ้าชาวร้านตลาดคนนั้นไพล่นำจีวรนั้นไป
เก็บไว้ที่เรือน, หัตถบาสถนนคุ้มไม่ได้, ภิกษุจะต้องอยู่ในหัตถบาสแห่งเรือนเท่านั้น. ถ้าเรือนใหญ่ตั้งแผ่ครอบไป
ตลอดสองถนน, ภิกษุพึงให้อรุณตั้งขึ้นเฉพาะในหัตถบาสทางข้างหน้า หรือทางข้างหลัง (แห่งเรือนนั้น). แต่ภิกษุ
เก็บ (จีวร) ฝากไว้ในสภา พึงให้อรุณขึ้นในสภา หรือที่ใกล้ประตูเมือง ตรงหน้า
สภานั้น หรือว่า ในหัตถบาสแห่งสภา หรือที่ใกล้ประตูเมืองนั้นนั่นแล.
               ด้วย บทว่า อปริกฺขิตฺโต นี้ ท่านแสดงความที่บ้านนั้นนั่นแล มีอุปจารต่างกัน. พึงทราบความมีอุปจาร
เดียวกัน และมีอุปจารต่างกันในบททั้งปวง โดยอุบายอย่างนี้เหมือนกัน. แต่ในพระบาลีพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงยก
บทมาติกาขึ้นเพียงบทเดียว อันมีอยู่ในคำต้น อย่างนี้ว่า บ้าน ชื่อว่า มีอุปจารเดียว และอันตั้งอยู่ในที่สุดอย่างนี้ว่า 
ที่แจ้ง ชื่อว่ามีอุปจารเดียว แล้วขยายบทภาชนะให้พิสดาร. เพราะฉะนั้น ในทุกๆ บท พึงทราบความมีอุปจาร
เดียวกัน ด้วยอำนาจแห่งที่มีเครื่องล้อมเป็นต้น และความมีอุปจารต่างกัน ด้วยอำนาจแห่งที่ไม่มีเครื่องล้อมเป็นต้น
 โดยทำนองแห่ง บทนั้นนั่นแล.
               ในนิเวศน์ (เรือนพัก) เป็นต้น มีวินิจฉัย ดังนี้ :-
               บท ว่า โอวรกา นี้ เป็นคำยักเรียกห้องทั้งหลายนั้น.
               บท ว่า หตฺถปาสา วา ได้แก่ จากหัตถบาสแห่งห้อง หรือแห่งเรือน.
               บท ว่า ทฺวารมูเล ได้แก่ ในที่ใกล้ประตูเรือนอันสาธารณะแก่ชนทั้งปวงก็ดี.
               บท ว่า หตฺถปาสา วา ได้แก่ จากหัตถบาสแห่งห้อง หรือแห่งเรือนหรือแห่งใกล้ประตูเรือน.
               ที่ชื่อว่าโรงเก็บของนั้น ได้แก่ โรงเก็บสิ่งของมียวดยานเป็นต้น. 
จำเดิมแต่โรงเก็บสิ่งของนี้ไป พึงทราบวินิจฉัย โดยนัยดังกล่าวแล้วในเรือนพัก.
               ที่ชื่อว่าป้อมนั้น ได้แก่ ที่อาศัยพิเศษ ซึ่งเขาก่อด้วยอิฐ เพื่อป้องกันพระราชาข้าศึกเป็นต้น มีฝาผนังหนา มี
พื้น ๔-๕ ชั้น.               ปราสาท ๔ เหลี่ยมจตุรัส อันสงเคราะห์เข้าด้วยยอดเดียวกัน ชื่อว่า เรือนยอดเดียว. 
ปราสาทยาว ชื่อว่า ปราสาท. ปราสาทมีหลังคาตัด (ปราสาทโล้น) ชื่อว่า ทิมแถว. อัพภันดรนั่นที่ท่านกล่าวไว้ในคำ
ว่า ๗ อัพภันดร นี้มีประมาณ ๒๘ ศอก.
               บท ว่า สตฺโถ มีความว่า ถ้าหมู่เกวียนไปหยุดพักโอบหมู่บ้านหรือแม่น้ำ เนื่องเป็นอันเดียวกันกับหมู่เกวียน
ที่เข้าไปภายใน กระจายอยู่ตลอดไปทั้งฝั่งในทั้งฝั่งนอก ย่อมได้บริหารว่า หมู่เกวียนแท้. ถ้าหมู่เกวียนยังเนื่องกันอยู่
ที่บ้าน หรือว่าที่แม่น้ำ, หมู่เกวียนที่เข้าไปภายในแล้ว ย่อมได้บริหารว่า บ้าน และบริหารว่า แม่น้ำ. ถ้าหมู่เกวียน
หยุดพักอยู่เลยวิหารสีมาไป, จีวรอยู่ภายในสีมา พึงไปยังวิหารแล้วอยู่ภายในสีมานั้น, ถ้าจีวรอยู่ในภายนอก
สีมา, พึงอยู่ในที่ใกล้หมู่เกวียนนั่นแล. ถ้าหมู่เกวียนกำลังเดินทางเมื่อเกวียนหัก หรือโคหาย ย่อมขาดกันในระหว่าง,
จีวรที่เก็บไว้ในส่วนไหน พึงอยู่ในส่วนนั้น. หัตถบาสแห่งจีวรนั่นแล ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาของตระกูลเดียว.
 หัตถบาสแห่งประตูไร่นา ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาของตระกูลต่างกัน,
 หัตถบาสแห่งจีวรเท่านั้น ชื่อว่าหัตถบาสในไร่นาที่ไม่ได้ล้อม.
ลาน ท่านเรียกว่า ธัญญกรณ์ (ลานนวดข้าวเปลือก). สวนดอกไม้หรือสวนผลไม้ท่านเรียกว่า สวน. ในลานนวดข้าว
สวนทั้งสอง มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับที่กล่าวแล้วในไร่นานั่นแล. ในบทว่า วิหาร ก็มีวินิจฉัยเช่นเดียวกับเรือนพักนั่นเอง.
               ในรุกขมูล พึงทราบวินิจฉัย ดังนี้ :-
    บท ว่า อนฺโตฉายายํ คือ เฉพาะภายในโอกาสที่เงาแผ่ไปถึง. แต่จีวรที่ภิกษุเก็บไว้ในโอกาสที่แดดถูก 
แห่งต้นไม้มีกิ่งโปร่งเป็นนิสสัคคีย์แท้. เพราะฉะนั้น ภิกษุพึงเก็บจีวรไว้ที่เงาแห่งกิ่งไม้ หรือที่เงาแห่งลำต้น
ของต้นไม้เช่นนั้น. ถ้าจะเก็บไว้บนกิ่งหรือบนค่าคบ, พึงวางไว้ในโอกาสที่เงาแห่งกิ่งไม้ต้นอื่นข้างบนแผ่ไปถึงเท่านั้น.
 เงาของต้นไม้เตี้ย ย่อมแผ่ทอดไปไกล, พึงเก็บไว้ในโอกาสที่เงาแผ่ไปถูก. ควรจะเก็บไว้ในที่เงาทึบเท่านั้น.
 หัตถบาส แม้ในอธิการแห่งโคนไม้นี้ ก็คือหัตถบาสแห่งจีวรนั่นเอง.
               คำว่า อคามเก อรญฺเญ มีความว่า ป่าที่ชื่อว่าหาบ้านมิได้                        ย่อมได้ในป่ามีดงดิบเป็นต้น 
(ดงวิชฌาฏวีเป็นต้น) หรือบนหมู่เกาะ ซึ่งไม่เป็นทางเที่ยวไปของพวกชาวประมง             ในท่ามกลางสมุทร.
               คำว่า สนฺตา สตฺตพฺภนฺตรา มีความว่า ๗ อัพภันดร ในทิศทั้งปวงแห่งบุคคลผู้ยืนอยู่ที่ตรงกลาง รวมเป็น 
๑๔ อัพภันดร โดยทแยง. ภิกษุนั่งตรงกลางย่อมรักษาจีวรที่เก็บไว้ในที่สุดรอบแห่งทิศตะวันออก หรือทิศ
ตะวันตก. แต่ถ้าว่า ภิกษุเดินไปสู่ทิศตะวันออก แม้เพียงเส้นผมเดียว              ในเวลาอรุณขึ้น จีวรในทิศตะวันตก
เป็นนิสสัคคีย์. ในจีวรนอกจากนี้ก็นัยนี้. ก็แลในเวลากระทำอุโบสถ พึงชำระสัตตัพภันตรสีมาให้หมดจด ตั้งแต่ภิกษุ
ผู้นั่งในที่สุดท้ายแห่งบริษัท. ภิกษุสงฆ์ขยายไปตลอดที่ประมาณเท่าใด,
 แม้สีมาก็ขยายออกไปตลอดที่ประมาณเท่านั้น.
   ในคำว่า อนิสฺสชฺชิตฺวา ปริภุญฺชติ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ถ้าภิกษุผู้ประกอบความเพียร
 บำเพ็ญเพียรตลอดคืนยังรุ่งใฝ่ใจว่า เราจักสรงน้ำในเวลาใกล้รุ่ง จึงออกไป วางจีวรทั้ง ๓ ผืนไว้ที่ฝั่งแม่น้ำ
แล้วลงสู่แม่น้ำ, และเมื่อเธออาบอยู่นั่นเอง อรุณขึ้น, เธอพึงกระทำอย่างไร? ด้วยว่า เธอถ้าขึ้นมาแล้วนุ่งห่มจีวร, 
ย่อมต้องทุกกฏ เพราะไม่เสียสละจีวรที่เป็นนิสสัคคีย์แล้วใช้สอยเป็นปัจจัย, ถ้าเธอเปลือยกายไป แม้ด้วย
การเปลือยกายไปอย่างนั้น ก็ต้องทุกกฏ.
               ตอบว่า เธอไม่ต้อง, เพราะว่า เธอตั้งอยู่ในฐานะแห่งภิกษุผู้มีจีวรหาย เพราะจีวรเหล่านั้นเป็นของไม่ควร
บริโภค ตราบเท่าที่ยังไม่พบภิกษุรูปอื่นแล้วกระทำวินัยกรรม, และชื่อว่า สิ่งที่ไม่สมควรแก่ภิกษุผู้มีจีวรหาย 
ไม่มี เพราะฉะนั้น เธอพึงนุ่งผืนหนึ่ง เอามือถือสองผืนไปสู่วิหารแล้วกระทำวินัยกรรม. ถ้าว่า วิหารอยู่ไกล, 
ในระหว่างทางมีพวกชาวบ้านสัญจรไปมา, เธอพบพวกชาวบ้านเหล่านั้น พึงนุ่งผืนหนึ่ง ห่มผืนหนึ่ง วางผืนหนึ่งไว้
บนจะงอยบ่าแล้วพึงเดินไป. ถ้าหากไม่พบภิกษุที่ชอบพอกันในวิหาร, ภิกษุทั้งหลายไปเที่ยวภิกษาจารเสีย, เธอ
พึงวางผ้าสังฆาฏิไว้ภายนอกบ้าน ไปสู่โรงฉัน ด้วยผ้าอุตราสงค์กับอันตรวาสกแล้ว กระทำวินัยกรรม. ถ้าในภายนอก
บ้านมีโจรภัย พึงห่มสังฆาฏิไปด้วย, ถ้าโรงฉันคับแคบมีคนพลุกพล่าน, เธอไม่อาจเปลื้องจีวรออก ทำวินัยกรรม
ในด้านหนึ่งได้, พึงพาภิกษุรูปหนึ่งไปนอกบ้านกระทำวินัยกรรมแล้วใช้สอยจีวรทั้งหลายเถิด.
             ถ้าภิกษุทั้งหลายให้บาตรและจีวรไว้ในมือแห่งภิกษุหนุ่มทั้งหลาย กำลังเดินทางไป มีความประสงค์
จะนอนพักในปัจฉิมยาม, พึงกระทำจีวรของตนๆ ไว้ในหัตถบาสก่อนแล้วจึงนอน. ถ้าเมื่อพวกภิกษุหนุ่มมาไม่ทัน
 อรุณขึ้นไปแก่พระเถระทั้งหลายผู้กำลังเดินไปนั่นแล, จีวรทั้งหลายย่อมเป็นนิสสัคคีย์. ส่วนนิสัยไม่ระงับ. 
เมื่อพวกภิกษุหนุ่มเดินล่วงหน้าไปก่อนก็ดี พระเถระทั้งหลายเดินตามไม่ทันก็ดี           มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. แม้เมื่อ
ภิกษุทั้งหลายพลัดทางไม่เห็นกันและกันในป่าก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ก็ถ้าพวกภิกษุหนุ่มเรียนว่า ท่านขอรับ! 
พวกกระผมจักนอนพักสักครู่หนึ่งแล้ว จักตามไปทันพวกท่านในโอกาสชื่อโน้น ดังนี้แล้ว นอนอยู่จนอรุณขึ้น, จีวร
เป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย. แม้เมื่อพระเถระทั้งหลายส่งพวกภิกษุหนุ่ม         ไปก่อนแล้วนอน ก็มีนัยอย่างนี้
เหมือนกัน. พบทางสองแพร่ง พระเถระทั้งหลายบอกว่า ทางนี้, พวกภิกษุหนุ่มเรียนว่า ทางนี้ ไม่เชื่อถือถ้อยคำ
ของกันและกัน ไปเสีย (แยกทางกันไป), แม้พร้อมกับอรุณขึ้น จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ และนิสัยย่อมระงับ. ถ้า
พวกภิกษุหนุ่มแวะออกจากทางกล่าวว่า พวกเราจักกลับมาให้ทันภายในอรุณทีเดียว แล้วเข้าไปยังบ้านเพื่อต้องการ
เภสัชกำลังเดินมา, และอรุณขึ้นไปแก่พวกเธอผู้กลับมายังไม่ถึงนั่นเอง, จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์, แต่นิสัยไม่
ระงับ. ก็ถ้าว่าพวกเธอกล่าวว่า พวกเรายืนสักครู่หนึ่งแล้วจักไป แล้วยืนหรือนั่ง เพราะกลัวแม่โคนม (แม่โคลูกอ่อน)
หรือเพราะกลัวสุนัขแล้วจึงเดินไป, เมื่ออรุณขึ้นในระหว่างทาง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ด้วย นิสัยก็ระงับด้วย.
               เมื่อภิกษุทั้งหลาย (เมื่ออาจารย์และอันเตวาสิก) เข้าไปสู่บ้านภายในสีมาด้วยใส่ใจว่า เราจักมาใน
ภายในอรุณขึ้นนั่นเทียว อรุณขึ้นในระหว่าง, จีวรทั้งหลายไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยก็ไม่ระงับ. ก็ถ้าว่าภิกษุทั้งหลาย
นั่งอยู่ด้วยไม่ใส่ใจว่า ราตรีจงสว่างหรือไม่ก็ตามที แม้เมื่ออรุณขึ้นแล้ว จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยย่อมระงับ.
   ก็ภิกษุเหล่าใดเข้าไปสู่โรงในภายนอกอุปจารสีมาด้วยทั้งที่ยังมีอุตสาหะว่า เราจักมาในภายในอรุณ นั่นแล 
เพื่อประโยชน์แก่กรรมมีอุปสมบทกรรมเป็นต้น, อรุณตั้งขึ้นที่โรงนั้น แก่พวกเธอ, จีวรเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัย
ไม่ระงับ. ภิกษุทั้งหลายเข้าไปสู่โรงนั้นนั่นแลภายในอุปจารสีมา, เมื่ออรุณตั้งขึ้น จีวรไม่เป็นนิสสัคคีย์ นิสัยก็ไม่
ระงับ. แต่ภิกษุเหล่าใดยังมีอุตสาหะไปยังวิหารใกล้เคียง เพื่อประสงค์จะฟังธรรมตั้งใจว่า จักมาให้ทันภายในอรุณ, 
แต่อรุณขึ้นไปแก่พวกเธอในระหว่างทางนั่นเอง จีวรทั้งหลายเป็นนิสสัคคีย์ แต่นิสัยยังไม่ระงับ. ถ้าพวกเธอนั่งอยู่
ด้วยเคารพในธรรมว่า พวกเราฟังจนจบแล้วจึงจักไป พร้อมกับอรุณขึ้น แม้จีวรทั้งหลายก็เป็นนิสสัคคีย์ ทั้งนิสัย
ก็ระงับ.     พระเถระ เมื่อจะส่งภิกษุหนุ่มไปสู่ละแวกบ้าน เพื่อต้องการซักจีวร พึงปัจจุทธรณ์จีวรของตนก่อน แล้ว
จึงให้ไป. แม้จีวรของภิกษุหนุ่ม ก็พึงให้ปัจจุทธรณ์แล้วเก็บไว้. ถ้าภิกษุหนุ่มไปแม้ด้วยไม่มีสติ, พระเถระพึงถอนจีวร
ของตนแล้ว ถือเอาจีวรของภิกษุหนุ่มด้วยวิสาสะ พึงเก็บไว้. ถ้าพระเถระระลึกไม่ได้ แต่ภิกษุหนุ่มระลึกได้ ภิกษุ
หนุ่มพึงถอนจีวรของตน แล้วถือเอาจีวรของพระเถระด้วยวิสาสะแล้วไปเรียนว่า ท่านขอรับ ท่านจงอธิษฐานจีวร
ของท่านเสียแล้วใช้สอยเถิด. จีวรของตน เธอก็พึงอธิษฐาน. แม้ด้วยความระลึกได้ของภิกษุรูปหนึ่งอย่างนี้ ก็
ย่อมพ้นอาบัติได้แล. คำที่เหลือมีอรรถอันตื้นทั้งนั้น.

               บรรดาปกิณกะมีสมุฏฐานเป็นต้น ในปฐมกฐินสิกขาบทเป็นอกิริยา คือไม่อธิษฐานและไม่วิกัป 
ในสิกขาบทนี้เป็นอกิริยา คือไม่ปัจจุทธรณ์ (ไม่ถอน) อันนี้เท่านั้นเป็นความแปลกกัน.
               คำที่เหลือในฐานะทั้งหมดมีนัยดังกล่าวแล้วทั้งนั้นแล.                             พรรณนาอุทโทสิตสิกขาบท จบ.