Translate

30 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ เรื่องตายเพราะอหิวาตกโรค เด็กชายตระกูลอุปัฏฐากบรรพชา

search-google ทำบุญ 
   [๑๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลหนึ่งได้ตายลง เพราะอหิวาตกโรค. ตระกูลนั้นเหลืออยู่แต่พ่อกับลูก.
   คนทั้งสองนั้นบวชในสำนักภิกษุแล้ว เที่ยวบิณฑบาตด้วยกัน. ครั้นเมื่อเขาถวายภิกษาแก่ภิกษุผู้เป็นบิดา สามเณรน้อยก็ได้วิ่งเข้าไปพูดว่า พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง พ่อจ๋า ขอจงให้แก่หนูบ้าง.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ สามเณรน้อยรูปนี้ชะรอยเกิดแต่ภิกษุณี. 
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินประชาชนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   [๑๑๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ตระกูลอุปัฏฐากของท่านพระอานนท์มีศรัทธาเลื่อมใส ได้ตายลงเพราะอหิวาตกโรค. เหลืออยู่แต่เด็กชายสองคน. เด็กชายทั้งสองเห็นภิกษุทั้งหลาย จึงวิ่งเข้าไปหาด้วยกิริยาที่คุ้นเคยแต่ก่อนมา.
   ภิกษุทั้งหลายไล่ไปเสีย. 
   เด็กชายทั้งสองนั้นเมื่อถูกภิกษุทั้งหลายไล่ก็ร้องไห้ จึงท่านพระอานนท์ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติ มิให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี ก็เด็กชายทั้งสองคนนี้มีอายุหย่อน ๑๕ ปี ด้วยวิธีอะไรหนอ เด็กชายสองคนนี้จึงจะไม่เสื่อมเสีย ดังนี้ 
   จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ เด็กชายสองคนนั้นอาจไล่กาได้ไหม?
   ท่านพระอานนท์กราบทูลว่า อาจ พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้บวชเด็กชายมีอายุหย่อน ๑๕ ปี แต่สามารถไล่กาได้. 
   [๑๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนันทศากยบุตรมีสามเณรอยู่ ๒ รูป คือสามเณรกัณฏกะ ๑ สามเณรมหกะ ๑. เธอทั้งสองประทุษร้ายกันและกัน. ภิกษุทั้งหลายจึงเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสามเณรทั้งสองจึงได้ประพฤติอนาจารเห็นปานนั้นเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปเดียว ไม่พึงให้สามเณร ๒ รูปอุปัฏฐาก รูปใดให้อุปัฏฐาก ต้องอาบัติทุกกฏ. 
   [๑๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์นั้นแล ตลอดฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน.
   คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ทิศทั้งหลายคับแคบมืดมนแก่พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ทิศทั้งหลายไม่ปรากฏแก่พระสมณะพวกนี้
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกท่านพระอานนท์มารับสั่งว่า ดูกรอานนท์ เธอจงไปไขดาล บอกภิกษุทั้งหลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท ท่านผู้ใดมีความประสงค์ ท่านผู้นั้นจงมา.
   ท่านพระอานนท์รับสนองพระพุทธบัญชาแล้ว ไขดาลแจ้งแก่ภิกษุทั้งหลายในบริเวณวิหารว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทรงปรารถนาจะเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท ท่านผู้ใดมีความประสงค์ ท่านผู้นั้นจงมา.
   ภิกษุทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า อาวุโส อานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติให้ภิกษุถือนิสสัยอยู่ตลอด ๑๐ พรรษา และให้ภิกษุมีพรรษาได้ ๑๐ ให้นิสสัย พวกผมจักต้องไปในทักขิณาคิรีนั้น จักต้องถือนิสสัยด้วย จักพักอยู่เพียงเล็กน้อยก็ต้องกลับมาอีก และจักต้องกลับถือนิสสัยอีก 
   ถ้าพระอาจารย์ พระอุปัชฌาย์ ของพวกผมไป แม้พวกผมก็จักไป หากท่านไม่ไป แม้พวกผมก็จักไม่ไป อาวุโส อานนท์ ความที่พวกผมมีใจเบาจักปรากฏ.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกทักขิณาคิรีชนบท กับภิกษุสงฆ์มีจำนวนน้อย. ครั้นพระองค์เสด็จอยู่ ณ ทักขิณาคิรีชนบทตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จกลับมาสู่พระนครราชคฤห์อีกตามเดิม และพระองค์ตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาสอบ
   ถามว่า ดูกรอานนท์ ตถาคตจาริกทักขิณาคิรีชนบท กับภิกษุสงฆ์มีจำนวนน้อย เพราะเหตุไร? จึงท่านพระอานนท์กราบทูล เรื่องนั้นให้พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมารับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ ถือนิสสัยอยู่ ๕ พรรษา และให้ภิกษุผู้ไม่ฉลาด ถือนิสสัยอยู่ตลอดชีวิต.
   [๑๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ประกอบด้วยกองวิมุตติ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ
   ๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้เกียจคร้าน และ
   ๕. เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร และ
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก และ
   ๕. เป็นผู้มีปัญญา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดีโดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๕ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก และ
   ๕. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   [๑๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ไม่ประกอบด้วยกองสมาธิ 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ไม่ประกอบด้วยกองปัญญา 
อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ไม่ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. ประกอบด้วยกองศีล อันเป็นของพระอเสขะ
   ๒. ประกอบด้วยกองสมาธิ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๓. ประกอบด้วยกองปัญญา อันเป็นของพระอเสขะ
   ๔. ประกอบด้วยกองวิมุติ อันเป็นของพระอเสขะ
   ๕. ประกอบด้วยกองวิมุตติญาณทัสสนะ 
อันเป็นของพระอเสขะ และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้ไม่มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้ไม่มีหิริ
   ๓. เป็นผู้ไม่มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้เกียจคร้าน
   ๕. เป็นผู้มีสติฟั่นเฟือน และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้มีศรัทธา
   ๒. เป็นผู้มีหิริ
   ๓. เป็นผู้มีโอตตัปปะ
   ๔. เป็นผู้ปรารภความเพียร
   ๕. เป็นผู้มีสติตั้งมั่น และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. เป็นผู้วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังน้อย
   ๕. เป็นผู้มีปัญญาทราม และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน (ไม่ครบ) ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. เป็นผู้ไปไม่วิบัติด้วยศีล ในอธิศีล
   ๒. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยอาจาระ ในอัธยาจาร
   ๓. เป็นผู้ไม่วิบัติด้วยทิฏฐิ ในทิฏฐิยิ่ง
   ๔. เป็นผู้ได้ยินได้ฟังมาก
   ๕. เป็นผู้มีปัญญา และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ แม้อื่นอีก จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ คือ
   ๑. ไม่รู้จักอาบัติ
   ๒. ไม่รู้จักอนาบัติ
   ๓. ไม่รู้จักอาบัติเบา
   ๔. ไม่รู้จักอาบัติหนัก
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองไม่ได้ดีโดยพิสดาร จำแนกไม่ได้ด้วยดี ไม่คล่องแคล่วดี วินิจฉัยไม่เรียบร้อยโดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
   ๖. มีพรรษาหย่อน ๕
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล จะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้.
องค์ ๖ แห่งภิกษุผู้ไม่ต้องถือนิสสัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่ คือ
   ๑. รู้จักอาบัติ
   ๒. รู้จักอนาบัติ
   ๓. รู้จักอาบัติเบา
   ๔. รู้จักอาบัติหนัก
   ๕. เธอจำปาติโมกข์ทั้งสองได้ดีโดยพิสดาร จำแนกดี คล่องแคล่วดี วินิจฉัยเรียบร้อย โดยสุตตะ โดยอนุพยัญชนะ และ
   ๖. มีพรรษาได้ ๕ หรือมีพรรษาเกิน ๕
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๖ นี้แล ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
เรื่องถือนิสสัย จบ
อภยูวรภาณวาร จบ.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
เรื่องตายเพราะอหิวาตกโรค
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ
   บทว่า อหิวาตกโรเคน ได้แก่ มารพยาธิ. 
   จริงอยู่ โรคนั้นเกิดขึ้นในสกุลใด สกุลนั้นพร้อมทั้งสัตว์ ๒ เท้า ๔ เท้าย่อมวอดวายหมด. ผู้ใดทำลายฝาเรือนหรือหลังคาหนีไป หรือไปอยู่ภายนอกบ้านเป็นต้น ผู้นั้นจึงพ้น.
    ฝ่ายบิดากับบุตรในสกุลนี้ ก็พ้นแล้วด้วยประการอย่างนี้ เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวคำว่า บิดากับบุตรยังเหลืออยู่ ดังนี้. 
   บทว่า กากุฑฺฑปกํ 
   มีความว่า เด็กใดถือก้อนดินด้วยมือซ้ายนั่งแล้ว อาจเพื่อจะไล่กาทั้งหลายซึ่งพากันมาให้บินหนีไปแล้วบริโภคอาหารซึ่งวางไว้ข้างหน้าได้ เด็กนี้จัดว่าผู้ไล่กาไป จะให้เด็กนั้นบวช ก็ควร.
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ จบ. 
เรื่องถือนิสสัย
อรรถกถากากุฑเฑปกวัตถุ
   บทว่า อิตฺตโร มีความว่า การอยู่ประมาณน้อย คือ ๒-๓ วันเท่านั้น จักมี.    บทว่า โอคเณน ได้แก่ มีพวกลดไป. อธิบายว่า ภิกษุสงฆ์มีประมาณน้อย. 
ในข้อว่า อพฺยตฺเตน ยาวชีวํ นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ถ้าภิกษุผู้ไม่ฉลาดนี้จะไม่ได้อาจารย์ที่แก่กว่าไซร้, เธอจะเป็นผู้มีพรรษา ๖๐ หรือมีพรรษา ๗๐ ด้วยอุปสมบท เธอพึงนั่งกระโหย่งประณมมือกล่าว ๓ ครั้งอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุ ขอท่านจงเป็นอาจารย์ของข้าพเจ้าๆ จักอาศัยท่านอยู่ ดังนี้ 
   ถือนิสัยในสำนักของภิกษุแม้อ่อนกว่า แต่เป็นผู้ฉลาด ภิกษุนั้นแม้เมื่อจะลาเข้าบ้าน พึงจะนั่งกระโหย่งประณมมือกล่าวว่า ท่านอาจารย์ ผมลาเข้าบ้าน. 
ในการอำลาทุกอย่างก็นัยนี้. 
   ก็ในหมวด ๕ และหมวด ๖ ในอธิการนี้ สูตรเท่าที่ภิกษุผู้พ้นนิสัยแล้วพึงปรารถนา ข้าพเจ้ากล่าวแล้วในวรรณนาแห่งภิกขุโนวาทกสิกขาบท บัณฑิตพึงทราบว่าเป็นอัปปสุตบุคคล เพราะข้อที่สูตรนั้นไม่มี และเป็นพหุสุตบุคคล เพราะข้อที่สูตรนั้นมี. 
คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
อรรถกถาเรื่องให้ภิกษุถือนิสัย จบ. 

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อภยูวรภาณวาร ห้ามบวชทาส

     [๑๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ทาสคนหนึ่งหนีไปบวชในสำนักภิกษุ. พวกเจ้านายพบเข้าจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือทาสของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   เจ้านายบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้ทาสบวชเล่า. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนเป็นทาส ภิกษุไม่พึงบวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ ทรงอนุญาตการปลงผม
   [๑๑๐] ก็โดยสมัยนั้นแล บุตรช่างทองศีรษะโล้นคนหนึ่ง ทะเลาะกับมารดาบิดา แล้วไปอารามบวชในสำนักภิกษุ. ครั้งนั้น มารดาบิดาของเขาสืบหาเขาอยู่ ได้ไปอารามถามภิกษุทั้งหลายว่า ท่านเจ้าข้า ท่านทั้งหลายเห็นเด็กชายมีรูปร่างเช่นนี้บ้างไหม.
   บรรดาภิกษุพวกที่ไม่รู้เลยตอบว่า พวกอาตมาไม่รู้ พวกที่ไม่เห็นเลยตอบว่า พวกอาตมาไม่เห็น
   ครั้นมารดาบิดาของเขาสืบหาอยู่ ได้เห็นเขาบวชแล้วในสำนักภิกษุ จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ ช่างไม่ละอาย เป็นคนทุศีล พูดเท็จ รู้อยู่แท้ๆ บอกว่าไม่รู้ เห็นอยู่ชัดๆ บอกว่าไม่เห็น เด็กคนนี้บวชแล้วในสำนักภิกษุ. ภิกษุทั้งหลายได้ยินมารดาบิดาของบุตรช่างทองศีรษะโล้นนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อปโลกน์ต่อสงฆ์ เมื่อการปลงผม 
&@พวกเด็กชายสัตตรสวัคคีย์บวช
   [๑๑๑] ก็สมัยนั้นแล ในพระนครราชคฤห์มีเด็กชายพวกหนึ่ง ๑๗ คน เป็นเพื่อนกันเด็กชายอุบาลีเป็นหัวหน้าของเด็กพวกนั้น.
   ครั้งนั้น มารดาบิดาของเด็กชายอุบาลีได้หารือกันว่าด้วยวิธีอะไรหนอ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก.
   ครั้นแล้วหารือกันต่อไปว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงเรียนหนังสือ ด้วยวิธีอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลี จะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก 
   แล้วหารือกันต่อไปอีกว่า
   ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนหนังสือ นิ้วมือก็จักระบม ถ้าเจ้าอุบาลีเรียนวิชาคำนวณ ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีจะพึงอยู่เป็นสุข และไม่ต้องลำบาก. 
   ครั้นต่อมาจึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาคำนวณเขาจักหนักอก ถ้าจะพึงเรียนวิชาดูรูปภาพ ด้วยอุบายอย่างนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะพึงอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก
   ครั้นต่อมา จึงหารือกันอีกว่า ถ้าเจ้าอุบาลีจักเรียนวิชาดูรูปภาพ นัยน์ตาทั้งสองของเขาจักชอกช้ำ พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้แล มีปกติเป็นสุข มีความประพฤติเรียบร้อย ฉันอาหารที่ดี นอนในห้องนอนอันมิดชิด ถ้าเจ้าอุบาลีจะพึงบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร ด้วยวิธีนี้แหละ เมื่อเราทั้งสองล่วงลับไปแล้ว เจ้าอุบาลีก็จะอยู่เป็นสุข และจะไม่ต้องลำบาก.
   เด็กชายอุบาลีได้ยินถ้อยคำที่มารดาบิดาสนทนาหารือกัน ดังนี้ จึงเข้าไปหาเพื่อนเด็กเหล่านั้น ครั้นแล้วได้พูดชวนว่า มาเถิดพวกเจ้า พวกเราจักพากันไปบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร. เด็กชายเหล่านั้นพูดว่า ถ้าเจ้าบวช แม้พวกเราก็จักบวชเหมือนกัน.
   เด็กชายเหล่านั้นไม่รอช้า ต่างคนต่างก็เข้าไปหามารดาบิดาของตนๆ แล้วขออนุญาตว่า ขอท่านทั้งหลายจงอนุญาตให้ข้าพเจ้า ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด. มารดาบิดาของเด็กชายเหล่านั้นก็อนุญาตทันที ด้วยคิดเห็นว่า เด็กเหล่านี้ต่างก็มีฉันทะร่วมกัน มีความมุ่งหมายดีด้วยกันทุกคน.
   เด็กพวกนั้นเข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายให้พวกเขาบรรพชา อุปสมบท. ครั้นปัจจุสสมัยแห่งราตรี ภิกษุใหม่เหล่านั้นลุกขึ้นร้องไห้ วิงวอนว่า ขอท่านทั้งหลาย จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย จงให้ของเคี้ยว.
   ภิกษุทั้งหลายพูดอย่างนี้ว่า อาวุโสทั้งหลาย จงรอให้ราตรีสว่างก่อน ถ้าข้าวต้มมี จักได้ดื่ม ถ้าข้าวสวยมี จักได้ฉัน ถ้าของเคี้ยวมี จักได้เคี้ยว ถ้าข้าวต้ม ข้าวสวย หรือของเคี้ยวไม่มี ต้องเที่ยวบิณฑบาตฉัน. ภิกษุใหม่เหล่านั้นอันภิกษุทั้งหลายแม้กล่าวอยู่อย่างนี้แล
   ก็ยังร้องไห้วิงวอนอยู่อย่างนั้นแลว่า จงให้ข้าวต้ม จงให้ข้าวสวย <i>จงให้ของเคี้ยว ถ่ายอุจจาระรดบ้าง ถ่ายปัสสาวะรดบ้าง</i> ซึ่งเสนาสนะ.
   พระผู้มีพระภาคทรงตื่นบรรทมในปัจจุสสมัยแห่งราตรี ทรงได้ยินเสียงเด็ก ครั้นแล้วตรัสเรียกท่านพระอานนท์มาตรัสถามว่า ดูกรอานนท์ นั่นเสียงเด็ก หรือ?   จึงท่านพระอานนท์กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุทั้งหลายรู้อยู่ให้บุคคลผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบท จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษพวกนั้นรู้อยู่ จึงได้ให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี อุปสมบทเล่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี เป็นผู้ไม่อดทนต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย เป็นผู้มีปกติไม่อดกลั้นต่อสัมผัส แห่งเหลือบ ยุง ลม แดด สัตว์เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี 
   ต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้นแล้วอันกล้าแข็งกล้า เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อันอาจนำชีวิตเสียได้ ส่วนบุคคลมีอายุ ๒๐ ปี ย่อมเป็นผู้อดทนต่อเย็น ร้อน หิว ระหาย เป็นผู้มีปกติอดกลั้นต่อสัมผัสแห่งเหลือบ ยุง ลม แดด 
   สัตว์เลื้อยคลาน ต่อคลองแห่งถ้อยคำที่เขากล่าวร้าย อันมาแล้วไม่ดี ต่อทุกขเวทนาทางกายที่เกิดขึ้นแล้ว อันกล้าแข็งเผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ชอบใจ อันอาจนำชีวิตเสียได้ 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
   ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรู้อยู่ ไม่พึงให้บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีอุปสมบท รูปใดให้อุปสมบท ต้องปรับตามธรรม.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
ห้ามบวชทาส
อรรถกถาทาสวัตถุ
   วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ทาโส นี้ว่า ทาสมี ๔ จำพวกคือ ทาสเกิดภายใน ๑ ทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์ ๑ ทาสที่เขานำมาเป็นเชลย ๑ บุคคลที่ยอมเป็นทาสเอง ๑. 
   ในทาส ๔ จำพวกนั้น ลูกนางทาสีในเรือนเป็นทาสโดยกำเนิด ชื่อว่าทาสเกิดภายใน. บุตรที่เขาช่วยมาจากสำนักมารดาก็ดี ทาสที่เขาช่วยมาจากสำนักนายเงินก็ดี บุคคลที่เขาใช้ทรัพย์แทนแล้วยกขึ้นสู่จารีตแห่งทาสถ่ายเอาไปก็ดี 
   ชื่อว่าทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์. ทาสทั้งสองจำพวกนี้ไม่ควรให้บวช เมื่อจะให้บวช ต้องทำให้เป็นผู้มิใช่ทาสด้วยอำนาจจารีตในที่ชนบทนั้นๆ แล้ว จึงควรให้บวช. 
   ทาสที่ชื่อว่าเขานำมาเป็นเชลย คือ พระราชาทั้งหลายทรงทำการรบนอกแว่นแคว้น หรือรับสั่งให้เกลี้ยกล่อมกวาดต้อนเอาทั้งหมู่มนุษย์ซึ่งเป็นไททั้งหลาย มาจากภายนอกแว่นแคว้นก็ดี พระราชารับสั่งให้ริบบ้านบางตำบล 
   ซึ่งกระทำผิดภายในแว่นแคว้นนั่นเอง ราชบุรุษทั้งหลายกวาดต้อนทั้งหมู่มนุษย์มาจากบ้านตำบลนั้นก็ดี ในหมู่มนุษย์เหล่านั้น ผู้ชายทั้งหมดเป็นทาส ผู้หญิงทั้งหมดเป็นทาสี บุคคลเห็นปานนี้จัดเป็นทาสซึ่งเขานำมาเป็นเชลย.
   ทาสนี้ เมื่ออยู่ในสำนักชนทั้งหลายผู้นำตนมา หรือถูกขังไว้ในเรือนจำ หรืออันบุรุษทั้งหลายควบคุมอยู่ ไม่ควรให้บวช. 
   แต่เขาหนีไปแล้ว พึงให้บวชในที่ซึ่งเขาไปได้.
   ครั้นเมื่อพระราชาทรงพอพระหฤทัย ทรงทำการปลดจากจำโดยตรัสว่า จงปล่อยพวกทาสที่นำมาเป็นเชลย หรือโดยนัยเป็นสรรพสาธารณ์ พึงให้บวชเถิด. 
   บุคคลที่ยอมตัวเป็นทาสเองทีเดียวว่า ข้าพเจ้าเป็นทาสของท่าน ดังนี้ เพราะเหตุแห่งชีวิตก็ตาม เพราะเหตุแห่งความคุ้มครองก็ตาม ชื่อว่าผู้ยอมเป็นทาสเองเหมือนคนเลี้ยงช้าง ม้า โคและกระบือเป็นต้นของพระราชาทั้งหลาย ทาสเช่นนั้นไม่ควรให้บวช. 
   บุตรทั้งหลายของเหล่านางวัณณทาสีของพระราชา เป็นเช่นดั่งบุตรอำมาตย์. ถึงบุตรเหล่านั้นก็ไม่ควรให้บวชเหมือนกัน.
เหล่าหญิงซึ่งเป็นไท แต่ไม่มีใครคุ้มห้าม 
จึงเที่ยวไปกับพวกนางวัณณทาสี 
   จะให้บุตรทั้งหลายของหญิงเหล่านั้นบวชก็ควร. หากพวกหญิงเหล่านั้นขึ้นทะเบียนเสียเอง ไม่สมควรให้บุตรทั้งหลายของหญิงเหล่านั้นบวช ถึงพวกทาสของคณะทั้งหลายมีคณะภัททิปุตตกะเป็นต้น ซึ่งคณะชนเหล่านั้นไม่ยอมให้ก็ไม่ควรให้บวช. 
   ขึ้นชื่อว่าทาสสำหรับอาราม ซึ่งพระราชาพระราชทานไว้ในวัดทั้งหลาย บรรดามี จะให้ทาสแม้เหล่านั้นบวช ย่อมไม่สมควร แต่ช่วยให้เป็นไทแล้วให้บวช สมควรอยู่. 
   ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า ชนทั้งหลายนำทาสเกิดภายในและทาสที่ช่วยมาด้วยทรัพย์ มาถวายแก่ภิกษุสงฆ์ว่า ข้าพเจ้าถวายอารามิกทาส ทาสเหล่านั้นย่อมเป็นเช่นกับทาสที่เขาราดเปรียงบนศีรษะนั่นแหละ จะให้บวชก็ควร. 
   ส่วนอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า เขาถวายด้วยกัปปิยโวหารว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายอารามิกทาส ทาสนั้นอันเขาถวายแล้วด้วยโวหารอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามที ไม่ควรให้บวชแท้. พวกคนเข็ญใจคิดว่า จักอาศัยพระสงฆ์เลี้ยงชีพ จึงเป็นกัปปิยการกอยู่ในวัดที่อยู่ จะให้คนเข็ญใจเหล่านั้นบวช ควรอยู่.
   บิดามารดาของบุตรใดเป็นทาส หรือมารดาเท่านั้นเป็นทาสี บิดาไม่เป็นทาส ไม่ควรให้บุรุษนั้นบวช. ญาติหรืออุปฐากของภิกษุถวายทาสว่า ขอท่านจงให้บุรุษนี้บวช เขาจักทำความขวนขวายแก่ท่าน หรือว่า ทาสส่วนตัวของภิกษุนั้นมีอยู่ ทาสนั้นภิกษุทำให้เป็นไทเสียก่อนแล้วจึงควรให้บวช. 
   ในอรรถกถากุรุนทีแก้ว่า พวกนายถวายทาสว่า ขอท่านจงให้บุรุษนี้บวช ถ้าเขาจักยินดียิ่งในศาสนา, เขาจักไม่เป็นทาส ถ้าเขาจักสึก เขาจักคงเป็นทาสของพวกข้าพเจ้า ดังนี้
   ชื่อว่า ทาสยืมไม่ควรให้เขาบวช. บุรุษใดเป็นทาสไม่มีนาย บุรุษแม้นั้นอันภิกษุให้เป็นไทก่อนจึงควรให้บวช. ภิกษุไม่ทราบให้บรรพชาหรืออุปสมบทแล้ว จึงทราบภายหลัง ควรทำให้เป็นไทเหมือนกัน. และเพื่อประกาศเนื้อความข้อนี้ 
พระโบราณาจารย์ทั้งหลาย จึงกล่าวเรื่องนี้ว่า :- 
   ดังได้ยินมา นางกุลทาสีคนหนึ่งกับบุรุษคนหนึ่ง หนีจากอนุราธบุรีไปอยู่ในโรหนชนบท มีบุตรคนหนึ่ง. บุตรนั้นในเวลาที่บรรพชาอุปสมบทแล้ว เป็นภิกษุลัชชีมักรังเกียจ. 
   ภายหลังวันหนึ่ง เธอถามมารดาว่า อุบาสิกา พี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงของท่านไม่มีหรอกหรือ? ฉันจึงไม่เห็นญาติไรๆ เลย มารดาตอบว่า พ่อคุณ ฉันเป็นกุลทาสีในอนุราธบุรี หนีมาอยู่ที่นี่กับบิดาของคุณ. 
   ภิกษุผู้มีศีลได้ความสังเวชว่า ได้ยินว่าบรรพชาของเราไม่บริสุทธิ์ จึงถามมารดาถึงชื่อและโคตรของสกุลนั้นแล้วมายังอนุราธบุรี ได้ยืนที่ประตูเรือนของสกุลนั้น. เธอถึงเขาบอกว่า นิมนต์โปรดข้างหน้าเถิดเจ้าข้า? ก็ยังไม่เลยไป. 
   พวกเขาจึงพากันมาถามว่า มีธุระอะไรขอรับ? เธอจึงถามว่า นางทาสีชื่อนี้ของพวกท่านซึ่งหนีไปมีไหม? มีขอรับ ฉันเป็นบุตรนางทาสีนั้น ถ้าพวกท่านอนุญาตให้ฉัน ฉันจะบวช 
   พวกท่านเป็นนายของฉัน. พวกเขาเป็นผู้รื่นเริงยินดี ยกเธอเป็นไทว่า บรรพชาของท่านบริสุทธิ์ขอรับ แล้วนิมนต์ให้อยู่ในมหาวิหารบำรุงด้วยปัจจัย ๔ พระเถระอาศัยสกุลนั้นอยู่เท่านั้น ได้บรรลุพระอรหัต.   อรรถกถาทาสวัตถุกถา จบ.
ทรงอนุญาตการปลงผม
อรรถกถาภัณฑุกัมกถา     บทว่า กมฺมารภณฺฑุ ได้แก่ ลูกช่างทองซึ่งมีศีรษะโล้นไว้แหยม. มีคำอธิบายว่า เด็กรุ่นมีผม ๕ แหยม.๑- 
        ข้อว่า สงฺฆํ อปโลเกตุํ ภณฺฑุกมฺมาย มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุบอกเล่าสงฆ์เพื่อประโยชน์แก่ภัณฑุกรรม. 
         อาปุจฉนวิธี ในภัณฑุกรรมาธิการนั้น ดังนี้. 
    พึงนิมนต์ภิกษุทั้งหลายผู้นับเนื่องในสีมาให้ประชุมกันแล้ว นำบรรพชาเปกขะไปในสีมานั้นแล้ว บอก ๓ ครั้งหรือ ๒ ครั้งหรือครั้งเดียวว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้กะสงฆ์. 
    อนึ่ง ในอธิการว่าด้วยการปลงผมนี้ จะบอกว่า ข้าพเจ้าบอกภัณฑุกรรมของเด็กนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ข้าพเจ้าบอกสมณกรณ์ของทารกนี้ ดังนี้ก็ดี ว่า ทารกนี้อยากบวช ดังนี้ก็ดี ควรทั้งนั้น. 
   ถ้าสถานแห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันมีอยู่ คือโอกาสเป็นที่กำหนดปรากฎว่า ภิกษุ ๑๐ รูปหรือ ๒๐ หรือ ๓๐ รูปอยู่ด้วยกัน จะไปสู่โอกาสที่ภิกษุเหล่านั้นยืนแล้ว หรือโอกาสที่นั่งแล้วบอกเล่าโดยนัยก่อนนั้นเองก็ได้. 
     แม้จะวานพวกภิกษุหนุ่มหรือเหล่าสามเณรแต่เว้นบรรพชาเปกขะเสีย ให้บอกโดยนัยเป็นต้นว่า ท่านเจ้าข้า มีบรรพชาเปกขะอยู่คนหนึ่ง พวกผมบอกภัณฑุกรรมของเขา ดังนี้ก็ควร. 
    ถ้าภิกษุบางพวกเข้าสู่เสนาสนะ หรือพุ่มไม้เป็นต้น หลับอยู่ก็ดี ทำสมณธรรมอยู่ก็ดี ฝ่ายภิกษุสามเณรผู้บอกเล่า แม้เที่ยวตามหาก็ไม่พบ จึงมีความสำคัญว่า เราบอกหมดทุกรูปแล้ว ขึ้นชื่อว่าบรรพชาเป็นกรรมเบา เพราะเหตุนั้น บรรพชาเปกขะนั้นบวชแล้ว เป็นอันบวชด้วยดีแท้ ไม่เป็นอาบัติแม้แก่อุปัชฌาย์ผู้ให้บวช. 
   แต่ถ้าวัดที่อยู่ใหญ่เป็นที่อยู่ของภิกษุหลายพัน ถึงจะนิมนต์ภิกษุทั้งหมดให้ประชุมก็ทำได้ยาก ไม่จำต้องกล่าวถึงบอกเล่าตามลำดับ ต้องอยู่ในขัณฑสีมา หรือไปสู่แม่น้ำ หรือทะเลเป็นต้นแล้วจึงให้บวช.
    ฝ่ายผู้ใดเป็นคนโกนผมใหม่ หรือสึกออกไป หรือเป็นคนใดคนหนึ่ง ในพวกนักบวชมีนิครนถ์เป็นต้น มีผมเพียง ๒ องคุลี หรือหย่อนกว่า ๓ องคุลี กิจที่จะต้องปลงผมของผู้นั้นไม่มี เพราะเหตุนั้น แม้จะไม่บอกภัณฑุกรรม ให้บุคคลเช่นนั้นบวช ก็ควร. 
               ฝ่ายผู้ใดมีผมยาวเกิน ๒ องคุลี โดยที่สุดแม้ไว้ผมเพียงแหยมเดียว ผู้นั้น ภิกษุต้องบอกภัณฑุกรรมก่อนจึงให้บวชได้ อุบาลิวัตถุมีนัยดังกล่าวแล้วในมหาวิภังค์นั่นแล. 
๑- ตามนัยโยชนา ภาค ๒ หน้า ๒๐๒ ควรจะแปลว่า
 บทว่า กมมารภณฺฑุ ได้แก่ ชายศีรษะโล้นลูกนายช่างทอง.  มีคำอธิบายว่า เด็กรุ่นบุตรนายช่างทองมีผมอยู่๕ แหยม. (ตุลาธาโร ก็คือ สุวณฺณกาโร). 
ส่วนปาฐะว่า กมฺมารภณฺฑุ ในพระบาลีนั้น แปลเอาความว่า บุตรนายช่างทองศีรษะโล้น (วินัยปิฎก มหาวรรค เล่ม ๔ หน้า ๑๕๖)

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อภยูวรภาณวาร ห้ามบวชโจรหนีเรือนจำ

     [๑๐๔] ก็โดยสมัยนั้นแล พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้ทรงมีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น
   ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   สมัยต่อมา บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรมแล้ว ถูกเจ้าหน้าที่จองจำไว้ในเรือนจำ. เขาหนีเรือนจำหลบไปบวชในสำนักภิกษุ. 
   คนทั้งหลายเห็นแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือโจรหนี
   เรือนจำคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   คนบางคนพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะ
   เชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้โจรผู้หนีเรือนจำบวชเล่า.
      ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรผู้หนีเรือนจำ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ห้ามบวชโจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับ
   [๑๐๕] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งทำโจรกรรม แล้วหนีไปบวชในสำนักภิกษุและบุรุษนั้นถูกเจ้าหน้าที่ออกหมายประกาศไว้ทั่วราชอาณาจักรว่า พบในที่ใด พึงฆ่าเสียในที่นั้น.
   คนทั้งหลายเห็นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้ คือโจรผู้ถูกออกหมายจับคนนั้น ถ้ากระไรพวกเราจงฆ่ามันเสีย.
   คนบางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับบวชเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย โจรผู้ถูกออกหมายสั่งจับภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ
&@ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย
   [๑๐๖] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย บวชในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวายบวชเล่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาเฆี่ยนด้วยหวาย ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
&@ห้ามบวชบุรุษผู้ถูกสักหมายโทษ
   [๑๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแล บุรุษคนหนึ่งถูกลงอาญาสักหมายโทษ บวชในสำนักภิกษุ ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงให้บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษบวชเล่า. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ถูกลงอาญาสักหมายโทษ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.

&@ห้ามบวชคนมีหนี้
   [๑๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ลูกหนี้คนหนึ่งหนีบวชในสำนักภิกษุ. พวกเจ้าทรัพย์พบแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ภิกษุรูปนี้คือลูกหนี้ของพวกเราคนนั้น ถ้ากระไร พวกเราจงจับมัน.
   เจ้าทรัพย์บางพวกพูดทัดทานอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้พูดเช่นนี้ เพราะพระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช ได้มีพระบรมราชานุญาตไว้ว่า กุลบุตรเหล่าใดบวชในสำนักพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร กุลบุตรเหล่านั้น ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ เพราะธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบเถิด.
   ประชาชนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกภัย ใครๆ จะทำอะไรไม่ได้ แต่ไฉนจึงให้คนมีหนี้บวชเล่า. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนมีหนี้ ภิกษุไม่พึงให้บวช รูปใดให้บวช ต้องอาบัติทุกกฏ.
อรรถกามหาวรรคภาค ๑มหาขันธกะ
อรรถห้ามบวชโจรหนีเรือนจำ เป็นต้น
อรรถกถาโจรวัตถุ
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องโจรทั้งหลาย :- 
   สองบทว่า มนุสฺสา ปสฺสิตฺวา มีความว่า พระองคุลิมาลนั้นอันชนเหล่าใดเคยเห็นในเวลาที่ท่านเป็นคฤหัสถ์ และชนเหล่าใดได้ฟังต่อชนเหล่าอื่นว่า ภิกษุนี้คือองคุลิมาลนั้น ชนเหล่านั้นได้เห็นแล้ว ย่อมตกใจบ้าง ย่อมหวาดหวั่นบ้าง ย่อมปิดประตูบ้าง. แต่ท่านย่อมได้ภิกษาในเรือนของเหล่าชนที่ไม่รู้จัก. 
   บทว่า น ภิกฺขเว มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์เองเป็นเจ้าของแห่งธรรม เพราะฉะนั้น เมื่อจะทรงบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย เพื่อต้องการมิให้กระทำต่อไป จึงตรัสอย่างนั้น. 
   วินิจฉัยในคำนั้นว่า โจรชื่อว่าธชพันธะ เพราะอรรถวิเคราะห์ว่า ดุจผูกธงเที่ยวไป. มีคำอธิบายว่า เป็นคนโด่งดังในโลก เหมือนมูลเทพ๑- เป็นต้น. 
   เพราะเหตุนั้น ผู้ใดเที่ยวทำการฆ่าชาวบ้านก็ดี รบกวนคนเดินทางก็ดี ทำกรรมมีตัดที่ต่อเป็นต้นในเมืองก็ดี อนึ่ง ผู้ใดอันชนทั้งหลายรู้จักกันแซ่ว่า คนชื่อโน้นทำกรรมนี้ๆ ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ส่วนผู้ใดเป็นราชบุตรปรารถนาจะเป็นพระราชากระทำกรรมมีฆ่าชาวบ้านเป็นต้น ผู้นั้นควรให้บวช. เพราะว่าเมื่อราชบุตรนั้นผนวชแล้ว พระราชาทั้งหลายย่อมพอพระหฤทัย แต่ถ้าไม่ทรงพอพระหฤทัย ไม่ควรให้บวช. 
   โจรซึ่งลือชื่อในมหาชนในกาลก่อน ภายหลังละโจรกรรมเสีย สมาทานศีล   ๕. ถ้าหากชาวบ้านรู้จักเขาอย่างนั้น ควรให้บวช. ฝ่ายชนเหล่าใดเป็นผู้ลักของเล็กน้อยมีมะม่วงและขนุนเป็นต้น หรือเป็นโจรผู้ตัดที่ต่อเป็นต้นทีเดียว แต่แอบแฝงทำการลัก ทั้งภายหลังก็ไม่ปรากฏว่า กรรมนี้อันชนชื่อนี้ทำ จะให้ชนเหล่า บวชก็ควร.
๑- ในพระบาลีวินัยเป็น ธชพทฺโธ. ส่วนคำว่า 
มูลเทวาทโย โยชนาแก้อรรถว่า อาทิภูตเทวาทโย. ธชพทฺโธ
 หมายความไปในทางมีชื่อเสียงโด่งดังทางเสียอ้างว่า เหมือนมูลเทพเป็นต้น 
คำว่า มูลเทโว ทางสันสกฤต เป็นพระนามของท้าวกังสะ กษัตริย์ทรราชแห่งแคว้นมถุรา ทรงฆ่าทารกเสียมากมายก่ายกอง เพราะโหรทำนายว่า พระองค์จะถูกลูกชายของหญิงนางหนึ่งปลงพระชนม์ ด้วยความร้ายกาจนี้เอง ประชาชนพลเมืองจึงเห็นว่าท้าวเธอเป็นอสูร เป็นยักษ์ เป็นมาร มูลเทโว จะมาเป็นตัวอย่างในคำว่า มูลเทวาทโยนี้หรืออย่างไร? 
   สองบทว่า การํ ภินฺทิตฺวา 
มีความว่า ทำลายเครื่องจำคือขื่อเป็นต้น. 
   ในบทว่า อภยูวรา นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ชนเหล่าใดย่อมหลบหลีก เพราะความกลัว เหตุนั้น ชนเหล่านั้นชื่อภยูวรา ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว ฝ่ายสมณะเหล่านี้ มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว เพราะเป็นผู้ได้รับอภัย เพราะฉะนั้นจึงชื่อ อภยูวรา มิใช่ผู้หลบหลีกเพราะความกลัว. 
   ก็แลในบทว่า อภยูวรา นี้พึงทราบว่า 
อาเทส ป อักษรให้เป็น ว อักษร. 
   ในคำว่า น ภิกฺขเว การเภทโก นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   เรือนจำเรียกว่าการะ แต่ในอธิการนี้ เครื่องจำคือขื่อก็ดี เครื่องจำคือตรวนก็ดี เครื่องจำคือเชือกก็ดี ที่จำคือบ้านก็ดี ที่จำคือนิคมก็ดี ที่จำคือเมืองก็ดี การควบคุมด้วยบุรุษก็ดี ที่จำคือชนบทก็ดี ที่จำคือทวีปก็ดี จงยกไว้. 
   ผู้ใดทำลายหรือตัด หรือแก้หรือเปิดเครื่องจำชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาเครื่องจำที่จำเหล่านี้ หนีไปซึ่งหน้าหรือไม่มีคนเห็น ผู้นั้นถึงความนับว่า การเภทก ผู้แหกเรือนจำ. 
   เพราะเหตุนั้น การเภทกโจรเหล่านี้ทำลายที่จำคือทวีป ไปยังทวีปอื่นแล้วก็ดี ไม่ควรให้บวช. 
   ฝ่ายผู้ใดที่มิใช่โจร แต่ไม่ยอมทำหัตถกรรมอย่างเดียว ถูกอิสรชนทั้งหลายมีขุนส่วยของพระราชาเป็นต้น จองจำเอาไว้ ด้วยหมายใจ เมื่อมีการจองจำไว้อย่างนี้ ผู้นี้จะหนีไม่ได้ จักทำการของเรา ดังนี้ก็ดี ผู้นั้นแม้ทำลายเครื่องจำหนีไป ก็ควรให้บวช. 
   ฝ่ายผู้ใดรับผูกขาดบ้าน นิคมและท่าเป็นต้นด้วยส่วย ไม่ส่งส่วยนั้นให้ครบ ถูกส่งไปยังเรือนจำ ผู้นั้นหนีมาแล้ว ไม่ควรให้บวช. 
   แม้ผู้ใดรวมเก็บทรัพย์ไว้ เลี้ยงชีวิตด้วยกสิกรรมเป็นต้น ถูกใครๆ ส่อเสียดใส่โทษเอาว่า ผู้นี้ได้ขุมทรัพย์ แล้วถูกจองจำจะให้ผู้นั้นบวชในถิ่นนั้นเอง ไม่ควร. แต่จะให้เขาซึ่งหนีไปแล้วบวชในที่ซึ่งไปแล้วทุกตำบล ควรอยู่. 
   ในข้อนี้ว่า น ภิกฺขเว ลิขิตโก เป็นต้นนี้ มีวินิจฉัยว่า 
   บุคคลที่ชื่อว่าผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ จะได้แก่ผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ว่า พบเข้าในที่ใดให้ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ 
   อย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งซึ่งกระทำโจรกรรม หรือความผิดในพระราชาอย่างหนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และพระราชารับสั่งให้เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบลาน
   ว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในที่ใด พึงจับฆ่าเสียในที่นั้น
   หรือว่าพึงตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่าพึงให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้ ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้ ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ในคำว่า กสาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดไม่ยอมทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลงทัณฑกรรม. 
   ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่างโดยเป็นส่วยหรือโดยประการอื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล จงเป็นสินไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. 
   ก็แล เขาจะถูกเฆี่ยนด้วยหวายหรือถูกด้วยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามจงยกไว้ แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น.
   ต่อกระทำแผลทั้งหลายให้กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช. 
   อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าวและก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวมโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฎอยู่ ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว ควรให้บวช. 
   ในคำว่า ลกฺขณาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ข้อที่เป็นผู้ลงทัณฑกรรม พึงทราบโดยนัยก่อนนั่นแล. 
   ก็รอยแผลเป็นซึ่งถูกนาบด้วยเหล็กแดงมีที่หน้าผาก หรือที่อวัยวะทั้งหลายมีอกเป็นต้นของบุรุษใด 
   ถ้าบุรุษนั้นเป็นไท แผลยังสดอยู่เพียงใด
ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. 
   ถ้าแม้แผลของเขาเป็นของงอกขึ้นเรียบเสมอกับผิวหนังแล้ว แต่รอยแผลเป็นยังปรากฎอยู่ เมื่อเขานุ่งแล้วห่มผ้าเฉวียงบ่าปกปิดเรียบร้อยครบ ๓ ประการ ถ้ารอยแผลเป็นนั้นอยู่ในโอกาสที่มิได้ปกปิด ไม่สมควรให้บวช. อรรถกถาโจรวัตถุ จบ.
ห้ามบวชคนมีหนี้
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา ในคำว่า น ภิกฺขเว อิณายิโก เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า 
   หนี้ที่บิดาและปู่ของบุรุษใด กู้เอาไปก็ดี หนี้ที่บุรุษใดกู้เองก็ดี ทรัพย์บางอย่างที่มารดาบิดามอบบุตรใดไว้เป็นประกันแล้วลืมเอาไปก็ดี บุรุษนั้นชื่อว่าลูกหนี้ บุรุษนั้นต้องรับหนี้นั้นของชนเหล่าอื่น เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าลูกหนี้ 
   แต่ญาติอื่นๆ มอบบุตรใดไว้เป็นประกัน แล้วยืมทรัพย์บางอย่างไป บุรุษนั้นไม่จัดว่าเป็นลูกหนี้. เพราะว่าญาติอื่นๆ นั้น ไม่เป็นใหญ่ที่จะมอบบุรุษนั้นไว้เป็นประกันได้, เพราะเหตุนั้น จะให้บุรุษนั้นบวช สมควรอยู่. จะให้บุรุษนอกจากนี้บวช ไม่ควร. 
   แต่ถ้าญาติสาโลหิตทั้งหลายของเขารับใช้หนี้แทนว่า พวกข้าพเจ้าจักรับใช้ ขอท่านโปรดให้บวชเถิด หรือว่า ชนอื่นบางคนเห็นอาจารสมบัติของเขาแล้วกล่าวว่า ขอท่านจงให้เขาบวชเถิด ข้าพเจ้าจะใช้หนี้แทน ดังนี้ สมควรให้บวชได้. 
   เมื่อเข้าในที่ใด ให้ฆ่าเสียในที่นั้น ดังนี้ อย่างเดียวหามิได้ โดยที่แท้ผู้ใดผู้หนึ่งกระทำโจรกรรมหรือความผิดในพระราชาอย่างหนักชนิดอื่นแล้วหนีไป และ
   พระราชารับสั่งให้เขียนผู้นั้นลงในหนังสือหรือใบลานว่า ผู้มีชื่อนี้ ใครพบเข้าในที่ใด พึงจับฆ่าเสียในที่นั้น หรือว่า พึงตัดอวัยวะมีมือและเท้าเป็นต้นของมันเสีย หรือว่าพึงให้นำมาซึ่งสินไหมมีประมาณเท่านี้ ผู้นี้ชื่อผู้ร้ายซึ่งถูกเขียนไว้. ผู้นั้นไม่ควรให้บวช. 
   ในคำว่า กสาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ผู้ใดไม่ยอมทำการมีให้การและยอมรับใช้เป็นต้น จึงถูกลงอาชญา, ผู้นั้นไม่นับว่าผู้ถูกลงทัณฑกรรม. ฝ่ายผู้ใดรับเก็บทรัพย์บางอย่างโดยเป็นส่วย หรือโดยประการอื่นแล้วกินเสีย เมื่อไม่สามารถจะใช้คืนให้ จึงถูกเฆี่ยนด้วยหวายว่า นี้แล 
   จงเป็นสินไหมของเจ้า ผู้นี้ชื่อผู้ถูกเฆี่ยนด้วยหวาย ถูกลงทัณฑกรรม. ก็แลเขาจะถูกเฆี่ยนด้วยหวายหรือถูกด้วยไม้ค้อนเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม จงยกไว้, แผลยังสดอยู่เพียงใด ไม่ควรให้บวชเพียงนั้น. ต่อกระทำแผลทั้งหลายให้กลับเป็นปกติแล้วจึงควรให้บวช. 
   อนึ่ง ถ้าผู้ใดถูกเขาทำร้ายด้วยเข่าหรือด้วยศอก หรือด้วยผลมะพร้าวและก้อนหินเป็นต้นแล้วปล่อยไป และบวมโนในร่างกายของผู้นั้นยังปรากฎอยู่ ไม่ควรให้บวช. ผู้นั้นกระทำให้หายแล้ว เมื่อบวมโนอย่างนั้นยุบราบไปแล้ว ควรให้บวช. 
   ในคำว่า ลกฺขณาหโต กตทณฺฑกมฺโม นี้ มีวินิจฉัยว่า 
   ข้อที่ญาติสาโลหิตเหล่านั้นไม่มี ภิกษุพึงบอกแก่อุปัฎฐากเห็นปานนั้นก็ได้ว่า ผู้นี้เป็นบุคคลมีกุศลกรรมเป็นเหตุ แต่บวชไม่ได้เพราะกังวลด้วยหนี้. ถ้าเขารับจัดการ พึงให้บวช. 
   ถ้าแม้กัปปิยภัณฑ์ของตนมี พึงตั้งใจว่า เราจักเอากัปปิยภัณฑ์นั้นใช้ให้ แล้วให้บวช. แต่ถ้าชนทั้งหลายมีญาติเป็นต้นไม่รับจัดการทรัพย์ของตนก็ไม่มี ไม่สมควรให้บวช ด้วยทำในใจว่า เราจักให้บวชแล้วจักเที่ยวภิกษาเปลื้องหนี้ให้.
   ถ้าให้บวช ต้องทุกกฎ. แม้บุรุษนั้นหนีไป ภิกษุนั้นก็ต้องนำมาคืนให้. ถ้าไม่คืนให้ หนี้ทั้งหมดย่อมเป็นสินใช้. 
   เมื่อภิกษุไม่ทราบ ให้บวชไม่เป็นอาบัติ. แต่เมื่อพบปะเข้าต้องนำมาคืนให้แก่พวกเจ้าหนี้. ไม่เป็นสินใช้แก่ภิกษุผู้ไม่พบปะ. หากบุรุษผู้เป็นลูกหนี้ไปประเทศอื่นแล้ว แม้เมื่อภิกษุไต่ถามก็ตอบว่า ผมไม่ต้องรับหนี้ไรๆ ของใครๆ แล้วบวช. 
   ฝ่ายเจ้าหนี้เมื่อสืบเสาะหาตัวเขา จึงไปในประเทศนั้น. ภิกษุหนุ่มเห็นเจ้าหนี้นั้นเข้าจึงหนีไปเสีย. เขาเข้าไปหาพระเถระ ร้องเรียนว่า ท่านขอรับ ภิกษุรูปนี้ใครให้บวช? เธอยืมทรัพย์มีประมาณเท่านี้ของผมแล้วหนีไป. 
   พระเถระพึงตอบว่า อุบาสก เธอบอกว่าผมไม่มีหนี้สิน ฉันจึงให้บวช. บัดนี้ฉันจะทำอย่างไรเล่า? ท่านจงเห็นสิ่งของมาตรว่า บาตรจีวรของฉันเถอะ นี้เป็นสามีจิกรรมในข้อนั้น. และเมื่อภิกษุนั้นหนีไป สินใช้ย่อมไม่มี. 
   แต่ถ้าเจ้าหนี้พบภิกษุนั้นต่อหน้าพระเถระเทียว แล้วกล่าวว่า ภิกษุนี้เป็นลูกหนี้ของผม. พระเถระพึงตอบว่า ท่านจงรู้ลูกหนี้ของท่านเอาเองเถิด แม้อย่างนี้ย่อมไม่เป็นสินใช้.
   ถ้าแม้เขากล่าวว่า บัดนี้ ภิกษุนี้บวชแล้วจักไปไหนเสีย. พระเถระจึงตอบว่า ท่านจงรู้เองเถิด แม้อย่างนี้ เมื่อภิกษุนั้นหนีไป ย่อมไม่เป็นสินใช้แก่พระเถระนั้น. แต่ถ้าพระเถระกล่าวว่า บัดนี้ ภิกษุนี้จักไปไหนเสีย เธอจงอยู่ที่นี่แหละ ถ้าภิกษุนั้นหนีไป ต้องเป็นสินใช้.
   ถ้าเธอเป็นผู้มีกุศลกรรมเป็นเหตุถึงพร้อมด้วยวัตร. พระเถระพึงกล่าวว่า ภิกษุนี้ เป็นเช่นนี้. ถ้าเจ้าหนี้ยอมสละว่า ดีละ ข้อนี้เป็นอย่างนี้ได้เป็นการดี. ก็ถ้าเขาตอบว่า ขอท่านจงใช้ให้เล็กน้อยเถิด พระเถระพึงใช้ให้. 
   ต่อสมัยอื่น ภิกษุนั้นเป็นผู้ยังพระเถระให้พอใจยิ่งขึ้น แม้เมื่อเจ้าหนี้เขาทวงว่า ท่านจงใช้ทั้งหมด พระเถระควรใช้ให้แท้. และถ้าเธอเป็นผู้ฉลาดในอุทเทสแลปริปุจฉาเป็นต้น มีอุปการะมากแก่ภิกษุทั้งหลาย พระเถระจะพึงแสวงหาด้วยภิกษาจารวัตรก็ได้ ใช้หนี้เสียเถิด ฉะนี้แล.
อรรถกถาอิณายิกวัตถุกถา จบ.