Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หน้า ๒/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสูทินน์ อรรถกถา แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ หน้า ๒/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสูทินน์ อรรถกถา แสดงบทความทั้งหมด

03 สิงหาคม 2567

หน้า ๒/๒.ปาราชิกกัณฑ์ เรื่องพระสูทินน์ อรรถกถา มหาวิภังค์ ปฐมปาราชิกสิกขาบท

       search-google   
 [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติปฐมปาราชิกเมื่อ ๒๐ พระพรรษา]               ได้ยินว่า ในปฐมโพธิกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ภิกษุทั้งหลายได้ประคองพระหฤทัยให้ทรงยินดีแล้วตลอด ๒๐ ปี มิได้ทำอัชฌาจาร (ความ
ประพฤติล่วงละเมิด) เห็นปานนี้ (ให้เกิดขึ้นเลย).              พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงหมายเอาอัชฌาจารนั้นนั่นเอง จึงตรัสพระสูตรนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง พวกภิกษุได้ประคองจิตของเราให้ยินดีแล้วหนอ.
คราวนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อไม่ทรงเล็งเห็นอัชฌาจาร (ความประพฤติล่วงละเมิดเช่นนั้นของภิกษุทั้งหลาย) จึงมิได้ทรงบัญญัติปาราชิกหรือสังฆาทิ
เสส แต่ได้ทรงบัญญัติกองอาบัติเล็กน้อย ที่เหลือไว้เพียง ๕ กองเท่านั้น ใน
เพราะเรื่องนั้นๆ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เพราะสิกขาบทยังมิได้ทรงบัญญัติไว้.
               บทว่า อนาทีนวทสฺโส ความว่า ท่านสุทินน์ เมื่อไม่เล็งเห็นข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจักทรงบัญญัติสิกขาบทชี้โทษไว้ในบัดนี้ จึงเป็นผู้มีความสำคัญ
 (ในการเสพเมถุนธรรมนั้น) ว่าไม่มีโทษ.
               จริงอยู่ ถ้าท่านพระสุทินน์นี้พึงรู้ว่า สิ่งนี้ไม่ควรทำ หรือว่า สิ่งที่ทำนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อมูลเฉท ดังนี้ไซร้, กุลบุตรผู้บวชด้วยศรัทธา แม้จะถึงความสิ้น
ชีวิตไป อันมีกรรมนั้นเป็นเหตุก็จะไม่พึงทำ, แต่ท่านเมื่อไม่เล็งเห็นโทษในการ
เสพเมถุนธรรมนี้ จึงได้เป็นผู้มีความสำคัญว่า ไม่มีโทษ. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เป็นผู้มีความเห็นว่าไม่มีโทษ.
               บทว่า ปุราณทุติยิกาย นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ.
               บทว่า อภิวิญฺญาเปสิ คือ ให้เป็นไปแล้ว.
               จริงอยู่ แม้การให้เป็นไป ท่านเรียกว่า วิญฺญาปนา เพราะยังกายวิญญัติให้เคลื่อนไหว. ก็ท่านพระสุทินน์นี้ บัณฑิตพึงทราบว่า ได้ทำการยังกาย
วิญญัติให้เคลื่อนไหวถึง ๓ ครั้ง เพื่อความตกลงใจจะให้ตั้งครรภ์.
 หลายบทว่า สา เตน คพฺภํ คณฺหิ ความว่า แม้ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์นั้น ก็ตั้งครรภ์เพราะอัชฌาจารนั้นนั่นเอง หาได้ตั้งครรภ์โดยประการอื่นไม่.
               [เหตุที่ให้สตรีตั้งครรภ์มี ๗ อย่าง]               
               ถามว่า ก็การตั้งครรภ์ย่อมมีได้ แม้โดยประการอย่างอื่นหรือ?
               แก้ว่า ย่อมมีได้.
               ถามว่า ย่อมมีได้อย่างไร?
               แก้ว่า ย่อมมีได้ (เพราะเหตุ ๗ อย่างคือ) เพราะการเคล้าคลึงกาย ๑
 เพราะการจับผ้า (นุ่งห่ม) ๑ เพราะการดื่มน้ำอสุจิ ๑ เพราะการลูบคลำสะดือ
 (ของสตรี) ๑ เพราะการจ้องดู (รูป) ๑ เพราะเสียง ๑ เพราะกลิ่น ๑.
               จริงอยู่ สตรีทั้งหลาย บางพวกเป็นผู้มีความกำหนัดยินดีด้วย
ฉันทราคะ ในเวลาที่ตนมีระดู แม้เมื่อยินดีการที่บุรุษจับมือ จับช้องผม
 และการลูบคลำอวัยวะน้อยใหญ่ (ของตน) ย่อมตั้งครรภ์ได้. การตั้งครรภ์
ย่อมมีได้เพราะการเคล้าคลึงกาย ด้วยอาการอย่างนี้.
อนึ่ง นางภิกษุณีผู้เป็นภรรยาเก่าของพระอุทายีเถระ เอาปากอมน้ำอสุจินั้นไว้ส่วนหนึ่ง ใส่อีกส่วนหนึ่งเข้าในองคชาตรวมกับผ้านั่นเอง.
 นางก็ตั้งครรภ์ได้เพราะเหตุนั้น.๑-      การตั้งครรภ์ย่อมมีได้         เพราะการจับผ้า (นุ่งห่ม) ด้วยอาการอย่างนี้.              แม่เนื้อ ผู้เป็นมารดาของ
มิคสิงคดาบส ได้มายังสถานที่ถ่ายปัสสาวะของดาบส ในเวลาที่ตนมีระดู
 แล้วได้ดื่มน้ำปัสสาวะ ซึ่งมีน้ำสมภพเจือปนอยู่. แม่เนื้อนั้นก็ตั้งครรภ์ 
แล้วออกลูกเป็นมิคสิงคดาบส เพราะเหตุที่ตนดื่มน้ำปัสสาวะนั้น.๒- 
การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการดื่มน้ำอสุจิ ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง ท้าวสักกะทรงทราบข้อที่มารดาบิดาของพระสามดาบสโพธิสัตว์
 เสียจักษุ มีพระประสงค์จะประทานบุตร (แก่ท่านทั้งสองนั้น) จึงทรงรับ
สั่งกะทุกุลบัณฑิต (ผู้เป็นบิดาของพระสามดาบสโพธิสัตว์นั้น) ว่า เมถุนธรรม
ควรแก่ท่านทั้งสองหรือ?              ทุกุลกบัณฑิตทูลว่า อาตมภาพทั้งสอง
บวชเป็นฤษีแล้ว ไม่มีความต้องการ ด้วยเมถุนธรรมนั่น.
               ท้าวสักกะทรงรับสั่งว่า ถ้าเช่นนั้น ในเวลาที่นางปาริกาตาปสินีนี้มี
ระดู ท่านพึงเอานิ้วมือลูบคลำสะดือ (ของนาง) เถิด.
               ทุกุลกบัณฑิตนั้นได้ทำเหมือนอย่างนั้นแล้ว. นางปาริกาตาปสินีนั้น
ก็ตั้งครรภ์ แล้วคลอดทารกชื่อสามดาบส เพราะเหตุที่ลูบคลำสะดือนั้น.๓-
การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการลูบคลำสะดือ ด้วยอาการอย่างนี้. โดยนัยนี้
นั่นแลควรทราบเรื่องมัณฑัพยมาณพ๔- และเรื่องพระเจ้าจัณฑปัชโชต.
               ถามว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการจ้องดู (รูป) อย่างไร?
               แก้ว่า สตรีบางพวกในโลกนี้ ในเวลาที่ตนมีระดู เมื่อไม่ได้การเคล้า
คลึงกับชาย จึงเข้าไปในเรือน จ้องดูชายด้วยอำนาจความกำหนัดพอใจ
 (แล้วก็ตั้งครรภ์) เหมือนนางสนมชาววัง ฉะนั้น. นางย่อมตั้งครรภ์ เพราะการ
จ้องดูชายนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการจ้องดูรูป ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง บรรดานกตระกรุมทั้งหลาย (นกยาง) ชื่อว่านกตระกรุมตัวผู้
ย่อมไม่มี. นางนกตระกรุมเหล่านั้น ในเวลาที่ตนมีระดู ครั้นได้ฟังเสียงเมฆ
 (คำราม) แล้ว ย่อมตั้งครรภ์ ถึงแม่ไก่ทั้งหลายจะมากตัวก็ตาม ในกาล
บางครั้ง ครั้นได้ฟังเสียงไก่ผู้ตัวเดียว (ขัน) ก็ย่อมตั้งครรภ์ได้. ถึงแม่โค
ทั้งหลาย ครั้นได้ฟังเสียงโคอุสภะ (โคตัวผู้) แล้ว ก็ย่อมตั้งครรภ์เหมือน
อย่างนั้น. การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะเสียง ด้วยอาการอย่างนี้.
               อนึ่ง แม่โคทั้งหลายนั่นเอง ในกาลบางครั้ง ย่อมตั้งครรภ์ได้เพราะกลิ่นของโคตัวผู้, การตั้งครรภ์ ย่อมมีได้เพราะกลิ่น ด้วยอาการอย่างนี้.
               ส่วนในเรื่องนี้ ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์นี้ ย่อมตั้งครรภ์เพราะอัชฌาจาร ดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาตรัสไว้ว่า
               มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน ๑ มารดามีระดู ๑ สัตว์ผู้เกิด
ในครรภ์ปรากฏ ๑, เพราะความประชุมพร้อมแห่งปัจจัย ๓ ประการอย่างนี้ ความก้าวลงแห่งสัตว์ผู้เกิดในครรภ์ จึงมีได้.๕-
๑- วิ. มหา. เล่ม ๒/ข้อ ๔๒ ๒- ชาตกัฏฐกถา. ๘/๑, ๗/๓๙๖.
๓- นัยชาตกัฏฐกถา. ๙/๑๒๓-๔. ๔- ชาตกัฏฐกถา. ๗/๕-๖.
๕- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๔๕๒. ปปัญจสูทนี. ๒/๔๑๗-๘.
               [เทพเจ้าประกาศความชั่วของพระสุทินน์]               
               หลายบทว่า ภุมฺมา เทวาสทฺทมนุสฺสาเวสุํ ความว่า ชื่อว่าความลับของชนผู้กระทำกรรมชั่ว ย่อมไม่มีในโลก.๑-
               จริงอยู่ ตนของชนผู้กระทำความชั่วนั้น ย่อมรู้ความชั่ว (ที่ตนทำ) นั้น ก่อนกว่าคนอื่นทั้งหมด, ต่อจากนั้น อารักขเทพเจ้าทั้งหลายย่อมรู้, ภายหลังต่อ
มาเทพเจ้าแม้เหล่าอื่น ผู้รู้จิตของบุคคลอื่น ก็ย่อมรู้, เพราะเหตุนั้น ภุมมเทพเจ้าทั้งหลายผู้อาศัยอยู่ในไพรสณฑ์ทั้งสิ้น ซึ่งเป็นผู้รู้จิตของบุคคลอื่น พบเห็น
อัชฌาจารนั้นของท่านพระสุทินน์นั้น ก็ได้กระจายเสียงให้บันลือลั่นไป คือได้เปล่งเสียงออกโดยอาการที่เทพเจ้าแม้เหล่าอื่นจะได้ยิน.
               ถามว่า ได้ยินว่า อย่างไร?
               แก้ว่า ได้ยินดังนี้ ท่านผู้เจริญ โอ ภิกษุสงฆ์ไม่มีเสนียด หาโทษมิได้, (แต่) พระสุทินน์กลันทบุตรก่อเสนียดขึ้นแล้ว ก่อโทษขึ้นแล้ว.๒- ใจความแห่ง
คำว่า ไม่มีเสนียด เป็นต้นนั้น บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่ข้าพเจ้ากล่าวไว้แล้วในเวรัญชกัณฑ์นั่นแล.
อนึ่ง ในคำว่า ภุมฺมานํ เทวานํ สทฺทํ สุตฺวา จาตุมฺมหาราชิกา 
นี้ พึงทราบลำดับดังนี้ว่า อากาสัฏฐเทพเจ้าทั้งหลายได้สดับเสียง
เหล่าภุมมเทพเจ้าแล้ว, เทพเจ้าชั้นจาตุมหาราชทั้งหลายได้สดับเสียงเหล่าอากาสัฏฐเทพเจ้าแล้ว ดังนี้เป็นต้น.
บทว่า พฺรหฺมกายิกา ความว่า พรหมแม้ทั้งหมด ยกเว้นเหล่าอสัญญี
สัตว์และเหล่าอรูปาวจรสัตว์เสีย พึงทราบว่า ได้สดับแล้ว และครั้นได้สดับแล้ว ก็ได้กระจายเสียงให้บันลือลั่นแล้ว.
               หลายบทว่า อิติห เตน ขเณน ความว่า ชั่วขณะเดียวแห่งอัชฌาจารของท่านพระสุทินน์นั้น ด้วยอาการอย่างนี้.
   สองบทว่า เตน มุหุตฺเตน ความว่า ชั่วครู่เดียวแห่งอัชฌาจารนั่นเอง.
               สองบทว่า ยาว พฺรหฺมโลกา ความว่า (เสียงได้กระฉ่อนขึ้นไปแล้ว) จนถึงพรหมโลกชั้นอกนิฏฐะ.
               บทว่า อพฺภุคฺคญฺฉิ แปลว่า ได้กระฉ่อนขึ้นไปแล้ว คือได้ตั้งขึ้นแล้ว. ความก็ว่า ได้มีเสียงระเบ็งเซ้งแซ่เป็นอันเดียวกันแล้ว.
๑- ขุ. ชา. เล่ม ๒๗/ข้อ ๕๑๘/หน้า ๑๓๑. ชาตกัฏฐ ๔/๒๔๘.
๒- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๘/หน้า ๓๒.
               [บุตรชายของท่านพระสุทินน์มีชื่อว่าพีชกะ]               
               สองบทว่า ปุตฺตํ วิชายิ ความว่า ภรรยาเก่าของท่านพระสุทินน์ได้ให้ปัจฉิมภวิกสัตว์ ผู้เช่นกับพิมพ์ทองเกิดแล้ว.
               หลายบทว่า พีชโกติ นามํ อกํสุ ความว่า พวกสหายของท่านพระสุทินน์ไม่ยอมให้ตั้งชื่อเป็นอย่างอื่น คือได้พากันตั้งชื่อว่า 'พีชกะ' (เจ้าพืชก์) โดยลง
ความเห็นกันว่า ทารกนั้นจงมีชื่อว่า 'เจ้าพืชก์' เท่านั้น, เพราะเหตุแห่งคำที่ย่าได้กล่าวขอไว้ว่า 'พ่อจงให้พืชพันธุ์ไว้บ้าง' ดังนี้ ปรากฏชัดแล้ว. พวกสหายก็ได้ตั้ง
ชื่อให้แก่มารดาบิดาแห่งพีชกทารกนั้น ด้วยอำนาจชื่อบุตรชายเหมือนกัน.
               คำว่า เต อปเรน สมเยน        นี้ ท่านกล่าวหมายเอาเจ้าพืชก์และมารดาของเจ้าพืชก์.
               [มารดาและพีชกทารกบวชแล้วได้สำเร็จพระอรหัต]               
               ได้ยินว่า ในเวลาที่พีชกะมีอายุได้ ๗-๘ ขวบ มารดาของเธอได้บวชในสำนักนางภิกษุณี และพีชกทารกนั้นก็ได้บวชอยู่ในสำนักของภิกษุ ได้อาศัย
เพื่อนพรหมจารีผู้เป็นกัลยาณมิตร ก็ได้ดำรงอยู่ในพระอรหัตแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวไว้ว่า เขาทั้งสองได้ออกจากเรือนบวชเป็น
บรรพชิต ได้ทำให้แจ้งซึ่งพระอรหัตแล้ว.๑- บรรพชาของมารดาและบุตร ได้มีผลแล้วด้วยประการฉะนี้.
๑- วิ. มหา. เล่ม ๑/ข้อ ๑๘/หน้า ๓๒.
               [ท่านพระสุทินน์เดือดร้อนใจเพราะประพฤติชั่วหยาบ]               
               ส่วนบิดาของพีชกทารกนั้น ถูกความวิปฏิสารครอบงำอยู่ เพราะเหตุนั้น ท่านพระอุบาลีเถระจึงได้กล่าวคำว่า 
อถโข อายสฺมโต สุทินฺนสฺส อหุเทว กุกฺกุจฺจํ ดังนี้เป็นต้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อหุเทว แปลว่า ได้มีแล้วนั่นเทียว. ทะ อักษรทำการเชื่อมบท. ความว่า ได้มีแล้วนั่นเทียว.               ความตามเดือด
ร้อนในภายหลัง อันมีอัชฌาจารเป็นเหตุ ชื่อว่าความรำคาญ. แม้คำว่า วิปฏิสาโร ก็เป็นชื่อแห่งความตามเดือดร้อนในภายหลังนั้นนั่นเอง.
               จริงอยู่ ความตามเดือดร้อนในภายหลังนั้น ท่านเรียกว่า กุกกุจจะ (ความรำคาญ) โดยความเป็นกิริยาที่บัณฑิตพึงเกลียด เพราะความเป็นกรรม
อันผู้รู้ทั้งหลายไม่พึงทำ, ท่านเรียกว่า วิปฏิสาร (ความเดือดร้อน) 
โดยเป็นความระลึกผิดรูปไป เพราะอาศัยอัชฌาจารนั้น เพราะไม่สามารถจะห้ามอัชฌาจารที่ตนทำแล้วได้.
               หลายบทว่า อลาภา วต เม ความว่า ไม่ใช่ลาภของเราหนอ. 
มีอธิบายว่า ขึ้นชื่อว่า ความไม่ได้คุณทั้งหลาย มีฌานเป็นต้นเหล่านั้น ไม่ใช่ลาภของเรา ทั้งไม่ใช่ลาภของผู้อื่น.
               หลายบทว่า น วต เม ลาภา ความว่า คุณคือบรรพชา สรณคมน์และ
การสมาทานสิกขาแม้เหล่าใด ที่เราได้เฉพาะแล้ว, คุณคือบรรพชาเป็นต้น
แม้เหล่านั้น ชื่อว่าไม่ใช่ลาภของเราเลย เพราะมีอัชฌาจารเศร้าหมอง.
               หลายบทว่า        ทุลฺลทฺธํ วต เม          ความว่า พระศาสนานี้       แม้ที่เราได้แล้ว ก็ชื่อว่าเราได้ชั่ว.
         หลายบทว่า น วต เม สุลทฺธํ ความว่า พระศาสนานี้ เราได้ไม่ดีเหมือน
อย่างกุลบุตรเหล่าอื่นเขาได้กันหนอ. เพราะเหตุไร? เพราะเหตุเราบวช
ในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ดีแล้วอย่างนี้ ยังไม่สามารถ
จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริบูรณ์บริสุทธิ์ได้จนตลอดชีวิตแล.
บทว่า พฺรหฺมจริยํ ได้แก่มรรคพรหมจรรย์ที่ท่านสงเคราะห์ด้วยไตรสิกขา.
               สองบทว่า กิโส อโหสิ ความว่า ท่านพระสุทินน์นั้น เมื่อไม่สามารถจะเคี้ยวกินหรือฉันอาหาร จึงได้เป็นผู้ซูบผอม คือมีเนื้อและโลหิตน้อย.
               บทว่า อุปฺปณฺฑุปฺปณฺฑุกชาโต ได้แก่ ความเป็นผู้มีผิวเหลืองๆ เกิดขึ้น คือเป็นผู้มีส่วนเปรียบดุจใบไม้เหลือง.
               บทว่า ธมนิสณฺฐตคตฺโต ได้แก่ ผู้มีตัวสะพรั่งด้วยแถวเส้นเอ็นนั่นเอง เพราะความเป็นผู้มีเนื้อและโลหิตสิ้นไป.
               บทว่า อนฺโตมโน ได้แก่ ผู้มีความคิดตั้งอยู่ภายในนั่นเอง (ผู้มีเรื่อง
ในใจ) ด้วยอำนาจความระทมถึง. อนึ่ง สัตวโลกแม้ทั้งหมด ชื่อว่าเป็นผู้มีใจอยู่
ในภายในนั่นเอง (คิดอยู่แต่ในใจ) ด้วยอำนาจความเป็นไป อาศัยหทัยวัตถุ.
               บทว่า ลีนมโน ได้แก่ ผู้ทอดทิ้งธุระ คือผู้ไม่มีความขวนขวายใน
อุเทศ ปริปุจฉา กรรมฐาน อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา และการบำเพ็ญวัตร
และระเบียบวัตร. ชื่อว่า ผู้มีใจหดหู่ เพราะอรรถว่า ใจของผู้นั้น
หดหู่ คืองอกลับด้วยอำนาจความเกียจคร้านโดยแท้ทีเดียว.
               บทว่า ทุกฺขี ได้แก่ ผู้มีทุกข์ เพราะทุกข์ทางใจ.
               บทว่า ทุมฺมโน ได้แก่ ผู้มีใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว หรือผู้มีใจผิดรูป เพราะความเป็นผู้ถูกโทมนัสครอบงำ.
               บทว่า ปชฺฌายี      ความว่า ท่านพระสุทินน์ คิดถึงความชั่วที่ตนทำแล้วนั้นๆ ด้วยอำนาจความเดือดร้อน
 (ซบเซา) ดุจลาตัวที่เขาคัดออกจากภาระแล้ว (ซบเซาอยู่) ฉะนั้น.
               [พวกภิกษุสหายถามท่านพระสุทินน์ถึงความซูบผอม]               
               สองบทว่า สหายกา ภิกฺขู ความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ถามถึง
ความผาสุก ที่เป็นผู้คุ้นเคยของท่านพระสุทินน์ เห็นพระสุทินน์นั้นผู้เป็นแล้ว
อย่างนั้น ซึ่งปล่อยให้วันคืนผ่านไปอยู่ ด้วยธรรมเป็นเครื่องเนิ่นช้า คือ
การคลุกคลีอยู่ด้วยหมู่ จึงได้กล่าวคำนี้กะท่านพระสุทินน์นั้น.
               บทว่า ปินินฺทฺริโย ความว่า ผู้มีอินทรีย์มีจักษุเป็นต้นเต็มเปี่ยม เพราะโอกาสซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งประสาทสมบูรณ์.
               ศัพท์ว่า ทานิ ที่มีอยู่ในคำว่า โสทานิ ตฺวํ นี้ เป็นนิบาต. ท่านกล่าวอธิบายไว้ว่า โส ปน ตฺวํ ที่แปลว่า ก็คุณนั้น (ดูซูบผอม).
               หลายบทว่า กจฺจิ โน ตฺวํ คือ กจฺจิ นุ ตฺวํ ที่แปลว่า คุณ (จะไม่ยินดีประพฤติพรหมจรรย์) หรือหนอ?
               บทว่า อนภิรโต แปลว่า ผู้มีความกระสัน. อธิบายว่า ผู้ปรารถนาความเป็นคฤหัสถ์.
               เพราะเหตุนั้น ท่านพระสุทินน์ เมื่อจะคัดค้าน ความไม่ยินดีนั้นนั่นแล
 จึงกล่าวว่า อาวุโสทั้งหลาย ความจริง ไม่ใช่ว่าผมจะไม่ยินดี (ประพฤติ
พรหมจรรย์). อธิบายว่า ก็ผมยินดีทีเดียวในการเจริญกุศลธรรมอันยิ่ง.
               หลายบทว่า อตฺถิ เม ปาปกมฺมํ กตํ ความว่า บาปกรรมอย่างหนึ่งที่ผมทำไว้ มีอยู่ คือผมได้รับอยู่ ได้แก่มี
ปรากฏแก่ผมอยู่เป็นนิตยกาล ดุจมีอยู่เฉพาะหน้าฉะนั้น.
ถัดจากนั้นท่านพระสุทินน์เมื่อจะประกาศ(เปิดเผย)บาปกรรมที่ตนทำแล้วนั้น(แก่เหล่าภิกษุสหาย)จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ปุราณทุติยิกาย ดังนี้.
               [พวกภิกษุสหายเห็นด้วยว่ากรรมนั้นให้เกิดความรำคาญได้]         
                     หลายบทว่า อลํ หิ เต อาวุโส สุทินฺน กุกฺกุจฺจาย 
ความว่า อาวุโส สุทินน์ บาปกรรมนั่นของคุณ พอที่คือสามารถจะให้
คุณรำคาญได้. มีคำอธิบายว่า เป็นของสามารถจะให้เกิดความรำคาญได้.
               ในคำว่า ยํ ตฺวํ เป็นต้น พึงทราบการเชื่อมความดังนี้ว่า 
คุณจักไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ เพราะความชั่วใด, ความชั่วนั้นของคุณพอที่จะให้คุณรำคาญได้.
               ต่อจากนั้น เหล่าภิกษุสหาย เมื่อจะพร่ำสอนพระสุทินน์นั้น จึงได้กล่าวคำเป็นต้นว่า นนุ อาวุโส ภควตา ดังนี้.
    บรรดาบทเหล่านั้น ศัพท์ว่า นนุ เป็นนิบาต ลงในอรรถอนุมัติและตำหนิ.
               บทว่า อเนกปริยาเยน แปลว่า โดยเหตุมิใช่อย่างเดียว.
               บทว่า วิราคาย แปลว่า เพื่อคลายความกำหนัด.
               สองบทว่า โน สราคาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความกำหนัดด้วยราคะ.
               อธิบายว่า จริงอยู่ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว 
เพื่อประโยชน์แห่งการคลายความกำหนัดนั่นว่า สัตว์ทั้งหลาย
ได้สดับธรรมของเรานี้แล้ว จักคลายความกำหนัด คือจักไม่ยินดี
ในภพและโภคสมบัติทั้งปวง. ในบททั้งปวงก็มีนัยนั่น.
               ก็คำว่า วิสํโยาคาติ กิเลเสหิ วิสํยุชฺชนตฺถาย นี้ ที่มีอยู่ในบทว่า วิสํโยคาย เป็นต้นนี้ เป็นเพียงการกล่าวโดยนัยทางอ้อม.
บทว่า วิสํโยคาย ความว่า เพื่อปราศจากความประกอบด้วยกิเลสทั้งหลาย.
สองบทว่า โน สํโยคาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความประกอบ 
(ด้วยกิเลสทั้งหลาย).
               บทว่า อนุปาทานาย ความว่า เพื่อความไม่ถือมั่น.
               สองบทว่า โน สอุปาทานาย ความว่า ไม่ใช่เพื่อความยึดมั่น.
               หลายบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ ความว่า เมื่อธรรมชื่อนั้น (อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้ว เพื่อคายความกำหนัด) คุณ 
(ยังจักคิดเพื่อความกำหนัดอีกหรือ?).
               สองบทว่า สราคาย เจเตสฺสสิ ความว่า คุณยังจักคิด คือยังจักดำริ เพื่อเมถุนธรรมอันเป็นไปอยู่ พร้อมด้วยความกำหนัดหรือ? อธิบายว่า คุณ
จักยังพยายามเพื่อต้องการเมถุนธรรมนั่นหรือ? ในบททั้งปวงก็มีนัยนั่น.
               [อรรถาธิบายชื่อพระนิพพาน ๙ บท]               
               บททั้ง ๙ มีราควิราคะเป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระ
นิพพานซึ่งเป็นโลกุตรธรรมที่ปราศจากวัฏฏะนั่นแล ตรัสไว้ซ้ำอีก. เพราะ
เหตุนั้น แม้เมื่อพระองค์ตรัสว่า ราควิราคาย ก็ดี มทนิมฺมทนาย ก็ดี บัณฑิต
พึงเห็นใจความอย่างนี้เท่านั้นว่า "เพื่อประโยชน์แก่พระนิพพาน".
               จริงอยู่ พระนิพพาน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกว่า 
"ธรรมเป็นที่สำรอกราคะ" เพราะเหตุว่าราคะมาถึง คือปรารภ สืบต่ออาศัยพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมปราศไป คือไม่มี.
    อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่สร่างเมา เพราะเหตุว่า ความ
เมาทั้งหลาย มีความเมาด้วยอำนาจมานะ และความเมาในบุรุษเป็นต้น มา
ถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมเป็นอันสร่างไปไม่เป็นความเมา คือสาบสูญไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่คลายความกระหาย
 เพราะเหตุว่า ความกระหายในกามแม้ทั้งปวง มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมถึงความคลายไป คือความพลัดตกไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่เพิกถอนอาลัย เพราะเหตุว่า อาลัยคือเบญจกามคุณ มาถึงพระนิพพานแล้ว ย่อมถึงความเพิกถอนไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่ขาดเด็ดแห่งวัฏฏะ เพราะเหตุว่า วัฏฏะมี ๓ ภูมิ มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว ย่อมขาดเด็ดไป.
               อนึ่ง พระนิพพาน ทรงเรียกว่า ธรรมเป็นที่สิ้นตัณหา, ธรรมเป็นที่
บำราศราคะ ธรรมเป็นที่ดับ เพราะเหตุว่า ตัณหา มาถึงพระนิพพานนั้นแล้ว
 ย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมบำราศไป และย่อมดับไปโดยประการทั้งปวง.
               อนึ่ง พระนิพพานนั่น ทรงเรียกว่า นิพพาน เพราะเหตุ ว่า
ออกไป คือแล่นออกหลุดพ้น จากตัณหา ซึ่งได้โวหารว่า วานะ เพราะผูก
คือล่าม ได้แก่เย็บเชื่อมกำเนิด ๔ คติ ๕ วิญญาณฐิติ ๗ สัตตาวาส ๙ ไว้ เพื่อความมีความเป็นสืบๆ ไป ฉะนี้แล.
               หลายบทว่า กามานํ ปหานํ อกฺขาตํ มีความว่า การละวัตถุกามและกิเลสกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสไว้แล้วมิใช่หรือ?
               สองบทว่า กามสญฺญานํปริญฺญา มีความว่า การกำหนดรู้
ความหมายในกามแม้ทั้งหมด มี ๓ อย่าง ด้วยอำนาจญาตปริญญา (กำหนดรู้
ด้วยการรู้) ตีรณปริญญา (กำหนดรู้ด้วยการพิจารณา) และปหานปริญญา
 (กำหนดรู้ด้วยการเสียสละ) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
บทว่า กามปิปาสานํ มีความว่า การกำจัดความเป็นผู้ใคร่ เพื่อดื่มในกามทั้งหลาย หรือความอยากดื่มกามทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               บทว่า กามวิตกฺกานํ มีความว่า ความเพิกถอนวิตกทั้งหลายที่แอบอิงกาม พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               บทว่า กามปริฬาหานํ มีความว่า ความสงบราบแห่งความร้อนรุ่ม
ซึ่งเกิดขึ้น ด้วยอำนาจความกำหนัดที่ประกอบด้วยเบญจกามคุณ 
ได้แก่ ความกลัดกลุ้มภายใน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้วมิใช่หรือ?
               โลกุตรมรรค เครื่องทำความสิ้นกิเลสแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
ไว้แล้วในสถาน ๕ เหล่านี้. แต่มรรคที่เจือกันทั้งโลกิยะและโลกุตระ บัณฑิต
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วใน ๓ สถานแรกแห่งสถานทั้งหมด.
               คำว่า เนตํ อาวุโส เป็นต้น มีความว่า ดูก่อนผู้มีอายุ กรรมลามกนั่น
ของท่าน ย่อมไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสแห่งชนทั้งหลายผู้ยังไม่เลื่อมใส
 คือเพื่อประโยชน์แก่ความเลื่อมใสของชนทั้งหลายผู้เห็นปานนั้นหรือ?
           บทว่า อถเขฺวตํ ดัดบทเป็น อถโข เอตํ.
               บาลีว่า อถ เขตํ ก็มี.
               บทว่า อญฺญถตฺตาย มีความว่า (กรรมลามกนั่นของท่าน) ย่อมเป็นไป เพื่อความเป็นโดยประการอื่น จากความเลื่อมใส คือเพื่อความเดือดร้อน. 
อธิบายว่า ย่อมทำความเดือดร้อนแก่ชนทั้งหลาย ผู้มีศรัทธาอันยังมิได้มา
ด้วยมรรคว่า เราทั้งหลายเลื่อมใสแล้วในพระธรรมวินัย ชื่อแม้เช่นนี้ ซึ่งมีพวกภิกษุผู้ปฏิบัติเลวทราม.
               ฝ่ายความเลื่อมใสของชนทั้งหลายผู้มีศรัทธามาแล้วด้วยมรรค เป็นของไม่หวั่นไหวด้วยเรื่องเช่นนี้ หรือด้วยเรื่องที่ร้ายแรงยิ่งกว่านี้ เหมือนภูเขา
สิเนรุ ไม่หวั่นไหวด้วยลมฉะนั้น. เพราะเหตุนั้น ภิกษุสหายเหล่านั้น จึงกล่าวว่า เพื่อความเป็นโดยประการอื่นแห่งชนบางพวก.
               [ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องพระสุทินน์เสพเมถุนธรรม]               
               ข้อว่า ภควโต เอตมตฺถํอาโรเจสุํ มีความว่า ภิกษุสหายเหล่านั้นได้กราบทูล คือได้แจ้งเนื้อความนั้น แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า, ก็แล เมื่อกราบทูล หา
ได้กราบทูล เพื่อปรารถนาจะให้ตนเป็นที่โปรดปรานไม่, หาได้ทูลเพื่อมุ่งจะทำความยุยงไม่, หาได้ทูล เพื่อต้องการประจานโทษ ของท่านผู้มีอายุนั้นไม่,
 หาได้ทูลเพื่อบอกโทษที่น่าตำหนิไม่, หมายใจอยู่ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสดับเนื้อความนี้แล้ว จักไม่ให้พระสุทินน์นี้ คงอยู่ในพระศาสนา จักให้ฉุดคร่า
เธอออกไปเสีย จึงได้ทูลก็หาไม่, อันที่จริง ได้ทูลด้วยทำในใจว่า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ครั้นทรงทราบความเสียหายนี้ ซึ่งเกิดขึ้นในพระศาสนาแล้ว จักทรงบัญญัติสิกขาบท จักทรงตั้งเขตแดน คืออาชญาไว้.
               [พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตำหนิพระสุทินน์]               
          พึงทราบวินิจฉัยในคำว่า เอตสฺมึ นิทาเน เอตสฺมึ ปกรเณ นี้ต่อไปนี้ :-
               ความละเมิดอัชฌาจารของพระสุทินน์ พึงทราบว่า ท่านกล่าวว่า
 เป็นนิทานและเป็นปกรณ์ เพราะเป็นเหตุแห่งการบัญญัติสิกขาบท. 
จริงอยู่ เหตุ ท่านเรียกว่า นิทานและปกรณ์ เพราะเป็นที่มอบให้ซึ่งผล
ของตน คือยังผลให้บ่าไป เหมือนแสดงว่า เชิญถือเอาผลนั้นเถิด และ
เพราะเหตุที่เริ่มกระทำ คือปรารภเพื่อจะทำผลนั้น หรือว่าแต่งผลนั้นทีเดียว.
               หลายบทว่า วิครหิ พุทฺโธ ภควา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงติ คือทรงตำหนิ (พระสุทินน์) นั้น เหมือนอย่างบุคคลผู้เลิศ เมื่อจะแสดง
คุณและโทษของชนทั้งหลายผู้สมควรแก่คุณและโทษ ก็ติและชม ฉะนั้น.
   จริงอยู่ เพราะทรงเห็นบุคคล ผู้ทำการล่วงละเมิดศีล ความคิดย่อมไม่เกิดขึ้น
แก่พระผู้มีพระภาคเจ้าว่าผู้นี้เป็นคนมีชื่อเสียง มียศโดยชาติหรือโดยโคตร
 หรือโดยความเป็นบุตรของคนมีสกุล หรือโดยคัณฐะ (การร้อยกรอง) หรือ
โดยธุดงควัตร, เราสมควรที่จะรักษาบุคคลเช่นนี้ไว้ เพราะทรงเห็นบุคคลผู้มี
คุณมีศีลเป็นที่รัก จิตที่คิดจะปิดบังคุณของเขา จะได้เกิดขึ้นหามิได้เลย,
               อันที่จริง พระองค์ย่อมทรงติบุคคลซึ่งควรติเท่านั้น ย่อมทรงชม
บุคคลซึ่งควรชมเท่านั้น, และพระสุทินน์นี้เป็นผู้สมควรติ, เพราะเหตุนั้น 
พระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้ทรงดำรงอยู่ในลักษณะของท่านผู้คงที่ มีพระหฤทัยไม่
ลำเอียง ได้ทรงติพระสุทินน์นั้น ด้วยพระพุทธดำรัสว่า อนนุจฺฉวิยํ เป็นอาทิ.
               [อรรถาธิบายกรรมที่ไม่ควรแก่สมณะเป็นต้น]          
   ในคำว่า อนนุจฺฉวิยํ เป็นต้นนั้น มีการพรรณนาเนื้อความดังต่อไปนี้ :-
               ดูก่อนโมฆบุรุษ 
ผู้เป็นมนุษย์เปล่า กรรมที่เธอทำแล้วไม่สมควรแก่ธรรมอันทำความเป็นสมณะ หรือแก่มรรคผลนิพพานและศาสนา คือไม่เป็นไปตาม ได้แก่ไม่คล้อยไปตาม
ผิวคือเงา ได้แก่ความเป็นธรรมดีแห่งธรรมเหล่านั้น, โดยที่แท้ เป็นกรรม
เหินห่างจากธรรมเหล่านั้นทีเดียว, ก็เพราะความเป็นของไม่สมควรนั่นเอง กรรมนั้นจึงชื่อว่าเป็นของไม่เหมาะเจาะ คือไม่อนุโลมแก่ธรรมเหล่านั้น,
               โดยที่แท้ เป็นของแย้งกัน คือตั้งอยู่ในความเป็นข้าศึกกัน, เพราะความเป็นของไม่เหมาะเจาะนั่นแล กรรมนั้นจึงจัดเป็นกรรมไม่สมรูป คือเป็น
กรรมเข้ารูปกัน คล้ายกัน ถูกส่วนกันหามิได้, โดยที่แท้เป็นของไม่คล้ายกัน ก็ไม่ถูกส่วนกันทีเดียว, ก็เพราะความเป็นของไม่สมรูปกันนั่นแล กรรมนั้นจึงจัด
ว่าไม่ใช่ของสำหรับสมณะ คือไม่เป็นกรรมของพวกสมณะ, เพราะข้อที่ไม่เป็นของสำหรับสมณะ กรรมนั้นจึงจัดเป็นอกัปปิยะ,
               จริงอยู่ กรรมใดไม่ใช่กรรมของสมณะ, กรรมนั้น ย่อมไม่สมควรแก่สมณะเหล่านั้น, เพราะข้อที่กรรมเป็นอกัปปิยะ กรรมนั้นจึงจัดว่าไม่ควรทำ
, แท้จริง กรรมใดไม่สมควรแก่เหล่าสมณะ, สมณะทั้งหลายย่อมไม่ทำกรรมนั้น. แต่กรรมนี้นั้นอันเธอทำแล้ว,
               ดูก่อนโมฆบุรุษ เพราะเหตุนั้น กรรมอันไม่สมควร ไม่เหมาะเจาะ ไม่สมรูป ไม่ใช่กิจของสมณะ เป็นอกัปปิยะ ไม่ควรทำชื่อว่าอันเธอทำแล้ว.
               ข้อว่า กถํ หิ นาม มีความว่า เพราะเหตุชื่ออะไรเล่า? มีคำอธิบายว่า ท่านเล็งเห็นเหตุชื่ออะไรเล่า?
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดงความไม่มีเหตุ จึงตรัสคำว่า นนุ มยา โมฆปุริส เป็นต้นข้างหน้า.
               คำทั้งหมดมีเนื้อความดังกล่าวแล้วนั่นแล.
               กรรมลามกที่พระสุทินน์นั้นทำแล้ว เมื่อให้ผล ย่อมเป็นกรรม
มีวิบากเป็นทุกข์อย่างยิ่ง, เพราะเหตุนั้น บัดนี้ เมื่อจะทรงว่ากล่าวพระ
สุทินน์ด้วยพระหฤทัยประกอบด้วยความเอ็นดู ดุจมารดาบิดาผู้มีความ
เอ็นดู ว่ากล่าวบุตร ผู้ทำความผิดแล้ว ฉะนั้น จึงตรัสคำว่า 
วรนฺเต โมฆปุริส เป็นอาทิเพื่อแสดงวิบากนั้นแก่พระสุทินน์นั้น.
               ในคำว่า วรนฺเต โมฆปุริส เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               พิษของงูนั้นย่อมแล่นเร็ว คือไว เหตุนั้น งูนั้นจึงชื่อว่าอาสีวิสะ (มีพิษ
แล่นเร็ว) พิษของงูนั้น กล้า คือร้ายแรง เหตุนั้น งูนั้นจึงชื่อว่าโฆรวิสะ (มีพิษ
กล้า). แห่งอสรพิษ ที่มีพิษแล่นเร็ว มีพิษกล้านั้น. พึงเชื่อมบทนี้ว่า ปกฺขิตฺตํ ด้วย
บทว่า วรํ นี้. องคชาตอันเธอสอดเข้าไปในปากแห่งงูมีพิษ แล่นเร็วเช่นนี้
ประเสริฐกว่า. อธิบายว่า หากองคชาตพึงเป็นของอันเธอสอดเข้าไปไซร้, พึง
เป็นของประเสริฐกว่า คือความดี ความงาม ความชอบจะพึงมี.
               บทว่า น เตฺวว มีความว่า ไม่ประเสริฐเลย คือไม่เป็นความดีเลย ไม่เป็นความงามเลย ได้แก่ไม่เป็นความชอบทีเดียว.
               ในทุกๆ บทก็นัยนี้.
               บทว่า กณฺหสปฺปสฺส แปลว่า งูเห่าหม้อ.
               บทว่า      องฺคารกาสุยา       แปลว่า ในหลุมที่เต็มด้วยถ่านเพลิง  หรือ            ในกองถ่านเพลิง.
               บทว่า       อาทิตฺตาย       แปลว่า อันไฟติดทั่วแล้ว คือ       มีความสว่างเปลวไฟจับทั่วแล้ว.
 บทว่า สมฺปชฺชลิตาย แปลว่า รุ่งโรจน์ คือปล่อยเปลวไฟขึ้นโดยรอบด้าน.
               บทว่า สญฺโชติภูตาย แปลว่า มีแสงสว่าง. มีคำอธิบายว่า มีความเกิดขึ้นแห่งแสงสว่างเป็นอันเดียวกันจากเปลวไฟ ที่ลุกโพลงขึ้นโดยรอบด้าน.
               ในคำว่า ตํ กิสฺส เหตุ นี้ หากจะมีผู้ถาม ถามว่า คำที่เรากล่าวว่า ยังประเสริฐกว่า เป็นเหตุแห่งอะไร คือเพราะเหตุไหน?
               แก้ว่า เพราะพึงประสบความตาย. อธิบายว่า ผู้ใดพึงสอดองค์กำเนิดเข้าไปในปากงูเป็นต้นนั้น, ผู้นั้นพึงประสบความตาย.
               หลายบทว่า อิโตนิทานญฺจ โข ฯเปฯ อุปปชฺเชยฺย มีความว่า 
บุคคลผู้ทำการสอดองค์กำเนิด เข้าในองค์กำเนิดของมาตุคามนั้น พึงเข้าถึงนรกซึ่งมีการทำนี้เป็นเหตุ.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงถึงข้อที่กรรม
เป็นของมีโทษมากอย่างนั้น แล้วจึงทรงตำหนิพระสุทินน์นั้น หาได้ทรงตำหนิมุ่งให้พระสุทินน์นั้นประสบความทุกข์ไม่.
               หลายบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ ความว่า เมื่อกรรมอันนั้น คือเห็นปานนั้น
 แม้เป็นของมีโทษมากอย่างนี้ เธอ (ยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรมอันเป็นเรื่องของชาวบ้าน เป็นมรรยาทของคนชั้นต่ำ).
               ศัพท์ว่า ยํ ซึ่งมีอยู่ในคำว่า ยํ ตฺวํ นี้ เป็นนิบาตลงในอรรถแห่งความ
ดูถูก. บทว่า ตฺวํ เป็นไวพจน์แห่ง ตํ ศัพท์. ท่านกล่าวอธิบายไว้แม้ด้วย
บททั้งสองว่า ได้แก่ ความดูถูก คือความดูหมิ่นอย่างใดอย่างหนึ่ง.
               บทว่า       อสทฺธมฺมํ ได้แก่ธรรมของอสัตบุรุษ คือ           คนชั้นต่ำ. อธิบายว่า อันคนชั้นต่ำเหล่านั้น พึงเสพ.
               บทว่า       คามธมฺมํ       ได้แก่ เรื่องของชาวบ้าน. มีคำอธิบาย ว่า       เป็นธรรมของพวกชนชาวบ้าน.
               บทว่า วสลธมฺมํ ความว่า เป็นมรรยาทของเหล่าชนผู้เป็นคนชั้นต่ำ
 เพราะอรรถว่า หลั่งออก คือปล่อยออกซึ่งบาปธรรม ได้แก่ของพวกบุรุษ
เลวทราม. อีกอย่างหนึ่ง ธรรมเป็นเหตุไหลออกแห่งกิเลส ชื่อว่าวสลธรรม.
               บทว่า ทุฏฺฐุลฺลํ ได้แก่เป็นของชั่วและเป็นของหยาบ ซึ่งถูกกิเลสประทุษร้าย. มีคำอธิบายว่า เป็นของไม่สุขุม คือไม่ละเอียด.
               บทว่า โอทกนฺติกํ ความว่า เมถุนธรรม ชื่อว่ามีน้ำเป็นที่สุด
 เพราะอรรถว่า กิจเนื่องด้วยน้ำเป็นที่สุด คือ เป็นอวสานแห่งเมถุนธรรมนั้น. ซึ่งเมถุนธรรมอันมีน้ำเป็นที่สุดนั้น.
               บทว่า รหสฺสํ ได้แก่เป็นกรรมลับ คือเกิดขึ้นในโอกาสอันปิดบัง.
             จริงอยู่ ธรรมนี้ ใครๆ ไม่อาจจะทำให้เปิดเผย คือไม่อาจจะทำในวิสัย
ที่บุคคลเหล่าอื่นจะเห็นได้ เพราะเป็นกรรมน่าเกลียด. เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นกรรมลับ.
               บทว่า ทฺวยทฺวยสมาปตฺตึ แปลว่า อันชนสองคนๆ พึงประพฤติ
รวมกัน. บาลีว่า ทฺวยํ ทฺวยํ สมาปตฺตึ ก็มี. อาจารย์บางพวกสวดกันว่า 
ทยทยสมาปตฺตึ ดังนี้บ้าง. คำนั้นไม่ดี. พึงประกอบบทว่า สมาปสฺสิสฺสสิ นั้น
 เข้าด้วยนามศัพท์ที่ท่านกล่าวไว้ในบทว่า ตตฺถ นาม ตฺวํ นี้ว่า สมาปสฺสิสฺสสิ นาม (เธอยังชื่อว่าได้ต้องอสัทธรรม).
               [พระสุทินน์เป็นคนแรกในการเสพเมถุนธรรม]               
               พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมุ่งหมายเอาพระศาสนา ตรัสว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ ท่านเป็นตัวอย่าง เป็นหัวหน้าแห่งอกุศลธรรมทั้งหลายมากแล.
               มีคำอธิบายว่า ท่านนับว่าเป็นตัวอย่าง แห่งบุคคลทั้งหลาย หรืออกุศลธรรมทั้งหลายเป็นอันมากในพระศาสนานี้ เพราะทำก่อนบุคคลทั้งปวง
 นับว่าเป็นหัวหน้า คือเป็นผู้ให้ประตูได้แก่ชี้อุบาย เพราะเป็นผู้ดำเนินหนทางนั้นก่อนบุคคลทั้งปวง.
               จริงอยู่ ในคำว่า พหุนฺนํ โข เป็นต้นนี้ มีความประสงค์ดังนี้ว่า บุคคลเป็นอันมาก ได้เลิศนี้แล้ว สำเหนียกตามกิริยาของท่าน จักกระทำอกุศลธรรมมี
ประการต่างๆ มีเสพเมถุนธรรมกับนางลิงเป็นต้น.
               บทว่า        อเนกปริยาเยน คือ.     โดยเหตุมากมาย ซึ่งตรัสแล้วโดยนัยเป็นต้นว่า อนนุจฺฉวิกํ นี้.
               [ผู้ไม่ตั้งอยู่ในสังวรเป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔]               
               หลายบทว่า ทุพฺภรตาย ฯเปฯ โกสชฺชสฺส อวณฺณํ ภาสิตฺวา มี
ความว่า ตรัสโทษ คือข้อที่น่าตำหนิ ได้แก่ข้อที่น่าติเตียนแห่งอสังวร
ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความเสียหาย มีความเป็นผู้เลี้ยงยากเป็นต้น.
               จริงอยู่        ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมถึงความเป็นสภาพที่เลี้ยงยากและบำรุงยาก,
               เพราะเหตุนั้น        อสังวร ท่านจึงเรียกว่า       ความเป็นผู้เลี้ยงยากและความเป็นผู้บำรุงยาก.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมถึง
ความเป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔ และได้ปัจจัยทั้งหลาย แม้มีประมาณ
เท่าเขาสิเนรุแล้ว ก็ยังถึงความเป็นผู้ไม่สันโดษ, เพราะเหตุนั้น 
อสังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นผู้มักมากและความเป็นผู้ไม่สันโดษ.
อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ตั้งอยู่ในความไม่สำรวม ย่อมเป็นไป
เพื่อความคลุกคลีด้วยหมู่ และเพื่อความหมักหมมด้วยกิเลส ทั้ง
ย่อมเป็นสภาพเป็นไปตามความเกียจคร้าน คือเป็นไป
เพื่อยังวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งความเกียจคร้านแปดอย่างให้บริบูรณ์,๑-
               เพราะเหตุนั้น อสังวร ท่านจึงเรียกว่า ความคลุกคลีและความเกียจคร้าน.
๑- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๘๕/หน้า ๓๔๓
             [ผู้ตั้งอยู่ในสังวรไม่เป็นผู้มักมากในปัจจัย ๔]    หลายบทว่า สุภร
ตาย ฯเปฯ วิริยารมฺภสฺส วณฺณํ ภาสิตฺวา มีความว่า ทรงสรรเสริญคุณ
แห่งสังวร อันเป็นที่ตั้งแห่งคุณทั้งหลาย มีความเป็นผู้เลี้ยงง่ายเป็นต้น.
               จริงอยู่ ตนของบุคคลผู้ละอสังวร แล้วตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นสภาพ
ที่เลี้ยงง่ายบำรุงง่าย ย่อมถึงความเป็นผู้มักน้อย คือหมดความทะยานอยาก
ในปัจจัย ๔ และย่อมเป็นไปเพื่อความสันโดษ ๓ อย่าง ด้วยอำนาจแห่งยถา
ลาภสันโดษ ยถาพลสันโดษและยถาสารุปสันโดษ ในปัจจัยอย่างหนึ่งๆ
               เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นผู้เลี้ยงง่าย ความเป็นผู้บำรุงง่าย ความมักน้อยและความสันโดษ.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร ตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นไปเพื่อความเป็นผู้ขัดเกลากิเลส และความเป็นผู้กำจัดกิเลสออก,
               เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความขัดเกลาและความกำจัด.
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร แล้วตั้งอยู่ในสังวร ไม่เข้าไปใกล้
กายทุจริตและวจีทุจริต ซึ่งไม่ชวนให้เกิดความเลื่อมใส คือไม่เป็นที่ตั้งแห่ง
ความเลื่อมใส ไม่สงบ ไม่เรียบร้อยแห่งกายและวาจา และไม่เข้าไปใกล้อกุศล
วิตก ๓ ซึ่งไม่ชวนจิตให้เกิดความผ่องใส คือไม่เป็นที่ตั้งแห่งความผ่องใส
แห่งจิต ไม่สงบ ไม่เรียบร้อย ย่อมเป็นไปเพื่อความบริบูรณ์แห่งกายสุจริต 
วจีสุจริตและกุศลวิตก ๓ ซึ่งผิดแผกจากนั้นนั่นแล ที่ชวนให้เกิดความ
เลื่อมใส คือเป็นที่ตั้งแห่งความเลื่อมใส สงบ เรียบร้อย,
เพราะเหตุนั้น สังวร ท่านจึงเรียกว่า ความเป็นอาการให้เกิดความเลื่อมใส.
               [ผู้ตั้งอยู่ในสังวรเป็นผู้ไม่สั่งสมกิเลสทั้งปวง]               
               อนึ่ง ตนของบุคคลผู้ละอสังวร ตั้งอยู่ในสังวร ย่อมเป็นไป
เพื่อปราศจากวัฏฏะ อันเกิดแต่ความไม่สั่งสมกิเลสทั้งปวง และเพื่อ
ความบริบูรณ์แห่งวัตถุเป็นที่ตั้งแห่งวิริยารัมภะ ๘ อย่าง,๑-
               เพราะเหตุ นั้น      สังวร ท่านจึง     เรียกว่า ความไม่สั่งสม และ.     การปรารภความเพียร       ฉะนี้แล.
         ข้อว่า ภิกฺขูนํ ตทนุจฺฉวิกํ ตทนุโลมิกํ ความว่า ทรงทำพระธรรมเทศนา
นอกท้องเรื่อง ซึ่งพ้นจากบาลี ไม่เนื่องด้วยสุตตันตะที่ปฏิสังยุตด้วยสังวร
ปหานะ อันสมควรและเหมาะแก่สิกขาบทที่จักทรงบัญญัติในบัดนี้
 ทั้งสมควรและเหมาะแก่สังวรที่ตรัสด้วยธรรมทั้งหลายมีความเป็นผู้เลี้ยง
ง่ายเป็นต้น แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ประชุมกันแล้วในสถานที่นั้น.
      ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือนผู้แต่งระเบียบดอกไม้ห้าสี
 เปรียบผู้จัดพวงแก้ว เมื่อจะทรงคุกคามบุคคลทั้งหลาย ผู้พอใจนักในอสังวร
 ประสงค์จะคัดค้าน ด้วยวัฏภัยซึ่งมีในสัมปรายภพ จะทรงแสดงโทษมีประการ
มากมาย จะทรงยังบุคคลผู้ใคร่ต่อการศึกษาตั้งอยู่ในสังวร บางพวกให้
ประดิษฐานอยู่ในพระอรหัต, บางพวกให้ตั้งอยู่ใน อนาคามิผล สกทาคามิผล
และโสดาปัตติผล, จะทรงยังบุคคลทั้งหลายแม้ผู้ปราศจากอุปนิสัยให้
ประดิษฐานในทางสวรรค์ จึงทรงทำธรรมเทศนามีขนาดแห่งทีฆนิกายบ้าง 
มีขนาดแห่งมัชฌิมนิกายบ้าง ในสถานทั้งหลายเช่นนี้. พระอุบาลีเถระหมาย
เอาธรรมเทศนานั้น จึงกล่าวคำนี้ว่า ทรงทำธรรมีกถาซึ่งสมควรแก่สิกขาบท
และ สังวรนั้น ซึ่งเหมาะแก่สิกขาบทและสังวรนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   บทว่า เตน หิ มีความว่า เพราะอัชฌาจารนั้นของภิกษุสุทินน์อันเป็นตัวเหตุ.
               ในบทว่า สิกฺขาปทํ นี้ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ที่ชื่อว่า สิกขา เพราะอรรถว่า เป็นคุณชาตอันบุคคลพึงศึกษา. ที่ชื่อว่า บท เพราะอรรถว่า เป็นทางเป็นเครื่องอันบุคคลพึงถึง. ทางเป็นเครื่องอัน
บุคคลพึงถึงแห่งสิกขา ชื่อว่า สิกขาบท. ความว่า อุบายแห่งความได้สิกขา.
อีกอย่างหนึ่ง มีคำอธิบายว่า เป็นต้นเค้า คือเป็นที่อาศัยเป็นที่พำนักแห่งสิกขา.
 คำว่า สิกขาบท นั่น เป็นชื่อแห่งความสำรวมจากเมถุน โดยเว้นจากเมถุน.
               จริงอยู่ เมถุนสังวร ท่านประสงค์เอาว่า สิกขาบท ในที่นี้ เพราะความเป็นทางแห่งธรรม คือ ศีล วิปัสสนา ฌาน และมรรค กล่าวคือสิกขาอื่นจาก
เมถุนสังวรนั้น ด้วยอำนาจแห่งเนื้อความดังกล่าวแล้ว. ก็แลเนื้อความนี้ พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในวิภังค์แห่งสิกขาบท.
อีกอย่างหนึ่ง แม้คำที่แสดงเนื้อความนั้น พึงทราบว่า "เป็นสิกขาบท"
จริงอยู่ แม้พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ได้ตรัสคำนี้ว่า บรรดาหมวดเหล่านั้น หมวดนาม หมวดบท หมวดภาษา หมวดพยัญชนะ อันใด, อันนั้นชื่อว่า สิกขาบท.
               อีกประการหนึ่ง เมื่อท่านกล่าวว่า "อนภิชฌา เป็นธรรมบท"
 เนื้อความย่อมมีว่า "อนภิชฌา เป็นส่วนธรรมอันหนึ่ง" ข้อนี้ฉันใด, 
แม้ในที่นี้ก็ฉันนั้น เมื่อท่านกล่าวว่า "สิกขาบท" จะพึงทราบ
เนื้อความว่า "ส่วนแห่งสิกขา คือประเทศอันหนึ่งแห่งสิกขา" ดังนี้ ก็ได้.
๑- องฺ. อฏฺฐก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๑๘๖/หน้า ๓๔๕
               [ประโยชน์แห่งการบัญญัติสิกขาบท ๑๐ อย่าง]               
               หลายบทว่า ทส อตฺถวเส ปฏิจฺจ มีความว่า จักอาศัย 
คือมุ่งหมายปรารภอำนาจแห่งเหตุ คือประโยชน์เกื้อกูลพิเศษ 
๑๐ อย่างที่จะพึงได้ เพราะเหตุบัญญัติสิกขาบท. มีคำอธิบายว่า 
เล็งเห็นความสำเร็จประโยชน์พิเศษ ๑๐ อย่าง.
               บัดนี้      พระผู้มีพระภาคเจ้าจะแสดงอำนาจประโยชน์          ๑๐ อย่างนั้น จึงตรัสคำว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย เป็นต้น.
               [อธิบายประโยชน์การบัญญัติสิกขาบท ๑๐ อย่าง]               
               บรรดาอำนาจประโยชน์สิบอย่างนั้น ที่ชื่อว่า ความเห็นชอบของสงฆ์ ได้แก่ข้อที่สงฆ์ยอมรับว่าดี. คือข้อที่สงฆ์รับพระดำรัสว่า "ดีละ พระเจ้าข้า!
" เหมือนในอนาคตสถานที่ว่า "ดีละ สมมติเทพเจ้า!"
               จริงอยู่ ภิกษุใดยอมรับพระดำรัสของพระตถาคตเจ้า, 
การยอมรับพระดำรัสนั้น ของ       ภิกษุนั้นย่อมเป็นไป.     เพื่อประโยชน์เกื้อกูล.     เพื่อความสุขตลอดกาลนาน.
         เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงเปิดเผยเนื้อความนี้ว่า
 เราจักแสดงโทษในความไม่ยอมรับ และอานิสงส์ในความยอมรับ คือ
ไม่กดขี่โดยพลการ จักบัญญัติ (สิกขาบท) เพื่อให้สงฆ์ยอมรับคำ
ของเราว่า ดีละ พระเจ้าข้า ดังนี้ จึงตรัสคำว่า "เพื่อความเห็นชอบแห่งสงฆ์".
               บทว่า สงฺฆผาสุตาย คือเพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์. อธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่ความอยู่เป็นสุข ด้วยความเป็นอยู่ร่วมกัน.
               หลายบทว่า ทุมฺมงฺกูนํ ปุคฺคลานํ นิคฺคหาย ความว่า บุคคล
ผู้ทุศีล ชื่อว่าบุคคลผู้เก้อยาก, ภิกษุเหล่าใด แม้อันภิกษุทั้งหลายจะ
ให้ถึงความเป็นผู้เก้อ ย่อมถึงได้โดยยาก, กำลังกระทำการละเมิด หรือ
กระทำแล้ว ย่อมไม่ละอาย, เพื่อประโยชน์แก่อันข่มภิกษุเหล่านั้น.
               จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น เมื่อสิกขาบทไม่มี 
จักเบียดเบียนสงฆ์ด้วยถ้อยคำว่า เรื่องอะไรที่พวกท่านเห็นมาแล้ว 
เรื่องอะไรที่พวกท่านได้ฟังมาแล้ว สิ่งอะไรที่พวกข้าพเจ้าทำแล้ว 
พวกท่านยกอาบัติไหนในเพราะวัตถุอะไร ขึ้นข่มพวกข้าพเจ้า,
 ก็เมื่อสิกขาบทมีอยู่ สงฆ์จักอ้างสิกขาบทแล้ว ข่มภิกษุ
พวกนั้นโดยธรรม โดยวินัย โดยสัตถุศาสนา.
  เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เพื่อข่มเหล่าบุคคลผู้เก้อยาก.
หลายบทว่า เปสลานํ ภิกฺขูนํ ผาสุวิหาราย คือเพื่อประโยชน์แก่
ความอยู่ผาสุกของภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายผู้มีศีล
เป็นที่รัก ไม่รู้สิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ สิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษ
 ขีดคั่น เขตแดน พยายามอยู่ เพื่อความบริบูรณ์แห่งไตรสิกขา
 เมื่อมีความสงสัย ย่อมลำบาก ย่อมรำคาญ, แต่ครั้นรู้สิ่งที่ควรทำ และ
ไม่ควรทำ สิ่งที่มีโทษและไม่มีโทษ ขีดคั่นเขตแดนแล้ว พยายามอยู่
เพื่อความบริบูรณ์แห่งไตรสิกขา ย่อมไม่ลำบาก ย่อมไม่รำคาญ.
               เพราะเหตุนั้น        การบัญญัติสิกขาบท จึง         เป็นไปเพื่อความอยู่ผาสุก.           ของพวกภิกษุนั้น.
               อีกอย่างหนึ่ง ความข่มบุคคลผู้เก้อยากทั้งหลายนั้นนั่นแล เป็นความ
อยู่ผาสุกแห่งภิกษุนั้น. ด้วยว่า อุโบสถย่อมดำรงอยู่ไม่ได้ ปวารณาย่อมดำรง
อยู่ไม่ได้ สังฆกรรมทั้งหลายย่อมเป็นไปไม่ได้ ความสามัคคีย่อมมีไม่ได้ เพราะ
อาศัยเหล่าบุคคลผู้ทุศีล. ภิกษุทั้งหลายมีอารมณ์เป็นหนึ่งไม่ได้ ย่อมไม่
สามารถประกอบตามซึ่งอุเทศ ปริปุจฉาและกรรมฐานเป็นต้น.
               ก็เมื่อเหล่าบุคคลผู้ทุศีลถูกข่มเสียแล้ว อุปัทวะแม้ทั้งหมดนี้หามีไม่, เมื่อนั้น พวกภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รักย่อมอยู่เป็นผาสุก.
               ในคำว่า "เพื่อความอยู่เป็นผาสุกของภิกษุทั้งหลายผู้มีศีลเป็นที่รัก" นี้ บัณฑิตพึงทราบอธิบายโดย ๒ นัย ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า "เพื่อป้องกันอาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปในปัจจุบัน" อธิบายว่า ทุกข์พิเศษมีการประหารด้วยฝ่ามือ ประหารด้วยท่อนไม้ ตัดมือตัดเท้า ความ
เสียชื่อเสียง ความเสื่อมยศและความเดือดร้อนเป็นต้น อันบุคคลผู้ตั้งอยู่ใน
ความไม่สังวร จะพึงถึงในอัตภาพนี้นั่นเทียว ชื่อว่า อาสวะอันเป็นไป
ในปัจจุบัน.      เพื่อป้องกัน คือ ปิดกั้นทางมาแห่งอาสวะอันเป็นไป        ในปัจจุบันเหล่านี้ ด้วยประการฉะนี้.
               คำว่า "เพื่อกำจัดอาสวะทั้งหลาย อันเป็นไปในสัมปรายภพ"
 มีความว่า ทุกข์พิเศษมีบาปกรรมที่ตนกระทำแล้วเป็นมูล อันบุคคล
ผู้ตั้งอยู่ในความไม่สังวร จะพึงถึงในนรกเป็นต้นในสัมปรายภพ 
ชื่อว่าอาสวะอันเป็นไปในสัมปรายภพ, เพื่อประโยชน์แก่การกำจัด.
               มีคำอธิบายว่า เพื่อประโยชน์แก่การระงับ คือเพื่อประโยชน์แก่การเข้าไปสงบอาสวะอันเป็นไปในสัมปรายภพเหล่านี้.
 ข้อว่า อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย มีความว่า เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติ มนุษย์ผู้
บัณฑิตทั้งหลาย แม้ไม่เลื่อมใส ได้ทราบสิกขาบทบัญญัติ หรือได้เห็นภิกษุ
ทั้งหลายปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติ ย่อมถึงความเลื่อมใสว่า ธรรม
เหล่าใดหนอ เป็นที่ตั้งความกำหนัด ความขัดเคือง และความลุ่มหลงของ
มหาชนในโลก, สมณศากยบุตรเหล่านี้ย่อมอยู่เหินห่างเว้นจากธรรมเหล่านั้น,
 พวกเธอทำกรรมที่ทำได้ยากหนอ ทำกิจที่หนักหนอ ดังนี้ เหมือนพราหมณ์ผู้
เป็นมิจฉาทิฏฐิรู้ไตรเทพ ได้เห็นคัมภีร์พระวินัยปิฎกแล้วเลื่อมใส ฉะนั้น.
               ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า อปฺปสนฺนานํ วา ปสาทาย.
    ข้อว่า ปสนฺนานํ วา ภิยฺโยภาวาย มีความว่า กุลบุตรทั้งหลายแม้เลื่อมใสใน
พระศาสนา ได้ทราบสิกขาบทบัญญัติ หรือได้เห็นภิกษุทั้งหลายปฏิบัติ
สิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ย่อมเลื่อมใสยิ่งๆ ขึ้นไปว่า โอ พระผู้เป็นเจ้า
เหล่าใด คอยเฝ้ารักษาวินัยสังวร ซึ่งมีอาหารครั้งเดียวตลอดชีวิต เป็นความ
ประพฤติประเสริฐ, พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น เป็นผู้มีปกติทำกรรมที่ทำได้ยาก.
     ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปสนฺนานํ วา ภิยฺโยภาวาย.
               [พระสัทธรรม ๓ อย่าง]       
                       ข้อว่า สทฺธมฺมฏฐิติยา มีความว่า สัทธรรมมี ๓ อย่าง คือปริยัติสัทธรรม ๑ ปฏิปัตติสัทธรรม ๑ อธิคมสัทธรรม ๑.
               บรรดาสัทธรรม ๓ อย่างนั้น ที่ชื่อว่าปริยัติสัทธรรม ได้แก่พุทธพจน์แม้ทั้งสิ้นรวมด้วยพระไตรปิฎก. ที่ชื่อว่าปฏิปัตติสัทธรรม ได้แก่ธรรมนี้คือ
ธุดงค์คุณ ๑๓ ขันธกวัตร ๑๔ มหาวัตร ๘๒ ศีล สมาธิ และวิปัสสนา. ที่ชื่อว่าอธิคมสัทธรรม ได้แก่ ธรรมนี้คือ อริยมรรค ๔ สามัญญผล ๔ นิพพาน ๑.
    เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติ ภิกษุทั้งหลายย่อมเรียนสิกขาบทและวิภังค์แห่งสิกขาบทนั้น และพุทธวจนะอื่น เพื่อส่องความแห่งสิกขาบทและวิภังค์นั้น
 และเมื่อปฏิบัติสิกขาบทตามที่ทรงบัญญัติไว้ ย่อมบรรลุโลกุตรธรรมที่ตนจะพึงบำเพ็ญข้อปฏิบัติแล้วบรรลุได้ด้วยความปฏิบัติ, เพราะเหตุนั้น
 สัทธรรมแม้ทั้งสิ้นนั้น จึงชื่อว่าเป็นสภาพมีความตั้งอยู่ ยั่งยืน ด้วยสิกขาบทบัญญัติ. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สทฺธมฺมฏฺฐิติยา.
               ข้อว่า วินยานุคฺคหาย มีความว่า
               จริงอยู่ เมื่อมีสิกขาบทบัญญัติวินัยทั้ง ๔ อย่าง คือ สังวรวินัย ๑ ปหานวินัย ๑ สมถวินัย ๑ บัญญัติวินัย ๑ ย่อมเป็นอันทรงอนุเคราะห์ คืออุปถัมภ์
สนับสนุนไว้เป็นอันดี. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า
จึงตรัสว่า วินยานุคฺคหาย.
               ก็บทเหล่านั้นทั้งหมดแล พึงประกอบกับคำนี้ว่า
 เราจักบัญญัติสิกขาบท. ประกอบบทต้นและบทสุดท้าย ในบรรดาบทเหล่านั้น ดังนี้ว่า เราจักบัญญัติสิกขาบท เพื่อความเห็นชอบของสงฆ์
 ฯลฯ เราจักบัญญัติสิกขาบท เพื่อความอนุเคราะห์วินัย.
         อีกประการหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำสังขลิกน้อยอย่างนี้ว่า
 "ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้นเป็นความสำราญแห่งสงฆ์ ความสำราญ
แห่งสงฆ์อันใด อันนั้น เพื่อข่มบุคคลทั้งหลายผู้เก้อยาก" และโยชนา ๑๐ ครั้ง 
มีบทอันหนึ่งๆ เป็นเค้าอย่างนี้ว่า ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้นคือความ
สำราญแห่งสงฆ์ ความเห็นชอบแห่งสงฆ์อันใด อันนั้น เพื่อข่มบุคคลทั้งหลาย
ผู้เก้อยาก ดังนี้ แล้วตรัสคำใดไว้ในคัมภีร์บริวารว่า
                                   ในปกรณ์ว่าด้วยอำนาจประโยชน์ มี
                  ผลร้อยหนึ่ง มีเหตุร้อยหนึ่ง มีภาษาสำหรับ
                         กล่าวสองร้อย และมีญาณสี่ร้อย๑-
 คำนั้นทั้งหมด พึงทราบในบทว่า สงฺฆสุฏฺฐุตาย เป็นต้นนี้. แต่คำนั้นแหละจักมีแจ้งให้คัมภีร์บริวารนั่นเอง เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่พรรณนาในที่นี้.
๑- วิ. ปริ. เล่ม ๘/ข้อ ๑๐๑๔/หน้า ๓๕๙
               [ทรงบัญญัติปฐมปาราชิกสิกขาบท]               
    พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงอานิสงส์แห่งการบัญญัติสิกขาบท
ไว้อย่างนั้นแล้ว เมื่อจะทรงชี้แจงกิจที่ภิกษุทั้งหลายควรทำในสิกขาบทนั้น จึง
ตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงแสดงสิกขาบทนี้ขึ้นอย่างนี้.
               พระองค์ตรัสอธิบายไว้อย่างไร?
               ตรัสอธิบายไว้อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึง
แสดงพึงเล่าเรียน พึงทรงจำและพึงบอกแก่บุคคลเหล่าอื่น ซึ่งสิกขาบทนี้
 คือที่มีอานิสงส์อันเราแสดงแล้วอย่างนี้ ในปาฏิโมกขุทเทสอย่างนี้.
               จริงอยู่ จ ศัพท์ในคำว่า เอวญฺจ ปน นี้ มีการนำเนื้อความเกินมาเป็นอรรถ เพราะฉะนั้น เนื้อความนี้ย่อมเป็นอันท่านนำมาแล้ว.
               บัดนี้      พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงแสดง       คำที่พระองค์ตรัสไว้ว่า สิกขาบทนี้ จึงตรัสว่า
อนึ่ง ภิกษุใดพึงเสพเมถุนธรรม, ภิกษุนี้ย่อมเป็นปาราชิก หาสังวาสมิได้.
               เมื่อพระองค์ทรงบัญญัติปฐมปาราชิก ให้มั่นเข้าด้วยอำนาจมูลเฉทอย่างนั้นแล้ว เรื่องลิงตัวเมียแม้อื่นอีกก็เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์แก่อนุบัญญัติ.
เพื่อแสดงเรื่องลิงตัวเมียที่เกิดขึ้นนั้น พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายจึงได้
กล่าวคำนี้ไว้ว่า ก็สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้ว
แก่ภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้.    
           อธิบายความแห่งคำนั้นว่า สิกขาบทนี้ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติแล้วอย่างนี้ แก่ภิกษุทั้งหลาย และเรื่องอื่นนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว.
               จบ กถาว่าด้วยปฐมบัญญัติ