Translate

แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ⁰²⁹ หัวข้อประจำเรื่อง ปาราชิก ๔ สิกขาบท จตุตถปาราชิกสิกขาบท แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ ⁰²⁹ หัวข้อประจำเรื่อง ปาราชิก ๔ สิกขาบท จตุตถปาราชิกสิกขาบท แสดงบทความทั้งหมด

23 สิงหาคม 2567

หัวข้อประจำเรื่อง ปาราชิก ๔ สิกขาบท จตุตถปาราชิกสิกขาบท [ว่าด้วย อุตตริมนุสสธรรม] ปาราชิกกัณฑ์ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๑ มหาวิภังค์

[๓๐๐] ท่านทั้งหลาย
 ธรรมคือปาราชิก ๔ สิกขาบท 
ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้ว ภิกษุ ต้องอาบัติปาราชิกอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว
 ย่อมไม่ได้สังวาสกับภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเป็นปาราชิก ย่อมเป็นผู้หาสังวาสมิได้ในภายหลังเหมือนในกาลก่อน ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในธรรม
 คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนั้นว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในธรรม คือ ปาราชิก ๔
 สิกขาบทนี้แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์
ในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า
 ท่านทั้งหลายบริสุทธิ์ในธรรม คือ ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้วหรือ ท่าน
ทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์ในธรรม คือ
                    ปาราชิก ๔ สิกขาบทนี้แล้ว 
                          เพราะฉะนั้น    จึงเป็นผู้นิ่ง   
                     ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้             ด้วยอย่างนี้แล. 
ปาราชิกกัณฑ์ จบ 
                 หัวข้อประจำเรื่อง ปาราชิก ๔ สิกขาบท คือ:- 
            เมถุนธรรม ๑ อทินนาทาน ๑ มนุสสวิคคหะ ๑ อุตตริมนุสสธรรม ๑ เป็นวัตถุแห่ง มูลเฉท                                               หาความสงสัยมิได้ ดั่งนี้แล.
อรรถกถา ปาราชิกกัณฑ์ บทสรุปปาราชิก ๔ สิกขาบท
               [บทสรุปปาราชิก]               
               คำว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุทั้งหลาย ธรรมคือปาราชิก ๔ ข้าพเจ้า
ยกขึ้นสวดแล้วแล นี้เป็นคำแสดงถึงปาราชิกที่ยกขึ้นแสดงในปาราชิก
กุทเทสนี้นั่นแล. แต่ประมวลกันเข้าแล้ว พึงทราบปาราชิกทั้งหมดทีเดียวว่ามี
 ๒๔ อย่าง. ๒๔ อย่างคืออะไรบ้าง? คือที่มาในพระบาลี ๘ อย่างก่อน คือ
ของพวกภิกษุ ๔ เฉพาะของพวกนางภิกษุณี ๔. อภัพบุคคล ๑๑ จำพวก.         บรรดาอภัพบุคคล ๑๑ จำพวกเหล่านั้น
         บัณเฑาะก์ สัตว์ดิรัจฉานและอุภโตพยัญชนก ๓ จำพวก เป็นพวก
อเหตุกปฏิสนธิ จัดเป็นพวกวัตถุวิบัติ. พวกวัตถุวิบัติเหล่านั้น ไม่ถูกห้าม
สวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรค.       จริงอยู่ บัณเฑาะก์เป็นต้นเหล่านั้นจัดเป็น
อภัพบุคคลสำหรับการได้มรรค เพราะเป็นพวกวัตถุวิบัติ. ถึงการบรรพชา
สำหรับพวกเขา ก็ทรงห้ามไว้. เพราะฉะนั้น บัณเฑาะก์เป็นต้นแม้เหล่านั้นจึง
                             จัดเป็นผู้พ่ายแพ้ (เป็นปาราชิก).
               บุคคล ๘ จำพวกเหล่านี้ คือคนลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี 
คนทำโลหิตุปบาท ภิกษุผู้ทำสังฆเภท ชื่อว่าถึงฐานะเป็นอภัพบุคคล เพราะ
เป็นผู้วิบัติด้วยการกระทำของตน เพราะฉะนั้นจึงจัดเป็นผู้พ่ายแพ้ด้วย.
               บรรดาบุคคล ๘ จำพวกนั้น สำหรับบุคคล ๓ จำพวกเหล่านี้ คือ คน
ลักเพศ ภิกษุเข้ารีตเดียรถีย์ สามเณรผู้ประทุษร้ายนางภิกษุณี ไม่ถูกห้าม
สวรรค์ แต่ถูกห้ามมรรคแท้. อีก ๕ จำพวกถูกห้ามแม้ทั้ง ๒ อย่าง. เพราะว่า
บุคคลเหล่านั้นเป็นจำพวกสัตว์ที่จะต้องเกิดในนรก ไม่มีระหว่าง. อภัพบุคคล
 ๑๑ จำพวกเหล่านี้และบุคคลผู้เป็นปาราชิก ๘ ข้างต้นจึงรวมเป็น ๑๙ 
ด้วยประการฉะนี้. แม้บุคคลเหล่านั้นรวมกับนางภิกษุณีผู้ยังความพอใจให้
                 เกิดในเพศคฤหัสถ์     แล้วนุ่งห่มอย่างคฤหัสถ์จึงรวมเป็น ๒๐.
               จริงอยู่ นางภิกษุณีนั้นถึงจะไม่ได้กระทำการล่วงละเมิดด้วยอัชฌาจาร ก็จัดว่า ไม่เป็นสมณีได้ด้วยเหตุเพียงเท่านี้; เพราะเหตุนั้น ปาราชิกเหล่านี้
จึงมี ๒๐ ก่อน. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า อนุโลมปาราชิก แม้อย่างอื่นยังมีอีก ๔
ด้วยอำนาจภิกษุ ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ ภิกษุมีองค์กำเนิดยาว (ปรารถนาจะเสพ
เมถุนธรรม จึงสอดองค์กำเนิดเข้าไปทางวัจจมรรคของตน) ๑ ภิกษุมีหลังอ่อน (ปรารถนาจะเสพเมถุนธรรม ก้มลงอมองค์กำเนิดของตน) ๑ ภิกษุเอาปากอม
องค์กำเนิดของผู้อื่น ๑ ภิกษุนั่งสวมองค์กำหนดของผู้อื่น ๑. ก็เพราะเหตุที่
ธรรมของคน ๒ คน ผู้เข้าถึงความเป็นเช่นเดียวกันด้วยอำนาจราคะตรัสเรียก
ว่า เมถุนธรรม; ฉะนั้น ปาราชิก ๔ เหล่านี้ ชื่อว่า ย่อมอนุโลมแก่เมถุนธรรมปาราชิก โดยปริยายนี้ เพราะภิกษุ ๔ จำพวกนั้น ถึงจะไม่ได้เสพเมถุนธรรมเลย
 ก็พึงต้องอาบัติได้ ด้วยอำนาจการยังมรรคให้เข้าไปทางมรรคอย่างเดียว; เพราะเหตุนั้นจึงเรียกว่า อนุโลมปาราชิก ฉะนี้แล. พึงประมวลอนุโลมปาราชิก
        ๔ เหล่านี้และปาราชิก ๒๐ ประการข้างต้นเข้าด้วยกันแล้ว ทราบ
              ปาราชิกทั้งหมดทีเดียวว่ามี ๒๔ อย่าง               ด้วยประการฉะนี้.
ข้อว่า น ลภติ ภิกฺขูหิ สทฺธึ สํวาสํ มีความว่า ย่อมไม่ได้สังวาสต่างโดยประเภท
มีอุโบสถ ปวารณา ปาฏิโมกขุทเทสและสังฆกรรมกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
ข้อว่า ยถา ปุเร ตถา ปจฺฉา มีความว่า ในกาลก่อน คือในเวลาเป็นคฤหัสถ์และ
เวลาที่ยังมิได้อุปสมบท(ย่อมเป็นผู้ไม่มีสังวาส)ฉันใด,ภายหลังแม้ต้องปาราชิก
แล้วก็เป็นผู้ไม่มีสังวาส ฉันนั้นเหมือนกัน. สังวาสต่างโดยประเภทมีอุโบสถ ปวารณา ปาฏิโมกขุทเทสและสังฆกรรมกับด้วยภิกษุทั้งหลายของภิกษุ
นั้น ไม่มี; เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นชื่อว่าย่อมไม่ได้สังวาสกับด้วยภิกษุทั้งหลาย.
               ข้อว่า ตตฺถายสฺมนฺเต ปุจฺฉามิ มีความว่า ข้าพเจ้าขอถามท่านทั้งหลายในปาราชิก ๔ เหล่านั้นว่า ท่านเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
               บทว่า กจฺจิตฺถ ตัดบทว่า กจฺจิ เอตฺถ มีความว่า ในปาราชิก ๔ เหล่านี้ 
              ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
               อีกประการหนึ่ง สองบทว่า กจฺจิตฺถ ปริสุทฺธา 
              มีความว่า ท่านทั้งหลายย่อมเป็นผู้บริสุทธิ์แลหรือ?
               บทที่เหลือทุกๆ แห่งมีเนื้อความตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
               จตุตถปาราชิกวรรณนา ในอรรถกถาพระวินัย               
               ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.   
               [อธิษฐานคาถาของท่านผู้รจนา]
      ขอพระสัทธรรม จงดำรงอยู่สิ้นกาลนาน
      ขอฝนจงตกต้องตามฤดูกาล ยังหมู่สัตว์
        ให้เอิบอิ่ม สิ้นกาลนาน ขอพระราชาจง
              ปกครองแผ่นดิน โดยธรรมเทอญ.