เรื่องพระอุทายี
[๔๑๔] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบัณฑิกะคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น ท่านพระอุทายีเป็นพระกุลุปกะในพระนครสาวัตถี เข้าไปสู่สกุล
เป็นอันมาก ครั้งนั้น มีสตรีหม้ายผู้หนึ่ง รูปงาม น่าดู น่าชม ครั้นเวลาเช้า
ท่านพระอุทายีครองอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรและจีวรเดินไปทางเรือนของสตรีหม้ายนั้น ครั้นแล้วนั่งเหนืออาสนะที่เขาจัดถวาย จึงสตรีหม้ายนั้นเข้าไป
หาท่านพระอุทายี กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ท่านพระอุทายีได้
ยังสตรีหม้ายนั้น ให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา
ครั้นแล้วสตรีหม้ายนั้นได้กล่าวปวารณาท่านพระอุทายีว่า โปรดบอก
เถิด เจ้าข้า ต้องการสิ่งใดซึ่งดิฉันสามารถจัดหาถวายพระคุณเจ้าได้
คือ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ เภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้
พระอุทายีขอร้องว่า น้องหญิง ปัจจัยเหล่านั้น ไม่เป็นของหาได้ยาก สำหรับฉัน ขอจงให้ของที่หาได้ยากสำหรับฉันเถิด
สตรีหม้ายถามว่า ของอะไร เจ้าขา
อุ. เมถุนธรรม จ้ะ
ส. พระคุณเจ้าต้องการหรือ เจ้าคะ
อุ. ต้องการ จ้ะ
สตรีหม้ายนั้นกล่าวว่า นิมนต์มาเถิด เจ้าค่ะ แล้วเดินเข้าห้อง เลิกผ้าสาฎกนอนหงายบนเตียง
ทันใดนั้น ท่านพระอุทายีตามเข้าไปหานางถึงเตียง ครั้นแล้วถ่มเขฬะรด
พูดว่า ใครจักถูกต้องหญิงถ่อย มีกลิ่นเหม็นนี้ได้ ดังนี้แล้วหลีกไป
จึงสตรีหม้ายนั้นเพ่งโทษว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่า
นี้ เป็นผู้ไม่ละอาย ทุศีล พูดเท็จ พระสมณะเหล่านี้ยังจักปฏิญาณว่า เป็นผู้
ประพฤติธรรม ประพฤติเรียบร้อย ประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีล มีกัลยาณธรรม ดังนี้เล่า ติเตียนว่า ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ไม่มี
ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้ไม่มี ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้พินาศแล้ว ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้พินาศแล้ว ความ
เป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ จะมีแต่ไหน ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้ จะมีแต่ไหน และโพนทะนาว่าพระสมณะเหล่านี้ ขาดจากความ
เป็นสมณะแล้ว พระสมณะเหล่านี้ขาดจากความเป็นพราหมณ์แล้ว ไฉนพระ
สมณะอุทายีจึงได้ขอเมถุนธรรมต่อเราด้วยตนเอง แล้วถ่มเขฬะรดพูดว่า ใคร
จักถูกต้องหญิงถ่อยมีกลิ่นเหม็นนี้ได้ ดังนี้แล้วหลีกไป เรามีอะไรชั่วช้า
เรามีอะไรที่มีกลิ่นเหม็นเราเลวกว่าหญิงคนไหนอย่างไร ดังนี้
แม้สตรีเหล่าอื่นก็เพ่งโทษว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นผู้ไม่ละอาย ทุศีล พูดเท็จ พระสมณะเหล่านี้ ยังจักปฏิญาณว่า เป็นผู้
ประพฤติธรรม ประพฤติเรียบร้อยประพฤติพรหมจรรย์ พูดจริง มีศีล มี
กัลยาณธรรมดังนี้เล่า ติเตียนว่า ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ไม่มี
ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้ไม่มี ความเป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ พินาศแล้ว ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้ พินาศแล้ว ความ
เป็นสมณะของพระสมณะเหล่านี้ จะมีแต่ไหน ความเป็นพราหมณ์ของพระสมณะเหล่านี้จะมีแต่ไหนและโพนทะนาว่า พระสมณะเหล่านี้ขาดจากความ
เป็นพระสมณะแล้ว พระสมณะเหล่านี้ ขาดจากความเป็นพราหมณ์แล้ว ไฉน
พระอุทายีจึงได้ขอเมถุนธรรมต่อสตรีนี้ด้วยตนเอง แล้วจึงถ่มเขฬะรดพูดว่า
ใครจักถูกต้องหญิงถ่อยมีกลิ่นเหม็นนี้ได้ดังนี้ แล้วหลีกไป นางคนนี้มีอะไรชั่ว
ช้า นางคนนี้มีอะไรที่มีกลิ่นเหม็น นางคนนี้เลวกว่าสตรีคนไหน อย่างไร ดังนี้
ภิกษุทั้งหลายได้ยินสตรีพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็น
ผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่ง
โทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุทายีจึงได้กล่าวคุณแห่งการบำเรอ
ตนด้วยกามในสำนักมาตุคามเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
ประชุมสงฆ์ทรงบัญญัติสิกขาบท
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค รับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามท่านพระอุทายีว่า
ดูกรอุทายี
ข่าวว่า เธอกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคามจริงหรือ?
ท่านพระอุทายีทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า
ดูกรโมฆบุรุษ
การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควรไม่ใช่กิจของสมณะใช้ไม่ได้ไม่ควรทำไฉนเธอจึงได้กล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามในสำนักมาตุคามเล่า
ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อ
คลายความกำหนัด ไม่ใช่เพื่อมีความกำหนัด เพื่อความพราก ไม่ใช่เพื่อ
ความประกอบ เพื่อความไม่ถือมั่น ไม่ใช่เพื่อมีความถือมั่น มิใช่หรือ เมื่อธรรมชื่อนั้น อันเราแสดงแล้ว เพื่อคลายความกำหนัด เธอยังจักคิดเพื่อมีความ
กำหนัดเราแสดงเพื่อความพราก เธอยังจักคิดเพื่อความประกอบ เรา
แสดงเพื่อความไม่ถือมั่น เธอยังจักคิดเพื่อมีความถือมั่น
ดูกรโมฆบุรุษ ธรรมอันเราแสดงแล้วโดยอเนกปริยาย เพื่อเป็น ที่สำรอกแห่งราคะ เพื่อเป็นที่สร่างแห่งความเมา
เพื่อเป็นที่ดับสูญแห่งความระหาย เพื่อเป็นที่หลุดถอนแห่งอาลัย เพื่อเป็น
ที่เข้าไปตัดแห่งวัฏฏะ เพื่อเป็นที่สิ้นแห่งตัณหา เพื่อคลายความกำหนัด
เพื่อความดับทุกข์เพื่อปราศจากตัณหาเครื่องร้อยรัดมิใช่หรือ
ดูกรโมฆบุรุษ การละกาม การกำหนดรู้ความหมายในกาม การกำจัด
ความระหายในกามการเพิกถอนความตรึกอันเกี่ยวด้วยกาม การระงับ
ความกลัดกลุ้ม เพราะกาม เราบอกไว้แล้วโดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ
ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของ ชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่นเป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว
พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุทายีโดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคน
มักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ
ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภ
ความเพียรโดยอเนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่
เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย
อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑
เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
พระบัญญัติ
๘. ๔. อนึ่ง ภิกษุใด กำหนัดแล้ว มีจิตแปรปรวนแล้ว กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักมาตุคาม ด้วยถ้อยคำพาดพิงเมถุนว่า น้องหญิง
สตรีใด บำเรอผู้ประพฤติพรหมจรรย์ มีศีล มีกัลยาณธรรม เช่นเรา ด้วย
ธรรมนั่น นั่นเป็นยอดแห่งความบำเรอทั้งหลาย เป็นสังฆาทิเสส.
เรื่องพระอุทายี จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๔๑๕] บทว่า อนึ่ง...ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด
มีชาติอย่างใดมีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม
เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง...ใด
บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
ชื่อว่า ภิกษุโดยสมญา ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ
ชื่อว่า ภิกษุเพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้แล้วด้วย
ญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบควรแก่ฐานะ บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุนี้ใด ที่
สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้แล้วด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ
ควรแก่ฐานะ ภิกษุนี้ พระผู้มีพระภาคทรงประสงค์ว่า ภิกษุ ในอรรถนี้
ที่ชื่อว่า กำหนัดแล้ว คือ มีความยินดี มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์
บทว่า แปรปรวนแล้ว ความว่า จิต ที่ถูกราคะย้อมแล้วก็แปรปรวน
ที่ถูกโทสะประทุษร้ายแล้วก็แปรปรวน ที่ถูกโมหะให้ลุ่มหลงแล้วก็แปรปรวน
แต่ที่ว่าแปรปรวนในอรรถนี้ ทรงประสงค์จิตที่ถูกราคะย้อมแล้ว
ที่ชื่อว่า มาตุคาม ได้แก่หญิงมนุษย์ ไม่ใช่หญิงยักษ์ ไม่ใช่หญิงเปรต ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย เป็นหญิงที่รู้เดียงสา สามารถทราบซึ้ง
ถึงถ้อยคำเป็นสุภาษิต ทุพภาษิต วาจาชั่วหยาบ และสุภาพ
บทว่า ในสำนักมาตุคาม คือ ในที่ใกล้มาตุคาม ในที่ไม่ห่างมาตุคาม
บทว่า กามของตน ได้แก่
ความใคร่ของตน เหตุของตน ความประสงค์ของตน การบำเรอของตน
บทว่า นั่นเป็นยอด คือนั่นเป็นเลิศ ประเสริฐ สูงสุด อุดม เยี่ยม
บทว่า สตรีใด ได้แก่นางกษัตริย์ พราหมณี หญิงแพศย์ หรือหญิงศูทร
บทว่า เช่นเรา คือ
เป็นกษัตริย์ก็ตาม เป็นพราหมณ์ก็ตาม เป็นแพศย์ก็ตาม เป็นศูทรก็ตาม
บทว่า มีศีล คือ เว้นขาดจาก
ปาณาติบาต เว้นขาดจากอทินนาทาน เว้นขาดจากมุสาวาท
บทว่า ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ คือ ผู้เว้นขาดจากเมถุนธรรม
ที่ชื่อว่า มีกัลยาณธรรม คือ
เป็นผู้ชื่อว่ามีธรรมงาม เพราะศีลนั้น และเพราะพรหมจรรย์นั้น
บทว่า ด้วยธรรมนั่น คือ ด้วยเมถุนธรรม
บทว่า บำเรอ คือ อภิรมย์
บทว่า ด้วยถ้อยคำพาดพิงเมถุน คือ ด้วยถ้อยคำที่เกี่ยวด้วยเมถุนธรรม
บทว่า สังฆาทิเสส
ความว่า สงฆ์เท่านั้น ให้ปริวาสเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิมให้มานัต เรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่บุคคลรูปเดียว เพราะฉะนั้น
จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส คำว่า สังฆาทิเสส เป็นการขนานนาม คือ
เป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
สตรีคนเดียว
[๔๑๖] สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และกล่าว คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี ต้องอาบัติสังฆาทิเสส
สตรี ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอ กามของตนในสำนักสตรี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และกล่าวคุณ
แห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี ต้องอาบัติถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์คนเดียว
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติทุกกฏ
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติทุกกฏ
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติทุกกฏ
บัณเฑาะก์ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษคนเดียว
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่ง การบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ
บุรุษ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉานตัวเดียว
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสงสัย มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรี มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ
สัตว์ดิรัจฉาน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษ มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
สตรี ๒ คน
[๔๑๗] สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีทั้งสอง ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอ
กามของตนในสำนักสตรีทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณ
แห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
สตรี ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการ
บำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณ
แห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการ
บำเรอกามของตนในสำนักบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณ
แห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๒ คน ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองตัว มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองตัว มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่ง
การบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองตัว มีความกำหนัด และกล่าว
คุณกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองตัว มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สัตว์ดิรัจฉาน ๒ ตัว ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองตัว มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
สตรี-บัณเฑาะก์
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มีความกำหนัด และ
กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติสังฆาทิเสส
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่ง
การบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติถุลลัจจัย๒ ตัว
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มีความกำหนัด และกล่าว
คุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ บัณเฑาะก์ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบัณเฑาะก์ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี-บุรุษ
สตรี ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติสังฆาทิเสส
สตรี ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด และ กล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรีและบุรุษทั้งสอง
ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสองคน มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองคน มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี-สัตว์ดิรัจฉาน
สตรี ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสอง มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติสังฆาทิเสส
สตรี ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสอง มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสอง มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสอง มี ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
สตรีและสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย
สตรี ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง
มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักสตรี และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏกับอาบัติถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์-บุรุษ
บัณเฑาะก์ ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสอง มี
ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์
และ บุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์ ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสองคน มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์และบุรุษทั้งสอง
ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์
และ บุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้ง
สองคน มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
บัณเฑาะก์และบุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ บุรุษ ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสองคน มี
ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์
และ บุรุษทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์-สัตว์ดิรัจฉาน
บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสอง มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
บัณเฑาะก์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ กับอาบัติถุลลัจจัย
บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสอง มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสอง
มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์
และ สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉาน
ทั้งสอง มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนัก
บัณเฑาะก์และสัตว์ดิรัจฉานทั้งสองต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บัณเฑาะก์ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสอง
มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบัณเฑาะก์
และ สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ-สัตว์ดิรัจฉาน
บุรุษ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบุรุษทั้งสอง มี
ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสงสัยทั้งสอง มีความกำหนัด
และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษและสัตว์ดิรัจฉาน
ทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง
มีความกำหนัดและกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นสตรีทั้งสอง มี
ความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ และ
สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว
บุรุษ ๑ สัตว์ดิรัจฉาน ๑ ภิกษุมีความสำคัญว่าเป็นบัณเฑาะก์ทั้งสอง
มีความกำหนัด และกล่าวคุณแห่งการบำเรอกามของตนในสำนักบุรุษ
และ สัตว์ดิรัจฉานทั้งสอง ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว ฯ
อนาปัตติวาร
[๔๑๘] ภิกษุกล่าวว่า ขอท่านจงบำรุงด้วยจีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และเภสัชบริขารอันเป็นปัจจัยของภิกษุไข้ ดังนี้ เป็นต้น ๑
ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
วินีตวัตถุ / อุทานคาถา
[๔๑๙] เรื่องหญิงหมันว่าทำไฉนจะได้บุตร เรื่องหญิงมีบุตรถี่
เรื่องเป็นที่รัก เรื่องมีโชคดี เรื่องจะถวายอะไรดี
เรื่องจะอุปัฏฐากด้วยอะไรดี เรื่องไฉนจึงจะได้ไปสุคติ ฯ
วินีตวัตถุ
เรื่องหญิงหมันว่าทำไฉนจะได้บุตร
[๔๒๐] ก็โดยสมัยนั้นแล หญิงหมันคนหนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า ทำไฉนดิฉันจึงจะมีบุตร?
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องหญิงมีบุตรถี่
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งมีบุตรถี่ ได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า ทำไฉน ดิฉันจึงจะไม่มีบุตร?
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องเป็นที่รัก
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า ทำไฉน ดิฉันจึงจะเป็นที่รักของสามี?
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องมีโชคดี
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า ทำไฉน ดิฉันจึงจะมีโชคดี.
ภิกษุตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วกระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องจะถวายอะไรดี
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า ดิฉันจะถวายอะไรแก่พระคุณเจ้าดี?
ภิกษุรูปนั้นตอบว่า น้องหญิง เธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมัง
หนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องจะอุปัฏฐากด้วยอะไรดี
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ดิฉันจะอุปัฏฐากพระคุณเจ้าด้วยอะไรดี?
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง เธอจงอุปัฏฐากด้วยทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว
เรื่องไฉนจึงจะไปสุคติ
ก็โดยสมัยนั้นแล สตรีผู้หนึ่งได้ถามภิกษุกุลุปกะว่า ท่านเจ้าข้า
ทำไฉน ดิฉันจึงจะได้ไปสุคติ?
ภิกษุนั้นตอบว่า น้องหญิง ถ้าเช่นนั้นเธอจงถวายทานที่เลิศ
ส. อะไร เจ้าคะ ชื่อว่า ทานที่เลิศ
ภิ. เมถุนธรรม จ้ะ
ภิกษุรูปนั้นมีความรังเกียจว่า เราต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว กระมังหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุ เธอต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ จบ
อรรถกถา เตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสส สิกขาบทที่ ๔
พรรณนาสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔
อัตตกามปาริจริยสิกขาบทว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา เป็นต้น
ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
วินิจฉัยในอัตตกามปาริจริยสิกขาบทนั้น พึงทราบดังนี้ :-
[แก้อรรถปฐมบัญญัติเรื่องพระอุทายี]
บทว่า กุลุปโก ความว่า เป็นผู้เข้าใกล้ชิดตระกูล คือ เป็นผู้ขวนขวายเป็นนิตย์ในการเข้าหาตระกูล เพื่อต้องการปัจจัย ๔.
บทว่า จีวรปิณฺฑปาตเสนาสนคิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ ได้แก่ จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
ก็ในบทว่า คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
ที่ชื่อว่าปัจจัย เพราะอรรถว่า ทำการบำบัด.
คำว่า ปัจจัย เป็นชื่อแห่งเภสัชอันสบายชนิดใดชนิดหนึ่ง.
ชื่อว่ากรรมของหมอ เพราะหมอนั้นอนุญาต ฉะนั้นจึงชื่อว่าเภสัช. คิลานปัจจัยด้วย เภสัชด้วย ชื่อว่าคิลานปัจจัยเภสัช.
มีคำอธิบายว่า การงานของหมอมีน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น
ชนิดใดชนิดหนึ่ง เป็นที่สบายแก่คนไข้. ก็เครื่องล้อม ท่านเรียกว่า บริขาร
ในคำเป็นต้นว่า เมืองเป็นอันเขาล้อมดีแล้วด้วยเครื่องล้อมเมือง ๗ ชั้น๑- ดังนี้. เครื่องประดับท่านก็เรียกว่า บริขาร ในคำเป็นต้นว่า รถมีเครื่องประดับขาว
มีฌานเป็นเพลา มีความเพียรเป็นล้อ๒- ดังนี้. เครื่องค้ำจุน ท่านเรียกว่า บริขาร ในประโยคเป็นต้นว่า เครื่องค้ำจุนชีวิตแม้เหล่านี้อันบรรพชิตพึงแสวงหา๓- ดังนี้.
ในบทว่า คิลานปจฺจยเภสชฺชปริกฺขารํ นี้ย่อมควรทั้งเครื่องค้ำจุน ทั้ง
เครื่องล้อม. แท้จริง คิลานปัจจัยเภสัชนั้นเป็นเครื่องล้อมชีวิตบ้าง เพราะ
ไม่ให้ช่องแก่ความเกิดขึ้นแห่งอาพาธอันจะยังชีวิตให้พินาศ เป็นเครื่องค้ำจุนบ้าง เพราะเป็นเหตุให้ชีวิตนั้น เป็นไปได้นาน เพราะฉะนั้น จึงเรียกว่า บริขาร
พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่าคิลานปัจจัยเภสัชนั้นด้วยเป็นบริขารด้วย
โดยนัยดังกล่าวมานี้ เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่า คิลานปัจจัยเภสัชบริขาร.
ซึ่งคิลานปัจจัยเภสัชบริขารนั้น.
๑- องฺ. สตฺตก. เล่ม ๒๓/ข้อ ๖๔
๒- สํ. มหาวาร. เล่ม ๑๙/ข้อ ๒๔
๓- ม. มู. เล่ม ๑๒/ข้อ ๒๓๕
บทว่า วสลํ แปลว่า เลว คือชั่วช้า. อีกนัยหนึ่ง ผู้ที่ชื่อว่า วสละ เพราะอรรถว่า ไหลออกมา. อธิบายว่า ย่อมหลั่งออก.
บทว่า นิฏฺฐหิตฺวา แปลว่า บ้วนเขฬะให้ตกไป.
ด้วยคำว่า กิสฺสาหํ เกน หายามิ ดังนี้ หญิงนั้นแสดงว่า เราจะด้อยกว่าหญิงอื่นคนไหน? ว่าโดยอะไร? คือว่าโดยโภคะก็ตาม โดยเครื่องแต่งตัวก็ตาม
โดยรูปร่างก็ตาม หญิงชื่ออะไรเล่า? จะเป็นผู้ดียิ่งไปกว่าเรา.
บทว่า สนฺติเก แปลว่า ยืนอยู่ในที่ใกล้เคียง คือในที่ไม่ไกลโดยรอบ. แม้ด้วยบทภาชนะ ท่านก็แสดงเนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน.
บทว่า อตฺตกามปาริจริยาย ความว่า การบำเรอด้วยกามกล่าวคือเมถุนธรรม ชื่อว่า กามปาริจริยา. การบำเรอด้วยกามเพื่อประโยชน์แก่ตน
ชื่อว่า อัตตกามปาริจริยา. อีกอย่างหนึ่ง การบำเรอที่ตนใคร่
คือปรารถนา เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า อัตตกามา.
อธิบายว่า อันภิกษุเองปรารถนาแล้วด้วยอำนาจแห่งความกำหนัดในเมถุน การบำเรอนั้นด้วยอันตนให้ใคร่ด้วย เพราะฉะนั้น
จึงชื่อว่า อัตตกามปาริจริยา. แห่งการบำเรอด้วยกามเพื่อประโยชน์แก่ตน (หรือแห่งการบำเรออันตนใคร่) นั้น.
[อธิบายสิกขาบทวิภังค์จตุตถสังฆาทิเสส]
สองบทว่า วณฺณํ ภาเสยฺย
ความว่า พึงประกาศคุณ คืออานิสงส์. ในอรรถวิกัปทั้งสองนั้น เพราะในอรรถ
วิกัปนี้ว่า การบำเรอกามเพื่อประโยชน์ตน ได้ใจความ คือ กาม ๑ เหตุ ๑
การบำเรอ ๑ พยัญชนะยังเหลือ ในอรรถวิกัปนี้ว่า การบำเรอนั้นด้วย
อันตนใคร่ด้วย ชื่ออัตตกามปาริจริยา ได้ใจความ คือ ความประสงค์ ๑
การบำเรอ ๑ พยัญชนะยังเหลือ เพราะเหตุนั้นเพื่อไม่ทำความเอื้อเฟื้อใน
พยัญชนะแสดงแต่ใจความเท่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสบทภาชนะว่า
คือเป็นเหตุแห่งตน เป็นที่ประสงค์แห่งตน.
จริงอยู่ เมื่อตรัสคำว่า การบำเรอตน บัณฑิตทั้งหลายจักทราบว่า การบำเรอด้วยกามเพื่อประโยชน์แก่ตน ท่านกล่าวแล้วด้วยคำมีประมาณเท่านี้ แม้เมื่อ
ท่านกล่าวคำว่า การบำเรอตนซึ่งเป็นที่ประสงค์แห่งตน บัณฑิตทั้งหลาย
ก็จักทราบว่า การบำเรอที่ตนใคร่ ด้วยอรรถว่า ที่ตนต้องการประสงค์
ท่านกล่าวด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจะทรงแสดงอาการในการสรรเสริญคุณ
แห่งการบำเรอตนด้วยกามนั้น จึงตรัสคำว่า เอตทคฺคํ เป็นอาทิ.
คำนั้นมีเนื้อความชัดเจนทีเดียว ทั้งโดยอุเทศทั้งโดยนิเทศ.
ส่วนบทสัมพันธ์ และวินิจฉัยอาบัติในสิกขาบทนี้ พึงทราบดังนี้ :-
คำว่า เอตทคฺคํ ฯเปฯ ปริจเรยฺย
มีความว่า หญิงใดพึงบำเรอผู้ประพฤติพรหมจรรย์มีศีล มีกัลยาณธรรมเช่นเรา
ด้วยธรรมนั่น. ขึ้นชื่อว่าการบำเรอนี้ใดของหญิงนั้น ผู้บำเรอผู้ประพฤติ
พรหมจรรย์เช่นเราอย่างนั้น, การบำเรอนี้เป็นยอดของการบำเรอทั้งหลาย.
สองบทว่า เมถุนูปสํหิเตน สงฺฆาทิเสโส มีความว่า ภิกษุใด
เมื่อกล่าวคุณแห่งการบำเรอตนด้วยกามอย่างนั้น พึงกล่าวด้วยคำพาดพิง
เมถุนจังๆ คือหมายเฉพาะเมถุนจังๆ เป็นสังฆาทิเสสแก่ภิกษุนั้น.
บัดนี้ ท่านปรับสังฆาทิเสสแก่ภิกษุผู้กล่าวด้วยคำพาดพิงเมถุนเท่านั้น เพราะเหตุนั้น จึงไม่เป็นสังฆาทิเสสแม้แก่ภิกษุผู้กล่าวคุณแห่งการบำเรอ
ด้วยถ้อยคำมีอาทิอย่างนี้ว่า ฉันก็เป็นกษัตริย์ หล่อนก็เป็นกษัตริย์ นาง
กษัตริย์สมควรให้แก่กษัตริย์ เพราะมีชาติเสมอกัน. แต่เป็นสังฆาทิเสส
แก่ภิกษุผู้กล่าวปริยายแม้มากมีคำว่า ฉันก็เป็นกษัตริย์ หล่อนก็เป็นกษัตริย์เป็นต้น แล้วกล่าวด้วยถ้อยคำพาดพิงเมถุนจังๆ อย่างนี้ว่า หล่อนสมควรให้เมถุนแก่ฉัน.
คำว่า อิตฺถี จ โหติ เป็นต้น มีนัยดังกล่าวแล้วในก่อนนั่นแล. พระอุทายีเถระ
เป็นอาทิกัมมิกะในสิกขาบทนี้ ไม่เป็นอาบัติแก่ท่านผู้เป็นอาทิกัมมิกะฉะนี้แล.
บทภาชนียวรรณนา จบ.
ปกิณกะทั้งปวงมีสมุฏฐานเป็นต้น เหมือนทุฏฐุลลวาจาสิกขาบท.
แม้วินีตวัตถุทั้งหลายก็มีอรรถชัดเจนทั้งนั้น ด้วยประการฉะนี้.
พรรณนาสังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๔ จบ.