Translate

03 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 31 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ตอน ศึกปีศาจคู่เขาเงิน-เขาทอง (ช่วงที่2)
(บทที่ ๓๔)
ฝ่ายปีศาจทั้งสองครั้นเปลี่ยนน้ำเต้านั้นมาแล้ว ต่างก็แย่งกันดูกลับหน้ามาก็มิได้เห็นเห้งเจีย เล่งหลีปีศาจพูดว่าเทวดาองค์นี้เห็นจะพูดหลอกลวงเราดอกกระมัง ว่าจะโปรดพวกเราให้สำเร็จมรรคผลเป็นเทวดา ทำไมไปจึงไม่ลาเราเล่า เจงเส่ยปีศาจพูดว่าแม้เธอไปแล้วเราเอาน้ำเต้านั้นมาลองดู จึงหยิบน้ำเต้านั้นโยนขึ้นไป น้ำเต้านั้นก็กลับตกลงมา เล่งหลีถามว่าทำไมจึงไม่ใส่ฟ้าเล่า ถ้าใส่ไม่ได้เห็นจะเป็นเห้งเจียเอาของปลอมมาเปลี่ยนของจริงไปดอกกระมัง
   เจงเส่ยปิศาจพูดว่าน้องอย่าพูดเลอะเทอะไป เห้งเจียนั้นภูเขาใหญ่สามเขาทับไว้แล้ว ทำไมจึงจะออกมาเอาของเราไปได้ พี่จะภาวนาลองดูอิกทีจะเป็นประการใด ว่าแล้วก็เอาน้ำเต้านั้นขว้างขึ้นบนอากาศแล้วภาวนาว่า ถ้าไม่สงเคราะห์เรา ๆ จะขึ้นไปทำจลาจลยังปราสาทเล่งเซียวเต้ย ภาวนายังไม่ทันจะแล้วน้ำเต้าก็ตกลงมาดิน ปีศาจทั้งสองพูดว่าเห็นจะใส่ไม่ได้แล้วเป็นของปลอมแท้ทีเดียว
   เมื่อปีศาจทั้งสองกำลังบ่นอยู่นั้น เห้งเจียอยู่บนอากาศฟังดูก็รู้แจ้งทุกประการ จึงเรียกขนนั้นคืนเข้าที่ตามเดิม น้ำเต้าก็สูญหายไป ปีศาจทั้งสองต่างถามกันว่าน้ำเต้าไปข้างไหน เล่งหลีว่าพี่เอาไปโยนลองมิใช่หรือ ทำไมจึงหายไปได้ จึงพากันลงที่ดินเที่ยวค้นหาตามหญ้าที่รกก็มิได้เห็น ปีศาจสองยิ่งตกใจกลัวพูดปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรดี ของวิเศษของเราก็ไม่เห็น ทำอย่างไรจึงจะกลับไปได้ เราจะต้องถูกใต้อ๋องตีตายเป็นแน่ เล่งหลีพูดว่าถ้ากระนั้นเราพากันหนีไปเสียเห็นจะดีกว่า
   เจงเส่ยพูดว่าเราอย่าหนีเลยกลับไปดีกว่า เราเห็นว่าอยู่ทุกวันนี้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องเห็นแก่หน้าน้อง อันความผิดนั้นให้น้องรับคนเดียวบางทีใต้อ๋องจะยกชีวิตให้ แม้ไม่ฟังก็ตามแต่จะทำเถิดอย่างนั้นจะดีกว่าเราอย่าทำสองใจเลย ปีศาจทั้งสองปรึกษากันตกลงแล้วก็เดินกลับมายังถ้ำ เห้งเจียอยู่บนอากาศเห็นปีศาจเดินกลับไป ก็แปลงเป็นแมลงวันบินตามปีศาจมา
   ฝ่ายปีศาจทั้งสองเดินมาครั้นถึงประตูถ้ำก็เดินเข้าไปข้างใน เวลานั้นใต้อ๋องทั้งสองกำลังนั่งเสพสุราอยู่ ปีศาจน้อยเข้ามาถึงคำนับแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้าอยู่มิได้พูดว่ากระไร
   ใต้อ๋องทั้งสองเห็นดังนั้นจึงถามว่า เจ้าทั้งสองไปจับเห้งเจียได้มาแล้วหรือ ปีศาจน้อยคำนับแล้วก็ก้มหน้านิ่งอยู่มิได้อาจบอกว่ากระไร ถามดังนั้นถึงสามครั้ง ปีศาจน้อยจึงพนมมือพูดว่าอันโทษข้าพเจ้าทั้งสองนี้ถึงร้อยพันหมื่นตาย ขอใต้อ๋องได้กรุณาข้าพเจ้ารับของวิเศษนั้นเดินไปได้ครึ่งเขา พบเทวดามาจากเขา (พ่องล่ายซัว) เธอมีน้ำเต้าทองวิเศษ เรียกใส่ทั้งท้องฟ้าได้ ข้าพเจ้าเห็นเป็นของวิเศษมีใจโลภเจตนาจะใคร่ได้ เห็นว่าของเธอใส่ได้ทั้งท้องฟ้าของเราใส่ได้แต่คนจึงได้ขอเปลี่ยนแก่เธอ ทั้งเล่งหลีก็เอาขวดของวิเศษให้ไปด้วย ครั้นข้าพเจ้าเอาออกลองดูก็สูญหายไปทั้งน้ำเต้าเทวดาก็ไม่เห็น ขอใต้อ๋องได้ทราบโทษข้าพเจ้าทั้งสองถึงแก่ชีวิตขอได้กรุณา
   กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น ดุจใครเอาไฟมาแยงเข้าที่ทรวงอก ร้องเสียงดังดุจฟ้าผ่าว่า กูรู้แล้ว ๆ คืออ้ายซึงหงอคงเห้งเจียมันเอาของเก๊มาเปลี่ยนเอาของกูไป อ้ายลิงนี้มันมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก มันรู้จักกันทุกแห่งทุกหน เข้าไหนก็ปล่อยมันออกนั่นจึงได้หลอกเอาของวิเศษของเราได้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่า อันเหตุที่อ้ายลิงนั้นจงสงบไว้ก่อน มันหนีไปได้ก็ชั่งมัน ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาจับมันได้แล้ว ก็ไม่อยู่เป็นปีศาจในถ้ำนี้ต่อไป
   กิมกั๊กใต้อ๋องถามว่าจะทำอุบายอย่างใดจึงจะจับมันได้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงพูดว่า เรามีของวิเศษห้าอย่าง สองอย่างมันเอาไปแล้ว ยังมีอยู่แต่สามอย่างคือ อาวุธเกี่ยม พัดไฟอยู่ที่นี่ เชือกวิเศษอยู่ที่เขาเอี๋ยมเล่งซัว ถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋องมารดาเก็บไว้ เราใช้ให้คนไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลสั่งให้มารดาเอาเชือกนั้นมาด้วย จะได้คิดจับเห้งเจียให้จงได้ กิมกั๊กถามว่าจะให้ผู้ใดไปดี งึ้นกั๊กใต้อ๋องตอบว่าไม่ต้องใช้อ้ายระยำสองคนนี้อีก จึงตวาดไล่ให้เล่งหลีกับเจงเส่ยออกไปเสียให้พ้น แล้วจึงเรียกปีศาจน้อยปาซัวเฮ้าคนหนึ่ง กี๊ฮั้ยเล้งคนหนึ่งเข้ามาจึงสั่งว่าให้ไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลบอกให้มารดาเอาเชือกวิเศษมาด้วย จะได้จับตัวเห้งเจีย
   สองปีศาจรับคำสั่งแล้วก็คำนับลาออกจากถ้ำรีบตรงไป ก็หารู้ว่าเห้งเจียอยู่ในที่นั้นไม่ เห้งเจียได้ฟังรู้ความทุกประการแล้ว จึงบินโผออกจากถ้ำตามปีศาจทั้งสองนั้นไปจับอยู่บนศรีษะปีศาจนั้น มาได้ประมาณสักสามสี่โยชน์ เห้งเจียจะใคร่ตีปีศาจทั้งสองให้ตาย จึงมาตรึกตรองว่าจะฆ่าเสียก็ไม่ยากอะไร แต่ยังวิตกว่าบ้านมารดาของปีศาจอยู่ที่ไหน จำจะถามมันสักคำหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็โผออกจากตัวปีศาจ แปลงเป็นปีศาจน้อยตนหนึ่งวิ่งตามร้องเรียกว่า ที่เดินข้างหน้านั้นหยุดคอยก่อน กี๊ฮั้ยเล้งหันหน้ามาถามว่าตัวอยู่ที่ไหน วิ่งมาตามเราทำไมมีธุระอะไรหรือ
   เห้งเจียตอบว่านายเดียวกัน ยังไม่รู้จักกันหรือ กี๊ฮั้ยเล้งบอกว่าเราไม่เคยเห็น เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าอยู่ข้างนอกมิได้เข้ามาจึงไม่รู้จักกัน ปีศาจถามว่าบัดนี้จะไปข้างไหน เห้งเจียบอกว่า ใต้อ๋องพูดว่าใช้พี่มา สองคน ให้ไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลให้มารดาเอาเชือกวิเศษไปจับเห้งเจียด้วย วิตกว่าพี่จะเดินช้าไปจะเสียการ จึงให้ข้าพเจ้าตามมาเตือนพี่ทั้งสองให้รีบไปโดยเร็ว ปีศาจทั้งสองเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็สำคัญว่าจริงไม่มีความสงสัย จึงพร้อมกันรีบเดินไป เห้งเจียจึงถามว่า ยังไกลอยู่หรือ กี๊ฮั้ยเล้งจึงเอามือชี้บอกว่า ที่ดงไม้ใหญ่นั้นและ เห้งเจียเงยหน้าขึ้นมองดู
ก็เห็นมีดงไม้ใหญ่ข้างหน้านั้น เห็นไม่สู้ไกลแล้ว จึงชักกระบองออกจากหูตีปีศาจทั้งสองนั้นล้มลงกับพื้น ตัวน่วมดุจแป้งขนม เห้งเจียก็ลากเอาศพทิ้งแอบไว้ข้างทางแล้ว ก็ถอนเอาขนหางออกขนหนึ่ง เป่าแปลงเป็นปาซัวเฮ้า ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นกี๊ฮั้ยเล้ง รีบเดินมาครั้นถึงปากช่องดงไม้ใหญ่ ก็เดินตรงเข้าไปเห็นมีประตูบานหนึ่งเปิดบานหนึ่งปิด มีหญิงปีศาจเฝ้าประตูอยู่คนหนึ่งเห็นเห้งเจียเดินเข้ามาจึงถามว่านี่ท่านจะไปข้างไหน
   เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง บัดนี้ใต้อ๋องให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านแม่ไป หญิงปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่าเชิญเข้าไปข้างในเถิด เห้งเจียก็เดินเข้าไปถึงประตูชั้นสามแลไปก็เห็นนางปีศาจเฒ่านั่งอยู่บนที่สูง เห้งเจียหวนคิดขึ้นมาก็โทมนัใจร้องไห้
   มีคำถามว่า (เหตุใดเห้งเจียจึงร้องไห้) ตอบว่าเธอคิดขึ้นมาว่าเราเกิดมามีฤทธาอานุภาพไม่เคยเคารพใคร นอกจากพระพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์กวนอิมแลพระอาจารย์ วันนี้จะต้องมาเคารพต่อปีศาจหญิง ครั้นจะไม่คำนับ การที่คิดไว้ก็จะเสียไป คิดไปก็เป็นความยากแก่ใจ เพราะเห็นแก่อาจารย์ที่ต้องภัยจึงจะต้องทนความอดสู เห้งเจียคิดแล้วก็เข้าไปยังหน้าปีศาจหญิงเฒ่า เคารพแล้วคุกเข่าลงกับพื้น ปีศาจหญิงเฒ่าพยักหน้าแล้วบอกว่าให้ลุกขึ้นเถิด แล้วถามว่าลูกอยู่ที่ไหนไปไหนมา
   เห้งเจียตอบว่ามาจากถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ใต้อ๋องทั้งสองใช้ให้มาเชิญท่านแม่ไปกินเนื้อถังซัมจั๋ง แลสั่งให้ท่านแม่เอาเชือกวิเศษนั้นไปด้วย จะได้คิดจับเห้งเจีย หญิงเฒ่าปีศาจจึงพูดว่า ลูกของเรามีกตัญญู มีของกินก็อุตสาห์มาเชิญแม่ พูดดังนั้นแล้ว ก็สั่งปีศาจคนใช้ให้เอาเกี้ยวหามออกมาจัดแจง พวกปีศาจคนใช้ก็จัดแจงหามเกี้ยวออกไปตามสั่งเสร็จสรรพแล้ว ก็กลับมาบอกว่าเสร็จแล้ว
   ฝ่ายปีศาจหญิงเฒ่าจัดแจงแต่งกายเสร็จแล้ว ก็ออกมาจากถ้ำเข้านั่งในเกี้ยว ปีศาจหญิงสองคนก็เข้าหามเดินมา เมื่อเดินมาได้ประมาณสามสี่โยชน์ คนหามก็ลงพักหยุดหายเหนื่อยนั่งอยู่ เห้งเจียจึงชักกระบองออกมาฟาดคนหามตายทั้งสองคน ปีศาจหญิงเฒ่าอยู่ในเกี้ยว ชะเง้อหัวออกมามองดู เห้งเจียเอากระบองกะทุ้งถูกศรีษะแตกตายอยู่กับที่ เห้งเจียก็จับออกมาดู ที่สุดเป็นตัวเสือปลาเก้าหาง เห้งเจียจึงเอาเชือกวิเศษพันกับพุงมีความดีใจที่สุด ออกปากว่า แม้อ้ายใต้อ๋องจะมีฝีมือเข้มแข็งอย่างไร ของวิเศษเราก็เอามาได้สามสิ่งแล้ว
   พูดดังนั้นแล้วก็ถอนขนหางออกสี่เส้น แปลงเป็นปิศาจกี๊ฮั้ยเล้งปาซัวเฮ้า อีกสองขนก็แปลงเป็นหญิงหามเกี้ยว ตัวเห้งเจียเอ็งแปลงเป็นปีศาจหญิงเฒ่า ขึ้นนั่งบนเกี้ยวให้ขนแปลงนั้นหามมา บัดเดี๋ยวก็ถึงหน้าถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ขนแปลงเป็นปาซัวเฮ้ากี๊ฮั้ยเล้งทั้งสอง ก็เดินนำหน้ามาถึงก็ร้องเรียกให้เปิดประตูรับ พวกปีศาจเฝ้าประตูก็เปิดประตู แล้วถามว่าท่านใต้อ๋องใช้ไปเชิญท่านแม่มาแล้วหรือ ปีศาจแปลงว่าท่านที่นั่งอยู่ในเกี้ยวนั้นไม่ใช่หรือ พวกเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องทั้งสองว่า ท่านแม่มาแล้วอยู่ข้างนอก
   ปีศาจใต้อ๋องทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็สั่งให้พวกปีศาจทั้งหลายจัดแจงออกไปรับ ออกมาพร้อมกันที่นอกประตู เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นนั่งบนที่สูงอยู่แต่ผู้เดียว ปีศาจใหญ่น้อยทั้งหลายก็พร้อมกันมาคำนับ ใต้อ๋องทั้งสองก็เข้ามาคำนับ ก็คุกเข่าลงกับพื้นบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเคารพ เห้งเจียแปลงบอกว่าลูกของแม่จงลุกขึ้นเถิด
   ฝ่ายโป๊ยก่ายที่ต้องแขวนอยู่บนขื่อนั้น แลไปเห็นเข้าก็หัวเราะขึ้น ซัวเจ๋งถามว่าถูกมัดแขวนอยู่อย่างนี้ยังจะมีแก่ใจสนุกหัวเราะได้อีกหรือ โป๊ยก่ายบอกว่า น้องเอ๋ยพี่หัวเราะนั้น คือพี่ได้เห็นแล้วรู้แล้วว่า มันไปเชิญมารดามันมาจะใคร่กินเนื้อเรา แต่มิใช่มารดาของมันดอก เป็นแต่คนพูดแทน ซัวเจ๋งถามว่าใครพูดแทนที่ไหน โป๊ยก่ายตอบว่า เป๊กเบ๊อุน ซัวเจ๋งว่าทำไมที่จึงรู้ได้ โป๊ยก่ายว่าน้องไม่ดูหางพันอยู่ที่บั้นเอ็วนั้น หางตุงอยู่ข้างหลังพี่กับน้องแขวนอยู่สูงจึงได้เห็นถนัด ซัวเจ๋งห้ามว่าพี่อย่าพูดไป ไว้ดูเขาจะทำประการใดกัน
   เห้งเจียนั่งอยู่บนท่ามกลาง ถามว่าลูกทั้งสองให้คนไปเชิญแม่มามีกิจธุระอะไรหรือ ปีศาจทั้งสองตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนานแล้วมิได้ไปเยือนมารดา บัดนี้ข้าพเจ้าจับได้ถังซัมจั๋งก็ไม่อาจกินก่อนมารดา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ไปเชิญมารดามา จะได้ทำเนื้อถังซัมจั๋งต้มแกงให้มารดากินสักเวลาหนึ่ง อายุของมารดาจะได้ยืนยาว เห้งเจียพูดว่าอันเนื้อถังซัมจั๋งกินยาก ได้ยินว่าได้โป๊ยก่ายมาด้วย มารดาอยากกินแต่ใบหูโป๊ยก่าย ลูกจงตัดใบหูโป๊ยก่ายทำกับกินกับเหล้าเถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าปะอ้ายห่านี้เข้าแล้ว มันคิดจะตัดใบหูเรากินแกล้มเหล้าเสียแล้ว ประเดี๋ยวกูจะร้องขึ้นให้ปีศาจมันรู้
   ในเวลาที่โป๊ยก่ายบ่นวุ่นวายอยู่นั้น แลไปเห็นปีศาจพลตระเวรวิ่งเข้ามาบอกว่า ขอใต้อ๋องได้ทราบเห้งเจียตีท่านแม่ตายแล้ว บัดนี้แปลงกายเข้ามาที่นี่ ปีศาจทั้งสองได้แจ้งดังนั้นก็ชักเกี่ยมวิเศษกระโดดขึ้นฟันเห้งเจีย ๆ ไหวกายเป็นแสงสว่างแดงไปทั้งถ้ำแล้วก็รีบหนีออกจากถ้ำ
   กิมกั๊กใต้อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ บอกว่าน้องจงแก้มัดถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคืนให้มันเสียเถิดจะได้สิ้นความจลาจล งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าพี่พูดอะไรอย่างนั้น เราได้รับความลำบากมาไม่รู้ว่าเท่าไรแล้วจึงจับมาได้ จะปล่อยเสียโดยง่ายนั้นอย่างไรได้ พี่จงนั่งให้สบายอย่าวิตก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเข้มแขง เราพึ่งได้มาพบก็ยังหาได้ดูฝีมือกันไม่ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะลองฝีมือดูก่อน แม้ว่าเธอไม่ชนะเรา ๆ ก็จะกินถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งโดยง่าย แม้ว่าเราสู้ไม่ได้ เราจึงค่อยปล่อยไปไม่ช้าอะไร
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดดังนั้นแล้ว ก็แต่งตัวถืออาวุธเกี่ยมเดินออกมาที่หน้าถ้ำ ร้องเรียกว่าอ้ายซึงเห้งเจีย มึงจงใช้ของวิเศษและมารดาเราให้เรา เราจะปล่อยอาจารย์มึงไปไซที เห้งเจียอยู่บนเมฆได้ยินดังนั้น ร้องด่าลงมาว่าอ้ายมารร้าย มึงจงรีบส่งอาจารย์และน้องของกูออกมาอย่าให้ทันปู่ลงมือได้
   ปิศาจงึ้นกั๊กได้ฟังดังนั้น ถือเกี่ยมเหาะขึ้นไปบนอากาศ เห้งเจียถือกระบองตรงเข้าสู้กันกลางเวหาประมาณสักสามสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน เห้งเจียนึกในใจว่าอ้ายนี่มีอาวุธเกี่ยมเข้มแขงอาจทานรับกระบองเราอยู่ได้ โดยจะคิดต่อสู้ทางอาวุธก็เสียกำลังจำจะเอาน้ำเต้าและขวดหยกวิเศษนี้เรียกจับมันเห็นจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วหากเรียกมันไม่ขานเรามิเสียทีหรือสู้เอาเชือกวิเศษไม่ได้ เห้งเจียเอาเชือกวิเศษขว้างไปมัดปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นก็อ่านคาถาเชือกที่เห้งเจียขว้างไปนั้นกลับมามัดเอาเห้งเจียเข้าไว้
   ซึ่งเป็นทั้งนี้เพราะปีศาจได้คาถาไว้สองบท ๆ หนึ่งสำหรับมัดข้าศึก บทหนึ่งกลับมามัดผู้ที่ขว้างเชือกนั้นเอง เพราะฉะนั้นเห้งเจียจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่ได้ ปีศาจก็เข้าจับเชือกลากลงมายังฟันเอาเกี่ยมฟันศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที ศรีษะเห้งเจียก็มิได้เป็นอันตรายปีศาจก็จูงเห้งเจียเข้าไปในถ้ำ ร้องบอกกิมกั๊กว่าข้าพเจ้าจับมาได้แล้ว กิมกั๊กแลไปเห็นก็มีความยินดีเป็นที่สุด พูดว่านี่และอ้ายเห้งเจียจึงให้เอามัดใส่คาไว้ที่โคนเสาใหญ่ แล้วแก้เอาน้ำเต้ากับขวดหยกวิเศษออกมาจากตัว ปีศาจทั้งสองก็พากันไปนั่งข้างในเสพสุราเป็นที่สบายใจทั้งสองคน
   ฝ่ายเห้งเจียต้องมัดอยู่กับโคนเสานั้นก็ดิ้นรนกลิ้งเกลือกไป โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็หัวเราะก๊าก ๆ ถามว่า เห็นจะกินใบหูเราไม่ได้แล้วหรือ เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมูมึงอย่าทำพูดมากไปประเดี๋ยวเราจะออกได้ แก้ไขเอาพวกเราออกให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร ก็ชักกระบองเหล็กออกจากหูงัดคาออกจากคอได้แล้ว ถอนเอาขนหางแปลงเป็นรูปปลอมเข้าติดคาอยู่กับที่นั้น ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นปีศาจน้อยเข้าไปยืนเฝ้าปีศาจอยู่ที่ริมตัว เห้งเจียจะใคร่ลักเอาของวิเศษนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้ปีศาจ บอกว่าใต้อ๋อง ข้าพเจ้าเห็นเห้งเจียกลิ้งเกลือกดิ้นรนดังนั้น เชือกนั้นจะขาดไป แม้ได้เชือกใหญ่ ๆ มาเปลี่ยนเอาเชือกนั้นออกเห็นจะดี
   กิมกั๊กใต้อ๋องพูดว่าจริงอยู่ ว่าแล้วก็แก้เชือกที่คาดพุงออกจากเอวส่งให้เห้งเจีย ๆ รับเอามาก็แก้เอาเชือกวิเศษออกเอาเชือกใหญ่มัด เห้งเจียแปลงไว้ตามเดิมแล้วเอาเชือกวิเศษซ่อนไว้ในตัว ถอนขนหางออกเส้นหนึ่ง แปลงเป็นเชือกวิเศษอีกเส้นหนึ่งมาส่งให้แก่ปีศาจใต้อ๋องทั้งสอง ปีศาจก็มิได้พิจารณาเชือกว่าปลอมหรือจริงไม่ เห้งเจียครั้นได้เชือกวิเศษมาแล้ว ก็รีบออกไปนอกถ้ำกลายเป็นรูปเดิมแล้ว ก็ร้องเรียกพวกปีศาจด้วยเสียงอันดังว่า
   พวกปีศาจน้อยจึงถามว่า ตัวอยู่ที่ไหนมาจึงมาเรียกอึกกระทึกอย่างนี้ เห้งเจียบอกว่า พวกเจ้าจงเร่งไปบอกให้อ้ายพวกมารใหญ่มันรู้ว่า คือเจียเห้งซึงมาแล้ว ปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้น ก็นำความเข้าไปแจ้งแก่ปีศาจใต้อ๋อง กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังปีศาจน้อยบอกดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าเราจับซึงเห้งเจียมัดไว้ได้แล้ว นี่เหตุใดจึงมีเจียเห้งซึงมาอีกเล่า งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าวิตกกลัวมันทำไม น้ำเต้าวิเศษของเรายังมี ข้าพเจ้าจะออกไปเรียกมันให้เข้าอยู่ในน้ำเต้าก็ได้ พูดดังนั้นแล้ว ก็หยิบเอาน้ำเต้าออกไปยังประตูถ้ำ ร้องถามว่าเจ้าคือใครที่ไหนมา
   เห้งเจียตอบว่าเรานี้แลคือน้องของเห้งเจีย ข้ารู้ว่าเจ้าจับเอาเห้งเจียพี่ของข้ามาไว้ บัดนี้ข้าจะมาเป็นธุระด้วยพี่ข้า งึ้นกั๊กพูดว่าเจ้ามารบแก่เราหรือ เราจะไม่รบแก่เจ้าจะเรียกเจ้าสักคำหนึ่งเจ้าอาจขานได้หรือ เห้งเจียตอบว่าเราจะกลัวอะไรแก่เจ้านักหนาจนถึงแก่จะไม่กล้าขานรับ ต่อให้เรียกสิบคำข้าจะขานสักหมื่นคำก็ได้
   ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เหาะขึ้นบนเวหา เอาน้ำเต้าคว่ำลงแล้วก็เรียกว่าเจียเห้งซึงก็ไม่กล้าขานรับ ปีศาจก็เรียกอีกคำหนึ่งว่าเจียเห้งซึง เห้งเจียมาคิดว่าเราชื่อเห้งเจีย มันมาเรียกเจียเห้งซึงผิดความจริงคงจะจับเราไม่ได้ คิดดังนั้นแล้วขานรับออกมาคำหนึ่ง เห้งเจียก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้าวิเศษของปีศาจ ๆ ก็เอายันต์ปิดปากน้ำเต้าไว้ อันความจริงนั้นถ้าใครขานแล้วก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้าจะเป็นเก๊หรือไม่เก๊นั้นไม่เป็นข้อสำคัญ
   ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปติดอยู่ในน้ำเต้าแล้ว ดูมืดดำไปหมดมิได้เห็นแสงสว่างเลย เป็นที่คับแค้นแสนลำบากสุดที่จะทนได้ เมื่อเราพบปีศาจทั้งสองบอกว่าน้ำเต้ากับขวดหยกนั้น เรียกเข้าอยู่ข้างในแล้วบัดเดี๋ยวใจก็แปรเป็นน้ำหนอง ส่วนตัวเราไม่อาจให้เป็นเช่นนั้นได้ จึงคิดขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนห้าร้อยปี พรหมท้ายเสียงเล่ากุนจับเราใส่ในเบ้า (โป๊ยก่วย) หลอมเรา แต่หัวใจเราเป็นทองแดงกายสิทธิ์ตัวเป็นเหล็กตาไฟแก้วตาเป็นทองกายสิทธ์ ของวิเศษเหล่านี้ก็ไม่ทำอันตรายเราได้
   ปิศาจงึ้นกั๊กเมื่อเรียกเจียเห้งซึงเข้าในน้ำเต้าแล้ว ก็พาไปยังถ้ำร้องบอกกิมกั๊กว่า ข้าพเจ้าจับเจียเห้งซึงได้แล้วขังอยู่ในน้ำเต้านี้ กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแกงึ้นกั๊กว่าเอาไว้สั่นดูถ้ามันไม่มีเสียงแล้วจึงค่อยเปิดยันต์ออกดู
   เห้งเจียอยู่ในน้ำเต้าได้ยินปีศาจมันพูดกันดังนั้นจึงคิดว่า อันตัวของเรานี้ทำไมจึงจะสั่นไม่มีเสียงได้ ถ้ากายนั้นไม่แปรก็มีเสียงอย่าเลยเราจะหลอกมัน ถ้ามันสั่นไม่ได้ยินเสียงมันก็จะเปิดยันต์ออกเราจะได้คิดหนีไป คิดแล้วก็นึกว่าทำอย่างนั้นเห็นจะไม่เป็นคนเก่งได้ ไว้คอยมันสั่นเราจึงทำกระแอมไอจามหลอกมันให้เปิดเราออกก็จะไปได้ เห้งเจียคัดดังนั้นแล้วก็เกรียมตัวคอยอยู่ มิได้รู้ว่าปีศาจทั้งสองมันมัวกินสุราเสียมิได้มาสั่นน้ำเต้า เห้งเจียจะใคร่หลอกปีศาจให้มาสั่นน้ำเต้าจึงร้องว่าฟ้าเอ๋ยรูปนั้นแปรแล้ว ปีศาจก็มิได้มาสั่น เห้งเจียก็ร้องอีกว่าแม่เอ๋ยแปรเข้าไปถึงบั้นเอวแล้ว
   ปีศาจกิมกั๊กได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าแปรเข้าไปถึงบั้นเอวก็คงจะแปรเข้าไปขาดครึ่งตัวจงเปิดดูที เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงถอนขนหางแปลงเป็นรูปครึ่งตัวอยู่ในนั้น ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่คอยจะบินออกเมื่อเปิด ปีศาจกิมกั๊กจึงยกเอาน้ำเต้ามาเปิดยันต์ออกดู เห้งเจียก็บินออกไปแปลงเป็นปีศาจกี๊ฮั้ยเล้งยืนอยู่ข้างนั้น กิมกั๊กใต้อ๋องก็ยกน้ำเต้าขึ้นมองดูแลเข้าไปก็เห็นมีรูปครึ่งตัวอยู่ในนั้น มิได้รู้สึกว่ารูปแปลงหรือจริง ก็ร้องบอกว่าเร็ว ๆ ปิดเสียมันแปลงยังไม่หมดตัว งึ้นกั๊กใต้อ๋องก็เอายันต์ปิดเข้าตามเดิม กิมกั๊กใต้อ๋องจึงหยิบเอาป้านสุรามารินกินอีกสองสามถ้วย แล้วส่งให้งึ้นกั๊กพูดว่าเจ้ามีความลำบากมากควรพี่จะรินสุราให้เจ้ากิน งึ้นกั๊กเห็นพี่มีกะใจดังนั้นก็รับมากินอีกสองสามถ้วย หยิบน้ำเต้าส่งให้กี๊ฮั้ยเล้งโดยไม่รู้สึกว่าเห้งเจียแปลงเป็น   ปีศาจ ทั้งสองก็ส่งสุราไปมากินกันอยู่จนเมา
   เห้งเจียเห็นปิศาจมิได้สงไสยจึงเอาน้ำเต้านั้นซ่อนไว้ในเสื้อ ถอนขนหางแปลงเป็นน้ำเต้ายืนถืออยู่ ปีศาจเสพสุรามึนเมาแล้วก็กลับรับเอาน้ำเต้าคืนมา ก็กลับเข้านั่งที่กินสุราไปอีกพักหนึ่ง เห้งเจียได้ของวิเศษแล้วก็ถอยออกมามีความดีใจ
 (บทที่ ๓๕)
   ฝ่ายเห้งเจียได้ของวิเศษมาแล้วก็หนีออกมานอกถ้ำ กลายเป็นรูปเดิมร้องด่าท้าทายอยู่หน้าถ้ำด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกปีศาจมึงจงรีบไปบอกนายมึงว่ากูมาแล้ว ปีศาจน้อยถามว่าท่านอยู่ที่ไหนมา เห้งเจียว่ากูคือเห้งเจียซึง พวกปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้นก็รีบนำความเข้าไปแจ้งแก่ใต้อ๋องทั้งสอง กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจิตใจให้สะดุ้งหวาดจึงพูดแก่งึ้นกั๊กผู้น้องว่า เห็นจะไม่เป็นการเราไปโดนรังมันแล้วหมายว่าสองคน มันมีพี่น้องมากมันค่อยทอยกันมาอย่างนี้ เห็นจะไม่สำเร็จการ
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าพี่จงวางใจเถิด น้ำเต้าวิเศษของเราใส่ได้ถึงพันคน นี่เราพึ่งจับเจียเห้งซึงคนเดียว พี่จะวิตกอะไรแก่เห้งเจียซึง ข้าพเจ้าจะออกไปจับมันอีกคนหนึ่งให้ดู งึ้นกั๊กจึงหยิบเอาน้ำเต้าปลอมออกไปยังหน้าถ้ำ โดยยังเข้าใจอยู่ว่าน้ำเต้านั้นเป็นของจริง ครั้นออกมาร้องถามว่าอ้ายคนไหน สามารถมาท้าทายอึกกะทึกอยู่ที่นี่หว่า มึงจงมานี่กูไม่ต่อสู้แก่มึง จะเรียกมึงคำหนึ่งมึงยังอาจจะขานรับหรือ เห้งเจียพูดว่าเจ้าเรียกข้า ๆ ก็อาจขานรับ ข้าจะเรียกเจ้าบ้างเจ้าอาจขานรับหรือ งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าข้าเรียกเจ้า ๆ เข้าอยู่ในน้ำเต้าเจ้าจะได้อะไรที่ไหนมาใส่ข้า เห้งเจียตอบว่าข้าก็มีน้ำเต้าเหมือนกัน เจ้าอย่าสำคัญว่ามีแต่ของเจ้าผู้เดียวเลย
   งึ้นกั๊กว่าถ้ามีจริงจงเอาออกมาให้ดูสักทีจะได้หรือไม่ หรือเจ้าพูดอวดเล่นดอกกะมัง เห้งเจียได้ฟังปีศาจพูดท้าทายดังนั้น ก็หยิบเอาน้ำเต้าวิเศษออกจากมือเสื้อ ยกขึ้นชูแล้วว่าอ้ายมารร้ายเอ็งจงดูน้ำเต้าเถิด งึ้นกั๊กแลไปเห็นน้ำเต้าก็สะดุ้งหวาดตกใจ พูดว่าทำไมจึงเหมือนของเราราวกับอันเดียวกัน จึงร้องถามว่าน้ำเต้าลูกนี้เจ้าได้ที่ไหนมา เห้งเจียไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรด้วยไม่ทราบว่ากำเนิดเดิมมาอย่างไร จึงกลับย้อนถามว่าก็น้ำเต้าของเอ็งได้มาจากไหนเล่า
   ฝ่ายปีศาจพาซื่อหารู้ว่าเห้งเจียจะเอาคำของตัวไม่ ก็ตอบตามความจริงว่าอันน้ำเต้าของเรานี้ เมื่อเริ่มฟ้าเริ่มดินมีท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนแปลงเป็นนางหนึงฮวย ประกอบทำหินปะฟ้า ครั้นปะมาถึงทิศตะวันออกที่เขากุลหลุนซัว ข้างริมเขานั้นมีของวิเศษของเทวดา ท้ายเสียงเล่ากุนเอาของนั้นมาประกอบทำเป็นน้ำเต้าทอง เพราะฉะนั้นจึงมีมาจนทุกวันนี้ เห้งเจียได้ฟังปีศาจบอกดังนั้นจึงตอบว่า ของเราก็มีกำเนิดเหมือนของเจ้านั่นและ แต่ของเราเป็นตัวผู้ของเจ้าเป็นผัวเมียฤทธิ์น้อยกว่ากัน
   ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ไม่ต้องการด้วยตัวผู้แลตัวเมีย ใช้ได้แล้วก็เป็นดีเหมือนกัน เห้งเจียพูดว่า เจ้าพูดดังนั้นก็จริงของเจ้าแล้ว เรายอมให้เจ้าเรียกก่อน เราจะเรียกต่อภายหลัง ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังเห้งเจียยอมดังนั้นก็ดีใจ โดยเหตุที่ไม่รู้สึกว่าของตนเป็นของปลอม จึงถือน้ำเต้าเหาะขึ้นไปบนอากาศ เอาน้ำเต้าคว่ำลงแล้วก็เรียกว่าเห้งเจียซึงโว๊ย เห้งเจียได้ยินเรียกก็รับขานว่าโว้ย ๆ เจ็ดแปดครั้ง ก็มิได้เห็นว่าเป็นประการใด งึ้นกั๊กปีศาจเห็นดังนั้น ก็ลดลงยังพื้นกระทืบเท้าทุบอกร้องว่า เทวดาเอ๋ยเทวดาใครจะรู้เลยว่ามันจะแปรปรวนไปอย่างนี้ น้ำเต้าของเราเป็นตัวเมียไปเห็นตัวผู้เข้าก็ใช้ไม่ได้เสียแล้ว
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ของเจ้าจงเก็บไปเถิด คราวนี้ถึงที่ข้าจะเรียกบ้าง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ เอาปากน้ำเต้าคว่ำลงตรงปีศาจแล้วก็ร้องเรียกว่า อ้ายงึ้นกั๊กปีศาจโว้ย งึ้นกั๊กก็รับขานว่าโว๊ย ในทันใดนั้น งึ้นกั๊กก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้า เห้งเจียก็ลดลงยังพื้น เดินตรงเข้าไปที่ปากถ้ำ ทางเดินไม่ค่อยจะเรียบร้อย เห้งเจียหิ้วน้ำเต้ามาได้ยินเสียงในน้ำเต้าร้องไม่หยุดเดินมาประเดี๋ยวก็มาถึงประตูถ้ำยกน้ำเต้าขึ้นสั่นพักหนึ่ง จึงภาวนาว่า (จิวเหยียดบุนอ๋อง ขงจื๊อ เซี้ยหยิน ถัวฮวยหนึง เซียนแซกุ้ยก๊ก จื๊อเซียนแซ) พวกปีศาจเห็นดังนั้น ก็วิ่งเข้าไปบอกกิมกั๊กว่าใต้อ๋องบัดนี้เกิดเหตุแล้ว เห้งเจียซึงจับงึ้นกั๊กใต้อ๋องใส่ในน้ำเต้ามายืนภาวนาอยู่หน้าถ้ำนั้น
   กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังพวกปีศาจบอกดังนั้น ก็ตกตะลึงล้มลงกับพื้น ร้องไห้ด้วยเสียงอันดังพูดว่า น้องเอ๋ยพี่กับเจ้าลงมาจากสวรรค์ จุติยังมนุษย์โลกเป็นเจ้าเขา คิดว่าจะได้รับความสุขด้วยกัน ไม่รู้ว่าอ้ายพวกถือบวชเหล่านี้ มันจะมาฆ่าเจ้าให้ถึงแก่ความตาย พวกปีศาจเห็นนายเศร้าโศกโทมนัสร้องไห้ก็พากันร้องไห้ทั้งถ้ำ โป๊ยก่ายต้องมัดโยงแขวนอยู่บนขื่อ เห็นดังนั้นอดอยู่มิได้ ก็ร้องพูดออกมาว่า เฮ้ยอ้ายปีศาจน้องของเองบัดนี้ก็ตายแล้ว เองจะร้องไห้ไปทำไมให้ป่วยการ เจ้าจงรีบจัดแจงทำเครื่องแจให้สะอาด เชิญพวกข้าจะสวดพระธรรมให้น้องเจ้าไปสวรรค์
   กิมกั๊กได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งแสนแค้นจะใคร่เอาโป๊ยก่ายมาฆ่ากินเสียก่อน แลไปเห็นพวกปีศาจวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้เห้งเจียซึงมาร้องด่าท้าทายอยู่ที่ฟน้าถ้ำอีกแล้ว กิมกั๊กก็ตกใจจึงให้พวกปีศาจตรวจของวิเศษดูว่ายังอยู่กี่สิ่ง ปีศาจน้อยบอกว่ายังอยู่สามสิ่ง คือเกี่ยม พัดไฟ ขวดน้ำมนต์ กิมกั๊กพูดว่ามันกลับเอาคนของเราใส่เข้าไปในน้ำเต้า จงเอาพัดไฟแลเกี่ยมนั้นมา พวกบริวารจึงหยิบของสองสิ่งนั้นมาใส่ให้ใต้อ๋อง กิมกั๊กจึงเอาพัดเหน็บไว้กับคอเสื้อ มือก็ถือเกี่ยมเดินออกมายังหน้าถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงฆ่ามารดากับน้องกู กูมีความแค้นมึงยิ่งนัก
   เห้งเจียจึงด่าว่า อ้ายชาติปีศาจมึงยังจะมาหาที่ตายอีกหรือ มึงจงรีบเร็วๆ ส่งอาจารย์กูออกมา กูจะยกชีวิตมึงไว้ กิมกั๊กมิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเอาเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่างออกกำลังรบกันได้ประมาณยี่สิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะแก่กัน ปีศาจเอาเกี่ยมชี้ให้พวกบริวารเข้าช่วยระดมตี พวกปีศาจก็กรูเข้าล้อมจับเห้งเจีย ๆ อยู่ท่ามกลาง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงถอนขนออกกำมือหนึ่ง ร้องไห้ขนแปลงเป็นเห้งเจียมากดังเม็ดฝน ตรงเข้าตีแยกปีศาจนั้นออกกระจายไป พวกปีศาจก็พากันวิ่งหลบหนีและร้องว่าสู้เขาไมได้แล้ว เห้งเจียเต็มไปทั้งนั้นอย่างนี้ กิมกั๊กก็ถือเกี่ยมตรงเข้ามา มือหนึ่งฉายพัดออกหันหน้าไปทิศอาคเนย์ร้องขึ้นคำหนึ่ง เอาพัดไฟโบกไปทีหนึ่ง พื้นดินก็ลุกเป็นไฟขึ้นโดยแรง เป็นเปลวปลิวขึ้นบนอากาศ
   เห้งเจียเห็นไฟลุกขึ้นดังนั้น ก็ถอนขนในตัวออกขนหนึ่งร่ายคาถาเป่าไป เป็นรูปเห้งเจียยืนอยู่ ตัวเห้งเจียก็เหาะหนีไฟไป ครั้นออกจากที่ลับไฟนั้นแล้ว ก็เหาะไปยังหน้าถ้ำเน่ยฮวยต๋อง คิดจะเข้าไปแก้อาจารย์ออก ก็ตรงเข้าไปในถ้ำเอากระบองตีปีศาจตายไปทั้งสิ้น แลเข้าไปในถ้ำนั้นมีแสงแดงสว่างไปทั้งถ้ำ เดิมคิดว่าไฟ ดูไปก็มิใช่ไฟเป็นแสงรัศมี เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้มองดูเห็นขวดน้ำมนต์มีแสงสว่าง เห้งเจียก็ลักเอาขวดนั้นมาหาทันจะช่วยอาจารย์ไม่ ก็รีบหนีออกมาจากถ้ำ บังเอิญมาพบกิมกั๊กกลับเข้ามา กิมกั๊กเห็นเห้งเจียก็ตรงเข้าเอาเกี่ยมฟันเห้งเจีย ๆ ก็เหาะหนีหายไปในอากาศ กิมกั๊กเห็นเห้งเจียหนีหายไปแล้ว ก็เดินเข้าไปในถ้ำ แลไปเห็นพวกปีศาจบริวารล้มตายไปทั้งสิ้น เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียง กิมกั๊กเห็นดังนั้นก็ยิ่งแสนโทมนัสเสียใจ คิดขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้ นั่งพักที่โต๊ะเลยหลับไป
   ฝ่ายเห้งเจียลักได้ขวดน้ำมนต์วิเศษมาแล้ว ก็รัดผูกเข้ากับบั้นเอวเหาะย้อนกลับมายังถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ครั้นถึงเห้งเจียก็แอบย่องดูในถ้ำเห็นเงียบสงัดอยู่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ เดินเข้าไป แลเห็นปีศาจนั่งหลับอยู่กับโต๊ะ พัดไฟกับเกี่ยมวางอยู่บนโต๊ะ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เดินเบา ๆ เข้าไปข้างโต๊ะ เอื้อมหยิบเอาพัดนั้นมาก็วิ่งหนีออกไป กิมกั๊กตกใจลืมตาเห็นเห้งเจีย จึงฉวยเอาเกี่ยมกระโดดไล่เห้งเจียออกมายังหน้าถ้ำ เห้งเจียวิ่งออกมาจากถ้ำแล้ว เอาพัดไฟเหน็บไว้กับบั้นเอ็วแล้ว สองมือถือกระบองตรงเข้ามาประจันหน้ารบกับปีศาจกิมกั๊กออกกำลังรับเห้งเจียได้สี่สิบเพลง ทานกำลังเห้งเจียไม่ไหว ก็ล่าถอยเหาะหนีไปทิศตะวันตกตรงไปยังถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋อง เห้งเจียเห็นปีศาจหนีไปแล้ว ก็ลงเดินเข้าไปในถ้ำ แก้มัดอาจารย์ โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง อาจารย์กับสานุศิษย์ก็มีความดีใจ จัดหาอาหารกินในถ้ำนั้น แล้วก็พักนอนในถ้ำคืนหนึ่ง
   ฝ่ายปิศาจกิมกั๊กหนีไปหาน้าชายรวบรวมปีศาจทั้งชายแลหญิงเข้าสมทบกันพร้อมแล้ว อาชิดใต้อ๋องยกมา เห้งเจียกำลังนั่งอยู่ได้ยินเสียงลมพัดฉิวมาก็วิ่งออกมานอกประตูแลไป เห็นกิมกั๊กพาพรรคพวกมา เห้งเจียก็กลับเข้าไปบอกว่าบัดนี้ปีศาจไปพาพวกมาเป็นอันมาก จึงสั่งให้ซัวเจ๋งคอยระวังพระอาจารย์ เรียกโป๊ยก่ายให้คอยช่วยรบ
   เห้งเจียเก็บเอาของวิเศษเหล่านั้นซ่อนเข้าไปแล้ว มือจับกระบองพร้อมด้วยโป๊ยก่ายเดินออกมา แลไปเห็นอาชิดนายใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าดูรูปร่างลักษณะหน้าขาวดุจเพชร หนวดยาวคิ้วตั้งแข็ง ใบหูดุจมีดมือถืออาวุธทวนร้องด่าด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายชาติลิงไม่มีดี มึงอาจสามารถประมาทคน มึงจงยื่นคอออกมายอมตายเสียโดยดีจะได้แก้แค้นแทนวงศ์ญาติของเรา
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เกิดโทโสจึงร้องด่าว่าเอ็งจะต้องตายไม่ดีทั้งโคตร มึงยังไม่รู้จักฝีมือกูซึ่งเป็นปู่ของเอ็ง มึงอย่าวิ่งหนีจงมารับกระบองดูสักทีหนึ่ง ปีศาจอาชิดเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับปิดไว้ ต่างออกกำลังเข้มแขงรบกันโดยสามารถได้สามสิบเพลง ปีศาจกำลังน้อยทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ก็ถอยหนี เห้งเจียไล่กระชั้นมา กิมกั๊กยกเกี่ยมเข้าสกัดหน้ารบกันอีกสามสิบเพลง อาชิดก็หวนมาช่วยรบ โป๊ยก่ายแลเห็นจึงจับคราดเหล็กกระโดดเข้าสกัดรบแก่อาชิดใต้อ๋อง รบกันได้พักใหญ่ยังหาแพ้ชนะกันไม่
   อาชิดจึงร้องให้ปีศาจบริวารเข้าระดมช่วย พวกปีศาจก็พากันเข้าช่วยรบ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองเหล็กตรงเข้ามาสกัดหน้า ตีพวกพลปีศาจกระจายไปทั้งสิ้น อาชิดใต้อ๋องเห็นเสียทีก็หันโดดหนีไป โป๊ยก่ายไล่กระชั้นตามมาเอาคราดสับลงทีหนึ่งตายคาที่ เอาคราด ๆ มาดูศพ เป็นเสือปลาตัวหนึ่ง กิมกั๊กเห็นฆ่าน้าชายตายแล้ว ผละออกจากเห้งเจีย ถือเกี่ยมมารบกับโป๊ยก่าย ๆ ก็เข้าต่อสู้กับกิมกั๊ก ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองเข้าช่วยโป๊ยก่าย ปีศาจทานกำลังสองนายไม่ไหว ก็ผละออกเหาะหนีไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไล่ตามไป เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ชิงเหาะสกัดหน้า เอาขวดวิเศษออกหันปากขวดไปตรงปีศาจกิมกั๊กร้องเรียกคำหนึ่งว่า กิมกั๊กใต้อ๋อง กิมกั๊กหมายว่าพวกบริวารตามมาเรียก จึงขานรับกิมกั๊กก็แล่นเข้าไปอยู่ในขวดวิเศษ
   เห้งเจียก็เอายันต์ปิดปากขวดไว้ แลไปเห็นเกี่ยมวิเศษของปีศาจตกอยู่กับพื้น เห้งเจียก็เก็บเอามา เห้งเจียกำจัดปีศาจร้ายตายแล้วก็พากันกลับมายังถ้ำ เข้าไปคำนับพระอาจารย์แล้วเห้งเจียจึงพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า บัดนี้ก็ราบคาบแล้ว ขอนิมนต์พระอาจารย์ขึ้นม้าออกเดินเถิด ถังซัมจั๋งมีความยินดี พร้อมอาจารย์กับศิษย์ก็ออกเดินหมายตรงไปยังปราจิณทิศ ในเมื่อกำลังเดินไปนั้น แลไปเห็นตาเฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง เดินออกมายึดเอาพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่า พระสงฆ์จะไปข้างไหน จงคืนของวิเศษนั้นมาให้ข้าพเจ้า เห้งเจียพิศดูไปมาก็รู้ว่า ท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน จึงคำนับแล้วถามว่า นี่ท่านจะไปข้างไหน
   ท้ายเสียงเล่ากุนได้ยินเห้งเจียถามดังนั้น ก็เหาะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แก้วลอยอยู่กลางอากาศร้องเรียกว่าซึงเห้งเจีย จงคืนของวิเศษมาให้ข้าพเจ้า เห้งเจียก็เหาะตามขึ้นไปถามว่า ของวิเศษนั้นคืออะไรที่ไหน เล่ากุนบอกว่า น้ำเต้านั้นของเราใส่ยา ขวดนั้นของเราใส่น้ำ เกี่ยมนั้นของเราปราบมารร้าย พัดนั้นของเราใช้ไฟ เชือกนั้นของเราไว้คาดเอ็ว สองปีศาจนั้นคนหนึ่งสำหรับรักษาเบ้าทอง ชื่อ (กิมท่งจื๊อ) คนหนึ่งรักษาเบ้าเงิน ชื่อ (งึ้นท่งจื้อ) เธอทั้งสองลักเอาของวิเศษหนีลงมาเกิดในมนุษย์โลกนี้ เที่ยวค้นหาก็ไม่พบ บัดนี้เห้งเจียจับได้มีซึ่งความชอบ
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่านี่คือท่านปล่อยสานุศิษย์ลงมาให้ทำร้ายโทษนี้อยู่แก่ท่าน เพราะสั่งสอนไม่เรียบร้อย เล่ากุนตอบว่า ข้อนั้นเราไม่เกี่ยวข้องด้วย เหตุด้วยอาจารย์สานุศิษย์พวกถังซัมจั๋ง มิใช่พวกมารปีศาจทำให้ลำบาก ถ้ามิฉะนั้นก็จะไม่สำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็มีใจผ่องไสโสมนัส จึงพูดว่าแม้ของวิเศษแห่งท่านก็จงมาเอาไปเถิด เห้งเจียก็นำของมาส่งให้เล่ากุน ๆ รับเอามาแล้วจึงเปิดยันต์ที่ปากขวดน้ำเต้า คว่ำเทออกมาสองสายย้อย เล่ากุนเอามือชี้เข้าทีหนึ่ง ก็กลายกลับคืนอย่างเดิมเป็นกิมท่งจื้อ งึ้นท่งจื้อ ยืนเฝ้าซ้ายขวา เล่ากุนบันดาลเป็นแสงสว่างเหาะกลับไปยังทิพย์สถานวิมานฟ้า
   ฝ่ายเห้งเจียเอาของวิเศษคืนให้ท่ายเสียงเล่ากุนไปแล้วก็เหาะกลับลงมายังพื้นดิน เล่าความให้ถังซัมจั๋งฟังทุกประการ ถังซัมจั๋งได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดี ตั้งหน้าหมายมุ่งไปยังทิศปราจิณ

02 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 30 ไซอิ๋ว นวนิยาย

(บทที่ ๓๒)   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งได้เห้งเจียกลับมาแล้ว ศิษย์กับอาจารย์ก็ตั้งใจตรงไปยังประเทศไซที ออกจากเมืองเชียงโป๊ก๊ก เวลากลางวันก็ออกเดินเวลากลางคืนก็หยุดพักนอน เวลานั้นเป็นฤดูเดือนสามต้นไม้กำลังผลัดเปลี่ยนใบจะออกช่อดอกดูสง่างาม พากันเดินพลางชมพลางแลไปข้างน่าเห็นภูเขาใหญ่ขวางอยู่พระถังซัมจั๋งเตือนศิษย์ให้ระวัง เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ทำไมจึงพูดเหมือนชาวบ้านอย่างนั้น พระอาจารย์ได้พระคาถาซิมเกงของพระโอเซ้าให้คุ้มตัวในคาถาว่า (ซิมโป๊ก้วยหงายฮองโป๊ขงโพ้) แปลว่า จิตไม่มีความสงสัย ความสะดุ้งหวาดเสียวก็ไม่มี เพราะฉะนั้นจะต้องกวาดสิ่งโสโครกในจิตนั้นให้สิ้น และล้างซึ่งผงละอองเปื้อนในหูนั้นให้หมด ท่านอย่ามีความเศร้าหมอง อันการร้ายดีทั้งหลายอยู่แก่ตัวข้าพเจ้าเอง
   พระถังซัมจั๋งยอม้าแล้วจงพูดว่า อาตมภาพตั้งแต่รับ ๆ สั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ก็ตั้งใจจะไปไซทีนมัสการพระพุทธเจ้าอุตส่าห์ข้ามเขาแลห้วยธารมา ไม่รู้ว่าเวลาใดจึงจะได้สุขกายสุขใจบ้าง เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พระอาจารย์จะใคร่ได้สุขกายสุขใจนั้นก็ไม่สู้ยากอะไรนัก แม้ว่าสำเร็จการตามความประสงค์แล้ว สารพัดจะมีความสุข ย่อมมีความบริบูรณ์พร้อมอยู่เอง วันทั้งหลายก็ว่างเปล่า ในเวลานั้นก็มีสุขโดยลำพัง ถ้าดังนั้นแล้วจะไม่เรียกว่าความสุขหรือ
   พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังเห้งเจียอธิบายให้ฟังดังนั้น ในดวงจิตก็ปล่อยอุปทานความยึดถือเสียได้ขณะหนึ่ง สิ้นความเศร้าหมองในใจทั้งหลายแล้ว ก็ชักม้าให้เดินขึ้นเขา อันหนทางนั้นแสนที่จะลำบากในเวลากำลังเดินอยู่นั้น แลเห็นคนตัดฟืนยืนอยู่บนเนินสูง ร้องเรียกว่าท่านผู้นั้นจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะบอกข่าวให้ ในเขานี้มีปีศาจยักษ์ร้าย มันคอยจับมนุษย์กินเป็นอาหาร ใครเดินไปมาทางนี้ ย่อมไม่พ้นฝีมือมันไปได้
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังคนตัดฟืนบอกดังนั้น มีความตกใจสะดุ้งกลัวจึงถามสานุศิษย์ว่า ใครได้ยินหรือเปล่าว่าคนตัดฟืนร้องบอกว่ากระไร เห้งเจียว่าข้าพเจ้าจะไปถามดู ว่าแล้วก็เดินไปที่คนตัดฟืน คำนับแล้วถามว่า เมื่อกี้นี้ท่านบอกว่ากระไรฟังไม่ถนัด คนตัดฟืนคำนับตอบแล้ว ก็ถามว่าพวกท่านมีธุระอย่างไรหรือ จึงได้มาถึงตำบลนี้ เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าไม่ปิดบังอะไรแก่ท่าน พวกข้าพเจ้านี้ คือมาจากเมืองใต้ถัง จะไปเมืองไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บังเอิญมาถึงนี่ ได้ยินท่านร้องบอกว่า มีปีศาจยักษ์ร้ายอะไรอยู่ที่ไหนข้าพเจ้าฟังไม่ถนัด จึงมาขอถามท่านให้แน่นอนแก่ใจว่า ปีศาจนั้นมีมากี่ปีแล้ว แลมารนั้นมันเกิดเมื่อไร ขอท่านได้โปรดบอกแก่ข้าพเจ้าโดยความจริงเถิด ข้าพเจ้าจะได้ให้พระภูมิเจ้าที่ แลเจ้าป่าเจ้าเขาขับไล่มันไปเสียให้พ้น
   คนตัดฟืนได้ยินดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า พวกท่านเดินทางแม้จะเรียนรู้เวทมนต์ที่ขับไล่ซึ่ง ผี ปิศาจก็ยังไม่เคยพบเห็น ซึ่งมารยักษ์ร้ายอย่างนี้ ข้าพเจ้าจะบอกให้ท่านทราบ ทางจะข้ามเขานี้มีระยะหกร้อยโยชน์ เขานี้เรียกว่าเขา (ซือเพ่งเต๊งซัว) มีถ้ำอยู่ถ้ำหนึ่งเรียกว่า (เน่ยฮวยต๋อง) ในถ้ำนั้นมีปีศาจยักษ์สองตนมันวาดรูปถังซัมจั๋งไว้ มันจะใคร่กินเนื้อพระถังซัมจั๋ง แม้ท่านเป็นพวกอื่นมาก็ไม่เป็นไร ถ้าพวกของถังซัมจั๋งแล้ว อย่าพึงนึกว่าจะรอดไปเลย
รูปภาพ ; 陈惠冠·新绘西游记   第三十二回 平顶山功曹传信 莲花洞木母逢灾
   เห้งเจียว่าข้าพเจ้านี้แลเป็นผู้มาด้วยพระถังซัมจั๋ง คนตัดฟืนพูดว่า ปีศาจนั้นมันจะคอยกินเนื้อถังซัมจั๋ง และมันมีของวิเศษห้าอย่าง มีฤทธาอานุภาพมาก แม้ท่านรักษาถังซัมจั๋งไป จงระวังระไวให้มากอย่าได้มีความประมาทเลย เห้งเจียพูดว่า แม้ท่านบอกดังนี้แล้วข้าพเจ้าจะคอยระวัง พูดแล้วเห้งเจียก็ลาคนตัดฟืนนั้นกลับมา ครั้นถึงจึงบอกแก่พระอาจารย์ว่า ไม่มีการร้ายแรงอะไรดอกแต่คนตัดฟืนนั้นเป็นคนขลาด แม้จะมีเหตุการณ์สิ่งใด ขอท่านอาจารย์จงวางใจแก่ข้าพเจ้าเถิด พระ ถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นก็ค่อยวางใจไม่สู้เป็นทุกข์ เวลาออกเดินนั้นแลไปก็ไม่เห็นคนตัดฟืน เห้งเจียก็แลดูด้วยตาสว่างของเห้งเจียเหลือบไปดู เห็นเป็นเจ้าเชากง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปไล่ตามตวาดด่าสองสามคำว่า ทำไมมาบอกแล้วจึงไม่บอกให้จะแจ้งว่า ปีศาจนั้นมันจะเปลี่ยนแปลงอย่างไร
   เชากงได้ยินดังนั้นก็ตกใจยกมือขึ้นคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าขออนุญาตเถิด อันความจริงนั้น ปีศาจสองตนนี้มีฤทธาอานุภาพมาก เพราะข้าพเจ้าเห็นท่านมีความรู้ฉลาดก็จริง แต่ไม่มีความเฉลียว พอจะรักษาพระถังซัมจั๋งไปได้ แม้ว่าท่านข้ามไปจงระวังให้มาก ถ้าพลั้งพลาดก็จะมีความลำบากมาก
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็ตวาดไล่เจ้าเชากงไป แล้วก็ตรึกตรองแต่ในใจว่า แม้เราจะนำเนื้อความอันนี้เล่าบอกให้พระอาจารย์ฟังตามจริง เธอก็จะตกใจกลัว เราจะต้องไม่บอกจึงจะดี ถ้าปีศาจมันจับพระอาจารย์ไป เราก็จะมีความลำบากมาก จำเราจะให้โป๊ยก่ายเป็นธุระออกหน้าก่อน รบแก่ปีศาจสักพักหนึ่งบางทีจะชนะปีศาจ อันความชอบนั้นจะได้เป็นของโป๊ยก่าย ถ้าจะสู้ปีศาจไม่ได้ ปีศาจมันจับไปได้เราจึงไปแก้ออกมา ก็จะรู้สึกในความชอบของเรา แต่วิตกด้วยโป๊ยก่ายจะรังเกียจไม่ยอมไป แลทั้งพระอาจารย์ก็จงรักภักดีแก่โป๊ยก่ายด้วย จำเราจะพูดให้เข้าที่บังคับจึงจะได้ เห้งเจียคิดดังนั้นแล้ว ก็เอามือขยี้นัยน์ตาให้น้ำตาออกแล้ว จึงกลับมาหาพระอาจารย์
   โป๊ยก่ายเห็นกิริยาเห้งเจียเศร้าโศกดังนั้น จึงเรียกซัวเจ๋งให้วางหาบลงพูดว่า เราสองคนจงหาทางไปเถิด พระถังซัมจั๋งได้ยินดังนั้นจึงด่าว่าอ้ายชาติหมูป่า กำลังเดินทำไมจึงได้พูดเลอะเทอะดังนี้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์ท่านไม่ดูพี่เห้งเจียบ้างเล่า เธอร้องไห้กลับมานั้นไม่เห็นหรือ เธอมีฤทธาอานุภาพมาก เหาะเหินเดินอากาศได้เธอยังมีความหวาดสะดุ้งเสียวร้องให้กลับมา คงจะไปพบปะหรือรู้เรื่องปีศาจร้ายมาแล้ว ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นคนอ่อนแอ จะต่อสู้แก่ปีศาจอย่างไรได้
รูปภาพ ; 陈惠冠,新绘西游记
   พระถังซัมจั๋งว่าเจ้าอย่าพูดวุ่นวายไปไว้ข้ากับเห้งเจียดูเหตุผลนั้นจะเป็นประการใด จึงถามเห้งเจียว่าเหตุผลนั้นเป็นอย่างไรหรือ จึงได้มีกิริยาเศร้าโศก กระทำให้อาตมภาพพลอยมีความหวาดหวั่นไปด้วย เห้งเจียบอกว่าเมื่อตะกี้นี้ เธอบอกว่าปีศาจดุร้ายนัก ทั้งทางที่จะไปก็ลำบาก จะข้ามไปนั้นไม่ได้ขอพระอาจารย์จงกลับเถิด
   หลวงจีนถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็ตกใจแล้วพูดว่าเห้งเจียนี่เรามาได้ส่วนครึ่งแล้วยังอีกส่วนครึ่งเท่านั้น ทำไมจึงพูดถอยหลังอย่างนี้เล่า เห้งเจียว่ามิใช่ข้าพเจ้าจะไม่มีแก่ใจเมื่อไรเล่า เพราะเหตุว่าปีศาจยักษ์มีกำลังมาก ถ้าคนเดียวจะสู้ไม่ได้จึงได้มีความวิตก หลวงจีนถังซัมจั๋งว่าคนเดียวนั้นก็ลำบากจริง แต่พวกเรายังมีโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง ตามแต่จะจัดแจงที่จะต้องการใช้อย่างไร จะได้พร้อมใจช่วยกันป้องกันรักษาเราให้พ้นเขาไป อย่างนี้จะไม่สำเร็จมรรคผลหรือ เห้งเจียได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้น จึงเช็ดน้ำตาแล้วพูดว่า แม้พระอาจารย์จะใคร่ข้ามเขานี้ให้ได้ จะต้องให้โป๊ยก่ายทำสองประการ จึงจะข้ามเขานี้ไปได้ ถ้าไม่ทำตามสองประการนี้ แต่องคุลีเดียวก็ข้ามไม่พ้นไปได้เลย
   โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไปไม่ได้ก็กลับเถิด อย่าเกี่ยวข้าพเจ้าเข้าไปเลย ข้าพเจ้าขอถามว่าจะให้ข้าพเจ้าทำอะไร เห้งเจียว่า ข้อหนึ่งจะให้คอยรักษาอาจารย์ ข้อสองจะให้ไปตรวจตามบนเขา
   โป๊ยก่ายถามว่ารักษาอาจารย์นั้นจะให้ทำอย่างไรและไปตรวจบนเขานั้นจะให้ทำอย่างไร จงแสดงชี้แจงให้ข้าพเจ้าทราบ ข้าพเจ้าจะได้ทำตามให้ถูกต้องแก่การนั้นๆ เห้งเจียบอกว่า อันรักษาอาจารย์นั้นคือพระอาจารย์จะไปไหน จะต้องติดตามไปป้องกันรักษาอย่าให้อาจารย์อุธรร้อนใจได้ ถ้าอาจารย์จะใคร่ฉันจังหันก็ให้ไปบิณฑบาตรมาให้ ถ้าทิ้งให้อาจารย์โหยหิวจะต้องปรับคว่ำลงเฆี่ยน
   โป๊ยก่ายว่า ที่ข้อนี้ก็แสนยาก เห้งเจียพูดว่า ข้อสองไปตรวจดูบนภูเขานั้น โป๊ยก่ายว่าทำอย่างไร เห้งเจียบอกว่าจะต้องขึ้นบนเขาเที่ยวตรวจดู ที่ไหนมี ผี ปีศาจยักษ์ร้ายมากน้อยเท่าใด ชื่อเขาอะไรถ้ำอะไร พวกเราจะควรไปได้หรือไม่ โป๊ยก่ายพูดว่า ถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะขอขึ้นไปตรวจบนเขา พูดดังนั้นแล้วก็แต่งตัวเอาผ้าคาดพุงแน่นหนาแล้ว มือจับคราดเหล็กดูท่าแข็งแรง ก็ออกเดินขึ้นบนเขา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดไม่ได้จึงหัวเราะขึ้น
   พระถังซัมจั๋งเห็นเห้งเจียหัวเราะดังนั้น จึงว่าอ้ายชาติลิงไม่มีดี ตั้งใจแต่จะอิจฉากันไม่มีเมตาต่อกัน เจ้าออกความคิดอย่างสัตว์ดังนี้จะให้โป๊ยก่ายไปตรวจอะไรที่ไหน เจ้าอยู่ที่นี่คอยหัวเราะเยาะเล่นอย่างนั้นหรือ เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าไม่ได้หัวเราะเยาะเธอ ท่านจงคอยดูโป๊ยก่ายไปตรวจบนเขานั้นคงจะไม่ไปเป็นแน่ จะไปแอบหลับเสียที่ไหนสักครู่หนึ่งแล้ว ก็จะกลับมาปดเราเป็นแน่
   ถังซัมจั๋งถามว่า ทำไมจึงจะรู้ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้เล่า เห้งเจียว่าซึ่งข้าพเจ้าให้เธอไปก็เพราะทราบนิสัยได้แท้ พระอาจารย์ไม่เชื่อข้าพเจ้าจะตามไปดูจึงจะเห็นจริง เห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่ บินตามโป๊ยก่ายไปจับที่ใบหู ฝ่ายโป๊ยก่ายเดินไปก็ไม่รู้สึกว่าเห้งเจียแปลงเป็นแมลงหวี่มาจับอยู่ที่หู เดินไปได้เจ็ดแปดโยชน์ก็ยืนหยุดเอาคราดเหล็กทิ้งลงกับพื้น จึงหันหน้ากลับเอามือชี้ตรงที่พระถังซัมจั๋งแล้วออกอุทานว่า อีตาเฒ่าอ่อนถังซัมจั๋ง อ้ายคนโลดโผนเป๊กเบ๊อุน อ้ายคนหน้าหมอกซัวเจ๋ง
รูปภาพ ;
 陈惠冠,新绘西游记 第二十二平山

มันทั้งสามคนอยู่เล่นสบาย บังคับให้กูมาได้ความลำบากตรวจทางเขา เพราะอยากได้มรรคผล เราก็รู้แล้วว่าคงจะมีปีศาจยักษ์ร้าย มันจึงให้เรามาหาที่เดือดร้อน เราก็ไม่ต้องไปให้ป่วยการ ว่าดังนั้นแล้วใจก็ถอยไม่กล้าจะไป จำเราจะไปหาที่แอบนอนเสียสักตื่นหนึ่ง แล้วจึงกลับไปพูดโต้ตอบก็ได้ว่าได้ไปตรวจแล้ว จะรู้ที่ไหนว่าเราไปหรือไม่ไปจริง คิดดังนั้นแล้วก็เที่ยวหาที่นอน เห็นที่ซอกเขามีเถาวัลขึ้นซุ้มเซิง มีที่ร่มพอจะอาศัยได้ โป๊ยก่ายก็มุดเข้าไปเอาคราดวางลงแล้วก็เอนหลังนอนลง บิดตัวพลิกไปพลิกมา พูดว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนสู้เราไม่ได้
   ฝ่ายเห้งเจียแปลงเป็นแมลงหวี่จับอยู่ที่ใบหูโป๊ยก่าย ได้ฟังโป๊ยก่ายพูดร้ายดีทุกประการ อดใจไม่ได้โผบินออกจากโป๊ยก่ายแปลงเป็นตัวต่อ แล้วก็บินกลับมาต่อยเอาปากโป๊ยก่ายทีหนึ่ง แล้วก็บินขึ้นร่อนอยู่ โป๊ยก่ายถูกเจ็บก็ตกใจผุดลุกขึ้นบ่นด่าออกวุ่นวาย พูดว่าอ้ายผีเปรตที่ไหนเอาอะไรมาแทงปากเราอย่างนี้ จะไม่เจ็บปวดหรือ โป๊ยก่ายจึงเอามือคลำที่ปากมีโลหิตซึมไหลออกมา พูดว่าเราก็ไม่ได้ไปทำอะไรที่ไหน ทำไมปากจึงมีโลหิตแดงดังนี้ พูดดังนั้นแล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาเห็นเงียบอยู่ จึงแหงนหน้าขึ้นไปดูเห็นตัวต่อกำลังบินร่อน จึงด่าว่าอ้ายเป๊กเบ๊อุนแล้ว มึงไม่เห็นกูเป็นคนเลย มีงต่อยเอาปากกูให้ได้ความเจ็บปวด ทำไมไม่ไปหาโพรงไม้จะได้ไปหาหนอนกิน มาต่อยเอาปากกูทำไม กูจะเอาปากซ่อนเสียแล้วก็จะนอนให้สบาย พูดดังนั้นแล้วก็ล้มตัวลงนอนอีก
   เห้งเจียก็บินมาโผลงต่อยเอาใบหูอีกทีหนึ่ง โป๊ยก่ายก็ผุดลุกขึ้นร้องด่าว่าอ้ายตายโหง แล้วคิดว่าที่นี่เห็นจะเป็นรังของต่อมัน มันจะคิดว่าเราจะแย่งรังของมัน มันจึงได้ต่อยเอาเรา เรามานอนอยู่ที่นี่จะกีดขวางมัน พูดเช่นนั้นแล้วก็ฉวยคราดออกจากพุ่มไม้เดินไปประมาณสักพักหนึ่ง เห้งเจียก็หัวเราะงอแปลงเป็นแมลงหวี่บินตามไปจับใบหูโป๊ยก่ายไปด้วย
   ฝ่ายโป๊ยก่ายก็เดินขึ้นบนเนินเขา มาปะก้อนศิลาใหญ่สี่เหลี่ยมเข้าก้อนหนึ่ง โป๊ยก่ายก็วางคราดตรงเข้าใกล้ก้อนศาลาร้องว่าขอรับ เห้งเจียแลเห็นดังนั้นก็หัวเราะอยู่ในใจ คอยดูโป๊ยก่ายจะทำประการใด
   โป๊ยก่ายนึกเอาก้อนศิลาเป็นพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียซัวเจ๋ง เพื่อจะหัดพูดโต้ตอบ คิดว่าแม้เราจะกลับไปหาพระอาจารย์ ๆ จะถามว่าไปพบปีศาจหรือเปล่า เราจะตอบว่าพบ ถ้าจะถามต่อไปว่าปีศาจนั้นชื่อไร เราจะตอบว่าที่โน่นเธอทั้งสามจะด่าเราว่าอ้ายชาติหมู เราจะตอบว่า นามชื่อเขานั้นเรียกว่าเขาเจี๊ยเท้าซัว ถ้าจะถามว่าถ้ำอะไร เราจะตอบว่าถ้ำเจี๊ยเท้าต๋อง ถ้าจะถามว่าประตูอะไรเราจะตอบว่าเซี้ยเที้ยหมึง ถ้าจะถามว่าในถ้ำนั้นเข้าไปไกลสักเท่าใด เราจะตอบว่าเข้าไปสามชั้นประตู ถ้าถามว่าตะปูตอกสักกี่อัน เราจะตอบว่ามิได้จำเห็นสร้างทำพร้อมแล้ว เราจะหลอกให้เห้งเจียไป โป๊ยก่ายคิดจะพูดโต้ตอบดังนั้นเห็นว่าดีแล้ว ก็ฉวยคราดแบกเดินกลับมา
   ฝ่ายเห้งเจียฟังก็รู้ได้ทุกประการแล้ว จึงผละออกจากใบหูโป๊ยก่าย ชิงบินมาก่อนโป๊ยก่าย ครั้งถึงก็แปลงกลับเป็นรูปเดิมเข้ามาคำนับพระอาจารย์แล้ว จึงเล่าเรื่องโป๊ยก่ายคิดการจะมาโกหกทุกประการให้พระอาจารย์ทราบก่อนแล้ว บัดเดี๋ยวใจโป๊ยก่ายก็เดินกลับมาถึงยืนชะงักกลัวว่าที่คิดจะปดพูดโต้ตอบนั้นจะลืมเสีย ก็ยืนก้มหน้ายืนบ่นท่องพึมพำอยู่
   เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายชาติหมูมึงยืนบ่นภาวนาอะไรอยู่ โป๊ยก่ายตกใจหูชันขึ้นพูดว่าข้าพเก้าไปดูสุดทางแล้ว พระถังซัมจั๋งถามว่าไปพบปีศาจหรือเปล่า โป๊ยก่ายตอบว่ามีปีศาจ พระถังซัมจั๋งถามว่าปีศาจนั้นทำประการใดบ้าง จึงได้กลับมา โป๊ยก่ายตอบว่า ปีศาจมันเรียกข้าพเจ้าว่าเป็นตาเป็นปู่ของมัน มันจัดแจงเครื่องโอชารสมาเลี้ยงข้าพเจ้าแล้ว ก็จัดแจงมีธงมีกลองม้าฬ่อมาส่งข้าพเจ้ากลับมา เห้งเจียพูดว่าข้านึกดูเห็นจะนอนในพุ่มเถาวัลย์นั้นฝันเห็นดอกกระมัง
   โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าท่านอาจารย์ข้าพเจ้านอนทำไมท่านจะรู้ได้เล่า เห้งเจียกระโดดมาจับมือโป๊ยก่าย ถามว่าเขาอะไรถ้ำอะไรประตูอะไร โป๊ยก่ายตอบว่าเขาเจี๊ยเท้าซัวถ้ำเจี๊ยเท้าต๋อง ประตูเซี้ยเที้ยหมึง เห้งเจียว่าเจ้าพูดยังไม่หมดความเราจะพูดแทนให้เจ้า โป๊ยก่ายว่าพี่ไม่ได้ไปทำไมจะพูดแทนข้าพเจ้าได้เล่า
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เธอถามว่าในถ้ำนั้นไกลสักเท่าใด ในนั้นมีประตูสามชั้น บนประตูนั้นมีตะปูมากน้อยเท่าใด ตอบว่าข้าพเจ้ามิได้จำ เจ้าพูดดังนี้มิใช่หรือ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจคุกเข่าลงกับพื้น เห้งเจียว่ามึงเอาก้อนศิลาใหญ่ ทำต่างเราและพระอาจารย์และซัวเจ๋งมิใช่หรือ แล้วเจ้าพูดว่าจะหลอกเราว่าที่ถ้ำนั้นสร้างทำพรักพร้อมแล้วจะให้เราไปมิใช่หรือ
   โป๊ยก่ายตาลีตาลานคำนับแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไปตรวจพี่ตามไม่แอบฟังหรือ เห้งเจียตอบว่าข้าเข้าใจได้ว่าสันดานของเจ้าอ้ายชาติหมูกินรำ ให้ไปตรวจทางบนเขาเพื่อจะได้รู้ร้ายดี เข้าแอบนอนเสีย ข้าจึงแปลงเป็นต่อต่อยจึงมิได้นอนหลับได้ หาไม่เจ้าก็จะนอนหลับเสียตื่นหนึ่งแล้ว ก็จะกลับมาพูดโกหกอย่างนี้ จะไม่เสียการใหญ่ไปดอกหรือ เจ้าจงนอนลงข้าจะตีด้วยกระบองสั่งสอนให้จำไว้มิให้ปดดังนี้ต่อโป
ตอน ศึกปีศาจคู่ เขาเงิน-เขาทองจอมเจ้าเล่ห์ (ช่วงที่1)
   โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่าจะตี ก็ร้องไห้ดุจว่าศพจะลงจากเรือนเสียงโฮ ๆ แล้วพูดว่ากระบองนั้นหนักนัก แม้จะตีเสียสักห้าทีเห็นข้าพเจ้าจะตายเสียเป็นแน่ เห้งเจียว่าเจ้ากลัวตายแล้ว เหตุใดจึงได้เรียนโกหกดังนี้ทำไม โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าพึ่งจะโกหกครั้งหนึ่ง ถ้าภายหลังข้าพเจ้าทำอีกจึงค่อยตี เห้งเจียว่าถ้าหนเดียวก็ตีสามที พอให้เข็ดหลาบจึงจะได้ โป๊ยก่ายตอบว่าท่านพี่อย่าว่าแต่สามทีเลย แม้แต่ครึ่งทีก็ทนไม่ได้ โป๊ยก่ายไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงเข้ายึดพระอาจารย์ขอให้ช่วยขอโทษให้
   พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นจึงพูดว่า หงอคงเขาบอกแก่เราว่าเจ้าพูดพลิกแพลงโกหกเราก็ยังหาเชื่อไม่ มาบัดนี้ก็สมดังคำเขาพูดล่วงหน้าโทษของเจ้าควรจะตีได้อยู่แล้ว แต่จะข้ามเขาไปยังขาดคนที่ใช้สอยอยู่ เพราะฉะนั้นขอให้เห้งเจียยกโทษให้โป๊ยก่ายสักครั้งหนึ่งก่อนรอข้ามเขาแล้วจึงค่อยตีเถิด
   เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นข้าพเจ้าจะยกโทษให้สักครั้งหนึ่ง แต่เจ้าจงรีบไปตรวจบนเขาโดยเร็ว แม้ครั้งนี้มาพูดปดอีกเราจะไม่ยกโทษให้เป็นอันขาด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ผุดลุกขึ้นคำนับแล้ว ฉวยคราดได้ก็ออกเดินขึ้นทางไป โป๊ยก่ายเมื่อเดินไปในใจคิดสงสัยทุกย่างเก้า คือให้คิดว่าเห้งเจียจะแปลงตัวตามมาอีก นึกพลางเดินพลางมาบัดเดี๋ยวแลเห็นเสือมาข้างหน้าเผ่นวิ่งข้ามเนินเขาไป โป๊ยก่ายสำคัญว่าเห้งเจียแปลงกายตามมา มิได้มีความกลัวถือคราดยืนดูแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียจะแอบมาฟังหรือ ข้าพเจ้าไม่ได้พูดโกหกเลยพูดแล้วก็เดินมาอีกพักหนึ่ง มีลมพัดโยกเอาต้นไม้ตายแห้งนั้นโค่นล้มลงที่ตรงหน้าโป๊ยก่าย ๆ ตกใจกระทืบดินทุบอกพูดว่า
   ข้าพเจ้ามาครั้งนี้ไม่กล้าจะโกหก ทำไมพี่จึงต้องแปลงเป็นต้นไม้มาตีคนอย่างนี้เล่า พูดดังนั้นแล้าก็เดินไปอีกพักหนึ่ง แลเห็นนกเขาตัวหนึ่งจับกิ่งไม้มองหน้าร้องขันว่าตรวจตรา ๆ สองสามคำแล้วก็บินไป โป๊ยก่ายพูดว่าข้าพเจ้าได้บอกแล้วไม่เชื่อว่าไม่โกหกอีกแล้ว จะแปลงมาตามฟังอะไรที่ไหน แต่ที่จริงเห้งเจียหาได้แปลงตามมาไม่ เป็นแต่โป๊ยก่ายหวาดหวั่นไปเอ็ง
   จะกล่าวถึงภูเขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ในถ้ำนั้นมีปีศาจยักษ์สองตน ตนหนึ่งนามชื่อว่า (กิมกั๊กใต้อ๋อง) ตนหนึ่งนามชื่อว่า (งึ้นกั๊กใต้อ๋อง) ในเวลานั้นกิมกั๊ก ถาม งึ้นกั๊กว่า พวกเรานี้ไม่ได้ไปเที่ยวตรวจบนเขานั้นมาได้สักกี่วันแล้ว งึ้นกั๊กตอบว่า ได้สิบวันแล้ว กิมกั๊กจึงพูดว่าวันนี้ น้องจงคุมพวกไปตรวจดู คือเราได้ยินข่าวเล่าลือกันว่า ถังซัมจั๋งน้องชายพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม มีศิษย์มาด้วยสามคนรวมสี่คนด้วยกัน แลมีม้าด้วยหนึ่งม้า บางทีเราไปตรวจพบพวกนี้ คือถังซัมจั๋ง เห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง น้องจงจับเอามาให้พี่ งึ้นกั๊กใต้อ๋องได้ฟังพี่สั่งดังนั้น จึงพูดว่าเราก็จะต้องประสงค์กินเนื้อพวกนี้ ปะแล้วจะปล่อยไปอย่างไรได้
   กิมกั๊กพูดว่า น้องยังไม่รู้เหตุในปีนี้เราออกจากสวรรค์ ก็ได้ยินเล่าลือกันว่า ๆ มีพระโพธิสัตว์กิมเสี้ยนสิบชาติแล้ว ความปฏิบัติไม่เกี่ยวข้องในกามคุณประพฤติพรมจรรย์มาสิบชาติแล้ว บัดนี้ก็กลับชาติมาเป็นถังซัมจั๋ง แม้ว่าผู้ใดกินเนื้อเธอก้อนหนึ่ง อายุยืนยาววัฒนะ งึ้นกั๊กพูดว่า อายุได้ยืนยาวดังนั้นสารพัดการเราจะไม่ต้องฝึกฝนให้ป่วยการ คอยแต่กินเนื้อเธอก็แล้วกัน เป็นธุระของข้าพเจ้าจะไปคอยตรวจดู ถ้าพบจะจับตัวมาให้จงได้ กิมกั๊กใต้อ๋องพูดว่าน้องอย่าทำใจเร็วบางทีพี่จะต้องดูให้แน่ก่อน เพราะว่าบางทีจะไมใช่ถังซัมจั๋ง จะเสียเวลาจับ ข้าพเจ้าได้รูปวาดถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสามไว้ น้องจงเอาไปดูสอบให้ถูกต้อง
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงรับเอารูปวาดในฉากนั้นมา แลถามชื่อและแซ่ได้ความชัดเจนแล้ว จึงเกณฑ์พวกปีศาจสามสิบชื่อพร้อมกันแล้ว งึ้นกั๊กก็พาพวกบริวารออกจากถ้ำ ตรงไปบนภูเขาแล้ว ให้พวกบริวารเที่ยวแยกย้ายรายกันตรวจตราดูทุกช่องทาง ฝ่ายโป๊ยก่ายกำลังเดินมา บังเอิญปะทะหน้าแก่พวกปีศาจ ๆ เห็นโป๊ยก่ายก็กรูกันเข้าสกัดหน้าหลังล้อมไว้ แล้วถามว่านี่คือใครที่ไหนมา โป๊ยก่ายแลไปเห็นพวกปีศาจก็ตกใจคิดว่า แม้เราบอกไปตามจริงว่าพวกสงฆ์จะไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรมมันก็จะจับเราไปเป็นแน่ โป๊ยก่ายจึงบอกว่าข้าพเจ้าคนเดินทาง พวกปีศาจจึงวิ่งมาบอกว่าใต้อ๋องคนนั้นเป็นคนเดินทาง ในเวลานั้นมีปีศาจน้อยตนหนึ่งพูดว่าข้าพเจ้าพิเคราะห์ดูคนนั้นกิริยาจะเป็นเพศพระสงฆ์แลคล้าย ๆ แก่ที่รูปวาดในฉาก
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเอาฉากมาดู โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ คิดในใจว่านี่มันไปเอารูปวาดมาตั้งแต่ครั้งใด จึงวาดรูปเราไว้ได้ ปีศาจจึงเอาฉากผูกปลายหอกคลี่ออกงึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงเอามือชี้ว่า ที่ขี่ม้าขาวนี้คือถังซัมจั๋ง หน้าตาอย่างนี้คือเห้งเจีย โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นตกใจให้หวั่นหวาด ปากก็บ่นว่า ขอพระภูมิเจ้าที่เทพยดาเทพารักษ์ทั้งหลาย ขออย่าให้มันจับไปได้สูญหายไปข้าพเจ้าจะถวายหัวหมูยี่สิบหัว ปีศาจจึงชี้ต่อไปว่า หน้าหมอกดำนี้คือซัวเจ๋ง อ้ายปากยาวหูใหญ่นี้คือโป๊ยก่าย
   โป๊ยก่ายได้ยินออกชื่อถึงตัว จึงอ้าปากก้มหัวซุกอยู่กับน่าอก งึ้นกั๊กจึงว่า เจ้าจงยื่นปากออกมาดูทีหรือ โป๊ยก่ายบอกว่าที่ท้องเป็นโรคยื่นไม่ออก งึ้นกั๊กตวาดด้วยเสียงอันดัง บอกพวกบริวารให้เอาไม้ขอเหล็กเบ็ดเกี่ยวออกมา โป๊ยก่ายตกใจก็ยื่นปากออกมางึ้นกั๊กก็จำได้ ฉวยอาวุธเกี่ยมกระโดดเข้ามาฟันโป้ยก่าย ๆ ก็เอาคราดรับต่อสู้กันไปมาประมาณยี่สิบเพลงไม่แพ้ไม่ชนะกัน งึ้นกั๊กจึงร้องเรียกพวกบริวารให้พร้อมกันระดมเข้าล้อมไว้ พวกปีศาจก็ระดมกันเข้าต่อตี โป๊ยก่ายเห็นปีศาจกรูกันเข้ามาวุ่นวายรอรับไม่อยู่ก็ออกวิ่งหนี พวกปีศาจก็ไล่กระชั้นเข้ามาใกล้ ทางบนเขาก็ไม่เรียบร้อย โป๊ยก่ายวิ่งไปเตะเถาวัลย์เข้าก็หกล้ม พวกปีศาจก็กรูกันเข้าจับโป๊ยก่ายได้ บ้างก็จับหูจับผมช่วยกันลากเอามาถ้ำ
(บทที่ ๓๓)
    งึ้นกั๊กบอกแก่กิมกั๊กว่า ข้าพเจ้าจับได้อ้ายคนหนึ่งแล้ว กิมกั๊กใต้อ๋องจึงพิจารณาดู จึงพูดว่าน้องจับผิดตัวเสียแล้ว อ้ายคนนี้ไม่ต้องการอะไร โป๊ยก่ายชิงพูดว่าจะต้องการอะไรก็ไม่ได้ไม่สมประสงค์จงปล่อยไปเถิด งึ้นกั๊กว่าไม่ควรจะปล่อย แม้ไม่ต้องประสงค์ก็จริงอยู่ แต่โป๊ยก่ายเป็นพวกเดียวแก่ถังซัมจั๋ง ขอเอาไปแช่น้ำสองคืนให้อิ่มก่อน โป๊ยก่ายได้ยินปีศาจพูดดังนั้น ร้องว่าตายจริง ๆ มาโดนอ้ายพวกปีศาจขี้เมาเข้าแล้ว ฝ่ายพวกปีศาจบริวารก็พากันเข้าลากเอาโป๊ยก่ายไปโยนในบ่อแล้วก็คอยระวังอยู่มิให้หนีได้
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งคอยท่าโป๊ยก่ายอยู่ที่เนินเขา ก็บังเอินบันดานให้สะดุ้งหวาดเสียวนัยน์ตาให้เขม่นไม่หยุด ตัวก็ให้เสียวซ่านไม่สบาย จึงเรียกเห้งเจียบอกว่าตัวเราไม่สบาย และโป๊ยก่ายก็หายไปไม่เห็นมา เห้งเจียว่านิมนต์อาจารย์ขึ้นม้าออกเดินเถิด ตามดูพักหนึ่งจะเป็นประการใด พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นม้า ก็ขับเดินขึ้นบนเนินเขาตรวจดูไปตามทางเดิน
   ฝ่ายกิมกั๊กปีศาจ จึงเรียกงึ้นกั๊กปีศาจว่า น้องจับโป๊ยก่ายได้คงจะมีถังซัมจั๋งเป็นแน่ จงรีบไปตรวจดูอีกเถิด อย่าให้ข้ามเขาไปพ้นได้ งึ้นกั๊กปีศาจจึงเรียกบริวารห้าสิบคนเตรียมเครื่องศาสตราอาวุธพร้อมแล้ว งึ้นกั๊กก็พาบริวารออกจากถ้ำขึ้นเขาเที่ยวรายกันตรวจดู
   ฝ่ายพวกปีศาจเมื่อเดินมา แลไปข้างหน้าเห็นเป็นเมฆฟุ้งขึ้นมีสีต่าง ๆ ห้อมล้อมอยู่ข้างบน งึ้นกั๊กเห็นดังนั้นจึงพูดว่า ถังซัมจั๋งมาโน่นแล้ว พวกปีศาจบริวารถามว่า ถังซัมจั๋งมาอยู่ที่ไหน งึ้นกั๊กพูดว่าคนมีบุญจึงมีเมฆห้อมล้อมอยู่บนศรีษะอย่างนั้น ถังซัมจั๋งนั้นเธอเป็นกิมเสี้ยนโพธิสัตว์กลับชาติมาบวชสิบชาติบริสุทธิ์ เพราะฉะนั้นจึงมีเมฆห้อมล้อม พวกปีศาจบริวารว่าไม่เห็นทีไหน งึ้นกั๊กจึงเอามือชี้ว่าโน้นมิใช่หรือ
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกำลังเดินก็ให้สะท้านหนาวใจ ปีศาจชี้ไปอีก ถังซัมจั๋งก็สะท้านหนาวดังนี้สามหน ในใจก็ให้ครั่นครามไม่ปรกติ จึงถามเห้งเจียว่า เป็นอย่างไรจิตใจเราจึงให้หนาวและครั่นคร้ามไปดังนี้เล่า เห้งเจียตอบว่าพระอาจารย์ขี่ม้าขึ้นเขาสูง จึงให้ครั่นคร้ามจิต พระอาจารย์อย่าได้วิตกกลัวไปเลย ไว้ธุระข้าพเจ้าจะอวดฝีมือรำให้ท่านดูแก้หวั่นหวาดใจ เห้งเจียจับกระบองออกท่าตีซ้ายป่ายขวาถอยน่าถอยหลัง รำออกกลมเกลียวแคล่วคล่องว่องไวท่าทางแข็งแรง ออกหน้าม้านำทางไป
    ฝ่ายปีศาจงึ้นกั๊กได้เห็นเห้งเจียทำสง่าท่าทางดังนั้น จิตก็นึกออกขยาดฝีมือเห้งเจียอยู่ ให้ตกตลึกนิ่งไปเป็นครู่จึงได้สติ สรรเสริญเห้งเจียว่า เราได้ยินชื่อเห้งเจียมาสองสามปีแล้ว วันนี้ได้เห็นแก่ตาเราเอง ที่คำพูดเล่าลือนั้นไม่ผิด พวกปีศาจบริวารจึงถามว่าใต้อ๋องสรรเสริญใครที่ไหน งึ้นกั๊กจึงชี้มือว่านั่นไม่ใช่หรือ ที่นั่งอยู่บนหลังม้าขาวนั้นแลถังซัมจั๋ง เห้งเจียนั้นมีฤทธานุภาพกว้างใหญ่เห็นจะกินถังซัมจั๋งไม่ได้ พวกปีศาจบริวารถามว่า กินไม่ได้โป๊ยก่ายจะมิต้องปล่อยหรือ
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงพูดว่าที่จับมานั้นก็ไม่ผิดอะไร จะส่งคืนไปทำหมิ่นก็ไม่ควร ถังซัมจั๋งนั้นก็จะต้องกิน แต่จะต้องทำอุบายจึงจะได้ จะจับโดยร้ายนั้นไม่ได้ เรามีฤทธิ์เปลี่ยนแปลงได้ จึงจะจับเธอได้ พูดดังนั้นแล้ว จึงไล่พวกปีศาจบริวารให้แยกย้ายกันไป งึ้นกั๊กก็เดินลงมาจากยอดเขาแต่ผู้เดียว เข้าแอบข้างหนทางเดินแล้วแปลงตนเป็นผู้เฒ่าถือพรตทำเป็นขาหักพิการ กำลังโลหิตไหลออกซึมอาบไปทั้งขานอนแอบอยู่ในพุ่มรกปากก็ร้องว่าจงช่วยชีวิตข้าพเจ้าไว้ด้วยเถิด
   พระถังซัมจั๋งกำลังเดินมาก็ได้ยินเสียงคนร้องไห้ช่วยชีวิต จึงพูดว่าในห้วยเขาป่ารกเปลี่ยวอย่างนี้ มีคนที่ไหนมาร้องให้ช่วยอย่างนี้ จึงคิดว่าหรือจะถูกสัตว์ดุร้ายกัดเอาดอกกระมัง พระถังซัมจั๋งก็ยอม้าหยุดอยู่แล้วร้องถามว่าท่านผู้ใดต้องภัยร้ายอะไรจงออกมานี่เถิด
   ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังดังนั้นก็ค่อย ๆ คลานออกมาจากรก มายังหน้าม้าพระถังซัมจั๋งกระทำคำนับ พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นรูปเป็นคนมีอายุ และมีกิริยาถือบวชพระถังซัมจั๋งก็ลงจากหลังม้า เข้าพยุงปีศาจ ๆ ก็ทำเป็นร้องว่าโอยเจ็บนัก พระถังซัมจั๋งก็วางมือแลไปดูที่ขานั้น เห็นโลหิตไหลออกเลอะเทอะ พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ท่านจีนแสอยู่ไหนมาขาจึงได้เจ็บอย่างนี้ ปีศาจตอบว่าข้าพเจ้าอยู่ข้างแง้มเขาทิศตะวันตกนั้นมีที่เงียบสงัดเป็นสำนัก ข้าพเจ้าอยู่ในสำนักนั้นถือบวช เหตุเมื่อวานนี้ไปที่บ้านทายกทำการไหว้ดาวสะเดาะเคราะห์ ครั้นกลับมาปะเสือโคร่งตัวหนึ่งมาคาบสานุศิษย์ของข้าพเจ้าไป ข้าพเจ้าจึงหลีกหนีมาก็สะดุดโขดหินล้มลง ขานั้นกระทบกับหินก็เคล็ด ข้าพเจ้าได้ตามเจ็บปวดสาหัสจึงเดินกลับบ้านไม่ได้ วันนี้เป็นบุญจึงได้มาพบท่านอาจาย์ ขอท่านได้กรุณาโปรดส่งข้าพเจ้าไปถึงสำนักแล้ว ข้าพเจ้าจะขอบพระเดชพระคุณท่านเป็นที่ยิ่ง
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังปีศาจพูดอ่อนหวานดังนั้น ก็สำคัญคิดว่าเป็นความจริง จึงพูดว่า ท่านจินแสก็เป็นผู้ถือบวช อาตมาที่ไหนจะไม่ช่วยเล่า แต่ท่านเดินไม่ได้จะให้ทำอย่างไร ปีศาจแปลงมารยาพูดว่า แต่ยืนยังไม่ได้ทำไมจึงจะเดินได้เล่า พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้ากระนั้นอาตมจะเดินไป ม้านั้นจะให้ท่านขี่ไป ปีศาจพูดว่า ขอท่านอาจารย์ได้เมตาเถิด ขาข้าพเจ้านั้นก็หักเสียแล้วจะขี่ม้ามิได้ พระถังซัมจั๋งพูดว่า ถ้ากระนั้นก็ให้ซัวเจ๋งรองให้ขี่ไป จึงบอกซัวเจ๋งให้วางหาบของลงบนหลังม้าก่อน ช่วยพาจีนแสไปสักพักหนึ่ง ปีศาจหันหน้ามาทำเช็ดน้ำตา แล้วบอกว่าท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าพึ่งถูกเสือทำให้หวาดหวิวใจ ซัวเจ๋งหน้าสีหมอกดำ เข้าใกล้ข้าพเจ้าก็ยิ่งมีใจสะดุ้งเสียวไม่กล้าขี่
   พระถังซัมจั๋ง หันหน้ามาเรียกเห้งเจียให้ขี่ไป เห้งเจียเข้ารับว่าไว้ธุระข้าจะเอาไปเอ็ง ปีศาจก็ยอมขี่เห้งเจีย ๆ ก็ตามใจเอาหลังมารอให้ปีศาจขี่แล้วหัวเราะว่าอ้ายมารสัตว์เดรัจฉาน ทำไมมันอาจสามารถมาหลอกเรา ๆ จำได้ว่ามึงเป็นปีศาจในเขานี้ มึงจะใคร่กินเนื้ออาจารย์กูหรือ อาจารย์ของเราเอ็งกินไม่ได้ง่าย ๆ ไม่เหมือนคนทั้งหลาย มึงอยากกินเนื้อเธอก็จงแบ่งให้เรากินครึ่งหนึ่ง
   ปีศาจได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงบอกแก่พระถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้าคนสุจริตแลถือบวชวันนี้ต้องภัยเสือร้าย ข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจยักษ์มารดอก เห้งเจียว่ากลัวสัตว์ร้ายทำไมไม่สวดคัมภีร์ปั๊กเต๊าเกงเล่า พระถังซัมจั๋งได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น จึงด่าว่าอ้ายชาติลิงไม่รู้จักอะไร ช่วยชีวิตคน ๆ หนึ่งได้บุญมากยิ่งกว่าสร้างกุศลเจ็ดวัน เจ้าให้เธอขี่ก็ให้ขี่ไปถามปั๊กเต๊าเกงทำอะไร เห้งเจียจึงเข้าพยุงปีศาจขึ้นเกาะหลังแล้วก็เดินไปพักหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็ข้ามเขาลงไป เห้งเจียเดินข้างหลัง แลไปไม่เห็นพระอาจารย์กับซัวเจ๋ง เห้งเจียจะใคร่คิดฆ่าปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจก็รู้ได้ว่าเห้งเจียจะคิดร้าย ก็ร่ายเวทย์เรียกเขาสุเมรุให้เลื่อนลอยมาทับศรีษะเห้งเจีย ๆ ตกใจหลบเขานั้นก็ทับเห้งเจียอยู่ขาซ้าย เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ท่านบันดาลอ่านเวทย์อันใด เรียกเขาหนักมาทับเราอย่างนี้ เรา ก็มิได้วิตกหวาดเสียวสะดุ้งกลัวเลย พูดดังนั้นแล้วก็วิ่งตามอาจารย์
   ปีศาจเห็นภูเขาทับเห้งเจียไม่อยู่ ก็ร่ายเวทย์เรียกภูเขา (ง่อมีซัว) ลอยมาตกลงทับเห้งเจีย เห้งเจียหลบทัน เขานั้นตกลงติดอยู่ขาขวา เห้งเจียก็รีบตามอาจารย์ดุจตัวเปล่า ปีศาจเมื่อได้เห็นดังนั้นจิตให้ระย่อท้อถอยสะดุ้งกลัวประหม่าจนเหงื่อเปียกทั้งตัว คิดว่าเห้งเจียมีวิชาแบกเขาได้ ปีศาจจึงสำรวมจิตร่ายพระเวทย์เรียกภูเขาท้ายซัวลอยลงมาบนอากาศทับอีก เห้งเจียถูกเขาท้ายซัวทับลงบนหัวแลเอาอำนาจฤทธิ์กายสิทธิ์ทับซ้อนลงเห้งเจียก็ติดอยู่กับที่นั้น จะดิ้นรนอย่างไรก็ไม่ไหวแล้ว ปีศาจก็ผละออกรีบตามถังซัมจั๋งเหาะขึ้นแทรกเมฆเอามือยื่นลงมาจับถังซัมจั๋งบนหลังม้า
   ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็ตกใจ ชักไม้พลองเข้าตีสกัด ปิศาจงึ้นกั๊กถือเกี่ยมตรงเข้ามาประจันหน้ารบกับซัวเจ๋ง เข้ารบรุกบุกบั่นโดยความสามารถ ซัวเจ๋งทานกำลังปีศาจมิได้ก็ล่าถอยจะหนี ปีศาจก็บันดานให้มือใหญ่รวบจับซัวเจ๋งไว้ได้ลากมาหนีบไว้ใต้รักแร้ข้างซ้าย เอามือขวารวบจับถังซัมจั๋งไว้ได้เล้ว ก็บันดาลเป็นลมใหญ่เหาะกลับมายังถ้ำ ครั้นถึงจึงร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่า พี่ใต้อ๋องข้าพเจ้าจับถังซัมจั๋งมาได้แล้ว กิมกั๊กปีศาจแลไปเห็นแล้วจึงพูดว่าน้องจับผิดตัวเสียแล้ว งึ้นกั๊กว่าพี่ให้จับถังซัมจั๋งข้าพเจ้าก็จับมา กิมกั๊กว่าเห้งเจียซึ่งมีฤทธิ์นั้นจับมาได้ จึงจะกินเนื้อถังซัมจั๋งได้
รูปภาพ ; 陈惠冠・新绘西游记   第二十二神
   งึ้นกั๊กหัวเราะแล้วพูดว่าซึ่งตัวเห้งเจียนั้น ข้าพเจ้าเรียกภูเขาใหญ่สามเขามาทับไว้แล้ว สักองคุลีก็ไม่เคลื่อนไปได้ บัดนี้เราไม่ต้องลงมือใช้ให้ปีศาจบริวารของตนเอาของวิเศษสองสิ่ง ไปเรียกมันใส่น้ำเต้าเอาตัวมาไม่ต้องวุ่นวายอะไรเลย
   กิมกั๊กถามว่า ของวิเศษสองสิ่งนั้นคืออะไร งึ้นกั๊กบอกว่าของที่เรียก (เอี๊ยกจีเง็ก) คือ ขวดน้ำมนต์หยก กับลูกน้ำเต้าทอง กิมกั๊กจึงหยิบขวดวิเศษส่งให้แล้วเรียกปีศาจทั้งสองคือ เจงเส่ยผีตนหนึ่ง เล่งหลีตนหนึ่ง สั่งว่าเจ้าทั้งสองจงเอาของวิเศษนี้ไปบนยอดเขาคว่ำปากน้ำเต้าลงแล้วร้องเรียกชื่อเห้งเจียคำหนึ่ง ถ้าขานรับ มันก็เข้าอยู่ในน้ำเต้านั้นแล้ว เจ้าจงเอาแผ่นยันต์ปิดปากน้ำเต้าแล้วเอามาให้ข้า มันอยู่ในนั้นครึ่งชั่วโมง กายมันก็จะแปรเป็นน้ำหนองไป ปีศาจทั้งสองรับเอาของวิเศษสองสิ่งมาแล้วคำนับลาออกจากถ้ำตรงไป กิมกั๊กงึ้นกั๊กสั่งให้ปีศาจมัดถังซัมจั๋งซัวเจ๋งแขวนไว้ที่ริมประตูระเบียงเสร็จแล้วทั้งสองคน
   ฝ่ายเห้งเจียถูกปีศาจเรียกเขามาทับไว้ ทุกข์ร้อนคิดถึงอาจารย์ร้องคร่ำครวญด้วยเสียงอันดังบ่นว่า เมื่ออาจารย์มาถึงแดนต่อแดนเขาเหลียงกัยซัว ได้ช่วยข้าพเจ้าออกพ้นซึ่งความทุกข์ แนะนำให้ข้าพเจ้าบวชเรียน ข้าพเจ้าก็ปลงใจด้วยท่าน ไม่รู้เลยว่ามาถึงแห่งนี้จะถูกปีศาจมารร้ายมาสกัดกั้นกลางอย่างนี้ แลมิหนำถูกมันเอาเขามาทับไว้ ท่านตายก็ควรแล้ว สงสารแต่โป๊ยก่ายซัวเจ๋งกับมังกรที่แปลงเป็นม้านั้นจะพากันบรรลัยไปทั้งสิ้น ดุจไม้ใหญ่ต้องพายุพัดล้มพลอยทับเอาไม้เล็ก ๆ ล้มไปด้วย คนอยากได้ชื่อเสียงล้างเอาคนอื่นละลายไปด้วย
   เห้งเจียคร่ำครวญโศกศัลย์น้ำตาไหลอาบไปทั้งกาย เวลาเมื่อเห้งเจียร้องไห้คร่ำครวญอยู่นั้น ก็ร้อนถึงเทพยดาเขาเอี๊ยดที้ จึงมีคำถามพระภูมิเจ้าที่และเจ้าเขาว่า ภูเขานี้ของผู้ใด พระภูมิเจ้าที่บอกว่าของพวกข้าพเจ้ารักษาเอง เทพยดาถามว่า ที่ถูกเขาทับอยู่นั้นคือใคร พระภูมิเจ้าที่ตอบว่าไม่ทราบว่าผู้ใด เจ้าเอี๊ยดที้พูดว่า ท่านทั้งหลายยังไม่รู้ว่าใคร นั้นแลคือเมื่อห้าร้อยปีก่อนทำให้ชั้นวิมานครั่นคร้ามวุ่นวาย คือชื่อซีเทียนใต้เซียซึงหงอคง บัดนี้เข้าทางชอบแล้วมาตามพระถังซัมจั๋งเป็นสานุศิษย์ ทำไมท่านทั้งหลายมาช่วยปีศาจเอาเขาทับเธอเล่า หากเธอหลุดออกมาได้ เธอจะยอมท่านทั้งหลายหรือ
   พระภูมิเจ้าที่ได้ฟังดังนั้นก็ตกใจกลัวจึงคิดกับเจ้าเอี๊ยดที้ว่า ข้าพเจ้าจะถอนเขาออก พูดฉะนั้นแล้วก็อ่านคาถาถอนเอาเขานั้นออกไปเสีย เห้งเจียก็กระโดดขึ้นมาชักกระบองออกจากหู เรียกพระภูมิเจ้าที่เจ้าเขาว่าให้นอนลงเราจะตีคนละสองที ให้เราแก้รำคาญ เจ้าเขาเจ้าที่ก็ตกใจกลัวคำนับแล้วขอโทษตัว เห้งเจียจึงพูดว่าภูมิเจ้าที่เจ้าเขากลัวแต่ปีศาจไม่มีความกลัวเรา ดีแล้วจะได้เห็นกันเป็นไรมี พระภูมิเจ้าที่จึงพูดว่าปีศาจทั้งสองนั้นฤทธาอานุภาพเชี่ยวชาญ มันร่ายเวทย์เรียกพวกข้าพเจ้าวันละคนมารักษาการณ์ทุกวันไป เห้งเจียได้ฟังว่ารักษาการ ณ์จิตใจให้หวั่นหวาดแหงนขึ้นบนฟ้าร้องว่าฟ้า ๆ เขียวให้เกิดจึงให้มีพวกนี้มาด้วยเล่า พูดดังนั้นแล้วแลไปบนเขาเห็นมีรัศมีระยับยอยลงมา เห้งเจียจึงถามเจ้าเขาแลเจ้าที่ว่าพวกท่านอยู่ในถ้ำนั้นเคยเห็นหรือว่าในถ้ำนั้นมีรัศมีดังนี้
   เจ้าที่ตอบว่าที่มีรัศมีนั้น คือขวดหยกวิเศษของปีศาจ ข้าพเจ้าคิดดูเห็นจะเป็นปีศาจเอาของวิเศษมาสำแดงดอกกระมัง เห้งเจียว่าถ้าดังนั้นเป็นอันดี เราจะขอถามท่านว่า ปีศาจทั้งสองนั้นมีที่ชอบที่รักแก่ใครบ้างหรือเปล่า ภูมิเจ้าที่บอกว่า ที่ชอบที่รักก็คือพวกฤๅษีถือพรตฝึกฝนในทางประกอบยาสำเร็จ นามพระดาบสนั้นชื่อว่าช่วนจินเต๊าหยิน
   เห้งเจียครั้นได้ฟังดังนั้นแล้ว จึงบอกแก่เจ้าเขาแลเจ้าที่ให้กลับไปยังสถานแห่งตนเถิด ข้าพเจ้าจะคิดจับมันให้จงได้ แล้วเห้งเจียก็แปลงกายเป็นตาเฒ่า เต๊าหยินคนหนึ่ง ยืนคอยอยู่บัดเดียวปีศาจทั้งสองก็เดินมาถึง เห้งเจียก็จับกระบองเงื้อ ปีศาจทั้งสองเห็นดังนั้นก็ตกใจ หกล้มลงแล้วคลาน ลุกขึ้นมองเห็นเห้งเจีย จึงพูดว่าทำไมจึงเงื้อไม้จะตีเราดังนี้
             เห้งเจียตอบว่า เรามาการธุระ
             ปีศาจถามว่าท่านอยู่ที่ไหนมา
             เห้งเจียตอบว่าข้ามาจาก (เขาพ่วงล่ายซัว)
             ปีศาจถามว่าที่เขาพ่วงล่ายซัวเป็นที่เทวดาอยู่มิใช่หรือ
             เห้งเจียว่านี่มิใช่เทวดาหรือ
             ปีศาจทั้งสองได้ฟังดังนั้นก็หายโกรธพูดว่า ขอโทษข้าพเจ้าทั้งสองนี้เถิด บางทีจะพูดผิดพลั้งไปบ้างท่านอย่าถือข้าพเจ้าเลย เพราะพวกข้าพเจ้ามีแต่ตาเนื้อไม่มีตาทิพย์จึงไม่รู้ดูคนดีและคนชั่ว 
             เห้งเจียตอบว่าข้าพเจ้าไม่ถือท่านดอก เวลานี้ข้าพเจ้ามาถึงเขานี้ด้วยความตั้งใจจะโปรดคนผู้หนึ่ง ให้สำเร็จมรรคผล จะมีคนใดติดตามเราไปบ้าง เห้งเจียถามว่าท่านทั้งสองอยู่ที่ไหนไปไหนมา
   ปีศาจตอบว่า นายข้าพเจ้าใช้ให้มาจับซึงเห้งเจีย ๆ
   ถามว่าที่ตามพระถังซัมจั๋งมานั้นหรือ ปีศาจตอบว่านั่นแหละ ๆ ท่านจำได้หรือ เห้งเจียตอบว่าเรารู้จักแล้ว คือลูกลิงมันไม่รู้จักธรรมเนียม เรามีความเคืองใจมันอยู่ เราจะช่วยทั้งสองไปจับมันให้ได้ ปีศาจว่าท่านไม่ต้องช่วยดอกนายข้าพเจ้าเรียกภูเขาทั้งสามมาทับไว้แล้ว ให้ข้าพเจ้าเอาของวิเศษมาใส่มัน เห้งเจียถามว่าของวิเศษนั้นรูปร่างอย่างไร ขอดูสักหน่อยจะได้หรือไม่ได้
   ปิศาจเจงเส่ยพูดว่า คือขวดหยกและน้ำเต้าทองสองสิ่งนี้ ถ้าเอาปากลงเอาก้นขึ้นเรียกชื่อคำหนึ่งแม้ว่าขานรับ ตัวของผู้ขานนั้นก็เข้าไปอยู่น้ำเต้านั้น แล้วเอายันต์ของท้ายเสียงเล่ากุนปิดปากสักครึ่งชั่วโมง กายของผู้ที่เข้าไปอยู่ในน้ำเต้านั้นก็ละลายเป็นน้ำหนองไปหมด เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ตกใจ แล้วแกล้งทำเป็นหัวเราะพูดว่าไหนขอดูสักหน่อยหรือของวิเศษจะเป็นประการใด ปีศาจไม่รู้ศึกว่าเห้งเจียก็ส่งของสองสิ่งให้เห้งเจียดู เห้งเจียก็รับมาพิจารณาดู มีความยินดีพูดว่าเป็นดีแน่ แล้วคิดว่า ถ้าเราจะชิงเอาเสียเดี๋ยวนี้ก็จะได้ แต่จะเสียชื่อ เขาจะเหมาว่าเราวิ่งราวกลางวันดูแล้วก็ส่งคืนให้ แล้วพูดว่าท่านทั้งสองยังไม่เคยเห็นของวิเศษของเรา
   ปีศาจถามว่าท่านอาจารย์มีของวิเศษอย่างไร ขอให้ข้าพเจ้าดูสักหน่อยเถิด เห้งเจียเอามือล้วงไปข้างหลัง ถอนเอาขนหางมาเส้นหนึ่ง ร้องเรียกให้แปลงก็แปลงเป็นลูกน้ำเต้าทองคำโตประมาณสองกำมา เอาออกมาจากเอวส่งให้ปีศาจ ๆ ดูแล้วพูดว่า ของท่านอาจารย์มีรูปลักษณ์ใหญ่ดังนี้พิศดูงดงามยิ่งนัก แต่ต้องการใช้ไม่ได้ เห้งเจียถามว่าเหตุใดจึงใช้ไม่ได้ ปีศาจว่าของนี้เรียกคนไปประจุได้พันคนทั้งสองสิ่ง เห้งเจียว่าของที่ใส่คนนั้นไม่ประหลาดอะไร น้ำเต้าของเรานี้ ใส่ได้ทั้งท้องฟ้าเรียกให้เข้าในนี้ได้หมด ปีศาจถามว่าจริงดังนั้นหรือ เห้งเจียว่าดังนั้นซี ปีศาจว่าแม้จริงดังนั้น ขอท่านอาจารย์ลองทำให้ข้าพเจ้าดูสักทีเถิด เห้งเจียว่า แม้ว่าฟ้าทำให้เราขัดใจ เดือนหนึ่งเราเรียกเข้าเจ็ดแปดหน ถ้าไม่ทำให้ขัดใจครึ่งปีก็ไม่เรียกใส่ครั้งหนึ่ง
   ปีศาจเล่งหลีพูดแก่เจงเส่ยว่า เอาของเราแลกแก่ท่านเถิด เจงเส่ยพูดว่า ของเธอใส่ได้ทั้งฟ้าจะยอมแลกแก่เราที่ไหน เล่งหลีพูดว่า เราเอาขวดนั้นเติมให้เห็นเธอจะให้ดอกกระมัง เห้งเจียมีความยินดีอยู่ในใจแล้วจึงพูดว่า ของเราใส่ได้ทั้งฟ้าท่านจะเอาของท่านเปลี่ยนจะควรหรือ ปีศาจพูดว่า แม้ใส่ทั้งฟ้าได้ก็จะเปลี่ยน ถ้าไม่เปลี่ยนให้ข้าพเจ้าท่านจะเป็นเด็กทารก เห้งเจียพูดว่าดีแล้ว ข้าพเจ้าจะเรียกใส่ให้ดูพูดแล้วก็ก้มหน้าลงร่ายพระคาถา เรียกเทวดาเจ้าที่เที่ยวตระเวรตามท้องฟ้าแลเจ้าเอี๊ยดที้มาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียสั่งว่าให้ขึ้นไปทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ว่า บัดนี้เราตามรักษาพระถังซำจั๋งจะไปอาราธนาพระไตรปิฎกธรรมยังมัชฌิมประเทศ เราอยากจะได้ของวิเศษของปีศาจ ขอพระองค์ได้โปรดให้ข้าพเจ้ายืมท้องฟ้าสักครึ่งชั่วโมง เรียกใส่ในน้ำเต้านี้ แม้ว่าขัดขืนไม่ยอมให้ เราจะขึ้นไปเล่งเซียวเต้ย
   ฝ่ายเจ้าทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียสั่งดังนั้น ก็พากันเหาะขึ้นไปยังสวรรค์ เข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ให้ทรงทราบทุกประการ เง็กเซียงฮ่องเต้จึงตรัสว่าอ้ายลิงมันพูดจาไม่มีความยำเกรง น้ำใจโตอาจสามารถมายืมท้องฟ้าไปเรียกใส่น้ำเต้า มันจะเรียกใส่อย่างไรได้ เวลาที่เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสดังนั้น มีน่อจาท้ายจื๊อออกมากราบทูลว่า ขอพระองค์ได้ทรงทราบ ท้องฟ้าเรียกใส่ได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสถามว่าทำอย่างไรจึงใส่ได้ น่อจาทูลว่า ขอพระองค์มีรับสั่งออกไปทางประตูสวรรค์ทิศอุดร ขอยืมธงดำวิเศษของท่านพรหมจินบู๊นั้น เอามายังประตูน่ำทีหมึง ถือออกโบกหอบเดือนตะวันและดาวทั้งหลายให้มืดท้องฟ้าแลไม่เห็นหน้ากัน สักประเดี๋ยวพอหลอกปีศาจอย่างนี้ก็ครอบเอาท้องฟ้าได้ ก็จะช่วยเห้งเจียให้สำเร็จได้ เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ทรงฟังน่อจากราบทูลดังนั้น พระองค์ทรงพระสรวลเห็นชอบด้วย จึงตรัสสั่งให้ทำตามน่อจา กราบทูลนั้น
   ฝ่ายเจ้าทั้งหลาย เมื่อได้ฟังเง็กเซียงฮ่องเต้รับสั่งดังนั้นแล้ว ก็ถวายบังคมลากลับลงมายังมนุษย์โลก เข้าใกล้เห้งเจียกระซิบบอกให้รู้ทุกประการ เห้งเจียจึงบอกแก่ปีศาจทั้งสองว่า เจ้าจงคอยดูเถิดข้าพเจ้าจะทำให้เห็นแก่ตา ปีศาจทั้งสองพูดว่าท่านจะเรียกก็จงเรียกเถิด เห้งเจียจึงเอาน้ำเต้าขว้างขึ้นไปกลางอากาศ
   ฝ่ายน่อจายืนอยู่บนประตูน่ำทีหมึงเห็นดังนั้น ก็เอาธงคลี่ออก กวัดแกว่งไปมา ท้องฟ้าก็มืดคลุ้มไปทั้งหมด แลไม่เห็นดวงดาวแลพระอาทิตย์พระจันทร์ มองดูหน้ากันก็ไม่เห็นหน้า ปีศาจทั้งสองเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงพูดว่า เมื่อพูดกันนั้นดูเหมือนตะวันกำลังเที่ยงทำไมดูมืดค่ำไปดังนี้ เห้งเจียว่าเราเรียกท้องฟ้ามาใส่ในน้ำเต้าแล้วทำไมจะไม่มืดเล่า ปีศาจถามว่าท่านอาจารย์นั่งพูดอยู่ที่ไหน เห้งเจียพูดหลอกว่าอย่าก้าวไป ที่นี่ฟากฝั่งทะเลใหญ่ แม้พลัดตกลงไปเจ็ดแปดวันก็ยังไม่ถึงพื้นล่าง ปีศาจทั้งสองได้ยินดังนั้นก็เชื่อตกใจ กลัวบอกว่าท่านอาจารย์จงปล่อยฟ้าไปเถิด ข้าพเจ้าเข้าใจในวิชาของท่านแล้ว อย่าให้ข้าพเจ้าตกทะเลไปเลย เห้งเจียเห็นปีศาจทั้งสองมีใจเชื่อถือแน่แล้ว จึงร่ายพระคาถาส่งจิตไปถึงน่อจาให้รู้ น่อจาจึงเอาธงม้วนเสีย ท้องฟ้าก็สว่างมาอย่างเดิม ปีศาจทั้งสองจึงสรรเสริญว่าดีแท้ ๆ ของวิเศษอย่างนี้เราจะไม่ขอแลกอย่างไรได้ จึงหยิบน้ำเต้าแลขวดหยกส่งให้แก่เห้งเจีย ๆ เอาน้ำเต้าเก๊ ปลอมส่งให้แก่ปีศาจ แลกกันแล้วก็เหาะไปยังประตูน่ำทีหมึงขอบคุณน่อจา แล้วเห้งเจียก็กลับลงมาหยุดอยู่กลางอากาศแลดูปีศาจทั้งสอง

29 พฤษภาคม 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 29 ไซอิ๋ว นวนิยาย

     ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   แผนที่    
    ก่อนหน้า 📝     หน้าต่อไป 📖  ตอน ปีศาจชุดเหลืองจอมโหด ปะทะ ซุนหงอคง (ช่วงที่ 3 จบ.)
(บทที่ ๓๑)   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงเรียกว่าตือโป๊ยก่าย โป๊ยก่ายได้ยินร้องเรียกคำหนึ่ง ก็กระโดดยืนขึ้นบอกว่านี่และนี่และคือตือโป๊ยก่ายแน่แล้ว เห้งเจียถามว่าทำไมไม่ตามพระอาจารย์ไป กลับมานี้มีธุระอะไรหรือ หรือเจ้าทำให้พระอาจารย์ขัดเคืองอย่างไร พระอาจารย์ขับไล่เจ้าเสียดอกกระมัง โป๊ยก่ายบอกว่าไม่ได้ทำให้อาจารย์ขัดเคืองอะไรดอก เห้งเจียว่าไม่ได้ทำให้ขัดเคืองทำไมจึงมาที่นี่ข้าสงสัยอยู่ โป๊ยก่ายว่าเพราะด้วยพระอาจารย์คิดถึง จึงใช้ให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์นั้นได้ทำหนังสือสัญญาให้ไว้แก่เราแล้ว บัดนี้จะมาคิดถึงเราทำไมไม่หน้าเชื่อเลย
   โป๊ยก่ายว่า พระอาจารย์ท่านคิดถึงจริง ๆ เพราะว่าเมื่อวันก่อนพระอาจารย์อยู่บนหลังม้ากำลังเดินไป อาจารย์ก็เรียกสานุศิษย์ข้าพเจ้าก็ไม่ได้ยิน ซัวเจ๋งก็ไม่ได้ยินทำหูหนวกเสีย เพราะฉะนั้นพระอาจารย์จึงได้คิดถึงพี่ ว่าพวกข้าพเจ้าทั้งสองไม่เป็นการ โง่เขลามึนตึงนัก พูดว่าพี่เป็นผู้ว่องไวฉลาดเฉลียว เวลาใดเรียกก็ได้ยินทุกครั้ง เพราะฉะนั้นจึงได้รีบเร่งให้ข้าพเจ้ามาเชิญพี่ไป ขอพี่จงได้ไปเถิด เห้งเจียครั้นได้ฟังดังนั้น จึงลงมาจากแท่นหิน เดินมาจับมือโป๊ยก่ายพูดว่า น้องมาลำบากโดยทางไกล จงอยู่เล่นก่อนแล้วจึงค่อยไป โป๊ยก่ายว่าหนทางนั้นเหลือไกล วิตกแต่อาจารย์จะคอยท่า เราสองคนขอให้รีบไปเถิด
   เห้งเจียพูดว่าน้องมาถึงวันนี้ จึงไปชมชัยภูมิเขานี้เล่นก่อนเถิด โป๊ยก่ายก็ไม่อาจขัด แต่ใจนั้นร้อนเหมือนไฟโดยวิตกถึงพระอาจารย์ แต่จนใจจำใจเดินตามเห้งเจียไปเหมือนคนไม่มีวิญญาณฉะนั้น เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายจูงขึ้นบนยอดเขา ภูเขานี้ตั้งแต่เห้งเจียกลับมาก็จัดแจงซ่อมแซมดูงดงามขึ้นมาก เป็นที่หนึ่งแห่งภูเขาในใต้หล้านี้ เห้งเจียพาโป๊ยก่ายเที่ยวดูแล้วก็พากลับเดินลงจากยอดเขา เห็นพวกบริวารวานรพากันเอาผลไม้ต่าง ๆ มาให้เห้งเจียเป็นข้าวเช้า เวลาเช้า เห้งเจียพูดว่าน้องของเราท้องใหญ่ ผลไม้เล็กน้อยที่ไหนจะพอ เห้งเจียจึงว่า เชิญน้องกินแก้หิวเถิด
   เวลานั้นตะวันก็ขึ้นสูง โป๊ยก่ายจึงเร่งเห้งเจียว่า พระอาจารย์จะคอยท่าพี่จงรีบไปเถิด เห้งเจียว่าน้องจะเข้าไปชมในถ้ำก่อนเถิด โป๊ยก่ายไม่ยอมไป เห้งเจียพูดว่าถ้ากระนั้นข้าไม่กล้าจะหน่วงเจ้าไว้ แม้เจ้าจะไปก็เชิญเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าพี่ไม่ไปกับข้าดอกหรือ เห้งเจียถามว่าเจ้าจะให้ข้าไปไหน เราอยู่ที่นี่ไม่มีผู้ใดมาบังคับเราได้ กินนอนก็เป็นสุขแล้ว จะวิ่งไปหาความทุกข์ยากอะไรที่ไหนอีกเล่า พระอาจารย์ถังซัมจั๋งก็ไล่เราแล้ว จะคิดถึงเราทำไมมีเราไม่เห็นด้วยเลย โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เสียใจเป็นที่สุด ไม่อาจที่จะพูดอะไรอีกต่อไป จึงคำนับลาออกเดินไป เห้งเจียเห็นโป๊ยก่ายเดินลงไปจากเขาแล้ว จึงเรียกวานรบริวารมาสั่งว่า เจ้าจงตามโป๊ยก่ายไปแอบฟังดูว่า โป๊ยก่ายจะพูดจาว่าบ่นประการใด พวกวานรได้ฟังคำสั่งดังนั้น ก็พากันตามไป
   ฝ่ายโป๊ยก่ายเมื่อเดินลงมาจากเขาหันหน้ากลับชี้มือพูดว่า อ้ายเห้งเจียอ้ายชาติลิงไพร มึงไม่ตามพระอาจารย์ผู้มีคุณไป มึงจะอยู่เป็นปีศาจยักษ์หาความสุข กูมีกะใจมาเชิญมึง ๆ ไม่ไปก็ช่างเถิด เดินพลางด่าพลางไม่หยุดปาก พวกวานรที่เดินตามไปฟัง ได้ยินดังนั้นก็กลับมาบอกเห้งเจียตามที่โป๊ยก่ายบ่นด่าว่าทุกประการ เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็บันดาลโทโสร้องสั่งว่าพวกเจ้าจงตามไปจับตัวมาให้ได้พวกลิงทั้งหลายก็กรูกันไปล้อมจับเอาตัวโป๊ยก่ายมัดมือไพล่หลังพามายังถ้ำ
   ฝ่ายเห้งเจียอยู่ในถ้ำ เห็นพวกวานรจับตัวโป๊ยก่ายมาได้ จึงด่าว่าอ้ายชาติหมูกินรำมึงจะไปก็ไยมิไป ทำไมมึงจึงต้องด่าว่ากูด้วยเล่าโป๊ยก่ายคุกเข่าลงกับพื้น พูดว่าข้าพเจ้าอาจด่าพี่ได้ที่ไหน แม้ด่าพี่จริงดังนั้นก็ให้พี่ตัดคอข้าพเจ้าเสียเถิด เห้งเจียว่าเจ้าจะหลอกข้าได้อยู่หรือ หูข้างซ้ายของข้าได้ยินตลอดชั้นฟ้า เทวดาจะพูดร้ายดีอย่างไรข้าก็ได้ยิน หูข้างขวาของข้าได้ยินตลอดยังพระยาเงียมฬ่ออ๋อง (ยมราช) เจ้าด่าข้า ๆ จะไม่รู้ทีเดียวหรือ เห้งเจียจึงเรียกวานรให้เลือกไม้พลองอันใหญ่ ๆ มาจับอ้ายโป๊ยก่ายให้นอนหงายขึ้น ตีด้วยพลองที่ท้องยี่สิบทีแล้ว คว่ำลงจะเฆี่ยนหลังอีกยี่สิบทีแล้วข้าจะเอากระบองเหล็กตีส่งไปอีก
   โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียสั่งดังนั้น จึงคำนับพูดว่าขอพี่ได้เห็นแก่พระอาจารย์เถิด ขอให้ยกโทษข้าพเจ้าไว้ก่อนเถิด ด้วยข้าพเจ้าได้ผิดแล้ว เห้งเจียจึงว่าเราจะเห็นอะไรแก่พระอาจารย์ ๆ ก็ได้ขับไล่เราเสียแล้ว โป๊ยก่ายว่า พี่ไม่เห็นแก่พระอาจารย์ก็จงเห็นแก่พระโพธิสัตว์เถิด เห้งเจียได้ยินออกชื่อพระโพธิสัตว์ใจก็อ่อนลงทันที จึงพูดว่าถ้ากระนั้นเราไม่เฆี่ยนเจ้า ๆ จงบอกไปตามจริง พระอาจารย์ต้องภัยได้ทุกข์อย่างไรหรือ เจ้าจึงมาล่อหลอกเราอย่างนี้
   โป๊ยก่ายยังยืนคำอยู่ว่าพระอาจารย์มิได้ต้องภัยได้ทุกข์ที่ไหนดอก เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้นก็ไม่เชื่อ จึงพูดว่าเจ้ามาหลอกเราได้ เฆี่ยนเสียจึงจะดีตั้งแต่เรากลับมา พระอาจารย์เดินไปก็ได้มีภัยทุก ๆ ตำบล เกิดเหตุร้ายแรงทุกย่างก้าว เจ้าจงรีบบอกมาโดยเร็วเราจึงจะยกโทษให้ หาไม่จะต้องตีเสียให้แทบตาย โป๊ยก่ายจึงพูดว่า ข้าพเจ้าปดพี่จริง ๆ ไม่ทราบว่าพี่จะมีหูทิพย์ตาทิพย์ศักดิ์สิทธิ์อย่างนี้เลย ขอพี่จงยกโทษอย่าเฆี่ยนตีข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าจะบอกตามจริงทุกประการแล้ว
   เห้งเจียจึงบอกว่าลุกขึ้นเถิด พวกวานรทั้งหลายก็พากันถอยห่างออกไป โป๊ยก่ายผุดลุกขึ้นก้าวซ้ายก้าวขวาทำท่าจะหนี เห้งเจียว่าเองจะก้าวไปข้างไหน โป๊ยก่ายว่าไม่ไปไหน เดินผิดทางไปเห็นทางว่างก็เดินไปกระนั้น เห้งเจียว่าต่อให้เจ้าไปก่อนสามวัน เราจะตามไปจับตัวมาให้ทันมิให้หนีไปพ้นได้ เจ้าจงเข้ามาบอกความจริงโดยเร็วเถิด โป๊ยก่ายก็เข้าไปยืนใกล้แล้ว ก็เล่าบอกตั้งแต่ต้นจนปลายตามที่เป็นมาทุกประการ
   เห้งเจียครั้นได้ฟังโป๊ยก่ายพูดเล่าบอกดังนั้นมีความโกรธจึงพูดว่า เมื่อเราจะกลับมาเราก็ได้สั่งไว้ทุกประการว่า แม้ไปพบปะปีศาจภูตผีและยักษ์มารในที่ใด ๆ จึงบอกชื่อเราว่าเป็นสานุศิษย์ของพระอาจารย์ปีศาจทั้งหลายเหล่านั้น ก็จะไม่กล้าทำร้ายแก่พระอาจารย์ นี่เป็นเพราะพวกเจ้าอวดดีจึงได้เกิดเหตุร้ายแรงขึ้นอย่างนี้ โป๊ยก่ายได้ฟังเห้งเจียว่ากล่าวก็เป็นการจริงใจทุกอย่าง จึงคิดว่าอย่าเลยจะพูดให้เสียดแทงหัวใจเห้งเจียจึงจะได้ คิดแล้วจึงพูดว่าข้าพเจ้าก็ได้ออกชื่อพี่ แต่ปีศาจมันกลับหมิ่นประมาทดูถูกไม่มีความยำเกรง เห้งเจียถามว่ามันไม่เกรงกลัวนั้นมันพูดอยาบช้าหมิ่นประหมาทอย่างไร
   โป๊ยก่ายเห็นได้ทีจึงปดทับถมว่า ข้าพเจ้าได้พูดว่าปีศาจมึงอย่าจองหอง อย่ามาคิดร้ายแก่พระอาจารย์ ยังมีพี่กูเป็นสานุศิษย์ใหญ่ชื่อว่า (หงอคง) เธอมีฤทธาอานุภาพมากเหาะเหินเดินอากาศได้ เคยปราบปรามภูตผีปีศาจยักษ์มารมามากแล้ว ถ้าเธอมาเวลาใดมึงก็จะถึงความพินาศจนไม่มีที่จะฝังศพ เมื่อข้าพเจ้าออกชื่อพี่ดังนี้ปีศาจมันกลับบังอาจพูดว่า ไหนอ้ายคนไหนที่ชื่อว่าอ้าย (ซึงหงอคง) ขอให้มันมาเอาโลหิตเส้นคมอาวุธดูสักหน่อยเถิด ต้องการอยากพบแก่มันนัก ถ้ามันมาแล้วเราจะจับมันลอกหนังเสีย แลชักเอาเส้นเอ็นออกกัดกระดูกให้แหลกเหลวลากหัวใจออกมากินเสีย เราจะปล่อยให้มันมาต่อสู้แก่เราทำไมหรือบางทีก็จะต้มน้ำมันเสีย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายบอกดังนั้นเหมือนใครเอาไฟมาจุดเข้าที่หัวใจลุกขึ้นโลดเต้นเกาหูเกาคางออกวุ่นวายตามกิริยาของลิง แล้วจึงถามว่าอ้ายปีศาจอะไรจึงสามารถมาด่าว่าท้าทายเราได้ถึงเพียงนี้ โป๊ยก่ายจึงว่าพี่จงหยุดยั้งอย่าเพิ่งโกรธวุ่นวายก่อน ที่มันพูดมันดูถูกพี่นั้นคืออ้ายปิศาจอึ่งเพ้า เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงจำมาเล่าให้พี่ฟัง
   เห้งเจียจึงพูดว่าเราจะไปปราบปีศาจแม้เรามิไป มันจะหมิ่นประมาทเราได้ว่าไม่สู้มัน โป๊ยก่ายว่าขอพี่ได้ไปแก้แค้นหรือพี่จะไม่ไปก็ตามแต่ใจของพี่เถิด เห้งเจียกระโดดลงจากแท่นเข้าห้องผลัดเครื่องนุ่งห่มออกแล้ว เอาเครื่องผ้าผูกคอและผ้านุ่งด้วยหนังเสือ ครั้นแต่งตัวเสร็จแล้วก็เดินออกมามือถือกระบองเหล็ก พวกบริวารวานรก็กรูกันมาถามว่าใต้เซียจะไปไหน
   เห้งเจียพูดว่าเดิมเราตามพระอาจารย์ไปทั่วจักระวาล ก็รู้ว่าเราเป็นสานุศิษย์ของพระถังซัมจั๋ง เวลานั้นเธอว่าเราเป็นคนผิดไล่เราให้เรากลับมา เรากลับมายังที่เดิมของเรา ๆ ก็มีความสุขสำราญแล้ว บัดนี้เราจะไปตามรักษาพระอาจารย์ไปอาราธนาพระธรรม กว่าจะสำเร็จแล้วเราจึงจะกลับมาหาพวกเจ้า จะได้ความบรมสุขด้วยกันไปภายหน้า พวกบริวารได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้นต่างก็คำนับทุก ๆ ลิง
   เห้งเจียจับมือโป๊ยก่ายไว้แล้วก็เหาะขึ้นบนเวหา ลอยละลิ่วปลิวมาเร็วยิ่งกว่าลมพัด บัดเดี๋ยวก็ถึงตังเอี๋ยงทะเลใหญ่เหาะข้ามฟากมา ครั้นถึงฝั่งตะวันตกเห้งเจียบอกแก่โป๊ยก่ายว่า น้องจงค่อย ๆ ไปพี่จะลงอาบน้ำสักประเดี๋ยวจะตามไป ตั้งแต่พี่กลับมามันติดกลิ่นอ้ายปีศาจจะเหม็นสาบพระอาจารย์ไม่ชอบ ท่านชอบแต่คนสะอาด
   โป๊ยก่ายเวลานั้นก็รู้สึกได้ว่า เห้งเจียเป็นผู้ใจกตัญญูจริงมิได้คิดนอกใจแก่พระอาจารย์ โป๊ยก่ายรอคอยอยู่บนอากาศ เห้งเจียลงไปอาบน้ำประเดี๋ยวก็เหาะกลับขึ้นมา พร้อมกันเหาะตรงมายังปราจิณทิศ แลไปข้างหน้าก็เห็นพระเจดีย์มีรัศมีออกโชตช่วง โป๊ยก่ายชี้มือบอกว่านั่นและที่อยู่ของปีศาจอึ่งเพ้าแล้วซัวเจ๋งยังอยู่ในนั้น เห้งเจียว่าไว้ธุระพี่จะลงไปดูก่อน จะได้คิดต่อสู้แก่ปีศาจต่อไป โป๊ยก่ายว่าเวลานี้ปีศาจมิได้อยู่ในถ้ำ เห้งเจียว่าพี่เข้าใจได้แล้วพูดกันดังนั้นแล้วก็ลอยลงไปยังประตูถ้ำ
   เห้งเจียก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำเที่ยวมองดูก็เห็นปีศาจเด็กสองคนกำลังวิ่งเล่นกันอยู่ เห้งเจียก็วิ่งเข้าจับเอาจุกผมลากมาทั้งสองคนเด็กก็ร้องอึกกะทึกขึ้น พวกปีศาจบริวารเหล่านั้นก็เข้าไปบอกแก่นางก๋งจู๊ว่า บัดนี้ลูกของก๋งจู๊ทั้งสองคนนั้นมีคนมาจับไปข้างนอกแล้ว
   นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็รีบออกมาข้างนอก แลเห็นเห้งเจียจับเอาบุตรไป จึงร้องไปว่า ท่านทำไมมาจับบุตรของเราไปข้างไหน พ่อของมันดุร้ายนัก ท่านอย่าทำดังนั้นจะวุ่นวายขึ้น เห้งเจียพูดว่า ก๋งจู๊จำเราไม่ได้หรือ เราคือสานุศิษย์ใหญ่ของพระถังซัมจั๋ง คือ ซึงหงอคง บัดนี้น้องของเรา คือ ซัวเจ๋ง ยังอยู่ในถ้ำนี้ นางก๋งจู๊ไปปล่อยออกมาแล้ว เด็กทั้งสองนี้เราจึงจะคืนให้ นางก๋งจู๊ได้ฟังดังนั้น ก็วิ่งกลับเข้าไปในถ้ำ ตวาดพวกปีศาจที่คุมซัวเจ๋งให้ถอยออกไป แล้วนางเข้าแก้มัดซัวเจ๋งออก ซัวเจ๋งว่าอย่าปล่อยข้าพเจ้า ปีศาจมันจะทำอันตรายแก่ท่าน
   นางก๋งจู๊พูดว่าท่านมีคุณได้ช่วยข้าพเจ้า ๆ จะแก้ให้ท่านไปพ้นจากอันตราย บังเอิญบัดนี้ที่หน้าถ้ำ มีพี่ของท่านชื่อเห้งเจียมาบอกให้เราปล่อยท่านออกไป ซัวเจ๋งครั้นได้ทราบดังนั้น แลได้ยินอักษรสองคำว่าเห้งเจียดุจดังว่าน้ำทิพย์มายาใจ มีความรื่นเริงหาที่เปรียบมิได้ก็รีบออกมายังประตูถ้ำ แลเห็นเห้งเจียคำนับแล้วพูดว่า วันนี้พี่อยู่บนฟ้ามาหรือ ขอให้ช่วยข้าพเจ้าสักครั้งหนึ่งเถิด
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า เมื่อก่อนนั้นหากว่าอาจารย์ภาวนาคาถา ช่วยกันแก้ไขบ้างก็จะดี กลับทำพูดส่อเสียดจะรับรักษาพระอาจารย์ไปทางไซทีให้ตลอด ทำไมไม่ไปกลับมาคุดคู้อยู่ที่นี้เล่า ซัวเจ๋งจึงพูดว่าพี่เป็นคนกุนจือ การที่แล้วไปไม่ควรกลับเอามากล่าว ซัวเจ๋งก็พบแก่โป๊ยก่าย จึงเล่าถึงการเมื่อวานนี้ให้ฟัง เห้งเจียว่าอย่าพูดให้ช้าการ เจ้าสองคนจงรีบเอาเด็กนี้ไปยังเมืองเชียงโป๊ก๊กก่อน ล่อปีศาจอึ่งเพ้า ที่นี่ไว้ธุระพี่จะคอยมันมา ซัวเจ๋งว่าจะล่อมันอย่างไร
   เห้งเจียว่า น้องทั้งสองจงเอาเด็กไปยังปราสาทในพระราชวัง เอาเด็กนี้ฟาดลงกับพื้น ถ้าใครถามก็จงบอกว่าเด็กนี้เป็นลูกของปิศาจอึ่งเพ้าจับมาได้ ถ้าปีศาจเห็นแล้ว รู้ดังนั้นก็คงกลับมายังถ้ำ พี่ไม่ต่อสู้แก่มันในเมือง โดยเห็นว่าราษฎรจะตกใจแตกตื่นวุ่นวายกัน โป๊ยก่ายซัวเจ๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็คำนับลาอุ้มเด็กเหาะกลับตรงเข้าไปในเมืองเชียงโป๊ก๊ก
   เห้งเจียเห็นคนทั้งสองไปแล้ว ก็เดินเข้าไปยังประตูใน ก๋งจู๊จึงเดินมาถามว่า ท่านเป็นคนอยู่ในศีลในธรรม ทำไมไม่ถือธรรมเนียม ท่านว่าให้ปล่อยน้องท่าน ๆ จะปล่อยลูกเรากลับ นี่น้องท่านเราก็ปล่อยไปแล้ว ทำไมท่านจึงไม่คืนลูกของเรามาให้เราเล่า เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ก๋งจู๊อย่าเพิ่งโกรธก่อน บุตรท่านข้าพเจ้าให้โป๊ยก่ายซัวเจ๋งพาไปเฝ้าพระเจ้าตาแล้ว ก๋งจู๊ว่าท่านทำอย่างนั้นมิผิดหรือ คืออึ่งเพ้านั้นไม่เหมือนคนทั้งหลาย
   เมื่อวานนี้น้องของท่านทั้งสองรูปร่างดูแข็งแรงยังสู้มันไม่ได้ ตัวของท่านผอมดุจคนรื้อไข้จะมีฝีมืออย่างไรจึงจะจับมันได้ เห้งเจียพูดว่าอันฝีมือนั้นก่งจู๊ยังไม่เคยเห็นข้าพเจ้ากำจัดปีศาจดอก ก๋งจู๊ถามว่าท่านทำอย่างไร จึงจะปราบมัน ได้ เห้งเจียว่าจงหาที่ซ่อนตัวไว้ข้าพเจ้าคอยมันกลับมา จะได้ตีมันให้ล้มลงแล้ว ข้าพเจ้าจะพาก๋งจู๊กลับไปเมือง ก๋งจู๊ได้ ฟังเห้งเจียแนะนำดังนั้น ก็กลับเข้าไปในถ้ำหาที่แอบซ่อนตัวอยู่ เห้งเจียก็แปลงกายเป็นเหมือนก๋งจู๊นั่งคอยท่าอึ่งเพ้าอยู่ในถ้ำ
   ฝ่ายโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง อุ้มลูกปีศาจสองคนเหาะมายังพระราชวังใน ครั้นถึงน่าพระที่นั่ง โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็เอาเด็กนั้นฟาดลงกับพื้น ร่างกายเด็กทั้งสองก็อ่อนน่วมไปทั้งตัว เวลานั้นกำลังขุนนางข้าราชการอยู่พร้อมกัน เมื่อได้เห็นดังนั้นก็พากันตกใจว่าไม่ดีแล้ว บนฟ้าฟาดคนลงมาสองคน โป๊ยก่ายร้องประกาศด้วยเสียงอันดังว่า อ้าย เด็กสองคนนั้นคือลูกของปีศาจอึ่งเพ้า ข้าพเจ้าโป๊ยก่ายกับซัวเจ๋งไปจับมันมาได้เอง ฝ่ายปิศาจกำลังเมานอนอยู่ในตำหนักงึ้นอันเต้ย เวลานั้นกำลังนอนฝัน ได้ยินเสียงคนออกชื่ออึ่งเพ้า ก็ตกใจพลิกตัวตื่นเงยหน้ามองดู เห็น
   โป๊ย ก่ายกับซัวเจ๋งยืนอยู่บนเมฆสองคน ทำอึกกะทึกแส้เสียง อึ่งเพ้าจึงดำริแต่ในใจว่า เมื่อวานนี้โป๊ยก่ายก็หนีแล้ว ซัวเจ๋งก็จับได้ขังไว้ในถ้ำ ทำไมมันจึงมาได้ และลูกของเราก็อยู่ในถ้ำ ทำไมจึงมาตกอยู่ในมือมันได้ อย่ากระนั้นเลย เราจะกลับไปดูที่ถ้ำก่อน จะมีเหตุร้ายดีประการใด แล้วเราจึงค่อยกลับมาโต้ตอบแก่มันก็ไม่ช้าอะไร
 คิดดังนั้นแล้วก็ มิได้เข้าไปลาเจ้าเมือง รีบเหาะตรงไปยังถ้ำ ในเวลานั้นก็รู้ทั่วกันว่าฮูเบ๊นั้นคือปีศาจยักษ์ เจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กจึงรับ สั่งให้คอยระวังเสือเฒ่านั้น ฝ่ายอึ่งเพ้ามาถึงถ้ำจึงเดินเข้าไปในประตู เห้งเจียแปลงนั่งคอยท่าปีศาจ พอแลเห็นเดินเข้า มาเห้งเจียเอานิ้วหยิกนัยน์ตาแล้วร้องไห้สะอึกสะอื้นน้ำตาก็ไหลลงอาบกาย แล้วเอามือทุบอกและทอดกายลงดิ้น ร้องไห้เสียงโฮ ๆ เมื่อปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้น ก็อดกลั้นอยู่มิได้วิ่งมาใกล้ลูบไล้ใต่ถามว่าเป็นอย่างไรที่ไหนหรือ จึงได้ เศร้าโศกเดือดร้อนรำคาญอย่างนี้
 เห้งเจียจึงมารยาบอกว่าใต้อ๋องมีคำเขาพูดว่า ชายไม่มีเมีย ทรัพย์ไม่มีเจ้าของ หญิงไม่มีผัวตัวก็ลอย เปล่า เหมือนเมื่อวานนี้ท่านไปเยือนญาติทำไมไม่กลับมา เมื่อเช้าวันนี้โป๊ยก่ายมันมาแย่งเอาซัวเจ๋งไปแล้วมิหนำซ้ำจับ เอาลูกทั้งสองไปด้วย ข้าพเจ้าขอร้องเท่าไรมันก็ไม่ฟัง มันว่าจะพาไปในพระราชวังเยี่ยมพระเจ้าตา ครึ่งวันแล้วก็ มิได้เห็นลูก ไม่รู้ว่าจะตายเป็นประการใดก็ไม่เห็นใต้อ๋องกลับมาข้าพเจ้าจะทำอย่างไรได้ เพราะฉะนั้นให้มีความ เจ็บแค้นในใจ จะกลั้นน้ำตาไว้มิได้
 อึ่งเพ้าได้ฟังก๋งจู๊เล่าให้ฟังดังนั้น ก็โกรธพูดว่าลูกของเราจริงแล้ว เห้งเจียแปลงพูด ว่าโป๊ยก่ายมันแย่งเอาไปเสียแล้ว ปีศาจก็โกรธดุจไฟกัลป์ กระโดดโลดเต้นขยับเขี้ยวเคี้ยวฟันว่า มันเอาลูกกูไปฆ่าเสีย แล้ว เราจะต้องจับอ้ายสองคนนี้มาฆ่าเสียบ้างจะได้แก้แค้นให้แก่ลูกเรา อึ่งเพ้าพูดแก่ก๋งจู๊แปลงว่าเจ้าอย่าโทมนัสร้อง ไห้ไปเลยในจิตใจของเจ้านั้น เป็นอย่างไรบ้างหรือเปล่า เห้งเจียแปลงบอกว่าไม่เป็นอะไรดอก เพราะข้าพเจ้าคิด ถึงลูกร้องไห้หนักเข้า ในท้องก็ให้จุกขึ้นมา
 ปีศาจพูดว่าเจ้าไม่ต้องรีบรัดใจ อันการจุกเสียดนั้นมีของวิเศษเอาคลึงเข้า ที่เสียดนั้นก็จะหาย เอานิ้วดีดทีหนึ่งก็ถอนหัวใจของเราออกมา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ปิศาจก็พาเห้งเจียไปในที่ลับแล้ว สำรอกของวิเศษสิ่งหนึ่งออกมาประมาณ เท่าฟองไก่ เห้งเจียเห็นก็ดีใจ พูดว่าของนี้ประกอบมากี่ปีจึงสำเร็จเป็นของวิเศษ ข้าพเจ้ามีนิสัยอัน ใหญ่จึงได้มาเห็นซึ่งของนี้ เห้งเจียจึงหยิบเอามาลองคลึงดูที่น่าอกแล้วก็ลองเอานิ้วดีดดู
 ปิศาจก็ ปัดมือจะเอาคืน เห้งเจียก็เอาใส่เข้าในปาก กลืนลงไปในท้องปีศาจกำหมัดจะทุบ เห้งเจียก็เอา มือหนึ่งยกขึ้นรับไว้ เกาคางทีหนึ่ง ก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมแล้วจึงพูดว่า อ้ายปีศาจยักษ์มึง อย่าทำให้ล่วงเกิน เองจงดูว่ากูนี้คือใครจำได้หรือไม่ ปีศาจอึ่งเพ้าเห็นดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าก่งจู๊ทำไมเจ้าจึงได้แปรรูปร่างเป็นเช่นนี้ไปเล่า เห้งเจียว่าเรารู้ว่า เจ้าเป็นปีศาจ มึงว่าใครเป็นเมียของมึง ปู่ย่ายายมึงจำไม่ได้หรือ ปีศาจก็ตรึกนึก ขึ้นมาว่าข้าจำได้แต่ว่าจำชื่อไม่ได้ เจ้าคือใครที่ไหน และอยู่ที่ไหนมีธุระอะไรมาถึงบ้านเรา ล่อลวงเอา ของวิเศษของเราไป อันความจริงคือเป็นคนร้าย เห้งเจียว่าทำไมเจ้าจำข้าไม่ได้หรือ เราคือเป็นสานุศิษย์ใหญ่ของพระ ถังซัมจั๋ง นามเรียกว่า ซึงหงอคงเห้งเจีย
 เมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้นเราเป็นปู่ย่าตาทวดของเอง ปีศาจพูดว่าอย่าพูดปดเราเลย เราจับถังซัมจั๋งได้มีสานุศิษย์สองคนเท่านั้น นามเรียกว่าโป๊ยก่ายซัว เจ๋ง ไม่เคยได้ยินแซ่ซึ่งไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ที่ไหน เป็นอ้ายปีศาจผีมาล่อลวงเอาของวิเศษของเราอย่างนี้ เห้งเจียพูดว่า เรามิได้มาพร้อมกับคนทั้งสองนั้น เพราะเราตีปีศาจตาย อาจารย์โกรธว่าเราดุร้ายไล่เราให้กลับไปเสีย จึงมิได้ร่วม ทางมาด้วยกัน ทำไมเจ้าจึงไม่รู้จักปู่ย่าตาทวดของเองเล่า
 อึ่งเพ้าตอบว่าเจ้ามิใช่คนดี อาจารย์เจ้าไล่กลับแล้วยังจะ แบกหน้ามาดูคนทั้งหลาย เจ้าไม่มีความอายแก่เขาทั้งหลายเลย เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติข้า มึงไม่รู้หรือว่าวันหนึ่งก็ เป็นครู สิ้นชีวิตนบน้อมนั้นเป็นพ่อมึงคิดร้ายทำแก่พระอาจารย์กู ทำไมเราจะไม่มาช่วยเล่า จึงจะได้ทำตามสบาย ใจของมีง แล้วมีงด่าลับหลังกูทำไม ปีศาจตอบว่าข้าได้ด่าเจ้าที่ไหน เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายบอกแก่เราว่าเจ้าด่าเรา ปีศาจว่าอ้ายตือโป๊ยก่าย อ้ายปากแหลมมันหัดฝีปากแม่สื่อ ทำไมจึงพอใจเชื่อมัน เห้งเจียว่าเจ้าอย่าพูดให้มากไป เลย โหยกเหยกเสียเวลา เจ้ามีความเกียจคร้าน แขกมาทางไกลไม่มีอะไรจะเลี้ยงแขก เจ้าจงยื่นหัวออกมาให้เรา ตีสักทีหนึ่งเป็นชาแก้อยากน้ำร้อน
 อึ่งเพ้าหัวเราะแล้วพูดว่าเห้งเจียเจ้าเข้าใจผิดไป แม้ว่าเจ้าอยากจะตี ไม่ต้องถึง ตัวเรา พวกบริวารของเราอเนกอนันต์ตัง ตามใจเจ้าจะเลือกตีเอาเรา วิตกกลัวว่าเจ้าจะออกประตูไม่ได้ ว่าแล้วอึ่ง เพ้าก็เรียกปีศาจน้อยทั้งหลายให้ล้อมกั้นประตูไว้ทุกประตูโดยความแน่นหนา เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง มือก็ถือกระบองเหล็กร้องแปลงก็แปลงสามหัวหกมือ จับกระบองสามอันก็ตรงเข้ามายังพวกปีศาจตีขนาบตายราบไปทั้งสิ้น เหลือแต่อ้ายปีศาจอึ่งเพ้าหนีลอดออกมานอก ประตูถ้ำได้ แล้วร้องด่าว่าอ้ายชาติลิงไพร มึงอวดดีมาบุกรุกยังที่เขา ว่าแล้วก็กระโจนฟันเห้งเจียด้วยดาบเห้งเจียเอา กระบองเหล็กรับ ต่างต่อสู้กันไปมาประมาณหกสิบเพลง
 เห้งเจียคิดแต่ในใจว่าปีศาจนี้มันมีมีดดาบ รบแข็งแรงอาจ รับกระบองได้ ฝีมือมันก็เข้มแขง จำเราจะล่อให้มันไล่ตามแล้วจึงหวนกลับมา มันเสียท่ามีดนั้นก็จะเอาได้ คิดดังนั้น แล้วเห้งเจียก็ยกกระบองขยับล่อทำท่าหนีออกห่าง ปีศาจมือถือมีดดาบไล่รุกตามมา เห้งเจียเห็นได้ทีก็หวนกลับสวนมา ปีศาจรับไม่ทัน เห้งเจียเอากระบองตีปัดมีดดาบกระเด็นไป แล้วตีถูกปีศาจทีหนึ่ง ปีศาจก็สูญหายไปในทันทีนั้น เห้งเจียก็ยืนคิดอยู่ว่า ปีศาจเห็นจะหนีไปแล้ว
 เห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศแลหาจนรอบทั้งแปด ทิศก็มิได้เห็น จึงคิดขึ้นได้ว่า ปิศาจมันได้พูดว่าจำเราได้ ชะรอยจะเป็นดาวลงมาจากสวรรค์ จำเรา จะขึ้นไปค้นดูจะเป็นปีศาจเจ้าอะไร คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์น่ำทีหมึง เดินเข้าไปใน ปราสาทธงเม่งเต้ยพบซีใต้เซียนซือทักว่าเห้งเจียท่านไปข้างไหนมา เห้งเจียคำนับบอกว่าข้าพเจ้า ตามถังซัมจั๋งไปไซที บัดนี้มาถึงเมืองเชียงโป๊ก๊ก มีปีศาจยักษ์ลักเอาลูกสาวเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊กไป แลทำร้ายแก่พระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าได้ต่อสู้มันได้หนีสูญหายไป ข้าพเจ้าคิดเห็นว่ามันจะเป็นเจ้าหรือ ดาวบนสวรรค์ลงไป จึงได้ตามมาตรวจว่าจะเป็นเจ้าภูมิอารักษ์ตนใด
 ซีใต้เซียนซือได้ฟังเห้งเจียบอก ดังนั้น ก็นำความเข้าไปกราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ ตรัสสั่งให้ตรวจดู ซีใต้เซียนซือก็ไปเที่ยวตรวจ ทุก ๆ ภูมิห้องชั้นฟ้าดาวดึงส์ ก็ไม่มีเทพยดาองค์ใดหายไป อยู่พร้อมกันทุกภูมิที่ แล้วก็ตรวจรอบ นอก ตามภูมิดาวทั้งหลายตรวจไปก็เห็นในภูมิยี่สิบแปดดาวนั้น ยังเหลือแต่ยี่สิบเจ็ดดวง หายไปแต่ ดาวกุยแช
 ซีใต้เซียนซือก็นำความมากราบทูลเง็กเซียงฮ่องเต้ ๆ จึงตรัสถามว่า หายไปสักกี่วันแล้ว ซีใต้เซียนซือทูลว่าหายไปได้สิบสามวันแล้ว เง็กเซียงฮ่องเต้ตรัสว่า อันสิบสามวันในดาวดึงส์นี้ เป็นสิบสามปีในมนุษย์โลก จึงรับสั่งให้หมู่ดาวลงไปตามกุยแช หมู่ดาวทั้งหลาย ก็พร้อมกันถวายบังคมลาออกจากปราสาทวิมานเล่งเซียวเต้ย ไปยังประตูน่ำทีหมึงก็พากันเหาะลง ยังเขาอั๊วจื๊อซัว ครั้นถึงหมู่ดาวก็พักอยู่กลางอากาศ เดิมเมื่อปีศาจหนีเห้งเจียนั้น หมู่ดาวบนสวรรค์ก็เกรงฤทธิ์เห้งเจีย จึงพากันมาหลบอยู่ที่ริมเขานั้นจึงไม่เห็น ครั้นปีศาจกุยแชได้ยินหมู่ดาวภาวนาเรียกจึงได้ออกมาให้เห็น หมู่ดาวก็พา ตัวปีศาจไปยังสวรรค์
 เห้งเจียเมื่อเห็นปีศาจมา ก็เข้ามาสกัดหน้าจะใคร่ตี หมู่ดาวทั้งหลายจึงห้ามว่าอย่าให้ทำเลย จงขึ้นไป เฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้เถิด เห้งเจียก็พร้อมกับหมู่ดาวตามขึ้นไปเฝ้าเง็กเซียงฮ่องเต้ ครั้นถึงหมู่ดาวก็นำเข้าถวาย กุยแชก็ เอาป้ายทองคำถวาย แล้วก็ถวายบังคมรับผิดสารภาพตามโทษที่กระทำ เง็กเซียงฮ่องเต้ จึงตรัสถามกุยแชว่า บนสวรรค์นี้เป็นบรมสุขสำราญ เหตุใดท่านจึงได้หนีลงไปอยู่ ในมนุษย์โลกทำไม กุยแชจึงกราบทูลว่า ซึ่งโทษของข้าพเจ้ากระทำผิด ก็ถึงประหารชีวิตแล้วแต่ขอพระองค์ได้โปรด
 เหตุทั้งนี้เป็นด้วยนางก๋งจู๊บุตรีเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก คือนางฟ้า (เง็กนึ้ง) อยู่ในตำแหน่งพีเฮียง มิจิตปฏิพัตผูกรักแก่ ข้าพเจ้า ๆ จึงวิตกว่าจะเป็นความมัวหมองในวิมานสถานทิพย์จึงให้จุติลงไป เอากำเนิดเป็นนางก๋งจู๊ที่สาม ของพระเจ้า แผ่นดินเมืองเชียงโป๊ก๊ก ข้าพเจ้ามีความผูกพันธ์จึงได้แปลงกายเป็นปีศาจลงไปยังมนุษย์โลกจองเอาภูเขาอั๊วจื๊อซัว เป็น สถานที่อาศัย จึงได้พานางมาอยู่ด้วยกันที่ในถ้ำนั้นประมาณสิบสามปี บัดนี้เห้งเจียมาถึงก็เป็นความสำเร็จตามประสงค์ แล้ว ข้าพเจ้าก็ยอมรับโทษซึ่งได้กระทำผิดล่วงละเมิดโดยพละการ ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด
 เง็กเซียงฮ่องเต้ครั้นได้ ทรงฟังกุยแชกราบทูลดังนั้น พระองค์จึงเก็บป้ายทองคำนั้นไว้ ถอดกุยแชออกจากหมู่ดาวส่งไปให้อยู่กับท้ายเสียงเล่า กุนในชั้นดุสิต ช่วยในการสุมไฟเอาคุณถ่ายซึ่งโทษ เห้งเจียเห็นเง็กเซียงฮ่องเต้ปรับโทษกุยแชแล้วก็มีความยินดี ถวายบังคมลาแลคำนับลาหมู่เทพบุตรแล้วก็ออกมายังประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังเขาอั๊วจื๊อซัวถ้ำปอง้วยต๋อง ครั้นถึงก็เข้า ในถ้ำค้นหานางก๋งจู๊ แล้วก็เล่าความตามที่เป็นมาให้นางก๋งจู๊ฟังทุกประการ
 ในทันใดนั้นโป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็มาถึง เห้งเจียจึงพานางก่งจู๊ออกจากถ้ำกลับมาเมืองเชียงโป๊ก๊ก บัดเดี๋ยวก็ถึงพระราชวังโดยอำนาจอิทธิฤทธิ์ของเห้งเจีย นางก๋งจู๊ก็เดินตรงเข้าปราสาทกิมหลวนเต้ยคำนับพระราช บิดา บรรดาพวกข้าราชการฝ่ายหน้าแลฝ่ายใน ก็พากันแวดล้อมเยี่ยมเยือนก๋งจู๊ ๆ กราบทูลพระราชบิดาว่า เห้ง เจียได้ปราบปรามปีศาจด้วยกำลังอิทธิฤทธิ์เข้มแขง จึงได้รอดชีวิตมาเห็นพระพักตร์พระราชบิดาและหมู่พระญาติ
 เจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้เห็นพระราชธิดากลับมาได้แล้ว ก็มีพระทัยยินดีเบิกบานยิ่งนัก จึงตรัส ถามว่าอันปีศาจคือดาวกุยแชแปลงกายมา นางก่งจู๊คือนางฟ้าเง็กนึ้งนั้น อยู่ในตำหนักพีเฮียงบนสวรรค์จุติลงมา โดยมีนิสัยต่อกัน จึงได้เป็นภรรยาสามีกันฉะนั้นหรือ เห้งเจียก็ทูลว่าเป็นดังนั้น แลบัดนี้เง็กเซียงฮ่องเต้ได้ปรับโทษ กุยแชถอดเสียจากหมู่ดาวให้ไปอยู่กับท้ายเสียงเล่ากุนเป็นพนักงานสุมไฟ พระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊กเมื่อได้ทรงฟังเห้ง เจียดังนั้น ก็มีความขอบคุณเห้งเจียยิ่งนัก จึงรับสั่งให้เห้งเจียไปดูพระอาจารย์
 ขุนนางทั้งหลายก็ช่วยกันหามกรง เหล็กที่ใส่เสือเฒ่านั้นออกมาแล้วให้ถอดซี่กรงนั้นออก คนอื่น ๆ เห็นพระถังซัมจั๋งเป็นเสือเฒ่า แต่เห้งเจียผู้เดียวเห็น พระอาจารย์ว่าถูกเวทมนต์ของปีศาจ แต่ปากแข้งขาไหวติงไม่ได้ เห้งเจียเห็นดังนั้นหัวเราะแล้วจึงพูดว่า พระอาจารย์ ทำไมไม่แก้ไขเล่า ท่านเห็นว่าเราเป็นคนดุร้ายไล่ให้เรากลับไปเสีย เหตุใดท่านจึงเป็นรูปร่างน่าเกลียดน่ากลัวดังนี้เล่า โป๊ยก่ายจึงพูดแก่เห้งเจียว่าพี่จะช่วยก็จงช่วยท่านเถิด จะทำพูดล้อเล่นเช่นนี้หาควรไม่
 เห้งเจียว่า สารพัดที่เจ้าจะพูดส่อเสียดยุยง เธอจึงได้เข้าใจว่าเจ้าเป็นคนดี ข้าเป็นคนไม่ดีเจ้าคนดีทำไมจึงไม่ช่วยเธอเล่า ยังมี หน้ามาว่าเราอีกเล่า เดิมมาเราได้บอกว่าจะไปแก้แค้นปีศาจที่ด่าเรา เราก็ได้แก้แค้นสมประสงค์แล้ว เราจะกลับไปยังถ้ำ ของเราตามเดิม ซัวเจ๋งได้ยินเห้งเจียพูดว่าจะกลับไป จึงคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า พี่ไม่เห็นแก่หน้าพระอาจารย์ก็ จงเห็นแก่พระพุทธเจ้าเถิด แม้ว่าพวกข้าพเจ้าช่วยได้แล้ว ก็จะไม่ต้องไปหาพี่ทางไกลเลย
 เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูด ดังนั้นก็หัวเราะแล้วพยุงซัวเจ๋งให้ลุกขึ้นพูดว่า เหตุใดพี่จึงจะไม่ช่วยเล่าเจ้าจงเอาน้ำมาโดยเร็วเถิด ซัวเจ๋งจึงไปตักน้ำ มาให้เห้งเจีย ๆ รับน้ำมาวางบนมือแล้วร่ายพระเวทคาถา เสกน้ำพ่นพระอาจารย์ก็คลายซึ่งเวทมนต์นั้น พระถังซัม จั๋งก็แปรกลับตามรูปเดิม พระถังซัมจั๋งก็มาจับมือเห้งเจียถามว่า เห้งเจียมาจากไหน ซัวเจ๋งจึงเล่าความตามซึ่งโป๊ย ก่ายได้ไปเชิญเห้งเจียมา แลทั้งได้ช่วยก๋งจู๊ให้กลับเมืองได้แล้ว แลได้คลายเวทมนต์ของปีศาจที่ทำแก่พระอาจารย์ให้ แก่พระอาจารย์ด้วย
 พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้นแล้ว ก็มีความยินดีแลขอบคุณเห้งเจียเป็นอันมาก จึงพูดว่าสานุศิษย์ได้ พึ่งเจ้าผู้เดียว ถ้าไปถึงไซทีสำเร็จแล้วได้กลับไปยังเมืองใต้ถังแล้ว จะนำความชอบของเห้งเจียขึ้นถวายพระเจ้าถังไท จงฮ่องเต้ให้ทรงทราบว่าเป็นที่หนึ่งในความชอบ เห้งเจียว่าการอันนี้พระอาจารย์ไม่ต้องพูด ข้าพเจ้าก็คงรู้พระคุณของ พระอาจารย์อยู่เอง ฝ่ายเจ้าเมืองเชียงโป๊ก๊ก จึงสั่งให้จัดโต๊ะเครื่องแจเลี้ยงทั้งอาจารย์และศิษย์ แล้วให้นำเงินทองสิ่งของ ดีต่าง ๆ มาถวายพระถังซัมจั๋งเป็นรางวัล พระถังซัมจั๋งกับศิษย์ก็มิได้รับ กลับถวายคืนไว้เป็นพระราชทรัพย์ไปตาม เดิม ครั้นเสร็จธุระแล้ว พระถังซัมจั๋งกับศิษย์สามคนก็คำนับลาพระเจ้าแผ่นดินเชียงโป๊ก๊ก ๆ กับขุนนางก็พากัน ตามส่งจนกระทั่งประตูเมือง