Translate

06 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 33 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   หน้าต่อไป 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๓๘) บัดเดี๋ยวก็ถึงพระนคร เข้าประตูเมืองเลยไปยังประตูหลังวังใน เข้าไปในวัง    เวลานั้น นางฮองเฮ้าออกมานั่งอยู่ที่หอเย็น มีสาวใช้เฝ้าอยู่ด้วยสองสามคน นางกำลังคร่ำครวญโศกศัลย์อยู่ โดยเหตุที่ทรงพระสุบินฝันไปถึงพระราชสามี
 พอไท้จื๊อเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับร้องเรียกว่าพระมารดา ฮองเฮ้าเงยพระพักตร์แลไปเห็นไท้จื๊อ ออกพระโอฐว่าลูกแม่ดีแล้วดีแล้ว สองสามปีแล้วไม่ได้พบเห็น แม่คิดถึงเป็นที่สุด วันนี้ทำไมจึงมาหาแม่ได้เล่า เขาไม่ห้ามปรามดอกหรือ ไท้จื๊อเคารพแล้วพูดว่า ลูกมีธุระจะพูดด้วยพระมารดา ขอจงบอกคนเหล่านี้ให้ออกไปเสียก่อน ฮ่องเฮ้าจึงบอกให้สาวใช้เหล่านั้นออกไปเสียแล้ว ไท้จื๊อพูดว่าขอพระมารดาได้โปรดยกโทษให้ลูกเถิด ลูกจึงจะพูดได้ ฮ่องเฮ้าตรัสว่าแม่ลูกกันทำไมไม่กล้าพูดเล่า เจ้าจงพูดไปเถิด ไท้จื๊อถามว่า พระมารดาอยู่กินอบรมกับพระราชบิดาเมื่อสามปีก่อนกับสามปีหลังนั้นมีความผิดแปลกพระทัยอย่างไรบ้าง
   ฮ่องเฮ้าได้ฟังไท้จื๊อทูลถามดังนั้น ให้หวาดหวิวในพระทัยตกตะลึงไปเป็นครู่ จึงลุกมากอดไท้จื๊อไว้กับอก น้ำพระเนตรตกลงพราก ๆ จึงค่อยกระซิบแต่เบาๆ ถามว่า นี่ลูกไปเอาเหตุการณ์ที่ไหนมาถามแม่ แม้ว่าเจ้าไม่ถามแม่ ถึงแม่ตายไปเมืองนรกแล้ว ความเรื่องนี้ก็ไม่แจ่มแจ้งว่ากระไรเลย แม่จะเล่าให้พ่อฟัง เมื่อสามปีก่อนจะอยู่กินด้วยกันอบอุ่นสุขุมดี เมื่อสามปีหลังมาจนบัดนี้ ความสัมผัสถูกต้องรู้สึกว่าเย็นดุจน้ำแข็งแลกระด้างขัดแข็ง ถามเธอ ๆ ก็บอกว่าอายุมากกำลังก็ถอยไป
   ไท้จื๊อเมื่อได้ฟังพระราช มารดาเล่าให้ฟังดังนั้นก็เคารพจะลาไป ฮ่องเฮ้าจึงยึดไว้ถามว่ามีกิจธุระจะทำไมหรือ เหตุใดไม่พูดให้หมดความจะด่วนไปข้างไหน ไท้จื๊อทูลว่าลูกไม่อาจอยู่ช้า ด้วยเมื่อเช้านี้มีรับสั่งให้ออกไปป่าไล่เนื้อ บังเอิญไปพบพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ชื่อเห้งเจีย จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เห้งเจียมีฤทธาอานุภาพอาจปราบภูตผีปิศาจได้ เหตุด้วยพระราชบิดาตายอยู่ที่ในสวน ที่บ่อโป๊ยกั๊กลิวลี่แจ๊ ช่วนจินแปลงเป็นพระราชบิดาชิงราชสมบัติตั้งตั้วอยู่บัดนี้ เมื่อคืนนี้ในเวลาสามยามพระราชบิดาไปเข้าฝัน เชิญเธอทั้งสองมายังเมืองจับปีศาจ
   พระราชบิดาให้หยกขาวแก่พระถังซัมจั๋งไว้เป็นสำคัญ ลูกก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ จึงได้เข้ามาถามพระมารดาก็ได้ทราบเหตุการณ์ดังนี้ จึงแน่ใจว่าปีศาจจริงไม่สงสัย จึงส่งหยกขาวให้พระราช มารดาทอดพระเนตร ฮ่องเฮ้ารับหยกมาดูก็รู้แน่ว่า เป็นของพระราชสามีก็ทรงพระกันแสง บอกไท้จื๊อว่า เมื่อคืนนี้เวลาย่ำรุ่งพระบิดาของเจ้ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่นี้ เปียกน้ำทั้งพระองค์ บอกว่าเธอสิ้นพระชนม์แล้ว วิญญาณจิตของเธอไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยมาปราบปรามปีศาจ เธอเล่าบอกให้ฟังทุกประการ จำได้บ้างลืมไปเสียบ้าง
   เวลานี้กำลังตรึกตรองอยู่ บังเอิญเจ้าเข้ามาพูดดังนี้ แลทั้งได้เพชรนั้นมาด้วย แม่จะขอเอาเพชรนั้นไว้ก่อน ลูกจงไปเชิญพระถังซัมจั๋งเข้ามา จะได้คิดอ่านกำจัดปีศาจนั้นเสีย เพื่อได้รู้ความเท็จจริง แลจะได้แก้แค้นแทนบิดาด้วย ไท้จื๊อได้ฟังพระราช มารดาสั่งสอนดังนั้น ก็รีบทูลลากลับออกมาขึ้นม้า ตรงไปยังวัด (โป๊ลิ่มยี่) ลงจากม้าเข้าไปหาพระถังซัมจั๋งแต่พระองค์เดียว ครั้นถึงจึงคำนับเห้งเจีย ๆ จับมือไท้จื๊อถามว่า พระองค์ไปพบพระราช มารดาได้ความประการใด
   ไท้จื๊อแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้ถามพระราช มารดาแล้ว พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟังไม่ผิดเพี้ยนตรงกันทุกประการตามที่ท่านเล่าบอก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า การก็นานมาถึงสามปีแล้วก็เงียบสงบอยู่ไม่มีผู้รู้เหตุ ขอไท้จื๊ออย่ารีบร้อนจะเสียการ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะคิดกำจัดปีศาจนั้นให้จงได้ เวลานี้ก็จวนค่ำแล้ว พระองค์จงรีบกลับไปเมืองก่อน คอยรอเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไป
   ไท้จื๊อพูดว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกมาไล่เนื้อ ในวันนี้ก็ไม่ได้สัตว์สักตัวเดียว จะกลับเข้าไปก็ยากอยู่ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงไว้ให้จวนเวลาอย่างนี้ พูดแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ร่ายพระคาถาเรียกเจ้าที่เจ้าเขาเจ้าป่ามาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียพูดว่า ขอแรงเจ้าเขาเจ้าป่าทั้งหลาย ให้ช่วยไล่สัตว์ป่ามาให้ไท้จื๊อ เธอจะได้กลับเมือง เจ้าทั้งหลายได้ฟังคำสั่งเห้งเจียดังนั้น ต่างก็พากันไปให้พวกผีไล่ประเดี๋ยวใจ สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็วิ่งมาเป็นอันมาก เจ้าทั้งหลายก็มาคำนับบอกเห้งเจีย เห้งเจียก็ร่ายพระคาถาให้สัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียก็กลับลงมาบอกแก่ไท้จื๊อให้ไปจับสัตว์ป่าที่ข้างหน้านั้น
   ไท้จื๊อจึงคำนับพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียแล้ว สั่งให้พวกทหารยกกลับเข้าเมือง ไท้จื๊อขี่ม้าขับพลเดินมาประเดี๋ยวหนึ่ง แลไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ป่ายืนอยู่มากมายหลายตัว พวกพลก็ดีใจพากันเข้าจับได้ต่างคนต่างร้องสรรเสริญว่า ไท้จื๊อมีบุญมากเทพยดาจึงไล่สัตว์มาให้ดังนี้ พวกเหล่านั้นก็หาได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเห้งเจียไม่ พวกพลทหารพากันร้องเพลงรื่นเริงมาตามทาง
   ฝ่ายเห้งเจียพระถังซัมจั๋งครั้นไท้จื๊อกลับไปแล้ว ก็พากันกลับเข้าไปพักยังหอพระธรรม ประมาณยามเศษเห้งเจียมีธุระในจิตก็หลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นมาเดินมาข้างเตียงพระถังซัมจั๋ง เรียกว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามีธุระอย่างหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่ามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียว่าเมื่อกลางวันนี้พูดอวดแก่ไท้จื๊อว่า อันจะจับปีศาจนั้นดุจล้วงของในถุง ข้าพเจ้ามานึกขึ้นได้ว่า เห็นจะเป็นการยากมากที่สุดเสียแล้ว
   พระถังซัมจั๋งถามว่ายากด้วยเหตุอย่างไร เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ก็รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น หาได้รู้การผันแปรอะไรไม่ คำโบราณท่านว่าแม้จับโจรก็ต้องดูท่วงที ปีศาจนี้มันแปลงทำเป็นพระเจ้าแผ่นดินสามปีแล้ว ได้ร่วมสัมผัสสนมนางใน ขุนนางซ้ายขวาก็เป็นที่รื่นเริงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าจับได้ปีศาจนั้นก็จะไม่มีข้ออันใดคาดโทษลงได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมจึงจะไม่คาดโทษลงได้
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจจะพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีผิดอะไร มาจับเขาเอาโทษอะไรมาชี้แจงให้เห็นเท็จและจริง หากเขาจะพูดอย่างนี้เราจะเอาอะไรมาสำแดงเล่าดูไม่ชอบกล
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สุดแต่เห้งเจียจะคิดอ่านให้การสำเร็จได้ก็แล้วกัน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้คิดอุบายไว้อย่างหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังวิตกด้วยพระอาจารย์มีความป้องกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่าป้องกันด้วยเหตุอะไร
   เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายมีความถือตัวว่า อาจารย์มีความลำเอียงเข้าแก่เธอมาก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมไม่ลำเอียง เห้งเจียจะต้องประสงค์อย่างไรหรือ
   เห้งเจียจึงพูดว่าจะต้องทำการให้ทันในเวลานี้ คือข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายจะต้องเข้าไปในเมืองโอเกยก๊ก แลเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บ่อ (โป๊ก๊กลิวลี่แจ๊) ค้นหาซากศพเอามา พรุ่งนี้เราพากันเข้าไปในเมืองทำเป็นจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แม้เห็นปีศาจได้เข้าไปใกล้ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะตีด้วยกระบอง แม้ว่าปีศาจจะมีความโต้ตอบว่ากระไร เราเอาศพนั้นให้เธอดู แลพูดว่า มึงฆ่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วแปลงตัวปลอมเข้านั่งเมือง แล้วให้ไท้จื๊อออกมาร้องไห้ดูศพพระราชบิดา แลให้ฮ่องเฮ้าออกมาพิจารณาดูพระศพพระราชสามี และให้ข้าราชการดูพระศพเจ้านายของตัว ต้องกระทำอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงจะลงมือกระทำได้ถนัด เพราะเรามีสิ่งสำคัญเป็นพยานปรากฎมั่นคงแล้ว
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นึกยินดีอยู่ในใจจึงพูดว่า ซึ่งเห้งเจียคิดอ่านดังนี้ก็ดีแล้ว วิตกแต่โป๊ยก่ายจะไม่ยอมไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าอาจารย์คอยป้องกัน ทำไมพระอาจารย์จึงรู้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่ยอมไปเล่า แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ลำเอียงแล้ว อย่าว่าแต่โป๊ยก่ายคนเดียวเลย ให้อีกเก้าโป๊ยก่ายข้าพเจ้าก็มีปัญญาคิดให้ตามหลังข้าพเจ้าไปได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตามใจเห้งเจียเห็นชอบเห็นควรอย่างใดก็จงทำเถิด เห้งเจียจึงเดินไปริมเตียงโป๊ยก่าย ร้องเรียกว่าโป๊ยก่ายจงลุกขึ้นเถิด โป๊ยก่ายขี้เซาไม่ลุก เห้งเจียเปิดมุ้งดึงใบหูให้ลุกขึ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน จะมาหยอกอะไรกันอยู่อีก นอนเอากำลังไว้พรุ่งนี้จะให้เดิน เห้งเจียพูดว่าไม่ใช่หยอกเล่น มีธุระสำคัญจะใคร่ให้โป๊ยก่ายไปด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า มีธุระอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า น้องไม่ได้ยินหรือเมื่อกลางวันนี้ไท้จื๊อเธอมาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ปิศาจนั้นมีของวิเศษวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองก็คงจะไม่ทันต่อสู้กับปิศาจ แต่วิตกว่าปีศาจมีของวิเศษ ก็จะกลับให้ร้ายแก่พวกเรา จำเป็นพวกเราจะต้องลงมือเสียก่อน ลักเอาของวิเศษนั้นมาเสียจะมิดีหรือ
โป๊ยก่ายว่า นี่พี่จะหลอกให้ข้าไปเป็นโจรโขมยด้วยหรือ ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปด้วยไม่ได้ หากว่าไปกับพี่แม้ได้ของวิเศษมาข้าพเจ้าจะเอาเป็นของข้าพเจ้า พี่จะยอมให้ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าพี่จะยอมให้ของวิเศษแก่น้อง ตัวพี่จะขอแต่ชื่อเสียงเท่านั้น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ผุดลุกขึ้นหยิบเอาเสื้อใส่เสร็จแล้ว ก็พร้อมกันค่อย ๆ เปิดประตูออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เหาะไปยังเมืองโอเกยก๊ก
   เวลานั้นตีกลองยามได้สองยาม โป๊ยก่ายเห้งเจียก็ลงเดินเข้าไปยังกำแพงชั้นในเผ่นขึ้นไปบนกำแพงแล้วโดดลงไปยังพื้น ก็พากันเดินเที่ยวค้นหาสวนดอกไม้ เห้งเจียเดินมาก่อนเห็นประตูลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้ลงมือ โป๊ยก่ายเอาคราดสับกระชากประตูก็หักพังล้มลงไปสิ้น
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่ 2)
เห้งเจียกระโดดเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายตกใจยึดเห้งเจียไว้ พูดว่าเราเป็นขโมยทำอึกกระทึกอย่างนี้ เขารู้เขามิจับตัวเราไปชำระหรือ จะไม่ถึงความตายดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่รู้ น้องจงพิเคราะห์ดูในสวนนี้ มีต้นผลไม้ดอกไม้ปลาดต่างๆ ดูงดงามหาที่เปรียบมิได้ โป๊ยก่ายว่าไปสนุกทำไมกับของเหล่านั้น รีบไปธุระของเราให้เสร็จจะได้กลับ
   เห้งเจียจึงคิดขึ้นได้ว่า พระอาจารย์ได้ฝันเห็นว่า ที่ใต้ต้นกล้วยนั้นมีบ่อ แลไปก็เห็นต้นกล้วยมีอยู่ต้นหนึ่ง เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า ของวิเศษนั้นอยู่ใต้ต้นกล้วยนี้ จึงรีบลงมือขุดเถิด โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับลงกระชากต้นกล้วยล้มลงแล้วค่อย ๆ เอาปากคุ้ยดินขึ้นประมาณลึกสักสามสี่ศอก ก็แลเห็นมีแผ่นศิลาใหญ่ปิดขวางอยู่ โป๊ยก่ายดีใจพูดว่า พี่เห้งเจียเห็นจะมีของวิเศษจริง จึงมีแผ่นศิลาปิดอยู่อย่างนี้ เห้งเจียบอกว่าจงงัดเอาแผ่นศิลานั้นขึ้น โป๊ยก่ายก็เอาปากคุ้ยงัดแผ่นศิลานั้นขึ้นแล้ว เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นมาเป็นวาววับ
   โป๊ยก่ายดีใจว่าเป็นของวิเศษ ครั้นพิจารณาดูก็เป็นบ่อ ด้วยแสงพระจันทร์ส่องลงไปจึงได้มีแสงระยับขึ้นดังนั้น โป๊ยก่ายว่าถ้ารู้ว่าเป็นดังนี้ เราได้ติดเอาเชือกมาด้วยก็จะดีได้ลงไป เห้งเจียถามว่าจะลงไปหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะลงไป เห้งเจียว่าถ้าจะลงไปก็ผลัดเสื้อกางเกงเสีย พี่จะทำให้ลงไปได้โป๊ยก่ายก็ผลัดเสื้อกางเกง เห้งเจียก็เอากระบองวิเศษออกร้องให้ยาว กระบองก็ยาวออกแปดเก้าศอก บอกโป๊ยก่ายให้กอดหัวกระบอง แล้วเห้งเจียก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปในบ่อ ครั้นถึงหลังน้ำเห้งเจียร้องถามว่า เห็นของวิเศษหรือยัง โป๊ยก่ายว่าของวิเศษไม่เห็น ๆ แต่น้ำเท่านั้น
   เห้งเจียว่าของวิเศษนั้นจมอยู่ก้นบ่อ จงดำลงไปเอาขึ้นมา โป๊ยก่ายถนัดในการน้ำ เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ปล่อยจากกระบองดำมุดลงไป บ่อนั้นลึกลงไปยังบาดาล โป๊ยก่ายดำลงไปทีหนึ่งก็ลืมตาแลดูเห็นมีตึกสูง มีหนังสือจดไว้ที่หน้าประตูว่าตำหนัก (จุ๊ยเจียเกง) โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่านี่เราออกท้องทะเลใหญ่ ด้วยเดิมโป๊ยก่ายก็มิได้รู้ว่าบ่อนั้นทะลุไปถึงบาดาล บังเอิญบริวารพวกพระยานาคเที่ยวตระเวนตามชายทะเล มาพบโป๊ยก่ายเข้าก็รีบไปบอกแก่ฮั้ยเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งปากยาวหูใหญ่แหวกน้ำเดินมาขอใต้อ๋องได้ทราบ
   เล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เห็นทีจะเป็นพ่องง่วนโซ่ยเมื่อวานนี้ เทพารักษ์ได้มานำเอาวิญญาณจิตของเจ้าเมืองโอเกยก๊กไปหาถังซัมจั๋ง บัดนี้จะมาถึงดอกกระมัง จึงเดินออกมาหน้าตำหนักแลเห็นโป๊ยก่าย จึงเรียกว่าพี่พ่องง่วนโซ่ยเข้ามาพักข้างในก่อน โป๊ยก่ายแลไปเห็นเล่งอ๋องก็ค่อยดีใจด้วยคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
   โป๊ยก่ายเข้าไปข้างในตัวยังเปียกน้ำอยู่ จึงคำนับแล้วเข้านั่ง เล่งอ๋องถามว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรักษาพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมท่านจึงลงมาถึงที่นี่ได้ โป๊ยก่ายตอบว่า อันความจริงก็จริงดังท่านถาม แต่พี่ซึงหงอคงให้ข้าพเจ้าลงมาเอาของวิเศษอะไรที่ท่านก็ไม่รู้ เล่งอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษอะไรที่ไหนมาให้ ไม่เหมือนท่านเล่งอ๋องตามมหาสมุทรใหญ่ เธอเหาะเหินเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ จึงจะมีของวิเศษ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แต่ละวันก็มิได้เห็นจะเอาของวิเศษที่ไหนมา
   โป๊ยก่ายพูดว่าท่านเล่งอ๋อง อย่าหลีกเลี่ยงไปเลย แม้มีแล้วจงเอาออกมาเถิด เล่งอ๋องพูดว่ามีก็มีอยู่สิ่งหนึ่งแต่เอาออกไม่ได้ ท่านง่วนโซ่ยไปดูเอาเองเถิด โป๊ยก่ายว่าดีแล้วๆ โป๊ยก่ายเดินตามเล่งอ๋องไปดู ครั้นถึงที่ห้องหอระเบียง เล่งอ๋องยกมือชี้ว่านี่แลของวิเศษแล้ว โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียง ตัวยาวหกศอก เล่งอ๋องพูดว่านี่แลคือของวิเศษ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นเป็นซากศพคนตาย บนศรีษะสวมหมวกอย่างกษัตริย์ พร้อมเครื่องแต่งตัวล้วนแต่เครื่องกษัตริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ของวิเศษอย่างนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เป็นปิศาจ เอามากินเสียกระดูกกองเท่าภูเขา อย่างนี้จะว่าของวิเศษอะไรได้
   เล่งอ๋องพูดว่า ท่านง่วนโซ่ยยังไม่ทราบ นี่แลคือพระเจ้าแผ่นดิน (โอเกยก๊ก) ตกลงมาในบ่อนี้ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าเอาแก้ววิเศษใส่ปากไว้ รูปกายจึงยังไม่เน่าเปื่อยพอง อยู่มาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเอาขึ้นไปให้หงอคงบางทีจะหายาวิเศษแก้ ฟื้นเป็นขึ้นได้แล้ว สารพัดของวิเศษท่านจะปราถนาอย่างไรก็คงได้ทั้งสิ้น
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้ากระนั้นท่านเล่งอ๋องกับข้าพเจ้าช่วยกันหามออกไป ท่านจะให้เงินข้าพเจ้าหรือ เล่งอ๋องพูดว่าความจริงนั้นเงินของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาให้ท่านเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าท่านใช้คนทำไมไม่มีเงินเล่า ถ้าไม่มีเงินข้าพเจ้าก็ไม่หามละ
   เล่งอ๋องพูดว่าท่านไม่หามก็เชิญออกไปเถิด โป๊ยก่ายก็เดินกลับออกไป เล่งอ๋องจึงเรียกบริวารสองคนให้หามศพนั้นออกไปนอกประตูแล้ว เอาแก้ววิเศษบังน้ำ โป๊ยก่ายหันหน้ามาดูก็ไม่เห็นห้องหอ เอามือไปคลำดูก็ถูกซากศพก็ตกใจ รีบโผล่ขึ้นบนหลังน้ำ เกาะอยู่ข้างริมบ่อร้องเรียกว่าพี่เห้งเจีย ส่งไม้กระบองลงมารับข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียร้องถามลงไปว่า มีของวิเศษหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้างก้นนั้นมีพระยานาคบอกให้ข้าพเจ้าหามศพคนตายขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมหาม เห้งเจียบอกว่านั่นแลของวิเศษแล้ว ทำไมจึงไม่หามขึ้นมาเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นซากศพเปรอะเปื้อนข้าพเจ้าจะหามอย่างไรได้ เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่หามศพขึ้นมาข้าจะกลับไปวัดนอนให้สบายใจดีกว่า
   โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า พี่อย่าเพิ่งไปคอยข้าพเจ้าก่อนจะกลับไปหามขึ้นมา โป๊ยก่ายดำลงไปคลำค้นพบแล้วก็พยุงยกขึ้นวางบนหลังแบกกลับขึ้นมา โผล่พ้นน้ำแล้วจึงร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียส่งกระบองลงมารับทีเถิด เห้งเจียก็หย่อนกระบองลงไป โป๊ยก่ายก็อ้าปากกัดกระบอง เห้งเจียก็ค่อย ๆ ลากขึ้นมา โป๊ยก่ายก็วางซากศพนั้นลง เอาเสื้อผ้าผลัดเห้งเจียก็มาพิจารณาดู เห็นรูปกายก็ยังสดใสดุจคนเป็น จึงหันหน้ามาพูดแก่โป๊ยก่ายว่า คนนี้ตายได้สามปีแล้วทำไมจึงไม่ทรุดโทรมเน่าเปื่อย โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่รู้ที่ใต้บ่อนี้มีเล่งอ๋อง บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เธอได้เอาแก้วมณีวิเศษใส่ไว้ในปากศพ รูปกายจึงมิได้ทรุดโทรม เห้งเจียว่าเหมาะแล้ว ๆ ข้อหนึ่งเธอยังมิได้แก้แค้น ข้อสองจะให้หากเราสำเร็จคิด โป๊ยก่ายจงรีบแบกไปเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าจะให้แบกไปที่ไหน เห้งเจียว่าแบกกลับไปหาอาจารย์ โป๊ยก่ายบ่นว่าเรากำลังนอนดี ๆ ถูกอ้ายหัวลิงมันหลอกว่ามีของวิเศษ แล้วมิหนำซ้ำใช้ให้เราแบกคนตายไปอีก เราไม่แบกไปแล้ว เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่แบกไป ก็จงนอนลงให้เราตีเสียยี่สิบที โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ไม้กระบองใหญ่แม้จะตียี่สิบที ก็จะเหมือนพระเจ้าแผ่นดินนี้เป็นแน่ เห้งเจียพูดว่าแม้เจ้ากลัวตาย ก็จงรีบแบกศพนี้ไปโดยเร็วเถิดข้าจะได้ไม่ตี โป๊ยก่ายก็เข้าพยุงศพขึ้นบนหลังแบกออกจากสวนดอกไม้ 
   เห้งเจียก็ร่ายพระคาถา บันดาลเป็นม้วนลมเป่าหอบเอาโป๊ยก่ายข้ามพ้นกำแพงเมืองออกมา เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ลงยังพื้นค่อยๆ เดินไป โป๊ยก่ายเดินพลางนึกแค้นใจว่าอ้ายลิงนี้มันทรกรรมกู กูกลับไปถึงต่อหน้าพระอาจารย์จะแก้แค้นมันบ้าง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงวัด เดินเข้ามาที่หน้าหอ เอาศพวางลงที่หน้าประตู แล้วร้องเรียกว่าอาจารย์ลงมาดูเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่าดูอะไร โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ทราบว่าปู่ย่าตายายหรือทวดอะไรของพี่เห้งเจีย ใช้ให้ข้าพเจ้าแบกมานี่แล้ว
   พระถังซัมจั๋งก็รีบเปิดประตูออกมาดู เห็นรูปพระมหากษัตริย์ยังสดใสอยู่มิได้แปรปรวน ดูดุจยังมีชีวิตอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนี้ก็เกิดคาามสังเวชพูดว่า ไม่รู้พระองค์ทำกรรมเวรไว้อย่างไรจึงให้เขาคิดฆ่าได้อย่างนี้ แลทั้งบุตรภรรยาและขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่มีใครรู้เหตุผลคิดดูก็น่าสงสาร พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงพร่างพราย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเธอก็มิใช่วงศาคณาญาติของอาจารย์ ทำไมจึงได้ร้องไห้ร้องห่มเอาจริงเอาจังอย่างนั้น
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า เราบวชเป็นสมณะต้องมีจิตกรุณาปราณีจึงจะควร โป๊ยก่ายทำไมจึงมีจิตคัดง้างอย่างนั้นเล่า
   โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ใช่คัดง้าง คือเหตุที่พี่เห้งเจียได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจะแก้ให้ฟื้นขึ้นอย่างเดิม
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า แม้ฝีมือประสิทธิ์แก้ให้พระมหากระษัตริย์กลับเป็นมาได้ จะสร้างกุศลสักเจ็ดวันก็สู้ไม่ได้ 
   เห้งเจียพูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไปเชื่ออ้ายชาติหมูกินรำอย่างนั้นเล่า อันธรรมดาคนตายแล้วได้เจ็ดวันก็ดี หรือเดือนหนึ่งก็ดี ในมนุษย์โลกก็สิ้นกรรมเวรแล้ว ย่อมเคลื่อนไปปฏิสนธิต่อเข้าแห่งภพหน้าถือเอากำเนิดมีวิญญานอีก ในภพใดภพหนึ่ง ก็นี่ตายมาได้ถึงสามปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คืนกลับเป็นมาได้เล่า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เห็นจะแก้ไม่ได้
   โป๊ยก่ายยังไม่หายโกรธ พูดว่าอาจารย์ถูกเธอหลอกแล้ว ท่านลองภาวนาคาถาดูทีเธอจะแก้ได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งก็เชื่อจึงภาวนา เห้งเจียก็ปวดศรีษะนัยน์ตาทะเล้นออกมาเหลือจะทนได้ จึงร้องขอพระอาจารย์ว่า ท่านจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะแก้อย่างไร จงบอกให้เรารู้
(บทที่ ๓๙)
   เห้งเจียตอบว่า จะต้องไปหาพระยามัจจุราชเงียมกุน รับวิญญาณมาจึงจะแก้ได้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าเชื่อ เธอพูดว่าไม่ต้องไปหาเงียมกุนในมนุษย์โลกแก้จึงจะเห็นคุณ พระถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายก็ยิ่งภาวนา เห้งเจียก็รับว่าจะรักษาในมนุษย์โลกนี้แหละ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าหยุดภาวนาไปเถิด เห้งเจียด่าว่าอ้ายโป๊ยก่าย อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงยุให้อาจารย์ภาวนาให้กูได้ความเจ็บ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียแกซิรู้จักแกล้งข้าพเจ้า ๆ จะไม่รู้จักแกล้งแกบ้างหรือ เห้งเจียจึงพูดว่าอาจารย์จงหยุดเถิด รอให้ข้าพเจ้าไปหายามาแก้เถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าจะไปหายาที่ใหน เห้งเจียบอกว่าจะไปหายาบนสวรรค์ คือจะไปหาท้ายเสียงเล่ากุน ขอยาวิเศษสักเม็ดหนึ่ง เรียกวิญญาณเข้ารูปได้ ก็จะฟื้นขึ้นยังเดิม พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า เห้งเจียจงรีบไปหายาเถิดอย่าได้ช้าเลย เห้งเจียว่าเวลานี้ก็ได้สามยามมาแล้ว จะไปมาก็พอสว่างพอดี คนก็กำลังนอนเงียบสงัด จะได้ใครร้องไห้ศพสักคนหนึ่งจึงจะดี โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไม่ต้องพูด การร้องไห้เป็นธุระของข้าพเจ้าจะร้องเอง เชิญพี่ไปหายาเถิดอย่าเป็นห่วงเลย เห้งเจียพูดว่าไหนเจ้าลองร้องให้ข้าฟังเป็นตัวอย่างดูทีหรือจะได้หรือไม่ โป๊ยก่ายก็อ้าปากร้องไห้ไม่หยุดสะอึกสะอื้นคร่ำครวญดุจคนร้องไห้หน้าศพจริง ๆ 
   โป๊ยก่ายร้องจนผู้ฟังเกิดความสมเพศน้ำตาออก พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายคร่ำครวญก็เกิดสังเวชสลดจิตจนน้ำตาไหล เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า ร้องไห้อย่างนี้ดีแล้ว จงร้องไปอย่าหยุด แม้ว่าไม่ร้องจะเฆี่ยนยี่สิบที โป๊ยก่ายพูดว่าพี่จงไปเถิด พนักงานร้องไห้อยู่กับข้าพเจ้าเอง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ น่ำทีหมึง ชั้นดุสิต เข้าไปยังวิมานท้ายเสียงเล่ากุน เดินเข้าไปในประตู เวลานั้นท้ายเสียงเล่ากุน กำลังปรุงยาอยู่ในห้องยา เห็นเห้งเจียเข้ามา ร้องสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายว่าจงระวังยา อ้ายหัวขโมยยามาแล้ว
   เห้งเจียคำนับแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนถามว่า อ้ายลูกลิงทำไมไม่ไปตามพระถังซัมจั๋ง มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงเล่าเหตุซึ่งพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้เล่ากุนฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอความกรุณา ขอยาวิเศษที่เรียกวิญญาณให้คืนได้สักพันเม็ด จะได้เอาไปแก้พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้กลับเป็นมาตามเดิม
   เล่ากุนพูดว่ายาวิเศษจะขอไปพันเม็ดนั้นจะเอาไปกินเล่นต่างข้าวหรือ ยานั้นไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า โปรดให้ทานสักร้อยเม็ดก็เอาเถิด ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่าไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียก็ลุกขึ้นเดินออกไป เล่ากุนหวนคิดขึ้นมาว่าเห็นจะไม่ได้การ ด้วยอ้ายลิงตัวนี้ฝีมือดีตัวสำคัญ บอกให้ไปก็ไปเอาง่ายๆ ดังนี้ มันคงจะหวนกลับมาลักเอายาเป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เดินตามออกมา เรียกว่าเห้งเจียจงกลับมาก่อน เราจะให้ยาไปแต่สักหนึ่งเม็ด
   เห้งเจียพูดว่าท่านเล่ากุน แม้ว่ารู้ฝีมือข้าพเจ้าก็จงเอายามาให้เสียดี ๆ เล่ากุนก็เอาน้ำเต้ามาเทยาออก หยิบยาหนึ่งเม็ดส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียรับยานั้นมาแล้วก็คำนับลาเล่ากุนออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังวัดโป๊ลิ่มยี่ ก็ยังได้ยินเสียงโป๊ยก่ายร้องไห้อยู่ไม่หยุด เห้งเจียก็เข้ามายังหอธรรมร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียมาแล้วหรือ ได้ยามาหรือไม่
   เห้งเจียบอกว่าได้มาแล้ว จึงร้องบอกโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องร้องไห้แล้ว จงหลีกไปร้องที่อื่นเถิด แล้วเรียกซัวเจ๋งให้ไปตักน้ำมา ซัวเจ๋งก็เอาถ้วยแก้วไปตักน้ำที่บ่อมาส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็คายยาออกจากปากวางลงในปากศพพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเอาน้ำกรอกลงไป ยาก็ลงไปในท้องบัดเดี๋ยวก็ได้ยินท้องร้อง แต่ร่างกายยังไหวติงไม่ได้ พระถังซัมจั๋งว่าตายมานานแล้วลมกำลังก็สิ้นเสียแล้ว อย่างนี้ถ้าได้ใครต่อลมจึงจะฟื้นได้ โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะต่อให้ พระถังซัมจั๋งว่า ตัวกินสัตว์เมือกคาวยังมีอยู่ลมปากไม่สะอาด ให้เห้งเจียเขาต่อเถิด เพาะเขาบวชเรียนตั้งแต่เล็กมา กินแต่ผลไม้ลมก็สะอาดดี
   เห้งเจียนั่งก้มลงเอาปากจดกับปากศพพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปิดปากออกเป่าลมเข้าไปในคอหอยลมก็แล่นลงไปกระทั่งท้องน้อย สักประเดี๋ยวมือและเท้าก็กระดิกได้ แลร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ก็ผุดลุกขึ้นคุกเข่าอยู่กับพื้นพูดว่าเมื่อคืนวานนี้ยังจำได้ว่า จิตยังเป็นผีมานะมัสการท่าน วันนี้กลับคืนเป็นอย่างมนุษย์โลกแล้ว พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เข้าพยุงประคองให้ลุกขึ้น เชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดจัดของแจมาถวายพระถังซัมจั๋งเวลาเช้า แลไปเห็นพระเจ้าแผ่นดินก็พากันตกใจมีความสงสัย เห้งเจียจึงเดินออกไปบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสงสัยเลย นี่คือพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เป็นเจ้านายของท่านทั้งหลาย เมื่อสามปีก่อนปีศาจมันฆ่าตาย เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าช่วยชีวิตกลับคืนมาได้วันนี้จะเข้าไปในเมือง ชำระให้รู้เท็จและจริง แม้มีเครื่องแจขอให้พวกข้าพเจ้ากินสักมื้อหนึ่ง จะได้เข้าไปในเมือง พวกพระสงฆ์เมื่อได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็จัดเครื่องแจมาเลี้ยง เห้งเจียจึงบอกให้เจ้าเมืองถอดเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นออกเสีย ขอผ้าขาวสมภารมาสองผืนผลัดนุ่งห่มเป็นตาปะขาวดาบส
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าท่านแต่งตัวดังนี้ตามพวกข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
   พระเจ้าแผ่นดินคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านเปรียบประดุจบิดามารดาบังเกิดข้าพเจ้ามาใหม่ ท่านไปไหนข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านไปกว่าจะหาชีวิตไม่ เห้งเจียว่าท่านไม่ต้องไป เมื่อไปในเมืองกำจัดปีศาจแล้ว ท่านจะได้อยู่รักษาบ้านเมืองและราษฎรต่อไป พวกข้าพเจ้าก็จะขอลาไปไซที พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมกันออกจากวัด ตรงมายังเมืองโอเกยก๊ก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดห้าร้อยรูป ก็เดินตามออกมาส่งจนสิ้นเขตอาวาส เห้งเจียจึงพูดแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายจงกลับยังกุฎิวิหารเถิด อย่าติดตามมาให้อื้อฉาวเลยจะทำให้เสียการไป จงรักษาแต่เครื่องของพระมหากษัตริย์ไว้ให้จงดี เมื่อข้าพเจ้ากำจัดปีศาจแล้ว ท่านทั้งหลายจึงค่อยนำมาถวายเถิด ข้าพเจ้าจะได้เสนอความชอบให้แก่ท่านทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พากันกลับวัดทั้งสิ้น
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินมาได้ครึ่งวันก็ถึงเมืองโอเกยก๊ก ครั้นเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง เห้งเจียจึงเชิญให้อาจารย์ลงจากม้าแล้ว ห้าคนก็พากันเดินเข้าไปในเมือง ครั้นถึงประตูพระราชวังเห้งเจียบอกแก่ขุนนางกรมวังว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอประทานเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านเจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ อันกุศลก็จะมีแก่ท่านด้วย พวกขันทีก็นำความขึ้นกราบทูลทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้นำเข้าไปเฝ้า พวกขันทีจึงออกมาพาพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เข้าไปเฝ้า
   ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง เห็นขุนนางข้าราชการข้ายขวา ยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่เป็นลำดับ เห้งเจียจึงนำพระถังซัมจั๋งมายืนอยู่ข้างหน้าไม่สะดุ้งหวาดหวั่น พวกขุนนางแลเห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจทุก ๆ คนแล้วพูดว่า พระสงฆ์ป่าดงอะไรที่ไหนมาก็ไม่รู้ เข้าเฝ้าเจ้านายก็ไม่มีความเคารพคารวะอย่างนี้ ขุนนางเหล่านั้นพูดยังไม่ทันขาดคำ พญามารก็ถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห้งเจียทำหน้าชื่นพูดว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถังอันเป็นพระมหานครใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ รับสั่งให้ไปเมืองไซที อาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม
   พญามารว่าหนังสืออยู่ที่ไหนจงเอามาดู เห้งเจียจึงเอาหนังสือส่งขึ้นไปถวาย พญามารรับแล้วคลี่ออกอ่าน ถามว่าเดินออกจากเมืองแต่คนเดียวมาตามทางได้ศิษย์อีกสามคน รวมเป็นสี่คนด้วยกัน ก็อีกคนหนึ่งนั้นทำไมไม่มีในหนังสือดูน่าสงสัย คนนั้นคือชื่อแซ่อะไร แลอยู่ที่ไหนจีบมาดูทีหรือ เจ้าเมืองโอเกยก๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จนตัวสั่นสิ้นสติถามเห้งเจียว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียจึงมาจับมือพูดว่าท่านอย่ากลัว ข้าพเจ้าจะรับแทนท่านเอง เห้งเจียจึงเดินขึ้นมาข้างหน้า บอกว่าคนนั้นเป็นใบ้พูดไม่ออก หูก็หนวกไม่ได้ยินเสียงพูด ยันการร้ายดีมูลเหตุของคนนั้น ข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น สามารถจะชี้แจงแทนได้ทุกประการ 
   พญามารพูดว่า ถ้ากระนั้นจงชี้แจงตามความจริงจะได้ไม่ต้องถือโทษโกรธขึง เห้งเจียจึงพูดว่า คนนั้นตั้งแต่เล็กมาจนแก่ หูหนวกเป็นใบ้ จิตใจซึมเซอะบ้านเรือนเคหาก็ป่นปี้ บ้านเกิดเมืองเดิมอยู่ตำบลนี้ เมื่อห้าปีก่อนก็ทรุดโทรมแห้งแล้งไม่มีฝน ชาวชนทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนอดอยาก ครั้งนั้นมีอาจารย์ (ช่วนจิน) มาจากเขาเจงน่ำซัว มีวิชาเรียกลมเรียกฝนได้ ต่อมาช่วนจินเอาคนนั้นผลักลงบ่อแล้ว ชิงเอาราชสมบัติมาจนเท่าบัดนี้ได้สามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ช่วยเป็นกำลังแก้ไขตายแล้วให้กลับเป็นขึ้น จะมาที่ประสาทกิมหลวนเต้ยนี้ เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง จับปีศาจมารร้ายฆ่าเสียแล้ว จะได้ยกขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม
   เมื่อปีศาจมารร้ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น มีความสะดุ้งตกใจกลัวสีหน้าเผือดสลดลงทันที ลุกจากที่เดินมาชักเอาเกี่ยมที่ขุนนางนายทหารออกอันหนึ่งได้แล้ว ก็เหาะหนีขึ้นไปยังอากาศ ซัวเจ๋งโกรธร้องดุจเสียงฟ้าลั่น โป๊ยก่ายก็เคืองเห้งเจียว่า เพราะพูดเอาเรื่องเหล่านั้นมาให้มันรู้ มันจึงร้อนใจอยู่มิได้ จึงดั้นเมฆหนีไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่น้องทั้งหลายอย่าพูดวุ่นวายไป จงให้เชิญไท้จื๊อมาคำนับพระราชบิดาก่อน แล้วให้เชิญฮ่องเฮ้าสนมนางในออกมารับพระราชสามี แลให้ขุนนางทั้งหลายมาคำนับเจ้าเดิมของตนแล้ว จึงค่อยคิดจับปีศาจ ซัวเจ๋งก็จัดการตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศ แลไปทั่วทั้งแปดทิศ ก็เห็นปีศาจหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียก็รีบเหาะตามไป ครั้นใกล้ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน ซึงเห้งเจียมาแล้ว
   ฝ่ายช่วนจินมือถือเกี่ยมหันหน้ากลับมาพูดด้วยเสียงอันดังว่า แม้เราชิงราชสมบัติก็เป็นของผู้อื่นมิใช่ของเจ้า เรียกว่ามิใช่การของตัวเลย เหตุไฉนเจ้าจึงจะมากั้นกางกีดขวางเราเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายมึงช่างตับใหญ่ทำไมไม่นั่งเมืองอยู่เล่า จะหนีกูไปข้างไหนมึงจงมาลองกินกระบองดูสักทีเถิด จะได้รู้รสชาติไว้ว่าจะหวานมันประการใด ช่วนจินได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็โกรธ ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่อสู้กันได้สองสามเพลงปีศาจทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ ก็ล่าถอยหนีกลับเข้าในเมืองไปยังหน้าพระที่นั่ง แล้วแปลงกายเป็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่หน้าบัลลังค์แก้ว
   เห้งเจียก็ไล่ติดตามมาจะตีด้วยกระบอง อ้ายปีศาจแปลงร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก เห้งเจียชักกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก มีถังซัมจั๋งปลอมแลถังซัมจั๋งจริง สองคนดังนี้ก็ย่อมเป็นที่ฉงน เห้งเจียไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า คนไหนเป็นปีศาจแน่ คนไหนอาจารย์ของเราเจ้ารู้จักหรือไม่
   โป๊ยก่ายพูดว่าก็พี่ไล่ติดตามมาข้าพเจ้าเหมือนคนตามืดเห็นมีสองคนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าคนไหนปีศาจ คนไหนอาจารย์ของเรา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร่ายพระคาถาเรียกเทพารักษ์ก็มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าข้าพเจ้าจับปีศาจ ๆ มันกลับแปลงเหมือนพระอาจารย์ยากที่จะรู้ได้ แม้ว่าท่านทั้งหลายเห็นจงเชิญอาจารย์ขึ้นบนแท่นข้าพเจ้าจะได้จับปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจช่วนจินครั้นได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็รีบขึ้นแท่นก่อน เห้งเจียยกกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง พวกเทพารักษ์ก็เข้ากั้นไว้บอกว่าใต้เซีย ปีศาจมันขึ้นแท่นก่อนแล้ว เห้งเจียไล่ขึ้นไปปีศาจก็กระโดดลงจากแท่น มาจับพระถังซัมจั๋งชุลมุนอยู่ในหมู่คน เห้งเจียในใจให้ร้อนรน โป๊ยก่ายยืนหัวเราะอยู่แล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเป็นหมู พี่ก็เหมือนข้าพเจ้าเหมือนกันอันอาจารย์นั้นยากที่จะรู้ได้ ทำไมพี่ไม่จำที่ปวดหัวนั้นเล่า พี่จงเรียกอาจารย์ให้ภาวนา ถ้าปีศาจไม่รู้ก็จะภาวนาบ้างอย่างนี้ก็จะไม่ยากอะไรเลย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอพระอาจารย์จงภาวนาคาถาให้ข้าพเจ้าดูที พระถังซัมจั๋งก็ภาวนาเห้งเจียก็ปวดศรีษะ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ภาวนาบ้างปากบ่นพึมพำเห้งเจียก็ไม่เป็นไร โป๊ยก่ายจึงร้องว่าอ้ายบ่นพึมพำนั้นแลปีศาจแล้ว โป๊ยก่ายก็ชักคราดมาสับลงที่ปีศาจ ๆ ก็เหาะขึ้นบนเวหาหนีไป โป๊ยก่ายร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็ขึ้นตามไปบนเวหา ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองไล่ตามขึ้นไปซ้ายขวาช่วยกันระดมตี เห้งเจียหัวเราะว่าเราจะเข้าประจันหน้ามันก็จะหนีไป จำเราจะขึ้นบนสูงก่อนแล้วกระแทกลงมาจึงจะดี
   คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปบนสูงกว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง จะใคร่เอากระบองกระแทกลงที่ศรีษะปีศาจ แลไปข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นคนอยู่ในกลบเมฆ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าเห้งเจียอย่าเพิ่งลงมือ เห้งเจียแลเห็นพระโพธิสัตว์บุญซู้ เห้งเจียก็เก็บกระบองเสียพนมมือ คำนับถามว่าพระโพธิสัตว์จะไปข้างไหนมา พระบุญซู้ตอบว่าอาตมาจะมาช่วยจับปีศาจ จึงเอากระจกออกจากมือเสื้อ ส่องตรงปีศาจ ปีศาจก็หนีไปไม่ได้ เห้งเจียแลดูในกระจกเห็นรูปร่างดุร้ายจึงถามพระโพธิสัตว์ว่า สิงห์โตตัวนี้ของท่านสำหรับขี่หรือทำไมจึงหนีมาได้
   พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ใช่เธอจะหนีเอง พระเป็นเจ้าใช้มาเพื่อลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ด้วยเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก มีจิตศรัทธารักษาศีลกินแจ พระเจ้าให้อาตมาแนะนำเพื่อให้เธอสำเร็จซึ่งมรรคผล อาตมาแปลงเป็นพระสงฆ์ปุถุชนมาบิณฑบาตข้าวแจ ถามเธอสองสามคำที่เธอไม่พอใจ เธอโกรธก็จับเอาอาตมภาพมัดแช่น้ำไว้ที่หน้าตำหนักแพสามวันสามคืน เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงได้ใช้ให้สิงห์โตตัวนี้มา มาลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้สิ้นเวรสิ้นกรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ได้สำเร็จความคิดแล้ว
   เห้งเจียถามว่า อันทรมานเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กนั้นก็เป็นอันสมควรว่าสิ้นเวรกรรมแล้ว แต่ข้อนี้ผิดประเวณีแก่ฮ่องเฮ้าแลสาวสนมนั้นจะไม่มีโทษส่วนหนึ่งหรือ พระโพธิสัตว์ว่า ส่วนนั้นไม่เป็นไร เพราะเธอเป็นสิงห์โตมา เห้งเจียว่าถ้าดังนั้น ขอพระโพธิสัตว์ได้เรียกกลับคืนไปเถิด พระโพธิสัตว์บุญซู้จึงร้องเรียกว่าอ้ายสัตว์ยังไม่กลับไปหรือ ปีศาจก็แปลงเป็นรูปเดิม พระโพธิสัตว์เอาดอกบัววางสะกดไว้แล้ว ขึ้นบนหลังแล้วก็บันดาลเป็นแสงสว่างเหาะไปยังเขาเง่าท้ายซัว ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสาม เห็นพระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว ก็พากันเหาะกลับลงมาเข้าในพระราชวังใน

05 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 32 ไซอิ๋ว นวนิยาย

       (บทที่ ๓๖) ครั้นเดินไปได้หลายเวลาถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขาใหญ่ขวางอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์มาถามว่า นั้นภูเขาอะไรขวางหน้าอยู่ จะมีอะไรบ้างดอกกระมัง พวกเราจงระวังระไว เกลือก ว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์อยู่บ้าง
   เห้งเจียพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าวิตกคิดวุ่นวายไป จงตั้งจิตให้แน่วแน่ลงเป็นหนึ่ง สารพัดเหตุการณ์ก็จะไม่มีอยู่เอง พระถังซัมจั๋งถามว่า หนทางที่จะไปไซที ทำไมจึงมีความลำบากอย่างนี้ อาตมาจำได้ตั้งแต่ออกจากเมืองมา คิดได้สี่ห้าปีแล้วก็ยังไม่ถึง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ช้าไม่เร็ว ยังมิได้จากประตูเลย ท่านอาจารย์อย่าได้เอามารำพึงเป็นอารมณ์เลย จงวางอารมณ์ตั้งหน้าไปเถิด
   แม้มีความเพียรแล้ว ความประสงค์อย่างใดก็คงสำเร็จดังความปราถนาทั้งสิ้น พูดกันพลางศิษย์กับอาจารย์ก็พากันเดินมาเวลาก็จวนจะใกล้ค่ำ แลไปเห็นที่ริมปากช่องเขา มีตึกห้องหอเรียงระดับกันเป็นแถวๆ พิศดูเห็นเป็นอารามวัดใหญ่ พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไป ครั้นมาถึงประตูใหญ่ แลขึ้นไปเห็นมีอักษรใหญ่ห้าตัวบอกนามวัดว่า (กือเซ็กซูโป๊ลิ้มยี่) คือวัดหลวงสร้าง
   เห้งเจียถามว่าใครจะเข้าไปขออาศัยนอน ถังซัมจั๋งว่า อาตมจะเข้าไปเอง ว่าแล้วก็จัดครองจีวรนุ่งห่มเรียบร้อยเป็นปริมณฑลแล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูชั้นที่หนึ่ง มองเข้าไปก็เห็นมีรูปเจ้ากิมกังบูชาอยู่ เดินเข้าไปในประตูชั้นที่สอง เห็นมีรูปเจ้าท้าวจัตตุโลก หลังรูปเข้าไปในประตูชั้นที่สาม แลไปเห็นมีไม้สนต้นใหญ่สี่ต้น มีต้นหนึ่งมีพุ่มออกสาขาปกคลุมร่มรื่น แลไปข้างนั้นมีพระอุโบสถใหญ่
   พระถังซัมจั๋งสำรวมกริยาแล้ว ก็เดินเข้าไปนมัสการพระพุทธรูป แล้วก็เดินไปทางข้างหลังพระอุโบสถ แลไปเห็นอุบาสกคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อาตมภาพมาจากเมืองไต้ถังจะไปไซที บัดนี้มาถึงตำบลนี้ก็จวนค่ำแล้ว จะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป
 อุบาสกผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ามิใช่เจ้าของวัด เป็นแต่คนกวาดล้าง เจ้าวัดท่านยังมีอยู่ข้างใน ข้าพเจ้าจะเรียนถามท่านก่อน ถ้าท่านยอมให้อาศัย ข้าพเจ้าจะมานิมนต์เข้าไป อุบาสกนั้นรีบกลับเข้าไปบอกว่า ขอท่านได้ทราบข้างนอกมีแขกมาหา ท่านเจ้าอาวาสก็เดินออกมา แลไปเห็นพระถังซัมจั๋ง ก็เกิดโทโสพูดดุอุบาสกว่า คนเช่นนี้เฆี่ยนเสียจึงจะดี ตัวไม่รู้หรือเราเป็นพระสงฆ์ราชาคณะมีเกียรติยศ ถ้ามีขุนนางมีวาสนายศศักดิ์ควรเราจะออกมารับ นี่เป็นแต่พระสงฆ์อาคันตุกะจรมา ทำไมจึงต้องให้เราออกมาเชื้อเชิญเล่า ทั้งพิเคราะห์ดูกิริยาก็เป็นพระสงฆ์เดินหน เวลานี้ก็จวนจะค่ำเธอจะใคร่มาขออาศัยพัก ในกุฎีนี้จะให้เธอเฃ้าอาศัยได้หรือ บอกเธอให้ออกไปตามแต่จะโลดเต้นที่ข้างนอกระเบียงนั้นเถิด ตัวมาบอกทำไม พูดดังนั้นแล้วก็ห้นหน้าเดินกลับเข้าไปข้างใน
   เมื่อพระถังซัมจั๋งได้ฟังพระสมภารพูดดูถูกอย่างนั้น ก็ให้เกิดความโทมนัสจนน้ำตาไหลอาบหน้า จึงบ่นว่าอนิจจังอนิจจา เหมือนคำโบราณว่า ออกจากบ้านแล้วก็มีแต่ความต่ำช้า อาตมานี้อุปสมบทมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ยังหาได้ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่ แลมิได้รู้ว่าชาติปางก่อน ทำผิดแก่ฟ้าแลดินไว้อย่างไรหรือ จึงบันดาลให้เรามาปะพบซึ่งผู้ไม่ชอบธรรมเช่นนี้ สมภารมิให้เราพักก็ตามทีเถิด เหตุไรจะถือตัวแลบอกให้เราไปโลดเต้นข้างระเบียงนั้นเล่า อันตามธรรมเนียมจะต้องมีความเคารพเป็นต้น จำเราจะต้องตามเข้าไปถามดูสักคำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งคิดแล้วก็เดินเข้าไปหน้ากุฎิ แลไปเห็นสมภารกำลังนั่งสีหน้ากำลังโกรธอยู่ พระถังซัมจั๋งยืนอยู่กลางประตูกุฎิใหญ่ ยกมือขึ้นเคารพพูดด้วยคำสูภาพว่า ข้าพเจ้าขอเคารพท่านอาจารย์
   สมภารแลไปไม่อยากจะโต้ตอบ เห็นเคารพก็ไม่รู้ที่จะทำอย่างไร ต้องเคารพตอบแลถามว่า นี่ท่านมาแต่ข้างไหนจะไปข้างไหนหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้ามมาถึงตำบลนี้เวลาก็จวนจะพลบค่ำ อาตมภาพจะขออาศัยพักในอารามของท่านสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป ขอท่านอาจารย์ได้กรุณาด้วย ท่านสมภารได้ฟังดังนั้น พูดว่าท่านจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมจึงไม่ไปตรงทางทิศตะวันตก มีแห่งหนึ่งประมาณห้าสิบเส้น ที่นั้นมีห้องเตี้ยมค้าขายข้าวแกงบริบูรณ์ ทั้งที่ห้องพักก็ดี อาตมาให้พักไม่ได้ เพราะเป็นพวกสงฆ์เดินทาง คำโบราณท่านย่อมว่าเสือร้ายเข้ามาถึงต้องปิดประตูบ้าน แม้ว่ามิได้กัดคน แต่เมื่อก่อนได้ทำให้เสียชื่อ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารพูดดังนั้น จึงย้อนถามว่าท่านอาจารย์ว่าครั้งก่อนได้เสียชื่อนั้น คือเหตุผลเป็นประการใด
   พระสมภารตอบว่า เมื่อคราวก่อนมีพวกพระสงฆ์เดินทางมานั่งพักที่นอกประตูใหญ่ อาตมาเห็นเธอขัดสนเสื้อผ้าขาดพะรุงพะรัง จึงนิมนต์เข้ามาพักข้างใน ยกข้าวแจมาเลี้ยงและเอาจีวรมาถวายให้องค์ละผืน ให้พักอยู่สองสามวัน ก็มิได้ทราบว่าจิตเธอโลภด้วยความกินนอน เธอก็มิได้คิดที่จะไปก็พักอยู่ได้เจ็ดแปดปี ครั้นเห็นอยู่สบายแล้ว ก็กระทำธุราจารไม่ชอบธรรมต่าง ๆ
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เธอประพฤติไม่ชอบธรรมนั้น เธอทำประการใด สมภารบอกว่าท่านจงคอยฟัง เวลาสนุกก็เอาอิฐแลกระเบื้องมาขว้างปาเล่น เวลาไม่สนุกก็เที่ยวเจาะไชตามฝาผนังแลกำแพง เวลาหนาวก็หักไม้ประตูมาติดไฟผิง เวลาร้อนก็เปิดประตูทิ้งไว้เกะกะ ผ้าธงท่งฮอนก็เอาฉีกมัดทำเกือก แลลักธูปลักเทียนลักหม้อลักไหสาระพัดไม่อาจกำหนดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารเล่าให้ฟังดังนั้น จึงมาคิดแต่ในใจว่า คิดสงสารแต่ตัวเรามิใช่จะเป็นเช่นเขาอย่างนั้นเมื่อไร คิดดังนั้นแล้วก็เดินกลับออกมา มีหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์เดินกลับออกมามีสีหน้าเศร้าโศกดังนั้น จึงถามว่าพระสงฆ์ในวัดตีด่าว่ากระไรพระอาจารย์หรือ จึงมีความเศร้าโศกดังนี้
   พระถังซัมจั๋งบอกเห้งเจียว่าเขาไม่พอใจ เห้งเจียว่าท่านไปไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไปเองจึงจะสำเร็จ ว่าแล้วเห้งเจียก็ถือไม้กระบองเหล็กเดินตรงเข้าไปยังโบสถ์ใหญ่ แลไปเห็นอุบาสกนั้นกำลังจุดธูปบูชาพระอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง อุบาสกคนนั้นตกใจก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นแลไปดู เห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นก็ให้หวาดหวั่น กระโดดวิ่งหนีออกไปทางหลังพระอุโบสถเข้าไปในกุฎิใหญ่บอกว่า ข้างนอกนั้นมีพวกพระสงฆ์มาอีกแล้ว
   สมภารได้ฟังอุบาสกพูด จึงว่าเฆี่ยนเสียเห็นจะดี บอกว่าให้เขาไปข้างนอกระเบียงนั้น ยังจะเข้ามาบอกทำไมอีกเล่า ถ้าขืนมาบอกอีกจะเฆี่ยนยี่สิบที อุบาสกบอกว่าคนนี้ไม่เหมือนพระสงฆ์คนก่อน หน้าตาล้วนแต่ขนทั้งสิ้น ดูดุจรามสูรมือถือกระบองดูสีหน้ามีความโกรธจะใคร่หาคนตี สมภารได้ฟังอุบาสกพูดชี้แจงดังนั้น จึงเปิดประตูออกมาดู ก็พอเห้งเจียเข้ามาถึง สมภารเห็นรูปร่างดุร้ายดังนั้น ตกใจกลัวก็ปิดประตูเสียทันที เห้งเจียเดินตรงเข้าไปเอากระบองกระทุ้งประตูบานหักไปบานหนึ่ง แล้วบอกว่าให้รีบจัดแจงห้องให้สะอาดพันห้อง เราจะได้พักนอน สมภารแอบอยู่ในห้องพูดแก่อุบาสกว่า ดูรูปร่างดุร้าย แรกมาก็พูดดุดันหักโค่นเอาอย่างนี้ ในวัดของเรานี้มีห้องแต่สามร้อยห้อง มันจะเอาพันห้องเราจะเอาที่ไหนมาให้มันพอ
   อุบาสกพูดว่า ข้าพเจ้ากลัวแทบจะขาดใจ ท่านอาจารย์จงช่วยพูดแก้ไขเถิด สมภารก็รัวสั่นไปทั้งตัว อุตส่าห์ขืนใจพูดด้วยเสียงอันดังว่า ท่านที่มาขออาศัยพักนั้น วัดข้าพเจ้าอยู่ในป่าดอน ขอเชิญท่านไปหาที่พักที่อื่นเถิด
   เห้งเจียได้ฟังพระสมภารพูดดังนั้น ก็เอากระบองแปลงเท่าอ่างใหญ่ ยืนอยู่หน้ากุฎิพูดว่า สมภารไม่พอใจก็ขนของออกไปให้หมด สมภารพูดว่าในวัดนี้สี่ห้าร้อยชื่อ จะให้ข้าพเจ้าขนไปไว้ที่ไหน เห้งเจียว่า ถ้าไม่มีจะขนไปให้ออกมานี่สักคนหนึ่ง จะตีด้วยกระบองเป็นตัวอย่าง สมภารบอกให้อุบาสกออกไปให้เธอตีเป็นตัวอย่างสักทีหนึ่งก่อน อุบาสกพูดว่า กระบองใหญ่เท่าอ่าง จะให้ออกไปรับตีจะทนได้หรือ
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่1)
   เห้งเจียพูดว่า แม้ทนไม่ได้ข้าจะหาของอื่นตีให้ดูเป็นตัวอย่างจะได้รู้สึก เห้งเจียแลไปเห็นสิงโตศิลาตัวหนึ่งตั้งอยู่ จึงเอากระบองตีลงทีหนึ่ง สิงโตก็แตกละเอียดไปทั้งสิ้น สมภารอยู่ในห้องแอบมองตามช่องฝาเห็นดังนั้น ก็ตกตะลึงมือแลเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว จึงร้องออกมาว่ากระบองนั้นหนักนัก อาตมภาพจะยอมพอใจแล้ว เห้งเจียพูดว่าเราจะไม่ตีแต่เราจะถามว่า พระสงฆ์ในวัดนี้มีสักเท่าใด สมภารบอกว่ารวมทั้งสิ้นที่ได้รับฉายาแล้วห้าร้อยรูป เห้งเจียว่าสมภารจงรีบไปบอกห้าร้อยสงฆ์นั้น ให้ครองผ้าให้เรียบร้อยพร้อมกัน ออกไปรับพระถังซัมจั๋งเข้ามา สมภารว่าแม้ท่านไม่ตีแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปรับเข้ามา เห้งเจียว่าจงรีบไปจัดแจงเถิด สมภารจึงสั่งอุบาสกให้ตีระฆังและกลองสัญญา อุบาสกก็ไม่กล้าออกไปทางประตูจึงมุดลงช่องใต้ถุนออกไป เดินมาที่โบสถ์ขึ้นตีกลองและระฆังสัญญา ประชุมสงฆ์สามแม่สามลูก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในอาราม ได้ยินระฆังและกลองสัญญาณ ก็พร้อมกันไปที่โบสถ์ อุบาสกจึงบอกว่า ท่านเจ้าคณะสั่งให้ครองผ้าพร้อมกันออกไปหน้าวัดรับพระถังซัมจั๋งซึ่งมาจากเมืองใต้ถัง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงครองผ้าเรียบร้อยพร้อมกันแล้ว ออกมายืนคอยอยู่หน้ากุฎิใหญ่ สมภารก็นำหน้าออกมายังประตูใหญ่ ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็พร้อมกันคุกเข่าลงคำนับแล้ว พูดว่าขอเชิญท่านอาจารย์เข้าไปพักในกุฎิใหญ่เถิด
   พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์มาคำนับพร้อมกันดังนั้น ก็ไม่อาจนิ่งได้จึงพูดว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายลุกขึ้นเถิด พระสงฆ์ทั้งหลายต่างลุกขึ้น ต่างก็ช่วยกันจูงม้ายกหาบเข้าไปข้างใน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็เก็บเข้าไปข้างในมายังกุฎิใหญ่ พระถังซัมจั๋งเข้านั่งกลาง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงน้ำร้อนน้ำชามาถวายเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งมีความขอบใจสมภารและลูกวัดทั้งหลาย พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่พระสมภารว่า ขอท่านจงไปพักผ่อนระงับกายเถิด สมภารบอกว่าไม่เป็นไรดอก พระถังซัมจั๋งถามว่าจะให้อาตมภาพนอนที่ไหน
   สมภารพูดว่าท่านอาจารย์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะจัดแจงให้เรียบร้อย ว่าแล้วก็สั่งอุบาสกหาหญ้าให้ม้ากิน และให้ออกไปจัดแจงให้เรียบร้อย อุบาสกได้ฟังแล้วก็ออกไปจัดแจงทุกประการ เสร็จแล้วจึงกลับเข้ามานิมนต์พระถังซัมจั๋งออกไปพัก พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเดินออกไปยังหอธรรม ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งพิเคราะห์ดูเห็นในนั้นมีตามตะเกียงไฟสว่างไสว มีเตียงอยู่สี่เตียง พระถังซัมจั๋งให้อุบาสกจูงม้ามาผูกที่ริมนั้น แลให้เอาหญ้าม้ามาไว้พร้อมแล้ว จึงอนุญาตให้อุบาสกไปพักหลับนอน อุบาสกก็คำนับลาไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็เข้านั่งอยู่กลางหอ พระสงฆ์ทั้งหลายก็มาเฝ้าอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงย่อตัวบอกว่า ขอนิมนต์ท่านทั้งหลายกลับไปพักเถิด พระสงฆ์เหล่านั้นก็คำนับลากลับไป พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์ไปหมดแล้ว ก็เดินไปข้างนอกจึงแหงนหน้าขึ้นดูบนฟ้าเห็นดาวเดือนสว่างไปทั้งฟ้า จึงเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกมาดู ในเวลานั้นท้องฟ้าก็ใสสะอาดไม่มีเมฆหมอกแลดูรอบฟ้าก็โชติช่วง พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามว่า เดินมาเมื่อยขบก็จงไปหลับนอนก่อนเถิด อาตมภาพจะสวดมนต์สักพักหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าอาจารย์บวชตั้งแต่เล็กมาจนบัดนี้จำไม่ได้หรือจึงต้องสวดอีก แลรับๆสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปอาราธนาพระธรรม พระพุทธเจ้าก็ยังมิได้เห็น พระธรรมก็ยังไม่ได้เห็น พระอาจารย์จะสวดพระคัมภีร์อะไร
   พระถังซัมจั๋งว่าอาตมภาพตั้งแต่ออกจากเมืองมาทางเดินลำบากกันดารไม่มีความสุข อันพระธรรมนั้นเรียนมาตั้งแต่เล็ก วิตกกลัวจะลืมเสีย เวลานี้พอมีความสุขได้บ้าง อาตมภาพจึงจะหัดสวดซ้อมไว้ให้ชัดเจน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นพวกข้าพเจ้าจะพากันไปนอนก่อน ทั้งสามคนก็พากันเข้าไปนอนคนละเตียง ๆ พระถังซัมจั๋งก็เข้ามาปิดประตูแล้วจึงมาที่โต๊ะกลาง จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็นั่งสวดบริกรรมไป
(บทที่ ๓๗)
   พระถังซัมจั๋งนั่งบริกรรมอยู่ในหอพระธรรมนั้น ตกประมาณสามยามเศษ ได้ยินเสียงลมพัดอู้ดุจพายุใหญ่ พัดตรอกเข้ามาในประตูกระทบแสงไฟวับแวม ๆ บางทีทำให้มืดไปบ้างสว่างบ้าง
   ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งให้เคลิ้ม ๆ คล้าย ๆ กับจะหลับต่อตื่น ก็ฟุบลงกับโต๊ะ นัยน์ตาให้มัวหมองแต่จิตใจยังแจ่มใสมีราคีอยู่มาก ได้ยินเสียงข้างนอกร้องเรียกเบา ๆ ว่าท่านอาจารย์ คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็เงยหน้าขึ้นแลดู เห็นมีชายผู้หนึ่งมายืนที่นอกประตูเปียกน้ำทั่วทั้งกาย เสียงร้องเรียกไม่หยุดว่าท่านอาจารย์น้ำตาก็ไหลออกซึมซาบทั้งหน้า พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ย่อกายถามว่า ตัวเป็นปิศาจผีก็จงรีบหนีไป อย่าขืนมาที่หอพระธรรมนี้ ผู้นั้นพูดว่าท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจอสุรกายอะไรดอก ขอท่านอาจารย์ดูด้วยปัญญาจักษุโดยละเอียดเถิด
 พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูโดยละเอียดก็เห็นบนศรีษะสวมหมวกอย่างมหากระษัตริย์ ตัวสวมเสื้อมังกรแดงรัดสายเขมขัดหยก สอดรองเท้าปักไหมทอง มือถือก้อนหยกสีขาว หน้าดุจเจ้าตังงักตี้ รูปลักษณะดุจ บุ่นเชียงกุน พระถังซัมจั๋งพิจารณาโดยละเอียดเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจย่อกายถามว่าท่านคือกษัตริย์ที่ไหนมา จะมีกิจธุระอะไรหรือ จึงได้มาในเวลากลางคืนดังนี้ ผู้นั้นจึงร้องไห้แล้วพูดว่าพระอาจารย์ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น อยู่พ้นที่นี้ไปประมาณสี่สิบโยชน์ ที่นั้นมีกำแพงเมืองใหญ่ คือสมบัติของข้าพเจ้าปลูกสร้างขึ้นเอง นามเมืองนั้นเรียกว่า (โอเกยก๊ก) เพราะเหตุเมื่อห้าปีก่อน เกิดมีความแห้งแล้งฝนฟ้าไม่มี หญ้าฟางก็ไม่มีแห้งเกรียบไปทั้งสิ้น ราษฎรได้ความลำบากอดอาหารการกินล้มตายไปหาประมาณมิได้ ข้าพเจ้ามีความสงสาร
   ในเมืองหลวงยุ้งฉางก็ไม่มีข้าวที่จะจับจ่ายให้ขุนนางแลราษฎรทั้งหลายกิน แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่มีจะกินให้อิ่มพอได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งพิธีทั้งวันทั้งคืนก็ตั้งจิตจะให้ฝนตก จุดธูปเทียนสักการะบูชาบวงสวงขอฝนสามปีฝนก็ไม่ตก แห้งแล้งจนบ่อแลสระเป็นระแหงไปทั้งสิ้น เวลานั้นในบ้านเมืองก็กำลังเข้าคับแค้น บังเอิญมีอาจาริย์ (ช่วนจิน) ถือเพศฤๅษีอยู่ที่เขาแจงน่ำซัว เหาะลงมา เธอมีเวทมนต์เชี่ยวชาญประสิทธิ์ขลังอาจเรียกลมและฝนได้ และทำศิลาให้เป็นทองคำก็ได้ ข้าพเจ้าจึงเชื่อถือเชิญเธอให้ตั้งพิธีขอฝน ข้าเห็นคุณประสิทธิ์ในทันใดนั้น ป้ายที่ตั้งอยู่บนที่บูชานั้นก็สั่นไหวบัดเดี๋ยวใจก็มีฝนตกลงมาเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอน้ำท่วมเพียงสามศอก ช่วนจินว่าแห้งแล้งมานานแล้วจะไม่ทันชุ่มชื่นจึงได้ตกลงมาอีกเป็นอันมาก
   ไร่นาเรือกสวนน้ำก็มีบริบูรณ์ ข้าพเจ้าเห็นช่วนจินจิตเมตาอย่างนั้น จึงผูกพันสมัครปฏิญาณตัวเป็นมิตรสหายแก่เธอ ร่วมกินร่วมนอนมิได้มีความรังเกียจกินแหนง ได้ประมาณสักสองปี เวลาฤดูเดือนสี่เดือนห้ากำลังต้นผลไม้ทั้งหลายชิงดอกออกช่อใบอ่อน พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการซ้ายขวา ฝ่ายหน้าฝ่ายในพระญาติวงศ์น้อยใหญ่ พากันตามเสด็จไปเที่ยวชมเล่นเป็นที่รื่นเริงสำราญ ครั้นสิ้นเวลาแล้วก็พากันกลับ ยังแต่ข้าพเจ้ากับฤๅษีช่วนจิน จับมือกันค่อย ๆ เดินเข้าไปยังสวนหลวงชั้นใน ครั้นเดินชมมาใกล้บ่อแปดเหลี่ยม นามเรียกว่าบ่อ (ลิวลี่จี๊) ไม่ทราบว่าเธอขว้างอะไรลงไปในบ่อ ในบ่อนั้นมีรัศมีแสงทองฟุ้งมาหลอกข้าพเจ้าให้เดินเข้าไปใกล้บ่อพิศดูว่าจะเป็นของวิเศษสิ่งใด ไม่รู้เลยว่าเธอใจร้ายผล้กข้าพเจ้าตกลงไปในบ่อแล้วเอาหินทุ่มลงไปปิดปากบ่อ แล้วเอาดินทรายกลบเต็มปากบ่อเอาหน่อกล้วยมาปลูกไว้ข้างบน ข้าพเจ้าตายมาได้สามปีแล้ว มิได้ไปเกิดเลยต้องเป็นผีอยู่อย่างนั้น ขอท่านได้ทราบเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเรื่องดังนั้นก็ให้หวาดเสียวสะดุ้งขนลุกทั้งตัว จึงถามว่าท่านพูดดังนั้น จะไม่มีมูลหลักฐานเค้าเงื่อนดอกกระมัง เพราะท่านตายมาสามปีแล้ว เหตุใดขุนนางทั้งหลายและฮองเฮ้าฝ่ายในจะไม่ค้นหาท่านหรือ
   ผู้นั้นตอบว่าถ้าพูดตามมนุษย์โลกแล้วก็ไม่มีใครเห็น ตั้งแต่วันเธอฆ่าข้าพเจ้าแล้วยังอยู่ในสวนนั้น เธอก็แปลงตัวเป็นรูปร่างให้เหมือนข้าพเจ้าจึงไม่มีผู้ใดรู้ บัดนี้ขึ้นเสวยราชสมบัติอยู่เหมือนข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งถามว่าซึ่งการเป็นจริงดังนั้นทำไมจึงไม่ไปฟ้องพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องเล่า ผู้นั้นจึงพูดว่าเธอมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ก็นับถือเกรงกลัวเธอเคยเสพสุรายาเมาเป็นเพื่อนเกลอแก่เธอ พระยามัจจุราชก็เป็นเพื่อนฝูงแก่เธอ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีที่จะฟ้องร้องได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าพระยามัจจุราชฟ้องร้องไม่ได้จะกลับมาให้มนุษย์ทำประการใดเล่า ผู้นั้นตอบว่าท่านอาจารย์ อันวิญญาณที่เป็นไปตามวิบากของผลกรรมนั้นก็ยังไม่สิ้นสูญ แม้เทพยดาเจ้าที่ทำลมหอบข้าพเจ้าส่งมา เจ้านั้นก็ได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าอันภัยเวรจมน้ำสามปีนั้นสิ้นแล้ว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านอาจารย์บอกว่าสานุศิษย์ของท่านชื่อซีเทียนใต้เซีย สามารถจะกำจัดปีศาจผียักษ์ร้ายได้ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอเคารพเชิญท่านไปยังเมืองของข้าพเจ้าช่วยกำจัดปีศาจร้ายนั้นด้วย เพื่อให้เห็นเท็จแลจริงแล้วข้าพเจ้าจะสนองพระเดชพระคุณท่านให้ถึงขนาด
   พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ท่านจะมาหาอาตมภาพกับสานุศิษย์ให้กำจัดจับปีศาจนั้นหรือ ผู้นั้นตอบว่าก็อย่างนั้นและ พระถังซัมจั๋งพูดว่าสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น จะให้จับผี ปิศาจยักษ์ร้ายก็สามารถจะทำได้จริงแต่เป็นความยากอยู่
   ผู้นั้นถามว่าเหตุใดจึงเป็นยาก พระถังซัมจั๋งบอกว่าอันปีศาจนั้นมันแปลงรูปร่างก็เหมือนพระองค์ ขุนนางนอกในทั้งเมืองก็พร้อมกันเห็นว่าเป็นพระองค์ท่านไปเสียหมดแล้ว หากสานุศิษย์ของอาตมภาพจะมีฝีมือก็ไม่อาจจะทำสงครามได้ บางทีเธอจับได้จะไม่ปรับโทษเอาว่าพวกอาตมภาพเป็นขบถหรือ จะเป็นเหมือนเขาไปหาเสือดอกกระมัง
   ผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ายังมีคนที่เชื่อได้อยู่ในเมืองเป็นอันมาก พระถังซัมจั๋งถามว่า คนพี่เชื่อได้นั้นคือใคร ในพระราชวังยังมีพระราชโอรส คือบุตรของข้าพเจ้าเอง จะแทนที่ครองราชสมบัติได้ พระถังซัมจั๋งว่า พระราชโอรสนั้นปีศาจจะไม่กำจัดเสียแล้วหรือ ผู้นั้นตอบว่ายังมิได้กำจัดดอก เธอยังอยู่ในปราสาทกิมหลวนเต้ย ในตำหนักหอเง้าฮองเล้า แต่ปีศาจนั้นห้ามสามปีแล้วแม่ลูกมิได้พบกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เป็นด้วยเหตุอย่างไรจึงได้ห้ามมิให้แม่ลูกพบปะกันดังนั้น ผู้นั้นบอกว่าคือปีศาจคิดอุบายกลัวแม่ลูกจะพบกัน จะคิดปรึกษาพูดจาถึงการผิดชอบก็จะเกิดเหตุขึ้น เพราะฉะนั้นแม่ลูกจึงมิได้เห็นหน้ากัน พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ว่าลูกนั้นอยู่ในพระราชวังทำไมจะได้พบแก่อาตมภาพเล่า ผู้นั้นพูดว่ารุ่งพรุ่งนี้ เธอพาผู้คนมาประพาสป่าดงคงจะได้พบแก่ท่าน ท่านจงนำคำของข้าพเจ้าที่กล่าวมานี้เล่าให้ฟังก็คงจะเชื่อได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าพระราชโอรสนั้น เธออยู่ในวังอย่างนั้น เธอจะไม่เรียกปีศาจว่าบิดาวันหนึ่งสองสามคำหรือ ผู้นั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะให้ของสำคัญไว้แก่ท่านสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องหมาย
   พูดแล้วก็หยิบเอาเพชรหยกขาวก้อนหนึ่งส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ของสิ่งนี้ไว้เป็นที่หมาย พระถังซัมจั๋งถามว่า ของสิ่งนี้เป็นสำคัญอย่างไร ผู้นั้นพูดว่าตั้งแต่ปีศาจช่วนจินแปลงเป็นข้าพเจ้า ก็มิได้ถือหยกก้อนนี้ เธออุบายบอกว่าตั้งแต่ช่วนจินขอฝนแล้ว ก็ขอเอาหยกก้อนนี้ไป เพราะฉะนั้นสามปีมานี้แล้ว ช่วนจินจึงมิได้ถือหยกก้อนนี้ แม้ว่าบุตรของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ก็จะรู้สึกคิดถึงข้าพเจ้า คงจะคิดแก้แค้นได้
   พระถังซัมจั๋งรับว่าเอาเถิด จะรับของสิ่งนี้ไว้ปรึกษาหารือแก่สานุศิษย์ก่อน แล้วถามผู้นั้นว่าจะคอยอยู่ที่ไหน ผู้นั้นตอบว่าจะอยู่ช้าไม่ได้ จะขี่เจ้าเทพารักษ์ส่งเข้าไปพระราชวังเข้าฝันฮองเฮ้าบอกให้คิดอ่านพร้อมใจแก่บุตร และให้ท่านกับสานุศิษย์ให้พร้อมกัน พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังดังนั้นก็รับเป็นธุระวิญญาณของผู้นั้นเคารพแล้วก็ลาไป พระถังซัมจั๋งเดินออกไปส่งแล้วก็เดินกลับเข้ามาสะดุดธรณีเข้าก็ตกใจตื่นก็รู้สึกว่านอนฝัน แต่ตะเกียงมืดมัว ก็ร้องเรียกสานุศิษย์คำหนึ่ง
   โป๊ยก่ายตกใจตื่น ถามว่าป่านนี้ยังไม่นอนจะทำอะไรหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมาพึ่งนอน ฝันไปเห็นเป็นการประหลาดที่สุด เห้งเจียผุดลุกขึ้นพูดว่า อาจารย์จิตประวัติผูกพันธ์ก็ฝันไป ยังไม่ทันจะขึ้นเขาก็มีจิตกลัวเสียแล้ว เห็นหนทางมีหมอกมัวก็คิดถึงบ้านเมือง มากความตรึกตรองก็ฝันไป เหมือนข้าพเจ้าตั้งใจจะไปไซทีอยากจะพบพระพุทธเจ้า ก็ไม่ฝัน
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาฝันนี้ มิใช่คิดถึงบ้านเมืองอะไรที่ไหน ในเวลาหลับตาก็ได้ยินเสียงดุจพายุพัดโกรกเข้ามาในนี้ ได้ยินที่ประตูข้างนอกมีเสียงคน เธอบอกว่าเธอเป็นเจ้าเมืองโอเกยก๊ก จึงเล่าความตามที่ฝันให้เห้งเจียฟังทุกประการ เห้งเจียได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่าเธอให้ฝันพระอาจารย์เหตุนั้น คงจะมีปีศาจ เป็นธุระของข้าพเจ้าจะช่วยจับปีศาจเองให้เห็นเท็จและจริง พระถังซัมจั๋งบอกว่าเธอได้ให้ของสำคัญไว้สิ่งหนึ่งเป็นพยานในความจริง จงออกไปดูทีจะเป็นของอะไรแน่
   เห้งเจียไปเปิดประตูเดินออกไป ในเวลานั้นแสงเดือนสว่าง แลไปที่พื้นบันไดเห็นก้อนหยกขาววางอยู่กับพื้น เห้งเจียจึงเก็บเอามาบอกว่าท่านอาจารย์ของนั้นมีจริง พรุ่งนี้เช้าการจับปีศาจนั้นข้าพเจ้าจะเป็นธุระเอง จะต้องทำตามข้าพเจ้าจึงจะได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านจะให้ทำตามท่านอย่างไร เห้งเจียบอกว่าไม่ควรแสดง ไว้ข้าพเจ้ากับอาจารย์ของอะไรสองสิ่ง พูดแล้วเห้งเจียก็ถอนขนเส้นหนึ่งแปลงเป็นแอบเล็ก ๆ ลงรักปิดทอง จึงหยิบเอาก้อนหยกนั้นใส่เข้าในแอบปิดฝาดีแล้ว ส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วสั่งว่า วันพรุ่งนี้เวลาเช้าท่านอาจารย์ครองจีวรที่ประทานนั้น มือถือแอบนี้นั่งอยู่กลางโบสถ์ภาวนาบริกรรมไว้ข้าพเจ้าจะไปดูวิธีจะเป็นประการใด แม้ว่าพระโอรสของเธอออกมาจริงดังนั้น ข้าพเจ้าจะล่อให้มาหาพระอาจารย์
   พระถังซัมจั๋งถามว่า บางทีเธอมาถึงนี่จะรับรองอย่างไร เห้งเจียว่าแม้ว่าเธอตรงมา ข้าพเจ้าจะมาบอกก่อนอาจารย์เปิดแอบ ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นพระสงฆ์น้อย ๆ เข้าอยู่ในแอบท่านถือแอบอยู่กับมือ ไท้จื๊อมาถึงนี่คงจะเข้ามานมัสการพระ เธอจะไหว้ก็ชั่งอย่าหลีกหลบหวาดหวั่น เธอคงจับผิดท่านว่าดูถูก บางทีจะจับจะเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตามแต่จะทำไมต้องกลัว
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเธอไทจื้อมีอำนาจบางทีจะให้ฆ่าเราเสียจะแก้ไขอย่างไรได้ เห้งเจียว่าไม่ธุระอะไรมีข้าพเจ้าอยู่แล้วกลัวอะไร ถ้าเธอจะถามท่านจงบอกว่า มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม จะนำของวิเศษไปถวาย ถ้าเธอจะถามว่าของวิเศษอะไร ท่านเอาเหตุกาสาวิเศษเล่าให้ฟังว่าของวิเศษที่สาม ยังมีอีกที่หนึ่งที่สองเป็นของวิเศษอย่างยิ่ง ถ้าเธอจะถามต่อไปให้บอกว่าแอบนี้มีของวิเศษอยู่ข้างใน ใคร่รู้การข้างหน้าได้ห้าร้อยปีการข้างหลังห้าร้อยปี แล้วท่านเปิดให้ข้าพเจ้าออกข้าพเจ้าจะได้เล่าตามความฝันให้เธอฟัง แม้ว่าเธอเชื่อแล้วก็ดี บางทีจะไม่เชื่อ จึงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นให้เธอดู เธอคงจะจำได้ว่าเป็นของพระราชบิดาเธอ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าความคิดอุบายนี้ดีแล้วแต่ของวิเศษนั้น สิ่งหนึ่งเรียกว่ากาสา สิ่งหนึ่งเรียกว่าหยกขาว ที่แปลงนั้นจะเรียกว่าอะไร เห้งเจียบอกว่าให้เรียกว่า (ลิบเต๊ห่วย) คือตั้งอาญาสิทธิ์เจ้า พระถังซัมจั๋งก็จำไว้ในใจ พระถังซัมจั๋ง เห้งเจียนั่งคิดอ่านกันอยู่ก็หาได้นอนไม่ จนรุ่งสว่างขึ้น เห้งเจียจัดแจงแล้วมาสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้อยู่รักษาอาจารย์ แล้วก็ออกมาเหาะไปทางตะวันตก แลเห็นมีกำแพงเมืองใหญ่ ก็เหาะใกล้เข้าไปดูโดยละเอียด ก็เห็นมีหมอกเมฆกลุ้มปกอยู่ข้างบน เห้งเจียก็รู้ได้ว่าคืออ้ายปีศาจ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงปืนยิง แลไปทางประตูทิศตะวันออก เห็นหมู่คนขี่ม้าถืออาวุธต่างๆเดินออกมาจากประตูเมือง พิเคราะห์ดูก็เห็นเป็นพวกเที่ยวป่า แลไปเห็นคนหนึ่งหนุ่ม ขี่ม้าสีเหลืองมือถืออาวุธเกี่ยม ที่เอวแขวนธนูศร ดูรูปลักษณะก็สมเป็นเจ้า กิริยาควรจะเป็นฮ่องเต้ มิใช่คนเลวทราม
   เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดีว่าไม่ต้องสงสัยเลย คนนี้เองคือไท้จื๊อเราจะหลอกเธอเล่นสักทีหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นแปลงเป็นกระต่ายขาวตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าไท้จื๊อมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายวิ่งผ่านไปดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามเอาศรโก่งขึ้นยิงไปทางกะต่าย เห้งเจียเห็นศรยิงมาก็หลบจับลูกศรได้แล้วก็วิ่งหนีมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายถูกศรก็ชิงขับม้าขึ้นหน้าไล่ตามกระต่ายไป เห้งเจียเห็นไท้จื๊อไล่มาเร็วก็วิ่งเร็วไล่มาช้าก็วิ่งช้า ไล่ตามมากระต่ายก็ไม่วิ่งไปไกล วิ่งมาพักหนึ่งก็ถึงวัด (โป๊ลิ่มยี่) เห้งเจียวิ่งมาถึงประตูวัด ก็แปลงเป็นรูปเดิม เอาลูกศรนั้นเหน็บไว้บนประตูแล้ว เลยรีบเข้าไปในโบสถ์บอกแก่พระถังซัมจั๋งว่าไท้จื๊อมาแล้ว เห้งเจียจึงแปลงเป็นพระสงฆ์เล็กเท่าสององคุลีเข้าอยู่ในแอบนั้น
   ฝ่ายไท้จื๊อครั้นไล่มาถึงประตูวัดแลไปก็ไม่เห็นกระต่าย เห็นแต่ถูกศรติดอยู่บนประตูก็นึกประหลาดใจมากที่สุด เหตุไฉนหนอเรายิงไปถูกกระต่ายวิ่งมาทางนี้ ทำไมกระต่ายจึงหายไปลูกศรมาติดอยู่ที่ประตูฉะนี้ จึงนึกว่าศรนี้นานวันเข้าจะเกิดปีศาจเข้าสิงอยู่ จึงเข้าไปชักลูกศรออก แลดูบนประตูก็เห็นมีตัวอักษรจารึกว่าวัด (โป๊ลิ่มยี่) ไท้จื๊อเห็นดังนั้น จึงคิดว่าเราจะเข้าไปดูในวัด จึงลงจากม้าจะเดินเข้าไป มองไปข้างหลังเห็นพวกพลทหารวิ่งตามมาก็พากันเดินเข้าไปในประตู
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดก็รีบพากันออกมารับเข้าไปในโบสถ์ใหญ่ ไท้จื๊อจะใคร่นมัสการพระพุทธรูป แลไปเห็นมีพระสงฆ์นั่งอยู่กลาง ไท้จื๊อโกรธว่าพระสงฆ์องค์นี้เป็นไฉน เราพาพวกพลทหารเข้ามาในวัดทำไมไม่มีความยำเกรงยังนั่งอยู่ได้ จึงร้องบอกให้ทหารรักษาองค์จับตัวลงมา พวกรักษาองค์ก็กรูกันเข้าจับพระถังซัมจั๋งลงมา ไท้จื๊อจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เป็นพระสงฆ์ป่าดงที่ไหนมาจึงไม่รู้จักขนบธรรมเนียม พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้คือพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จะเอาของวิเศษมาถวาย
   ไท้จื๊อถามว่าอันเมืองใต้ถังนั้นจะมีของวิเศษอะไร จงแสดงให้เราฟังดูทีหรือ พระถังซัมจั๋งพูดว่ากาสาวพัสตร์ที่อาตมาครองอยู่นี้ของวิเศษที่สามยังมีที่หนึ่งที่สองอีก ไท้จื๊อถามว่า อันกาสานั้นครองได้ครึ่งหนึ่ง บนบ่าครึ่งหนึ่งแหวกข้างล่าง จะมีราคาสักเท่าไรจึงได้อวดว่าเป็นของวิเศษ พระถังซัมจั๋งตอบว่า กาสาวะพัสตร์นี้ครึ่งหนึ่งก็จริง แต่มีคำว่า กาสาของพระพุทธเจ้าไม่ต้องครอง ข้างในมรรคผลข้างนอกปราศจากกิเลส ร้อยเข็มพันไหมทำสำเร็จสัมมาปฏิบัติและประกอบด้วยเพชรนินจินดา เทพยดานางฟ้าประกอบเย็บประทานให้อาตมภาพครองกันสิ่งโสโครก อาตมภาพเห็นไท้จื๊อไม่รับก็ควรแล้ว ท่านไม่แก้แค้นแทนบิดาเกิดมาก็เสียทีเกิดเป็นมนุษย์
   ไท้จื๊อได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ยิ่งโกรธเป็นอันมาก พูดว่าผืนผ้ากาสานั้น ตามแต่ปากพูดอวดดีวิเศษอย่างไรก็ตาม อันความแค้นบิดาของข้าพเจ้าที่ไหนเอามาพูดเลอะเทอะอย่างนี้ จงแสดงความมาให้เราฟัง พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปไกล้ไท้จื๊อย่อตัวลงพูดว่า ไท้จื๊ออันความจริงอาตมภาพก็หาได้รู้เรื่องไม่ แต่ในแอบวิเศษนี้นามเรียกว่า (ลิบเต้ห่วย) แอบนี้รู้ได้ข้างหน้าห้าร้อยปีข้างหลังห้าร้อยปี และปัจจุบันนี้ห้าร้อยปี รวมกันเป็นพันห้าร้อยปี ถ้าพระองค์อยากจะรู้ถามดูก็อาจรู้ซึ่งความเท็จแลความจริง ไท้จื๊อได้ฟังดังนั้น จึงบอกว่าเอามาให้ข้าพเจ้าพิจารณาดูจะเป็นประการใด
   พระถังซัมจั๋งเปิดแอบออก เห้งเจียกระโดดออกมาเหลียวซ้ายแลขวาออกวุ่น ไท้จื๊อแลเห็นจึงพูดว่าคนเล็ก ๆ อย่างนี้จะรู้อะไรได้ซึ่งการนานปี เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงเอามือเท้าบั้นเอ็วแอ่นหน้าทีหนึ่งตัวก็สูงขึ้นสามสอกเลย พวกทหารทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ พากันพูดว่าถ้าสูงเร็วดังนี้ไม่กี่วันจะสูงค้ำฟ้า ไท้จื๊อเห็นดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งพระสงฆ์นั้นพูดว่ารู้การล่วงหน้าและล่วงไปแล้วและปัจจุบันได้หรือ ตัวทำเต้าดูหรือว่าจับยามจึงรู้ได้ เห้งเจียตอบว่าไม่ต้องอาศัยอะไรทั้งสิ้น พึ่งลิ้นข้าพเจ้าเท่านั้น สารพัดการก็อาจรู้ได้ทั้งสิ้น
   ไท้จื๊อว่ากระนั้นท่านจงแสดงเหตุผลในบ้านเมืองของข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่า อันเหตุการณ์ที่ในเมืองของท่านข้าพเจ้ารู้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าสามารถจะแสดงให้ท่านรู้ได้ทุกประการ ตัวท่านคือเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เมื่อห้าปีก่อนฝนไม่ตกแห้งแล้ง ราษฎรได้ความเดือดร้อนอดอยาก บิดาของท่านได้ตั้งพิธีบวงสรวงขอฝนก็ไม่สมความปราถนาในเวลานั้น บังเอิญมีฤๅษีตนหนึ่งนามเรียกอาจาริย์ (ช่วนจิน) อาศัยอยู่บนเขา (เจงน่ำซัว) ลงมา เธอมีวิช้าแต้มศิลาเป็นทองคำได้ แลเรียกลมเรียกฝนได้ฝนก็ตกตามความประสงฆ์ บิดาของท่านจึงได้ปฏิญาณผูกรักเป็นมิตรสหายแก่ช่วนจินร่วมกิน ร่วมนอน ด้วยกัน อย่างนี้มีจริงเป็นจริงหรือไม่
   ไท้จื๊อพูดว่ามีจริงเป็นจริงดังท่านว่า ขอท่านจงแสดงต่อไปอีก เห้งเจียจึงพูดต่อไปว่าแล้วต่อมาภายหลังอีกสามปี ช่วนจินก็หายไป บัดนี้ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าอยู่นั้น คือผู้ใดท่านรู้หรือไม่ ไท้จื๊อว่าช่วนจินเป็นสหายของพระราชบิดาเรานั้นจริง แต่เมื่อเวลาฤดูชมดอกไม้ พระราชบิดาพากันสองต่อสองเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ช่วนจินบันดาลเป็นลมพายุเอาก้อนเพชรจากพระหัตถ์พระราชบิดาไป บัดนี้ไปอยู่ที่เขาเจงน่ำซัวนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นพระราชบิดาเราก็คิดถึงเธออยู่จึงได้ไปปิดสวนดอกไม้มิให้ใครเข้าออกสามปีมาแล้ว ที่นั่งเมืองอยู่บัดนี้มิใช่พระราชบิดาของเราแล้วก็คือใครเล่า
   เห้งเจียได้ฟังไท้จื๊อตรัสดังนั้น ก็ทำเป็นหัวเราะแล้วนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร ไท้จื๊อก็โกรธตวาดว่า ควรพูดสิไม่พูด เหตุใดจึงหัวเราะดังนี้ควรหรือ เห้งเจียบอกว่าจะพูดออกไปนั้นยังไม่ควรด้วยเนื้อความยังมากมายนัก ด้วยผู้คนซ้ายขวามีอยู่มาก ไม่ควรจะให้คนเหล่านี้รู้ความลับที่ควรปิด ไท้จื๊อเห็นเธอพูดมีเค้าเงื่อนหลักฐานอยู่ จึงรับสั่งให้พวกข้าราชการที่ตามมานั้นออกไปเสียแล้วไท้จื๊อนั่งอยู่กลาง ถังซัมจั๋งนั่งอยู่ข้างหนึ่ง เห้งเจียจึงเดินเข้ามาใกล้ไทจื๊อพูดว่า ที่สูญหายไปนั้นคือพระราชบิดาของท่าน ที่นั่งเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ คือตัวช่วนจินปลอม
   ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านเอาอะไรมาพูดเลอะเทอะอย่างนี้เล่า ด้วยตั้งแต่ช่วนจินไปแล้วฝนลมก็ตกต้องตามฤดู ราษฎรก็ได้ความสุขสำราญ แม้พระบิดาได้ทราบว่าท่านพูดอย่างนี้ จะจับตัวท่านไปตัดหมื่นท่อน แล้วไท้จื๊อขับเห้งเจียให้ถอยไป เห้งเจียจึงหันหน้ามาพูดแก่ถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าเธอจะไม่เชื่อก็จริงดังนั้น จงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นเปลี่ยนเอาหนังสือไปไซทีเถิด พระถังซัมจั๋งก็เอาแอบส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมาแล้วก็เอามือทุบลงทีหนึ่ง แอบนั้นก็อันตรธานไป จึงหยิบเอาก้อนหยกขาวนั้นมาถวายไท้จื๊อ ๆ รับมาดูแล้วพูดว่า พวกสงฆ์นี้ดีแล้ว เมื่อสามปีก่อนช่วนจินลักเอาไป บัดนี้แปลงเป็นสมณะเอามาถวาย จึงเรียกให้คนจับตัวถังซัมจั๋ง ๆ ก็ตกใจ แต่เห้งเจียร้องห้ามว่าพระองค์อย่าเพิ่งวุ่นวายไป การใหญ่ของพระองค์จะเสียไป ถ้าข้าพเจ้าไม่ทำ (ลิบเต้ห่วย) ก็ชื่อคงมีจริง ไท้จื๊อโกรธพูดว่า จงมานี่ข้าจะถามอันชื่อจริงนั้นจะส่งไปศาลชำระหรือ
   เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าคือสานุศิษย์ของท่านพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง จะไปกับพระอาจารย์ ณ ประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อคืนนี้อาจารย์ของข้าพเจ้านอนหลับฝันเห็นไปว่า พระราชบิดาของพระองค์มาบอกว่า ถูกช่วนจินทำอุบายฆ่าอยู่ในสวนดอกไม้ ที่ในบ่อแปดเหลี่ยม (ลิวลี่) นั้น ช่วนจินแปลงรูปร่างให้เหมือนแก่พระองค์ บัดนี้ตั้งตัวปลอมเป็นพระองค์อยู่ในพระราชวัง ขุนนางทั้งหลายก็หามีผู้ใดจะรู้สึกได้ไม่ ตัวท่านก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ หารู้ความอะไรไม่ ได้ห้ามท่านมิให้เข้าข้างในเกรงจะรู้ระแคะระคาย แลได้ปิดประตูสวนสามปีมาแล้ว
   เมื่อคืนนี้พระราชบิดาท่านมาชี้แจงแลขอให้ช่วยกำจัดปีศาจช่วนจิน แลได้บอกว่าท่านวันนี้จะมาประพาสป่า เพราะฉะนั้นจึงแปลงตัวเป็นกระต่ายล่อให้ท่านไล่มา เพื่อพบแก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านจำก้อนหยกวิเศษได้แล้ว ทำไมจึงไม่คิดถึงพระราชบิดาที่ได้บังเกิดท่านมาเล่า ไท้จื๊อได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้น ก็สลดจิตลงทันทีคิดอยู่ในใจว่า จะไม่เชื่อหรือความที่พูดก็ล้วนแต่เป็นความจริงทุกประการ ถ้าเชื่อทำไมจะได้เห็นพระราชบิดาเล่า คิดไปก็แสนยาก เห้งเจียเห็นกิริยาไท้จื๊อยังไม่เชื่อสนิทลงได้ จึงพูดว่าไท้จื๊อไม่ต้องสงสัยเลย
   ถ้าจะให้ได้ความจริงแล้ว จงรีบไปถามพระราชมารดาดูก่อนนั้นแลจะได้เห็นจริง คือพระราชมารดาได้ทรงสังเกตหรือไม่ว่า พระราชสามีก่อนกับบัดนี้ มีความแปลกประหลาดผิดสังเกตอย่างไรบ้าง ก็จะรู้ได้แน่นอน ไท้จื๊อว่าดังนั้นเห็นจะรู้ความได้จริง จะเข้าไปถามมารดาดูก่อนแล้วจึงจะกลับมา พูดดังนั้นแล้วก็ผุดลุกจะไป มือกำก้อนหยกไว้ด้วย เห้งเจียจึงห้ามไท้จื๊อว่าจะไปมาอย่าให้ใครรู้ความพระองค์จงไปแต่ผู้เดียว จงกลับแต่ผู้เดียว อย่าเข้าทางข้างหน้า จงเข้าทางประตูหลังพระราชวัง แม้ว่าปะพระราชมารดาแล้วอย่าพูดเสียงดัง จงพูดแต่เบา ๆ ด้วยปีศาจช่วนจินนั้น มีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ แม้ว่ารู้ถึงมันแล้วแม่ลูกจะไม่ดำรงอยู่ได้ ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียแนะนำก็ทรงจำไว้ในใจ จึงออกมาข้างนอกบอกพวกทหารให้คอยอยู่ที่นี่ อย่าไปข้างไหนข้ามีกิจอันหนึ่ง จะกลับมาพร้อมกันก่อนจึงค่อยไป สั่งแล้วก็ขึ้นทรงม้ารีบขับเข้าไปหาพระราชมารดายังวังใน

03 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 31 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ตอน ศึกปีศาจคู่เขาเงิน-เขาทอง (ช่วงที่2)
(บทที่ ๓๔)
ฝ่ายปีศาจทั้งสองครั้นเปลี่ยนน้ำเต้านั้นมาแล้ว ต่างก็แย่งกันดูกลับหน้ามาก็มิได้เห็นเห้งเจีย เล่งหลีปีศาจพูดว่าเทวดาองค์นี้เห็นจะพูดหลอกลวงเราดอกกระมัง ว่าจะโปรดพวกเราให้สำเร็จมรรคผลเป็นเทวดา ทำไมไปจึงไม่ลาเราเล่า เจงเส่ยปีศาจพูดว่าแม้เธอไปแล้วเราเอาน้ำเต้านั้นมาลองดู จึงหยิบน้ำเต้านั้นโยนขึ้นไป น้ำเต้านั้นก็กลับตกลงมา เล่งหลีถามว่าทำไมจึงไม่ใส่ฟ้าเล่า ถ้าใส่ไม่ได้เห็นจะเป็นเห้งเจียเอาของปลอมมาเปลี่ยนของจริงไปดอกกระมัง
   เจงเส่ยปิศาจพูดว่าน้องอย่าพูดเลอะเทอะไป เห้งเจียนั้นภูเขาใหญ่สามเขาทับไว้แล้ว ทำไมจึงจะออกมาเอาของเราไปได้ พี่จะภาวนาลองดูอิกทีจะเป็นประการใด ว่าแล้วก็เอาน้ำเต้านั้นขว้างขึ้นบนอากาศแล้วภาวนาว่า ถ้าไม่สงเคราะห์เรา ๆ จะขึ้นไปทำจลาจลยังปราสาทเล่งเซียวเต้ย ภาวนายังไม่ทันจะแล้วน้ำเต้าก็ตกลงมาดิน ปีศาจทั้งสองพูดว่าเห็นจะใส่ไม่ได้แล้วเป็นของปลอมแท้ทีเดียว
   เมื่อปีศาจทั้งสองกำลังบ่นอยู่นั้น เห้งเจียอยู่บนอากาศฟังดูก็รู้แจ้งทุกประการ จึงเรียกขนนั้นคืนเข้าที่ตามเดิม น้ำเต้าก็สูญหายไป ปีศาจทั้งสองต่างถามกันว่าน้ำเต้าไปข้างไหน เล่งหลีว่าพี่เอาไปโยนลองมิใช่หรือ ทำไมจึงหายไปได้ จึงพากันลงที่ดินเที่ยวค้นหาตามหญ้าที่รกก็มิได้เห็น ปีศาจสองยิ่งตกใจกลัวพูดปรึกษากันว่าเราจะทำอย่างไรดี ของวิเศษของเราก็ไม่เห็น ทำอย่างไรจึงจะกลับไปได้ เราจะต้องถูกใต้อ๋องตีตายเป็นแน่ เล่งหลีพูดว่าถ้ากระนั้นเราพากันหนีไปเสียเห็นจะดีกว่า
   เจงเส่ยพูดว่าเราอย่าหนีเลยกลับไปดีกว่า เราเห็นว่าอยู่ทุกวันนี้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องเห็นแก่หน้าน้อง อันความผิดนั้นให้น้องรับคนเดียวบางทีใต้อ๋องจะยกชีวิตให้ แม้ไม่ฟังก็ตามแต่จะทำเถิดอย่างนั้นจะดีกว่าเราอย่าทำสองใจเลย ปีศาจทั้งสองปรึกษากันตกลงแล้วก็เดินกลับมายังถ้ำ เห้งเจียอยู่บนอากาศเห็นปีศาจเดินกลับไป ก็แปลงเป็นแมลงวันบินตามปีศาจมา
   ฝ่ายปีศาจทั้งสองเดินมาครั้นถึงประตูถ้ำก็เดินเข้าไปข้างใน เวลานั้นใต้อ๋องทั้งสองกำลังนั่งเสพสุราอยู่ ปีศาจน้อยเข้ามาถึงคำนับแล้วก็คุกเข่าลงกับพื้นก้มหน้าอยู่มิได้พูดว่ากระไร
   ใต้อ๋องทั้งสองเห็นดังนั้นจึงถามว่า เจ้าทั้งสองไปจับเห้งเจียได้มาแล้วหรือ ปีศาจน้อยคำนับแล้วก็ก้มหน้านิ่งอยู่มิได้อาจบอกว่ากระไร ถามดังนั้นถึงสามครั้ง ปีศาจน้อยจึงพนมมือพูดว่าอันโทษข้าพเจ้าทั้งสองนี้ถึงร้อยพันหมื่นตาย ขอใต้อ๋องได้กรุณาข้าพเจ้ารับของวิเศษนั้นเดินไปได้ครึ่งเขา พบเทวดามาจากเขา (พ่องล่ายซัว) เธอมีน้ำเต้าทองวิเศษ เรียกใส่ทั้งท้องฟ้าได้ ข้าพเจ้าเห็นเป็นของวิเศษมีใจโลภเจตนาจะใคร่ได้ เห็นว่าของเธอใส่ได้ทั้งท้องฟ้าของเราใส่ได้แต่คนจึงได้ขอเปลี่ยนแก่เธอ ทั้งเล่งหลีก็เอาขวดของวิเศษให้ไปด้วย ครั้นข้าพเจ้าเอาออกลองดูก็สูญหายไปทั้งน้ำเต้าเทวดาก็ไม่เห็น ขอใต้อ๋องได้ทราบโทษข้าพเจ้าทั้งสองถึงแก่ชีวิตขอได้กรุณา
   กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้น ดุจใครเอาไฟมาแยงเข้าที่ทรวงอก ร้องเสียงดังดุจฟ้าผ่าว่า กูรู้แล้ว ๆ คืออ้ายซึงหงอคงเห้งเจียมันเอาของเก๊มาเปลี่ยนเอาของกูไป อ้ายลิงนี้มันมีฤทธาอานุภาพใหญ่หลวงนัก มันรู้จักกันทุกแห่งทุกหน เข้าไหนก็ปล่อยมันออกนั่นจึงได้หลอกเอาของวิเศษของเราได้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่า อันเหตุที่อ้ายลิงนั้นจงสงบไว้ก่อน มันหนีไปได้ก็ชั่งมัน ข้าพเจ้าไม่มีปัญญาจับมันได้แล้ว ก็ไม่อยู่เป็นปีศาจในถ้ำนี้ต่อไป
   กิมกั๊กใต้อ๋องถามว่าจะทำอุบายอย่างใดจึงจะจับมันได้ งึ้นกั๊กใต้อ๋องจึงพูดว่า เรามีของวิเศษห้าอย่าง สองอย่างมันเอาไปแล้ว ยังมีอยู่แต่สามอย่างคือ อาวุธเกี่ยม พัดไฟอยู่ที่นี่ เชือกวิเศษอยู่ที่เขาเอี๋ยมเล่งซัว ถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋องมารดาเก็บไว้ เราใช้ให้คนไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลสั่งให้มารดาเอาเชือกนั้นมาด้วย จะได้คิดจับเห้งเจียให้จงได้ กิมกั๊กถามว่าจะให้ผู้ใดไปดี งึ้นกั๊กใต้อ๋องตอบว่าไม่ต้องใช้อ้ายระยำสองคนนี้อีก จึงตวาดไล่ให้เล่งหลีกับเจงเส่ยออกไปเสียให้พ้น แล้วจึงเรียกปีศาจน้อยปาซัวเฮ้าคนหนึ่ง กี๊ฮั้ยเล้งคนหนึ่งเข้ามาจึงสั่งว่าให้ไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลบอกให้มารดาเอาเชือกวิเศษมาด้วย จะได้จับตัวเห้งเจีย
   สองปีศาจรับคำสั่งแล้วก็คำนับลาออกจากถ้ำรีบตรงไป ก็หารู้ว่าเห้งเจียอยู่ในที่นั้นไม่ เห้งเจียได้ฟังรู้ความทุกประการแล้ว จึงบินโผออกจากถ้ำตามปีศาจทั้งสองนั้นไปจับอยู่บนศรีษะปีศาจนั้น มาได้ประมาณสักสามสี่โยชน์ เห้งเจียจะใคร่ตีปีศาจทั้งสองให้ตาย จึงมาตรึกตรองว่าจะฆ่าเสียก็ไม่ยากอะไร แต่ยังวิตกว่าบ้านมารดาของปีศาจอยู่ที่ไหน จำจะถามมันสักคำหนึ่งเห็นจะดี คิดดังนั้นแล้วก็โผออกจากตัวปีศาจ แปลงเป็นปีศาจน้อยตนหนึ่งวิ่งตามร้องเรียกว่า ที่เดินข้างหน้านั้นหยุดคอยก่อน กี๊ฮั้ยเล้งหันหน้ามาถามว่าตัวอยู่ที่ไหน วิ่งมาตามเราทำไมมีธุระอะไรหรือ
   เห้งเจียตอบว่านายเดียวกัน ยังไม่รู้จักกันหรือ กี๊ฮั้ยเล้งบอกว่าเราไม่เคยเห็น เห้งเจียบอกว่าข้าพเจ้าอยู่ข้างนอกมิได้เข้ามาจึงไม่รู้จักกัน ปีศาจถามว่าบัดนี้จะไปข้างไหน เห้งเจียบอกว่า ใต้อ๋องพูดว่าใช้พี่มา สองคน ให้ไปเชิญมารดามากินเนื้อถังซัมจั๋ง แลให้มารดาเอาเชือกวิเศษไปจับเห้งเจียด้วย วิตกว่าพี่จะเดินช้าไปจะเสียการ จึงให้ข้าพเจ้าตามมาเตือนพี่ทั้งสองให้รีบไปโดยเร็ว ปีศาจทั้งสองเมื่อได้ฟังดังนั้น ก็สำคัญว่าจริงไม่มีความสงสัย จึงพร้อมกันรีบเดินไป เห้งเจียจึงถามว่า ยังไกลอยู่หรือ กี๊ฮั้ยเล้งจึงเอามือชี้บอกว่า ที่ดงไม้ใหญ่นั้นและ เห้งเจียเงยหน้าขึ้นมองดู
ก็เห็นมีดงไม้ใหญ่ข้างหน้านั้น เห็นไม่สู้ไกลแล้ว จึงชักกระบองออกจากหูตีปีศาจทั้งสองนั้นล้มลงกับพื้น ตัวน่วมดุจแป้งขนม เห้งเจียก็ลากเอาศพทิ้งแอบไว้ข้างทางแล้ว ก็ถอนเอาขนหางออกขนหนึ่ง เป่าแปลงเป็นปาซัวเฮ้า ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นกี๊ฮั้ยเล้ง รีบเดินมาครั้นถึงปากช่องดงไม้ใหญ่ ก็เดินตรงเข้าไปเห็นมีประตูบานหนึ่งเปิดบานหนึ่งปิด มีหญิงปีศาจเฝ้าประตูอยู่คนหนึ่งเห็นเห้งเจียเดินเข้ามาจึงถามว่านี่ท่านจะไปข้างไหน
   เห้งเจียตอบว่า ข้าพเจ้าอยู่ที่เขาเพ่งเต๊งซัวถ้ำเน่ยฮวยต๋อง บัดนี้ใต้อ๋องให้ข้าพเจ้ามาเชิญท่านแม่ไป หญิงปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงบอกว่าเชิญเข้าไปข้างในเถิด เห้งเจียก็เดินเข้าไปถึงประตูชั้นสามแลไปก็เห็นนางปีศาจเฒ่านั่งอยู่บนที่สูง เห้งเจียหวนคิดขึ้นมาก็โทมนัใจร้องไห้
   มีคำถามว่า (เหตุใดเห้งเจียจึงร้องไห้) ตอบว่าเธอคิดขึ้นมาว่าเราเกิดมามีฤทธาอานุภาพไม่เคยเคารพใคร นอกจากพระพุทธเจ้ากับพระโพธิสัตว์กวนอิมแลพระอาจารย์ วันนี้จะต้องมาเคารพต่อปีศาจหญิง ครั้นจะไม่คำนับ การที่คิดไว้ก็จะเสียไป คิดไปก็เป็นความยากแก่ใจ เพราะเห็นแก่อาจารย์ที่ต้องภัยจึงจะต้องทนความอดสู เห้งเจียคิดแล้วก็เข้าไปยังหน้าปีศาจหญิงเฒ่า เคารพแล้วคุกเข่าลงกับพื้น ปีศาจหญิงเฒ่าพยักหน้าแล้วบอกว่าให้ลุกขึ้นเถิด แล้วถามว่าลูกอยู่ที่ไหนไปไหนมา
   เห้งเจียตอบว่ามาจากถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ใต้อ๋องทั้งสองใช้ให้มาเชิญท่านแม่ไปกินเนื้อถังซัมจั๋ง แลสั่งให้ท่านแม่เอาเชือกวิเศษนั้นไปด้วย จะได้คิดจับเห้งเจีย หญิงเฒ่าปีศาจจึงพูดว่า ลูกของเรามีกตัญญู มีของกินก็อุตสาห์มาเชิญแม่ พูดดังนั้นแล้ว ก็สั่งปีศาจคนใช้ให้เอาเกี้ยวหามออกมาจัดแจง พวกปีศาจคนใช้ก็จัดแจงหามเกี้ยวออกไปตามสั่งเสร็จสรรพแล้ว ก็กลับมาบอกว่าเสร็จแล้ว
   ฝ่ายปีศาจหญิงเฒ่าจัดแจงแต่งกายเสร็จแล้ว ก็ออกมาจากถ้ำเข้านั่งในเกี้ยว ปีศาจหญิงสองคนก็เข้าหามเดินมา เมื่อเดินมาได้ประมาณสามสี่โยชน์ คนหามก็ลงพักหยุดหายเหนื่อยนั่งอยู่ เห้งเจียจึงชักกระบองออกมาฟาดคนหามตายทั้งสองคน ปีศาจหญิงเฒ่าอยู่ในเกี้ยว ชะเง้อหัวออกมามองดู เห้งเจียเอากระบองกะทุ้งถูกศรีษะแตกตายอยู่กับที่ เห้งเจียก็จับออกมาดู ที่สุดเป็นตัวเสือปลาเก้าหาง เห้งเจียจึงเอาเชือกวิเศษพันกับพุงมีความดีใจที่สุด ออกปากว่า แม้อ้ายใต้อ๋องจะมีฝีมือเข้มแข็งอย่างไร ของวิเศษเราก็เอามาได้สามสิ่งแล้ว
   พูดดังนั้นแล้วก็ถอนขนหางออกสี่เส้น แปลงเป็นปิศาจกี๊ฮั้ยเล้งปาซัวเฮ้า อีกสองขนก็แปลงเป็นหญิงหามเกี้ยว ตัวเห้งเจียเอ็งแปลงเป็นปีศาจหญิงเฒ่า ขึ้นนั่งบนเกี้ยวให้ขนแปลงนั้นหามมา บัดเดี๋ยวก็ถึงหน้าถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ขนแปลงเป็นปาซัวเฮ้ากี๊ฮั้ยเล้งทั้งสอง ก็เดินนำหน้ามาถึงก็ร้องเรียกให้เปิดประตูรับ พวกปีศาจเฝ้าประตูก็เปิดประตู แล้วถามว่าท่านใต้อ๋องใช้ไปเชิญท่านแม่มาแล้วหรือ ปีศาจแปลงว่าท่านที่นั่งอยู่ในเกี้ยวนั้นไม่ใช่หรือ พวกเฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกแก่ใต้อ๋องทั้งสองว่า ท่านแม่มาแล้วอยู่ข้างนอก
   ปีศาจใต้อ๋องทั้งสองได้ฟังดังนั้น ก็สั่งให้พวกปีศาจทั้งหลายจัดแจงออกไปรับ ออกมาพร้อมกันที่นอกประตู เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ดีใจลงจากเกี้ยวเดินเข้าไปข้างใน ขึ้นนั่งบนที่สูงอยู่แต่ผู้เดียว ปีศาจใหญ่น้อยทั้งหลายก็พร้อมกันมาคำนับ ใต้อ๋องทั้งสองก็เข้ามาคำนับ ก็คุกเข่าลงกับพื้นบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งสองเคารพ เห้งเจียแปลงบอกว่าลูกของแม่จงลุกขึ้นเถิด
   ฝ่ายโป๊ยก่ายที่ต้องแขวนอยู่บนขื่อนั้น แลไปเห็นเข้าก็หัวเราะขึ้น ซัวเจ๋งถามว่าถูกมัดแขวนอยู่อย่างนี้ยังจะมีแก่ใจสนุกหัวเราะได้อีกหรือ โป๊ยก่ายบอกว่า น้องเอ๋ยพี่หัวเราะนั้น คือพี่ได้เห็นแล้วรู้แล้วว่า มันไปเชิญมารดามันมาจะใคร่กินเนื้อเรา แต่มิใช่มารดาของมันดอก เป็นแต่คนพูดแทน ซัวเจ๋งถามว่าใครพูดแทนที่ไหน โป๊ยก่ายตอบว่า เป๊กเบ๊อุน ซัวเจ๋งว่าทำไมที่จึงรู้ได้ โป๊ยก่ายว่าน้องไม่ดูหางพันอยู่ที่บั้นเอ็วนั้น หางตุงอยู่ข้างหลังพี่กับน้องแขวนอยู่สูงจึงได้เห็นถนัด ซัวเจ๋งห้ามว่าพี่อย่าพูดไป ไว้ดูเขาจะทำประการใดกัน
   เห้งเจียนั่งอยู่บนท่ามกลาง ถามว่าลูกทั้งสองให้คนไปเชิญแม่มามีกิจธุระอะไรหรือ ปีศาจทั้งสองตอบว่า ข้าพเจ้าทั้งสองนานแล้วมิได้ไปเยือนมารดา บัดนี้ข้าพเจ้าจับได้ถังซัมจั๋งก็ไม่อาจกินก่อนมารดา เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ไปเชิญมารดามา จะได้ทำเนื้อถังซัมจั๋งต้มแกงให้มารดากินสักเวลาหนึ่ง อายุของมารดาจะได้ยืนยาว เห้งเจียพูดว่าอันเนื้อถังซัมจั๋งกินยาก ได้ยินว่าได้โป๊ยก่ายมาด้วย มารดาอยากกินแต่ใบหูโป๊ยก่าย ลูกจงตัดใบหูโป๊ยก่ายทำกับกินกับเหล้าเถิด โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าปะอ้ายห่านี้เข้าแล้ว มันคิดจะตัดใบหูเรากินแกล้มเหล้าเสียแล้ว ประเดี๋ยวกูจะร้องขึ้นให้ปีศาจมันรู้
   ในเวลาที่โป๊ยก่ายบ่นวุ่นวายอยู่นั้น แลไปเห็นปีศาจพลตระเวรวิ่งเข้ามาบอกว่า ขอใต้อ๋องได้ทราบเห้งเจียตีท่านแม่ตายแล้ว บัดนี้แปลงกายเข้ามาที่นี่ ปีศาจทั้งสองได้แจ้งดังนั้นก็ชักเกี่ยมวิเศษกระโดดขึ้นฟันเห้งเจีย ๆ ไหวกายเป็นแสงสว่างแดงไปทั้งถ้ำแล้วก็รีบหนีออกจากถ้ำ
   กิมกั๊กใต้อ๋องเห็นดังนั้นก็ตกใจ บอกว่าน้องจงแก้มัดถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งคืนให้มันเสียเถิดจะได้สิ้นความจลาจล งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าพี่พูดอะไรอย่างนั้น เราได้รับความลำบากมาไม่รู้ว่าเท่าไรแล้วจึงจับมาได้ จะปล่อยเสียโดยง่ายนั้นอย่างไรได้ พี่จงนั่งให้สบายอย่าวิตก ข้าพเจ้าได้ยินว่าเห้งเจียมีฤทธาอานุภาพเข้มแขง เราพึ่งได้มาพบก็ยังหาได้ดูฝีมือกันไม่ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะลองฝีมือดูก่อน แม้ว่าเธอไม่ชนะเรา ๆ ก็จะกินถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งโดยง่าย แม้ว่าเราสู้ไม่ได้ เราจึงค่อยปล่อยไปไม่ช้าอะไร
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดดังนั้นแล้ว ก็แต่งตัวถืออาวุธเกี่ยมเดินออกมาที่หน้าถ้ำ ร้องเรียกว่าอ้ายซึงเห้งเจีย มึงจงใช้ของวิเศษและมารดาเราให้เรา เราจะปล่อยอาจารย์มึงไปไซที เห้งเจียอยู่บนเมฆได้ยินดังนั้น ร้องด่าลงมาว่าอ้ายมารร้าย มึงจงรีบส่งอาจารย์และน้องของกูออกมาอย่าให้ทันปู่ลงมือได้
   ปิศาจงึ้นกั๊กได้ฟังดังนั้น ถือเกี่ยมเหาะขึ้นไปบนอากาศ เห้งเจียถือกระบองตรงเข้าสู้กันกลางเวหาประมาณสักสามสิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะกัน เห้งเจียนึกในใจว่าอ้ายนี่มีอาวุธเกี่ยมเข้มแขงอาจทานรับกระบองเราอยู่ได้ โดยจะคิดต่อสู้ทางอาวุธก็เสียกำลังจำจะเอาน้ำเต้าและขวดหยกวิเศษนี้เรียกจับมันเห็นจะดีกว่า คิดดังนั้นแล้วหากเรียกมันไม่ขานเรามิเสียทีหรือสู้เอาเชือกวิเศษไม่ได้ เห้งเจียเอาเชือกวิเศษขว้างไปมัดปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นก็อ่านคาถาเชือกที่เห้งเจียขว้างไปนั้นกลับมามัดเอาเห้งเจียเข้าไว้
   ซึ่งเป็นทั้งนี้เพราะปีศาจได้คาถาไว้สองบท ๆ หนึ่งสำหรับมัดข้าศึก บทหนึ่งกลับมามัดผู้ที่ขว้างเชือกนั้นเอง เพราะฉะนั้นเห้งเจียจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ไม่ได้ ปีศาจก็เข้าจับเชือกลากลงมายังฟันเอาเกี่ยมฟันศรีษะเห้งเจียเจ็ดแปดที ศรีษะเห้งเจียก็มิได้เป็นอันตรายปีศาจก็จูงเห้งเจียเข้าไปในถ้ำ ร้องบอกกิมกั๊กว่าข้าพเจ้าจับมาได้แล้ว กิมกั๊กแลไปเห็นก็มีความยินดีเป็นที่สุด พูดว่านี่และอ้ายเห้งเจียจึงให้เอามัดใส่คาไว้ที่โคนเสาใหญ่ แล้วแก้เอาน้ำเต้ากับขวดหยกวิเศษออกมาจากตัว ปีศาจทั้งสองก็พากันไปนั่งข้างในเสพสุราเป็นที่สบายใจทั้งสองคน
   ฝ่ายเห้งเจียต้องมัดอยู่กับโคนเสานั้นก็ดิ้นรนกลิ้งเกลือกไป โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น ก็หัวเราะก๊าก ๆ ถามว่า เห็นจะกินใบหูเราไม่ได้แล้วหรือ เห้งเจียด่าว่าอ้ายชาติหมูมึงอย่าทำพูดมากไปประเดี๋ยวเราจะออกได้ แก้ไขเอาพวกเราออกให้จงได้ พูดดังนั้นแล้วเหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นใคร ก็ชักกระบองเหล็กออกจากหูงัดคาออกจากคอได้แล้ว ถอนเอาขนหางแปลงเป็นรูปปลอมเข้าติดคาอยู่กับที่นั้น ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นปีศาจน้อยเข้าไปยืนเฝ้าปีศาจอยู่ที่ริมตัว เห้งเจียจะใคร่ลักเอาของวิเศษนั้น จึงเดินเข้าไปใกล้ปีศาจ บอกว่าใต้อ๋อง ข้าพเจ้าเห็นเห้งเจียกลิ้งเกลือกดิ้นรนดังนั้น เชือกนั้นจะขาดไป แม้ได้เชือกใหญ่ ๆ มาเปลี่ยนเอาเชือกนั้นออกเห็นจะดี
   กิมกั๊กใต้อ๋องพูดว่าจริงอยู่ ว่าแล้วก็แก้เชือกที่คาดพุงออกจากเอวส่งให้เห้งเจีย ๆ รับเอามาก็แก้เอาเชือกวิเศษออกเอาเชือกใหญ่มัด เห้งเจียแปลงไว้ตามเดิมแล้วเอาเชือกวิเศษซ่อนไว้ในตัว ถอนขนหางออกเส้นหนึ่ง แปลงเป็นเชือกวิเศษอีกเส้นหนึ่งมาส่งให้แก่ปีศาจใต้อ๋องทั้งสอง ปีศาจก็มิได้พิจารณาเชือกว่าปลอมหรือจริงไม่ เห้งเจียครั้นได้เชือกวิเศษมาแล้ว ก็รีบออกไปนอกถ้ำกลายเป็นรูปเดิมแล้ว ก็ร้องเรียกพวกปีศาจด้วยเสียงอันดังว่า
   พวกปีศาจน้อยจึงถามว่า ตัวอยู่ที่ไหนมาจึงมาเรียกอึกกระทึกอย่างนี้ เห้งเจียบอกว่า พวกเจ้าจงเร่งไปบอกให้อ้ายพวกมารใหญ่มันรู้ว่า คือเจียเห้งซึงมาแล้ว ปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้น ก็นำความเข้าไปแจ้งแก่ปีศาจใต้อ๋อง กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังปีศาจน้อยบอกดังนั้นก็ตกใจ พูดว่าเราจับซึงเห้งเจียมัดไว้ได้แล้ว นี่เหตุใดจึงมีเจียเห้งซึงมาอีกเล่า งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าวิตกกลัวมันทำไม น้ำเต้าวิเศษของเรายังมี ข้าพเจ้าจะออกไปเรียกมันให้เข้าอยู่ในน้ำเต้าก็ได้ พูดดังนั้นแล้ว ก็หยิบเอาน้ำเต้าออกไปยังประตูถ้ำ ร้องถามว่าเจ้าคือใครที่ไหนมา
   เห้งเจียตอบว่าเรานี้แลคือน้องของเห้งเจีย ข้ารู้ว่าเจ้าจับเอาเห้งเจียพี่ของข้ามาไว้ บัดนี้ข้าจะมาเป็นธุระด้วยพี่ข้า งึ้นกั๊กพูดว่าเจ้ามารบแก่เราหรือ เราจะไม่รบแก่เจ้าจะเรียกเจ้าสักคำหนึ่งเจ้าอาจขานได้หรือ เห้งเจียตอบว่าเราจะกลัวอะไรแก่เจ้านักหนาจนถึงแก่จะไม่กล้าขานรับ ต่อให้เรียกสิบคำข้าจะขานสักหมื่นคำก็ได้
   ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็เหาะขึ้นบนเวหา เอาน้ำเต้าคว่ำลงแล้วก็เรียกว่าเจียเห้งซึงก็ไม่กล้าขานรับ ปีศาจก็เรียกอีกคำหนึ่งว่าเจียเห้งซึง เห้งเจียมาคิดว่าเราชื่อเห้งเจีย มันมาเรียกเจียเห้งซึงผิดความจริงคงจะจับเราไม่ได้ คิดดังนั้นแล้วขานรับออกมาคำหนึ่ง เห้งเจียก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้าวิเศษของปีศาจ ๆ ก็เอายันต์ปิดปากน้ำเต้าไว้ อันความจริงนั้นถ้าใครขานแล้วก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้าจะเป็นเก๊หรือไม่เก๊นั้นไม่เป็นข้อสำคัญ
   ฝ่ายเห้งเจียเข้าไปติดอยู่ในน้ำเต้าแล้ว ดูมืดดำไปหมดมิได้เห็นแสงสว่างเลย เป็นที่คับแค้นแสนลำบากสุดที่จะทนได้ เมื่อเราพบปีศาจทั้งสองบอกว่าน้ำเต้ากับขวดหยกนั้น เรียกเข้าอยู่ข้างในแล้วบัดเดี๋ยวใจก็แปรเป็นน้ำหนอง ส่วนตัวเราไม่อาจให้เป็นเช่นนั้นได้ จึงคิดขึ้นได้ว่าเมื่อก่อนห้าร้อยปี พรหมท้ายเสียงเล่ากุนจับเราใส่ในเบ้า (โป๊ยก่วย) หลอมเรา แต่หัวใจเราเป็นทองแดงกายสิทธิ์ตัวเป็นเหล็กตาไฟแก้วตาเป็นทองกายสิทธ์ ของวิเศษเหล่านี้ก็ไม่ทำอันตรายเราได้
   ปิศาจงึ้นกั๊กเมื่อเรียกเจียเห้งซึงเข้าในน้ำเต้าแล้ว ก็พาไปยังถ้ำร้องบอกกิมกั๊กว่า ข้าพเจ้าจับเจียเห้งซึงได้แล้วขังอยู่ในน้ำเต้านี้ กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นก็มีความยินดี จึงพูดแกงึ้นกั๊กว่าเอาไว้สั่นดูถ้ามันไม่มีเสียงแล้วจึงค่อยเปิดยันต์ออกดู
   เห้งเจียอยู่ในน้ำเต้าได้ยินปีศาจมันพูดกันดังนั้นจึงคิดว่า อันตัวของเรานี้ทำไมจึงจะสั่นไม่มีเสียงได้ ถ้ากายนั้นไม่แปรก็มีเสียงอย่าเลยเราจะหลอกมัน ถ้ามันสั่นไม่ได้ยินเสียงมันก็จะเปิดยันต์ออกเราจะได้คิดหนีไป คิดแล้วก็นึกว่าทำอย่างนั้นเห็นจะไม่เป็นคนเก่งได้ ไว้คอยมันสั่นเราจึงทำกระแอมไอจามหลอกมันให้เปิดเราออกก็จะไปได้ เห้งเจียคัดดังนั้นแล้วก็เกรียมตัวคอยอยู่ มิได้รู้ว่าปีศาจทั้งสองมันมัวกินสุราเสียมิได้มาสั่นน้ำเต้า เห้งเจียจะใคร่หลอกปีศาจให้มาสั่นน้ำเต้าจึงร้องว่าฟ้าเอ๋ยรูปนั้นแปรแล้ว ปีศาจก็มิได้มาสั่น เห้งเจียก็ร้องอีกว่าแม่เอ๋ยแปรเข้าไปถึงบั้นเอวแล้ว
   ปีศาจกิมกั๊กได้ยินดังนั้นจึงพูดว่า ถ้าแปรเข้าไปถึงบั้นเอวก็คงจะแปรเข้าไปขาดครึ่งตัวจงเปิดดูที เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงถอนขนหางแปลงเป็นรูปครึ่งตัวอยู่ในนั้น ตัวเห้งเจียก็แปลงเป็นแมลงหวี่คอยจะบินออกเมื่อเปิด ปีศาจกิมกั๊กจึงยกเอาน้ำเต้ามาเปิดยันต์ออกดู เห้งเจียก็บินออกไปแปลงเป็นปีศาจกี๊ฮั้ยเล้งยืนอยู่ข้างนั้น กิมกั๊กใต้อ๋องก็ยกน้ำเต้าขึ้นมองดูแลเข้าไปก็เห็นมีรูปครึ่งตัวอยู่ในนั้น มิได้รู้สึกว่ารูปแปลงหรือจริง ก็ร้องบอกว่าเร็ว ๆ ปิดเสียมันแปลงยังไม่หมดตัว งึ้นกั๊กใต้อ๋องก็เอายันต์ปิดเข้าตามเดิม กิมกั๊กใต้อ๋องจึงหยิบเอาป้านสุรามารินกินอีกสองสามถ้วย แล้วส่งให้งึ้นกั๊กพูดว่าเจ้ามีความลำบากมากควรพี่จะรินสุราให้เจ้ากิน งึ้นกั๊กเห็นพี่มีกะใจดังนั้นก็รับมากินอีกสองสามถ้วย หยิบน้ำเต้าส่งให้กี๊ฮั้ยเล้งโดยไม่รู้สึกว่าเห้งเจียแปลงเป็น   ปีศาจ ทั้งสองก็ส่งสุราไปมากินกันอยู่จนเมา
   เห้งเจียเห็นปิศาจมิได้สงไสยจึงเอาน้ำเต้านั้นซ่อนไว้ในเสื้อ ถอนขนหางแปลงเป็นน้ำเต้ายืนถืออยู่ ปีศาจเสพสุรามึนเมาแล้วก็กลับรับเอาน้ำเต้าคืนมา ก็กลับเข้านั่งที่กินสุราไปอีกพักหนึ่ง เห้งเจียได้ของวิเศษแล้วก็ถอยออกมามีความดีใจ
 (บทที่ ๓๕)
   ฝ่ายเห้งเจียได้ของวิเศษมาแล้วก็หนีออกมานอกถ้ำ กลายเป็นรูปเดิมร้องด่าท้าทายอยู่หน้าถ้ำด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายพวกปีศาจมึงจงรีบไปบอกนายมึงว่ากูมาแล้ว ปีศาจน้อยถามว่าท่านอยู่ที่ไหนมา เห้งเจียว่ากูคือเห้งเจียซึง พวกปีศาจน้อยได้ฟังดังนั้นก็รีบนำความเข้าไปแจ้งแก่ใต้อ๋องทั้งสอง กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังดังนั้นจิตใจให้สะดุ้งหวาดจึงพูดแก่งึ้นกั๊กผู้น้องว่า เห็นจะไม่เป็นการเราไปโดนรังมันแล้วหมายว่าสองคน มันมีพี่น้องมากมันค่อยทอยกันมาอย่างนี้ เห็นจะไม่สำเร็จการ
   งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าพี่จงวางใจเถิด น้ำเต้าวิเศษของเราใส่ได้ถึงพันคน นี่เราพึ่งจับเจียเห้งซึงคนเดียว พี่จะวิตกอะไรแก่เห้งเจียซึง ข้าพเจ้าจะออกไปจับมันอีกคนหนึ่งให้ดู งึ้นกั๊กจึงหยิบเอาน้ำเต้าปลอมออกไปยังหน้าถ้ำ โดยยังเข้าใจอยู่ว่าน้ำเต้านั้นเป็นของจริง ครั้นออกมาร้องถามว่าอ้ายคนไหน สามารถมาท้าทายอึกกะทึกอยู่ที่นี่หว่า มึงจงมานี่กูไม่ต่อสู้แก่มึง จะเรียกมึงคำหนึ่งมึงยังอาจจะขานรับหรือ เห้งเจียพูดว่าเจ้าเรียกข้า ๆ ก็อาจขานรับ ข้าจะเรียกเจ้าบ้างเจ้าอาจขานรับหรือ งึ้นกั๊กใต้อ๋องพูดว่าข้าเรียกเจ้า ๆ เข้าอยู่ในน้ำเต้าเจ้าจะได้อะไรที่ไหนมาใส่ข้า เห้งเจียตอบว่าข้าก็มีน้ำเต้าเหมือนกัน เจ้าอย่าสำคัญว่ามีแต่ของเจ้าผู้เดียวเลย
   งึ้นกั๊กว่าถ้ามีจริงจงเอาออกมาให้ดูสักทีจะได้หรือไม่ หรือเจ้าพูดอวดเล่นดอกกะมัง เห้งเจียได้ฟังปีศาจพูดท้าทายดังนั้น ก็หยิบเอาน้ำเต้าวิเศษออกจากมือเสื้อ ยกขึ้นชูแล้วว่าอ้ายมารร้ายเอ็งจงดูน้ำเต้าเถิด งึ้นกั๊กแลไปเห็นน้ำเต้าก็สะดุ้งหวาดตกใจ พูดว่าทำไมจึงเหมือนของเราราวกับอันเดียวกัน จึงร้องถามว่าน้ำเต้าลูกนี้เจ้าได้ที่ไหนมา เห้งเจียไม่รู้ว่าจะบอกอย่างไรด้วยไม่ทราบว่ากำเนิดเดิมมาอย่างไร จึงกลับย้อนถามว่าก็น้ำเต้าของเอ็งได้มาจากไหนเล่า
   ฝ่ายปีศาจพาซื่อหารู้ว่าเห้งเจียจะเอาคำของตัวไม่ ก็ตอบตามความจริงว่าอันน้ำเต้าของเรานี้ เมื่อเริ่มฟ้าเริ่มดินมีท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุนแปลงเป็นนางหนึงฮวย ประกอบทำหินปะฟ้า ครั้นปะมาถึงทิศตะวันออกที่เขากุลหลุนซัว ข้างริมเขานั้นมีของวิเศษของเทวดา ท้ายเสียงเล่ากุนเอาของนั้นมาประกอบทำเป็นน้ำเต้าทอง เพราะฉะนั้นจึงมีมาจนทุกวันนี้ เห้งเจียได้ฟังปีศาจบอกดังนั้นจึงตอบว่า ของเราก็มีกำเนิดเหมือนของเจ้านั่นและ แต่ของเราเป็นตัวผู้ของเจ้าเป็นผัวเมียฤทธิ์น้อยกว่ากัน
   ปีศาจได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า ไม่ต้องการด้วยตัวผู้แลตัวเมีย ใช้ได้แล้วก็เป็นดีเหมือนกัน เห้งเจียพูดว่า เจ้าพูดดังนั้นก็จริงของเจ้าแล้ว เรายอมให้เจ้าเรียกก่อน เราจะเรียกต่อภายหลัง ปีศาจงึ้นกั๊กได้ฟังเห้งเจียยอมดังนั้นก็ดีใจ โดยเหตุที่ไม่รู้สึกว่าของตนเป็นของปลอม จึงถือน้ำเต้าเหาะขึ้นไปบนอากาศ เอาน้ำเต้าคว่ำลงแล้วก็เรียกว่าเห้งเจียซึงโว๊ย เห้งเจียได้ยินเรียกก็รับขานว่าโว้ย ๆ เจ็ดแปดครั้ง ก็มิได้เห็นว่าเป็นประการใด งึ้นกั๊กปีศาจเห็นดังนั้น ก็ลดลงยังพื้นกระทืบเท้าทุบอกร้องว่า เทวดาเอ๋ยเทวดาใครจะรู้เลยว่ามันจะแปรปรวนไปอย่างนี้ น้ำเต้าของเราเป็นตัวเมียไปเห็นตัวผู้เข้าก็ใช้ไม่ได้เสียแล้ว
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ของเจ้าจงเก็บไปเถิด คราวนี้ถึงที่ข้าจะเรียกบ้าง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปกลางอากาศ เอาปากน้ำเต้าคว่ำลงตรงปีศาจแล้วก็ร้องเรียกว่า อ้ายงึ้นกั๊กปีศาจโว้ย งึ้นกั๊กก็รับขานว่าโว๊ย ในทันใดนั้น งึ้นกั๊กก็เข้าไปอยู่ในน้ำเต้า เห้งเจียก็ลดลงยังพื้น เดินตรงเข้าไปที่ปากถ้ำ ทางเดินไม่ค่อยจะเรียบร้อย เห้งเจียหิ้วน้ำเต้ามาได้ยินเสียงในน้ำเต้าร้องไม่หยุดเดินมาประเดี๋ยวก็มาถึงประตูถ้ำยกน้ำเต้าขึ้นสั่นพักหนึ่ง จึงภาวนาว่า (จิวเหยียดบุนอ๋อง ขงจื๊อ เซี้ยหยิน ถัวฮวยหนึง เซียนแซกุ้ยก๊ก จื๊อเซียนแซ) พวกปีศาจเห็นดังนั้น ก็วิ่งเข้าไปบอกกิมกั๊กว่าใต้อ๋องบัดนี้เกิดเหตุแล้ว เห้งเจียซึงจับงึ้นกั๊กใต้อ๋องใส่ในน้ำเต้ามายืนภาวนาอยู่หน้าถ้ำนั้น
   กิมกั๊กใต้อ๋องได้ฟังพวกปีศาจบอกดังนั้น ก็ตกตะลึงล้มลงกับพื้น ร้องไห้ด้วยเสียงอันดังพูดว่า น้องเอ๋ยพี่กับเจ้าลงมาจากสวรรค์ จุติยังมนุษย์โลกเป็นเจ้าเขา คิดว่าจะได้รับความสุขด้วยกัน ไม่รู้ว่าอ้ายพวกถือบวชเหล่านี้ มันจะมาฆ่าเจ้าให้ถึงแก่ความตาย พวกปีศาจเห็นนายเศร้าโศกโทมนัสร้องไห้ก็พากันร้องไห้ทั้งถ้ำ โป๊ยก่ายต้องมัดโยงแขวนอยู่บนขื่อ เห็นดังนั้นอดอยู่มิได้ ก็ร้องพูดออกมาว่า เฮ้ยอ้ายปีศาจน้องของเองบัดนี้ก็ตายแล้ว เองจะร้องไห้ไปทำไมให้ป่วยการ เจ้าจงรีบจัดแจงทำเครื่องแจให้สะอาด เชิญพวกข้าจะสวดพระธรรมให้น้องเจ้าไปสวรรค์
   กิมกั๊กได้ฟังดังนั้น ก็ยิ่งแสนแค้นจะใคร่เอาโป๊ยก่ายมาฆ่ากินเสียก่อน แลไปเห็นพวกปีศาจวิ่งเข้ามาบอกว่า บัดนี้เห้งเจียซึงมาร้องด่าท้าทายอยู่ที่ฟน้าถ้ำอีกแล้ว กิมกั๊กก็ตกใจจึงให้พวกปีศาจตรวจของวิเศษดูว่ายังอยู่กี่สิ่ง ปีศาจน้อยบอกว่ายังอยู่สามสิ่ง คือเกี่ยม พัดไฟ ขวดน้ำมนต์ กิมกั๊กพูดว่ามันกลับเอาคนของเราใส่เข้าไปในน้ำเต้า จงเอาพัดไฟแลเกี่ยมนั้นมา พวกบริวารจึงหยิบของสองสิ่งนั้นมาใส่ให้ใต้อ๋อง กิมกั๊กจึงเอาพัดเหน็บไว้กับคอเสื้อ มือก็ถือเกี่ยมเดินออกมายังหน้าถ้ำ ร้องด่าว่าอ้ายชาติลิงมึงฆ่ามารดากับน้องกู กูมีความแค้นมึงยิ่งนัก
   เห้งเจียจึงด่าว่า อ้ายชาติปีศาจมึงยังจะมาหาที่ตายอีกหรือ มึงจงรีบเร็วๆ ส่งอาจารย์กูออกมา กูจะยกชีวิตมึงไว้ กิมกั๊กมิได้พูดโต้ตอบว่ากระไร ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเอาเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่างออกกำลังรบกันได้ประมาณยี่สิบเพลง ยังไม่แพ้ชนะแก่กัน ปีศาจเอาเกี่ยมชี้ให้พวกบริวารเข้าช่วยระดมตี พวกปีศาจก็กรูเข้าล้อมจับเห้งเจีย ๆ อยู่ท่ามกลาง เห้งเจียเห็นดังนั้นจึงถอนขนออกกำมือหนึ่ง ร้องไห้ขนแปลงเป็นเห้งเจียมากดังเม็ดฝน ตรงเข้าตีแยกปีศาจนั้นออกกระจายไป พวกปีศาจก็พากันวิ่งหลบหนีและร้องว่าสู้เขาไมได้แล้ว เห้งเจียเต็มไปทั้งนั้นอย่างนี้ กิมกั๊กก็ถือเกี่ยมตรงเข้ามา มือหนึ่งฉายพัดออกหันหน้าไปทิศอาคเนย์ร้องขึ้นคำหนึ่ง เอาพัดไฟโบกไปทีหนึ่ง พื้นดินก็ลุกเป็นไฟขึ้นโดยแรง เป็นเปลวปลิวขึ้นบนอากาศ
   เห้งเจียเห็นไฟลุกขึ้นดังนั้น ก็ถอนขนในตัวออกขนหนึ่งร่ายคาถาเป่าไป เป็นรูปเห้งเจียยืนอยู่ ตัวเห้งเจียก็เหาะหนีไฟไป ครั้นออกจากที่ลับไฟนั้นแล้ว ก็เหาะไปยังหน้าถ้ำเน่ยฮวยต๋อง คิดจะเข้าไปแก้อาจารย์ออก ก็ตรงเข้าไปในถ้ำเอากระบองตีปีศาจตายไปทั้งสิ้น แลเข้าไปในถ้ำนั้นมีแสงแดงสว่างไปทั้งถ้ำ เดิมคิดว่าไฟ ดูไปก็มิใช่ไฟเป็นแสงรัศมี เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้มองดูเห็นขวดน้ำมนต์มีแสงสว่าง เห้งเจียก็ลักเอาขวดนั้นมาหาทันจะช่วยอาจารย์ไม่ ก็รีบหนีออกมาจากถ้ำ บังเอิญมาพบกิมกั๊กกลับเข้ามา กิมกั๊กเห็นเห้งเจียก็ตรงเข้าเอาเกี่ยมฟันเห้งเจีย ๆ ก็เหาะหนีหายไปในอากาศ กิมกั๊กเห็นเห้งเจียหนีหายไปแล้ว ก็เดินเข้าไปในถ้ำ แลไปเห็นพวกปีศาจบริวารล้มตายไปทั้งสิ้น เงียบสงัดไม่ได้ยินเสียง กิมกั๊กเห็นดังนั้นก็ยิ่งแสนโทมนัสเสียใจ คิดขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้ นั่งพักที่โต๊ะเลยหลับไป
   ฝ่ายเห้งเจียลักได้ขวดน้ำมนต์วิเศษมาแล้ว ก็รัดผูกเข้ากับบั้นเอวเหาะย้อนกลับมายังถ้ำเน่ยฮวยต๋อง ครั้นถึงเห้งเจียก็แอบย่องดูในถ้ำเห็นเงียบสงัดอยู่ เห้งเจียก็ค่อย ๆ เดินเข้าไป แลเห็นปีศาจนั่งหลับอยู่กับโต๊ะ พัดไฟกับเกี่ยมวางอยู่บนโต๊ะ เห้งเจียเห็นดังนั้นก็เดินเบา ๆ เข้าไปข้างโต๊ะ เอื้อมหยิบเอาพัดนั้นมาก็วิ่งหนีออกไป กิมกั๊กตกใจลืมตาเห็นเห้งเจีย จึงฉวยเอาเกี่ยมกระโดดไล่เห้งเจียออกมายังหน้าถ้ำ เห้งเจียวิ่งออกมาจากถ้ำแล้ว เอาพัดไฟเหน็บไว้กับบั้นเอ็วแล้ว สองมือถือกระบองตรงเข้ามาประจันหน้ารบกับปีศาจกิมกั๊กออกกำลังรับเห้งเจียได้สี่สิบเพลง ทานกำลังเห้งเจียไม่ไหว ก็ล่าถอยเหาะหนีไปทิศตะวันตกตรงไปยังถ้ำเอี๋ยมเล่งต๋อง เห้งเจียเห็นปีศาจหนีไปแล้ว ก็ลงเดินเข้าไปในถ้ำ แก้มัดอาจารย์ โป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง อาจารย์กับสานุศิษย์ก็มีความดีใจ จัดหาอาหารกินในถ้ำนั้น แล้วก็พักนอนในถ้ำคืนหนึ่ง
   ฝ่ายปิศาจกิมกั๊กหนีไปหาน้าชายรวบรวมปีศาจทั้งชายแลหญิงเข้าสมทบกันพร้อมแล้ว อาชิดใต้อ๋องยกมา เห้งเจียกำลังนั่งอยู่ได้ยินเสียงลมพัดฉิวมาก็วิ่งออกมานอกประตูแลไป เห็นกิมกั๊กพาพรรคพวกมา เห้งเจียก็กลับเข้าไปบอกว่าบัดนี้ปีศาจไปพาพวกมาเป็นอันมาก จึงสั่งให้ซัวเจ๋งคอยระวังพระอาจารย์ เรียกโป๊ยก่ายให้คอยช่วยรบ
   เห้งเจียเก็บเอาของวิเศษเหล่านั้นซ่อนเข้าไปแล้ว มือจับกระบองพร้อมด้วยโป๊ยก่ายเดินออกมา แลไปเห็นอาชิดนายใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าดูรูปร่างลักษณะหน้าขาวดุจเพชร หนวดยาวคิ้วตั้งแข็ง ใบหูดุจมีดมือถืออาวุธทวนร้องด่าด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยอ้ายชาติลิงไม่มีดี มึงอาจสามารถประมาทคน มึงจงยื่นคอออกมายอมตายเสียโดยดีจะได้แก้แค้นแทนวงศ์ญาติของเรา
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็เกิดโทโสจึงร้องด่าว่าเอ็งจะต้องตายไม่ดีทั้งโคตร มึงยังไม่รู้จักฝีมือกูซึ่งเป็นปู่ของเอ็ง มึงอย่าวิ่งหนีจงมารับกระบองดูสักทีหนึ่ง ปีศาจอาชิดเอาทวนแทงเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับปิดไว้ ต่างออกกำลังเข้มแขงรบกันโดยสามารถได้สามสิบเพลง ปีศาจกำลังน้อยทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ก็ถอยหนี เห้งเจียไล่กระชั้นมา กิมกั๊กยกเกี่ยมเข้าสกัดหน้ารบกันอีกสามสิบเพลง อาชิดก็หวนมาช่วยรบ โป๊ยก่ายแลเห็นจึงจับคราดเหล็กกระโดดเข้าสกัดรบแก่อาชิดใต้อ๋อง รบกันได้พักใหญ่ยังหาแพ้ชนะกันไม่
   อาชิดจึงร้องให้ปีศาจบริวารเข้าระดมช่วย พวกปีศาจก็พากันเข้าช่วยรบ ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองเหล็กตรงเข้ามาสกัดหน้า ตีพวกพลปีศาจกระจายไปทั้งสิ้น อาชิดใต้อ๋องเห็นเสียทีก็หันโดดหนีไป โป๊ยก่ายไล่กระชั้นตามมาเอาคราดสับลงทีหนึ่งตายคาที่ เอาคราด ๆ มาดูศพ เป็นเสือปลาตัวหนึ่ง กิมกั๊กเห็นฆ่าน้าชายตายแล้ว ผละออกจากเห้งเจีย ถือเกี่ยมมารบกับโป๊ยก่าย ๆ ก็เข้าต่อสู้กับกิมกั๊ก ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองเข้าช่วยโป๊ยก่าย ปีศาจทานกำลังสองนายไม่ไหว ก็ผละออกเหาะหนีไป โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ไล่ตามไป เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ชิงเหาะสกัดหน้า เอาขวดวิเศษออกหันปากขวดไปตรงปีศาจกิมกั๊กร้องเรียกคำหนึ่งว่า กิมกั๊กใต้อ๋อง กิมกั๊กหมายว่าพวกบริวารตามมาเรียก จึงขานรับกิมกั๊กก็แล่นเข้าไปอยู่ในขวดวิเศษ
   เห้งเจียก็เอายันต์ปิดปากขวดไว้ แลไปเห็นเกี่ยมวิเศษของปีศาจตกอยู่กับพื้น เห้งเจียก็เก็บเอามา เห้งเจียกำจัดปีศาจร้ายตายแล้วก็พากันกลับมายังถ้ำ เข้าไปคำนับพระอาจารย์แล้วเห้งเจียจึงพูดแก่พระถังซัมจั๋งว่า บัดนี้ก็ราบคาบแล้ว ขอนิมนต์พระอาจารย์ขึ้นม้าออกเดินเถิด ถังซัมจั๋งมีความยินดี พร้อมอาจารย์กับศิษย์ก็ออกเดินหมายตรงไปยังปราจิณทิศ ในเมื่อกำลังเดินไปนั้น แลไปเห็นตาเฒ่าผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างทาง เดินออกมายึดเอาพระถังซัมจั๋งแล้วถามว่า พระสงฆ์จะไปข้างไหน จงคืนของวิเศษนั้นมาให้ข้าพเจ้า เห้งเจียพิศดูไปมาก็รู้ว่า ท่านพรหมท้ายเสียงเล่ากุน จึงคำนับแล้วถามว่า นี่ท่านจะไปข้างไหน
   ท้ายเสียงเล่ากุนได้ยินเห้งเจียถามดังนั้น ก็เหาะขึ้นไปนั่งบนบัลลังก์แก้วลอยอยู่กลางอากาศร้องเรียกว่าซึงเห้งเจีย จงคืนของวิเศษมาให้ข้าพเจ้า เห้งเจียก็เหาะตามขึ้นไปถามว่า ของวิเศษนั้นคืออะไรที่ไหน เล่ากุนบอกว่า น้ำเต้านั้นของเราใส่ยา ขวดนั้นของเราใส่น้ำ เกี่ยมนั้นของเราปราบมารร้าย พัดนั้นของเราใช้ไฟ เชือกนั้นของเราไว้คาดเอ็ว สองปีศาจนั้นคนหนึ่งสำหรับรักษาเบ้าทอง ชื่อ (กิมท่งจื๊อ) คนหนึ่งรักษาเบ้าเงิน ชื่อ (งึ้นท่งจื้อ) เธอทั้งสองลักเอาของวิเศษหนีลงมาเกิดในมนุษย์โลกนี้ เที่ยวค้นหาก็ไม่พบ บัดนี้เห้งเจียจับได้มีซึ่งความชอบ
   เห้งเจียได้ฟังดังนั้น จึงพูดว่านี่คือท่านปล่อยสานุศิษย์ลงมาให้ทำร้ายโทษนี้อยู่แก่ท่าน เพราะสั่งสอนไม่เรียบร้อย เล่ากุนตอบว่า ข้อนั้นเราไม่เกี่ยวข้องด้วย เหตุด้วยอาจารย์สานุศิษย์พวกถังซัมจั๋ง มิใช่พวกมารปีศาจทำให้ลำบาก ถ้ามิฉะนั้นก็จะไม่สำเร็จมรรคผล เห้งเจียได้ฟังดังนั้น ก็มีใจผ่องไสโสมนัส จึงพูดว่าแม้ของวิเศษแห่งท่านก็จงมาเอาไปเถิด เห้งเจียก็นำของมาส่งให้เล่ากุน ๆ รับเอามาแล้วจึงเปิดยันต์ที่ปากขวดน้ำเต้า คว่ำเทออกมาสองสายย้อย เล่ากุนเอามือชี้เข้าทีหนึ่ง ก็กลายกลับคืนอย่างเดิมเป็นกิมท่งจื้อ งึ้นท่งจื้อ ยืนเฝ้าซ้ายขวา เล่ากุนบันดาลเป็นแสงสว่างเหาะกลับไปยังทิพย์สถานวิมานฟ้า
   ฝ่ายเห้งเจียเอาของวิเศษคืนให้ท่ายเสียงเล่ากุนไปแล้วก็เหาะกลับลงมายังพื้นดิน เล่าความให้ถังซัมจั๋งฟังทุกประการ ถังซัมจั๋งได้ทราบดังนั้นก็มีความยินดี ตั้งหน้าหมายมุ่งไปยังทิศปราจิณ