Translate

07 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 34 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   อ่านต่อ 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๔๐) ฝ่ายพวกขุนนางข้าราชการทั้งหลายก็พากันออกมารับ เห้งเจียจึงเล่าเรื่องที่พระโพธิสัตว์มาจับปีศาจให้พระมหากระษัตริย์และขุนนางฟังทุกประการแล้ว ต่างก็ยกมือขึ้นคำนับเนื่องไป มีความรื่นเริงทั่วกันทุกๆคน ในเวลาเมื่อกำลังสรรเสริญเห้งเจียอยู่นั้น เห็นขุนนางขันทีเข้ามาทูลว่าบัดนี้ ข้างนอกประตูมีพระสงฆ์สี่รูปจะเข้ามาเฝ้า จึงทรงพระอนุญาตให้รับเข้ามา ครั้นพระสงฆ์สี่รูปเข้ามาถึงแล้ว คือเป็นพระสงฆ์ที่วัดโป๊ลิ้มยี่ นำเครื่องทรงของฮ่องเต้มาถวาย เห้งเจียแลเห็นก็มีความยินดีพูดว่าดีแล้วดีแล้ว บอกให้พวกขุนนางเอาเครื่องแต่งให้พระเจ้าแผ่นดิน แล้วเห้งเจียเชิญให้ขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม และให้ไท้จื๊อเอาก้อนหยกชาวนั้นมาถวาย
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ไม่อาจขึ้นนั่งบนพระที่นั่ง คุกเข่าลงกลางพื้นท้องพระโรงแล้วก็ทรงพระกันแสง ตรัสว่าข้าพเจ้าตายไปสามปีแล้ว บัดนี้ได้คืนเป็นมา โดยอำนาจสติปัญญาของท่านช่วยข้าพเจ้าไม่อาจขึ้นเป็นกษัตริย์ต่อไปได้ ขอเชิญท่านอาจารย์ถังซัมจั๋งขึ้นครองราชสมบัติเป็นกษัตริย์เถิด ข้าพเจ้าจะพาบุตรภรรยาไปอยู่นอกพระนครขอเป็นไพร่ พระถังซัมจั๋งได้ฟังเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กตรัสดังนั้น จึงพูดแก่เห้งเจียว่า ท่านจงรับครองราชสมบัติเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าไม่ปิดบังท่านทั้งหลาย แม้ข้าพเจ้าจะอยากเป็นฮ่องเต้แล้ว ในใต้หล้าทุก ๆ เมืองก็จะเป็นได้ตลอดไปทั้งสิ้น ข้าพเจ้าดำเนินอยู่ในทางสมณะกิจประพฤติพรตพรหมจรรย์ อันการครอบครองเคหะสถานบ้านเรือนย่อมเป็นที่รังเกียจไม่พอใจ แม้ว่าเป็นฮ่องเต้กลางคืนก็ไม่ได้นอน ยิงปืนก็ต้องตื่นได้ยินแต่ข่าวบ้านเมืองก็ไม่สบาย ราษฎรมีความเดือดร้อนก็ไม่เป็นสุข พวกข้าพเจ้าจะรับอย่างไรได้ สมบัติของท่าน ท่านก็จงรับเป็นฮ่องเต้ต่อไปเถิด ข้าพเจ้าเป็นสมณะปฏิบัติพรตพรหมจรรย์ไปกว่าจะสำเร็จซึ่งมรรคและผล เชิญท่านขึ้นรักษาบ้านเมืองเถิด
 พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เห็นพระถังซัมจั๋งแลศิษย์ไม่รับครองราชสมบัติแล้ว ก็ขึ้นครองราชสมบัติรับเป็นกษัตริย์ไปตามเดิม จึงพระราชทานรางวัลแก่พระสงฆ์วัดโป๊ลิ่มยี่ แลรับสั่งให้ปล่อยนักโทษและเปิดพระคลังจ่ายเงินออกให้เป็นทาน แลจัดตำหนักกังกั๊กจัดเครื่องแจโต๊ะเลี้ยงพระถังซัมจั๋งแลพวกสานุศิษย์ทั้งสาม แลประชุมขุนนางเป็นที่รื่นเริง แล้วสั่งให้เปิดพระคลังใน นำของวิเศษประจำเมืองมาถวายพระถังซัมจั๋งและศิษย์ทั้งสาม แต่พระถังซัมจั๋งและสานุศิษย์ก็มิได้รับคืนกลับให้ไว้สำหรับบ้านเมือง ขอแต่เปลี่ยนหนังสือเดินทางเท่านั้นแล้วก็เร่งเห้งเจียให้รีบจัดแจงจะลาไป
 ฝ่ายพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ก็ไม่พอใจจะให้ไป แต่จนใจขัดมิได้ จึงรับสั่งให้จัดราชรถ นิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นนั่งบนรถแล้วรับสั่งให้ขุนนางทั้งหลายตามไปส่ง แลรับสั่งให้พระญาติพระวงษ์​ทั้งหลายออกมาเชิญรถส่งพระถังซัมจั๋ง ส่วนพระองค์ก็ตามส่งจนนอกประตูเมือง พระถังซัมจั๋งลงจากรถแล้ว ต่างก็คำนับลากันไป เจ้าเมืองโอเกยก๊ก น้ำพระเนตรก็ไหลลงโหมพระพักตร์ พระถังซัมจั๋งไปลับแล้ว พระองค์ก็กลับเข้าพระราชวัง ปกครองบ้านเมืองอยู่เย็นเป็นสุขต่อไป
รูปภาพ ; 16.转过山坡,赫然见一个七岁孩童,赤条条被捆住 手脚,高吊在树上,满面泪痕。
         ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์ทั้งสาม เดินตามทางใหญ่ไป เวลานั้น
กำลังเป็นเดือนเก้าเดือนสิบพากันเดินมาได้ครึ่งเดือน แลไปข้างหน้าเห็นภูเขาใหญ่สูงยอดเทียมเมฆบังตะวันร่ม พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าเห็นดังนั้นอกใจให้หวั่นหวาด จึงเรียกเห้งเจียร้องสั่งว่าข้างหน้ามีภูเขาสูงขวางอยู่ จงระวังระไวให้ดี เห้งเจียพูดว่าตั้งใจเดินไปเถิด อย่าคิดให้มากไปเลย ข้าพเจ้าก็ต้องระวังอยู่เอง ถังซัมจั๋งก็ขับม้ารีบเดิน บัดเดี๋ยวก็มาถึงเนินเขาดูน่ากลัวยิ่งนัก เมื่อเวลาอาจารย์กับศิษย์เดินขึ้นเขาอยู่นั้น ในใจก็หวั่นหวาดอยู่ด้วยกันทุกคน เห้งเจียแลไปที่ซอกเขาเห็นมีสายเมฆแดงฟุ้งขึ้นไปข้างบนอากาศแล้วม้วนกลมเป็นก้อนไฟ.
         เห้งเจียเห็นดังนั้นก็ตกใจ จึงวิ่งมาอุ้มพระถังซัมจั๋งลงจากหลังม้า
 แล้วเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งว่าอย่าเพิ่งไปปีศาจร้ายมันจะมา โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจ ต่างก็ผูกรัดผ้าผ่อนถืออาวุธคอยระวังทีอยู่ อันที่ในแสงแดงนั้นคือปีศาจสามสองปีมาแล้ว ได้ยินว่าเมืองใต้ถังมีพระถังซัมจั๋งจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ถ้าใคร่ได้กินเนื้อพระถังซัมจั๋งแล้วจะมี​อายุยืน เพราะฉะนั้นปิศาจจึงได้ตั้งใจคอยดูอยู่ทุกวัน บังเอิญวันนั้นปิศาจอยู่บนอากาศ แลลงมาเห็นพระถังซัมจั๋งนั่งมาบนหลังม้าหน้าขาว ที่สานุศิษย์ทั้งสามนั้นดูหน้าตาหยาบคาย ถืออาวุธคุมเชิงอยู่ดังจะคอยรบสู้แก่ศัตรู หากจะมีคนหนึ่งในสามคนนั้น ที่มีแก้วตารู้เห็นเหตุการณ์ได้ จึงได้คอยระวังอยู่อย่างนั้น ถ้าอย่างนั้นที่ไหนเราจะกินได้ง่าย ๆ เล่า เช่นนี้เราจะควรทำประการใดดี อย่าเลยจะต้องคิดอุบายเอาน้ำเย็นเข้าฉโลมจะดีกว่า ถ้าหลงกลเราแล้วก็จะจับตัวได้โดยง่าย จะต้องลงไปลองดูก่อน
         คิดแล้วก็ลดลงยังซอกเขา แปลงกายเป็นเด็กน้อยอายุเจ็ดขวบ เปลือยกายมิได้นุ่งห่ม เอาเถาวัลย์ผูกมือแลเท้าแขวนอยู่บนยอดไม้สูงปากก็ร้องเรียกให้ช่วยชีวิตด้วย
 ฝ่ายเห้งเจียแหงนดูบนอากาศ เห็นแสงแดงสูญหายไปจึงบอกพระถังซัมจั๋งให้ขึ้นม้าไปเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้ตัวพูดว่าปีศาจร้าย ทำไมจึงจะไปเล่า เห้งเจียตอบว่า เมื่อตะกี้ข้าพเจ้าเห็นเมฆแดงฟุ้งขึ้นบนอากาศ รวมเป็นควันไฟแดงจึงรู้แน่ว่าปีศาจร้าย บัดนั้ก็หาย แสงแดงเห็นจะเปนปีศาจเดินทาง โป๊ยก่ายว่าปีศาจเดินทางมีหรือ เห้งเจียว่าเจ้าที่ไหนจะล่วงรู้ได้ บางทีมีภูเขามีถ้ำมีพระยาใต้อ๋อง พวกปีศาจจะเลี้ยงกันก็เที่ยวเชิญบรรดามิตรสหายปีศาจด้วยกันไปประชุมเลี้ยงโต๊ะ เพราะตั้งใจจะไปประชุมจึงมิได้กระทำอันตรายแก่เรา ถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น เชื่อ​บ้างไม่เชื่อบ้างลังเลอยู่ไม่แน่แก่ใจนัก ก็ขับม้าเดินไป
ตอน ปะทะหงไหเอ๋อ[ลูกไฟแดงน้อย] (ช่วงที่1)
 ขณะนั้นได้ยินเสียงเด็กร้องให้ช่วยชีวิต พระถังซัมจั๋งตกใจถามว่าในกลางป่าเขาอย่างนี้ มีคนอะไรมาร้องเรียกอึกกะทึกเล่า เห้งเจียพูดว่าท่านอย่าเป็นธุระจงตั้งใจเดินไปเถิด
 คร้นเดินมาบัดเดี๋ยว ก็ได้ยินเสียงร้องเรียกให้ช่วยชีวิตอีก พระถังซัมจั๋งว่านี่เห็นจะมีคนต้องภัยได้ทุกข์ดอกกระมัง จึงได้ร้องเรียกดังนี้ พวกเราไปช่วยดูเป็นไร เห้งเจียพูดว่าวันนี้พระอาจารย์จงเก็บเมตตาจิตเสียบ้างเถิด ด้วยความดีน้อยความร้ายมากนัก พระถังซัมจั๋งขับม้ารีบเดินไป เห้งเจียคิดอยู่แต่ในใจว่า ไม่รู้ว่าปีศาจระยำนี้มันเรียกอยู่ที่ไหน จำเราจะร่ายพระคาถาแยกทางอย่าให้พบกัน คิดแล้วเห้งเจียปล่อยให้ไปก่อนสักสิบเก้า จึงร่ายคาถาย่นทางเอากระบองชี้ตามหลังส่งพระถังซัมจั๋งข้ามเขาไปแล้ว จึงร่ายคาถาทิ้งปิศาจให้อยู่ข้างหลัง แล้วเห้งเจียก็วิ่งตามพระถังซัมจั๋งไป
 ฝ่ายปีศาจอยู่บนยอดเขาร้องเรียกสามสี่คำ ก็ไม่มีใครเข้าไป ปีศาจนึกว่าเมื่อกี้นี้เราเห็นถังซัมจั๋งมาไม่สู้ไกล ทำไมเป็นนานก็ไม่เห็นมาถึง เห็นจะแยกทางไปดอกกระมัง คิดดังนั้นแล้วก็สลัดเชือกขาดเหาะขึ้นไปสูงพิจารณาดู เห้งเจียแหงนหน้าขึ้นดูก็เห็นมีแสงแดงขึ้นอีก เห้งเจียก็วิ่งมาอุ้มถังซัมจั๋งลงจากม้า แลกำชับว่าพี่น้องระวังให้ดี ปีศาจมันมาอีกแล้ว โป๊ยก่ายซัวเจ๋งตกใจต่างก็ถืออาวุธล้อมพระถังซัมจั๋งอยู่มิได้มีความประมาท
 ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแสลงมาเห็นดังนั้น ก็สรรเสริญว่า พวกเหล่านี้มันดีจริง มันมีคนตาสว่างรู้เห็นได้ทันท่วงที จำเราจะต้องจับอ้ายคนนี้ก่อน จึงจะจับถังซัมจั๋งได้ มิดังนั้นก็จะเสียการ คิดแล้วก็ลดลงยังพื้นแปลงกายเป็นเด็กยังเยาว์ เอาเถาวัลย์มัดมือแล้วก็เหาะขึ้นแขวนอยู่กับยอดไม้ ประมาณที่พระถังซัมจั๋งเดินไกลสักเส้นหนึ่ง ฝ่ายเห้งเจียแหงนหน้าดู เห็นแสงแดงนั้นหายไป จึงนิมนต์พระถังซัมจั๋งขึ้นม้าเดินต่อไป พระถังซัมจั๋งถามว่า เมื่อตะกี้บอกว่าปีศาจมาเดี๋ยวนี้จะให้ขึ้นม้าไปอย่างไรอยู่ เห้งเจียว่านี่ก็เปนปีศาจเดินทางเหมือนกัน มันจึงไม่กล้าทำร้ายเรา พระถังซัมจั๋งโกรธด่าว่าอ้ายสัตว์ลิงมึงหลอกเล่นตามสบายที่ไม่มีหลอกว่ามี ทำให้เราหวั่นหวาดบ่อย ๆ อย่างนี้หรือ ประเดี๋ยวจับขึ้นประเดี๋ยวจับลง จนจะล้มลงแข้งขาหักจะได้ไม่ต้องไปอย่างนั้นหรือ เห้งเจียพูดว่า อันขาแข้งหักยังแก้ได้ ถ้าปีศาจมันจับไปได้จะไปค้นหาที่ไหน
 พระถังซัมจั๋งก็ยิ่งโกรธใหญ่ จะใคร่ภาวนาคาถา ซัวเจ๋งอ้อนวอนขอมิให้ภาวนา พระถังซัมจั๋งจึงขึ้นม้าเดินไป ออกเดินไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงเรียก หลงพ่อช่วยชีวิตข้าพเจ้าด้วย พระถังซัมจั๋งแลไปเห็นเด็กน้อยแขวนอยู่บนยอดไม้ผ้านุ่งห่มก็ไม่มี พระถังซัมจั๋งก็หยุดม้าด่าเห้งเจียว่าอ้ายชาติลิง ข้าว่าเสียงคนเรียกมันว่าปีศาจยักษ์ร้าย จงดูที่แขวนอยู่บนยอดไม้นั้นคนหรือปีศาจ เห้งเจียเห็นอาจารย์ขัดเคืองก็มิได้โต้​ตอบประการใด พระถังซัมจั๋งก็เดินเข้าไปใกล้เอาแซ่ชี้ถามว่า เจ้านี้เป็นลูกเต้าใครที่ใหน จึงได้มาแขวนอยู่อย่างนี้ จงบอกแก่เรา ๆ จะช่วยแก้ให้
 ปิศาจเห็นพระถังซัมจั๋งเข้ามาถามดังนั้น ก็ทำร้องไห้ว่าท่านอาจารย์ที่เขานี้ไปข้างทิศตะวันตกมีหมู่ต้นสนแห้งและห้วยน้ำเขาที่นั้น มีหมู่บ้านคือบ้านข้าพเจ้าอยู่ ปู่ข้าพเจ้าแซ่อั๊งนามเรียกแปะบ้วนอายุชราก็ล่วงไปแล้ว สมบัตินั้นก็ยกให้แก่บิดาข้าพเจ้า ๆ ทรุดโทรมบ้านเรือนก็ทิ้งไม่ดูแล เที่ยวคบหาแต่คนที่มีฝีมือเก่งกาจจำหน่ายเงินทองให้กู้ให้ยืมจะใคร่ได้ผลประโยชน์ ก็บังเอิญถูกคนไม่ดีหลอกหลอนเอาไป ต้นทุนและกำไรก็ไม่ได้คืน บิดาข้าพเจ้าก็มีความแค้น จึงสาบานตัวว่าไม่ให้ใครกู้ยืมต่อไปอีก พวกคนเหล่านั้นจะคิดอย่างไรก็ไม่ได้ จึงคุมสมัครพรรคพวกล้วนแต่คนดุร้าย พากันมาปล้นบ้านบิดาข้าพเจ้าในเวลากลางวัน เก็บขนเอาทรัพย์สิ่งของไปหมดสิ้นแล้ว ฆ่าบิดาข้าพเจ้าเสียด้วย จับมารดาข้าพเจ้าไป มารดาอุ้มข้าพเจ้ามาด้วย โจรจะฆ่าข้าพเจ้า มารดาข้าพเจ้าอ้อนวอนขออย่าให้ฆ่าข้าพเจ้าด้วยมีดฟันเลย
 โจรจึงจับข้าพเจ้ามัดแขวนไว้บนต้นไม้ให้อดตายเอง แล้วโจรพามารดาข้าพเจ้าไปข้างไหนก็ไม่ทราบ ข้าพเจ้าต้องแขวนอยู่อย่างนี้สามวันมาแล้ว ไม่มีผู้ใดเดินมาทางนี้แต่สักคน แม้ว่าท่านมีเมตาจิตร ช่วยชีวิตรให้ข้าพเจ้ารอดไปแล้ว ข้าพเจ้าไปถึงบ้านจะขายตัวแทนคุณท่านไม่ลืมพระคุณท่านจนวันตาย
 ​พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น ก็ให้สงสารบอกโป๊ยก่ายให้ขึ้นไปแก้ลงมา โป๊ยก่ายจะปีนขึ้นไป เห้งเจียยืนอยู่ข้างนั้นอดไม่ได้ ร้องตวาดว่าอ้ายสัตว์เขาทึ้ง กูจำได้มึงอยู่ที่นี่ไม่ใช่หรือ บ้านมึงถูกโจรปล้นหมดแล้ว พ่อมีงโจรฆ่าตายแล้ว แม่มึงโจรจับไปแล้ว จะช่วยมึงลงมาแล้วจะเอามึงไปส่งให้ใคร มึงจะเอาอะไรมาตอบแทนคุณกู ปีศาจได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ตกใจกลัว และเข้าใจแน่ว่าเห้งเจียรู้เท่า จึงทำมารยาร้องไห้แล้วพูดว่า หลวงพ่อ แม้ว่าบิดามารดาข้าพเจ้าตายก็จริงสมบัติหมดก็จริง แต่ที่ทางเรือกสวนยังอยู่ ทั้งวงศ์ญาติฝ่ายบิดามารดาก็ยังบริบูรณ์พร้อมเพรียง หลวงพ่อช่วยข้าพเจ้าให้รอดตายแล้ว ท่านไปบ้านข้าพเจ้าจะประชุมญาติทั้งหลาย ขายไร่นาเรือกสวนสนองพระเดขพระคุณท่านหาน้อยไม่
 โป๊ยก่ายพูดแก่เห้งเจียว่า อ้ายเด็กทารกนิดเดียวพี่จะถามไปทำไมให้มากความ ช่วยให้ลงมาก็แล้วกัน โป๊ยก่ายก็ปีนขึ้นไปเอามีดโกนตัดเชือกที่มือที่เท้าปีศาจแล้ว ปีศาจก็ก้มหน้าอยู่ตรงหน้าพระถังซัมจั๋งร้องไห้ไม่หยุด พระถังซัมจั๋งก็มีความเมตตา เรียกเจ้าหนูจงมาขึ้นม้าเราจะพาไป
 ปีศาจว่าข้าพเจ้าถูกมัดมือแลเท้าเจ็บไปหมดทั้งตัว และในแถบนี้ชาวบ้านไม่เคยขี่ม้า พระถังซัมจั๋งว่าถ้าอย่างนั้นโป๊ยก่ายให้เขาขี่ไป ปีศาจร้องว่าหลวงพ่อ ท่านผู้นี้ข้าพเจ้าไม่กล้าขี่ ขนคอแหลมดุจเข็มข้าพเจ้ากลัวนัก พระถังซัมจั๋งว่าดังนั้น ซัวเจ๋งให้เขาขี่ไป ปีศาจร้อง​ว่าหลวงพ่อเมื่อวานนี้ปล้นบ้านข้าพเจ้าหน้าตาคล้าย ๆ ท่านผู้นี้ ข้าพเจ้ากลัวไม่กล้าขี่ พระถังซัมจั๋งจึงว่าถ้าดังนั้นเห้งเจียจงให้เขาขี่ไปเถิด เห้งเจียหัวเราะก๊ากใหญ่ ไว้ข้าพเจ้าจะให้ขี่ไปเองปีศาจก็ดีใจ เห้งเจียลองจับขยับยกดูมีน้ำหนักสามชั่งสิบตำลึง หัวเราะแล้วพูดว่าอ้ายปีศาจนี้มึงจะถึงที่ตายแล้ว มึงอาจสามารถทำผีหลอกอย่างนี้จะได้อยู่หรือ ปีศาจเรียกหลงพ่อว่าข้าพเจ้าเป็นลูกคนแท้ มีทุกข์ร้อนเคราะห์ร้ายอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่ามึงเป็นลูกคนทำไมกระดูกจึงเบาเล่า ปีศาจว่าข้าพเจ้ายังเป็นทารกกระดูกเล็กยังเด็กอยู่ เห้งเจียพูดว่าเอาเถอะก็จะให้ขี่ไป แม้จะขี้เยี่ยวจงบอกให้กูรู้ก่อน เห้งเจียก็เดินตรงไปทางทิศตะวันตก เห้งเจียให้ปีศาจขี่อยู่บนหลัง ก็นึกแค้นอยู่ในใจจะใคร่หาอุบายฆ่ามันเสีย ปีศาจก็รู้ซึ่งความคิดของเห้งเจีย จึงร่ายพระเวทอ้าปากคาบอากาศทั้งสี่ทิศ เป่ามนต์บนหลังให้หนักประมาณพันชั่ง
 เห้งเจียรู้สึกตัวก็หัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายลูกของกูมึงทำมนต์อะไรบนหลังกูให้หนักอย่างนั้นเล่า ปีศาจกลัวเห้งเจียจะทำร้ายก็ถอดรูปออกจากหลังเห้งเจีย เหาะขึ้นยืนอยู่บนเวหา ทิ้งรูปแปลงอยู่ที่หลังเห้งเจีย ๆ ก็ยิ่งหนัก จึงคิดโทโสคว้าลากลงจากหลังเอาฟาดลงกับศิลา ตัวก็น่วมดุจแป้งขนม แล้วฉีกมือเท้าละเอียดไปทั้งสิ้น ทิ้งศพไว้ข้างทาง
 ​ฝ่ายปิศาจอยู่บนอากาศแลลงมาเห็นดังนั้น อดโทโสไม่ได้จึงพูดว่า อ้ายสัตว์ลิงนี้มันถือดีนัก เวลานี้ถ้าเราไม่ตามจับถังซัมจั๋งไว้ช้ามันจะมีปัญญาขึ้นมากจะลำบาก ปีศาจจึงร่ายเวททำเป็นลมพายุใหญ่ หอบพัดดินทรายหินกรวดซัดสาดมาโดยแรง พระถังซัมจั๋งอยู่บนหลังม้าก็เหลือจะทนได้ โป๊ยก่ายซัวเจ๋งก็ก้มหัวปิดตาเห้งเจียก็รู้ได้ว่าปีศาจมันทำลมพายุ จึงรีบวิ่งตามพระถังซัมจั๋ง
 เวลานั้นปีศาจก็จับเอาพระถังซัมจั๋งไปแล้ว บัดเดี๋ยวลมพายุก็หายแสงตะวันก็ออกสว่างท้องฟ้า เห้งเจียเดินมาเรียกโป๊ยก่าย ๆ ก็ผุดลุกขึ้นพูดว่ามีพายุใหญ่เหลือเกิน เห้งเจียถามว่าพระอาจารย์อยู่ที่ไหน โป๊ยก่ายว่าเมื่อเกิดลมพายุนั้น ข้าพเจ้าทั้งสองหาที่หลีกหลบมิได้ พระอาจารย์ก็ฟุบอยู่บนหลังม้า ประเดี๋ยวนี้ทำไมไม่ได้ยินเสียงเลย ไม่รู้ว่าจะอยู่หรือจะไปข้างไหน เห็นลมพายุจะหอบเอาไปเสียแล้วดอกกระมัง
 เห้งเจียเมื่อได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงพูดว่าตั้งแต่นี้ไปก็ตามแต่ใครจะไปข้างไหนเถิด โป๊ยก่ายว่าถ้ากระนี้แล้วก็รีบหาทางไปดีกว่า ซัวเจ๋งได้ฟังดังนั้นก็มีความเสียใจเป็นอันมาก จนตกตะลึงไปแล้วพูดว่า พี่เอาถ้อยคำอะไรมาพูดดังนี้เล่า พี่ไม่รู้สึกหรือว่าพวกเรามีโทษ ได้พึ่งพระกวนอิมท่านสั่งสอนชักนำให้เข้าอยู่ในทางชอบธรรม เปลี่ยนชื่อแปลงนามเคารพต่อพระพุทธศาสนา ก็ได้อธิฐานตั้งจิตรักษาพระอาจารย์ถังซัมจั๋งไปไซที เพื่อแสวงหาความดีลบล้างโทษที่ได้ล่วงไปแล้ว มาวันนี้พี่เอาคำอันไม่สมควรมากล่าวขึ้นดังนี้ จะมิเอา​โทษมาทำลายล้างคุณความดีที่ได้ทำมาแล้วนั้นเสีย หรือ และความดีที่พวกเราได้อุตสาหะพยายามมาจะมิสูญเสียไปเปล่าหรือ
 เห้งเจียว่าที่น้องพูดดังนี้ก็ถูกต้องจริงหมด แต่เหตุผลขัดข้องย่อมมาจากพระอาจารย์ทั้งสิ้น โดยท่านมิได้เชื่อความดีแลพมิได้รู้จักดีแลชั่วผิดและชอบ เมื่อตะกี้เกิดลมพายุใหญ่นั้น คืออ้ายปีศาจเด็กที่อยู่บนต้นไม้นั้นเอง พี่รู้ว่ามันคือปีศาจยักษ์ร้าย น้องทั้งสองก็ไม่รู้ได้ว่ามันเป็นปีศาจ พระอาจารย์ก็มิได้รู้เท่าทันมัน เข้าใจเสียว่ามันเป็นมนุษย์ พี่จับมันฟาดลงกับศิลามันจึงถอดรูปหนีไปแล้ว จึงได้บันดาลให้เป็นลมพายุใหญ่ มาหอบเอาพระอาจารย์ไป เราแค้นเหลือที่จะแค้นในข้อที่เธอมิได้เชื่อฟังเราเลย ทุก ๆ ครั้งชอบช่วยแต่ปีศาจร้าย เราจึงได้มีจิตเบื่อหน่ายคิดเห็นไปว่า จะหาทางกลับจะดีกว่า แม้ว่าซัวเจ๋งน้องมีจิตคิดดังนั้น พวกเราควรจะรีบจัดแจงไปค้นหาปีศาจ
 เมื่อพบแล้วจะได้ช่วยกันแก้พระอาจารย์ โป๊ยก่ายว่าถูกจริง ๆ ต่างคนก็พร้อมกันรวบรวมเข้าของแล้วก็จูงม้าเดินตัดเข้าดงไป คนทั้งสามเดินมาประมาณร้อยเส้นเศษก็ไม่ได้ข่าวคราว เห้งเจียยิ่งเดือดดาลในใจ ก็ไหวตัวเผ่นขึ้นบนเพิงผาสูงกระทำสีหนาทตวาดคำหนึ่งร้องว่าแปลง ร่างกายก็แปลงเป็นสามเศียรหกกรชักกระบองออกแกว่งกวัดแปลงเป็นสามอัน ยกขึ้นตีไปข้างตะวันออก แล้วก็กลับมาตีข้างตะวันตก หวดซ้ายป่ายขวา แผลงฤทธิ์ศักดาอานุภาพ หวั่นไหวไปทั้งเขาดุจทรุดจะทำลายไหวสะเทื้อนไป​ทั้งเขา บัดเดี๋ยวใจเจ้าที่แลเจ้าเขาเจ้าป่าเจ้าดงก็พากันวิ่งมาคุกเข่าลงคำนับอยู่ต่อหน้าเห้งเจีย ร้องบอกว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายมาแล้ว เห้งเจียจึงถามว่าทำไมเจ้าจึงมากหลายดังนี้
 เจ้าทั้งหลายจึงคำนับแล้วตอบว่า ที่เขานี้เรียกว่า (ลักแป๊ะลี้จั๊บเท้าพ้อซัว) รวมหกร้อยโยชน์สิบโยชน์มีเจ้ารักษา รวมสามสิบเจ้าเขา เมื่อวานนี้ได้ยินว่าใต้เซียมา แต่รวมกันยังไม่พร้อมจึงได้ช้าไป ขอใต้เซียได้ยกโทษพวกข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียจึงถามว่าบนเขานี้มีปีศาจผีร้ายสักเท่าใดเจ้ารู้หรือไม่ เจ้าทั้งหลายตอบว่ามีตนเดียว แต่มันได้ทำพวกข้าพเจ้าเหลือที่จะทนได้ มันทำจนไม่มีธูปเทียนและผู้เซ่นไหว้ ไม่พอกินไม่พอนุ่งห่ม อ้ายปีศาจตัวเดียวเท่านั้น มันทำให้ได้ความเดือดร้อนอย่างนี้
 เห้งเจียถามว่าที่อยู่ของปีศาจมันอยู่ที่ไหน เจ้าเขาเหล่านั้นจึงบอกว่า ที่ดงไม้สนแห้งมีห้วยน้ำไหล ข้างตำบลนั้นมีที่หนึ่งเรียกว่าถ้ำ (ฮ้วยหุ่นต๋อง) ปีศาจนั้นอยู่ในถ้ำอันนี้ แต่มันมีฤทธาอานุภาพมาก มันจับพวกข้าพเจ้าใช้การอยู่เนืองนิตย์ แลเก็บเงินค่าส่วยอะไรไม่รู้ เห้งเจียพูดว่า พวกท่านเป็นเทพอารักษ์จะมีเงินทองอะไรที่ไหน หมู่เจ้าพูดว่าจริงของท่านเงินทองไม่มีจริง ก็ต้องจับละมั่ง กวาง ซาย เอาไปให้มันแทนเงิน มีดังนั้นมันก็แกล้งรื้อศาล ลอกเสื้อและกางเกงเสียสิ้น มันทำแก่พวกข้าพเจ้าทั้งหลายมิให้มีความสุข ขอใต้เซียได้กำจัดปีศาจนี้เสียให้จงได้ ช่วยชีวิตสัตว์ทั้งหลายในตำบลนี้ไว้ ให้พ้นภัยแห่งปีศาจถึงซึ่งความสุข
รูปภาพ ; 陈惠冠・新绘西游记 第四十一火木
เห้งเจียถามว่าปีศาจนั้นมันอยู่ที่ใด มันชื่อใดจงบอกให้รู้ด้วย พวกเจ้าทั้งหลายจึงบอกว่า ปีศาจนี้มันเป็นลูกงู้หม้ออ๋องแม่มันคือล่อซัว มันบวชเรียนรู้วิชาที่เขาฮ้วยเอี๊ยมซัว ได้สามร้อยปีแล้ว มันเรียนอัคคีฌานสำเร็จ งู้หม้ออ๋องให้มันตั้งอยู่ที่ตำบลเขานี้ ชื่อเดิมมันเรียกว่า (อั้งฮั้ยยี้) ยี่ห้อเรียกว่า (เซี้ยเองใต้อ๋อง) เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็ดีใจบอกให้เจ้าทั้งหลายกลับไปยังถิ่นฐานตามเดิม เห้งเจียก็แปลงกายกลับเป็นรูปเดิมเผ่นลงมาจากยอดเขา พูดว่าพี่น้องเราอย่าวิตกเลย อาจารย์เราคงจะไม่ถึงที่ตาย อ้ายปีศาจนี้เกี่ยวเป็นญาติของพี่ มันเป็นบุตรของงู้หม้ออ๋อง แม่มันชื่อนางล่อซัว ชื่อมันเรียกว่า อั้งฮั้ยยี้คิดมาห้าร้อยปี
 ก่อนนั้น ได้ผูกเป็นมิตรสหายกันกับบิดาของมัน คืองู้หม้ออ๋อง ปีศาจนั้นถ้าคิดมามันต้องเรียกเราว่าเป็นอา มันที่ไหนจะอาจฆ่าอาจารย์ เรามาพากันรีบไปตาม ซัวเจ๋งหัวเราะแล้วพูดว่า สามปีไม่ได้ไปมาญาตินั้นก็จะขาดญาติ นี่พี่กับเขาก็จากกันมาห้าร้อยปีกว่าแล้ว มิได้ไปมาหากัน และ ทั้งมิได้พบปะกันเขาจะจำพี่ได้หรือ เห้งเจียพูดว่า แม้ว่าเขาจำเรามิได้ ที่จะฆ่าอาจารย์นั้นก็คงยังฆ่าไม่ได้ พี่น้องทั้งสามพูดกันดังนั้นแล้ว ก็พากันเดินตัดทางไป เดินมาได้ประมาณสองร้อยเล้น แลไปเห็นดงไม้สนที่กลางนั้นมีลำห้วย น้ำในห้วยมีน้ำใสไหลเชี่ยวแรง ที่ปลายลำห้วยนั้นมีสะพานศิลาข้ามตลอดไปกระทั่งถ้ำ พี่น้องทั้งสามยืนพิจารณาดูก็รู้ว่าปีศาจนั้นคงจะอยู่ในถ้ำนี้ เห้งเจียจึงเรียกซัวเจ๋ง ให้จูงม้ากับหาบไปแอบอยู่ในชายป่าแล้ว กำชับว่าจงระวังระไวให้ดี เห้งเจีย โป๊ยก่ายต่างก็ถืออาวุธเดินไปเที่ยวค้นหาเดินเลียบตามลำห้วยขึ้นไป
(บทที่ ๔๑)
 ครั้นมาถึงสะพานศิลาก็พากันเดินข้ามไป ตรงเข้าในถ้ำก็รู้ชัดว่าปีศาจอยู่ แลไปเห็นแผ่นศิลาทั้งอยู่จารึกอักษรแปดตัว คือเขาพ้อซัวห้วยโกช่งกั๊น ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง ข้างหน้าประตูถ้ำนั้นมีบริวารปีศาจอยู่ กำลังโลดโผนถืออาวุธลองฝีมือกัน เห้งเจียเดินเข้าไปใกล้ ร้องตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เฮ้ยเจ้าพวกนั้น มึงจงรีบไปบอกนายมึงว่า จงรีบส่งพระอาจารย์ของกูออกมาโดยเร็ว พวกเจ้าจะได้รอดชีวิตทั้งถ้ำ พวกปีศาจน้อยได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็วิ่งเข้าไปในถ้ำบอกนาย
 ฝ่ายปีศาจตั้งแต่จับถังซัมจั๋งเข้าไปไว้ในถ้ำแล้ว ก็เปลื้องเอาผ้าผ่อนออกหมด ใช้ให้ปีศาจน้อยตักน้ำมารดขัดล้างให้สะอาด โดยที่คิดจะต้มกิน บังเอิญพอปีศาจบริวารมาบอกว่าข้างหน้าถ้ำ มีอ้ายหน้าขนรามสูรพาอ้ายหูใหญ่ปากยาวมาด้วยอีกคนหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าถ้ำ ไม่รู้ว่ามาทวงอาจารย์อะไรของมัน ปีศาจใต้อ๋องได้ฟังบริวารบอกดังนั้นก็หัวเราะพูดว่าสองคนนี้ คือเห้งเจียโป๊ยก่ายจะตามมาค้นหาถังซัมจั๋งพูดดังนั้นแล้ว จึงเรียกบริวารที่แข็งแรง ให้จัดเตรียมเข็นเกวียนเล็กห้าเล่มออกไปตั้งที่ประตูถ้ำ พวกปีศาจบริวารก็จัดแจงเข็นเกวียนออกไปรายตั้งเป็นเหงาเฮ้ง คือตั้งเป็นธาตุ น้ำ ไฟ ลม ไม้ ดิน
 ฝ่ายปิศาจใต้อ๋อง ถือทวนเป็นอาวุธยาวไม่แต่งตัวใส่อะไรสักสิ่งหนึ่ง นุ่งผ้าผืนเดียวเดินตรงออกมาหน้าถ้ำ ร้องตวาดว่าใครที่ไหนสามารถมาอึกกระทึกอยู่หน้าถ้ำเรา เห้งเจียโป๊ยก่ายยืนพิเคราะห์ดูปีศาจหน้าขาวนวลดุจผัดแป้ง คิ้วดุจวงเดือน ริมฝิปากแดงดุจชาด ผมเขียวเกล้าจุก เห้งเจียจึงมึวาจาตอบว่า พ่อหลานรักของอา เจ้าจับอาจารย์ของอาไปพ่อจงรีบส่งออกมาอย่าช้า อย่าให้ถึงความผิดใจกัน บิดาของเจ้าจะติ อาว่าไม่คิดถึงน้ำสาบานที่พูดกันไว้
 ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังเห้งเจียพูดเช่นนั้น ยิ่งบันดาลโทสะดุจไฟเข้าจุดในทรวงอก ร้องตวาดว่าอ้ายชาติลิง เรากับเจ้าเป็นวงศ์ญาติอะไรกัน ใครเป็นหลานของเจ้าที่ไหน เห้งเจียพูดว่านี่แน่หนุ่มน้อยเจ้ายังไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าเมื่อห้าร้อยปีก่อนนั้น ข้ากำลังรบกับเทพยดาข้าผูกสมัครกับบิดาของเจ้า ร่วมสาบานกันเจ็ดคน บิดาเจ้าคืองู้หม้ออ๋อง ข้าคือซีเทียนใต้เซีย ซึงหงอคง คือเรานี้แหละ ในเวลานั้นเจ้าก็ยังไม่เกิด ปีศาจอั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ยิ่งบังเกิดโทสะถือทวนตรงเข้ามาแทงเห้งเจีย ๆ แกว่งกระบองเข้าประจันหน้ารบกันทั้งสองก็เหาะขึ้นกลางเวหา 
 เห้งเจียด่าว่าอ้ายสัตว์เดรัจฉานมึงไม่รู้สูงต่ำ ต่างรบกันโดยกำลังความสามารถอิทธิฤทธิ์แห่งตน ๆ ได้ประมาณยี่สิบเพลงยังไม่แพ้ชนะกัน โป๊ยก่ายยืนอยู่ที่นั่นดูเห็นชัดว่าปีศาจอ่อนกำลังลงแล้ว ไม่มีใจจะรบอยู่แล้ว โป๊ยก่ายเห็นดังนั้น มือถือคราดเหล็กกระโจนเข้าสับปีศาจ ๆ เห็นดังนั้นก็ตกใจล่าถอยหนีกลับลงมายังประตูถ้ำ เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ไล่ติดลงมา ปีศาจมือหนึ่งถือทวนขึ้นยืนบนเกวียน มือหนึ่งกำมือทุบเข้าที่สันจมูกของตัวเองสองที โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะพูดว่า อ้ายนี่ไม่มีความอายมันจะทุบจมูกมันให้เลือดออกแล้วมันจะเอาทาหน้าให้แดง มันจะไปฟ้องที่ไหนดอกกระมังมิได้รู้ว่ามันจะแผลงฤทธิ์
 ปีศาจทุบจมูกสองทีแล้ว ก็ร่ายพระเวทในทันใดในปากลุกเป็นไฟออกมา ในรูจมูกควันก็ฟุ้งออกมามืดมัวไปทั้งอากาศ เกวียนเล็กนั้นไฟก็ลุกขึ้นพร้อมกันแดงไปทั้งท้องฟ้ารอบที่เขตถ้ำนั้น ล้วนแต่ไฟและควันทั้งสิ้นมืดมัวแลไม่เห็นอะไร โป๊ยก่ายแลเห็นดังนั้นก็ตกใจ บอกแก่เห้งเจียว่าเห็นจะไม่เป็นการเสียแล้ว เราเข้ามาอยู่ในถ้ำดังนี้ อย่าได้คิดว่าจะรอดไปได้เลย ข้าพเจ้าจะต้องถูกไฟเผาเป็นแน่ และยิ่งมีรสหอมให้มันอร่อยทีเดียว จงรีบหนีโดยเร็วเถิด พูดแล้วก็ออกวิ่งมิได้เหลียวหลังดูเห้งเจีย โป๊ยก่ายวิ่งข้ามสะพานมา เห้งเจียก็แซกเข้าไปในไฟค้นหาปีศาจ ไฟก็ยิ่งลุกขึ้นแรงกว่าเก่า
         (ถามว่าไฟนี้คือไฟอะไร) ตอบว่าไฟนี้ไม่ใช่ไฟฟ้า ไม่ใช่ไฟป่า คือไฟปีศาจมันฝึกประกอบจิตสำเร็จในทางฌาน เรียกว่าไฟภาคจิต และเรียกว่าไฟซิมม้วยฮวย คือไฟที่จิตเที่ยงเป็นดวงเดียว เห้งเจียถูกควันไฟฟุ้งมืดมัวไม่เห็นปีศาจและไม่เห็นประตูถ้ำ ก็รีบหลีกออกมาพ้นไฟ
 ฝ่ายปิศาจเห็นเห้งเจียหนีออกไปแล้ว เรียกไฟคืนแล้วก็เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตูถ้ำ นึกว่าเอาชัยชนะได้ก็รื่นเริง ฝ่ายเห้งเจียหนีข้ามห้วยมาแล้ว ก็ลดลงยังพื้นดินเดินมา ก็ได้ยินโป๊ยก่ายนั่งคุยอยู่กับซัวเจ๋ง เห้งเจียตวาดว่า อ้ายโป๊ยก่ายมึงชาติหมูเห็นไฟก็หนีเอาตัวรอดมาแต่ผู้เดียว ทิ้งกูไว้อย่างนี้มึงจะเป็นคนได้หรือ โป๊ยก่ายได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้นก็หัวเราะว่า พี่เห้งเจียอันคำโบราณท่านย่อมว่าให้รู้เวลาจึงจะเป็นคนเชี่ยวชาญได้ อ้ายปิศาจมิใช่ญาติของพี่ ๆ ก็ขืนพูดว่ามันเป็นญาติ มันต่อสู้กับพี่แลมันปล่อยไฟไม่มีจิตเกรงดังนี้ยังไม่หนีจะคิดสู้รบอะไรได้ 
 เห้งเจียถามว่าเพลงทวนปีศาจรบกับพี่เจ้าเห็นเป็นอย่างไรบ้าง โป๊ยก่ายพูดว่ามันสู้ไม่ได้จึงช่วยระดมตี เอาคราดสับทีหนึ่งก็บังเอิญมันล่าหนีลงมาเสีย ครั้นมันปล่อยไฟออกมาเมา ข้าพเจ้าก็ต้องเลี่ยง เห้งเจียโป๊ยก่ายนั่งสนทนากันอยู่ ซัวเจ๋งนั่งพิงอยู่ข้างต้นสนกลั้นหัวเราะไม่ได้ เห้งเจียจึงถามว่าน้องหัวเราะอะไร ซัวเจ๋งว่าที่พี่พูดว่าปีศาจสู้ฝีมือไม่ได้นั้นเมื่อข้าพเจ้าตรองไปแล้ว ก็เห็นว่าเป็นความหนุนและยอกันจัดนัก แม้จะเอาชัยชนะก็จะไม่สู้ยากอะไรนัก
 เห้งเจียได้ฟังซัวเจ๋งพูดดังนั้น ก็หัวเราะแล้วจึงว่า พี่น้องพูดดังนั้นก็ถูกต้องแล้ว ถ้าจะเอาความหนุนแลความขัดกันนั้น ก็จะต้องเอาน้ำขัดไฟ ถ้ากระนั้นน้องทั้งสองพักคอยอยู่ที่นี่ก่อน พี่จะไปหาพระยาเล่งอ๋อง ขอแรงให้เอาน้ำมาช่วยดับไฟ สั่งแล้วเห้งเจียก็เหาะไปยังทะเลทิศตะวันออก บัดเดี๋ยวก็มาถึง จึงร่ายพระคาถา​แซกน้ำลงไปยังบาดาน เดินเข้าไปยังปราสาทจุ้ยเจียทำคำนับกันแก่พระยาเล่งอ๋องแล้ว เห้งเจียจึงพูดแก่เง่ากวั้งเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าจะมาขอให้ท่านช่วยธุระสักครั้งหนึ่ง ด้วยบัดนี้ท่านพระถังซัมจั๋งเดินทางมาถึงตำบลเขาพ้อซัว ตำบล (ห้วยโคกั๊น) ถ้ำฮ้วยหุ่นต๋อง
 มีปีศาจอั้งฮั้ยยี้จับเอาตัวพระถังซัมจั๋งไป ข้าพเจ้าได้เข้าชิงชัยแก่ปีศาจ ๆ พ่นไฟออกมาพวกข้าพเจ้าจะเอาชัยชนะมิได้ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงมาขอให้ท่านช่วยทำฝนเพื่อดับไฟสักครั้งหนึ่ง จะได้ช่วยพระถังซัมจั๋งพ้นจากภัยแห่งปีศาจได้ เล่งอ๋องพูดว่า แม้ว่าท่านได้ขอฝนข้าพเจ้าไม่อาจทำเองได้ ถ้าได้ท้องตรารับสั่งของเง็กเซียงฮ่องเต้ พร้อมด้วยเมฆขลารามสูรแล้วจึงจะทำได้
 เห้งเจียพูดว่า ไม่ต้องมีเมฆขลา รามสูรแลเมฆลมทำไม ขอท่านทำน้ำดับไฟให้เท่านั้น พระยาเล่งอ๋องพูดว่าถ้ากระนั้น ท่านคอยสักประเดี๋ยว ข้าพเจ้าจะบอกน้องทั้งสามมาช่วยท่านเป็นกำลัง เง้ากวั้งเล่งอ๋องก็ส่งจิตไปถึงทะเลทิศปราจิณ ทิศอุดร ทิศอาคเนย์ เล่งอ๋องทั้งสามรู้แล้ว ก็พร้อมกันมากับเง่ากวั้งเล่งอ๋องแลบริวารนาค บัดเดี๋ยวก็ถึงเขาพ้อซัว เห้งเจียจึงสั่งว่าท่านทั้งหลายจงหยุดพักอยู่บนอากาศนี้ก่อน ข้าพเจ้าจะต่อสู้กับปีศาจ แม้ได้ทีท่านทั้งหลายไม่ต้องจับ แม้ว่ามันปล่อยไฟออก ข้าพเจ้าจะเรียกท่านทั้งหลายจงพ่นน้ำลงไปดับไฟ เล่งอ๋องทั้งสี่ก็รับคำเห้งเจียคอยจะทำการตามคำสั่ง เห้งเจียก็ลดลงเดินเข้าไปหาโป๊ยก่าย ซัวเจ๋ง บอกให้คนทั้งสองรู้แล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูถ้ำยืนเรียกปีศาจพวกเฝ้าประตูบอกว่า ให้พวกเจ้าเข้าไปบอกนาย พวกปีศาจที่เฝ้าประตูก็วิ่งเข้าไปบอกว่าเห้งเจียมาอีกแล้ว
 อั้งฮั้ยยี้ได้ฟังดังนั้นก็ลุกขึ้นจับทวนให้ปีศาจบริวารเข็นเกวียนไฟออกไป อั้งฮั้ยยี้ออกมาถึงประตูถ้ำแล้ว จึงร้องถามเห้งเจียว่าเจ้าจะมาทำไมอีก เห้งเจียพูดว่ามึงรีบส่งอาจารย์กูออกมาโดยเร็ว อั้งฮั้ยยี้พูดว่า อ้ายหัวลิงมึงชั่งไม่รู้ผันแปร ถังซัมจั๋งเป็นอาจารย์ของเจ้าก็จริง แต่เป็นเครื่องแกล้มเหล้าของเรา เจ้าจะคอยมุ่งหมายจะใคร่ได้คืนนั้น เห็นจะป่วยการเสียแล้ว เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็โกรธดุจไฟเข้าจ่อจุดในอก ชักกระบองออกจากหูตรงเข้าตีปีศาจ อั้งฮั้ยยี้ยกทวนขึ้นรับรบกันได้ประมาณยี่สิบเพลง ปีศาจเห็นจะเอาชัยชนะมิได้ ก็เอาทวนแทงไปทีหนึ่งก็ชักทวนถอยหนี กำหมัดทุบที่สันจมูกสองที ก็พ่นไฟออกเกวียนเหล่านั้นก็เป็นไฟลุกขึ้นบิน ที่ตาที่ปากปีศาจล้วนแต่ไฟลุกบินขึ้นเป็นเปลวแดงทั้งอากาศ
 เห้งเจียหันหน้ามาร้องว่าเล่งอ๋องอยู่ที่ไหน เล่งอ๋องพี่น้องพร้อมกับบริวารก็พ่นน้ำเข้าไปที่ปีศาจจะให้ดับไฟก็มิได้ เพราะน้ำที่พระยานาคพ่นออกนั้น จะดับได้แต่ไฟธรรมดา อันจะดับไฟฤทธิ์ของปีศาจด้วยนั้นมิได้ แม้เอาน้ำรดเข้าไปก็ดุจดังเอาน้ำมันเข้าใส่ไฟให้ลุกมากขึ้น เห้งเจียมุดเข้าไปในไฟจะค้นหาปีศาจ ๆ เห็นเห้งเจียเข้ามา ก็พ่นไฟออกที่หน้าเห้งเจีย เห้งเจียถูกควันไฟเข้าตาก็ทนไม่ได้ หันหน้ากลับมาลืมตาไม่ขึ้นน้ำตาไหลพราก ๆ เห้งเจียนั้นมิได้กลัวไฟ กลัวแต่ควัน​ที่เข้าตาและจมูกปากหายใจไม่ออก เพราะฉะนั้นเห้งเจียจึงต้องถอยหนีกลับออกมา เมื่อปีศาจเห็นเห้งเจียไปแล้ว ก็สั่งให้เก็บเครื่องไฟเข้าถ้ำปิดประตู

06 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 33 ไซอิ๋ว นวนิยาย

ก่อนหน้า 📝   หน้าต่อไป 📖  
  ทั้งหมด   รูปภาพ   วีดีโอ   ข่าวสาร   
        (บทที่ ๓๘) บัดเดี๋ยวก็ถึงพระนคร เข้าประตูเมืองเลยไปยังประตูหลังวังใน เข้าไปในวัง    เวลานั้น นางฮองเฮ้าออกมานั่งอยู่ที่หอเย็น มีสาวใช้เฝ้าอยู่ด้วยสองสามคน นางกำลังคร่ำครวญโศกศัลย์อยู่ โดยเหตุที่ทรงพระสุบินฝันไปถึงพระราชสามี
 พอไท้จื๊อเข้าไปถึงคุกเข่าลงคำนับร้องเรียกว่าพระมารดา ฮองเฮ้าเงยพระพักตร์แลไปเห็นไท้จื๊อ ออกพระโอฐว่าลูกแม่ดีแล้วดีแล้ว สองสามปีแล้วไม่ได้พบเห็น แม่คิดถึงเป็นที่สุด วันนี้ทำไมจึงมาหาแม่ได้เล่า เขาไม่ห้ามปรามดอกหรือ ไท้จื๊อเคารพแล้วพูดว่า ลูกมีธุระจะพูดด้วยพระมารดา ขอจงบอกคนเหล่านี้ให้ออกไปเสียก่อน ฮ่องเฮ้าจึงบอกให้สาวใช้เหล่านั้นออกไปเสียแล้ว ไท้จื๊อพูดว่าขอพระมารดาได้โปรดยกโทษให้ลูกเถิด ลูกจึงจะพูดได้ ฮ่องเฮ้าตรัสว่าแม่ลูกกันทำไมไม่กล้าพูดเล่า เจ้าจงพูดไปเถิด ไท้จื๊อถามว่า พระมารดาอยู่กินอบรมกับพระราชบิดาเมื่อสามปีก่อนกับสามปีหลังนั้นมีความผิดแปลกพระทัยอย่างไรบ้าง
   ฮ่องเฮ้าได้ฟังไท้จื๊อทูลถามดังนั้น ให้หวาดหวิวในพระทัยตกตะลึงไปเป็นครู่ จึงลุกมากอดไท้จื๊อไว้กับอก น้ำพระเนตรตกลงพราก ๆ จึงค่อยกระซิบแต่เบาๆ ถามว่า นี่ลูกไปเอาเหตุการณ์ที่ไหนมาถามแม่ แม้ว่าเจ้าไม่ถามแม่ ถึงแม่ตายไปเมืองนรกแล้ว ความเรื่องนี้ก็ไม่แจ่มแจ้งว่ากระไรเลย แม่จะเล่าให้พ่อฟัง เมื่อสามปีก่อนจะอยู่กินด้วยกันอบอุ่นสุขุมดี เมื่อสามปีหลังมาจนบัดนี้ ความสัมผัสถูกต้องรู้สึกว่าเย็นดุจน้ำแข็งแลกระด้างขัดแข็ง ถามเธอ ๆ ก็บอกว่าอายุมากกำลังก็ถอยไป
   ไท้จื๊อเมื่อได้ฟังพระราช มารดาเล่าให้ฟังดังนั้นก็เคารพจะลาไป ฮ่องเฮ้าจึงยึดไว้ถามว่ามีกิจธุระจะทำไมหรือ เหตุใดไม่พูดให้หมดความจะด่วนไปข้างไหน ไท้จื๊อทูลว่าลูกไม่อาจอยู่ช้า ด้วยเมื่อเช้านี้มีรับสั่งให้ออกไปป่าไล่เนื้อ บังเอิญไปพบพระถังซัมจั๋งแลสานุศิษย์ชื่อเห้งเจีย จะไปไซทีอาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เห้งเจียมีฤทธาอานุภาพอาจปราบภูตผีปิศาจได้ เหตุด้วยพระราชบิดาตายอยู่ที่ในสวน ที่บ่อโป๊ยกั๊กลิวลี่แจ๊ ช่วนจินแปลงเป็นพระราชบิดาชิงราชสมบัติตั้งตั้วอยู่บัดนี้ เมื่อคืนนี้ในเวลาสามยามพระราชบิดาไปเข้าฝัน เชิญเธอทั้งสองมายังเมืองจับปีศาจ
   พระราชบิดาให้หยกขาวแก่พระถังซัมจั๋งไว้เป็นสำคัญ ลูกก็ไม่สามารถจะเชื่อได้ จึงได้เข้ามาถามพระมารดาก็ได้ทราบเหตุการณ์ดังนี้ จึงแน่ใจว่าปีศาจจริงไม่สงสัย จึงส่งหยกขาวให้พระราช มารดาทอดพระเนตร ฮ่องเฮ้ารับหยกมาดูก็รู้แน่ว่า เป็นของพระราชสามีก็ทรงพระกันแสง บอกไท้จื๊อว่า เมื่อคืนนี้เวลาย่ำรุ่งพระบิดาของเจ้ามายืนอยู่ต่อหน้าแม่นี้ เปียกน้ำทั้งพระองค์ บอกว่าเธอสิ้นพระชนม์แล้ว วิญญาณจิตของเธอไปนิมนต์พระถังซัมจั๋งให้ช่วยมาปราบปรามปีศาจ เธอเล่าบอกให้ฟังทุกประการ จำได้บ้างลืมไปเสียบ้าง
   เวลานี้กำลังตรึกตรองอยู่ บังเอิญเจ้าเข้ามาพูดดังนี้ แลทั้งได้เพชรนั้นมาด้วย แม่จะขอเอาเพชรนั้นไว้ก่อน ลูกจงไปเชิญพระถังซัมจั๋งเข้ามา จะได้คิดอ่านกำจัดปีศาจนั้นเสีย เพื่อได้รู้ความเท็จจริง แลจะได้แก้แค้นแทนบิดาด้วย ไท้จื๊อได้ฟังพระราช มารดาสั่งสอนดังนั้น ก็รีบทูลลากลับออกมาขึ้นม้า ตรงไปยังวัด (โป๊ลิ่มยี่) ลงจากม้าเข้าไปหาพระถังซัมจั๋งแต่พระองค์เดียว ครั้นถึงจึงคำนับเห้งเจีย ๆ จับมือไท้จื๊อถามว่า พระองค์ไปพบพระราช มารดาได้ความประการใด
   ไท้จื๊อแจ้งความว่า ข้าพเจ้าได้ถามพระราช มารดาแล้ว พระองค์ทรงเล่าความฝันให้ฟังไม่ผิดเพี้ยนตรงกันทุกประการตามที่ท่านเล่าบอก เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า การก็นานมาถึงสามปีแล้วก็เงียบสงบอยู่ไม่มีผู้รู้เหตุ ขอไท้จื๊ออย่ารีบร้อนจะเสียการ ไว้ธุระข้าพเจ้าจะคิดกำจัดปีศาจนั้นให้จงได้ เวลานี้ก็จวนค่ำแล้ว พระองค์จงรีบกลับไปเมืองก่อน คอยรอเวลาพรุ่งนี้ข้าพเจ้าจะเข้าไป
   ไท้จื๊อพูดว่า มีรับสั่งให้ข้าพเจ้าออกมาไล่เนื้อ ในวันนี้ก็ไม่ได้สัตว์สักตัวเดียว จะกลับเข้าไปก็ยากอยู่ เห้งเจียพูดว่าทำไมจึงไว้ให้จวนเวลาอย่างนี้ พูดแล้วเห้งเจียก็เหาะขึ้นบนอากาศ ร่ายพระคาถาเรียกเจ้าที่เจ้าเขาเจ้าป่ามาพร้อมกันในทันใดนั้น เห้งเจียพูดว่า ขอแรงเจ้าเขาเจ้าป่าทั้งหลาย ให้ช่วยไล่สัตว์ป่ามาให้ไท้จื๊อ เธอจะได้กลับเมือง เจ้าทั้งหลายได้ฟังคำสั่งเห้งเจียดังนั้น ต่างก็พากันไปให้พวกผีไล่ประเดี๋ยวใจ สัตว์ป่าต่าง ๆ ก็วิ่งมาเป็นอันมาก เจ้าทั้งหลายก็มาคำนับบอกเห้งเจีย เห้งเจียก็ร่ายพระคาถาให้สัตว์เหล่านั้นอยู่ที่ข้างทาง เห้งเจียก็กลับลงมาบอกแก่ไท้จื๊อให้ไปจับสัตว์ป่าที่ข้างหน้านั้น
   ไท้จื๊อจึงคำนับพระถังซัมจั๋งแลเห้งเจียแล้ว สั่งให้พวกทหารยกกลับเข้าเมือง ไท้จื๊อขี่ม้าขับพลเดินมาประเดี๋ยวหนึ่ง แลไปข้างหน้าก็เห็นสัตว์ป่ายืนอยู่มากมายหลายตัว พวกพลก็ดีใจพากันเข้าจับได้ต่างคนต่างร้องสรรเสริญว่า ไท้จื๊อมีบุญมากเทพยดาจึงไล่สัตว์มาให้ดังนี้ พวกเหล่านั้นก็หาได้รู้ว่าความศักดิ์สิทธิ์ของเห้งเจียไม่ พวกพลทหารพากันร้องเพลงรื่นเริงมาตามทาง
   ฝ่ายเห้งเจียพระถังซัมจั๋งครั้นไท้จื๊อกลับไปแล้ว ก็พากันกลับเข้าไปพักยังหอพระธรรม ประมาณยามเศษเห้งเจียมีธุระในจิตก็หลับไม่ลง จึงผุดลุกขึ้นมาเดินมาข้างเตียงพระถังซัมจั๋ง เรียกว่าพระอาจารย์ข้าพเจ้ามีธุระอย่างหนึ่ง พระถังซัมจั๋งถามว่ามีธุระอะไรหรือ เห้งเจียว่าเมื่อกลางวันนี้พูดอวดแก่ไท้จื๊อว่า อันจะจับปีศาจนั้นดุจล้วงของในถุง ข้าพเจ้ามานึกขึ้นได้ว่า เห็นจะเป็นการยากมากที่สุดเสียแล้ว
   พระถังซัมจั๋งถามว่ายากด้วยเหตุอย่างไร เห้งเจียพูดว่าพระอาจารย์ก็รู้แต่สวดมนต์ไหว้พระเท่านั้น หาได้รู้การผันแปรอะไรไม่ คำโบราณท่านว่าแม้จับโจรก็ต้องดูท่วงที ปีศาจนี้มันแปลงทำเป็นพระเจ้าแผ่นดินสามปีแล้ว ได้ร่วมสัมผัสสนมนางใน ขุนนางซ้ายขวาก็เป็นที่รื่นเริงด้วยกันทั้งสิ้น แม้ว่าข้าพเจ้าจับได้ปีศาจนั้นก็จะไม่มีข้ออันใดคาดโทษลงได้ 
   พระถังซัมจั๋งถามว่าทำไมจึงจะไม่คาดโทษลงได้
   เห้งเจียพูดว่าปีศาจจะพูดว่าข้าพเจ้าไม่มีผิดอะไร มาจับเขาเอาโทษอะไรมาชี้แจงให้เห็นเท็จและจริง หากเขาจะพูดอย่างนี้เราจะเอาอะไรมาสำแดงเล่าดูไม่ชอบกล
   พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่าถ้าดังนั้นก็สุดแต่เห้งเจียจะคิดอ่านให้การสำเร็จได้ก็แล้วกัน
   เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าได้คิดอุบายไว้อย่างหนึ่งเสร็จแล้ว แต่ยังวิตกด้วยพระอาจารย์มีความป้องกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่าป้องกันด้วยเหตุอะไร
   เห้งเจียว่าโป๊ยก่ายมีความถือตัวว่า อาจารย์มีความลำเอียงเข้าแก่เธอมาก
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมไม่ลำเอียง เห้งเจียจะต้องประสงค์อย่างไรหรือ
   เห้งเจียจึงพูดว่าจะต้องทำการให้ทันในเวลานี้ คือข้าพเจ้ากับโป๊ยก่ายจะต้องเข้าไปในเมืองโอเกยก๊ก แลเข้าไปในสวนดอกไม้ที่บ่อ (โป๊ก๊กลิวลี่แจ๊) ค้นหาซากศพเอามา พรุ่งนี้เราพากันเข้าไปในเมืองทำเป็นจะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทาง แม้เห็นปีศาจได้เข้าไปใกล้ถึงแล้ว ข้าพเจ้าจะตีด้วยกระบอง แม้ว่าปีศาจจะมีความโต้ตอบว่ากระไร เราเอาศพนั้นให้เธอดู แลพูดว่า มึงฆ่าพระเจ้าแผ่นดินแล้วแปลงตัวปลอมเข้านั่งเมือง แล้วให้ไท้จื๊อออกมาร้องไห้ดูศพพระราชบิดา แลให้ฮ่องเฮ้าออกมาพิจารณาดูพระศพพระราชสามี และให้ข้าราชการดูพระศพเจ้านายของตัว ต้องกระทำอย่างนี้ข้าพเจ้าจึงจะลงมือกระทำได้ถนัด เพราะเรามีสิ่งสำคัญเป็นพยานปรากฎมั่นคงแล้ว
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น ก็นึกยินดีอยู่ในใจจึงพูดว่า ซึ่งเห้งเจียคิดอ่านดังนี้ก็ดีแล้ว วิตกแต่โป๊ยก่ายจะไม่ยอมไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า ข้าพเจ้าพูดว่าอาจารย์คอยป้องกัน ทำไมพระอาจารย์จึงรู้ว่าโป๊ยก่ายจะไม่ยอมไปเล่า แม้ว่าพระอาจารย์ไม่ลำเอียงแล้ว อย่าว่าแต่โป๊ยก่ายคนเดียวเลย ให้อีกเก้าโป๊ยก่ายข้าพเจ้าก็มีปัญญาคิดให้ตามหลังข้าพเจ้าไปได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า ตามใจเห้งเจียเห็นชอบเห็นควรอย่างใดก็จงทำเถิด เห้งเจียจึงเดินไปริมเตียงโป๊ยก่าย ร้องเรียกว่าโป๊ยก่ายจงลุกขึ้นเถิด โป๊ยก่ายขี้เซาไม่ลุก เห้งเจียเปิดมุ้งดึงใบหูให้ลุกขึ้น โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ป่านนี้แล้วก็ยังไม่นอน จะมาหยอกอะไรกันอยู่อีก นอนเอากำลังไว้พรุ่งนี้จะให้เดิน เห้งเจียพูดว่าไม่ใช่หยอกเล่น มีธุระสำคัญจะใคร่ให้โป๊ยก่ายไปด้วยกัน โป๊ยก่ายถามว่า มีธุระอะไรที่ไหน เห้งเจียบอกว่า น้องไม่ได้ยินหรือเมื่อกลางวันนี้ไท้จื๊อเธอมาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ปิศาจนั้นมีของวิเศษวันพรุ่งนี้พวกเราจะเข้าไปในเมืองก็คงจะไม่ทันต่อสู้กับปิศาจ แต่วิตกว่าปีศาจมีของวิเศษ ก็จะกลับให้ร้ายแก่พวกเรา จำเป็นพวกเราจะต้องลงมือเสียก่อน ลักเอาของวิเศษนั้นมาเสียจะมิดีหรือ
โป๊ยก่ายว่า นี่พี่จะหลอกให้ข้าไปเป็นโจรโขมยด้วยหรือ ถ้าดังนั้นข้าพเจ้าไปด้วยไม่ได้ หากว่าไปกับพี่แม้ได้ของวิเศษมาข้าพเจ้าจะเอาเป็นของข้าพเจ้า พี่จะยอมให้ข้าพเจ้าหรือ เห้งเจียบอกว่าพี่จะยอมให้ของวิเศษแก่น้อง ตัวพี่จะขอแต่ชื่อเสียงเท่านั้น โป๊ยก่ายได้ฟังดังนั้นก็ดีใจ ผุดลุกขึ้นหยิบเอาเสื้อใส่เสร็จแล้ว ก็พร้อมกันค่อย ๆ เปิดประตูออก เห้งเจียโป๊ยก่ายก็เหาะไปยังเมืองโอเกยก๊ก
   เวลานั้นตีกลองยามได้สองยาม โป๊ยก่ายเห้งเจียก็ลงเดินเข้าไปยังกำแพงชั้นในเผ่นขึ้นไปบนกำแพงแล้วโดดลงไปยังพื้น ก็พากันเดินเที่ยวค้นหาสวนดอกไม้ เห้งเจียเดินมาก่อนเห็นประตูลั่นกุญแจไว้แน่นหนา เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายให้ลงมือ โป๊ยก่ายเอาคราดสับกระชากประตูก็หักพังล้มลงไปสิ้น
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่ 2)
เห้งเจียกระโดดเข้าไปก่อน โป๊ยก่ายตกใจยึดเห้งเจียไว้ พูดว่าเราเป็นขโมยทำอึกกระทึกอย่างนี้ เขารู้เขามิจับตัวเราไปชำระหรือ จะไม่ถึงความตายดอกหรือ เห้งเจียพูดว่าน้องยังไม่รู้ น้องจงพิเคราะห์ดูในสวนนี้ มีต้นผลไม้ดอกไม้ปลาดต่างๆ ดูงดงามหาที่เปรียบมิได้ โป๊ยก่ายว่าไปสนุกทำไมกับของเหล่านั้น รีบไปธุระของเราให้เสร็จจะได้กลับ
   เห้งเจียจึงคิดขึ้นได้ว่า พระอาจารย์ได้ฝันเห็นว่า ที่ใต้ต้นกล้วยนั้นมีบ่อ แลไปก็เห็นต้นกล้วยมีอยู่ต้นหนึ่ง เห้งเจียบอกโป๊ยก่ายว่า ของวิเศษนั้นอยู่ใต้ต้นกล้วยนี้ จึงรีบลงมือขุดเถิด โป๊ยก่ายก็เอาคราดสับลงกระชากต้นกล้วยล้มลงแล้วค่อย ๆ เอาปากคุ้ยดินขึ้นประมาณลึกสักสามสี่ศอก ก็แลเห็นมีแผ่นศิลาใหญ่ปิดขวางอยู่ โป๊ยก่ายดีใจพูดว่า พี่เห้งเจียเห็นจะมีของวิเศษจริง จึงมีแผ่นศิลาปิดอยู่อย่างนี้ เห้งเจียบอกว่าจงงัดเอาแผ่นศิลานั้นขึ้น โป๊ยก่ายก็เอาปากคุ้ยงัดแผ่นศิลานั้นขึ้นแล้ว เห็นมีแสงสว่างฟุ้งขึ้นมาเป็นวาววับ
   โป๊ยก่ายดีใจว่าเป็นของวิเศษ ครั้นพิจารณาดูก็เป็นบ่อ ด้วยแสงพระจันทร์ส่องลงไปจึงได้มีแสงระยับขึ้นดังนั้น โป๊ยก่ายว่าถ้ารู้ว่าเป็นดังนี้ เราได้ติดเอาเชือกมาด้วยก็จะดีได้ลงไป เห้งเจียถามว่าจะลงไปหรือ โป๊ยก่ายว่าข้าพเจ้าจะลงไป เห้งเจียว่าถ้าจะลงไปก็ผลัดเสื้อกางเกงเสีย พี่จะทำให้ลงไปได้โป๊ยก่ายก็ผลัดเสื้อกางเกง เห้งเจียก็เอากระบองวิเศษออกร้องให้ยาว กระบองก็ยาวออกแปดเก้าศอก บอกโป๊ยก่ายให้กอดหัวกระบอง แล้วเห้งเจียก็ค่อย ๆ หย่อนลงไปในบ่อ ครั้นถึงหลังน้ำเห้งเจียร้องถามว่า เห็นของวิเศษหรือยัง โป๊ยก่ายว่าของวิเศษไม่เห็น ๆ แต่น้ำเท่านั้น
   เห้งเจียว่าของวิเศษนั้นจมอยู่ก้นบ่อ จงดำลงไปเอาขึ้นมา โป๊ยก่ายถนัดในการน้ำ เมื่อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็ปล่อยจากกระบองดำมุดลงไป บ่อนั้นลึกลงไปยังบาดาล โป๊ยก่ายดำลงไปทีหนึ่งก็ลืมตาแลดูเห็นมีตึกสูง มีหนังสือจดไว้ที่หน้าประตูว่าตำหนัก (จุ๊ยเจียเกง) โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็ตกใจ สำคัญว่านี่เราออกท้องทะเลใหญ่ ด้วยเดิมโป๊ยก่ายก็มิได้รู้ว่าบ่อนั้นทะลุไปถึงบาดาล บังเอิญบริวารพวกพระยานาคเที่ยวตระเวนตามชายทะเล มาพบโป๊ยก่ายเข้าก็รีบไปบอกแก่ฮั้ยเล่งอ๋องว่า ข้าพเจ้าไปพบคนผู้หนึ่งปากยาวหูใหญ่แหวกน้ำเดินมาขอใต้อ๋องได้ทราบ
   เล่งอ๋องได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่า เห็นทีจะเป็นพ่องง่วนโซ่ยเมื่อวานนี้ เทพารักษ์ได้มานำเอาวิญญาณจิตของเจ้าเมืองโอเกยก๊กไปหาถังซัมจั๋ง บัดนี้จะมาถึงดอกกระมัง จึงเดินออกมาหน้าตำหนักแลเห็นโป๊ยก่าย จึงเรียกว่าพี่พ่องง่วนโซ่ยเข้ามาพักข้างในก่อน โป๊ยก่ายแลไปเห็นเล่งอ๋องก็ค่อยดีใจด้วยคุ้นเคยกันมาแต่ก่อน
   โป๊ยก่ายเข้าไปข้างในตัวยังเปียกน้ำอยู่ จึงคำนับแล้วเข้านั่ง เล่งอ๋องถามว่าข้าพเจ้าได้ยินว่า ท่านรักษาพระถังซัมจั๋งไปประเทศไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมท่านจึงลงมาถึงที่นี่ได้ โป๊ยก่ายตอบว่า อันความจริงก็จริงดังท่านถาม แต่พี่ซึงหงอคงให้ข้าพเจ้าลงมาเอาของวิเศษอะไรที่ท่านก็ไม่รู้ เล่งอ๋องพูดว่า ข้าพเจ้าจะเอาของวิเศษอะไรที่ไหนมาให้ ไม่เหมือนท่านเล่งอ๋องตามมหาสมุทรใหญ่ เธอเหาะเหินเปลี่ยนแปลงรูปกายได้ จึงจะมีของวิเศษ ข้าพเจ้าอยู่ที่นี่แต่ละวันก็มิได้เห็นจะเอาของวิเศษที่ไหนมา
   โป๊ยก่ายพูดว่าท่านเล่งอ๋อง อย่าหลีกเลี่ยงไปเลย แม้มีแล้วจงเอาออกมาเถิด เล่งอ๋องพูดว่ามีก็มีอยู่สิ่งหนึ่งแต่เอาออกไม่ได้ ท่านง่วนโซ่ยไปดูเอาเองเถิด โป๊ยก่ายว่าดีแล้วๆ โป๊ยก่ายเดินตามเล่งอ๋องไปดู ครั้นถึงที่ห้องหอระเบียง เล่งอ๋องยกมือชี้ว่านี่แลของวิเศษแล้ว โป๊ยก่ายแลไปก็เห็นคนนอนอยู่บนเตียง ตัวยาวหกศอก เล่งอ๋องพูดว่านี่แลคือของวิเศษ โป๊ยก่ายเดินเข้าไปใกล้พิจารณาดู ก็เห็นเป็นซากศพคนตาย บนศรีษะสวมหมวกอย่างกษัตริย์ พร้อมเครื่องแต่งตัวล้วนแต่เครื่องกษัตริย์ โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ของวิเศษอย่างนี้เมื่อข้าพเจ้าอยู่เป็นปิศาจ เอามากินเสียกระดูกกองเท่าภูเขา อย่างนี้จะว่าของวิเศษอะไรได้
   เล่งอ๋องพูดว่า ท่านง่วนโซ่ยยังไม่ทราบ นี่แลคือพระเจ้าแผ่นดิน (โอเกยก๊ก) ตกลงมาในบ่อนี้ถึงแก่ความตาย ข้าพเจ้าเอาแก้ววิเศษใส่ปากไว้ รูปกายจึงยังไม่เน่าเปื่อยพอง อยู่มาได้จนทุกวันนี้ แม้ว่าท่านเอาขึ้นไปให้หงอคงบางทีจะหายาวิเศษแก้ ฟื้นเป็นขึ้นได้แล้ว สารพัดของวิเศษท่านจะปราถนาอย่างไรก็คงได้ทั้งสิ้น
   โป๊ยก่ายพูดว่าถ้ากระนั้นท่านเล่งอ๋องกับข้าพเจ้าช่วยกันหามออกไป ท่านจะให้เงินข้าพเจ้าหรือ เล่งอ๋องพูดว่าความจริงนั้นเงินของข้าพเจ้าก็ไม่มี ข้าพเจ้าจะเอาที่ไหนมาให้ท่านเล่า โป๊ยก่ายพูดว่าท่านใช้คนทำไมไม่มีเงินเล่า ถ้าไม่มีเงินข้าพเจ้าก็ไม่หามละ
   เล่งอ๋องพูดว่าท่านไม่หามก็เชิญออกไปเถิด โป๊ยก่ายก็เดินกลับออกไป เล่งอ๋องจึงเรียกบริวารสองคนให้หามศพนั้นออกไปนอกประตูแล้ว เอาแก้ววิเศษบังน้ำ โป๊ยก่ายหันหน้ามาดูก็ไม่เห็นห้องหอ เอามือไปคลำดูก็ถูกซากศพก็ตกใจ รีบโผล่ขึ้นบนหลังน้ำ เกาะอยู่ข้างริมบ่อร้องเรียกว่าพี่เห้งเจีย ส่งไม้กระบองลงมารับข้าพเจ้าด้วย เห้งเจียร้องถามลงไปว่า มีของวิเศษหรือเปล่า โป๊ยก่ายบอกว่าข้างก้นนั้นมีพระยานาคบอกให้ข้าพเจ้าหามศพคนตายขึ้นมา ข้าพเจ้าไม่ยอมหาม เห้งเจียบอกว่านั่นแลของวิเศษแล้ว ทำไมจึงไม่หามขึ้นมาเล่า โป๊ยก่ายบอกว่าเป็นซากศพเปรอะเปื้อนข้าพเจ้าจะหามอย่างไรได้ เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่หามศพขึ้นมาข้าจะกลับไปวัดนอนให้สบายใจดีกว่า
   โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า พี่อย่าเพิ่งไปคอยข้าพเจ้าก่อนจะกลับไปหามขึ้นมา โป๊ยก่ายดำลงไปคลำค้นพบแล้วก็พยุงยกขึ้นวางบนหลังแบกกลับขึ้นมา โผล่พ้นน้ำแล้วจึงร้องเรียกว่าพี่เห้งเจียส่งกระบองลงมารับทีเถิด เห้งเจียก็หย่อนกระบองลงไป โป๊ยก่ายก็อ้าปากกัดกระบอง เห้งเจียก็ค่อย ๆ ลากขึ้นมา โป๊ยก่ายก็วางซากศพนั้นลง เอาเสื้อผ้าผลัดเห้งเจียก็มาพิจารณาดู เห็นรูปกายก็ยังสดใสดุจคนเป็น จึงหันหน้ามาพูดแก่โป๊ยก่ายว่า คนนี้ตายได้สามปีแล้วทำไมจึงไม่ทรุดโทรมเน่าเปื่อย โป๊ยก่ายพูดว่าพี่ยังไม่รู้ที่ใต้บ่อนี้มีเล่งอ๋อง บอกแก่ข้าพเจ้าว่า เธอได้เอาแก้วมณีวิเศษใส่ไว้ในปากศพ รูปกายจึงมิได้ทรุดโทรม เห้งเจียว่าเหมาะแล้ว ๆ ข้อหนึ่งเธอยังมิได้แก้แค้น ข้อสองจะให้หากเราสำเร็จคิด โป๊ยก่ายจงรีบแบกไปเถิด
   โป๊ยก่ายถามว่าจะให้แบกไปที่ไหน เห้งเจียว่าแบกกลับไปหาอาจารย์ โป๊ยก่ายบ่นว่าเรากำลังนอนดี ๆ ถูกอ้ายหัวลิงมันหลอกว่ามีของวิเศษ แล้วมิหนำซ้ำใช้ให้เราแบกคนตายไปอีก เราไม่แบกไปแล้ว เห้งเจียว่าถ้าเจ้าไม่แบกไป ก็จงนอนลงให้เราตีเสียยี่สิบที โป๊ยก่ายตกใจพูดว่า ไม้กระบองใหญ่แม้จะตียี่สิบที ก็จะเหมือนพระเจ้าแผ่นดินนี้เป็นแน่ เห้งเจียพูดว่าแม้เจ้ากลัวตาย ก็จงรีบแบกศพนี้ไปโดยเร็วเถิดข้าจะได้ไม่ตี โป๊ยก่ายก็เข้าพยุงศพขึ้นบนหลังแบกออกจากสวนดอกไม้ 
   เห้งเจียก็ร่ายพระคาถา บันดาลเป็นม้วนลมเป่าหอบเอาโป๊ยก่ายข้ามพ้นกำแพงเมืองออกมา เห้งเจียโป๊ยก่ายก็ลงยังพื้นค่อยๆ เดินไป โป๊ยก่ายเดินพลางนึกแค้นใจว่าอ้ายลิงนี้มันทรกรรมกู กูกลับไปถึงต่อหน้าพระอาจารย์จะแก้แค้นมันบ้าง เดินมาประเดี๋ยวก็ถึงวัด เดินเข้ามาที่หน้าหอ เอาศพวางลงที่หน้าประตู แล้วร้องเรียกว่าอาจารย์ลงมาดูเถิด พระถังซัมจั๋งถามว่าดูอะไร โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ทราบว่าปู่ย่าตายายหรือทวดอะไรของพี่เห้งเจีย ใช้ให้ข้าพเจ้าแบกมานี่แล้ว
   พระถังซัมจั๋งก็รีบเปิดประตูออกมาดู เห็นรูปพระมหากษัตริย์ยังสดใสอยู่มิได้แปรปรวน ดูดุจยังมีชีวิตอยู่ พระถังซัมจั๋งเห็นดังนี้ก็เกิดคาามสังเวชพูดว่า ไม่รู้พระองค์ทำกรรมเวรไว้อย่างไรจึงให้เขาคิดฆ่าได้อย่างนี้ แลทั้งบุตรภรรยาและขุนนางข้าราชการและราษฎรทั้งบ้านทั้งเมืองก็ไม่มีใครรู้เหตุผลคิดดูก็น่าสงสาร พูดดังนั้นแล้วน้ำตาก็ไหลตกลงพร่างพราย โป๊ยก่ายเห็นดังนั้นก็หัวเราะ แล้วพูดว่าเธอก็มิใช่วงศาคณาญาติของอาจารย์ ทำไมจึงได้ร้องไห้ร้องห่มเอาจริงเอาจังอย่างนั้น
   พระถังซัมจั๋งพูดว่า เราบวชเป็นสมณะต้องมีจิตกรุณาปราณีจึงจะควร โป๊ยก่ายทำไมจึงมีจิตคัดง้างอย่างนั้นเล่า
   โป๊ยก่ายพูดว่าไม่ใช่คัดง้าง คือเหตุที่พี่เห้งเจียได้พูดแก่ข้าพเจ้าว่า เธอจะแก้ให้ฟื้นขึ้นอย่างเดิม
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังดังนั้น จึงเรียกเห้งเจียมาพูดว่า แม้ฝีมือประสิทธิ์แก้ให้พระมหากระษัตริย์กลับเป็นมาได้ จะสร้างกุศลสักเจ็ดวันก็สู้ไม่ได้ 
   เห้งเจียพูดว่า ทำไมพระอาจารย์จึงไปเชื่ออ้ายชาติหมูกินรำอย่างนั้นเล่า อันธรรมดาคนตายแล้วได้เจ็ดวันก็ดี หรือเดือนหนึ่งก็ดี ในมนุษย์โลกก็สิ้นกรรมเวรแล้ว ย่อมเคลื่อนไปปฏิสนธิต่อเข้าแห่งภพหน้าถือเอากำเนิดมีวิญญานอีก ในภพใดภพหนึ่ง ก็นี่ตายมาได้ถึงสามปีแล้ว ทำอย่างไรจึงจะแก้ให้คืนกลับเป็นมาได้เล่า
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเห้งเจียพูดชี้แจงดังนั้น จึงพูดว่า ถ้าดังนั้นก็เห็นจะแก้ไม่ได้
   โป๊ยก่ายยังไม่หายโกรธ พูดว่าอาจารย์ถูกเธอหลอกแล้ว ท่านลองภาวนาคาถาดูทีเธอจะแก้ได้หรือไม่ พระถังซัมจั๋งก็เชื่อจึงภาวนา เห้งเจียก็ปวดศรีษะนัยน์ตาทะเล้นออกมาเหลือจะทนได้ จึงร้องขอพระอาจารย์ว่า ท่านจงหยุดก่อน ข้าพเจ้าจะคิดอ่านแก้ไขให้จงได้ พระถังซัมจั๋งว่าจะแก้อย่างไร จงบอกให้เรารู้
(บทที่ ๓๙)
   เห้งเจียตอบว่า จะต้องไปหาพระยามัจจุราชเงียมกุน รับวิญญาณมาจึงจะแก้ได้ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าเชื่อ เธอพูดว่าไม่ต้องไปหาเงียมกุนในมนุษย์โลกแก้จึงจะเห็นคุณ พระถังซัมจั๋งเชื่อฟังโป๊ยก่ายก็ยิ่งภาวนา เห้งเจียก็รับว่าจะรักษาในมนุษย์โลกนี้แหละ โป๊ยก่ายว่าพระอาจารย์อย่าหยุดภาวนาไปเถิด เห้งเจียด่าว่าอ้ายโป๊ยก่าย อ้ายสัตว์เดรัจฉาน มึงยุให้อาจารย์ภาวนาให้กูได้ความเจ็บ โป๊ยก่ายหัวเราะแล้วพูดว่า พี่เห้งเจียแกซิรู้จักแกล้งข้าพเจ้า ๆ จะไม่รู้จักแกล้งแกบ้างหรือ เห้งเจียจึงพูดว่าอาจารย์จงหยุดเถิด รอให้ข้าพเจ้าไปหายามาแก้เถิด
   พระถังซัมจั๋งว่าจะไปหายาที่ใหน เห้งเจียบอกว่าจะไปหายาบนสวรรค์ คือจะไปหาท้ายเสียงเล่ากุน ขอยาวิเศษสักเม็ดหนึ่ง เรียกวิญญาณเข้ารูปได้ ก็จะฟื้นขึ้นยังเดิม พระถังซัมจั๋งจึงบอกว่า เห้งเจียจงรีบไปหายาเถิดอย่าได้ช้าเลย เห้งเจียว่าเวลานี้ก็ได้สามยามมาแล้ว จะไปมาก็พอสว่างพอดี คนก็กำลังนอนเงียบสงัด จะได้ใครร้องไห้ศพสักคนหนึ่งจึงจะดี โป๊ยก่ายว่าพี่เห้งเจียไม่ต้องพูด การร้องไห้เป็นธุระของข้าพเจ้าจะร้องเอง เชิญพี่ไปหายาเถิดอย่าเป็นห่วงเลย เห้งเจียพูดว่าไหนเจ้าลองร้องให้ข้าฟังเป็นตัวอย่างดูทีหรือจะได้หรือไม่ โป๊ยก่ายก็อ้าปากร้องไห้ไม่หยุดสะอึกสะอื้นคร่ำครวญดุจคนร้องไห้หน้าศพจริง ๆ 
   โป๊ยก่ายร้องจนผู้ฟังเกิดความสมเพศน้ำตาออก พระถังซัมจั๋งได้ฟังโป๊ยก่ายคร่ำครวญก็เกิดสังเวชสลดจิตจนน้ำตาไหล เห้งเจียก็อดหัวเราะไม่ได้แล้วพูดว่า ร้องไห้อย่างนี้ดีแล้ว จงร้องไปอย่าหยุด แม้ว่าไม่ร้องจะเฆี่ยนยี่สิบที โป๊ยก่ายพูดว่าพี่จงไปเถิด พนักงานร้องไห้อยู่กับข้าพเจ้าเอง เห้งเจียก็เหาะขึ้นไปยังประตูสวรรค์ น่ำทีหมึง ชั้นดุสิต เข้าไปยังวิมานท้ายเสียงเล่ากุน เดินเข้าไปในประตู เวลานั้นท้ายเสียงเล่ากุน กำลังปรุงยาอยู่ในห้องยา เห็นเห้งเจียเข้ามา ร้องสั่งสานุศิษย์ทั้งหลายว่าจงระวังยา อ้ายหัวขโมยยามาแล้ว
   เห้งเจียคำนับแล้วก็พูดว่า ข้าพเจ้าเดี๋ยวนี้ไม่เหมือนแต่ก่อนแล้ว ท้ายเสียงเล่ากุนถามว่า อ้ายลูกลิงทำไมไม่ไปตามพระถังซัมจั๋ง มาที่นี่มีธุระอะไรหรือ เห้งเจียจึงเล่าเหตุซึ่งพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้เล่ากุนฟังทุกประการ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอความกรุณา ขอยาวิเศษที่เรียกวิญญาณให้คืนได้สักพันเม็ด จะได้เอาไปแก้พระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้กลับเป็นมาตามเดิม
   เล่ากุนพูดว่ายาวิเศษจะขอไปพันเม็ดนั้นจะเอาไปกินเล่นต่างข้าวหรือ ยานั้นไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า โปรดให้ทานสักร้อยเม็ดก็เอาเถิด ท้ายเสียงเล่ากุนพูดว่าไม่มีจงไปเถิด เห้งเจียก็ลุกขึ้นเดินออกไป เล่ากุนหวนคิดขึ้นมาว่าเห็นจะไม่ได้การ ด้วยอ้ายลิงตัวนี้ฝีมือดีตัวสำคัญ บอกให้ไปก็ไปเอาง่ายๆ ดังนี้ มันคงจะหวนกลับมาลักเอายาเป็นแน่ คิดเห็นดังนั้นแล้วก็เดินตามออกมา เรียกว่าเห้งเจียจงกลับมาก่อน เราจะให้ยาไปแต่สักหนึ่งเม็ด
   เห้งเจียพูดว่าท่านเล่ากุน แม้ว่ารู้ฝีมือข้าพเจ้าก็จงเอายามาให้เสียดี ๆ เล่ากุนก็เอาน้ำเต้ามาเทยาออก หยิบยาหนึ่งเม็ดส่งให้เห้งเจีย เห้งเจียรับยานั้นมาแล้วก็คำนับลาเล่ากุนออกจากประตูน่ำทีหมึง เหาะมายังวัดโป๊ลิ่มยี่ ก็ยังได้ยินเสียงโป๊ยก่ายร้องไห้อยู่ไม่หยุด เห้งเจียก็เข้ามายังหอธรรมร้องเรียกอาจารย์ พระถังซัมจั๋งถามว่าเห้งเจียมาแล้วหรือ ได้ยามาหรือไม่
   เห้งเจียบอกว่าได้มาแล้ว จึงร้องบอกโป๊ยก่ายว่าไม่ต้องร้องไห้แล้ว จงหลีกไปร้องที่อื่นเถิด แล้วเรียกซัวเจ๋งให้ไปตักน้ำมา ซัวเจ๋งก็เอาถ้วยแก้วไปตักน้ำที่บ่อมาส่งให้เห้งเจีย ๆ ก็คายยาออกจากปากวางลงในปากศพพระเจ้าแผ่นดิน แล้วเอาน้ำกรอกลงไป ยาก็ลงไปในท้องบัดเดี๋ยวก็ได้ยินท้องร้อง แต่ร่างกายยังไหวติงไม่ได้ พระถังซัมจั๋งว่าตายมานานแล้วลมกำลังก็สิ้นเสียแล้ว อย่างนี้ถ้าได้ใครต่อลมจึงจะฟื้นได้ โป๊ยก่ายได้ยินดังนั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะต่อให้ พระถังซัมจั๋งว่า ตัวกินสัตว์เมือกคาวยังมีอยู่ลมปากไม่สะอาด ให้เห้งเจียเขาต่อเถิด เพาะเขาบวชเรียนตั้งแต่เล็กมา กินแต่ผลไม้ลมก็สะอาดดี
   เห้งเจียนั่งก้มลงเอาปากจดกับปากศพพระเจ้าแผ่นดินแล้ว เปิดปากออกเป่าลมเข้าไปในคอหอยลมก็แล่นลงไปกระทั่งท้องน้อย สักประเดี๋ยวมือและเท้าก็กระดิกได้ แลร้องเรียกพระอาจารย์คำหนึ่ง ก็ผุดลุกขึ้นคุกเข่าอยู่กับพื้นพูดว่าเมื่อคืนวานนี้ยังจำได้ว่า จิตยังเป็นผีมานะมัสการท่าน วันนี้กลับคืนเป็นอย่างมนุษย์โลกแล้ว พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็เข้าพยุงประคองให้ลุกขึ้น เชิญให้นั่งที่อันสมควรแล้ว
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดจัดของแจมาถวายพระถังซัมจั๋งเวลาเช้า แลไปเห็นพระเจ้าแผ่นดินก็พากันตกใจมีความสงสัย เห้งเจียจึงเดินออกไปบอกว่าท่านทั้งหลายอย่ามีความสงสัยเลย นี่คือพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เป็นเจ้านายของท่านทั้งหลาย เมื่อสามปีก่อนปีศาจมันฆ่าตาย เมื่อคืนนี้ข้าพเจ้าช่วยชีวิตกลับคืนมาได้วันนี้จะเข้าไปในเมือง ชำระให้รู้เท็จและจริง แม้มีเครื่องแจขอให้พวกข้าพเจ้ากินสักมื้อหนึ่ง จะได้เข้าไปในเมือง พวกพระสงฆ์เมื่อได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น ก็จัดเครื่องแจมาเลี้ยง เห้งเจียจึงบอกให้เจ้าเมืองถอดเครื่องสำหรับกษัตริย์นั้นออกเสีย ขอผ้าขาวสมภารมาสองผืนผลัดนุ่งห่มเป็นตาปะขาวดาบส
   เห้งเจียเห็นดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่าท่านแต่งตัวดังนี้ตามพวกข้าพเจ้าเข้าไปในเมือง
   พระเจ้าแผ่นดินคุกเข่าลงคำนับแล้วพูดว่า ท่านเปรียบประดุจบิดามารดาบังเกิดข้าพเจ้ามาใหม่ ท่านไปไหนข้าพเจ้าจะขอติดตามท่านไปกว่าจะหาชีวิตไม่ เห้งเจียว่าท่านไม่ต้องไป เมื่อไปในเมืองกำจัดปีศาจแล้ว ท่านจะได้อยู่รักษาบ้านเมืองและราษฎรต่อไป พวกข้าพเจ้าก็จะขอลาไปไซที พูดดังนั้นแล้วก็พร้อมกันออกจากวัด ตรงมายังเมืองโอเกยก๊ก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดห้าร้อยรูป ก็เดินตามออกมาส่งจนสิ้นเขตอาวาส เห้งเจียจึงพูดแก่พระสงฆ์ทั้งหลายว่า ขอท่านทั้งหลายจงกลับยังกุฎิวิหารเถิด อย่าติดตามมาให้อื้อฉาวเลยจะทำให้เสียการไป จงรักษาแต่เครื่องของพระมหากษัตริย์ไว้ให้จงดี เมื่อข้าพเจ้ากำจัดปีศาจแล้ว ท่านทั้งหลายจึงค่อยนำมาถวายเถิด ข้าพเจ้าจะได้เสนอความชอบให้แก่ท่านทั้งหลาย พระสงฆ์ทั้งหลายได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้นก็พากันกลับวัดทั้งสิ้น
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งกับสานุศิษย์เดินมาได้ครึ่งวันก็ถึงเมืองโอเกยก๊ก ครั้นเดินเข้าไปใกล้กำแพงเมือง เห้งเจียจึงเชิญให้อาจารย์ลงจากม้าแล้ว ห้าคนก็พากันเดินเข้าไปในเมือง ครั้นถึงประตูพระราชวังเห้งเจียบอกแก่ขุนนางกรมวังว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถัง พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ มีรับสั่งให้ไปประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้มาถึงนี่จะขอประทานเปลี่ยนหนังสือเดินทาง ขอท่านเจ้าพนักงานได้นำความขึ้นกราบทูลให้ทรงทราบ อันกุศลก็จะมีแก่ท่านด้วย พวกขันทีก็นำความขึ้นกราบทูลทรงทราบแล้ว จึงรับสั่งให้นำเข้าไปเฝ้า พวกขันทีจึงออกมาพาพระถังซัมจั๋งกับศิษย์เข้าไปเฝ้า
   ครั้นถึงหน้าพระที่นั่ง เห็นขุนนางข้าราชการข้ายขวา ยืนเฝ้าอยู่ตามหน้าที่เป็นลำดับ เห้งเจียจึงนำพระถังซัมจั๋งมายืนอยู่ข้างหน้าไม่สะดุ้งหวาดหวั่น พวกขุนนางแลเห็นดังนั้น ต่างก็ตกใจทุก ๆ คนแล้วพูดว่า พระสงฆ์ป่าดงอะไรที่ไหนมาก็ไม่รู้ เข้าเฝ้าเจ้านายก็ไม่มีความเคารพคารวะอย่างนี้ ขุนนางเหล่านั้นพูดยังไม่ทันขาดคำ พญามารก็ถามว่า พระสงฆ์เหล่านี้อยู่ที่ไหน เห้งเจียทำหน้าชื่นพูดว่า พวกข้าพเจ้าอยู่เมืองใต้ถังอันเป็นพระมหานครใหญ่ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ รับสั่งให้ไปเมืองไซที อาราธนาพระธรรม บัดนี้มาถึงเมืองนี้จะขอเปลี่ยนหนังสือเดินทางตามธรรมเนียม
   พญามารว่าหนังสืออยู่ที่ไหนจงเอามาดู เห้งเจียจึงเอาหนังสือส่งขึ้นไปถวาย พญามารรับแล้วคลี่ออกอ่าน ถามว่าเดินออกจากเมืองแต่คนเดียวมาตามทางได้ศิษย์อีกสามคน รวมเป็นสี่คนด้วยกัน ก็อีกคนหนึ่งนั้นทำไมไม่มีในหนังสือดูน่าสงสัย คนนั้นคือชื่อแซ่อะไร แลอยู่ที่ไหนจีบมาดูทีหรือ เจ้าเมืองโอเกยก๊กได้ยินดังนั้นก็ตกใจ จนตัวสั่นสิ้นสติถามเห้งเจียว่าจะทำอย่างไรดี เห้งเจียจึงมาจับมือพูดว่าท่านอย่ากลัว ข้าพเจ้าจะรับแทนท่านเอง เห้งเจียจึงเดินขึ้นมาข้างหน้า บอกว่าคนนั้นเป็นใบ้พูดไม่ออก หูก็หนวกไม่ได้ยินเสียงพูด ยันการร้ายดีมูลเหตุของคนนั้น ข้าพเจ้าทราบได้ทั้งสิ้น สามารถจะชี้แจงแทนได้ทุกประการ 
   พญามารพูดว่า ถ้ากระนั้นจงชี้แจงตามความจริงจะได้ไม่ต้องถือโทษโกรธขึง เห้งเจียจึงพูดว่า คนนั้นตั้งแต่เล็กมาจนแก่ หูหนวกเป็นใบ้ จิตใจซึมเซอะบ้านเรือนเคหาก็ป่นปี้ บ้านเกิดเมืองเดิมอยู่ตำบลนี้ เมื่อห้าปีก่อนก็ทรุดโทรมแห้งแล้งไม่มีฝน ชาวชนทั้งหลายได้รับความเดือดร้อนอดอยาก ครั้งนั้นมีอาจารย์ (ช่วนจิน) มาจากเขาเจงน่ำซัว มีวิชาเรียกลมเรียกฝนได้ ต่อมาช่วนจินเอาคนนั้นผลักลงบ่อแล้ว ชิงเอาราชสมบัติมาจนเท่าบัดนี้ได้สามปีแล้ว ข้าพเจ้าได้ช่วยเป็นกำลังแก้ไขตายแล้วให้กลับเป็นขึ้น จะมาที่ประสาทกิมหลวนเต้ยนี้ เพื่อจะใคร่รู้เท็จจริง จับปีศาจมารร้ายฆ่าเสียแล้ว จะได้ยกขึ้นครองราชสมบัติไปตามเดิม
   เมื่อปีศาจมารร้ายได้ฟังเห้งเจียชี้แจงดังนั้น มีความสะดุ้งตกใจกลัวสีหน้าเผือดสลดลงทันที ลุกจากที่เดินมาชักเอาเกี่ยมที่ขุนนางนายทหารออกอันหนึ่งได้แล้ว ก็เหาะหนีขึ้นไปยังอากาศ ซัวเจ๋งโกรธร้องดุจเสียงฟ้าลั่น โป๊ยก่ายก็เคืองเห้งเจียว่า เพราะพูดเอาเรื่องเหล่านั้นมาให้มันรู้ มันจึงร้อนใจอยู่มิได้ จึงดั้นเมฆหนีไป เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า พี่น้องทั้งหลายอย่าพูดวุ่นวายไป จงให้เชิญไท้จื๊อมาคำนับพระราชบิดาก่อน แล้วให้เชิญฮ่องเฮ้าสนมนางในออกมารับพระราชสามี แลให้ขุนนางทั้งหลายมาคำนับเจ้าเดิมของตนแล้ว จึงค่อยคิดจับปีศาจ ซัวเจ๋งก็จัดการตามสั่งทุกประการ
   ฝ่ายเห้งเจียก็รีบเหาะขึ้นกลางอากาศ แลไปทั่วทั้งแปดทิศ ก็เห็นปีศาจหนีไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ เห้งเจียก็รีบเหาะตามไป ครั้นใกล้ก็ตวาดด้วยเสียงอันดังว่า อ้ายมารร้ายมึงจะหนีไปข้างไหน ซึงเห้งเจียมาแล้ว
   ฝ่ายช่วนจินมือถือเกี่ยมหันหน้ากลับมาพูดด้วยเสียงอันดังว่า แม้เราชิงราชสมบัติก็เป็นของผู้อื่นมิใช่ของเจ้า เรียกว่ามิใช่การของตัวเลย เหตุไฉนเจ้าจึงจะมากั้นกางกีดขวางเราเล่า เห้งเจียหัวเราะแล้วพูดว่า อ้ายมารร้ายมึงช่างตับใหญ่ทำไมไม่นั่งเมืองอยู่เล่า จะหนีกูไปข้างไหนมึงจงมาลองกินกระบองดูสักทีเถิด จะได้รู้รสชาติไว้ว่าจะหวานมันประการใด ช่วนจินได้ฟังเห้งเจียว่าดังนั้นก็โกรธ ถือเกี่ยมตรงเข้ามาฟันเห้งเจีย ๆ ยกกระบองขึ้นรับ ต่อสู้กันได้สองสามเพลงปีศาจทานกำลังเห้งเจียไม่ได้ ก็ล่าถอยหนีกลับเข้าในเมืองไปยังหน้าพระที่นั่ง แล้วแปลงกายเป็นพระถังซัมจั๋งยืนอยู่หน้าบัลลังค์แก้ว
   เห้งเจียก็ไล่ติดตามมาจะตีด้วยกระบอง อ้ายปีศาจแปลงร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก เห้งเจียชักกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง ๆ ก็ร้องว่าเห้งเจียอย่าตีอาตมาเองดอก มีถังซัมจั๋งปลอมแลถังซัมจั๋งจริง สองคนดังนี้ก็ย่อมเป็นที่ฉงน เห้งเจียไม่รู้ที่จะทำประการใด จึงร้องเรียกโป๊ยก่ายซัวเจ๋งมาถามว่า คนไหนเป็นปีศาจแน่ คนไหนอาจารย์ของเราเจ้ารู้จักหรือไม่
   โป๊ยก่ายพูดว่าก็พี่ไล่ติดตามมาข้าพเจ้าเหมือนคนตามืดเห็นมีสองคนอย่างนี้ก็ไม่รู้ว่าคนไหนปีศาจ คนไหนอาจารย์ของเรา เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงร่ายพระคาถาเรียกเทพารักษ์ก็มาในทันใดนั้น เห้งเจียจึงถามว่าข้าพเจ้าจับปีศาจ ๆ มันกลับแปลงเหมือนพระอาจารย์ยากที่จะรู้ได้ แม้ว่าท่านทั้งหลายเห็นจงเชิญอาจารย์ขึ้นบนแท่นข้าพเจ้าจะได้จับปีศาจ
   ฝ่ายปีศาจช่วนจินครั้นได้ยินเห้งเจียพูดดังนั้น ก็รีบขึ้นแท่นก่อน เห้งเจียยกกระบองจะตีพระถังซัมจั๋ง พวกเทพารักษ์ก็เข้ากั้นไว้บอกว่าใต้เซีย ปีศาจมันขึ้นแท่นก่อนแล้ว เห้งเจียไล่ขึ้นไปปีศาจก็กระโดดลงจากแท่น มาจับพระถังซัมจั๋งชุลมุนอยู่ในหมู่คน เห้งเจียในใจให้ร้อนรน โป๊ยก่ายยืนหัวเราะอยู่แล้วพูดว่า พี่เห้งเจียพูดว่าข้าพเจ้าเป็นหมู พี่ก็เหมือนข้าพเจ้าเหมือนกันอันอาจารย์นั้นยากที่จะรู้ได้ ทำไมพี่ไม่จำที่ปวดหัวนั้นเล่า พี่จงเรียกอาจารย์ให้ภาวนา ถ้าปีศาจไม่รู้ก็จะภาวนาบ้างอย่างนี้ก็จะไม่ยากอะไรเลย
   เห้งเจียได้ฟังโป๊ยก่ายพูดดังนั้น จึงหันหน้ามาพูดแก่พระอาจารย์ว่า ขอพระอาจารย์จงภาวนาคาถาให้ข้าพเจ้าดูที พระถังซัมจั๋งก็ภาวนาเห้งเจียก็ปวดศรีษะ ปีศาจเห็นดังนั้นก็ภาวนาบ้างปากบ่นพึมพำเห้งเจียก็ไม่เป็นไร โป๊ยก่ายจึงร้องว่าอ้ายบ่นพึมพำนั้นแลปีศาจแล้ว โป๊ยก่ายก็ชักคราดมาสับลงที่ปีศาจ ๆ ก็เหาะขึ้นบนเวหาหนีไป โป๊ยก่ายร้องตวาดด้วยเสียงอันดังแล้วก็ขึ้นตามไปบนเวหา ซัวเจ๋งเห็นดังนั้นก็จับพลองไล่ตามขึ้นไปซ้ายขวาช่วยกันระดมตี เห้งเจียหัวเราะว่าเราจะเข้าประจันหน้ามันก็จะหนีไป จำเราจะขึ้นบนสูงก่อนแล้วกระแทกลงมาจึงจะดี
   คิดดังนั้นแล้วก็เหาะขึ้นไปบนสูงกว่าโป๊ยก่ายซัวเจ๋ง จะใคร่เอากระบองกระแทกลงที่ศรีษะปีศาจ แลไปข้างทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เห็นคนอยู่ในกลบเมฆ ร้องเรียกด้วยเสียงอันดังว่าเห้งเจียอย่าเพิ่งลงมือ เห้งเจียแลเห็นพระโพธิสัตว์บุญซู้ เห้งเจียก็เก็บกระบองเสียพนมมือ คำนับถามว่าพระโพธิสัตว์จะไปข้างไหนมา พระบุญซู้ตอบว่าอาตมาจะมาช่วยจับปีศาจ จึงเอากระจกออกจากมือเสื้อ ส่องตรงปีศาจ ปีศาจก็หนีไปไม่ได้ เห้งเจียแลดูในกระจกเห็นรูปร่างดุร้ายจึงถามพระโพธิสัตว์ว่า สิงห์โตตัวนี้ของท่านสำหรับขี่หรือทำไมจึงหนีมาได้
   พระโพธิสัตว์บอกว่าไม่ใช่เธอจะหนีเอง พระเป็นเจ้าใช้มาเพื่อลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก ด้วยเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก มีจิตศรัทธารักษาศีลกินแจ พระเจ้าให้อาตมาแนะนำเพื่อให้เธอสำเร็จซึ่งมรรคผล อาตมาแปลงเป็นพระสงฆ์ปุถุชนมาบิณฑบาตข้าวแจ ถามเธอสองสามคำที่เธอไม่พอใจ เธอโกรธก็จับเอาอาตมภาพมัดแช่น้ำไว้ที่หน้าตำหนักแพสามวันสามคืน เพราะฉะนั้นพระเป็นเจ้าจึงได้ใช้ให้สิงห์โตตัวนี้มา มาลงโทษเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กให้สิ้นเวรสิ้นกรรม บัดนี้ท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ได้สำเร็จความคิดแล้ว
   เห้งเจียถามว่า อันทรมานเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊กนั้นก็เป็นอันสมควรว่าสิ้นเวรกรรมแล้ว แต่ข้อนี้ผิดประเวณีแก่ฮ่องเฮ้าแลสาวสนมนั้นจะไม่มีโทษส่วนหนึ่งหรือ พระโพธิสัตว์ว่า ส่วนนั้นไม่เป็นไร เพราะเธอเป็นสิงห์โตมา เห้งเจียว่าถ้าดังนั้น ขอพระโพธิสัตว์ได้เรียกกลับคืนไปเถิด พระโพธิสัตว์บุญซู้จึงร้องเรียกว่าอ้ายสัตว์ยังไม่กลับไปหรือ ปีศาจก็แปลงเป็นรูปเดิม พระโพธิสัตว์เอาดอกบัววางสะกดไว้แล้ว ขึ้นบนหลังแล้วก็บันดาลเป็นแสงสว่างเหาะไปยังเขาเง่าท้ายซัว ฝ่ายเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งทั้งสาม เห็นพระโพธิสัตว์กลับไปแล้ว ก็พากันเหาะกลับลงมาเข้าในพระราชวังใน

05 มิถุนายน 2568

[เล่ม 2] ตอนที่ 32 ไซอิ๋ว นวนิยาย

       (บทที่ ๓๖) ครั้นเดินไปได้หลายเวลาถังซัมจั๋งแลไปข้างหน้าเห็นมีภูเขาใหญ่ขวางอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงเรียกสานุศิษย์มาถามว่า นั้นภูเขาอะไรขวางหน้าอยู่ จะมีอะไรบ้างดอกกระมัง พวกเราจงระวังระไว เกลือก ว่าจะมี ผี ปิศาจยักษ์อยู่บ้าง
   เห้งเจียพูดว่า ท่านอาจารย์อย่าวิตกคิดวุ่นวายไป จงตั้งจิตให้แน่วแน่ลงเป็นหนึ่ง สารพัดเหตุการณ์ก็จะไม่มีอยู่เอง พระถังซัมจั๋งถามว่า หนทางที่จะไปไซที ทำไมจึงมีความลำบากอย่างนี้ อาตมาจำได้ตั้งแต่ออกจากเมืองมา คิดได้สี่ห้าปีแล้วก็ยังไม่ถึง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นก็หัวเราะแล้วพูดว่า ไม่ช้าไม่เร็ว ยังมิได้จากประตูเลย ท่านอาจารย์อย่าได้เอามารำพึงเป็นอารมณ์เลย จงวางอารมณ์ตั้งหน้าไปเถิด
   แม้มีความเพียรแล้ว ความประสงค์อย่างใดก็คงสำเร็จดังความปราถนาทั้งสิ้น พูดกันพลางศิษย์กับอาจารย์ก็พากันเดินมาเวลาก็จวนจะใกล้ค่ำ แลไปเห็นที่ริมปากช่องเขา มีตึกห้องหอเรียงระดับกันเป็นแถวๆ พิศดูเห็นเป็นอารามวัดใหญ่ พระถังซัมจั๋งก็ลงจากม้าพากันเดินเข้าไป ครั้นมาถึงประตูใหญ่ แลขึ้นไปเห็นมีอักษรใหญ่ห้าตัวบอกนามวัดว่า (กือเซ็กซูโป๊ลิ้มยี่) คือวัดหลวงสร้าง
   เห้งเจียถามว่าใครจะเข้าไปขออาศัยนอน ถังซัมจั๋งว่า อาตมจะเข้าไปเอง ว่าแล้วก็จัดครองจีวรนุ่งห่มเรียบร้อยเป็นปริมณฑลแล้ว ก็เดินเข้าไปในประตูชั้นที่หนึ่ง มองเข้าไปก็เห็นมีรูปเจ้ากิมกังบูชาอยู่ เดินเข้าไปในประตูชั้นที่สอง เห็นมีรูปเจ้าท้าวจัตตุโลก หลังรูปเข้าไปในประตูชั้นที่สาม แลไปเห็นมีไม้สนต้นใหญ่สี่ต้น มีต้นหนึ่งมีพุ่มออกสาขาปกคลุมร่มรื่น แลไปข้างนั้นมีพระอุโบสถใหญ่
   พระถังซัมจั๋งสำรวมกริยาแล้ว ก็เดินเข้าไปนมัสการพระพุทธรูป แล้วก็เดินไปทางข้างหลังพระอุโบสถ แลไปเห็นอุบาสกคนหนึ่งเดินออกมา พระถังซัมจั๋งจึงพูดว่า อาตมภาพมาจากเมืองไต้ถังจะไปไซที บัดนี้มาถึงตำบลนี้ก็จวนค่ำแล้ว จะขออาศัยพักสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป
 อุบาสกผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ามิใช่เจ้าของวัด เป็นแต่คนกวาดล้าง เจ้าวัดท่านยังมีอยู่ข้างใน ข้าพเจ้าจะเรียนถามท่านก่อน ถ้าท่านยอมให้อาศัย ข้าพเจ้าจะมานิมนต์เข้าไป อุบาสกนั้นรีบกลับเข้าไปบอกว่า ขอท่านได้ทราบข้างนอกมีแขกมาหา ท่านเจ้าอาวาสก็เดินออกมา แลไปเห็นพระถังซัมจั๋ง ก็เกิดโทโสพูดดุอุบาสกว่า คนเช่นนี้เฆี่ยนเสียจึงจะดี ตัวไม่รู้หรือเราเป็นพระสงฆ์ราชาคณะมีเกียรติยศ ถ้ามีขุนนางมีวาสนายศศักดิ์ควรเราจะออกมารับ นี่เป็นแต่พระสงฆ์อาคันตุกะจรมา ทำไมจึงต้องให้เราออกมาเชื้อเชิญเล่า ทั้งพิเคราะห์ดูกิริยาก็เป็นพระสงฆ์เดินหน เวลานี้ก็จวนจะค่ำเธอจะใคร่มาขออาศัยพัก ในกุฎีนี้จะให้เธอเฃ้าอาศัยได้หรือ บอกเธอให้ออกไปตามแต่จะโลดเต้นที่ข้างนอกระเบียงนั้นเถิด ตัวมาบอกทำไม พูดดังนั้นแล้วก็ห้นหน้าเดินกลับเข้าไปข้างใน
   เมื่อพระถังซัมจั๋งได้ฟังพระสมภารพูดดูถูกอย่างนั้น ก็ให้เกิดความโทมนัสจนน้ำตาไหลอาบหน้า จึงบ่นว่าอนิจจังอนิจจา เหมือนคำโบราณว่า ออกจากบ้านแล้วก็มีแต่ความต่ำช้า อาตมานี้อุปสมบทมาตั้งแต่ยังเล็ก ๆ ก็ยังหาได้ประพฤติผิดธรรมวินัยไม่ แลมิได้รู้ว่าชาติปางก่อน ทำผิดแก่ฟ้าแลดินไว้อย่างไรหรือ จึงบันดาลให้เรามาปะพบซึ่งผู้ไม่ชอบธรรมเช่นนี้ สมภารมิให้เราพักก็ตามทีเถิด เหตุไรจะถือตัวแลบอกให้เราไปโลดเต้นข้างระเบียงนั้นเล่า อันตามธรรมเนียมจะต้องมีความเคารพเป็นต้น จำเราจะต้องตามเข้าไปถามดูสักคำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งคิดแล้วก็เดินเข้าไปหน้ากุฎิ แลไปเห็นสมภารกำลังนั่งสีหน้ากำลังโกรธอยู่ พระถังซัมจั๋งยืนอยู่กลางประตูกุฎิใหญ่ ยกมือขึ้นเคารพพูดด้วยคำสูภาพว่า ข้าพเจ้าขอเคารพท่านอาจารย์
   สมภารแลไปไม่อยากจะโต้ตอบ เห็นเคารพก็ไม่รู้ที่จะทำอย่างไร ต้องเคารพตอบแลถามว่า นี่ท่านมาแต่ข้างไหนจะไปข้างไหนหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมนี้ พระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้มีรับสั่งให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม บัดนี้ข้ามมาถึงตำบลนี้เวลาก็จวนจะพลบค่ำ อาตมภาพจะขออาศัยพักในอารามของท่านสักคืนหนึ่ง รุ่งเช้าก็จะลาไป ขอท่านอาจารย์ได้กรุณาด้วย ท่านสมภารได้ฟังดังนั้น พูดว่าท่านจะไปไซทีอาราธนาพระธรรม ทำไมจึงไม่ไปตรงทางทิศตะวันตก มีแห่งหนึ่งประมาณห้าสิบเส้น ที่นั้นมีห้องเตี้ยมค้าขายข้าวแกงบริบูรณ์ ทั้งที่ห้องพักก็ดี อาตมาให้พักไม่ได้ เพราะเป็นพวกสงฆ์เดินทาง คำโบราณท่านย่อมว่าเสือร้ายเข้ามาถึงต้องปิดประตูบ้าน แม้ว่ามิได้กัดคน แต่เมื่อก่อนได้ทำให้เสียชื่อ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารพูดดังนั้น จึงย้อนถามว่าท่านอาจารย์ว่าครั้งก่อนได้เสียชื่อนั้น คือเหตุผลเป็นประการใด
   พระสมภารตอบว่า เมื่อคราวก่อนมีพวกพระสงฆ์เดินทางมานั่งพักที่นอกประตูใหญ่ อาตมาเห็นเธอขัดสนเสื้อผ้าขาดพะรุงพะรัง จึงนิมนต์เข้ามาพักข้างใน ยกข้าวแจมาเลี้ยงและเอาจีวรมาถวายให้องค์ละผืน ให้พักอยู่สองสามวัน ก็มิได้ทราบว่าจิตเธอโลภด้วยความกินนอน เธอก็มิได้คิดที่จะไปก็พักอยู่ได้เจ็ดแปดปี ครั้นเห็นอยู่สบายแล้ว ก็กระทำธุราจารไม่ชอบธรรมต่าง ๆ
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เธอประพฤติไม่ชอบธรรมนั้น เธอทำประการใด สมภารบอกว่าท่านจงคอยฟัง เวลาสนุกก็เอาอิฐแลกระเบื้องมาขว้างปาเล่น เวลาไม่สนุกก็เที่ยวเจาะไชตามฝาผนังแลกำแพง เวลาหนาวก็หักไม้ประตูมาติดไฟผิง เวลาร้อนก็เปิดประตูทิ้งไว้เกะกะ ผ้าธงท่งฮอนก็เอาฉีกมัดทำเกือก แลลักธูปลักเทียนลักหม้อลักไหสาระพัดไม่อาจกำหนดได้ พระถังซัมจั๋งได้ฟังสมภารเล่าให้ฟังดังนั้น จึงมาคิดแต่ในใจว่า คิดสงสารแต่ตัวเรามิใช่จะเป็นเช่นเขาอย่างนั้นเมื่อไร คิดดังนั้นแล้วก็เดินกลับออกมา มีหน้าอันเต็มไปด้วยน้ำตา เห้งเจียเห็นพระอาจารย์เดินกลับออกมามีสีหน้าเศร้าโศกดังนั้น จึงถามว่าพระสงฆ์ในวัดตีด่าว่ากระไรพระอาจารย์หรือ จึงมีความเศร้าโศกดังนี้
   พระถังซัมจั๋งบอกเห้งเจียว่าเขาไม่พอใจ เห้งเจียว่าท่านไปไม่สำเร็จ ข้าพเจ้าจะไปเองจึงจะสำเร็จ ว่าแล้วเห้งเจียก็ถือไม้กระบองเหล็กเดินตรงเข้าไปยังโบสถ์ใหญ่ แลไปเห็นอุบาสกนั้นกำลังจุดธูปบูชาพระอยู่ เห้งเจียร้องตวาดด้วยเสียงอันดัง อุบาสกคนนั้นตกใจก็ล้มลงแล้วลุกขึ้นแลไปดู เห็นหน้าตาเห้งเจียดังนั้นก็ให้หวาดหวั่น กระโดดวิ่งหนีออกไปทางหลังพระอุโบสถเข้าไปในกุฎิใหญ่บอกว่า ข้างนอกนั้นมีพวกพระสงฆ์มาอีกแล้ว
   สมภารได้ฟังอุบาสกพูด จึงว่าเฆี่ยนเสียเห็นจะดี บอกว่าให้เขาไปข้างนอกระเบียงนั้น ยังจะเข้ามาบอกทำไมอีกเล่า ถ้าขืนมาบอกอีกจะเฆี่ยนยี่สิบที อุบาสกบอกว่าคนนี้ไม่เหมือนพระสงฆ์คนก่อน หน้าตาล้วนแต่ขนทั้งสิ้น ดูดุจรามสูรมือถือกระบองดูสีหน้ามีความโกรธจะใคร่หาคนตี สมภารได้ฟังอุบาสกพูดชี้แจงดังนั้น จึงเปิดประตูออกมาดู ก็พอเห้งเจียเข้ามาถึง สมภารเห็นรูปร่างดุร้ายดังนั้น ตกใจกลัวก็ปิดประตูเสียทันที เห้งเจียเดินตรงเข้าไปเอากระบองกระทุ้งประตูบานหักไปบานหนึ่ง แล้วบอกว่าให้รีบจัดแจงห้องให้สะอาดพันห้อง เราจะได้พักนอน สมภารแอบอยู่ในห้องพูดแก่อุบาสกว่า ดูรูปร่างดุร้าย แรกมาก็พูดดุดันหักโค่นเอาอย่างนี้ ในวัดของเรานี้มีห้องแต่สามร้อยห้อง มันจะเอาพันห้องเราจะเอาที่ไหนมาให้มันพอ
   อุบาสกพูดว่า ข้าพเจ้ากลัวแทบจะขาดใจ ท่านอาจารย์จงช่วยพูดแก้ไขเถิด สมภารก็รัวสั่นไปทั้งตัว อุตส่าห์ขืนใจพูดด้วยเสียงอันดังว่า ท่านที่มาขออาศัยพักนั้น วัดข้าพเจ้าอยู่ในป่าดอน ขอเชิญท่านไปหาที่พักที่อื่นเถิด
   เห้งเจียได้ฟังพระสมภารพูดดังนั้น ก็เอากระบองแปลงเท่าอ่างใหญ่ ยืนอยู่หน้ากุฎิพูดว่า สมภารไม่พอใจก็ขนของออกไปให้หมด สมภารพูดว่าในวัดนี้สี่ห้าร้อยชื่อ จะให้ข้าพเจ้าขนไปไว้ที่ไหน เห้งเจียว่า ถ้าไม่มีจะขนไปให้ออกมานี่สักคนหนึ่ง จะตีด้วยกระบองเป็นตัวอย่าง สมภารบอกให้อุบาสกออกไปให้เธอตีเป็นตัวอย่างสักทีหนึ่งก่อน อุบาสกพูดว่า กระบองใหญ่เท่าอ่าง จะให้ออกไปรับตีจะทนได้หรือ
ตอน ผจญปีศาจเมืองอูจีกั๋วจอมวายร้าย (ช่วงที่1)
   เห้งเจียพูดว่า แม้ทนไม่ได้ข้าจะหาของอื่นตีให้ดูเป็นตัวอย่างจะได้รู้สึก เห้งเจียแลไปเห็นสิงโตศิลาตัวหนึ่งตั้งอยู่ จึงเอากระบองตีลงทีหนึ่ง สิงโตก็แตกละเอียดไปทั้งสิ้น สมภารอยู่ในห้องแอบมองตามช่องฝาเห็นดังนั้น ก็ตกตะลึงมือแลเท้าก็อ่อนเปลี้ยไปทั้งตัว จึงร้องออกมาว่ากระบองนั้นหนักนัก อาตมภาพจะยอมพอใจแล้ว เห้งเจียพูดว่าเราจะไม่ตีแต่เราจะถามว่า พระสงฆ์ในวัดนี้มีสักเท่าใด สมภารบอกว่ารวมทั้งสิ้นที่ได้รับฉายาแล้วห้าร้อยรูป เห้งเจียว่าสมภารจงรีบไปบอกห้าร้อยสงฆ์นั้น ให้ครองผ้าให้เรียบร้อยพร้อมกัน ออกไปรับพระถังซัมจั๋งเข้ามา สมภารว่าแม้ท่านไม่ตีแน่แล้ว ข้าพเจ้าจะออกไปรับเข้ามา เห้งเจียว่าจงรีบไปจัดแจงเถิด สมภารจึงสั่งอุบาสกให้ตีระฆังและกลองสัญญา อุบาสกก็ไม่กล้าออกไปทางประตูจึงมุดลงช่องใต้ถุนออกไป เดินมาที่โบสถ์ขึ้นตีกลองและระฆังสัญญา ประชุมสงฆ์สามแม่สามลูก
   ฝ่ายพระสงฆ์ในอาราม ได้ยินระฆังและกลองสัญญาณ ก็พร้อมกันไปที่โบสถ์ อุบาสกจึงบอกว่า ท่านเจ้าคณะสั่งให้ครองผ้าพร้อมกันออกไปหน้าวัดรับพระถังซัมจั๋งซึ่งมาจากเมืองใต้ถัง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงครองผ้าเรียบร้อยพร้อมกันแล้ว ออกมายืนคอยอยู่หน้ากุฎิใหญ่ สมภารก็นำหน้าออกมายังประตูใหญ่ ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งก็พร้อมกันคุกเข่าลงคำนับแล้ว พูดว่าขอเชิญท่านอาจารย์เข้าไปพักในกุฎิใหญ่เถิด
   พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์มาคำนับพร้อมกันดังนั้น ก็ไม่อาจนิ่งได้จึงพูดว่า นิมนต์ท่านทั้งหลายลุกขึ้นเถิด พระสงฆ์ทั้งหลายต่างลุกขึ้น ต่างก็ช่วยกันจูงม้ายกหาบเข้าไปข้างใน พระถังซัมจั๋ง โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งก็เก็บเข้าไปข้างในมายังกุฎิใหญ่ พระถังซัมจั๋งเข้านั่งกลาง พระสงฆ์ทั้งหลายก็จัดแจงน้ำร้อนน้ำชามาถวายเสร็จแล้ว พระถังซัมจั๋งมีความขอบใจสมภารและลูกวัดทั้งหลาย พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่พระสมภารว่า ขอท่านจงไปพักผ่อนระงับกายเถิด สมภารบอกว่าไม่เป็นไรดอก พระถังซัมจั๋งถามว่าจะให้อาตมภาพนอนที่ไหน
   สมภารพูดว่าท่านอาจารย์อย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะจัดแจงให้เรียบร้อย ว่าแล้วก็สั่งอุบาสกหาหญ้าให้ม้ากิน และให้ออกไปจัดแจงให้เรียบร้อย อุบาสกได้ฟังแล้วก็ออกไปจัดแจงทุกประการ เสร็จแล้วจึงกลับเข้ามานิมนต์พระถังซัมจั๋งออกไปพัก พระถังซัมจั๋งกับเห้งเจีย โป๊ยก่าย ซัวเจ๋งเดินออกไปยังหอธรรม ครั้นถึงพระถังซัมจั๋งพิเคราะห์ดูเห็นในนั้นมีตามตะเกียงไฟสว่างไสว มีเตียงอยู่สี่เตียง พระถังซัมจั๋งให้อุบาสกจูงม้ามาผูกที่ริมนั้น แลให้เอาหญ้าม้ามาไว้พร้อมแล้ว จึงอนุญาตให้อุบาสกไปพักหลับนอน อุบาสกก็คำนับลาไป
   ฝ่ายพระถังซัมจั๋งก็เข้านั่งอยู่กลางหอ พระสงฆ์ทั้งหลายก็มาเฝ้าอยู่ พระถังซัมจั๋งจึงย่อตัวบอกว่า ขอนิมนต์ท่านทั้งหลายกลับไปพักเถิด พระสงฆ์เหล่านั้นก็คำนับลากลับไป พระถังซัมจั๋งเห็นพระสงฆ์ไปหมดแล้ว ก็เดินไปข้างนอกจึงแหงนหน้าขึ้นดูบนฟ้าเห็นดาวเดือนสว่างไปทั้งฟ้า จึงเรียกเห้งเจียโป๊ยก่ายซัวเจ๋งออกมาดู ในเวลานั้นท้องฟ้าก็ใสสะอาดไม่มีเมฆหมอกแลดูรอบฟ้าก็โชติช่วง พระถังซัมจั๋งจึงบอกแก่สานุศิษย์ทั้งสามว่า เดินมาเมื่อยขบก็จงไปหลับนอนก่อนเถิด อาตมภาพจะสวดมนต์สักพักหนึ่ง เห้งเจียได้ฟังดังนั้นจึงพูดว่าอาจารย์บวชตั้งแต่เล็กมาจนบัดนี้จำไม่ได้หรือจึงต้องสวดอีก แลรับๆสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ จะไปอาราธนาพระธรรม พระพุทธเจ้าก็ยังมิได้เห็น พระธรรมก็ยังไม่ได้เห็น พระอาจารย์จะสวดพระคัมภีร์อะไร
   พระถังซัมจั๋งว่าอาตมภาพตั้งแต่ออกจากเมืองมาทางเดินลำบากกันดารไม่มีความสุข อันพระธรรมนั้นเรียนมาตั้งแต่เล็ก วิตกกลัวจะลืมเสีย เวลานี้พอมีความสุขได้บ้าง อาตมภาพจึงจะหัดสวดซ้อมไว้ให้ชัดเจน เห้งเจียว่าถ้ากระนั้นพวกข้าพเจ้าจะพากันไปนอนก่อน ทั้งสามคนก็พากันเข้าไปนอนคนละเตียง ๆ พระถังซัมจั๋งก็เข้ามาปิดประตูแล้วจึงมาที่โต๊ะกลาง จุดธูปเทียนบูชาแล้วก็นั่งสวดบริกรรมไป
(บทที่ ๓๗)
   พระถังซัมจั๋งนั่งบริกรรมอยู่ในหอพระธรรมนั้น ตกประมาณสามยามเศษ ได้ยินเสียงลมพัดอู้ดุจพายุใหญ่ พัดตรอกเข้ามาในประตูกระทบแสงไฟวับแวม ๆ บางทีทำให้มืดไปบ้างสว่างบ้าง
   ในเวลานั้นพระถังซัมจั๋งให้เคลิ้ม ๆ คล้าย ๆ กับจะหลับต่อตื่น ก็ฟุบลงกับโต๊ะ นัยน์ตาให้มัวหมองแต่จิตใจยังแจ่มใสมีราคีอยู่มาก ได้ยินเสียงข้างนอกร้องเรียกเบา ๆ ว่าท่านอาจารย์ คำหนึ่ง พระถังซัมจั๋งก็เงยหน้าขึ้นแลดู เห็นมีชายผู้หนึ่งมายืนที่นอกประตูเปียกน้ำทั่วทั้งกาย เสียงร้องเรียกไม่หยุดว่าท่านอาจารย์น้ำตาก็ไหลออกซึมซาบทั้งหน้า พระถังซัมจั๋งเห็นดังนั้นก็ย่อกายถามว่า ตัวเป็นปิศาจผีก็จงรีบหนีไป อย่าขืนมาที่หอพระธรรมนี้ ผู้นั้นพูดว่าท่านอาจารย์ ข้าพเจ้ามิใช่ปีศาจอสุรกายอะไรดอก ขอท่านอาจารย์ดูด้วยปัญญาจักษุโดยละเอียดเถิด
 พระถังซัมจั๋งพิจารณาดูโดยละเอียดก็เห็นบนศรีษะสวมหมวกอย่างมหากระษัตริย์ ตัวสวมเสื้อมังกรแดงรัดสายเขมขัดหยก สอดรองเท้าปักไหมทอง มือถือก้อนหยกสีขาว หน้าดุจเจ้าตังงักตี้ รูปลักษณะดุจ บุ่นเชียงกุน พระถังซัมจั๋งพิจารณาโดยละเอียดเห็นดังนั้นแล้วก็ตกใจย่อกายถามว่าท่านคือกษัตริย์ที่ไหนมา จะมีกิจธุระอะไรหรือ จึงได้มาในเวลากลางคืนดังนี้ ผู้นั้นจึงร้องไห้แล้วพูดว่าพระอาจารย์ที่ข้าพเจ้าอยู่นั้น อยู่พ้นที่นี้ไปประมาณสี่สิบโยชน์ ที่นั้นมีกำแพงเมืองใหญ่ คือสมบัติของข้าพเจ้าปลูกสร้างขึ้นเอง นามเมืองนั้นเรียกว่า (โอเกยก๊ก) เพราะเหตุเมื่อห้าปีก่อน เกิดมีความแห้งแล้งฝนฟ้าไม่มี หญ้าฟางก็ไม่มีแห้งเกรียบไปทั้งสิ้น ราษฎรได้ความลำบากอดอาหารการกินล้มตายไปหาประมาณมิได้ ข้าพเจ้ามีความสงสาร
   ในเมืองหลวงยุ้งฉางก็ไม่มีข้าวที่จะจับจ่ายให้ขุนนางแลราษฎรทั้งหลายกิน แต่ข้าพเจ้าเองก็ไม่มีจะกินให้อิ่มพอได้ ข้าพเจ้าจึงตั้งพิธีทั้งวันทั้งคืนก็ตั้งจิตจะให้ฝนตก จุดธูปเทียนสักการะบูชาบวงสวงขอฝนสามปีฝนก็ไม่ตก แห้งแล้งจนบ่อแลสระเป็นระแหงไปทั้งสิ้น เวลานั้นในบ้านเมืองก็กำลังเข้าคับแค้น บังเอิญมีอาจาริย์ (ช่วนจิน) ถือเพศฤๅษีอยู่ที่เขาแจงน่ำซัว เหาะลงมา เธอมีเวทมนต์เชี่ยวชาญประสิทธิ์ขลังอาจเรียกลมและฝนได้ และทำศิลาให้เป็นทองคำก็ได้ ข้าพเจ้าจึงเชื่อถือเชิญเธอให้ตั้งพิธีขอฝน ข้าเห็นคุณประสิทธิ์ในทันใดนั้น ป้ายที่ตั้งอยู่บนที่บูชานั้นก็สั่นไหวบัดเดี๋ยวใจก็มีฝนตกลงมาเป็นอันมาก ข้าพเจ้าขอน้ำท่วมเพียงสามศอก ช่วนจินว่าแห้งแล้งมานานแล้วจะไม่ทันชุ่มชื่นจึงได้ตกลงมาอีกเป็นอันมาก
   ไร่นาเรือกสวนน้ำก็มีบริบูรณ์ ข้าพเจ้าเห็นช่วนจินจิตเมตาอย่างนั้น จึงผูกพันสมัครปฏิญาณตัวเป็นมิตรสหายแก่เธอ ร่วมกินร่วมนอนมิได้มีความรังเกียจกินแหนง ได้ประมาณสักสองปี เวลาฤดูเดือนสี่เดือนห้ากำลังต้นผลไม้ทั้งหลายชิงดอกออกช่อใบอ่อน พร้อมด้วยขุนนางข้าราชการซ้ายขวา ฝ่ายหน้าฝ่ายในพระญาติวงศ์น้อยใหญ่ พากันตามเสด็จไปเที่ยวชมเล่นเป็นที่รื่นเริงสำราญ ครั้นสิ้นเวลาแล้วก็พากันกลับ ยังแต่ข้าพเจ้ากับฤๅษีช่วนจิน จับมือกันค่อย ๆ เดินเข้าไปยังสวนหลวงชั้นใน ครั้นเดินชมมาใกล้บ่อแปดเหลี่ยม นามเรียกว่าบ่อ (ลิวลี่จี๊) ไม่ทราบว่าเธอขว้างอะไรลงไปในบ่อ ในบ่อนั้นมีรัศมีแสงทองฟุ้งมาหลอกข้าพเจ้าให้เดินเข้าไปใกล้บ่อพิศดูว่าจะเป็นของวิเศษสิ่งใด ไม่รู้เลยว่าเธอใจร้ายผล้กข้าพเจ้าตกลงไปในบ่อแล้วเอาหินทุ่มลงไปปิดปากบ่อ แล้วเอาดินทรายกลบเต็มปากบ่อเอาหน่อกล้วยมาปลูกไว้ข้างบน ข้าพเจ้าตายมาได้สามปีแล้ว มิได้ไปเกิดเลยต้องเป็นผีอยู่อย่างนั้น ขอท่านได้ทราบเถิด
   พระถังซัมจั๋งได้ฟังเรื่องดังนั้นก็ให้หวาดเสียวสะดุ้งขนลุกทั้งตัว จึงถามว่าท่านพูดดังนั้น จะไม่มีมูลหลักฐานเค้าเงื่อนดอกกระมัง เพราะท่านตายมาสามปีแล้ว เหตุใดขุนนางทั้งหลายและฮองเฮ้าฝ่ายในจะไม่ค้นหาท่านหรือ
   ผู้นั้นตอบว่าถ้าพูดตามมนุษย์โลกแล้วก็ไม่มีใครเห็น ตั้งแต่วันเธอฆ่าข้าพเจ้าแล้วยังอยู่ในสวนนั้น เธอก็แปลงตัวเป็นรูปร่างให้เหมือนข้าพเจ้าจึงไม่มีผู้ใดรู้ บัดนี้ขึ้นเสวยราชสมบัติอยู่เหมือนข้าพเจ้า พระถังซัมจั๋งถามว่าซึ่งการเป็นจริงดังนั้นทำไมจึงไม่ไปฟ้องพระยามัจจุราชเงียมฬ่ออ๋องเล่า ผู้นั้นจึงพูดว่าเธอมีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ พระภูมิเจ้าที่ก็นับถือเกรงกลัวเธอเคยเสพสุรายาเมาเป็นเพื่อนเกลอแก่เธอ พระยามัจจุราชก็เป็นเพื่อนฝูงแก่เธอ เพราะฉะนั้นข้าพเจ้าจึงไม่มีที่จะฟ้องร้องได้
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าพระยามัจจุราชฟ้องร้องไม่ได้จะกลับมาให้มนุษย์ทำประการใดเล่า ผู้นั้นตอบว่าท่านอาจารย์ อันวิญญาณที่เป็นไปตามวิบากของผลกรรมนั้นก็ยังไม่สิ้นสูญ แม้เทพยดาเจ้าที่ทำลมหอบข้าพเจ้าส่งมา เจ้านั้นก็ได้บอกแก่ข้าพเจ้าว่าอันภัยเวรจมน้ำสามปีนั้นสิ้นแล้ว ให้ข้าพเจ้ามาหาท่านอาจารย์บอกว่าสานุศิษย์ของท่านชื่อซีเทียนใต้เซีย สามารถจะกำจัดปีศาจผียักษ์ร้ายได้ บัดนี้ข้าพเจ้ามาขอเคารพเชิญท่านไปยังเมืองของข้าพเจ้าช่วยกำจัดปีศาจร้ายนั้นด้วย เพื่อให้เห็นเท็จแลจริงแล้วข้าพเจ้าจะสนองพระเดชพระคุณท่านให้ถึงขนาด
   พระถังซัมจั๋งถามว่านี่ท่านจะมาหาอาตมภาพกับสานุศิษย์ให้กำจัดจับปีศาจนั้นหรือ ผู้นั้นตอบว่าก็อย่างนั้นและ พระถังซัมจั๋งพูดว่าสานุศิษย์ของอาตมภาพนั้น จะให้จับผี ปิศาจยักษ์ร้ายก็สามารถจะทำได้จริงแต่เป็นความยากอยู่
   ผู้นั้นถามว่าเหตุใดจึงเป็นยาก พระถังซัมจั๋งบอกว่าอันปีศาจนั้นมันแปลงรูปร่างก็เหมือนพระองค์ ขุนนางนอกในทั้งเมืองก็พร้อมกันเห็นว่าเป็นพระองค์ท่านไปเสียหมดแล้ว หากสานุศิษย์ของอาตมภาพจะมีฝีมือก็ไม่อาจจะทำสงครามได้ บางทีเธอจับได้จะไม่ปรับโทษเอาว่าพวกอาตมภาพเป็นขบถหรือ จะเป็นเหมือนเขาไปหาเสือดอกกระมัง
   ผู้นั้นตอบว่า ข้าพเจ้ายังมีคนที่เชื่อได้อยู่ในเมืองเป็นอันมาก พระถังซัมจั๋งถามว่า คนพี่เชื่อได้นั้นคือใคร ในพระราชวังยังมีพระราชโอรส คือบุตรของข้าพเจ้าเอง จะแทนที่ครองราชสมบัติได้ พระถังซัมจั๋งว่า พระราชโอรสนั้นปีศาจจะไม่กำจัดเสียแล้วหรือ ผู้นั้นตอบว่ายังมิได้กำจัดดอก เธอยังอยู่ในปราสาทกิมหลวนเต้ย ในตำหนักหอเง้าฮองเล้า แต่ปีศาจนั้นห้ามสามปีแล้วแม่ลูกมิได้พบกัน
   พระถังซัมจั๋งถามว่า เป็นด้วยเหตุอย่างไรจึงได้ห้ามมิให้แม่ลูกพบปะกันดังนั้น ผู้นั้นบอกว่าคือปีศาจคิดอุบายกลัวแม่ลูกจะพบกัน จะคิดปรึกษาพูดจาถึงการผิดชอบก็จะเกิดเหตุขึ้น เพราะฉะนั้นแม่ลูกจึงมิได้เห็นหน้ากัน พระถังซัมจั๋งพูดว่า แม้ว่าลูกนั้นอยู่ในพระราชวังทำไมจะได้พบแก่อาตมภาพเล่า ผู้นั้นพูดว่ารุ่งพรุ่งนี้ เธอพาผู้คนมาประพาสป่าดงคงจะได้พบแก่ท่าน ท่านจงนำคำของข้าพเจ้าที่กล่าวมานี้เล่าให้ฟังก็คงจะเชื่อได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าพระราชโอรสนั้น เธออยู่ในวังอย่างนั้น เธอจะไม่เรียกปีศาจว่าบิดาวันหนึ่งสองสามคำหรือ ผู้นั้นจึงว่าข้าพเจ้าจะให้ของสำคัญไว้แก่ท่านสิ่งหนึ่งเป็นเครื่องหมาย
   พูดแล้วก็หยิบเอาเพชรหยกขาวก้อนหนึ่งส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วพูดว่า ของสิ่งนี้ไว้เป็นที่หมาย พระถังซัมจั๋งถามว่า ของสิ่งนี้เป็นสำคัญอย่างไร ผู้นั้นพูดว่าตั้งแต่ปีศาจช่วนจินแปลงเป็นข้าพเจ้า ก็มิได้ถือหยกก้อนนี้ เธออุบายบอกว่าตั้งแต่ช่วนจินขอฝนแล้ว ก็ขอเอาหยกก้อนนี้ไป เพราะฉะนั้นสามปีมานี้แล้ว ช่วนจินจึงมิได้ถือหยกก้อนนี้ แม้ว่าบุตรของข้าพเจ้าได้เห็นแล้ว ก็จะรู้สึกคิดถึงข้าพเจ้า คงจะคิดแก้แค้นได้
   พระถังซัมจั๋งรับว่าเอาเถิด จะรับของสิ่งนี้ไว้ปรึกษาหารือแก่สานุศิษย์ก่อน แล้วถามผู้นั้นว่าจะคอยอยู่ที่ไหน ผู้นั้นตอบว่าจะอยู่ช้าไม่ได้ จะขี่เจ้าเทพารักษ์ส่งเข้าไปพระราชวังเข้าฝันฮองเฮ้าบอกให้คิดอ่านพร้อมใจแก่บุตร และให้ท่านกับสานุศิษย์ให้พร้อมกัน พระถังซัมจั๋งครั้นได้ฟังดังนั้นก็รับเป็นธุระวิญญาณของผู้นั้นเคารพแล้วก็ลาไป พระถังซัมจั๋งเดินออกไปส่งแล้วก็เดินกลับเข้ามาสะดุดธรณีเข้าก็ตกใจตื่นก็รู้สึกว่านอนฝัน แต่ตะเกียงมืดมัว ก็ร้องเรียกสานุศิษย์คำหนึ่ง
   โป๊ยก่ายตกใจตื่น ถามว่าป่านนี้ยังไม่นอนจะทำอะไรหรือ พระถังซัมจั๋งบอกว่าอาตมาพึ่งนอน ฝันไปเห็นเป็นการประหลาดที่สุด เห้งเจียผุดลุกขึ้นพูดว่า อาจารย์จิตประวัติผูกพันธ์ก็ฝันไป ยังไม่ทันจะขึ้นเขาก็มีจิตกลัวเสียแล้ว เห็นหนทางมีหมอกมัวก็คิดถึงบ้านเมือง มากความตรึกตรองก็ฝันไป เหมือนข้าพเจ้าตั้งใจจะไปไซทีอยากจะพบพระพุทธเจ้า ก็ไม่ฝัน
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าอาตมาฝันนี้ มิใช่คิดถึงบ้านเมืองอะไรที่ไหน ในเวลาหลับตาก็ได้ยินเสียงดุจพายุพัดโกรกเข้ามาในนี้ ได้ยินที่ประตูข้างนอกมีเสียงคน เธอบอกว่าเธอเป็นเจ้าเมืองโอเกยก๊ก จึงเล่าความตามที่ฝันให้เห้งเจียฟังทุกประการ เห้งเจียได้ฟังแล้วก็หัวเราะพูดว่าเธอให้ฝันพระอาจารย์เหตุนั้น คงจะมีปีศาจ เป็นธุระของข้าพเจ้าจะช่วยจับปีศาจเองให้เห็นเท็จและจริง พระถังซัมจั๋งบอกว่าเธอได้ให้ของสำคัญไว้สิ่งหนึ่งเป็นพยานในความจริง จงออกไปดูทีจะเป็นของอะไรแน่
   เห้งเจียไปเปิดประตูเดินออกไป ในเวลานั้นแสงเดือนสว่าง แลไปที่พื้นบันไดเห็นก้อนหยกขาววางอยู่กับพื้น เห้งเจียจึงเก็บเอามาบอกว่าท่านอาจารย์ของนั้นมีจริง พรุ่งนี้เช้าการจับปีศาจนั้นข้าพเจ้าจะเป็นธุระเอง จะต้องทำตามข้าพเจ้าจึงจะได้ พระถังซัมจั๋งถามว่าท่านจะให้ทำตามท่านอย่างไร เห้งเจียบอกว่าไม่ควรแสดง ไว้ข้าพเจ้ากับอาจารย์ของอะไรสองสิ่ง พูดแล้วเห้งเจียก็ถอนขนเส้นหนึ่งแปลงเป็นแอบเล็ก ๆ ลงรักปิดทอง จึงหยิบเอาก้อนหยกนั้นใส่เข้าในแอบปิดฝาดีแล้ว ส่งให้พระถังซัมจั๋งแล้วสั่งว่า วันพรุ่งนี้เวลาเช้าท่านอาจารย์ครองจีวรที่ประทานนั้น มือถือแอบนี้นั่งอยู่กลางโบสถ์ภาวนาบริกรรมไว้ข้าพเจ้าจะไปดูวิธีจะเป็นประการใด แม้ว่าพระโอรสของเธอออกมาจริงดังนั้น ข้าพเจ้าจะล่อให้มาหาพระอาจารย์
   พระถังซัมจั๋งถามว่า บางทีเธอมาถึงนี่จะรับรองอย่างไร เห้งเจียว่าแม้ว่าเธอตรงมา ข้าพเจ้าจะมาบอกก่อนอาจารย์เปิดแอบ ข้าพเจ้าจะแปลงเป็นพระสงฆ์น้อย ๆ เข้าอยู่ในแอบท่านถือแอบอยู่กับมือ ไท้จื๊อมาถึงนี่คงจะเข้ามานมัสการพระ เธอจะไหว้ก็ชั่งอย่าหลีกหลบหวาดหวั่น เธอคงจับผิดท่านว่าดูถูก บางทีจะจับจะเฆี่ยนตีอย่างไรก็ตามแต่จะทำไมต้องกลัว
   พระถังซัมจั๋งถามว่าเธอไทจื้อมีอำนาจบางทีจะให้ฆ่าเราเสียจะแก้ไขอย่างไรได้ เห้งเจียว่าไม่ธุระอะไรมีข้าพเจ้าอยู่แล้วกลัวอะไร ถ้าเธอจะถามท่านจงบอกว่า มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ไปไซทีอาราธนาพระธรรม จะนำของวิเศษไปถวาย ถ้าเธอจะถามว่าของวิเศษอะไร ท่านเอาเหตุกาสาวิเศษเล่าให้ฟังว่าของวิเศษที่สาม ยังมีอีกที่หนึ่งที่สองเป็นของวิเศษอย่างยิ่ง ถ้าเธอจะถามต่อไปให้บอกว่าแอบนี้มีของวิเศษอยู่ข้างใน ใคร่รู้การข้างหน้าได้ห้าร้อยปีการข้างหลังห้าร้อยปี แล้วท่านเปิดให้ข้าพเจ้าออกข้าพเจ้าจะได้เล่าตามความฝันให้เธอฟัง แม้ว่าเธอเชื่อแล้วก็ดี บางทีจะไม่เชื่อ จึงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นให้เธอดู เธอคงจะจำได้ว่าเป็นของพระราชบิดาเธอ
   พระถังซัมจั๋งพูดว่าความคิดอุบายนี้ดีแล้วแต่ของวิเศษนั้น สิ่งหนึ่งเรียกว่ากาสา สิ่งหนึ่งเรียกว่าหยกขาว ที่แปลงนั้นจะเรียกว่าอะไร เห้งเจียบอกว่าให้เรียกว่า (ลิบเต๊ห่วย) คือตั้งอาญาสิทธิ์เจ้า พระถังซัมจั๋งก็จำไว้ในใจ พระถังซัมจั๋ง เห้งเจียนั่งคิดอ่านกันอยู่ก็หาได้นอนไม่ จนรุ่งสว่างขึ้น เห้งเจียจัดแจงแล้วมาสั่งโป๊ยก่ายซัวเจ๋งให้อยู่รักษาอาจารย์ แล้วก็ออกมาเหาะไปทางตะวันตก แลเห็นมีกำแพงเมืองใหญ่ ก็เหาะใกล้เข้าไปดูโดยละเอียด ก็เห็นมีหมอกเมฆกลุ้มปกอยู่ข้างบน เห้งเจียก็รู้ได้ว่าคืออ้ายปีศาจ บัดเดี๋ยวก็ได้ยินเสียงปืนยิง แลไปทางประตูทิศตะวันออก เห็นหมู่คนขี่ม้าถืออาวุธต่างๆเดินออกมาจากประตูเมือง พิเคราะห์ดูก็เห็นเป็นพวกเที่ยวป่า แลไปเห็นคนหนึ่งหนุ่ม ขี่ม้าสีเหลืองมือถืออาวุธเกี่ยม ที่เอวแขวนธนูศร ดูรูปลักษณะก็สมเป็นเจ้า กิริยาควรจะเป็นฮ่องเต้ มิใช่คนเลวทราม
   เห้งเจียเห็นดังนั้นแล้วก็มีความยินดีว่าไม่ต้องสงสัยเลย คนนี้เองคือไท้จื๊อเราจะหลอกเธอเล่นสักทีหนึ่ง คิดดังนั้นแล้วก็ลงยังพื้นแปลงเป็นกระต่ายขาวตัวหนึ่ง วิ่งผ่านหน้าไท้จื๊อมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายวิ่งผ่านไปดังนั้นก็ขับม้าไล่ตามเอาศรโก่งขึ้นยิงไปทางกะต่าย เห้งเจียเห็นศรยิงมาก็หลบจับลูกศรได้แล้วก็วิ่งหนีมา ไท้จื๊อเห็นกระต่ายถูกศรก็ชิงขับม้าขึ้นหน้าไล่ตามกระต่ายไป เห้งเจียเห็นไท้จื๊อไล่มาเร็วก็วิ่งเร็วไล่มาช้าก็วิ่งช้า ไล่ตามมากระต่ายก็ไม่วิ่งไปไกล วิ่งมาพักหนึ่งก็ถึงวัด (โป๊ลิ่มยี่) เห้งเจียวิ่งมาถึงประตูวัด ก็แปลงเป็นรูปเดิม เอาลูกศรนั้นเหน็บไว้บนประตูแล้ว เลยรีบเข้าไปในโบสถ์บอกแก่พระถังซัมจั๋งว่าไท้จื๊อมาแล้ว เห้งเจียจึงแปลงเป็นพระสงฆ์เล็กเท่าสององคุลีเข้าอยู่ในแอบนั้น
   ฝ่ายไท้จื๊อครั้นไล่มาถึงประตูวัดแลไปก็ไม่เห็นกระต่าย เห็นแต่ถูกศรติดอยู่บนประตูก็นึกประหลาดใจมากที่สุด เหตุไฉนหนอเรายิงไปถูกกระต่ายวิ่งมาทางนี้ ทำไมกระต่ายจึงหายไปลูกศรมาติดอยู่ที่ประตูฉะนี้ จึงนึกว่าศรนี้นานวันเข้าจะเกิดปีศาจเข้าสิงอยู่ จึงเข้าไปชักลูกศรออก แลดูบนประตูก็เห็นมีตัวอักษรจารึกว่าวัด (โป๊ลิ่มยี่) ไท้จื๊อเห็นดังนั้น จึงคิดว่าเราจะเข้าไปดูในวัด จึงลงจากม้าจะเดินเข้าไป มองไปข้างหลังเห็นพวกพลทหารวิ่งตามมาก็พากันเดินเข้าไปในประตู
   ฝ่ายพระสงฆ์ในวัดก็รีบพากันออกมารับเข้าไปในโบสถ์ใหญ่ ไท้จื๊อจะใคร่นมัสการพระพุทธรูป แลไปเห็นมีพระสงฆ์นั่งอยู่กลาง ไท้จื๊อโกรธว่าพระสงฆ์องค์นี้เป็นไฉน เราพาพวกพลทหารเข้ามาในวัดทำไมไม่มีความยำเกรงยังนั่งอยู่ได้ จึงร้องบอกให้ทหารรักษาองค์จับตัวลงมา พวกรักษาองค์ก็กรูกันเข้าจับพระถังซัมจั๋งลงมา ไท้จื๊อจึงตวาดด้วยเสียงอันดังว่า เป็นพระสงฆ์ป่าดงที่ไหนมาจึงไม่รู้จักขนบธรรมเนียม พระถังซัมจั๋งบอกว่า อาตมภาพนี้คือพระสงฆ์อยู่เมืองใต้ถัง มีรับสั่งพระเจ้าถังไทจงฮ่องเต้ให้ไปไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม จะเอาของวิเศษมาถวาย
   ไท้จื๊อถามว่าอันเมืองใต้ถังนั้นจะมีของวิเศษอะไร จงแสดงให้เราฟังดูทีหรือ พระถังซัมจั๋งพูดว่ากาสาวพัสตร์ที่อาตมาครองอยู่นี้ของวิเศษที่สามยังมีที่หนึ่งที่สองอีก ไท้จื๊อถามว่า อันกาสานั้นครองได้ครึ่งหนึ่ง บนบ่าครึ่งหนึ่งแหวกข้างล่าง จะมีราคาสักเท่าไรจึงได้อวดว่าเป็นของวิเศษ พระถังซัมจั๋งตอบว่า กาสาวะพัสตร์นี้ครึ่งหนึ่งก็จริง แต่มีคำว่า กาสาของพระพุทธเจ้าไม่ต้องครอง ข้างในมรรคผลข้างนอกปราศจากกิเลส ร้อยเข็มพันไหมทำสำเร็จสัมมาปฏิบัติและประกอบด้วยเพชรนินจินดา เทพยดานางฟ้าประกอบเย็บประทานให้อาตมภาพครองกันสิ่งโสโครก อาตมภาพเห็นไท้จื๊อไม่รับก็ควรแล้ว ท่านไม่แก้แค้นแทนบิดาเกิดมาก็เสียทีเกิดเป็นมนุษย์
   ไท้จื๊อได้ฟังพระถังซัมจั๋งพูดดังนั้นก็ยิ่งโกรธเป็นอันมาก พูดว่าผืนผ้ากาสานั้น ตามแต่ปากพูดอวดดีวิเศษอย่างไรก็ตาม อันความแค้นบิดาของข้าพเจ้าที่ไหนเอามาพูดเลอะเทอะอย่างนี้ จงแสดงความมาให้เราฟัง พระถังซัมจั๋งจึงเดินเข้าไปไกล้ไท้จื๊อย่อตัวลงพูดว่า ไท้จื๊ออันความจริงอาตมภาพก็หาได้รู้เรื่องไม่ แต่ในแอบวิเศษนี้นามเรียกว่า (ลิบเต้ห่วย) แอบนี้รู้ได้ข้างหน้าห้าร้อยปีข้างหลังห้าร้อยปี และปัจจุบันนี้ห้าร้อยปี รวมกันเป็นพันห้าร้อยปี ถ้าพระองค์อยากจะรู้ถามดูก็อาจรู้ซึ่งความเท็จแลความจริง ไท้จื๊อได้ฟังดังนั้น จึงบอกว่าเอามาให้ข้าพเจ้าพิจารณาดูจะเป็นประการใด
   พระถังซัมจั๋งเปิดแอบออก เห้งเจียกระโดดออกมาเหลียวซ้ายแลขวาออกวุ่น ไท้จื๊อแลเห็นจึงพูดว่าคนเล็ก ๆ อย่างนี้จะรู้อะไรได้ซึ่งการนานปี เห้งเจียได้ยินดังนั้นจึงเอามือเท้าบั้นเอ็วแอ่นหน้าทีหนึ่งตัวก็สูงขึ้นสามสอกเลย พวกทหารทั้งหลายเห็นดังนั้นก็พากันตกใจ พากันพูดว่าถ้าสูงเร็วดังนี้ไม่กี่วันจะสูงค้ำฟ้า ไท้จื๊อเห็นดังนั้นจึงถามว่า ซึ่งพระสงฆ์นั้นพูดว่ารู้การล่วงหน้าและล่วงไปแล้วและปัจจุบันได้หรือ ตัวทำเต้าดูหรือว่าจับยามจึงรู้ได้ เห้งเจียตอบว่าไม่ต้องอาศัยอะไรทั้งสิ้น พึ่งลิ้นข้าพเจ้าเท่านั้น สารพัดการก็อาจรู้ได้ทั้งสิ้น
   ไท้จื๊อว่ากระนั้นท่านจงแสดงเหตุผลในบ้านเมืองของข้าพเจ้าว่าเป็นอย่างไร เห้งเจียพูดว่า อันเหตุการณ์ที่ในเมืองของท่านข้าพเจ้ารู้ทั้งสิ้น ข้าพเจ้าสามารถจะแสดงให้ท่านรู้ได้ทุกประการ ตัวท่านคือเป็นพระราชโอรสของพระเจ้าแผ่นดินโอเกยก๊ก เมื่อห้าปีก่อนฝนไม่ตกแห้งแล้ง ราษฎรได้ความเดือดร้อนอดอยาก บิดาของท่านได้ตั้งพิธีบวงสรวงขอฝนก็ไม่สมความปราถนาในเวลานั้น บังเอิญมีฤๅษีตนหนึ่งนามเรียกอาจาริย์ (ช่วนจิน) อาศัยอยู่บนเขา (เจงน่ำซัว) ลงมา เธอมีวิช้าแต้มศิลาเป็นทองคำได้ แลเรียกลมเรียกฝนได้ฝนก็ตกตามความประสงฆ์ บิดาของท่านจึงได้ปฏิญาณผูกรักเป็นมิตรสหายแก่ช่วนจินร่วมกิน ร่วมนอน ด้วยกัน อย่างนี้มีจริงเป็นจริงหรือไม่
   ไท้จื๊อพูดว่ามีจริงเป็นจริงดังท่านว่า ขอท่านจงแสดงต่อไปอีก เห้งเจียจึงพูดต่อไปว่าแล้วต่อมาภายหลังอีกสามปี ช่วนจินก็หายไป บัดนี้ที่ตั้งตัวเป็นเจ้าอยู่นั้น คือผู้ใดท่านรู้หรือไม่ ไท้จื๊อว่าช่วนจินเป็นสหายของพระราชบิดาเรานั้นจริง แต่เมื่อเวลาฤดูชมดอกไม้ พระราชบิดาพากันสองต่อสองเดินเข้าไปในสวนดอกไม้ ช่วนจินบันดาลเป็นลมพายุเอาก้อนเพชรจากพระหัตถ์พระราชบิดาไป บัดนี้ไปอยู่ที่เขาเจงน่ำซัวนั้นแล้ว เพราะฉะนั้นพระราชบิดาเราก็คิดถึงเธออยู่จึงได้ไปปิดสวนดอกไม้มิให้ใครเข้าออกสามปีมาแล้ว ที่นั่งเมืองอยู่บัดนี้มิใช่พระราชบิดาของเราแล้วก็คือใครเล่า
   เห้งเจียได้ฟังไท้จื๊อตรัสดังนั้น ก็ทำเป็นหัวเราะแล้วนิ่งเสียไม่ตอบว่ากระไร ไท้จื๊อก็โกรธตวาดว่า ควรพูดสิไม่พูด เหตุใดจึงหัวเราะดังนี้ควรหรือ เห้งเจียบอกว่าจะพูดออกไปนั้นยังไม่ควรด้วยเนื้อความยังมากมายนัก ด้วยผู้คนซ้ายขวามีอยู่มาก ไม่ควรจะให้คนเหล่านี้รู้ความลับที่ควรปิด ไท้จื๊อเห็นเธอพูดมีเค้าเงื่อนหลักฐานอยู่ จึงรับสั่งให้พวกข้าราชการที่ตามมานั้นออกไปเสียแล้วไท้จื๊อนั่งอยู่กลาง ถังซัมจั๋งนั่งอยู่ข้างหนึ่ง เห้งเจียจึงเดินเข้ามาใกล้ไทจื๊อพูดว่า ที่สูญหายไปนั้นคือพระราชบิดาของท่าน ที่นั่งเมืองอยู่เดี๋ยวนี้ คือตัวช่วนจินปลอม
   ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียพูดดังนั้น จึงพูดว่าท่านเอาอะไรมาพูดเลอะเทอะอย่างนี้เล่า ด้วยตั้งแต่ช่วนจินไปแล้วฝนลมก็ตกต้องตามฤดู ราษฎรก็ได้ความสุขสำราญ แม้พระบิดาได้ทราบว่าท่านพูดอย่างนี้ จะจับตัวท่านไปตัดหมื่นท่อน แล้วไท้จื๊อขับเห้งเจียให้ถอยไป เห้งเจียจึงหันหน้ามาพูดแก่ถังซัมจั๋งว่า ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าเธอจะไม่เชื่อก็จริงดังนั้น จงเอาก้อนหยกวิเศษนั้นเปลี่ยนเอาหนังสือไปไซทีเถิด พระถังซัมจั๋งก็เอาแอบส่งให้เห้งเจีย ๆ รับมาแล้วก็เอามือทุบลงทีหนึ่ง แอบนั้นก็อันตรธานไป จึงหยิบเอาก้อนหยกขาวนั้นมาถวายไท้จื๊อ ๆ รับมาดูแล้วพูดว่า พวกสงฆ์นี้ดีแล้ว เมื่อสามปีก่อนช่วนจินลักเอาไป บัดนี้แปลงเป็นสมณะเอามาถวาย จึงเรียกให้คนจับตัวถังซัมจั๋ง ๆ ก็ตกใจ แต่เห้งเจียร้องห้ามว่าพระองค์อย่าเพิ่งวุ่นวายไป การใหญ่ของพระองค์จะเสียไป ถ้าข้าพเจ้าไม่ทำ (ลิบเต้ห่วย) ก็ชื่อคงมีจริง ไท้จื๊อโกรธพูดว่า จงมานี่ข้าจะถามอันชื่อจริงนั้นจะส่งไปศาลชำระหรือ
   เห้งเจียพูดว่า ข้าพเจ้าคือสานุศิษย์ของท่านพระถังซัมจั๋ง ข้าพเจ้าชื่อซึงหงอคง จะไปกับพระอาจารย์ ณ ประเทศไซที อาราธนาพระไตรปิฎกธรรม เมื่อคืนนี้อาจารย์ของข้าพเจ้านอนหลับฝันเห็นไปว่า พระราชบิดาของพระองค์มาบอกว่า ถูกช่วนจินทำอุบายฆ่าอยู่ในสวนดอกไม้ ที่ในบ่อแปดเหลี่ยม (ลิวลี่) นั้น ช่วนจินแปลงรูปร่างให้เหมือนแก่พระองค์ บัดนี้ตั้งตัวปลอมเป็นพระองค์อยู่ในพระราชวัง ขุนนางทั้งหลายก็หามีผู้ใดจะรู้สึกได้ไม่ ตัวท่านก็ยังทรงพระเยาว์อยู่ หารู้ความอะไรไม่ ได้ห้ามท่านมิให้เข้าข้างในเกรงจะรู้ระแคะระคาย แลได้ปิดประตูสวนสามปีมาแล้ว
   เมื่อคืนนี้พระราชบิดาท่านมาชี้แจงแลขอให้ช่วยกำจัดปีศาจช่วนจิน แลได้บอกว่าท่านวันนี้จะมาประพาสป่า เพราะฉะนั้นจึงแปลงตัวเป็นกระต่ายล่อให้ท่านไล่มา เพื่อพบแก่พระอาจารย์ของข้าพเจ้า ท่านจำก้อนหยกวิเศษได้แล้ว ทำไมจึงไม่คิดถึงพระราชบิดาที่ได้บังเกิดท่านมาเล่า ไท้จื๊อได้ฟังตั้งแต่ต้นจนปลายดังนั้น ก็สลดจิตลงทันทีคิดอยู่ในใจว่า จะไม่เชื่อหรือความที่พูดก็ล้วนแต่เป็นความจริงทุกประการ ถ้าเชื่อทำไมจะได้เห็นพระราชบิดาเล่า คิดไปก็แสนยาก เห้งเจียเห็นกิริยาไท้จื๊อยังไม่เชื่อสนิทลงได้ จึงพูดว่าไท้จื๊อไม่ต้องสงสัยเลย
   ถ้าจะให้ได้ความจริงแล้ว จงรีบไปถามพระราชมารดาดูก่อนนั้นแลจะได้เห็นจริง คือพระราชมารดาได้ทรงสังเกตหรือไม่ว่า พระราชสามีก่อนกับบัดนี้ มีความแปลกประหลาดผิดสังเกตอย่างไรบ้าง ก็จะรู้ได้แน่นอน ไท้จื๊อว่าดังนั้นเห็นจะรู้ความได้จริง จะเข้าไปถามมารดาดูก่อนแล้วจึงจะกลับมา พูดดังนั้นแล้วก็ผุดลุกจะไป มือกำก้อนหยกไว้ด้วย เห้งเจียจึงห้ามไท้จื๊อว่าจะไปมาอย่าให้ใครรู้ความพระองค์จงไปแต่ผู้เดียว จงกลับแต่ผู้เดียว อย่าเข้าทางข้างหน้า จงเข้าทางประตูหลังพระราชวัง แม้ว่าปะพระราชมารดาแล้วอย่าพูดเสียงดัง จงพูดแต่เบา ๆ ด้วยปีศาจช่วนจินนั้น มีฤทธาอานุภาพกว้างใหญ่ แม้ว่ารู้ถึงมันแล้วแม่ลูกจะไม่ดำรงอยู่ได้ ไท้จื๊อได้ฟังเห้งเจียแนะนำก็ทรงจำไว้ในใจ จึงออกมาข้างนอกบอกพวกทหารให้คอยอยู่ที่นี่ อย่าไปข้างไหนข้ามีกิจอันหนึ่ง จะกลับมาพร้อมกันก่อนจึงค่อยไป สั่งแล้วก็ขึ้นทรงม้ารีบขับเข้าไปหาพระราชมารดายังวังใน