Translate

16 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๗ ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องมีมาแล้วในอดีตกาล นานจนนับ
 
ไม่ได้ กำหนดไม่ได้ ประมาณไม่ได้ คำนวณไม่ได้ วัดไม่ได้ ในกาลสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้อุบัติขึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ประเสริฐ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม ในโลกธาตุที่ชื่อว่า "สมภพ" ในสมัย มหารูปกัลป์ 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตพระองค์นั้น ทรงอุบัติขึ้นนานเท่าใด ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างชายคนหนึ่ง บดดินในโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ ให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้ว ชายผู้นั้น ก็หยิบเอาปรมาณูหนึ่ง จากโลกธาตุนั้น แล้วเดินไปทางทิศตะวันออก ได้พันโลกธาตุ แล้วว่างปรมาณูหนึ่งนั้นไว้ ครั้นชายผู้นั้นหยิบเอาปรมาณูที่สอง แล้วเดินไปได้พันโลกธาตุถัดไป แล้ววางปรมาณูที่สองไว้ ชายผู้นั้นต้องไปวางดินทั้งหมดนั้นไว้ในทิศตะวันออก 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน สามารถนับจุดจบ หรือที่สุดโลกธาตุนั้นได้หรือไม่ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลตอบว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นไปไม่ได้ ข้าแต่พระสุคต เป็นไปไม่ได้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่ว่านักคำนวณ หรือนักคณิตศาสตร์อาจรู้จุดจบของโลกธาตุทั้งหลาย ด้วยการคำนวณ โดยเขาจะเอาปรมาณูนั้นไปวางหรือไม่วางที่ใดก็ตาม แต่เขาไม่อาจรู้ ที่สุดของเวลา หมื่นแสนโกฏิกัลป์เหล่านั้นได้ ด้วยวิธีการคำนวณว่า พระผู้มีพระภาค ตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ปรินิพพานไปแล้ว เป็นเวลานานที่คิดประมาณมิได้อย่างนี้ เป็นทีกัลป์กาล 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่เรายังจำพระตถาคตที่ประนิพพานนายแล้วได้ เหมือนกับปรินิพพานวันนี้ หรือเมื่อวานนี้ ด้วยอำนาจตถาคตญาณทัศนะ นั่นเอง  ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพรคาถาเหล่านี้ว่า 
1       หลายโกฏิกัลป์ล่วงมาแล้ว เราระลึกถึง มหามุนีอภิชญาชญานาภิภู ผู้ประเสริฐในหมู่ชนทั้งหลาย ซึ่งได้เป็นพระชินเจ้า ผู้ประเสริฐที่สุดในสมัยนั้น 
2       เหมือนอย่างชายผู้หนึ่ง บดดินในสามพันโลกธาตุให้เป็นผงปรมาณู ครั้นแล้วหยิบเอาปรมาณูหนึ่งจากโลกธาตุนั้น เดินไปประมาณพันเกษตรแล้ววางปรมาณูนั้นลง 
3       ชายผู้นั้น วางผงปรมาณูที่สองและสาม วางปรมาณูนั้นทั้งหมด จนเหลือโลกธาตุว่างเปล่า ผงทั้งปวงก็หมดไป 
4       ปรมาณูในโลกธาตุทั้งหลาย เป็นสิ่งที่นับไม่ได้ เราได้กระทำปรมาณูนั้นเป็นข้อเปรียบเทียบกับร้อยกัลป์ที่ผ่านไป 
5       พระตถาคตนั้นปรินิพพานแล้วหลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ กัลป์ทั้งหลายสิ้นไปแล้วมากมาย ปรมาณูก็เปรียบไม่ได้ 
6       เราจำพระตถาคตที่ปรินิพพานแล้ว และสาวกทั้งหลาย โพธิสัตว์ทั้งหลายที่ล่วงลับไปแล้ว เป็นเวลาช้านานได้เหมือนวันนี้หรือเมื่อวานนี้ ด้วยตถาคตญาณแล 
7        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความรู้เช่นนี้ ของพระตถาคต ผู้มีญาณอันไม่สิ้นสุดนี้ เราได้รู้มาแล้ว หลายร้อยกัลป์ เป็นอเนกอนันต์ ด้วยความจำที่ไร้อาสวะ ที่ละเอียดสุขุม 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า พระชนมายุของพระมหาภิชญาชญานาภิภู อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีประมาณ 54 หมื่นแสนโกฏิกัลป์ ก็แลในตอนแรก พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ยังไม่ได้ บรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ประทับที่โพธิมณฑล นั่นแล ปราบเสนามารทั้งปวงได้ชัยชนะ คิดว่า เราครั้นปราบชนะเสนามารได้แล้ว จักได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ดังนี้ แต่พระองค์ก็มิได้รู้แจ้งเห็นจริงธรรมทั้งหลาย พระองค์ได้ประทับที่โพธิมณฑล ณ โคนโพธิพฤกษ์ เป็นเวลาหนึ่งกัลป์ แม้ประทับอยู่ตลอดกัลป์ที่สองก็ยังไม่ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ประทับอยู่ทีโพธิมณฑล ณ โคนต้นโพธิพฤกษ์ตลอดกัลป์ที่สาม สี่ ห้า หก เจ็ด แปด เก้า สิบ ติดต่อกันไป เป็นคราวเดียวกัน โดยมิได้เสด็จลุกจากที่ประทับเลย พระองค์ได้ประทับด้วยจิตที่สงบนิ่ง พระวรกาย ไม่เคลื่อนไหว แต่ก็ยังมิได้รู้แจ้งเห็นจริง ธรรมทั้งหลาย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่โพธิมณฑลนั้น เทวดาชั้นไตรตรึงศ์ ได้จัดสิงหาสน์ (บัลลังก์) สูงแสนโยชน์ถวาย พระผู้มีพระภาคประทับ ณ ที่นั้นแล้ว ก็ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อมา ขณะที่พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ณ โพธิมณฑลนั้น พรหมกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ทิพย์ลงมา โดยรอบโพธิมณฑล และทำให้เกิดพายุ แผ่บริเวณไปทั่ว ประมาณร้อยโยชน์ในอากาศให้พัดดอกไม้ที่เหี่ยวแห้งนั้นไป เทพบุตรเหล่านั้นโปรยดอกไม้ลงมาโดยมิขาดสาย ในขณะที่พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งที่โพธิมณฑลนั้น และเกลี่ยฝนให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้น ตลอดเวลาสิบกัลป์บริบูรณ์ เทพบุตรทั้งหลายโปรยฝนดอกไม้ลงมา ทำให้ปกคลุมพระผู้มีพระภาคนั้น ในขณะที่พระผู้มีพระภาค กำลังจะเสด็จดับขันธปรินิพพาน จาตุมหาราชกายิกเทพบุตรทั้งหลาย ได้ประโคมกลองทิพย์อย่างไม่ขาดสาย เพื่อสักการะพระผู้มีพระภาค ผู้ประทับที่โพธิมณฑล  เมื่อพระผู้มีพระภาค ประทับนั่งอยู่นั้น ตลอดสิบกัลป์ ตั้งแต่นั้น เทพบุตรทั้งหลายเหล่านั้น ได้ประโคมดนตรีทิพย์ทั้งหลายยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องจวบจนพระผู้มีพระภาค เสด็จดับขันธประนิพพาน 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น เมื่อกาลเวลาล่วงไปสิบกัลป์ 
พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า"มหาภิชญาชญานาภิภู" ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และต่อมาโอรสทั้งสิบหกพระองค์ ซึ่งประสูติแต่พระผู้มีพระภาค 
เมื่อครั้งยังเป็นพระกุมารอยู่นั้น ทรงทราบว่าพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว บรรดาโอรสทั้งหลาย โอรสองค์ใหญ่นามว่า "ชญาณกร" 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พระราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ แต่ละพระองค์มีของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจมาก 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระราชกุมารเหล่านั้นทั้งสิบหกพระองค์ พากันละวางของเล่นนานาชนิด อันวิจิตร น่าดู น่าพอใจเหล่านั้น 
เมื่อทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระราชกุมารทั้งหลาย มีมารดา พี่เลี้ยง และนางนมทั้งหลายกรรแสงร่ำไห้ห้อมล้อมไปด้วยกัน มหาจักรพรรดิหมู่ใหญ่และประชาชนหลายหมื่นโกฏิ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่ที่โพธิมณฑล จนถึงสถานที่ประทับ ทั้งหมดเข้าไป เพื่อสักการะ เคารพ นบนอบ บูชา ยกย่อง เทิดทูนพระผู้มีพระภาค
 ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กราบแทบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้ากระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคสามครั้ง ประนมมือ กราบทูลพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ด้วยคาถาที่เหมาะสมว่า 
8        พระองค์ทรงเป็นแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ ได้ดำเนินไปหลายกัลป์ไม่มีที่สิ้นสุด ความดำริอันประเสริฐ ที่จะให้สัตว์ทั้งหลายพ้นจากสังสารวัฏนี้ สมบูรณ์แล้ว 
9        พระองค์ประทับนั่งบนอาสนะเดียวตลอดสิบกัลป์นั้น นับว่าเป็นสิ่งกระทำได้ยากในระหว่างนั้น พระองค์มิได้ทรงเคลื่อนไหวพระวรกาย พระหัตถ์และพระบาทตลอดจนอวัยวะอื่นๆ เลยแม้สักครั้งเดียว 
10      แม้จิตพระองค์ ก็สงบ ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว ไม่สะเทือน ไม่วอกแวก พระองค์ไม่มีอาสวะ ตั้งอยู่ในความสงบนิ่งยิ่งนักแล 
11      ขอแสดงความยินดีว่า พระองค์ทรงบรรลุอัครโพธิญาณ ด้วยความเกษมและสวัสดี ข้าแต่พระนเรนทรสิงหะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ประสบความสำเร็จ เห็นปานนี้และได้รับความเจริญ 
12      ประชาชนทั้งหลาย ที่ไม่มีผู้นำ เป็นทุกข์ มีนัยน์ตามืดมน ไร้ความสนุกสนานไม่รู้หนทางที่นำไปสู่ ที่สุดแห่งทุกข์ไม่มีความพยายามเพื่อถึงความหลุดพ้น 
13      อันตรายมีมากขึ้น ร่างกายก็เสื่อมจากธรรม (ความดี) มาช้านาน ไม่เคยได้ยินพระสุรเสียงของพระชินเจ้าทั้งหลาย โลกทั้งปวงก็มืดมนอนธการ 
14      ข้าแต่พระองค์ ผู้รู้แจ้งโลก วันนี้และที่นี่ พระองค์ได้บรรลุบทอันอุดม อันเป็นมงคลและเป็นอนาสวะแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลกทั้งปวง เป็นผู้ที่พระองค์ทรงอนุเคราะห์แล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะ ข้าพระองค์ทั้งหลาย พากันมาเฝ้าก็เพื่อถึงพระองค์เป็นสรณะ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลครั้งนั้น พระราชกุมารทั้งสิบหกองค์ ที่ยังเป็นพระกุมารผู้เยาว์วัยอยู่ สดุดีพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า อภิชญาชญานาภิภู นั้น ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคนั้นว่า เพื่อยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงธรรม ขอพระสุคตจงแสดงธรรม เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่อนุเคราะห์สัตว์โลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่ชนหมู่มาก แก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
 ก็ในสมัยนั้น พระราชกุมารเหล่านั้นทรงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
15 ข้าแต่พระมหาฤษี ผู้เพียบพร้อมด้วยบุณยลักษณะร้อยประการ ทรงเป็นผู้นำ ที่ไม่มีผู้เสมอเหมือน ขอพระองค์จงแสดงธรรม ขอพระองค์ทรงประกาศญาณอันเลิศประเสริฐที่พระองค์ทรงได้แล้วแก่ชาวโลกพร้อมกับเทวดาด้วยเถิด 
16      ขอพระองค์จงให้ข้าพระองค์ทั้งหลายและสัตว์เหล่านี้ล่วงพ้น (ทุกข์) ขอพระองค์ทรงแสดงตถาคตญาณทั้งหลาย โดยประการที่พวกข้าพระองค์และสัตว์เหล่านี้จะได้บรรลุพระโพธิญาณด้วยเถิด 
17      พระองค์ทรงทราบความประพฤติ ความรู้ อัธยาศัย และบุญที่สัตว์ทั้งหลายได้กระทำแล้วแต่ปางก่อน และ
พระองค์ทรงทราบอุปนิสัยของสัตว์แต่ละคน (ฉะนั้น)ขอพระองค์ทรงหมุนธรรมจักรที่เลิศประเสริฐด้วยเถิด 
           ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในเวลานั้น เมื่อพระผู้มีพระภาค
ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ทิศทั้งสิบในห้าสิบหมื่นแสนโกฏิโลกธาตุได้ แต่ละทิศ ได้สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ และสว่างไสวไปด้วยแสงเจิดจ้า ในโลกธาตุทั้งปวงเหล่านั้น โลกธาตุใดมีที่ว่าง และมีความมืดมิด แม้พระอาทิตย์และพระจันทร์ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีความรุ่งโรจน์โชติช่วงมาก ไม่สามารถส่องแสงไปถึงด้วยสีและพลังของตน แต่ที่ว่างนั้นทั้งหมด ก็มีแสงสว่างเจิดจ้าไปทั่วถึง สัตว์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นในที่ว่างแห่งโลกธาตุนั้น ย่อมมองเห็นซึ่งกันและกันและจำกันได้ แม้สัตว์ผู้เจริญเหล่าอื่น ที่เกิดในที่นี้ และในโลกธาตุทั้งปวง ภพของเทพ วิมานแห่งเทพ ตลอดถึงพรหมโลก ก็สั่นสะเทือนเป็นหกจังหวะ สว่างไสวไปด้วยแสงอันเจิดจ้า เกินเทวานุภาพของเทพทั้งหลาย 
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลในสมัยนั้น ในโลกธาตุเหล่านั้น 
ได้ปรากฏแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ และมีแสงสว่างโชติช่วง ในเวลาเดียวกัน    ก็แลในทิศบูรพา หรหมวิมานทั้งหลายในโลกธาตุห้าหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงาม เจิดจ้ายิ่งนัก 
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้น ได้มีความคิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ไม่เคยส่องแสงโชติช่วงสวยงามเจิดจ้าอย่างนี้มาก่อน คงจะไม่มีอะไรเป็นบุพนิมิตแน่
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมในโลกธาตุห้าสิบหมื่นโกฏิทั้งหมด ได้ไปยังที่ประทับของกันและกันได้สนทนากัน 
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้นมหาพรหมนามว่า สรวสัตตตวัตรตฤ ได้กล่าวคาถาทั้งหลายกับหมู่พรหมนั้นว่า 
18      วันนี้ เรามีความหรรษาอย่างยิ่ง วิมานอันประเสริฐทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้สว่างโชติช่วงสวยงาม น่ายินดี อะไรเป็นเหตุในเรื่องเช่นนี้ 
19      ดีละ พวกเราจะค้นหา ก็แลวันนี้ คงมีเทพบุตรองค์ใดบังเกิดขึ้น ผู้มีอานุภาพปานนี้ ที่พวกเราเห็นอยู่ขณะนี้ ยังไม่เคยมีมาก่อน 
20     หรืออาจเป็นเพราะว่า พระพุทธเจ้า ผู้เป็นจอมราชาแห่งนรชน ได้อุบัติขึ้น ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกนี้ นิมิตของพระองค์จึงโชติช่วงสวยงามไปทั้งสิบทิศ ในวันนี้ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้นทั้งหมด ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน แล้วถึอเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศตะวันตก 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มหาพรหมทั้งหลาย ในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคต อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ประทับบนสิงหาสน์ โคนโพธิพฤกษ์ ณ โพธิมณฑลนั้นมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ นั่งแวดล้อมอยู่และมีโอรสราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ ณ ทิศตะวันตกนั้น
    ครั้นพบแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคนั้น กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาคหลายแสนครั้ง และได้บูชาพระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่งใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ และได้โปรยดอกไม้เหล่านั้นลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางห่างออกไป ประมาณสิบโยชน์ 
   ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้มอบวิมานพรหม แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคต จงใช้พรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นนั้น มหาพรหมทั้งหมาย ครั้งได้มอบวิมานพรหมของตน แด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้ในเวลานั้นว่า 
21     พระชินเจ้าผู้ประเสริฐ หาผู้เปรียบมิได้ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ต่อชาวโลก ได้อุบัติขึ้นแล้ว พระองค์อุบัติมาเพื่อเป็นที่พึ่ง เป็นศาสดา และเป็นครู เป็นผู้อนุเคราะห์ทั้งสิบทิศ ในวันนี้ 
22      ข้าพระองค์ทั้งหลาย มาจากโลกธาตุห้าหมื่นโกฏิ ไกลจากที่นี้ เพื่อนมัสการพระชินเจ้า ด้วยการถวายวิมานอันประเสริฐ 
23      วิมาน อันวิจิตร สวยาม เหล่านี้ บังเกิดแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยบุพกรรมอันดีงาม ขอพระองค์ผู้เป็นโลกวิทู จงรับไว้ใช้สอยตามพระประสงค์ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้นมหาพรหมทั้งหลาย ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ ที่เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ว่า
 ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระธรรมจักร ให้หมุนไป
 ขอพระสุคต จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ในโลก
 ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงพระนิพพาน 
 ขอพระผู้มีพระภาค จงยังสัตว์ให้ข้ามพ้น(ทุกข์) จงสงเคราะห์ชาวโลก
 ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรม แก่ชาวโลก พรอมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชนพร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดามนุษย์และอสูรทั้งหลาย
 เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อเป็นการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย   หลังจากนั้น พรหมทั้งหลาย ห้าสิบแหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยคาถาอันไพเราะเหล่านี้เป็นเสียงเดียวกันว่า 
24      ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงแสดงธรรม ข้าแต่พระสุคตผู้ประเสริฐที่สุดในหมู่มนุษย์ ขอพระองค์จงแสดงธรรม จงแสดงพลังแห่งเมตตา และทรงให้สัตว์ทั้งหลายข้ามพ้นจากความทุกข์ด้วยเถิด 
25      พระองค์ยังโลกให้สว่างไสว เป็นผู้ที่หาได้ยาก เหมือนต้นมะเดื่อที่มีดอก ข้าแต่พระมหาวีระ พระองค์ได้อุบัติขึ้นมาแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอนมัสการองค์พระตถาคต 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงรับคำกราบทูลของมหาพรหมทั้งหลาย ด้วยดุษณียภาพ 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า สมัยนั้นวิมานพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ได้ส่องแสงโชติช่วงสวยงามอย่างยิ่ง 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้น พรหมเหล่านั้นได้ คิดว่า
 พรหมวิมานเหล่านี้ ส่องแสงโชติช่วงสวยงามยิ่งนัก 
สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตแห่งอะไร 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้น มหาพรหมทั้งหมดในโลกธาตุห้าหมื่นแสงโกฏิ ได้ไปยังวิมานของกันและกันแล้วสนทนากัน 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมหนึ่งนามว่า อธิมาตรการุณิก ได้พูดกะเหล่าพรหมนั้นเป็นคาถาว่า 
26      ดูก่อนสหายทั้งหลาย เพราะบุพนิมิตแห่งอะไร เราจึงเห็นเหตุเช่นนี้ ในวันนี้ คือ วิมานทั้งปวงส่องแสงโชติช่วงเกินประมาณ 
27     หรือว่า เทพบุตรผู้มีบุญได้มาที่นี่ ด้วยอานุภาพของเทวบุตรนั้น วิมานทั้งปวงจึงสวยงามยิ่งนัก 
28      หรือว่าพระพุทธเจ้า ผู้เลิศยิ่งในหมู่มนุษย์ ได้อุบัติขึ้นในโลก ด้วยอานุภาพของพระองค์ วิมานทั้งหลายจึงสดใสดังที่เห็นในวันนี้ 
29      ขอให้พวกเราจงไปตรวจดู เรื่องนี้มิใช่เหตุเพียงเล็กน้อย บุพนิมิตนี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน 
30      พวกเราควรไปตรวจดูสถานที่หลายโกฏิให้ทั่วทั้งสี่ทิศ พระพุทธเจ้าคงจะอุบัติขึ้นแล้วในโลกเป็นแน่ทีเดียว
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พรหมห้าหมื่นแสนโกฏิ ขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตนแล้วถือเอาภาชนะดอกไม้ทิพย์ใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุ ท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศตะวันตกเฉียงใต้
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ก็เช่นเดียวกัน มหาพรหมเหล่านั้น ได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับบนสิงหาสน์ โคนต้นโพธิ์ ณ โพธิมณฑลนั้น ซึ่งกำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์แวดล้อมอยู่ และมีพระโอรสราชกุมาร ทั้งสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่ 
         ครั้นพบแล้ว พรหมทั้งหลายก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อภิชญาชญานาภิภู จนถึงที่ประทับ  ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้า ที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณพระผู้มีพระภาค หลายแสนครั้ง และได้บูชาพระองค์ด้วยดอกไม้ใหญ่ อันเท่าเขาพระสุเมรุนั้น และนำดอกไม้เหล่านั้นไปโปรยลง ที่ต้นโพธิ์เป็นระยะทางกว้างออกไป ประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายวิมานพรหมเหล่านั้น แด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับวิมานพรหมเหล่านี้ เพื่อเป็นการอนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตทรงใช้วิมานพรหมเหล่นี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ในเวลานั้น มหาพรหมทั้งหลาย หลังจากได้ถวายวิมานของตนแด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาอันเหมาะสม ณ เบื้องพระพักตร์ว่า 
31     ข้าแต่พระมหาฤาษี ผู้ไม่มีใครเทียบได้ ผู้เป็นเทพยิ่งกว่าเทพ ผู้มีพระสุรเสียงเยี่ยงนกการะเวก เป็นผู้นำของชาวโลก พร้อมทั้งเทวโลก เป็นผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลต่อชาวโลก ข้าพระองค์ขอนอบน้อมพระองค์ 
32     ข้าแต่พระผู้เป็นนาถะ เป็นระยะเวลายาวนาน จนถึงปัจจุบัน นับได้แปดพันกัลป์ที่ชีวโลกได้เว้นว่างจากพระพุทธเจ้า นับว่าน่าอัศจรรย์อะไรอย่างนี้ ที่พระองค์ทรงอุบัติขึ้นมาในโลก 
33     การเว้นว่างจากพระองค์ ผู้เป็นยอดแห่งมนุษย์ทั้งหลาย เป็นเวลาแปดพันกัลป์เต็มนั้น นรกได้เฟื่องฟู เทวดาทั้งหลายได้ทดถอยเสื่อมลง 
34     บัดนี้ พระองค์เป็นดวงตา เป็นคติ เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ต้านทาน เป็นบิดาและเป็นพวกพ้อง(ของข้าพระองค์ทั้งหลาย) ข้าแต่พระธรรมราชา พระองค์ผู้ทรงอนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูล ทรงอุบัติขึ้นแล้วในโลกนี้ นับเป็นบุญของข้าพระองค์ทั้งหลาย    ภิกษุทั้งหลาย ครั้นมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันสมควร ณ เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ว่า ขอพระผู้มีพระภาค ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระสุคตทรงยังธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาค ทรงแสดงพระนิพพานในโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงยังสัตว์ทั้งหลายให้ข้ามพ้น (จากทุกข์) ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
        หลังจากนั้น พรหมทั้งหลายสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นด้วยคาถาอันไพเราะสองคาถาเหล่านี้เป็นเสียงเดียวกันว่า 
35     ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์จงทรงยังพระธรรมจักรอันประเสริฐให้หมุนไป จงทรงประกาศธรรมให้ทั่วทั้งสิบทิศ ขอพระองค์ทรงปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลาย ที่ถูกทุกข์เบียดเบียนแล้ว และขอพระองค์จงยังสัตว์ทั้งหลายให้เกิดความปราโมทย์หรรษาด้วยเถิด 
36     สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความปรารถนา เมื่อได้ฟังธรรมแล้ว จงเป็นผู้ตรัสรู้และพึงไปสู่ทิพยสถาน ขอให้สัตว์ทั้งปวงพึงละกาย อันน่าเกลียด และจงมีความสงบสุข 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย 
ขณะนั้นพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ได้ทรงรับคำกราบทูลของมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระอาการดุษฎีภาพ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่า เวลานั้นพรหมวิมานทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ในทิศใต้ ได้ร้อน ส่องแสงสว่างโชติช่วง งดงามอย่างยิ่ง 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมหาพรหมทั้งหลายคิดว่า พรหมวิมานเหล่านี้ ได้ส่องสว่างโชติช่วงงดงามยิ่งนัก สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตอะไรหนอ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จากนั้นมหาพรหมทั้งหมดจากโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิได้ไปยังวิมานของกันและกันแล้วสนทนากัน 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมองค์หนึ่งนามว่า "สุธรรม" ได้กล่าวกับหมู่พรหมนั้นด้วยสองคาถาว่า 
37     ดูก่อนสหาย เมื่อไม่มีเหตุ ย่อมไม่มีผล วันนี้วิมานทั้งปวงสว่างโชติช่วง ย่อมแสดงนิมิตอะไรอย่างหนึ่งแน่ ขอให้เราไปตรวจเหตุนั้นกันเถิด 
38     เวลาประมาณร้อยกัลป์มาแล้วในอดีต ไม่เคยมีนิมิตเช่นนี้ คงจะมีเทพบุตร หรือไม่ก็พระพุทธเจ้า เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลาย ในโลกธาตุห้าสิบหมื่นโกฏิเหล่านั้น ทั้งหมดขึ้นสู่พรหมวิมานทิพย์ของตน แล้ว ถือเอาดอกไม้ทิพย์เท่าเขาพระสุเมรุท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศเหนือ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่ทิศเหนือนั้นมหาพรหมทั้งหลายได้พบพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่บนอาสนะสิงห์ โคนต้นโพธิ ณ โพธิมณฑลนั้น (พระองค์) ซึ่งกำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์อสูร ครุฑ พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ แวดล้อมอยู่ และซึ่งมีพระโอรสราชกุมารสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่  ครั้นเห็นแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค จนถึงที่ประทับ  ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น พระทำประทักษิณ พระผู้มีพระภาคหลายแสนครั้ง และได้บูชาพระผู้มีพระภาคด้วยภาชนะดอกไม้นั้น ซึ่งใหญ่ประมาณเท่าเขาพระสุเมรุและเอาดอกไม้เหล่านั้นโปรยลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางกว้างออกไปประมาณสิบโยชน์ 
   ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายวิมานพรหมเหล่านั้น แต่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงรับวิมานพรหมเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตจงใช้วิมานพรหมเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายขณะนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้ถวายวิมานของตน แด่พระผู้มีพระภาค แล้วสดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันสมควรยิ่งเหล่านี้ว่า 
39     การได้เฝ้าพระผู้เป็นผู้นำแห่งโลกเจ้า เป็นสิ่งที่ยากอย่างยิ่ง ขอต้อนรับพระองค์ผู้ปราศจากควาลุ่มหลง นานนักที่จะได้เฝ้าพระองค์ในโลก เป็นเวลาถึงร้อยกัลป์เต็ม พวกข้าพระองค์จึงได้เฝ้าพระองค์ 
40     ข้าแต่พระโลกนาถ ขอพระองค์ได้โปรดกระทำหมู่สัตว์ ผู้กระหายให้เอิบอิ่มด้วยเถิด ผู้ที่ไม่เคยเฝ้าพระองค์มาก่อน จะพบพระองค์ได้อย่างไร ข้าแต่พระผู้นำแห่งโลกการเฝ้าพระองค์นั้นเป็นสิ่งที่หาได้ยาก เหมือนกับต้นมะเดื่อออกดอก 
41     ข้าแต่พระผู้นำโลก วิมานเหล่านี้ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ส่องแสงสว่างโชติช่วง เพราะอานุภาพของพระองค์ 
ข้าแต่พระสมันตจักษุ (ผู้รู้เห็นโดยรอบ) ของพระองค์ทรงรับและใช้สอยวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้น มหาพรหมทั้งหลาย ได้สดุดีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภูด้วยคาถาอันสมควร ณ เบื้องพระพักตร์นั้นแล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงยังพระธรรมจักรให้หมุนไปในโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงพระนิพพาน ของพระผู้มีพระภาค ได้โปรดยังสัตว์ให้ข้ามพ้น(จากทุกข์) ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาค จงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมาร พรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูร ทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น พรหมทั้งหลายห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยคาถาอันไพเราะ สองคาถาเป็นเสียงเดียวกันว่า 
42     ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ผู้ทรงเป็นผู้นำ ของพระองค์ได้โปรด แสดงธรรมยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระองค์ได้โปรดลั่นกลองธรรม และเป่าสังข์ธรรมให้ดังกึกก้องด้วยเถิด 
43     ขอพระองค์ทรงยังฝน คือ พระสัทธรรมให้ตกลงในโลก และขอจงตรัสสุภาษิตที่มีสำเนียงอันไพเราะ ขอทรงแสดงธรรมที่ชาวโลกปรารถนา เพื่อปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลายหมื่นโกฏิ (จากทุกข์) ด้วยเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  นัยว่าพระผู้มีพระภาคนั้น ได้ทรงรับคำทูลของมหาพรหมทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระดุษฎีภาพ ฯลฯ เหตุการณ์อย่างนี้ได้เกิดขึ้นในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ทิศเหนือ ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และทิศเบื้องล่าง 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นัยว่าครั้งนั้น พรหมวิมานทั้งหลาย ในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสงโกฏิ ในทิศเบื้องล่าง ได้เร่าร้อน ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงามอย่างยิ่ง 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น พรหมทั้งหลายคิดว่าพรหมวิมานเหล่านี้ ได้ส่องแสงสว่างโชติช่วงสวยงามยิ่งนัก สิ่งนี้จักเป็นบุพนิมิตอะไรหนอ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมทั้งหมดในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้ไปยังวิมานของกันและกัน แล้วสนทนากัน 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมองค์หนึ่ง นามว่า "ศิขี" ได้กล่าวกับพรหมหมู่ใหญ่นั้นด้วยคาถาว่า 
44      ดูก่อนสหาย อะไรเป็นเหตุ วิมานของเราจึงมีสีแสงสุขสว่างไสวเช่นนี้ อะไรเป็นเหตุแห่งความเจริญนี้ 
45      ปรากฏการณ์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่ใครไม่เคยเห็นและไม่ได้ยินมาก่อน อะไรเป็นเหตุ วันนี้ วิมานทั้งหลาย จึงมีแสงสดใส และงดงามยิ่งนัก 
46      เห็นจะมีเทพบุตรผู้ประกอบกรรมอันงาม บังเกิดขึ้นในโลกนี้ ปรากฏการณ์นี้เป็นอานุภาพของเทพบุตรองค์นั้น หรือมิฉะนั้น ก็จะต้องมีพระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นในโลก 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น มหาพรหมทั้งหลายในโลกธาตุห้าสิบหมื่นแสนโกฏิเหล่านั้นทั้งหมด ขึ้นสู่วิมานทิพย์ของตน แล้วถือเอาดอกไม้ทิพย์ขนาดใหญ่เท่าเขาพระสุเมรุท่องเที่ยวไปในทิศทั้งสี่ จนถึงทิศเบื้องล่าง 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศเบื้องล่างนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้พบ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ซึ่งประทับอยู่บนอาสนะสิงห์ โคนต้นโพธิ ณ โพธิมณฑลนั้น (พระองค์) กำลังมีเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ อมนุษย์ แวดล้อมอยู่ และมีพระโอรสราชกุมารสิบหกพระองค์ กำลังทูลขอให้ประกาศพระธรรมจักรอยู่  ครั้นพบแล้วพรหมเหล่านั้น ก็เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้ถวายบังคมด้วยเศียรเกล้าที่แทบพระบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้านั้น กระทำประทักษิณ พระผู้มีพระภาคเจ้าหลายแสนครั้ง และได้บูชา พระผู้มีพระภาค ด้วยภาชนะดอกไม้นั้น อันใหญ่ประมาณเท่าเข้าพระสุเมรุ และเอาดอกไม้เหล่านั้นโปรยลงที่ต้นโพธิ์ด้วย เป็นระยะทางกว้างออกไปประมาณสิบโยชน์ ครั้นทำการบูชาแล้ว พรหมทั้งหลายเหล่านั้น ได้ถวายพรหมวิมานของตน ซึ่งเป็นวิมานทิพย์ แด่พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรับพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระสุคตโปรดใช้สอยพรหมวิมานเหล่านี้ เพื่ออนุเคราะห์ข้าพระองค์ทั้งหลายเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนั้น มหาพรหมเหล่านั้น ได้ถวายพรหมวิมานของตน แด่พระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดีพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์ ด้วยคาถาอันเหมาะสมเหล่านี้ว่า 
47      ดีแท้ ที่ได้พบพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้เป็นที่พึ่งแห่งชาวโลก ผู้มีศักดิ์ในการปลดเปลื้องสัตว์ในไตรโลกให้หลุดพ้น 
48      (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ผู้มีสมันตจักษุ ผู้เป็นใหญ่แห่งโลก ทอดพระเนตรทิศทั้งสิบ พระองค์ทรงเปิดประตูแห่งอมตะแล้ว ทรงยั่งยืนทั้งหลาย จำนวนมากให้ถึงฝั่ง 
49      หลายกัลป์ ที่นับไม่ได้ ที่ว่างเปล่า ได้ผ่านพ้นไปในอดีต ทิศทั้งสิบเต็มไปด้วยความมืด เพราะเว้นว่างจากพระชิเนนทระ(ผู้เป็นจอมแห่งพระชินเจ้า) 
50      นรก อันน่าสะพรึงกลัว สัตว์ดุร้ายทั้งหลาย และพวกอสูรเจริญขึ้น สัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ ไปเกิดในกำเนิดเปรต 
51      เหล่าทวยเทพเสื่อมลง จุติแล้วไปสู่ทุคติ เพราะไม่ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าคติของสัตว์ทั้งหลายจึงเลวร้าย 
52      ความประพฤติ ความบริสุทธิ์ คติ ปัญญา ของสัตว์ทั้งปวง ก็เสื่อมลง ความสุขก็หมดสิ้นไป ผู้รู้จักความสุขก็ปลาสนาการไปสิ้น 
53      สัตว์ทั้งหลายประพฤติอนาจาร ดำรงอยู่ในสัทธรรม ไม่ได้ผู้นำที่เป็นที่พึ่งของโลก ย่อมตกไปสู่ทุคติ 
54      พระองค์ทรงประทานความโชติช่วงแก่โลก นับเป็นเวลานานยิ่งที่พระองค์เสด็จมาแล้ว พระองค์ผู้มีความอนุเคราะห์ ทรงอุบัติขึ้น (มาในโลก) เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งปวง 
55      นับเป็นสิ่งประเสริฐ ที่พระองค์ได้บรรลุอนุตตรพุทธญาณ ด้วยความเกษมสำราญ สัตว์โลกพร้อมทั้งเทวดา และข้าพระองค์ทั้งหลาย มีความยินดีอย่างยิ่ง 
56      ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ด้วยอานุภาพของพระองค์ วิมานทั้งหลายจึงวิจิตรงดงามยิ่ง ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลายขอถวาย (วิมานทั้งหลาย) ข้าแต่พระมหามุนี ขอพระองค์ทรงรับ (วิมาน ทั้งหลายเหล่านี้) ด้วยเถิด 
57      ข้าแต่พระผู้นำที่วิเศษ เพื่ออนุเคราะห์แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอพระองค์จงทรงใช้สอย (วิมานทั้งหลาย) ด้วยเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย และสัตว์ทั้งปวงจักได้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐด้วย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น มหาพรหมได้สดุดี พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ด้วยคาถาอันไพเราะ ณ เบื้องพระพักตร์นั้น แล้ว ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระสุคตจงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงแสดงพระนิพพาน ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดยังสัตว์ทั้งหลาย ให้ข้ามพ้น(จากทุกข์) ขอได้โปรดสงเคราะห์ชาวโลก ขอพระผู้มีพระภาคจงแสดงธรรมแก่ชาวโลก พร้อมทั้งมารและพรหม และแก่ประชาชน พร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ และอสูรทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์แก่ชาวโลก เพื่อประโยชน์และความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น พรหมทั้งหลาย ห้าสิบหมื่นแสนโกฏิ ประชุมกันแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ด้วยสองคาถาอันไพเราะ เป็นเสียงเดียวกันว่า 
58      ขอพระองค์จงยังจักรอันประเสริฐสูงสุดให้หมุนไป ของจงลั่นกลองอมตะ(ธรรม) ของพระองค์จงยังสัตว์ ทั้งหลาย ให้พ้นจากทุกข์หลายร้อยประการ และขอพระองค์แสดงทางแห่งพระนิพพานด้วยเถิด 
59      ขอพระองค์จงแสดงธรรม ที่เหล่าข้าพระองค์ปรารถนา ขอพระองค์จงอนุเคราะห์ข้าพระองค์และชาวโลกทั้งปวง ขอพระองค์จงเปล่งพระสุระเสียงอันไพเราะอ่อนหวานที่ทรงเคยเปล่งมาแล้ว หลายพันโกฏิกัลป์ด้วยเถิด 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ทรงทราบความปรารถนาของพรหมหนึ่งแสนโกฏิเหล่านั้น และของพระราชกุมาร ผู้เป็นโอรสสิบหกพระองค์ ได้ทรงแสดงธรรมจักร
 ในเวลานั้น อันเป็นไปสามรอบ และมีอาการสิบสอง (ปริวรรต 3 โดยอาการ 12) ที่สมณะ พราหมณ์ เทวดา มาร พรหม และชนอื่นๆ ไม่เคยแสดงในโลก ว่า นี้คือทุกข์ นี้คือแหตุเกิดทุกข์ นี้คือความดับทุกข์ นี้คือหนทางให้ถึงความดับทุกข์ ทั้งหมดนี้เป็นอริยสัจ และพระองค์ได้ทรงแสดง เรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยพิสดารว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ วิญญาณเป็นปัจจัยให้เกิดนามรูป นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะหก อายตนะหกเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา  ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปทาน อุปทานเป็นปัจจัยให้เกิดภพ ภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติ ชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส และอุปยาส อย่างนี้
 เป็นเหตุเกิดความทุกข์อันยิ่งใหญ่อย่างเดียว เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ อายตนะหกจึงดับ เพราะอายตนะหกดับ ผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับ อุปทานภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรามรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส จึงดับ อย่างนี้ คือความดับกองทุกข์อันยิ่งใหญ่อย่างเดียว 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขณะนี้พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ทรงแสดงพระธรรมจักรอยู่ เบื้องหน้าชาวโลก พร้อมทั้งเทวดา มารพรหม เบื้องหน้าประชาชน พร้อมทั้งสมณะ และพราหมณ์ทั้งหลาย เบื้องหน้าบริษัท พร้อมทั้งเทวดา มนุษย์และอสูร ครั้งนั้น ขณะนั้น ครู่นั้น จิตของสัตว์จำนวนหกสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้หลุดพ้นแล้วจากอุปทานและอาสวะ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้บรรลุวัชชาสาม อภิญญาหก วิโมกข์แปด
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมา พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า หมาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงแสดงธรรมเป็นครั้งที่สอง ครั้งที่สาม และครั้งที่สี่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลแสดงธรรม ของพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ครั้งนั้น จิตของสัตว์หมื่นแสนโกฏิ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้หลุดพ้นจากอุปทานและอาสวะทั้งหลาย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายหลังจากนั้นหมู่สาวก ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จึงมีจำนวนมากมายเหลือจะคณานับ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  สมัยนั้นแลราชกุมารสิบหกพระองค์เหล่านั้น ผู้ยังทรงพระเยาว์อยู่ ทรงมีศรัทธาสละการครองเรือน ทรงบรรพชาเป็นสามเณรทุกพระองค์ ทรงเป็นบัณฑิตแจ่มใส มีปัญญา ชาญฉลาด ทรงเจริญรอยพระยุคลบาท ของพระพุทธเจ้าหลายแสนพระองค์ มีพระประสงค์จะบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล สามเณรสิบหกรูปนั้น ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู นั้น ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สาวกหลายหมื่นแสนโกฏิเหล่านี้ ของพระตถาคต เป็นผู้มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีศักดิ์มาก เพราะอาศัยพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ขอพระวโรกาส ฉะนั้น ขอพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้โปรดอนุเคราะห์แสดงธรรมปรารภอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลาย จักได้ดำเนินรอยตามพระตถาคต ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรารถนาจะเห็นพระตถาคตญาณ พระผู้มีพระภาคท่านนั้น จักเป็นพยานในเรื่องนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย และอัธยาศัยของสัตว์ทั้งหลาย และอัธยาศัยของข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมัยนั้นแล บริวารของจักรพรรดิราชพระองค์นั้นครึ่งหนึ่ง คือ จำนวนแปดสิบหมื่นแสนโกฏิ ได้เห็นพระราชกุมารผู้ทรงพระเยาว์ สละการครองเรือน
 ทรงบรรพชาเป็นสามเณร ก็ได้สละละการครองเรือนด้วย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงทราบอัธยาศัยของสามเณรทั้งหลายเหล่านั้นแล้ว โดยกาลล่วงไปสองหมื่นกัลป์ จึงได้ตรัสพระสูตรที่มีชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกะ อันเป็นธรรมบรรยาย ที่ไพศาลเป็นคำสอนพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย อันเป็นที่ยึดถือของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ท่ามกลางบริษัทสี่เหล่านั้น 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กาลครั้งนั้น สามเณรราชกุมารทั้งสิบหกพระองค์ ได้ทรงศึกษารับทรงจำไว้ และกระทำการบรรยาย สุภาษิตของพระตถาคตพระองค์นั้น โดยเอื้อเฟื้อ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงพยากรณ์สามเณรทั้งสิบหกรูปว่า จักบรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ก็แลขณะที่ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภูตรัสธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อยู่นั้น สาวกทั้งหลายได้ถึงความหลุดพ้นแต่สามเณรสิบหกรูปและเหล่าสัตว์จำนวนหลายหมื่นแสนโกฏิ ยังมีความลังเลสงสัย 
       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู ได้ทรงแสดงธรรมบรรยาย ชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตร นี้ ตลอดแปดพันกัลป์ ติดต่อกัน แล้วเสด็จเข้าไปสู่พระวิหารเพื่อทรงเข้าสมาธิ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตซึ่งเข้าสมาธิอยู่นั้น ได้ประทับอยู่ในพระวิหาร ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัลป์นั้นแล 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาสามเณรสิบหกรูปเหล่านั้น ทรงทราบว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามหาภิชญาชญานาภิภู ทรงเข้าสมาธิ จึงแยกกันประทับบนธรรมาสน์ สิงหาสน์ นมัสการพระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู แล้วแสดงธรรมบรรยาย ชื่อ สัทธรรมปุณฑรีกสูตรโดยพิสดาร ท่ามกลางบริษัทสี่ตลอดแปดหมื่นสี่พันกัลป์ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น สามเณรแต่ละรูป ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ ได้ให้สัตว์มากมายหลายหมื่นแสนโกฏิ อันมีจำนวนเท่ากันเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา สำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณให้สัตว์เหล่านั้นผ่องใส ร่าเริง บันเทิง หรรษา และข้าพ้น(ความทุกข์ยาก) 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ต่อมาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มหาภิชญาชญานาภิภู พระองค์นั้น มีพระสติทรงรู้สึกพระองค์ ทรงออกจากสมาธิ เพื่อระยะเวลาล่วงไปสี่หมื่นกัลป์ ครั้นเสด็จลุกขึ้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู เสด็จไปประทับนั่งบนธรรมมาสน์ที่จัดไว้เพื่อพระองค์ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แล พระผู้มีพระภาคตถาคต มหาภิชญาชญานาภิภู ครั้นประทับนั่งแล้ว ทรงมองดูบริษัททั้งปวงอยู่บนธรรมาสน์ แล้วตรัสกะภิกษุสงฆ์ว่า 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สามเณรสิบหกรูปเหล่านี้ ผู้ถึงความอัศจรรย์ มีปัญญา เข้าพบพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ เข้าใกล้พุทธธรรม รับเอาพุทธธรรม หยั่งลงสู่พุทธธรรมแล้ว และประกาศพุทธญาณ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยกย่องสามเณรสิบหกรูปเหล่านี้เนืองๆ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่าใด ยึดมั่นในสาวกญาณก็ตาม ปัจเจกพุทธญาณก็ตาม โพธิสัตวญาณก็ตาม จะไม่ปฏิเสธ จะไม่คัดค้านธรรมเทศนาของกุลบุตร (สามเณร)เหล่านั้น เขาทั้งหมดเหล่านั้นจักได้รับสัมมาสัมโพธิญาณโดยพลัน และจักบรรลุตถาคตญาณ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็แลกุลบุตร(สามเณร) สิบหกรูปเหล่านั้น ได้ประกาศธรรมบรรยายชื่อสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคบ่อยๆ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สามเณรสิบหกรูปเหล่านั้น เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ แต่ละรูป ได้ส่งเสริมสัตว์หกสิบคูณด้วยหกสิบหมื่นแสนโกฏิ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา เพื่อให้เข้าถึงพระโพธิญาณ สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดได้บรรพชาในชาติเหล่านั้น พร้อมกับสามเณรเหล่านั้น สัตว์เหล่านั้นตามเห็นฟังธรรม จากสามเณรเหล่านั้น สัตว์ เหล่านั้นได้บาพระพุทธเจ้าสี่หมื่นโกฏิพระองค์ บางพวกก็ยังบูชาอยู่ในขณะนี้ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรา(ตถาคต)ขอป่าวประกาศกะพวกเธอว่า พระราชกุมารผู้เยาว์วัยสิบหกองค์ ผู้เป็นสามเณรในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นผู้กล่าวธรรมทั้งหมดนั้น เป็นผู้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และทั้งหมดนั้น ยังประทับอยู่ ดำรงชนม์อยู่ให้ชนชีพเป็นไปอยู่ ในบัดนี้ ในพุทธเกษตรต่างๆทั้งสิบทิศ ยังแสดงธรรมแก่สาวก และโพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ กล่าวคือ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในโลกธาตุชื่อ "อภิรติ" ในทิศตะวันออกมีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "อักโษภยะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "สิงหโฆษ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า  "สิงหธวัช` อยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศใต้ มีพระตถาคตอรหันตสัมมสัมพุทธเจ้าพระนามว่า  "อากาศประดิษฐ์ตะ" 
และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า  "นิตยปรินิวฤตะ" อยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตกเฉียงใต้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "อินทรธวัช" 
และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "พรหมธวัช"อยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทิศตะวันตก มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "อมิตายุ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า"สรวโลกธาตูปัทรโวทเวคปรัตยุตตีรณะ" อยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามว่า "ตมาลปัตรจันทนคันธาภิชญะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "เมฆสวรทีปะ" และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "เมฆสวรราช"
อยู่ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า"สรวโลกภยัจฉัมภิกตววิธิวังสนกระ" และเราตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "ศากยมุนี" ซึ่งเป็นองค์ที่สิบหก เป็นอนุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้าในท่ามกลางสหโลกธาตุนี้ อยู่ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ฟังธรรมของเพวกเรา ผู้เป็นสามเณรแล้วสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นมีจำนวนหมื่นแสนโกฏิ เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่พวกเราแต่ละพระองค์ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น สนับสนุนเพื่อบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ตั้งอยู่แล้วในสาวกภูมิ ทุกวันนี้ มีอุปนิสัยแก่กล้าแล้ว ที่จะบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ นี้คือ ลำดับแห่งการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของพวกเธอ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า ตถาคตญาณนั้นเป็นสิ่งที่บรรลุได้ยากอย่างยิ่ง 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นคือพวกไหน ซึงมีจำนวนหลายหมื่นแสนโกฏิ จนประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ เท่ากับจำนวนเมล็ดทราย ในแม่น้ำคงคา ที่เราผู้เป็นพระโพธิสัตว์ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นให้ฟังสัพพญญุตญาณแล้ว 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายสัตว์เหล่านั้นก็คือพวกเธอในกาลสมัยนั้นแล ก็แล เมื่อเราปรินิพพานแล้วในอนาคตกาล ชนเหล่าใดรักเป็นสาวก และจักฟังจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ แต่รู้ว่าตนเองเป็นพระโพธิสัตว์ 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมดเข้าใจในเรื่องปรินิพพาน จักปรินิพพาน 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ยังมีอีก เราอยู่โลกอื่นโดยใช้นามอื่นชนทั้งหลายเกิดในที่นั้น แสวงหาตถาคตญาณอีก และเขาเหล่านั้นก็จักได้ฟังคำสอนนั้นอีก พระนิพพานของตถาคตทั้งหลายมีอย่างนี้เอง พระนิพพานชนิดที่สองนอกเหนือไปจากนี้ ไม่มีอีกแล้ว 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเข้าใจกุศโลบาย และวิธีการแสดงธรรมของพระตถาคต 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด ตถาคตพิจารณาเห็นกาลเวลา จะปรินิพพานของตนเอง และเห็นบริษัทเป็นผู้บริสุทธิ์ มีศรัทธาตั้งมั่น ถึงคติแห่งศูนยตาธรรม มีความเพียร มีสมาธิยิ่ง 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้น ตถาคต ทราบว่า "นี้คือกาลเวลา"แล้วเรียกประชุมโพธิสัตว์และสาวกทั้งหลาย แล้วประกาศให้ทราบคำสอนภายหลังว่า 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในนี้ ยาน หรือปรินิพพานที่ไม่มีสอง จะป่วยกล่าวไปใยถึงยานหรือนิพพานที่สามเล่า 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลายนี่คือกุศโลบายของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตถาคตทราบว่าสัตว์ทั้งหลายยังทำลายกิเลสไม่ได้ ฉะนั้น จึงบอกนิพานที่พวกเขาติดข้องอยู่ กับพวกเขาที่ยินดีสิ่งต่ำช้า ทั้งยังจมอยู่ในเปือกตมคือกามอีกด้วย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่นี้มีตัวอย่างดังนี้ ฝูงชนหมู่ใหญ่เดินทางไปยังป่าทึบ ที่น่ากลัวอันมีบริเวณถึง5โยชน์ เพื่อจะไปยังรัตนทวีป ในบรรดาชนหมู่ใหญ่นั้น คนหนึ่งเป็นคนนำทาง ซึ่งเป็นผู้มีบริเวณทั้งห้าโยชน์ เพื่อจะไปยังรัตนทวีป ในบรรดาชนหมู่ใหญ่นั้น คนหนึ่งเป็นคนนำทางซึ่งเป็นผู้มีความสามารถ เป็นบัณฑิตหลักแหลม มีปัญหา คุ้นเคยทางในป่าทึบ และเข้าให้ผู้ชนนั้นเดินเข้าป่าทึบนั้นไป ต่อมาฝูงชนใหญ่นั้นเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลียและหวาดกลัว จึงพูดว่าท่านผู้นำทางที่ประเสริฐ ท่านเป็นผู้นำทางของพวกเรา ขอให้ท่านทราบเถิด ว่า  พวกเราเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย และหวาดกลัว อยากจะกลับป่าทึบนี้กว้างเหลือเกิน 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้นำทางนั้นเป็นผู้ฉลาด ทราบว่า ชนเหล่านั้นอยากจะกลับ จึงคิดอย่างนี้ว่าไม่ควรอย่างยิ่งที่คนซึ่งน่าสงสารเหล่านี้เดินทางไปไม่ถึงรัตนทวีปใหญ่นั้น เพื่ออนุเคราะห์เขาเหล่านั้น ผู้นำทางจึงทำอุบาย เขา (ผู้นำทาง) ได้เนรมิตเมืองขึ้นเมืองเหนึ่งด้วยฤทธิ์ เป็นเมืองที่กว้างใหญ่ หนึ่งร้อย สองร้อย สามร้อยโยชน์ กลางป่าทึบนั้น แล้วกล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายจงอย่างกลัวเลย จงอย่างกลับเลย ชนบทใหญ่มีอยู่ ท่านทั้งหลายจงพักผ่อนกันที่นี่ จงทำภาระแหละหน้าที่ทุกอย่างขอท่าน ณ ที่นี้เถิด พักผ่อนหลับนอนให้หายเหนื่อยก่อน เมื่อหายเหนื่อยแล้วจะได้เดินทางไปสู่รัตนทวีปต่อไป 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย หลังจากนั้น หมู่ชนเหล่านั้นประหลาดใจ อัศจรรย์ใจ คิดว่าเราออกจากป่าทึบน่ากลัวนั้นแล้ว ได้พักผ่อนอย่างสงบสบายที่นี่ 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ชนเหล่านั้นเข้าไปยังเมืองเนรมิต พวกเขาเข้าใจว่า มาถึงแล้ว ปลอดภัยแล้ว พากัน คิดว่า เราได้พักผ่อนสดชื่นขึ้นแล้ว แต่ผู้นำทราบว่า พวกเขาหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้เมืองเนรมิตนั้นอันตรธานไป แล้วก็กล่าวกับชนเหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ทุกท่านจงมา รัตนทวีปอยู่ใกล้นี้เอง ส่วนเมืองนี้ข้าพเจ้าเนรมิตขึ้น เพื่อให้พวกท่านได้พักผ่อนเท่านั้น 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ชนทั้งหลาย ผู้เดินป่า ได้พากันประหลาดใจ อัศจรรย์ใจว่า เราได้ออกจากป่าแล้ว เราได้ถึงสถานที่สงบแล้ว เราจักพักที่นี่ 
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลายชนเหล่านั้น ได้เข้าไปนครนิมิตนั้นด้วยสำคัญว่า พวกเขาได้มาถึงจุดหมายปลายทางแล้ว ได้ปลอดภัยแล้ว และได้ถึงสถานที่สงบสุขแล้ว จากนั้น เมื่อผู้นำทางทราบว่า ชนทั้งหลายหายเหนื่อยแล้ว จึงทำให้นครนิมิตนั้นหายไป เมื่อทำให้หายไปแล้ว จึงกล่าวกับชนเหล่านั้น ว่าท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงมาเถิด เกาะมหารัตนทวีปนี้อยู่ไม่ไกลนัก นครนี้ เรานิรมิตขึ้น เพื่อให้ท่านได้พักผ่อนเท่านั้น 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้ชี้ทางแก่พวกเธอ และสัตว์ทั้งปวงทั้งหลาย 
         ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แท้ที่จริง พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นว่า ป่าทึบคือกิเลสอันยิ่งใหญ่นี้ เป็นสิ่งที่ควรข้าม หลีกหนี และละทิ้งไม่ควรที่สรรพสัตว์ ผู้ได้ฟังพุทธญาณ แล้วจะกลับเสียโดยพลัน ไม่ก้าวต่อไปด้วยคิดว่า พุทธญาณ เป็นสิ่งยากจะบรรลุได้ ณ ที่นั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทราบว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีความอ่อนแอ จึงชี้แจงประกาศ ภูมิ (ฐานะ) ของพระนิพพานสองอย่างคือ สาวกภูมิ และปัจเจกภูมิ ด้วยกุศโลบาย (อุบายอันฉลาดยิ่ง) เพื่อให้สัตว์ทั้งหลายได้พักผ่อน เหมือนผู้นำทางนั้น สร้างเมืองเนรมิต เมืองที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ เพื่อให้ชนทั้งหลายเหล่านั้นได้พักผ่อนกัน และแล้วได้บอกแก่ผู้พักผ่อนเหล่านั้นว่าว่า นี้เป็นเพียงเมืองเนรมิต ดังนี้ 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในสมัยใด สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น หยุดอยู่ รออยู่ ที่นั้น 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นั้น พระตถาคตก็จะแสดงอย่างนี้ว่า 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธอ ยังไม่ได้ทำภารกิจ และหน้าที่ให้แล้วเสร็จ 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่ากลัวเลย 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธญาณอยู่ใกล้เธอแล้วจากนี้ไป พวกเธอจงมองดูพุทธญาณ และพิจารณาว่า นิพพานของเธอ ไม่ใช่นิพพานที่แท้จริง 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นกุศโลบายของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่ประกาศยานเป็นสาม
          ครั้นนั้น เพื่ออธิบายความนั้นให้ละเอียดยิ่งขึ้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้ว่า 
60      พระอภิชญาชญานาภิภู พระผู้นำแห่งโลก ผู้ทรงเห็นอรรถอันยิ่ง ได้ประทับนั่งที่โพธิมณฑลติดต่อกันถึง10 กัลป์บริบูรณ์ แต่ก็ยังไม่ได้ตรัสรู้ 
61     ครั้นพระชินเจ้า ผู้นำของนรชน ได้ตรัสรู้แล้ว เทวดา นาค อสูร และมารร้ายทั้งหลาย ได้โปรยฝนดอกไม้ลงมา เพื่อบูชาองค์พระชินเจ้านั้น 
62      แลพวกเขาเหล่านั้น และเขาเหล่านั้นมีความขัดเคือง เรื่องที่พระพุทธชินเจ้า ได้ตรัสรู้อนุตตรธรรม ช้าไป 
63     เป็นเวลา 10 กัลป์ล่วงไป พระผู้มีพระภาคอภิญาชญา(นาภิภู) จึงได้ตรัสรู้ในสมัยนั้น เทวดา มนุษย์ พญานาค และอสูรทั้งหลายต่างพากันดีใจ รื่นเริงหรรษา 
64     ต่อมา พระโอรสราชกุมาร 16 พระองค์ผู้แกล้วกล้า และพรั่งพร้อมด้วยคุณธรรมของพระผู้นำแห่งนรชนพระองค์นั้น พร้อมกับหมู่สัตว์หลายพันโกฏิ ได้เสด็จมาทำการบูชาพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นจอมนรชน ที่เลิศยิ่งนั้น 
65      พระโอรสราชกุมารเหล่านั้น ครั้นทรงกราบพระบาทพระผู้นำแล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระนเรนทรสิงห์ ขอพระองค์ทรงประกาศธรรม ทำให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย และชาวโลก ได้สดชื่นด้วยพระสุรเสียงที่ไพเราะด้วยเถิด 
66     ข้าแต่พระผู้นำที่ยิ่งใหญ่ พระองค์อุบัติขึ้นในโลกทั้งสิบทิศ เป็นเวลาช้านาน วิมานแห่งพรหมทั้งหลาย สั่นสะเทือนเป็นเหตุบ่งบอกนิมิตแก่สัตว์ทั้งหลาย 
67     ในทิศตะวันออก (พุทธ) เกษตรทั้งหลาย ห้าสิบพันโกฏิ ก็สั่นสะเทือน พรหมวิมานอันประเสริฐ ณ ที่นั้นๆมีรัศมีส่องแสงสว่างไสว 
68     พรหมทั้งหลายเหล่านั้น เห็นบุพนิมิตเช่นนี้แล้ว ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้นำแห่งโลกได้โปรยปรายดอกไม้ลงมา บูชาพระองค์และได้ถวายพรหมวิมานทั้งปวงแก่พระองค์ 
69      พรหมเหล่านั้น ได้ทูลขอพระองค์ ด้วยคาถาและบทสวดทั้งหลาย เพื่อให้พระองค์ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป แต่พระองค์ผู้เป็นจอมราชันทรงสงบนิ่ง (ด้วยทรงคิดว่า) นี้ยังไม่ใช่เวลาแสดงธรรมแห่งเรา 
70      ในทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเบื้องล่าง ทิศเบื้องบน และทิศอันมีในท่ามกลางทั้งหลาย มีพรหมหลายพันโกฏิแล 
71      พรหมทั้งหลายได้โปรยปรายดอกไม้บูชาพระผู้ทรงเป็นผู้นำ (พระตถาคต) และกราบพระบาททั้งสองของพระผู้นำมอบถวายวิมานทั้งหลายทั้งปวง กล่าวสดุดีและขอร้องว่า 
72      ข้าแต่พระผู้มีจักษุอันหาที่สุดมิได้ ขอพระองค์ทรงให้จักรเป็นไป(ขอจงทรงแสดงธรรม) พะองค์เป็นผู้ที่พบเห็นได้โดยยากเป็นเวลาหลายโกฏิกัลป์ ขอพระองค์ได้โปรดแสดงพลังแห่งพระเมตตาที่พระองค์ทรงเคยแสดงมาแล้วในกาลก่อนขอพระองค์ทรงเปิดประตูแห่งอมตะด้วยเถิด 
73       พระผู้มีพระจักษุอันหาที่สุดมิได้ (ผู้เห็นการณ์โลก) ตถาคตเจ้า ครั้นสดับคำทูกลขอแล้ว ทรงประกาศธรรมหลายประการ พระองค์ได้ประกาศอริยสัจสี่
โดยพิสดาร พระองค์ทรงแสดงว่าสิ่งทั้งหลายเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยของกันและกัน 
74      พระผู้มีพระจักษุ (ตถาคต) ทรงประกาศทุกข์ อันมีมรณะเป็นที่สุด เริ่มต้นจากอวิชชา (พระองค์ทรงประกาศว่า) อกุศลทั้งปวงเหล่านี้ เกิดจากชาติและ(ว่า) ท่านทั้งหลาย จงทราบอย่างนี้ ว่า
 มฤตยู (ความตาย) เป็นสิ่งที่มีแก่มนุษย์(เป็นเป็นของมนุษย์) 
75      แลต่อมาพระองค์ทรงประกาศพระธรรมหลายอย่างหลายประการ สัตว์ทั้งหลายประมาณ 80 โกฏิ ฟังแล้วตั้งอยู่ในภาวะแห่งสาวกโดยพลัน 
76      วาระที่สอง เมื่อพระชินเจ้าประกาศธรรมจำนวนมาก สัตว์ทั้งหลายที่บริสุทธิ์มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ก็ได้ตั้งอยู่ในสาวกภูมิ ในขณะนั้น 
77      แต่นั้นหมู่สาวกของพระผู้นำแห่งโลกนั้น ในกาลครั้งนั้น ได้มีมากเหลือทีจะคณานับ ไม่มีใครสักผู้หนึ่งในบรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะนับได้ แม้จะนับไปตลอดหลายโกฏิกัลป์ 
78      เจ้าฟ้าชาย สิบหกพระองค์ อันเป็นพระราชโอรสขององค์พระชินเจ้าทุกพระองค์ซึ่งเป็นนักบวชดำรงภาวะเป็นสามเณร ได้กราบทูลกระพระชินเจ้า ว่า ข้าแต่พระผู้นำแห่งโลก ขอพระองค์ทรงประกาศพระธรรมอันเลิศเถิด 
79      ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดแห่งพระชินเจ้าทั้งหลาย เพื่อที่ข้าพระองค์ทั้งหลายจะได้เป็นพระสัพพัญญู เช่นเดียวกับพระองค์ ข้าแต่พระองค์ผู้แกล้วกล้า ผู้ทรงเห็นแจ้งหมดจด เพื่อที่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้จะเป็นอย่างที่พระองค์ได้ทรงเป็น 
80      พระชินเจ้าครั้นทรงทราบพระประสงค์ของเจ้าฟ้าชายราชโอรสเหล่านั้นแล้วทรงประกาศธรรมอันสูงสุดด้วยการยกตัวอย่างอเนกประการ (หลายโกฏิยุต มิใช่หนึ่ง)
81 พระโลกนาถ เมื่อจะทรงแสดงและชี้แจงอภิญญาหลายพันวิธี ทรงแสดงหน้าที่อันแท้จริง อย่างที่พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดทั้งหลายปฏิบัติอยู่ 
82      พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไวปุลยสูตร ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกนั่นด้วยคาถามากมายหลายพันคาถา อันมีประมาณเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 
83      ก็แล พระชินเจ้าพระองค์นั้น ครั้นตรัสพระสูตรนี้แล้วก็เสด็จเข้าไปสู่วิมานพักผ่อน พระโลกนาถทรงนั่นเข้าสมาธิอยู่บนอาสนะเดี่ยวตลอด 84 กัลป์ 
84      สามเณรทั้งหลายเหล่านี้ทราบว่า พระผู้ทรงเป็นผู้นำประทับนั่งไม่เสด็จออกไปจึงได้แสดงพุทธธรรม ซึ่งปราศจากอาสวะ อันประเสริฐนี้จำนวนหลายโกฏิ 
85      สามเณรทั้งหลายเหล่านั้น แต่ละรูป นั่งบนอาสนะที่ถูกจัดแยกไว้ รูปละที่ ได้แสดงพระสูตรนี้แก่หมู่สัตว์เหล่านั้นในศาสนาของพระสุคต ในกาลนั้น เช่น เดียวกันกับที่แสดงอยู่ในสมัยแห่งเราตถาคต 
86      สามเณรเหล่านั้นได้แสดง(ญาณ) แก่สัตว์ทั้งหลายประมาณไม่ได้เหมือนจำนวนเมล็ดทรายในหกหมื่นคงคา นที พระโอรสแต่ละองค์ของพระสุคตนั้น แนะนำสัตว์ทั้งหลายมิใช่น้อย 
87      เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว สามเณรทั้งหลายเหล่านั้นได้ท่องเที่ยวไปเฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิ และทำการบูชาพระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย พร้อมกับพระสาวกทั้งหลายในกาลนั้น 
88      พระราชโอรสทั้ง 16 พระองค์ เหล่านั้น ของพระชินเจ้า ครั้นประพฤติธรรมอันไพบูลย์และสูงส่งและได้ตรัสรู้โพธิญาณในทิศต่างๆ ทั้งสิบทิศแล้ว
 ได้ทรงเป็นพระชินเจ้า ทรงประทับอยู่เป็นคู่ในทิศทั้งปวง (ทิศละสองพระองค์) 
89      ในกาลครั้งนั้น ทุกคนผู้ซึ่งเคยเป็นสาวก (ของพระโอรส) ก็ได้เป็นสาวกของพระชินเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น และได้บรรลุโพธิญาณด้วยอุบายต่างๆโดยลำดับ 
90      แม้เราตถาคตก็เป็นผู้หนึ่ง ในจำนวนนั้น แม้ตถาคตก็ได้สั่งสอนเธอทั้งปวง เพราะฉะนั้น ในบัดนี้ เธอทั้งหลายก็เป็นสาวกของเราตถาคต ณ ที่นี้ เราตถาคตจะนำเธอให้เข้าถึงโพธิญาณด้วยอุบายทั้งหลาย (ของเราตถาคต) 
91     เหตุอันนี้ ได้มีแล้วในกาลครั้งกระนั้น นี้คือปัจจัยที่ให้เราตถาคตแสดงธรรมด้วยเหตุปัจจัยนี้แล เราตถาคตจะนำเธอทั้งหลายให้เข้าถึงพุทธญาณอันเลิศของเราภิกษุทั้งหลาย ณ ที่นี้ เธอทั้งหลาย จงอย่าได้กลัวเลย 
92      เปรียบเหมือนป่าทึบน่ากลัว เวิ้งว้าง ไม่มีที่พักพิงและอาศัย อันเต็มไปด้วยสัตว์ป่ามากมาย และปราศจากน้ำ ป่านั้นพึงเป็นที่น่ากลัว สำหรับผู้คนทั้งหลายที่ขาดความชำนาญป่า 
93      ก็แล คนจำนวนหลายพันมาถึงป่า และป่านั้นเป็นป่าที่เวิ้งว้าง มีบริเวณยาวตั้ง 500 โยชน์ 
94      คนซึ่งเป็นผู้นำทาง ผ่านป่าอันน่ากลัวนี้ไปนั้น เป็นคนมั่งคั่ง มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด เป็นปราชญ์ เป็นผู้ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี และกล้าหาญ 
95      แม้คนจำนวนหลายโกฏิเหล่านั้นมีความเหน็ดเหนื่อย จึงบอกแก่ผู้นำทางนั้น ในเวลานั้นว่า ท่านผู้เจริญ พวกเราเหนื่อยเหลือเกิน
 ไม่สามารถจะเดินทางต่อไปได้เราอยากจะกลับจากที่นี่ 
96      แต่ผู้นำทางนั้น เป็นผู้ฉลาด เป็นบัณฑิต จึงคิดหาอุบายที่จะพาไปต่อไปในขณะนั้น จึงคิดว่า น่าเสียดาย หากผู้เขลาเบาปัญญาทั้งปวง
 พาตนเองกลับไปเสียก็จะไม่ประสบรัตนะทั้งหลายเลย 
97      ไฉนหนอ ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)พึงนิรมิตนครใหญ่นครหนึ่ง อันกอปรด้วยตึกรามบ้านช่องและวิหารหลายพันโกฏิ พร้อมทั้งสวนอันงดงามด้วยพลังแห่งฤทธิ์ของตนในวันนี้ 
98      ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) พึงนิรมิตบ่อน้ำ แม่น้ำ สวนและดอกไม้ทั้งหลาย(นคร)ที่มีป้อมปราการและประตูอันสวยงาม เต็มไปด้วยผู้คนทั้งบุรุษและสตรีทั้งหลาย 
99      ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง) ครั้นทำการนิรมิต พึงกล่าวกะเข้าทั้งหลาย ว่า ท่านทั้งหลายอย่างกลัวเลย ท่านทั้งหลาย จงรื่นเริงหรรษากันเถิด ท่านทั้งหลายถึงเมืองอันประเสริฐยิ่งแล้ว จงเข้าไปทำธุรกิจของท่านทั้งหลาย โดยเร็วเถิด 
100    เพื่อให้คนเหล่านั้นได้พักผ่อน (คนนำทาง)จึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายคงหายเหนื่อยแล้ว จงสนทนากันตามสบายใจเถิด เพราะได้ผ่านป่ามาแล้วโดยสิ้นเชิง ดังนี้ ซึ่งความก็ทำให้ทุกคนหายเหนื่อยได้ 
101   (ผู้นำทาง)ครั้นทราบแล้วว่าเขาทั้งหลายพักผ่อนเพียงพอแล้ว ได้เรียกให้พวกเขามารวมกัน แล้วกล่าวอีกว่า "ท่านทั้งหลาย จงมาฟังคำของข้าพเจ้า นครนี้ ข้าพเจ้าสร้างขึ้นมาด้วยฤทธิ์ 
102    ข้าพเจ้า (ผู้นำทาง)ทราบว่า ท่านทั้งหลายเหน็ดเหนื่อยแล้ว เพื่อไม่ให้ท่านทั้งหลายพากันกลับไป จึงทำกุศโลบายอย่างนี้ ขอให้ท่านทั้งหลายจงเกิดความกล้าหาญเพื่อเดินทางต่อไปยังเกาะเถิด 
103    ภิกษุทั้งหลาย ในทำนองเดียวกัน เราตถาคต ซึ่งเป็นผู้นำทาง นำสรรพสัตว์หลายพันโกฏิ เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีความทุกข์ยาก และสัตว์ทั้งหลายไม่สามารถจะทำลายกองกิเลสได้
104    แต่นั้น เราตถาคตไตร่ตรองเรื่องนี้ (และทราบว่า) เธอทั้งหลายได้พักผ่อนแล้วมีความสงบแล้ว ความดับแห่งทุกข์ทั้งปวงย่อมมี (และกล่าวว่า) เธอทั้งหลายทำกิจที่พึงกระทำแล้ว พึงตั้งอยู่ในภูมิอรหันต์
105    เมื่อใดเธอทั้งหลายตั้งอยู่ในสภาวะนี้แล้ว (บรรลุอรหันต์) เราตถาคตทราบว่าเธอทั้งหมดเป็นพระอรหันต์ เมื่อนั้นเราตถาคตก็จะเรียกให้เธอทั้งหลายมาประชุมกันแล้วอธิบายว่า ธรรมอันแท้จริงคืออะไร 
106    เป็นอุบายอันฉลาดของพระผู้เป็นผู้นำทั้งหลาย แท้ที่จริงมีเพียงยานเดียวเท่านั้น ยานที่สองไม่มี แต่ท่านแสดงอีกสองยานไว้ก็เพื่อจะให้ได้พักผ่อนเท่านั้นเอง 
107    ภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นเราตถาคตจึงกล่าว ณ บัดนี้ว่า เธอทั้งหลายจงก่อให้เกิดความกล้าหาญอันสูงส่งยอดเยี่ยมด้วยสัพพัญญุตญาณทั้งปวงที่ได้ก่อให้เกิดมีขึ้นแล้วนั้น เธอทั้งหลายก็จะบรรลุนิพพานที่ยังไม่บรรลุได้
108    ก็ในกาลที่เธอทั้งหลายจักสัมผัสกับสัพพัญญุตญาณ มีพละสิบ (ทศพละญาณ) ซึ่งเป็นธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จักเป็นพุทธะ ทรงไว้ซึ่งมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ และถึงซึ่งพระนิพพาน 
109    เทศนาของพระผู้ทรงเป็นผู้นำทั้งหลาย (ตถาคตทั้งหลาย) เป็นเช่นนี้ พระตถาคตทั้งหลาย ตรัสพระนิพพาน เพื่อการพักผ่อน ก็แลครั้นพระตถาคตทราบว่า ทุกท่านได้พักผ่อนแล้วจึงสอน สัพพัญญุตญาณ อันเป็นธรรมให้ถึงพระนิพพาน(ความดับ)แก่ทุกท่านแล 
 บทที่ 7 ปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรม ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ 
   มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๖ วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์

สถานที่ศักดิ์สิทธิ์
   ในกาลครั้ง พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้แล้ว  
  จึงตรัสกะภิกษุสงฆ์ทั้งปวงว่า  
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้ง ขอประกาศให้ท่านทั้งหลายทราบว่า ภิกษุกาศยปะ สาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้าหมื่นโกฏิพระองค์ จักทำการเคารพ นับถือ บูชานอบน้อม และทรงไว้ซึงสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น กาศยปะนั้นในชาติสุดท้าย ในโลกธาตุ ที่ชื่อว่า อวกาส ใน มหาวยูหกัลป์ จะได้เป็น
 พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "รัศมีประภาส" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะเป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ประเสริฐ ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม พระสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีประภาส พระองค์นั้นจักมีพระชนมายุสิบสองกัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์ จักดำรงอยู่ยี่สิบกัลป์ พุทธเกษตรของพระองค์จักบริสุทธิ์หมดจด ปราศจากหิน กรวด ทราย หลุมบ่อ ไม่มีที่สกปรก เรียบเสมอ น่ารื่นรมย์ น่าเลื่อมใส น่าดู มีแก้วไพฑูรย์ ประดับตกแต่งด้วยรัตนพฤกษ์ มองดูเหมือนตาหมากรุก ซึ่งแต่ละช่วงแบ่งด้วยเส้นด้ายทอง เต็มไปด้วยดอกไม้ มีพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์อยู่ที่นั่น พระสาวกอีกหลายหมื่นแสนโกฏิ ประมาณมิได้ ก็มีอยู่ที่นั่น ณ ที่นั่นมารร้ายไม่ได้โอกาสแสดงความชั่ว ความเมตตาของมารร้ายก็ไม่ปรากฏ ถ้ามีมาร และหมู่มาร ณ ที่นั้น มารเหล่านั้น ก็จะได้รับพระสัทธรรม ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีประภาส พระองค์นั้น ในโลกธาตุนั่นเอง
 ในครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
(1)       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราย่อมเห็นด้วยพุทธจักษุว่า ในอนาคต พระกาศยปเถระนี้ จักเป็นพระพุทธเจ้า เพราะได้บูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐในหมู่มนุษย์ในกัลป์ อันนับไม่ได้ 
(2)        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระกาศยปะนี้ จักเฝ้าพระชินเจ้าสามหมื่นโกฏิพระองค์และประพฤติพรหมจรรย์ ณ ที่นั้น เพื่อบรรลุพระโพธิญาณ 
(3)        หลังจากทำการบูชาพระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์แล้ว และหลังจากได้บรรลุญาณอันประเสริฐนี้แล้ว พระกาศยปะนั้น จะเป็นมหาฤาษี (พุทธะ) เป็นที่พึ่งของชาวโลก ที่หาเปรียบมิได้ ในชาติสุดท้าย
(4)        พุทธเกษตรของพระองค์ ประเสริฐ วิจิตร บริสุทธิ์ งาม น่าดู เป็นที่รื่นรมย์ใจ น่ารัก ประดับตกแต่งด้วยเส้นด้ายทอง 
(5)       ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในพุทธเกษตรที่มีลักษณะเป็นตาหมากรุกนี้ ในแต่ละช่วงมีต้นไม้แก้ว อันวิจิตร ส่งกลิ่นหอมตลบอบอวล 
(6)      พุทธเกษตรนั้น ประดับด้วยดอกไม้ต่างๆ สวยงามด้วยดอกไม้นานาชนิด ไม่มีหลุมพ่อ ณ ที่นั้น เรียบ สวยงาม น่าดูยิ่งนัก 
(7)       มีพระโพธิสัตว์หมายพันโกฏิ ที่ฝึกจิตแล้ว มีฤทธิ์มาก เป็นผู้รักษาไวปุลยสูตร ไว้จำนวนหลายพัน 
(8)        ณ พุทธเกษตรนั้น พระสาวกของพระสุคต ผู้ธรรมมิกราช ที่หมดอาสวะ ดำรงชีพอยู่เป็นชาติสุดท้าย มีมากมายจนนับไม่ได้ แม้จะนับด้วยทิพยญาณติดต่อกันไปหลายกัลป์ 
(9)       ในพุทธเกษตรของพระรัศมีประภาสพุทธเจ้านั้น พระองค์จักมีพระชนมายุ 12 กัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 20 กัลป์ และพระสัทธรรมปฏิรูปจักดำรงอยู่ 20 กัลป์ 
           ในขณะนั้นนั่นแหละ ท่านพระเมาคัลยายนเถระ ท่านพระสุภูติ และท่านพระมหากาตยายนะ รู้สึกประหม่า (มีกายสั่นเทา) 
จ้องมองพระผู้มีพระภาค โดยไม่กะพริบตา แต่ละท่าน ก็มีใจตรงกันกล่าวคาถาในขณะนั้นว่า 
(10)      ข้าแต่พระอรหันตมหาวีรศากยสิงหะ ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ของพระองค์ทรงอนุเคราะห์ ตรัสพระพุทธพจน์ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
(11)      ข้าแต่พระชินเจ้า ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ผู้นำไปสู่ความสุข พระองค์ทรงหยั่งรู้ดินฟ้าที่แปรปรวน ขอให้โปรดประทานน้ำอมฤต พยากรณ์ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายด้วยเถิด 
(12)      (เหมือน) บุคคลบางคนที่มา (ขออาหาร) เพราะความหิว ได้อาหารแล้ว แต่ถูกสั่งว่า จงรอก่อน (อย่าเพิ่งรับประทาน) ทั้งๆที่อาหราก็อยู่ในมือแล้ว 
(13)    ข้าพระองค์ก็เช่นเดียวกับสัตว์ทั้งหลาย ในยามทุพภิกขภัย คืออยากได้พุทธญาณ แต่มีความสงสัยใน หีนยาน จึงพยายาม (ศึกษา) อยู่ 
(14)      พระมหามุนีสัมมาสัมพุทธเจ้า ย่อมไม่พยากรณ์ พวกข้าพระองค์ทั้งหลายเหมือนกับไม่ให้รับประทานอาหาร ที่ตกถึงมือแล้วฉะนั้น 
(15)     ข้าแต่พระมหาวีระ ก็แล ข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้มีความขวนขวายอยู่อย่างนี้ ได้ฟังพระสุรเสียงอันกึกก้อง ได้รับพยากรณ์เมื่อใด เมื่อนั้นก็จักเป็นผู้สงบนิ่ง 
(16)     ข้าแต่พระมหามุนี พระมหาวีระ พระองค์ผู้ปรารถนาประโยชน์แก่ชาวโลก ผู้เพียบพร้อมด้วยพระเมตตานุเคราะห์ ขอพระองค์จงพยากรณ์เถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักได้ระงับความรู้สึกว่า ยากจนต่ำด้อยเสียที 
        กาลครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตนั้นของพระมหาสาวกเถระเหล่านั้น ด้วยพระมโนของพระองค์ จึงตรัสกะหมู่ภิกษุเหล่านั้นว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระสุภูติเถระ มหาสาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้า จำนวนสามหมื่นแสนโกฏิพระองค์ จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน จักประพฤติพรหมจรรย์ในศาสนานั้น และจักบรรลุพระโพธิญาณ หลังจากบรรลุพระโพธิญาณแล้ว ในชาติสุดท้าย จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก มีพระนามว่า "ศศิเกตุ" ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ผู้ประเสริฐที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครุของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เบิกบาน และเป็นผู้จำแนกธรรม
  พุทธเกษตรของพระองค์ (ศศิเกตุ) มีชื่อว่า "รัตนสมภพ" และมีกัลป์นั้นชื่อว่า "รัตนาวภาส" พุทธเกษตรนั้น เรียบราบ น่ารื่นรมย์ สำเร็จแล้วด้วยแก้วผลิก งดงามไปด้วยรัตนพฤกษ์ ไม่มีหลุมบ่อ และสถานที่อันสกปรก เป็นทีน่าพึงพอใจ อันดาดาษไปด้วยดอกไม้ทั้งหลายมนุษย์ ณ ที่นั้น ก็จะอยู่แต่ในที่อาศัย คือกูฏาคาร (ปราสาท) พระสาวกของพระองค์ มีจำนวนมากเหลือคณานับพระโพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ ก็ประทับอยู่ที่พุทธเกษตรนั้น พระผู้มีพระภาค (ศศิเกตุ) มีพระชนมายุยืนนานถึง 12 กัลป์ พระสัทธรรมจะดำรงอยู่ถึง 20 กัลป์ และสัทธรรมปฏิรูปก็จักดำรงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักทรงยืนในท้องฟ้าประกาศธรรมอยู่เนืองๆ และทรงแนะนำพระโพธิสัตว์ และสาวกทั้งหลายหลายแสน 
(17)      ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วันนี้เราจะประกาศ วันนี้เราจะแจ้งให้ทราบ ขอให้เธอทั้งหลายจงฟังเรา พระสุภูติเถระ สาวกของเราจักเป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล 
(18)     (พระสุภูติ) หลังจากได้เฝ้าพระพุทธเจ้า ผู้มีอานุภาพมากสามสิบหมื่นโกฏิ บริบูรณ์แล้ว ก็จักประพฤติธรรมตามลำดับเพื่อจักได้บรรลุญาณ 
(19)      พระสุภูตินั้น ในชาติสุดท้าย จักเป็นฤาษีมหาวีระ (พุทธะ) ผู้เพียบพร้อมด้วยลักษณะ 32 ประการ ผู้เปรียบด้วยเสาทองคำ ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลต่อชาวโลก 
(20)     สถานที่ที่พระสุภูติ ผู้เป็นมิตรของชาวโลก ผู้ช่วยเหลือสัตว์หลายหมื่นโกฏิ อาศัยอยู่นั้น เป็นสถานที่สวยงาม น่าปรารถนาและน่าพอใจ ของมหาชน 
(21)     พระโพธิสัตว์จำนวนมาก ณ ที่นั้น เป็นผู้มีอานุภาพ มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้หมุนล้อพระธรรมให้เคลื่อนไป โดยไม่ถอยกลับมาอีก ที่อยู่ในศาสนาของพระชินเจ้านั้น ทำให้พุทธเกษตรนั้นงดงาม
 ครั้งนั้นแล ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า Δ ณ ที่นั้น พระองค์ (พระสุภูติ) มีสาวกมากมาย นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ล้วนแต่ได้อภิญญาหก วิชชาสาม มีฤทธิ์ ตั้งมั่นในวิโมกษ์ 8 
(23)     พลังฤทธิ์ของพระองค์ ขณะที่ประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณอยู่นั้น เป็นอจินไตย เทวดาและมนุษย์จำนวนมากเปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ก็พากันนมัสการประคองอัญชลีต่อพระองค์ตลอดเวลา 
(24)      พระองค์ (พระสุภูติ) นั้นจักดำรงพระชนม์อยู่ 12 กัลป์ พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 20 กัลป์ ธรรมปฏิรูปของพระองค์ผู้เลิศในหมู่มนุษย์ ก็จะคงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน 
 ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสกับหมู่ภิกษุทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้งให้ทราบ ขอประกาศให้ทราบว่า พระมหากาตยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักกระทำสักการะ พระพุทธเจ้าแปดหมื่นแสนโกฏิ จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าเหล่านั้น (พระมหากาตยายนะ) จักสร้างสถูปของพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ที่นิพพานแล้ว สูงหนึ่งพันโยชน์ ฐานกว้างห้าสิบโยชน์ ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง มรกต บุศราคัม เป็นที่เจ็ด จะทำสักการะบูชาพระสถูปเหล่านั้น ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เครื่องลูบไล้ เจิมทา ผ้าฉัตร ธงริ้ว และธงแผ่นผ้า นอกจากนี้ ยังทำการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกยี่สิบโกฏิ ในชาติสุดท้าย พระกาตยายนะนั้นเกิดเป็นมนุษย์
 จักเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า "ชามพูนทประภาส" ในโลกเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสายสารถีฝึกบุรุษ ผู้ประเสริฐไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าชามพูนทประภาสนั้น สะอาดบริสุทธิ์ เรียบ น่ารื่นรมย์ สดใส น่าดู มีรัตนพฤกษ์ อันวิจิตรสวยงาม ซึ่งล้วนสำเร็จด้วยแก้วผลีก แต่ละช่วงด้ดด้วยด้ายทอง โปรยด้วยดอกไม้ ไม่มีสัตว์ที่น่ากลัว เปรต และอสุรกาย พรั่งพร้อมด้วยมนุษย์และเทวดาทั้งหลาย งดงามด้วยสาวกหลายแสนองค์ อลังการไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายแสนองค์ พระชนมายุของพระพุทธเจ้าชามพูนทประภาสนั้น ยืนยาวถึง 12กัลป์ พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดำรงอยู่ยืนยาวถึง 20 กัลป์ สัทธรรมปฏิรูป จังคงอยู่ 20 กัลป์เช่นกัน ครั้งนั้น ในเวลานั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
(25) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ขอเธอทั้งหลายทั้งปวงจงฟังเราซึ่จะกล่าวถ้อยคำอันเป็นสัจในวันนี้ กาตยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักทำการบูชาพระผู้นำแห่งโลก (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) 
(26)  พระกาตยายนะ จักถวายสักการะแด่พระผู้นำแห่งโลกทั้งหลาย นานาประการด้วยวิธีต่างๆ จักสร้างพระสถูปทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ที่ปรินิพพานแล้ว และจักบูชาด้วยดอกไม้และเครื่องหอมทั้หลาย 
(27)      พระกาตยายนะนั้น ในชาติสุดท้าย ก็จักได้เป็นพระชินพุทธเจ้า ในพุทธเกษตรที่สะอาดบริสุทธิ์ และหลังจากตรัสรู้แล้ว ก็จักแสดงญาณนี้นั่นแล แก่หมู่สัตว์จำนวนพันโกฏิ 
(28)      พระกาตยายะนั้น ผู้อันมหาชนสักการแล้ว จักเป็นพระพุทธเจ้า ที่มีรัศมีสดใสในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มีนามว่า ชามพูนทประภาส เป็นผู้โปรดของเทวดาและมนุษย์หลายโกฏิ 
(29)     ในพุทธเกษตรนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลายและสาวกทั้งปวงจำนวนมาก จนกำหนดไม่ได้ นับไม่ได้ จักทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้าเจริญรุ่งเรือง 
 ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะเหล่าภิกษุอีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราขอแจ้งให้ทราบ ขอประกาศให้ทราบว่า พระเมาทคัลยายนเถระ สาวกของเรานี้ จักเลื่อมใสพระพุทธเจ้ายี่สิบแปดพันองค์  จักทำการสักการะต่างๆ แก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้น  จักเคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูนพระพุทธเจ้าเหล่านั้น  จักสร้างพระสถูปของพระผู้มีพระภาคเหล่านั้นที่นิพพานแล้ว ประดับด้วยรัตนะ 7 ประการ คือ ทอง เงิน แก้วไพฑูรย์ แก้วผลึก มุกดาแดง มรกต สูงพันโยชน์ กว้างห้าร้อยโยชน์ จักทำสักการะบูชาต่างๆ แก่พระสถูปเหล่านั้น ด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย เครื่องลูบไล้ เจิมทา ผ้าฉัตร ธงริ้ว และธงแผ่นผ้า
 นอกจากนี้ ยังทำการสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา เทิดทูน พระพุทธเจ้าอีกยี่สิบโกฏิ ในชาติสุดท้ายจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า "ตมาลปัตรจันทนคันธะ" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษผู้ประเสริฐไมมีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม พุทธเกษตรของพระองค์ ชื่อว่า มโนภิราม กัลป์ในสมัยของพระองค์ชื่อว่า "รติประปูรณะ" พุทธเกษตรของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ บริสุทธิ์ ราบเรียบ น่ารื่นรมย์ น่าเลื่อมใส มองดูงดงาม สำเร็จด้วยแก้วผลีก วิจิตยิ่งด้วยรัตนพฤกษ์ ดาดาษไปด้วยดอกไม้ มุกดา พรั่งพร้อมไปด้วยมนุษย์และทวยเทพ มีมุนีฤาษีจำนวนแสน รวมทั้งสาวกและพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย พระชนมายุของพระพุทธเจ้า ตมาลปัตรจันทนคันธะ นั้นยืนยาวถึง 24 กัลป์ พระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าพระองค์นี้ จักดำรงอยู่ยาวนานถึง 40 กัลป์ สัทธรรมปฏิรูปจำดำรงอยู่ 40 กัลป์เช่นกัน
ในเวลานั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
(30)      พระสาวกเรารูปนี้ ซึ่งเป็นเหล่ากอของเมาทคัลยโคตร ละอัตภาพมนุษย์ไปแล้ว จักได้พบพระชินเจ้าทั้งหลาย ผู้ปราศจากกิเลส จำนวนยี่สิบแปดพันพระองค์ 
(31)     ครั้งนั้น (พระเมาทคัลยายนะ) เมื่อแสวงหาพุทธญาณนี้อยู่ จักประพฤติพรหมจรรย์ ณ ที่นั่น และจักกระทำสักการะพระชินเจ้า ผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ และเป็นผู้นำ(ของชาวโลก) เหล่านั้น ด้วยวิธีต่างๆ 
(32)      ในกาลนั้น (พระเมาทคัลยายนะ) จักได้ธำรงพระสัทธรรมอันไพบูลย์ ประณีตของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ตลอดหลายพันโกฏิกัลป์ แล้วบุชาที่พระสถูปทั้งหลายของพระสุคตพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้ปรินิพพานไปแล้ว
(33)      (พระเมาทคัลยายนะ) จักสร้างรัตนสถูปของพระชินเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุด ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก ที่ประดับด้วยธง บูชาด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่องประโคมดนตรี 
(34)      ณ ชาติสุดท้าย (พระเมาทคัลยายนะ) จักเป็นพระชินเจ้า ผู้ทำประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลก มีพระนามว่า ตมาลปัตรจันทนคันธะ ในพุทธเกษตรที่งดงามน่ารื่นรมย์ยิ่งนั้น 
(35)      พระสุคตศาสดาพระองค์นั้น จักมีพระชนมายุยืนนาน ประมาณ 24 กัลป์และพระองค์จักแสดงพุทธธรรมในหมู่มนุษย์และเทวดาทั้งหลายทุกเมื่อ 
(36)      ณ ที่นั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น จักมีสาวกมากมายหลายพันโกฏิ เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ล้วนเป็นผู้ได้อภิญญาหก วิชชาสาม และมีฤทธิ์มาก ในศาสนาของพระสุคต 
(37)      ณ พุทธเกษตรนั้น ในศาสนาของพระสุคต มีพระโพธิสัตว์จำนวนหลายพัน ซึ่งเป็นผู้ปรารถนาความเพียรทุกเมื่อ ไม่ท้อถอย เป็นผู้มีความรู้และเพียรยิ่งขึ้น 
(38)      ณ กาลครั้งนั้น เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้น ปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 40 กัลป์ และสัทธรรมปฏิรูปก็จักดำรงอยู่เป็นเวลาประมาณเท่ากัน 
(39)      สาวกห้ารูปเหล่านี้ของเรา เป็นผู้มีฤทธิ์มาก ที่เราได้พยากรณ์ไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐว่า จำได้เป็นพระชินเจ้า ผู้สยัมภูในอนาคต ขอให้พวกเธอจง (ตั้งใจ) ฟังเรื่องราวของสาวกเหล่านั้นจากเราเถิด 
สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐบทที่ ๐๖ วยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๕ โอษธีปริวรรต ว่าด้วยต้นไม้นานาพันธุ์

^ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ 
ในกาลครั้ง พระผู้มีพระภาค ได้ ตรัสเรียกพระมหากาศยปะ  
 
ผู้มีอายุ และพระมหาสาวกเถระรูปอื่นๆ มาแล้ว (ตรัสว่า) ดูก่อนมหากาศยปะ ดีละ ดีละ เป็นความดีของพวกเธอที่ได้กล่าวพรรณนาคุณอันแท้จริงของพระตถาคต    ดูก่อนกาศยปะ เหล่านี้ คือคุณอันแท้จริงของพระตถาคต แต่พระตถาคต มีคุณอีกมากมาย จนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แม้จะกล่าวอยู่เป็นเวลาหลายกัลป์ติดต่อกันไป ก็ยากที่จะพรรณนาให้หมดได้ 
         ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคต เป็นธรรมสวามี เป็นพระราชาแห่งธรรมทั้งปวง 
         ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตแสดงธรรมใด ณ ที่ใด ธรรมนั้น ย่อมเป็นเช่นนั้น 
 ดูก่อนกาศยปะ ก็แลพระตถาคต ได้แสดงธรรมทั้งปวงอย่างเหมาะสม พระตถาคต ย่อมเห็นแจ้งอรรถแห่งธรรมทั้งปวง
 ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้เข้าถึงอรรถแห่งธรรมทั้งปวง เป็นผู้มีอัธยาศัยในธรรมทั้งปวง เป็นผู้มีปรมัตถบารมีในญาณ อันเป็นกุศโลบาย ในการวินิจฉัยธรรมทั้งปวง เป็นผู้ชี้สัพพัญญุตญาณ เป็นผู้หยั่งลงในสัพพัญญุตญาณ และเป็นผู้แสดงสัพพัญญุตญาณ 
         ดูก่อน กาศยปะ เปรียบเหมือนเมฆฝนที่แผ่ขยายไปเหนือสามพันโลกธาตุน้อยใหญ่ตลอดทั้งต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่นานาพรรณ นานาประการ และไม้บ้าน ที่มีชื่อต่างๆ กัน ทั้งที่เกิดบนพื้นที่ราบ ขนภูเขา อยู่ที่ซอกเขา เมฆนั้น ครั้นขยายกว้างออกไป ก็คลุมพื้นที่โลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งหมด แล้วหลั่งเป็นฝนลงมาในพื้นที่ทั้งปวงในเวลาพร้อมกัน
 ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่นั้นในโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่นั้น ต้นหญ้า ไม้เลื้อย ไม้ใหญ่ รวมทั้งไม้อ่อนก็จะแตกหน่อ กิ่งก้านและใบ ไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ทั้งหมดเหล่านั้น จะดูดน้ำ ที่ตกมาจากเมฆตามกำลังและความจำเป็น และด้วยน้ำที่มีสภาพเช่นเดียวกัน ซึ่งตกมาจากเมฆนั้น ไม้ก็จะเจริญเติบโตขึ้น ตามกำลังความสามารถของแต่ละชนิดพันธุ์ แล้วก็ผลิดอกออกผล และได้ชื่อต่างๆกัน แต่ละอย่าง แต่ละชนิด พันธุ์ไม้ต่างๆทั้งหมดเหล่านั้น หยั่งรากลงสู่พื้นดิน เดียวกันได้ รับความชุ่มชื้นด้วยน้ำที่มีสภาพเช่นเดียวกัน 
 ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลกซึ่งก็เหมือนมหาเมฆบังเกิดขึ้น พระตถาคตอุบัติขึ้นมาแล้ว ได้เตือนชาวโลก พร้อมกับเทวดา มนุษย์และอสูรให้สำนึก
         ดูก่อนกาศยปะ ข้อนั้นก็เหมือนกับเมฆใหญ่ปกคลุมโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งปวงไว้
         ดูก่อนกาศยปะ ทำนองเดียวกัน พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ประกาศก็อง ต่อหน้าชาวโลก เทวดา มนุษย์และอสูรว่า 
         ดูก่อนเทวดา และมนุษย์ผู้เจริญทั้งหลาย เราเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เราข้าม (สงสารสาคร) ได้แล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นข้ามด้วย เราพ้นแล้วปรารถนาให้ผู้อื่นพ้นด้วย เราสงบแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นสงบด้วย เราเป็นผู้ดับสนิทแล้ว ปรารถนาให้ผู้อื่นดับสนิทด้วย
         ก็แล เราเป็นสัพพัญญู(ผู้รู้ทุกอย่าง) เป็นสัพพวิปัสสี (ผู้เห็นทุกอย่าง) ย่อมรู้โลกนี้และโลกอื่น ตามความเป็นจริงด้วย ปัญญา อันชอบ
          ดูก่อนเทวดา และ มนุษย์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงเข้ามาใกล้เรา เพื่อฟังธรรมเราเป็นผู้บอกทางแห่งความหลุดพ้น เป็นผู้ชี้ทาง เป็นผู้รู้ทางและชำนาญทาง
         ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่ นั้นสรรพสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ เข้ามาใกล้ๆ เพื่อฟังธรรมของพระตถาคต
 ครั้งนั้น แม้พระตถาคต จะทราบประมาณมากน้อยแห่งพลังอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย จึงแสดงธรรมบรรยายทั้งหลายเหล่านั้น ได้แสดงธรรมกถาเหล่านั้นมากมาย แตกต่างกันออกไป มีทั้งเรื่องชวนหรรษา น่ารื่นเริงบันเทิงใจ และเรื่องที่ก่อเกิดประโยชน์และความสุข สัตว์ทั้งหลายผู้ยินดีแล้วย่อมมีความสุขในธรรม และ ครั้นตายไป ก็จะได้ไปบังเกิดในสุคติ อันเป็นถิ่นที่เขาทั้งหลายจะได้บริโภคกาม (ความสุข) มากมาย และจะได้ฟังธรรม ก็แลเมื่อฟังธรรมนั้นแล้ว ก็จะหลุดพ้นจากนิวรณธรรม และจะตั้งมั่นอยู่ในธรรมของพระสัพพัญญู โดยลำดับไป ตามสมควรแก่กำลัง วิสัย และสถานที่ 
 ดูก่อนกาศยปะ เมื่อมหาเมฆปกคลุมโลกธาตุสามพันน้อยใหญ่ทั้งปวงแล้ว ได้หลั่งน้ำฝน พรมต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ต้นหญ้า ไม้เล็ก ไม้ใหญ่เหล่านั้น ได้ดูดซับน้ำตามสมควรแก่กำลังวิสัยและสถานที่ ย่อมแพร่พันธุ์ ไปตามชนิดของตน ฉันใด
 ดูก่อนกาศยปะ ฉันนั้นเหมือนกัน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัพพุทธเจ้า แสดงธรรมใด ธรรมนั้นทั้งหมด มีรสเดียวกัน คือ วิมุกติรส วิราครส และนิโรธรส ที่มีสัพพัญญุตญาณเป็นที่สุด 
 ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่นั้น เมื่อพระตถาคตแสดงธรรมอยู่ สัตว์ทั้งหลาย ฟัง ทรงจำและปฏิบัติอยู่ (แต่) พวกเขาไม่รู้ ไม่เข้าใจ กำหนดไม่ได้ ซึ่งตนเอง ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร
 ดูก่อนกาศยปะ เพราะเหตุว่า พระตถาคตเท่านั้น ย่อมรู้ว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอย่างไร เป็นเช่นไร คิดสิ่งใด อย่างไร และ
เพราะเหตุอะไร จึงคิด เจริญอะไร อย่างไร และเพราะเหตุไรจึงเจริญ ได้รับอะไร ได้รับอย่างไร และเพราะเหตุไร จึงได้รับ
 ดูก่อนกาศยปะ พระตถาคตเท่านั้น ณ ที่นั้น เป็นผู้เห็นประจักษ์ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ทั้งผู้ที่ต่ำทราม ผู้สูงส่ง และผู้ระดับกลาง เหมือนเห็นไม้เล็ก ไม้ใหญ่ ไม้เจ้าป่า ซึ่งยืนต้นอยู่บนพื้นดินถิ่นต่างๆ 
 ดูก่อนกาศยปะ เรารู้ว่า ธรรมมีรสเดียวคือ วิมุกติรส นิรวฤติรส ซึ่งมีนิพพานเป็นที่สุด เป็นธรรมที่ดับนิรันดร์ มีฐานะเดียวคือน้อมไปสู่ความเป็นศูนยตา เมื่อรักษาสัตว์ทั้งหลายอยู่ จึ่งไม่ประกาศสัพพัญญุตญาณ โดยเร็ว
 ดูก่อนกาศยปะ ท่านทั้งหลาย ย่อมอัศจรรย์ใจ ประหลายใจ ที่ไม่สามารถ หยั่งลงสู่ธรรมที่เราแสดงแล้ว ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร
 ดูก่อนกาศยปะ เพราะว่า ธรรมที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแล้วนั้น เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง 
 เวลานั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงข้อความนั้นให้พิสดารยิ่งขึ้น จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1       เราเป็นธรรมราชา อุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อทำลายภพ เราตรวจอุปนิสัยของสัตว์ทั้งหลายแล้ว จึงแสดงธรรม 
2      นักปราชญ์ ผู้มีความรู้และกล้าหาญ ย่อมรักษาธรรมที่เรากล่าวแล้ว ให้คงอยู่ ตลอดไป ย่อมรักษาความลึกล้ำ (ของธรรมไว้) ไม่แสดงแก่ชนทั่วไป 
3       ญาณ (ธรรม) นั้นเป็นสิ่งที่รู้ได้ยาก สามัญชนหากได้ฟังโดยฉับพลัน ก็จะงุนงง เพราะความไม่เข้าใจนั้น พวกเขาผู้มีปัญญาน้อย ก็จะเกิดผิดทาง (ปฏิบัติผิด) 
4       เรากล่าวตามความเหมาะสม (วิสัย) และตามพละกำลังของเขา เราแสดงธรรมที่เหมาะสมด้วยอรรถ (ความหมาย)ต่างๆ 
5       ดูก่อน กาศยปะ เปรียบเหมือนเมฆที่เกิดขึ้นเหนือโลกธาตุ ห่อหุ้มวัตถุทั้งปวงและปกคลุมโลกธาตุไว้ 
6       มหาเมฆนั้นชุ่ม (สมบูรณ์) ด้วยน้ำ ประกอบกับสายฟ้ากำลังคำรามอยู่ พึงทำให้สัตว์ทั้งปวง ยินดี ด้วยเสียงคำรามนั้น 
7       เมฆนั้น กั้นแสงพระอาทิตย์ ทำพื้นที่ให้เย็นลง ลอยลงมาแทบจะเอามือเอื้อมถึงพึงปล่อยน้ำ (ฝน) ลงมาโดยรอบ 
8       ก็แล เมฆนั้นนั่นเอง ที่ทำให้ฟ้าแลบ แล้วหลั่งฝนลงมา เป็นจำนวนมากจนทำให้ภาคพื้นเมทินีชุ่มฉ่ำโดยทั่วไป 
9       ไม้ล้มลุกทั้งหลายก็ผุดขึ้นบนพื้นดิน รวมทั้งหญ้า พุ่มไม้ ป่าไม้ และต้นไม้ใหญ่ ทั้งหลาย 
10      พืชชนิดต่างๆ ก็จะกลายเป็นเขียวชอุ่มขึ้น แม้ที่เนินเขา ท้องทุ่ง และหมู่บ้าน 
11      เมฆนั้น ทำให้หญ้า พุ่มไม้ และต้นไม้ทั้งปวง สดชื่น ทำให้แผ่นดินที่แตกระแหงชุ่มชื่น จึงให้(อาหาร)แก่พืช 
12     หญ้าและพุ่มไม้ ต่างก็ซึมซับน้ำที่มีคุณสมบัติอย่างเดียวกัน ที่ตกจากเมฆ และขังอยู่ในที่นี้ ตามกำลังความสามารถของตน 
13      ต้นไม้น้อยใหญ่ทั้งปวง เมื่อดูดซึมน้ำตามความสามารถแล้ว ย่อมเจริญขึ้นเร็ว บ้าง ปานกลางบ้าน ข้าบ้าง ตามธรรมชาติ 
14      ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งมีลำต้น แก่น เปลือก กิ่ง ก้าน ใบ ที่ได้รับน้ำจากเมฆ ย่อมผลิดอกออกผล 
15     แม้น้ำที่ตกจากเมฆจะมีรสเป็นเช่นเดียวกัน ต้นไม้เหล่านั้น ก็ย่อมผลิผลแต่ละชนิด ตามกำลัง ตามธรรมชาติ ความเหมาะสม และลักษณะของพันธุ์ 
16     ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกัน พระพุทธเจ้าอุบัติขึ้นมาในโลก เหมือนกับเมฆฝนที่เกิดขึ้นในโลก ครั้นอุบัติขึ้นแล้ว พระองค์ผู้เป็นที่พึ่งของโลก ก็ได้แสดง(ธรรม) และชี้แนวทางการปฏิบัติที่เป็นจริงแก่สัตว์ทั้งหลาย 
17     มหาฤษี ผู้ที่ได้รับการยกย่องในโลกนี้ พ้อมทั้งเทวโลก ประกาศก็องอย่างนี้ว่า เราเป็นพระตถาคต เป็นผู้สูงสุดในหมู่มนุษย์ เป็นพระชินเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เหมือนกับเมฆฝน 
18      เราจะทำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้ระโหยโรยรา และหมกมุ่นอยู่ในโลกทั้งสาม ให้สดชื่น เราจะต้องให้ผู้ตรากตรำด้วยความทุกข์ ตั้งอยู่ในความสุข เราจะให้สิ่งที่น่าปรารถนา และพระนิพพาน (แก่พวกเรา) 
19      ดูก่อนเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังคำของเรา จงเข้ามาใกล้เราเถิด เราคือพระผู้มีพระภาคตถาคต ที่ไม่มีใครยิ่งไปกว่า อุบัติขึ้นมาในโลก เพื่อคุ้มครองภัย 
 20      เราประกาศธรรมอันบริสุทธิ์และงดงามยิ่ง ที่มีลักษณะบ่งบอกความจริงสิ่งเดียวกันคือ ความหลุดพ้นและนิพพาน แก่สัตว์หลายพันโกฏิ 
21      เราประกาศธรรมด้วยเสียงอย่างเดียวกัน เพื่อทำพระโพธิญาณให้เป็นหลักที่เสมอกันเป็นนิจ ไม่มีความลำเอียง ความเกลียดชังและความรัก 
22      เราไม่มีความยึดมั่น ไม่มีความรัก ไม่มีความชังในผู้ใดผู้หนึ่ง เราประกาศธรรมเสมอกัน แก่สัตว์ทั้งหลาย คือ (ประกาศ) แก่คนหนึ่งอย่างไร คนอื่นก็อย่างนั้ 
23      ไม่ว่าจะเป็นเวลาเดิน ยืน หรือนั่งอยู่ เรามีแต่ประกาศธรรมเท่านั้น ไม่ได้กระทำงานอื่น ตถาคตไม่เยเหน็ดเหนื่อยเพราะการนั่งแสดงธรรมเลย 
24      เรา (ตถาคต) เป็นผู้ทำให้โลกทั้งปวงเอิบอิ่มชุ่มชื่นเหมือนเมฆ หลั่งฝนลงมาอย่างเสมอภาคกัน เรามีความรู้สึกเสมอกันในชนผู้ประเสริฐ ผู้ต่ำทราม ผู้ทุศีล และผู้มีศีล 
25     ชนเหล่าใด มีความประพฤติไม่ดี มีความประพฤติดี มีทิฏฐิมั่งคง มีทิฏฐิไม่มั่งคง มีความเห็นถูกต้อง มีความเห็นผิด เราประกาศธรรมแก่ชนเหล่านั้นทุกคน 
26      เราประกาศธรรมในหมู่ชนทั้งหลาย ผู้มีอินทรีย์หยาบ มีอินทรีย์แก่กล้า และมีอินทรีย์อ่อน เราไม่คำนึงถึงความเหน็ดเหนื่อยทั้งปวง หลั่งฝนคือธรรมเป็นอันดี 
27      ชนทั้งหลายผู้ได้ฟังธรรมของเราแล้ว ตามกำลังของตน ย่อมตั้งอยู่ในภูมิต่างกัน คือเป็นเทวดา เป็นมนุษย์ เป็นสัตว์ประเสริฐ เป็นพระอินทร์ เป็นพระพรหม เป็นจักรพรรดิ 
28      ท่านทั้งหลายจงฟัง เราจักอธิบายพันธุ์ไม้นานาชนิด น้อยใหญ่ทั้งปวงในโลกบางชนิดเตี้ย บางชนิดปานกลาง และบางชนิดใหญ่โต 
29      พันธุ์ไม้ชนิดเตี้ย ได้แก่ชนทั้งหลายผู้รู้ธรรม ไม่มีอาสวะเจือปน บรรลุพระนิพพาน และผู้บรรลุอภิญญาหก และวิชชาสาม 
30      พันธุ์ไม้ชนิดปานกลาง ได้แก่ชนทั้งหลายที่อาศัยอยู่ในถ้ำ ผู้ปรารถนาจะบรรลุพระปัจเจกโพธิญาณ และมีปัญญาบริสุทธิ์พอสมควร 
31      พันธุ์ไม้ชนิดสูง ได้แก่ชนผู้ปรารถนาจะเป็นผู้นำของมนุษย์ โดยคิดว่า ข้าพเจ้าจะเป็นพระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่พึ่งของมนุษย์และเทวดาและชนที่มีความเพียรและทำสมาธิ 
32      ส่วนต้นไม้ทั่วไปนั้น ได้แก่บุตรของพระตถาคต ผู้มีเมตตา ตั้งอยู่ในความประพฤติอันสงบสุข ผู้ตั้งใจแน่วแน่ในความเป็นบุรุษผู้นำ 
33      ต้นไม้ใหญ่ ได้แก่ผู้เป็นปราชญ์ที่หมุนวงล้อแห่งธรรมไปโดยมิให้หวนกลับ ตั้งมั่นอยู่ในพลังแห่งฤทธิ์ และเป็นผู้ปลดเปลื้องสัตว์จำนวนหลายโกฏิ 
34      ธรรมที่พระชินเจ้าแสดงเป็นสิ่งเสมอกัน เหมือนกับน้ำฝนที่ตกลงมาจากเมฆ เป็นสิ่งเสมอกัน จะต่างกันก็เพียงปัญญา (ของมนุษย์) เท่านั้น ซึ่งเหมือนกับไม้นานาพันธุ์ ที่เกิดขึ้นบนพื้นปฐพีนี้ 
35      ด้วยอุทาหรณ์ที่แสดงให้เห็นแล้วนี้ ท่านจงทราบอุบายของตถาคตเถิด ตถาคตแสดงธรรมอย่างเดียวกัน 
36      ตถาคตหลั่งฝนคือธรรม โลกทั้งปวงได้รับความชุ่มชื่น ชนทั้งหลายย่อมพิจารณา ธรรมภาษิต ที่มีรสอย่างเดียวกันตามกำลังของตนๆ 
37      ต้นหญ้า ต้นไม้เล็ก ต้นไม้ขนาดกลาง ต้นไม้ขนาดใหญ่ และต้นไม้ใหญ่มากทั้งหมด เมื่อฝนตกอยู่ ย่อมงดงามทั้งสิบทิศ ฉันใด 
38      สภาวธรรม ก็ฉันนั้น ย่อมเป็นประโยชน์แก่ชาวโลกทุกเมื่อ และทำให้โลกทั้งปวงชุ่มชื่น โลกทั้งปวง ครั้นเอิบอิ่มชุ่มชื่นด้วยธรรมแล้ว ก็จะเจริญขึ้นเหมือนหมู่ไม้เผล็ดดอกออกผลต่างๆนั้แล 
39      ส่วนไม้ที่เจริญขึ้นมามีขนาดปานกลาง คือพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวะ พระปัจเจกพุทธเจ้า ผู้อาศัยอยู่ในป่าทึบ เป็นผู้บรรลุธรรมอันประเสริฐนั้นแล 
40      (แต่) พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีสติ มีปัญญา เที่ยวไปตามทางแห่งตน ในทุกแห่งในโลกทั้งสาม แสวงหาพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ย่อมเจริญตลอดกาลเป็นนิตย์เหมือนต้นไม้ใหญ่ 
41     ผู้ที่มีฤทธิ์ บรรลุฌานสี่ ฟังเรื่องศูนยตาแล้ว เกิดความปีติยินดี เปล่งรัศมี ออกมาจำนวนพันดวง บุคคลเหล่านั้นชื่อว่าเป็นต้นไม้ใหญ่ในโลกนี้ 
42      ดูก่อนกาศยปะ พระธรรมเทศนาเป็นเช่นนี้เหมือนกับน้ำที่ตกมาจากเมฆ เสมอเหมือนกันหมด ต้นไม้จำนวนมาก มนุษย์ ดอกไม้ ซึ่งนับไม่ก็วน ย่อมเจริญงอกงามขึ้น 
43      เรา ย่อมประกาศธรรมอันมีเหตุปัจจัยในตัวมันเอง และตถาคตก็แสดงพุทธโพธิญาณตามกาลอันสมควร นี้คือกุศโลบาย อันประเสริฐของเรา และของพระผู้นำแห่งโลกทั้งปวง 
44      สิ่งที่เราได้กล่าวแล้วนั้นเป็นเรื่องจริง สาวกทั้งหลายทั้งปวง ย่อมบรรลุพระนิพพาน สาวกเหล่านั้นทั้งหมด ประพฤติธรรมอันประเสริฐยิ่ง ก็จะได้เป็นพระพุทธเจ้าแล 
 ดูก่อนกาศยปะ อีกประการหนึ่ง ตถาคตสั่งสอนสัตว์ทั้งหลายเสมอเหมือนกัน หาได้สอนต่างกันไม่ ดูก่อนกาศยปะ เหมือนแสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ส่องสาดมายังโลก ส่องทั่วทั้งคนชั่วและคนดี ที่สูงและต่ำ กลิ่นเหม็นและกลิ่นหอม แสงนั้นสาดส่องไปทั่วทุกหนทุกแห่งเสมอกัน ไม่ได้แตกต่างกันเลย ในทำนองเดียวกัน ดูก่อนกาศยปะ แสงสว่างของดวงจิตที่เป็นสัพพัญญุตญาณของตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และการแสดงธรรมย่อมเป็นไปเสมอกันในสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ผู้เกิดในภูมิทั้งห้า ผู้อุทิศตนเพื่อ มหายาน เพื่อปัจเจกพุทธยานและเพื่อสาวกยาน ตามอุปนิสัย ความหย่อนหรือความยิ่งแห่งแสงญาณของตถาคต ย่อมไม่มีเพื่อการเข้าถึงญาณอันประเสริฐนั้นแต่อย่างใด ดูก่อนศากยปะ ไม่มีสามยาน แต่สัตว์ทั้งหลายประพฤติต่าง กัน ดังนั้น จึงกล่าวกันว่ามีสามยาน 
          เมื่อพระผู้มีภาค ตรัสดังนี้แล้ว ท่านพระมหากาศยปะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าไม่มียานทั้งสามแล้ว เพราะเหตุไร ในปัจจุบันนี้จึงกล่าวแยกเป็น สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยาน เล่า  ครั้นเมื่อ ท่านพระมหากาศยปะทูล(ถาม)อย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระมหากาศยปะว่า "ดูก่อนกาศยปะ เหมือนายช่างหม้อ ปั้นภาชนะทั้งหลาย ด้วยดินเหนียวเหมือนกัน ในบรรดาภาชนะเหล่านั้น ภาชนะชนิดหนึ่ง ใช้ใส่น้ำตาล ชนิดหนึ่งใช้ใส่น้ำมันเนย ชนิดหนึ่งใช้ใส่นมเปรี้ยวและนมสด ส่วนบางชนิด ที่มีคุณภาพเลว ก็ใช้ใส่ของที่ไม่สะอาด ไม่มีความต่างกันของดินเหนียว แต่ความต่างกันของภาชนะทั้งหลายปรากฏขึ้น ด้วยมาตรฐานการใช้บรรจุสมบัติ °
 ดูก่อนกาศยปะ ในทำนองเดียวกันนั่นแล ยานมีเพียงหนึ่งเท่านั้น คือ พุทธยาน ยานที่สองและยานที่สามไม่มี 
 ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว ท่านพระมหากาศยปะได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ถ้าสัตว์ทั้งหลายผู้มีความประพฤติต่างกัน พ้นจากโลกทั้งสามแล้ว เขาทั้งหลายจะมีหนึ่งนิพพาน สองนิพพาน หรือสามนิพพาน 
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูก่อนกาศยปะ นิพพานคือความเสมอภาคแห่งธรรมทั้งปวง ในพระโพธิญาณ ฉะนั้นนิพพานจึงมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ไม่มีสอง สามนิพพาน ดูก่อนกาศยปะ ถ้าเช่นนั้น เราจะเปรียบเทียบให้เธอฟัง เพราะว่าผู้มีปัญญาทั้งหลายย่อมรู้ เนื้อความของคำสอน ด้วยรูปแบบของการเปรียบเทียบ 
 ดูก่อนกาศยปะ ข้อนั้นก็เหมือนกาบชายตาบอดแต่กำเนิดนั่นเอง ชายตาบอดกล่าวอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายที่สวยงามและน่าเกลียดไม่มีคนที่เห็นรูปที่สวยงามและน่าเกลียดไม่มี พระอาทิตย์ไม่มี พระจันทร์ไม่มี ดาวฤกษ์ทั้งหลายไม่มี ดาวพระเคราะห์ทั้งหลายไม่มี คนเห็นดาวพระเคราะห์ไม่มี แต่คนพวกอื่น พึงพูดข้างหน้าคนตาบอดแต่กำเนิดนั้นอย่างนี้ว่า รูปทั้งหลายที่สวยงามและน่าเกลียด มี คนที่เห็นรูปที่สวยงามและน่าเกลียด มี
 พระอาทิตย์มีและพระจันทร์ มี ดาวฤกษ์ทั้งหลาย มี ดาวเคราะห์ทั้งหลาย มี คนที่เห็นดาวเคราะห์ก็ มี
 แต่ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้นไม่เชื่อคนเหล่านั้น ไม่ยอมรับความจริงที่คนอื่นกล่าว ต่อมามีแพทย์คนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้รู้โรคทุกอย่าง แพทย์ผู้นั้นมองชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น เกิดความคิดขึ้นว่า โรคนี้เกิดขึ้น เพราะกรรมชั่วในชาติปางก่อนของชายผู้นั้น โรคเหล่านั้นคืออะไรบ้าง โรคที่เกิดขึ้นนั้น มีสี่ชนิดด้วยกัน คือ โรคไขข้อ โรคอหิวาต์ โรคเฉื่อยชามึนซึม และโรคที่เกิดจากความสับสนของอารมณ์ 
 ครั้งนั้น แพทย์ผู้นั้น คิดแล้วคิดอีก ถึงอุบายที่จะรักษาโรคให้หาย เขามีความคิดอย่างนี้ว่าโรคนี้ไม่สามารถรักษาได้ ด้วยยาชนิดธรรมดา แต่ที่ขุนเขาหิมพานต์มียาอยู่สี่ชนิด ยาสี่ชนิดคืออะไรบ้าง ยาสี่ชนิด คือ ชนิดหนึ่งชื่อว่า "สรววรณรสสถานานุคตา" (ยาเพิ่มสีและรสทั้งปวง) ชนิดที่สองชื่อว่า "สรววยาธิปรโมจนี" (ยาแก้โรคทั้งปวง) ชนิดที่สามมีชื่อว่า "สรววิษวินาศนี" (ยาปราบพิษทั้งปวง) ชนิดที่สี่ชื่อว่า "ยถาสถานสถิตสุขปรทา" (ยาที่ส่งเสริมความสุขให้ดำรงอยู่ตามสถานะ) นี่คือยาสี่ชนิดที่แพทย์เกิดความสงสารในชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น จึงคิดอุบายที่ตนอาจไปถึงขุนเขาหิมพานต์ พอไปถึงแล้ว แพทย์ผู้นั้น ก็เดินขึ้นเดินลงและไปตามขวางของภูเขา แสวงหายา เขาแสวงหาอยู่อย่างนี้ก็พบยาสี่ชนิดนั้น
 ครั้นพบแล้ว จากยาสี่ชนิดนั้น ส่วนหนึ่งเขาเคี้ยวเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งตำเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับยาอื่นต้มให้เดือดเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับยาดิบเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งให้ด้วยการฉีดเข้าไปในร่างกาย ส่วนหนึ่งเผาไฟเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งผสมกับวัตถุอื่นใส่ลงไปในน้ำและอาหารแล้วจึงให้ โดยวิธีนี้ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้นได้จักษุกลับคืนมา เขาได้จักษุกลับคือมาแล้ว มองเห็นทั้งภายนอกภายใน ไกลและใกล้ มองเห็นแสงสว่างของดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ ดาวฤกษ์ ดาวเคราะห์ และรูปทั้งปวง
 เขากล่าวอย่างนี้ว่า "โอ้ ข้าพเจ้าเป็นคนโง่เขลา เมื่อชนทั้งหลายกล่าวอยู่ในคราวก่อนๆ ข้าพเจ้าไม่เชื่อและไม่ยอมรับสิ่งที่เขากล่าวแล้ว บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าพเจ้าพ้นแล้วจากความเป็นผู้บอด ข้าพเจ้าได้จักษุคืนมา และไม่มีใครวิเศษไปกว่าข้าพเจ้า ° ก็ในสมัยนั้น ฤาษีทั้งหลายผู้ได้อภิญญาห้า ได้ทิพยจักษุ ทิพยโสต รู้จิต ของผู้อื่น ได้ปุพเพนิวาสาสุสสติญาณ มีฤทธิ์ เป็นผู้หลุดพ้นและมีกุศลสาม ได้กล่าวกับชายผู้นั้นอย่างนี้ว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านได้จักษุคืนมา แต่ท่านไม่รู้อะไร อภิมานะของท่านเกิดจากไหน ปัญญาของท่านไม่มี ท่านยังไม่เป็นบัณฑิต ฤาษีเหล่านั้นพึงกล่าวกับเขาอย่างนี้อีกว่า
 ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านนั่งอยู่ภายในเรือน ย่อมไม่เห็น ไม่รู้อะไรที่อยู่ภายนอก ย่อมไม่รู้ว่าสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้มีจิตเมตตาหรือโหดร้าย ท่านย่อมไม่เข้าใจเสียงของมนุษย์ ซึ่งยืนพูดอยู่ภายในห้าโยชน์และจะไม่รู้ ไม่ได้ยินเสียงกล่องและสังข์ เป็นต้น ท่านไม่ยกเท้าทั้งสองแล้ว ก็ไม่อาจเดินได้เป็นระยะทางหนึ่งโกรศะ (สองไมล์) ท่านเกิดและเจริญเติบโตในท้องมารดา ท่านจำการกะทำนั้นไม่ได้ ฉะนั้น ท่านจะเป็นผู้ฉลาด(บัณฑิต) ได้อย่างไร ท่านจะพูดได้อย่างไรว่า ข้าพเจ้าเห็นทุกอย่าง ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เพราะท่านเข้าใจความมืดว่า เป็นความสว่าง เข้าใจความสว่างว่าเป็นความมืด ครั้นนั้น ชายผู้นั้น ได้พูดกะฤาษีทั้งหลายว่า อุบายอะไร หรือกรรมที่งามอันใด ที่ข้าพเจ้ากระทำแล้ว จะพึงได้ปัญญาเช่นนั้น และจะพึงได้คุณทั้งหลายเหล่านั้น เพราะความเลื่อมใส ท่านทั้งหลาย
 ครั้งนั้น ฤาษีทั้งหลายกล่าวกะชายนั้นว่า ถ้าท่านปรารถนา ท่านจงไปอยู่ป่า หรือไม่ก็นั่งในถ้ำที่ภูเขาทั้งหลาย พิจารณาธรรม ท่านสละละทิ้งกิเลสทั้งหลายเสีย ท่านก็จะเป็นผู้ประกอบด้วยคุณงามความดีและบรรลุอภิญญา แล้วชายผู้นั้น ก็รับเอาคำนั้น และได้บวชเป็นฤาษี เขาอาศัยอยู่ในป่า มีจิตอันเลิศตั้งมั่นอยู่ในอารมณ์เดียว ละตัณหาอันเป็นโลกายัต พึงบรรลุอภิญญาห้า หลังจากบรรลุอภิญญาแล้ว เขาพึงคิดว่า ในกาลก่อน ข้าพเจ้า ได้กระทำกรรมอื่น (อันต่ำทราม) ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่ประสบคุณความดี บัดนี้ ข้าพเจ้าได้สิ่งที่ข้าพเจ้าคิดแล้ว ในกาลก่อนข้าพเจ้ามีปัญญาน้อย มีความเข้าใจเล็กน้อยเป็นคนบอด 
         ดูก่อนกาศยปะ นี้คืออุปมาที่เรา (ตถาคต) แต่งขึ้น เพื่อให้เข้าใจความหมายนี้ เธอฟังเห็นความหมายดังนี้
         ดูก่อนกาศยปะ คำว่า "ตาบอดแต่กำเนิด" ก็คือบรรดาสัตว์ที่เวียนว่ายตายเกิดในภูมิทั้งหก ที่ไม่รู้พระสัทธรรม เพิ่มพูนความมืดคือกิเลส เป็นผู้บอดเพราะอวิชชา และผู้บอดเพราะอวิชชานั้น สร้างความคิดต่างๆ ขึ้นมา และเมื่อมีความคิด ก็ยึดติดในนามรูป ผลก็คือ ย่อมเกิดกองทุกข์ อันยิ่งใหญ่แต่อย่างเดียวเท่านั้น 
          สัตว์ทั้งหลาย ผู้บอดเพราะอวิชชา ดำรงตนอยู่ในโลก (สังสารวัฏ) อย่างนี้ ส่วนพระตถาคตพ้นแล้วจากโลกธาตุทั้งสาม เพราะมีความกรุณาเหมือนกับบิดาเกิดความกรุณาในบุตรคนเดียวซึ่งเป็นที่รัก (เรา) จึงมาบังเกิดในสามโลก ได้เห็นสัตว์ทั้งหลายผู้ท่องเที่ยวไปอยู่ในวัฏฏสงสาร และสัตว์เหล่านั้น ไม่รู้วิถีทางที่จะออกจากวัฏฏสงสาร
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคมองดูสัตว์ทั้งหลายด้วยปัญญาจักษุ และครั้นเห็นแล้วก็ทราบว่า ในกาลก่อนสัตว์เหล่านี้กระทำกุศลไว้แล้ว บ้างก็มีโทละเบาบางมีราคะกล้า บ้างก็มีราคะเบาบางมีโทสะกล้า บ้างก็มีปัญญาน้อย บ้างก็เป็นบัณฑิต บ้างก็มีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง และบ้างก็มีมิจฉาทิฏฐิ พระตถาคตจึงเสนอยานสามชนิดแก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยกุศโลบาย  ณ ที่นั้น ฤาษีทั้งหลาย ผู้มีอภิญญาห้ามีจักษุหมดจดนั้นแล คือพระโพธิสัตว์ ยังโพธิจิตให้บังเกิดขึ้น จนสำเร็จขันติธรรม ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แล้วจึงตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณ 
 นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ในเรื่องนี้ พึงเทียบได้กับพระตถาคตนั่นเอง ชายตาบอดแต่กำเนิดก็คือสัตว์ทั้งหลายที่มืดบอดเพราะโมหะ โรคลมน้ำดี และเสลด ก็เหมือนกับราคะ โทสะ และโมหะ ทิฏฐิหกสิบสอง พึงเห็นว่าเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน ยาสี่ชนิด พึงเทียบได้กับ ศูนยตา (ความว่างเปล่า) อนิมิตตา (ความไม่ยึดถือ) อัปปณิหิตา (ความไม่ปรารถนา) และพระนิพพาน (ความดับ)
 การใช้ยาทั้งหลาย จนสามารถระงังโรคได้ เหมือนกับสัตว์ทั้งหลาย เจริญวิโมกข์สาม คือสุญญตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยเห็นความว่างเปลา) อนิมิตตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยการไม่ยึดติดนิมิต) อัปปณิหิตวิโมกข์ (หลุดพ้นด้วยไม่ทำความปรารถนา) ก็จะดับอวิชชา (ความไม่รู้) ได้ เมื่อดับอวิชชาได้ สังขาร (การปรุงแต่ง) ก็ดับ และในที่สุดก็จะดับกองทุกข์อันยิ่งใหญ่ลงได้ แล้ว จิตก็จะไม่ตั้งอยู่ทั้งในความดีและในความชั่ว (เป็นพระอริยบุคคล)    ผู้มีจักษุบอด แล้วได้สายตาดีคืนมา เปรียบได้กับผู้ควรแก่ สาวกยาน และ ปัจเจกพุทธยาน เขาย่อมตัดกิเลสเครื่องผูกพันของสังสารวัฏเสียได้ พ้นจากกิเลสเครื่องผูกพัน พ้นจากภูมิทั้งหก และโลกทั้งสาม ฉะนั้นผู้สมควรแก่สาวกยาน ย่อมรู้อย่างนี้ และกล่าวถ้อยคำอย่างนี้ว่า ธรรมอื่นที่ทำให้ตรัสรู้นั้นไม่มี ข้าพเจ้าถึงพระนิพพานแล้ว ที่นั้น พระตถาคตจะตรัสธรรมแก่เขาว่า บุคคลใด ไม่บรรลุธรรมทั้งปวงแล้ว เขาจะบรรลุพระนิพพานได้อย่างไร
 พระผู้มีพระภาคจึงให้เขาเข้าถึงพระโพธิญาณ เขา ครั้นจิตที่น้อมไปสู่พระโพธิญาณเกิดขึ้นแล้วก็จะไม่สถิตในโลก แต่ยังไม่บรรลุพระนิพพาน เขาครั้นรู้แล้ว จะเห็นโลกทั้งสามในทั้งสิบทิศว่าเป็นสิ่งว่างเปล่า เป็นสิ่งที่ต้องสลายไป เป็นมายา เป็นความฝัน เป็นพยับแดด และเป็นเหมือนเสียงสะท้อน เขาย่อมมองเห็นว่า ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่เกิดขึ้น ไม่ดับไป ไม่ถูกผูกพัน ไม่หลุดพ้น ไม่มืดบอด และไม่สว่าง บุคคลที่เห็นธรรมทั้งหลายลึกซึ้งอย่างนี้ ย่อมเห็นโลกธาตุทั้งปวง เต็มไปด้วยสัตว์ ที่มีความนึกคิดและอุปนิสัยต่างกัน เหมือนกับว่า มองไม่เห็น ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงอรรถให้ยิ่งขึ้น ไป จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า 
45      แสงจันทร์และแสงอาทิตย์ ย่อมสาดส่องไปยังโลกมนุษย์ ทั้งที่มีคุณความดีและชั่วช้าเสมอกัน ทั่วทุกแห่งหน ไม่น้อยและไม่มากไปกว่ากันเลย ฉันใด 
46      แสงแห่งปัญญาของพระตถาคต ย่อมแนะนำสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่หย่อนไม่ยิ่งกว่ากัน เหมือนแสงอาทิตย์และแสงจันทร์ ฉันนั้น 
47      ช่างหม้อ ปั้นหม้อด้วยดินเหนียวอย่างเดียวกัน หม้อที่ปั้นนั้น ย่อมเป็นหม้อใส่น้ำตาล หม้อใส่นม หม้อใส่น้ำมันเนย และหม้อใส่น้ำ 
48      ภาชนะบางอย่าง ก็ใส่ของไม่สะอาด บางอย่างก็ใส่นมเปรี้ยว เขาปั้นหม้อทั้งกลายด้วยดินเหนียวอย่างเดียวกัน 
49      วัตถุที่นำมาบรรจุ ทำให้ภาชนะนั้น ถูกกำหนดแตกต่างกันไป ฉันใด พระตถาคตก็ฉันนั้น ย่อมพิจารณาเห็นความพิเศษของสัตว์และอัธยาศัยที่แตกต่างกัน 
50      จึงตรัสยานต่างกันไป แต่พุทธยานเป็นสัจจะที่แน่นอน เพราะไม่รู้สังสารจักรมนุษย์จึงไม่บรรลุพระนิพพาน 
51      ส่วนผู้ใด เข้าใจถ่องแท้ว่า ธรรมทั้งหลายเป็นศูนยตา และไม่เป็นอัตตา ผู้นั้นย่อมเข้าใจพระโพธิญาณของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย 
52      เพราะเข้าถึงปัญญาระดับกลาง บุคคลนั้น จึงชื่อว่า พระปัจเจกชินะ และเพราะไม่มีความรู้เรื่องศูนยตา บุคคลนั้นจึงถูกเรียกว่า สาวก 
53      เพราะตรัสรู้ธรรมทั้งปวง บุคคลนั้นจึงชื่อว่า สัมมาสัมพุทธะ และพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายเป็นนิตย์ ด้วยอุบายหลายร้อยวิธี 
54      เหมือนคนตาบอดแต่กำเนิด มองไม่เห็นพระอาทิตย์ (พระจันทร์) ดาวเคราะห์และดาวฤกษ์ทั้งหลาย ย่อมกล่าวว่า รูปทั้งหลายย่อมไม่มีโดยประการทั้งปวง 
55      ส่วนนายแพทย์ใหญ่ ผู้มีความกรุณาต่อชายตาบอดนั้น เขาได้ไปยังเขาหิมาลัยเดินขึ้นเดินลง (ภูเขา) อยู่ เพื่อแสวงหายา 
56      นายแพทย์นั้น ได้ยาทั้งสี่ชนิดครบถ้วน คือ ต้น (นค) ราก(สถาน) เปลือก(วรณ) และใบ (รส=รับรู้อารมณ์) จากภูเขานั้น แล้วนำมาปรุง 
57      นายแพทย์ได้ประกอบยา ให้แก่ชายตาบอดแต่กำเนิดนั้น ดังนี้ คือส่วนหนึ่งเคี้ยวเสียก่อนแล้วจึงให้ ส่วนหนึ่งบดหรือตำเสียก่อนแล้วจึงให้ และอีกส่วนหนึ่งใช้ฉีดเข้าไปในร่างกาย 
58      ชายผู้นั้นกลายเป็นผู้มีตาดี ได้เห็นพระอาทิตย์ และดาวเคราะห์ทั้งหลาย เขาจึงเข้าว่า ตอนแรกนั้น เขาพูดไปเพราะความไม่รู้ 
59      ในทำนองเดียวกัน สัตว์ทั้งหลายที่มีอวิชชามาก เหมือนผู้บอดแต่กำเนิด ย่อมท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ เพราะไม่รู้วัฏฏจักรแห่งความทุกข์ 
60      ในโลก ที่มีความลุ่มหลงเพราะอวิชชาอย่างนี้ พระตถาคตผู้รู้ทุกอย่างเหมือนกับ นายแพทย์ใหญ่ ผู้มีความกรุณา จึงได้อุบัติขึ้น 
61      พระตถาคตนัน เป็นครูที่ฉลาดในอุบาย ได้แสดงพระสัทธรรม และอนุตตรพุทธโพธิญาณ แก่สัตว์ผู้มียานอันประเสริฐ 
62      ส่วนผู้มีปัญญาปานกลาง พระผู้นำ ก็แสดงธรรมปานกลาง ส่วนผู้มีความกลัวต่อสังสารวัฏ พระตถาคตก็แสดงพระโพธิญาณอย่างอื่น 
63      พระสาวก ผู้พ้นแล้วจากโลกทั้งสาม ผู้มีความรู้ ก็จะคิดอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุนิพพาน ที่ไร้มลทินและที่เป็นสิริมงคลแล้ว 
64      ในเรื่องนี้ เรา ได้กล่าวไว้อย่างชัดแจ้งแล้วว่า นั่นไม่เรียกว่านิพพาน แต่เพราะการตรัสรู้ธรรมทั้งปวงต่างหาก จึงบรรลุพระนิพพาน ที่เป็นอมตะ 
65      มหาฤาษี (พระสุคต) เพราะความกรุณาต่อเขา จึงได้กล่าวกับเขาว่า เธอเป็นผู้โง่เขลา เรา(ตถาคต) รู้ว่า ภาวะเช่นนั้น แม้น้อยนิดก็ยังไม่มีแก่เธอ 
66      เมื่อเธออยู่แต่ภายในห้อง อะไรที่เกิดขึ้นภายนอก เธอไม่รู้ จึงนับว่า เธอมีความรู้ น้อยมา 
67      ก็แลบุคคลที่อยู่ภายในนั้น ย่อมจะไม่รู้ว่า เขาทำอะไร หรือไม่ทำอะไรกันในภายนอก แม้บัดนี้ เขาก็ยังไม่รู้ แล้วเธอ ผู้มีปัญญาน้อย จะรู้ได้อย่างไรเล่า 
68      เธอไม่สามารถจะได้ยินเสียง ที่ไกลออกไปจากที่นี้ประมาณ 5 โยชน์ได้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงเสียงที่ไกลเกินไปกว่านั้น 
69      ชนเหล่าใด มีจิตใจเลวร้ายต่อเธอหรือกรุณาต่อเธอ เธอไม่อาจรู้จักชนเหล่านั้นได้ เหตุไฉนเธอจึงมีอภิมานะนักเล่า 
70      ถ้าเธอ จะต้องเดินทางเป็นระยะ 2 ไมล์ เมื่อไม่มีทางให้เดิน เธอก็จะเดินไปไม่ได้ เรื่องราวที่เธออยู่ในครรภ์ของมารดา เธอก็ลืมหมดแล้ว 
71      บุคคลที่ได้อภิญญา 5 เรียกว่า สัพพัญญู ในโลกนี้ เฮยังไม่รู้อะไรเลย ยังจะพูดว่า ข้าพเจ้าเป็น สัพพัญญู เพราะความหลงผิด(ของเธอ ) 
72      ถ้าเธอปรารถนาจะเป็น สัพพัญญู เธอต้องพยายามบรรลุอภิญญาให้ได้ เธอต้องอยู่ป่า คิดถึงธรรมอันบริสุทธิ์ที่นำไปสู่การบรรลุอภิญญานั้น แล้วเธอก็จะบรรลุอภิญญาด้วยธรรมนั้น 
73      ชายผู้นั้น ทราบเนื้อความนั้นได้แล้ว ได้ไปสู่ป่า ตั้งใจมั่นเจริญสมาธิ เนื่องจากเขาเป็นผู้มีคุณงามความดีอยู่แล้ว จึงได้บรรลุอภิญญา 5 โดยไม่นานนัก 
74      เช่นเดียวกันนั้น พระสาวกทั้งหลายทั้งปวงสำคัญว่า ตนได้บรรลุพระนิพพานแล้ว แต่พระชินพุทธเจ้าได้ตรัสกะสาวกเหล่านั้นว่า นี้เป็นความสงบระดับหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่พระนิพพาน (ความดับสนิท) 
75      นี้เป็นอุบายนัยหนึ่งแห่งการประกาศธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่ว่า เว้นจากความเป็นสัพพัญญุตญาณเสียแล้ว พระนิพพานย่อมไม่มี เพราะฉะนั้น เธอทั้งหลายจงพยายาม 
76      ความรู้อันไม่สิ้นสุดแห่งมรรคทั้งสาม บารมีอันประเสริฐหก ศูนยตา การไม่ยึดติดนิมิต และการไม่ตั้งความปรารถนา 
77      โพธิจิต และธรรมทั้งหลายเหล่าใด ที่เป็นปัจจัยให้บรรลุพระนิพพาน ทั้งที่เป็นอาสวะและอนาสวะ เป็นธรรมที่สงบ ธรรมเหล่านั้นทั้งปวงเป็น (สิ่งว่างเปล่า) เหมือนท้องฟ้า 
78      พรหมวิหารสี่ สังคหวัตถุสี่ และธรรมทั้งหลาย ที่พระมุนีผู้ประเสริฐแสดง เพื่อประโยชน์แก่การแนะนำเวไนยสัตว์ทั้งหลาย 
79      ก็แลผู้ใดรู้ธรรมทั้งหลายว่า มีสภาพเป็นมายาและความฝัน ไร้สาระเหมือนต้นกล้วย เป็นเสมือนเสียงที่สะท้อน 
80      แลรู้โลกทั้งสามอย่างสมบูรณ์ พร้อมทั้งสภาวะของโลกเหล่านั้น เขาผู้นั้นได้ชื่อว่ารู้แจ้งสิ่งที่ไม่ผูกมัด สิ่งที่ยังไม่ได้หลุดพ้นและพระนิพพาน 
81      ผู้ที่ไม่เห็นธรรมทั้งปวงที่เสมอกัน ซึ่งเป็นศูนยตา ปราศจากความแตกต่างกัน ชื่อว่าย่อมไม่เห็นธรรมใดๆ 
82      ส่วนบุคคลผู้มีปัญญามากนั้น ย่อมเห็นหมวดธรรมทั้งหมด อย่างแจ้งชัดว่า ไม่มีสามยาน มีเพียงยานเดียวเท่านั้นในโลก 
83      พระธรรมทั้งปวง ทัดเทียมกัน เสมอเหมือนกันทุกเมื่อ บุคคลผู้รู้อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมรู้พระนิพพาน ที่เป็นอมตะและสูงสุด

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๔ อธิมุกติปริวรรต ว่าด้วยการน้อมใจเชื่อ

 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อพระองค์ทั้งหลาย ได้ยินได้ฟังมา  
 
ว่า เหล่าพระสาวกก็จะได้รับพุทธพยากรณ์ ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณจากพระผู้มีพระภาค จึงเกิดอัศจรรย์ใจ และนับว่าเป็นลาภอันใหญ่หลวง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ฟังพระสุรเสียงของพระตถาคต ซึ่งไม่เคยฟังอย่างนี้มาก่อนเลย นับว่า (ข้าพระองค์) ได้รัตนะอันยิ่งใหญ่ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค การได้รัตนะนั้น ไม่มีสิ่งใดจะเปรียบได้เป็นรัตนะใหญ่ที่ได้มาอย่างไม่ต้องแสวงหา ไม่ได้คาดหวังและไม่ได้ปรารถนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บัดนี้เป็นที่กระจ่างแจ้งแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว
             ข้าแต่พระสุคต บัดนี้เป็นที่กระจ่างแจ้งแก่ข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนั้นก็เหมือนกับบุรุษผู้หนึ่งที่จากบิดาไป
             ครั้นไปแล้ว ไปอยู่ที่ในชนบทอื่น และอยู่ที่นั่นหลายปี คือ 20 ปี 30 ปี 40 ปี หรือ 50 ปี ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
             สมัยก่อน เขาเป็นบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ แต่ขณะนี้ เขากลายเป็นคนยากจน เขาแสวงหางาน จึงเที่ยวไปทุกสารทิศ เพื่อให้ได้อาหารและเครื่องนุ่งห่มดำรงชีพ และเขาเที่ยวไปในชนบทอื่นๆ อีกต่อไป ส่วนบิดาของเขา ก็ได้ย้ายไปอยู่ที่หมู่บ้านอื่น จนร่ำรวย มีทรัพย์ ข้าวเปลือก ทองแท่ง ยุ้งฉางจำนวนมาก มีทองเงิน มณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ศิลา ประพาฬ ทองเงินสำหรับใช้สอย มีทาสทาสี กรรมกร และคนใช้จำนวนมาก มีช้าง ม้า รถ วัว แกะ มากมาย มีบริวารมากมาย และเป็นผู้มีทรัพย์มากกว่าใครในชนบททั้งหลาย เขาทำกิจกรรมมากมาย ทั้งทางเกษตรและทางพาณิชย์ 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขณะนั้น บุรุษผู้ยากจนผู้นั้น เที่ยวไปแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มในหมู่บ้าน นคร นิคม ชนบท เมืองใหญ่และราชธานี จนถึงนครที่บิดาของเขา ซึ่งเป็นผู้ร่ำรวย ทรัพย์ ทอง และยุ้งฉาง อาศัยอยู่
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บิดาของบุรุษนั้น เป็นผู้มีทรัพย์สินเงินทอง และยุ้งฉางมากอยู่ในนครนั้น (เขา) คิดถึงบุตรชายผู้ที่จากไป เป็นเวลา 50 ปี อยู่ตลอดเวลา 
             ก็แล เมื่อเขาคิดถึงอยู่นั้น ก็มิได้เอ่ยปากบอกแก่ผู้ใด เพียงแต่คิดอยู่ผู้เดียวว่าเราชรา มีอายุมาก แก่เฒ่าแล้ว เงินทอง ทรัพย์สิ้น ข้าวเปลือกยุ้งฉาง ของเราก็มีมาก แต่เราไม่มีบุตร เมื่อเราไม่มีบุตรเช่นนี้ เราตายไป ทรัพย์สมบัติทั้งปวงนี้ ก็จะพินาศไป โดยไร้ประโยชน์ เขาระลึกถึงบุตรชายนั้นอยู่บ่อยว่า โอ้ เราคงจะได้รับความสงบสุข หากลูกของเราได้ใช้กองทรัพย์สมบัตินี้
            ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขณะนั้นแล บุรุษผู้ยากจนผู้นั้น กำลังเดินแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มอยู่ ได้เดินเข้าไปสู่บ้านของบุรุษผู้เฒ่าผู้หนึ่ง ซึ่งมีทองแท่ง ทองรูปพรรณ เงิน ข้าวเปลือก ยุ้งฉางมากมาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
            ขณะนั้น ที่ใกล้ประตูบ้าน บิดาของบุรุษผู้ยากจนนั้นได้นั่งตระหง่านอยู่ บนที่นั่งรูปสิงห์ใหญ่โต มีตั่งรองเท้า ประด้วยด้วยทองคำ และเงิน มีพวกพราหมณ์ กษัตริย์ แพศย์ ศูทรหมู่ใหญ่แวดล้อมแล้ว กำลังนับทองจำนวนหลายแสนโกฏิ มีคนถือพัดวีอยู่เขานั่งบนที่นั่งใหญ่โต ตั้งอยู่ในที่มีเพดาน กว้างขวาง ประดับด้วยดอกไม้มุกดา มีมาลัยแก้วห้อยระย้าอยู่
            ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษยากจนนั้น ได้เห็นบิดาของตนเอง นั่งอยู่ใกล้ประตูบ้าน ด้วยความสง่างาม แวดล้อมด้วยชนจำนวนมาก กำลังทำการค้าขายอยู่ บุรุษผู้ยากไร้นั้น ครั้นเห็นแล้วก็ตื่นตระหนกตกใจกลัว เกิดขนลุกชูชันไปทั่วทั้งร่างมีจิตใจสับสน ได้คิดว่า เราเข้ามาสู่ (บ้าน) พวกราชาหรือขุนนางผู้ใหญ่ ด้วยความรีบร้อน หน้าที่การงานของเราไม่มีในที่นี้ เราจะไปตามถนนคนยากไร้ ซึ่ง ณ ที่นั้น คงไม่ยากจนเกินไปที่เราจะหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เราจะรอช้าอยู่ไม่ได้ มิฉะนั้น เราจะถูกจับขัง หรือไม่ก็จะได้รับโทษอย่างอื่น 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในขณะนั้น บุรุษผู้ยากจนนั้นเดือดร้อนใจ กลัวภัยจะมาถึงตน จึงสาวเท้าก้าวหนีออกไปโดยเร็ว ไม่ยอมยืนอยู่ ณ ที่แห่งนั้น
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษผู้มั่งคั่งนั้น ซึ่งนั่งอยู่บนที่นั่งรูปสิงห์ ใกล้ประตูบ้านของตน เมื่อเห็นบุตรชายของตนก็จำได้ 
             ก็แล ครั้นเห็นแล้ว เขาก็พอใจ ยินดี ปลื้มใจ มีปีติโสมนัส คิดว่า ช่างอัศจรรย์เสียนี่กระไร ลูกของเราจะได้ใช้สอยทองแท่ง ทองรูปพรรณ ทรัพย์ ข้าวเปลือก และยุ้งฉางแล้ว เราระลึกนึกถึงเขาอยู่เนืองนิจ
              ก็แล เขาได้มาที่นี่ด้วยตนเองแล้ว ขณะนี้ เราก็แต่เฒ่าชราภาพแล้ว 
              ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กาลครั้งนั้น บุรุษ ผู้นั้นกระวนกระวายใจ ปรารถนาจะพบบุตรมาก จึงส่งชายมีฝีเท้าเร็วหลายคน ไปในทันทีว่า ดูก่อนสหายทั้งหลาย พวกท่านจงรีบไปนำชายผู้นั้นมาเร็ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
 ขณะนั้น ชายเหล่านั้นวิ่งไปโดยเร็วตามไปนำบุรุษยากจนนั้นมา ในตอนนั้น บุรุษผู้ยากจน เกิดความกลัว ตัวสั่นงันงก ชนลุกชันไปทั่วทั้งร่างกายจิตใจไม่เป็นปกติสุข คร่ำครวญร้องไห้ออกมาดังๆ ราวกับถูกทำร้ายอย่างทารุณ เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ได้ทำความผิดอะไรต่อท่านทั้งหลาย นัยว่า ชายทั้งหลายได้ฉุดคร่าบุรุษยากจน ที่กำลังร้องครวญครางอยู่นั้นไปด้วยพละกำลัง ณ ที่นั่น ชายผู้ยากจนนั้น เกิดความกลัว ตัวสั่นงันงก จิตใจไม่เป็นปกติสุข คิดรำพึงว่า ขอให้เรา จงอย่าถูกฆ่าเลย เราคงจะมีโทษทัณฑ์ เราคงจะพินาศดังนี้ เขาได้เป็นลม ล้มลงบนดิน จนสิ้นสติ บิดาของชายยากจนนั้นยืนอยู่ ณ ที่ใกล้เขา จึงกล่าวกะชายเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย จงอย่าฉุดเขาอย่างนั้น เขา(บิดา) เอาน้ำเย็นประพรมบุตรของตนแล้ว ไม่กล่าวอะไรอีกเลย ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า คหบดีผู้นั้น รู้ความต่ำต้อยของชายผู้ยากจนนั้น และรู้ฐานะอันโอฬารแห่งตน ทั้งรู้ว่าผู้นั้นเป็นลูกของตน 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในขณะนั้น คหบดีนั้น เพราะกุศโลบายของตน จึงไม่ได้บอกแก่ใครๆ ว่า นั่นคือบุตรของตน
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คหบดีนั้น ได้เรียกขานคนหนึ่งมา(พูดว่า)
              ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านจงไป จงบอกแก่ชายผู้ยากไร้นั้นว่า ดูก่อนผู้เจริญ ท่านจงไปตามทางที่ต้องการเถิด ท่านมีอิสระแล้ว ชายผู้นั้น ได้ฟังคหบดีกล่าวอย่างนั้นแล้ว ก็เข้าไปหาชายผู้ยากไร้ ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้พูดกับเขาว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านมีอิสระแล้ว ท่านมีปรารถนาจะไปทางไหน ก็ไปได้ตามปรารถนาเถิด
          ในตอนนั้น ชายผู้ยากไร้นั้น ได้ฟังคำนั้นแล้วรู้สึกอัศจรรย์ใจ เขาได้ลุกจากที่นั้น แล้วเดินไปตามถนนแห่งคนยากไร้ เพื่อแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เพื่อจะดึงบุรุษผู้ยากไร้นั้นไว้ คหบดีจึงใช้กุศโลบายอย่างหนึ่ง เขา จ้างชายสองคน รูปร่างหน้าตาไม่ดีพร้อมกับสั่งว่า ท่านผู้เจริญทั้งสอง จงไปตามชายผู้นั้นมาที่นี่ ท่าน ทั้งสองจงให้เงินแก่เขาสองเท่า ว่าจ้างให้เขามาทำงานในบ้านของฉัน ก็เขาถามว่าจะให้เขาทำงานอะไร ขอให้ท่านตอบเขาว่า จะให้เขากวาดขยะ หลังจากนั้น ชายสองคนนั้น ก็ออกตามหานำบุรุษยากจนนั้นมาและว่าจ้างให้ทำงานดังกล่าวนั้น ตั้งแต่นั้นมา ชายสองคน พร้อมกับบุรุษยากจนนั้น ก็ได้ทำงานกวาดขยะในบ้านของคหบดี โดยรับจ้างจากคหบดีผู้ร่ำรวยนั้น ชายทั้งสามคนนั้น อาศัยอยู่ที่กระท่อมเล็กๆ ที่มุงด้วยฟางใกล้ๆบ้านของคหบดี บุรุษผู้มั่งคั่งนั้น มองดูลูกชายของตนที่กำลังกวาดขยะอยู่ทางหน้าต่าง ครั้นเห็นแล้วเขาก็เกิดความสะเทือนใจขึ้นมาอีก 
   ขณะนั้น คหบดี ได้ลงจากบ้านของตน ถอดมาลาและเครื่องประดับ ถอดเครื่องนุ่งห่มอันอ่อนนุ่ม แล้วสวมเสื้อเก่าขาดๆ มือขวาถือตะกร้า เอาฝุ่นมาทาตัว  ร้องทักมาแต่ไกล เข้าไปหา ชายผู้ยากไร้ (ลูกชาย) จนถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว กล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ จงเอาตะกร้าใบใหม่นี้ไป จงอย่ามัวยืนอยู่ จงปัดฝุ่นออกเสีย" ด้วยอุบายนี้ คหบดี(จึงโอกาสได้) พูดคุยกันบุตรของตน เขาพูดว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เธอจงทำงานที่นี่เถิด อย่าไปที่อื่นอีกเลย ฉันจะให้ค่าจ้างแก่เธอเป็นพิเศษ เธอต้องการอะไรขอให้บอกฉัน ไม่ว่าจะเป็นหม้อใหญ่ หม้อเล็ก เตา ฟืน หรือเงินสำหรับซื้อสิ่งของ มีเกลือ หรือเสื้อผ้า
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ฉันมีเสื้อคลุมเก่าๆอยู่ตัวหนึ่ง ก็เธอต้องการก็บอกนะ ฉันจะให้เธอ
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เธอต้องการวัตถุอะไร ก็ขอให้บอก ฉันจะให้ ขอย่างได้คิดอะไรอื่น จงคิดเสียว่า ฉันเหมือนพ่อของเธอก็แล้วกัน เพราะเหตุไร เพราะว่าฉันแก่กว่า เธออ่อนกว่า เธอได้ช่วยงานฉันมากในการกวาดขยะ 
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ขณะทำงานอยู่ที่นี่ เธอมีความบริสุทธิ์ ไม่คดโกง ไม่ยโสโอหัง ไม่สะสม 
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ฉันไม่เห็นเธอประพฤติชั่ว อย่างคนใช้อื่นเลย ตั้งแต่นี้ไป ขอให้เธอจงเป็นเหมือนลูกชายฉันเถิด 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค  ครั้งนั้น คหบดีนั้น เรียกชายผู้ยากจนว่าลูก และชายยากจนก็เรียกคหบดีว่า พ่อ 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คหบดีที่ปรารถนาบุตร และให้บุตรนั้นทำงานกวาดขยะอยู่ถึง 20 ปี
             ครั้งนั้น ชายผู้ยากจนนั้น สามารถเข้าออกภายในบ้านของเศรษฐี ได้เป็นเวลา 20 ปี แต่เขาก็ยังพักอยู่ที่กระท่อมฟางนั่นเอง 
   ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ต่อมา คหบดีล้มป่วยลง เขา(คหบดี) เห็นว่า มรณะกาลใกล้เข้ามาแล้ว เขาจึงพูดกับบุรุษผู้ยากจนว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านจงมานี่ชิ ฉันมีทองคำ ทองรูปพรรณ ข้าวเปลือก ยุ้งฉาง มากมาย ฉันไม่สบายมาก ฉันปรารถนาจะให้ทรัพย์สมบัตินี้แก่คนที่ควรรับและรักษาทรัพย์นี้ไว้ ท่านจงรับเอาทั้งหมด ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร เพราะต้องการให้ท่านเป็นเจ้าของทรัพย์ เหมือนอย่างที่ฉันเป็นอยู่ ขอท่าน จงอย่าทำให้ทรัพย์นี้สูญหายแม้แต่น้อย 
   ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ครั้งนั้น ชายผู้ยากจนนั้น รับเอาทองคำแท่ง ทองรูปพรรณ ทรัพย์ ข้าวเปลือก ยุ้ง ฉาง จำนวนมาก ของคหบดีนั้นโดยปริยายนี้ แต่ตัวเขาเองไม่ติดข้องในสิ่งเหล่านั้น เขาไม่ปรารถนาอะไร แม้เพียงข้าวสาลีกำมือหนึ่ง
 ตัวเขาเอง ยังคิดว่า ตนเป็นคนยากจนอยู่ และยังอยู่ในกระท่อมมุงฟาง ณ ที่นั้นนั่นแล 
   ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในกาลครั้งนั้น คหบดี เห็นว่าบุตร (ของตน) นั้น เป็นผู้สามารถเก็บรักษาทรัพย์สมบัติได้ เป็นผู้ใหญ่พอควรแล้ว เมื่อคิดถึงความทุกข์ ความอดสูใจ และความยากจน ที่มีใดที่มีในสมัยก่อน และรู้ว่าความเสื่อมสลายจะต้องมีแก่ตน ครั้นเวลาใกล้จะตาย จึงเรียกชายผู้ยากไร้นั้นมา ให้อยู่ข้างหน้าหมู่พวกพ้อง พระราชา มหาอำมาตย์ ตลอดจนชาวนิคมและชาวชนบททั้งหลาย แล้วประกาศว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย จงฟังชายผู้นี้คือบุตรที่เกิดจากข้าพเจ้าในเมืองโน้น และเขาได้สูญหายไปจากเมืองโน้นมาเป็นเวลา 50 ปี เขามีชื่ออย่างนั้น และแม้ข้าพเจ้าก็มีชื่ออย่างนั้น ตั้งแต่เขาสูญหายไป ข้าพเจ้าได้เที่ยวตามหาเขา จากเมืองนั้นจนมาถึงที่นี่ ผู้นี้เป็นบุตรของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเป็นบิดาของเขา ทรัพย์สินใดๆ ทั้งหมดที่เป็นขอข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอมอบให้แก่ชายผู้นี้ และทรัพย์สินใดๆอันเป็นของข้าพเจ้า ชายผู้นี้ก็รู้หมดแล้ว 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขณะนั้น ชายผู้ยากไร้นั้น ครั้นได้ยินเสียงประกาศกึกก็องอย่างนี้แล้ว รู้สึกตระหนกตกใจ และคิดว่าเราได้ทองแท่ง ทองรูปพรรณ ทรัพย์สิน ข้าเปลือก ยุ้งฉางทั้งหลาย โดยมิได้คิดมาก่อนเลย 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในทำนองเดียวกัน ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นเหมือนบุตรของพระตถาคต พระตถาคต ย่อมตรัสกะข้าพระองค์ทั้งหลายว่า "เธอทั้งหลายเป็นบุตรของเราเหมือนอย่างคหบดี (พูดกะบุตร) ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
 ก็แล ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ถูกความทุกข์ 3 ประการบีบคั้นแล้ว ทุกข์3 ประการคืออะไรบ้าง ทุกข์ 3 ประการ คือ ทุกขทุกข์ (ทุกข์ขณะเจ็บป่วย) สังสการทุกข์ (ทุกข์เกิดจากผลของกรรมในอดีต) และปรณามทุกข์ (ทุกข์เกิดจากความเปลี่ยนแปลง) และข้าพระองค์ทั้งหลาย พิจารณาธรรมทั้งปวงมากมาย เปรียบเหมือนกองขยะ ข้าพระองค์ทั้งหลายได้พิจารณาธรรมทั้งปวงแล้ว พยายามอย่างต่อเนื่องอยู่ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรารถนาพระนิพพาน ที่เปรียบเหมือนทรัพย์อันประเสริฐ ซึ่งได้แสวงหาตลอดวันเวลา
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้ยินดีกับพระนิพพานที่ตนได้รับแล้วนั้น และข้าพระองค์ทั้งหลายได้พิจารณาธรรมทั้งปวงเหล่านี้ พยายามอย่างต่อเนื่องใกล้องค์พระตถาคตแล้ว คิดว่า ตนเองได้อะไรต่างๆ จำนวนมาก ก็แล พระตถาคต คงทราบความคิดต่ำๆ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงทรงวางเฉย มิได้ตรัสว่า "ตถาคตญาณ จักมีแก่เธอทั้งหลายแต่พระผู้มีพระภาค ทรงสถาปนาทายาทในตถาคตญาณนี้ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยกุศโลบาย
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย พอใจในตถาคตญาณ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทราบว่า พวกข้าพระองค์ ได้นิพพานอันเสมือนทรัพย์ที่ประเสริฐ ที่จะจับจ่ายประจำวัน จากพระตถาคต ข้อนั้นนับว่ามากยิ่งแล้วสำหรับพระองค์ทั้งหลาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักแสดงธรรมอันเกี่ยวกับญาณทัศนะของพระตถาคต แก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้ปราศจากความอยากแล้ว จะพรรณนาแสดง ชี้แจงตถาคตญาณ (นั้น)ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะพระตถาคต ทรงทราบความเป็นไปของข้าพระองค์ทั้งหลาย ด้วยกุศโลบาย ข้าพระองค์ ทั้งหลาย ไม่รู้ ไม่เข้าใจข้อที่พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นบุตรของพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค ทรงระลึกถึงความเป็นทายาทแห่งตถาคตญาณ ของข้าพระองค์ทั้งหลาย ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นบุตรของพระตถาคตก็จริง ถึงกระนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลายก็ยังเป็นผู้มีความนึกคิดต่ำอยู่ ก็ว่า พระผู้มีพระภาค ทรงทราบพลังแห่งความนึกคิดของข้าพระองค์ ทั้งหลาย แล้วทรงแสดงญาณของพระโพธิสัตว์ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลายไซร้ พระผู้มีพระภาคชื่อว่า ให้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ทำงานสองหน้าที่ คือต่อหน้าพระโพธิสัตว์ ข้าพระองค์ทั้งหลาย เป็นผู้มีฐานะต่ำกว่า แต่ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นผู้สอนพวกเขา ให้เข้าถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐ บัดนี้ พระผู้มีพระภาคทรงทราบพลังแห่งความนึกคิดของข้าพระองค์ทั้งหลายแล้ว ทรงมอบฐานะนี้อีกหรือ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้โดยปริยายว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้เป็นบุตรแห่งพระตถาคต ผู้สิ้นความอยาก ได้รัตนะคือความรู้ทุกอย่างที่ไม่ได้หวังไว้ ที่ไม่ได้แสวงหา ที่ไม่ได้ปรารถนาและไม่ได้คิด โดยพลันนั่นเทียว (จบ.)