Translate

16 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๑ สตูปสันทรรศนปริวรรต ว่าด้วยการสันทัศนาพระสถูป

 
   ได้ยินว่า พระสถูปที่ประดับด้วยรัตนะทั้ง 7 ได้ผุดขึ้นท่ามกลางบริษัท เบื้องหน้าที่พระทับของพระตถาคต สถูปนั้นมีความสูง 500 โยชน์ มีความกว้างพอสมควร ครั้นผุดขึ้นแล้วสถูปนั้นได้ตั้งตระหง่านอยู่ในอากาศ งดงาม น่าดูยิ่งนัก ประดับด้วยแท่นบูชารับดอกไม้ 5,000 แท่น ตกแต่งด้วยซุ้มประตูหลายพันซุ้ม ประดับด้วยธงปฏากและมาลา จำนวนหลายพัน พวงรัตนะ จำนวนหลายพัน ผ้าแพร และระฆังจำนวนหลายพัน กลิ่นหอมของภาชนะผงเจิมและ ไม้จันทน์ ย่อมกระจายทั่วไป โลกธาตุนี้ทั้งปวงถูกปกคลุมด้วยกลิ่นหอมนั้น ฉัตรของสถูปนั้นประดับด้วยรัตนะทั้ง7 คือ ทอง เงิน ไพฑูรย์ ปะการัง มรกต พลอย และเพชร ส่องแสง ประกายไปถึงภพของเทพมหาราชทั้ง 4 ในสถูปที่ผุดขึ้นนั้น เทวบุตรทั้งหลาย ผู้อยู่ในตรัยตรึงค์ ได้สักการะ เคารพบูชา รัตนสถูปนั้น ด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ อันเป็นทิพย์ทั้งหลายจากรัตนสถูปนั้น มีเสียงกล่าวว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ดีละ ธรรมบรรยาย คือ สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ พระองค์ตรัสดีแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ ข้าแต่ พระสุคต ข้อนั้นเป็นอย่างนี้ 
             ได้ยิน ว่าขณะนั้น บริษัททั้ง 4 ที่ได้เห็นรัตนสถูป ที่ปรากฏขึ้นในท้องฟ้าต่างพากันยินดี มีความปีติปราโมทย์ ในเวลาพร้อมๆกันได้พากันลุกจากอาสนะยืนประคองอัญชลีอยู่ 
             ได้ยิน ว่าขณะนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติภาน ได้ทราบว่า ชาวโลกรวมทั้งเทวดา มนุษย์ และอสูร มีความประหลาดใจ จึงได้กราบทูลถามข้อความนั้น กับพระผู้มีพระภาคว่า "อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการเกิดขึ้นในโลก ของมหารัตนสถูปเห็นปานนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ใครเปล่งเสียงเห็นปานนี้ออกมาจากมหารัตนสถูปนี้? 
             เมื่อมีคำทูลถาม อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกระพระโพธิสัตว์พระมหาสัตว์ "มหาประติภาน" นั้นว่า 
             ดูก่อน มหาประติภาน อาตมาภาวะ ซึ่งมีองค์เป็นหนึ่ง ย่อมสถิตอยู่ในมหารัตนสถูปนี้ นี้คือสถูปของพระองค์ พระองค์คือผู้เปล่งเสียง 
             ดูก่อนมหาประติภาน ยังมีโลกธาตุ ชื่อว่า รัตนวิศุทธา มากกว่าพันร้อยหมื่นโกฏิจนไม่สามารถจะนับได้ ในทิศเบื้องล่าง ในที่นั้น มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ประภูตรัตนะ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ได้มีประณิธาน ดังนี้ "เรายังไม่ได้ฟังธรรมบรรยายปุณฑรีกสูตรนี้ อันเป็นวาทะของพระโพธิ์สัตว์ตราบใด เราจะปฏิบัติวัตรของพระโพธิสัตว์ต่อไป จะไม่ก้าวลงสู่อนุตตรอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณตราบนั้น เมื่อใด เราได้ฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อนั้นเราจะเข้าสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในภายหลัง 
             ดูก่อนมหาประติภาน ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ นั้น ได้ตรัสไว้อย่างนี้ แก่ประชาชนและสมณพราหมณ์ของชาวโลก เทวโลก มารโลก รวมทั้งพรหมโลก ในสมัยที่ประนิพพานว่า
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายพึงสร้างมหารัตนสถูปขึ้นองค์หนึ่ง เพื่อบรรจุอาตมภาวะของเรา ผู้เป็นตถาคตที่ประนิพพานแล้ว สถูปอื่นๆ ที่เหลือก็ควรสร้างอุทิศเรา 
             ดูก่อนมหาประติภาน ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประภูตรัตนะนั้น ได้ตั้งจิตอธิษฐานว่า "สถูป อันเป็นที่เก็บอาตมภาวะของเรา พึงผุดขึ้นตั้งตระหง่าน ในโลกธาตุทั้งปวงทั้ง 10 ทิศ ที่มีการประกาศธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ในพุทธเกษตรทั้งมวล ในสถานที่ที่พระผู้มีพระภาค ทั้งหลายเหล่านั้น แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ขอให้สถูปลอยอยู่บน (ตั้งอยู่ใน) ท้องฟ้าเหนือมณฑลบริษัท ขอให้สถูปอันเป็นที่บรรจุอาตมภาวะของเรานี้ พึงให้เสียงสาธุการ แก่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้" 
             ดูก่อนมหาประติภาน นี้คือสถูปนั้น เป็นสถูปบรรจุพระสรีรธาตุของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า ประภูตรัตนะ เมื่อเราแสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรในสหาโลกธาตุนี้อยู่ สถูปก็ได้ผุดขึ้นในท่ามกลางมณฑลของบริษัทตั้งลอยอยู่ท่ามกลางอากาศในท้องฟ้าแล้วเปล่งเสียงสาธุการ 
             ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า มหาประติภาน  ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมเห็นรูปของพระตถาคต เพราะอานุภาพของพระผู้มีพระภาค เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวดังนั้น พระผู้มีพระภาค จึงตรัสกระพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มหาประติภาน ว่า
             "ดูก่อนมหาประติภาน พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะนั้นได้มีประณิธานที่หนักแน่น ประณิธานนั้นของพระองค์ที่ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อใดพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ในพุทธเกษตร พึงแสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อนั้นขอให้สถูปอันบรรจุอาตมภาวะ ของข้าพระองค์นี้ พึงอยู่ในที่ใกล้พระตถาคต เมื่อฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น มีความปรารถนาจะเปิดเผยรูปแห่งอาตมภาวะของตนแก่บริษัท 4 เมื่อนั้น รูปแห่งพระตถาคตทั้งหลาย ที่พระตถาคตเหล่านั้นนิรมิตอาตมภาวะไว้ในพุทธเกษตรอื่นๆ ทั้งสิบทิศ ซึงมีนามต่างกัน ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในพุทธเกษตรเหล่านั้น สถูปอันบรรจุอาตมภาวะของเรานี้ จงรวมรูปเหล่านั้นทั้งหมด กับรูปของพระตถาคตที่นิรมิตขึ้นจากอาตมภาวะแล้ว เปิดเผยให้บริษัท 4 ได้เห็น 
             ดูก่อนมหาประติภาน เราได้นิรมิตรูปของพระตถาคตไว้จำนวนมาก รูปเหล่าใด ย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ใน พันโลกธาตุในพุทธเกษตรทั้งหลายเหล่าอื่นทั้งสิบทิศ ขอให้รูปเหล่านั้นทั้งปวง พึงมารวมกันในที่นี้ 
             ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มหาประติภาน  ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอถวายบังคม อาตมภาวะของพระตถาคต และรูปที่พระตถาคตนิรมิตแล้วทั้งหลายเหล่านั้น ได้ยินว่า ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ทรงเปล่งพระรัศมีออกจากอูณณาโกศ (พระอุษณีย์=อุณาโลม) เมื่อพระรัศมีถูกเปล่งออกโดยรอบ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าที่ประทับอยู่ใน ห้าพันร้อยหมื่นโกฏิแห่งโลกธาตุทั้งหลาย ซึ่งเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ในทิศตะวันออก ก็ปรากฏให้เห็นโดยทั่วกัน พุทธเกษตรเหล่านั้นซึ่งประดับด้วยแก้ว ก็สามารถมองเห็นได้ ความวิจิตรทั้งหลายจักปรากฏด้วยรัตนพฤกษ์ประดับด้วยผ้าไหมแลผ้าแพร พรั่งพร้อมด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อยพระองค์ กั้นด้วยตาข่าย ทองเงินทั้งแปด ซึ่งกางออกเป็นเพดาน
 ในพุทธเกษตรเหล่านั้น ย่อมปรากฏพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า กำลังแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายด้วยพระสุระเสียงอันไพเราะอ่อนหวาน พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น จักปรากฏพรั่งพร้อมไปด้วยพระโพธิสัตว์หลายพันร้อยองค์ ในทิศตะวันออกเฉียงใต้ ในทิศใต้ ในทิศตะวันตกเฉียงใต้ ในทิศตะวันตก ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ในทิศเหนือ ในทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ในทิศเบื้องล่าง และ ในทิศเบื้องบน ในทิศทั้ง 10 โดยรอบ ในแต่ละทิศ มีพุทธเกษตรจำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิเหมือนกับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ใน
โลกธาตุจำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิ เปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาจักปรากฏ ได้ยินว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในสิบทิศ ได้ตรัสกะคณะพระโพธิสัตว์ของตนว่า
 "ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราทั้งหลาย จักต้องกลับไปสู่สหาโลกธาตุอีกอันเป็นที่ใกล้ชิดของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคศากยมุนี เพื่อนมัสการสถูปแห่งพระสรีรธาตุ ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ
พระพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น พร้อมด้วย รูปแห่งตนของพระตถาคต ผู้มีตนเป็นที่สอง มีตนเป็นที่สาม ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุนี้อีก ในสมัยนั้น โลกธาตุนี้ทั้งปวง ประดับด้วยต้นรัตนพฤกษ์ สำเร็จจากแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตาข่ายแห่งรัตนะทั้ง 8 เปล่งประกายด้วยมหารัตนะ และธูปหอม กระจายด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่งเล็กๆที่เชื่อมจุดทั้ง 8 ด้วยสายทองคำ ปราศจากหมู่บ้าน นคร นิคม ชนบท เมือง(ราษฎร) และราชธานี ปราศจากภูเขาที่เกิดตามกาล ปราศจากภูเขามุจลินทรและมหามุจลินทร์ ปราศจากภูเขาในจักรวาลและมหาจักรวาล ปราศจากภูเขาพระสุเมรุ ปราศจากภูเขาอื่นๆ
 นอกจากนั้นยังปราศจากมหาสมุทร ปราศจากนทีและมหานที ได้ตั้งอยู่โดยปราศจากเทพ มนุษย์และอสุรกาย ปราศจากนรก ดิรัจฉานและยมโลก เพราะว่า ในสมัยนั้น สัตว์ทั้งหลาย ผู้เข้าถึงคติ 6 ในสหาโลกธาตุนี้ ถูกย้ายไปในโลกธาตุอื่นทั้งหมด ครั้นดำรงอยู่แล้วจะไปบังเกิดในบริษัทนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้มีอุปัฏฐากเป็นที่สองบ้าง เป็นที่สามบ้าง ได้เสด็จมาสู่สหาโลกธาตุนี้ พระตถาคตเหล่านั้นผู้มาแล้วๆ ได้เข้าสู่สิงหาสน์ประทับที่โคนรัตนพฤกษ์ ต้นรัตนพฤกษ์แต่ละต้นสูง 500 โยชน์ แผ่กว้างด้วยกิ่งก้านไปพอสมควร สะพรั่งด้วย
ดอกและผล สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ แต่ละต้นทราบกันดีว่าสูง 500 โยชน์ ประดับด้วยมหารัตนะ พระตถาคตแต่ละพระองค์ มิใช่น้อยต่างนั่งขัดสมาธิที่รัตนบัลลังก์นั้น พระตถาคตทั้งหลาย ต่างนั่งขัดสมาธิ ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ทั้งปวงในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ (ตรีสหัสรมหาหัสรโลกธาตุ) เหล่านี้ ทั้งปวงโดยปริยายนี้ 
             ได้ยินว่า ในสมัยนั้น โลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ เนื่องแน่นไปด้วยพระตถาคตรูปนิรมิตจากอาตมภาวะ ของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตทั้งปวงยังไม่ได้มาแม้จากทิศาภาคหนึ่ง 
            ได้ยินว่าพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ให้โอกาสแก่รูปพระตถาคตเหล่านั้นผู้มาแล้ว จากทิศทั้งแปดโดยรอบมีพุทธเกษตร 20 พันร้อยหมื่นโกฏิทั้งหมดประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ปกคลุมด้วยตาข่ายรัตนะทั้ง 8 ประดับด้วยตาข่ายกระดิ่ง ดารดาษด้วยดอกมณฑารพน้อยใหญ่ กางด้วยเพดานทิพย์ ห้อยระย้าด้วยพวงดอกไม้ทิพย์ อบอวนด้วยกลิ่นธูปหอมอันเป็นทิพย์ พุทธเกษตร 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิเหล่านั้นทั้งหมดปราศจากหมู่บ้าน ฯลฯ พุทธเกษตรเหล่านั้นทั้งหมดได้สรุปให้เป็นพุทธเกษตรเดียว และเป็นภูมิประเทศเดียวเท่านั้น วิจิตรด้วนต้นรัตนพฤกษ์ทั้ง 7 อันน่ารื่นรมย์ยิ่ง ต้นรัตนพฤกษ์เหล่านั้นแต่ละต้นสูง และกว้าง 500 โยชน์สมบูรณ์ด้วยกิ่งก้าน ดอก และผลพอสมควร เป็นที่ทราบว่า ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์นั้น มีสิงหาสน์สูงและกว้าง 500 โยชน์ ประดับด้วยทิพยรัตนะ อันวิจิตรนาทัศนายิ่ง
 พระตถาคตทั้งหลาย ผู้มาแล้วได้ประทับนั่งขัดสมาธิ ที่สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ เหล่านั้น โดยปริยายนี้ พระตถาคตศากยมุนี ยังประโยชน์แห่งโอกาสให้บริสุทธิ์โดยรวม เพื่อพระตถาคตทั้งหลายผู้มาแล้วในแต่ละทิศ ตลอด 20 พันร้อยหมื่นโกฏิโลกธาตุอื่นๆ อีก ในแต่ละทิศโลกธาตุ 20 พันร้อยหมื่นโกฏิเหล่านั้น ถูกจัดให้ปราศจากหมู่บ้าน ฯลฯ ปราศจากนรก กำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน และยมโลก สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นถูกจัดไว้ในโลกธาตุอื่น พุทธเกษตรทั้งหลายเหล่านั้น ประดับด้วยแก้วไพฑูรย์ ฯลฯ งดงามด้วยรัตนพฤกษ์ ต้นรัตนพฤกษ์เหล่านั้น ทั้งปวงสูงประมาณ 500 โยชน์ สิงหาสน์ที่นิรมิตขึ้นสูงประมาณ 5 โยชน์ ถัดจากนั้นพระตถาคตเจ้าเหล่านั้น ประทับนั่งขัดสมาธิที่สิงหาสน์ ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ทั้งหลายติดต่อกัน(โดยไม่เว้นช่องว่าง) 
             ได้ยินว่า สมัยนั้น ในทิศบูรพา พระตถาคต ที่พระผู้มีพระภาคศากยมุนีนิรมิตขึ้น ได้แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ที่มาจาก 10 ทิศ ในร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรซึ่งเปรียบด้วยเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา พระตถาคตผู้มาแล้ว ได้ประทับนั่งในทิศทั้ง 8 
             ได้ยินว่าในสมัยนั้นในทิศต่างๆ สามสิบพันร้อยหมื่นโกฏิโลกธาตุ เนืองแน่นไปด้วยพระตถาคตโดยรอบ (ทุกด้าน) ทั้ง 8 ทิศ พระตถาคตเหล่านั้นเสด็จไปในที่ประทับของตน ได้ส่งอุปัฏฐากของตนไปสู่ที่ใกล้พระตถาคตศากยมุนี ได้ถวายถุงรัตนบุปผา แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงไปสู่ภูเขาคิชกูฏ ครั้นไปถึงแล้ว จงไหว้พระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถามถึงพลังแห่งอาพาธความเหน็ดเหนื่อย ผัสสะและการเป็นอยู่ ตามคำของเรา พร้อมกับคณะพระโพธิสัตว์และคณะพระสาวก ท่านทั้งหลาย จงกระจายกองรัตนะนี้ จงกล่าวอย่างนี้ว่า 
             ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตย่อมประทาน พอใจในการเปิดมหาสถูปรัตนะนี้ พระตถาคตทั้งหลาย ได้ส่งไปอุปัฏฐากของตน ทั้งปวงไปด้วยประการฉะนี้ 
             ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคต ทรงเห็นพระตถาคตที่พระองค์ทรงนิรมิตขึ้นมา ทุกพระองค์ ทรง เห็นพระตถาคตผู้นั่งในสิงหาสน์ต่อๆกัน ทรงเห็นความพอใจที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ยินดีแล้ว ได้เสด็จลุกจากธรรมมาสนะ แล้วประทับยืนในท่ามกลางอากาศ บริษัท 4 ทั้งปวงเหล่านั้น ลุกจากที่นั่ง ประคองอัญชลี เพ่งมองพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค 
             ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาค ได้เปิดมหารัตนสถูปนั้น ที่ ลอยอยู่ในอากาศด้วยพระองคุลีแห่งพระหัตถ์ข้างขวา ณ จุดกลาง ครั้นเปิด แล้วมหาสถูปแยกออกเป็น 2 ส่วน บานประตูใหญ่ทั้งสอง ที่ประตูของมหานคร ย่อมเปิดออกในเมื่อถอดกลอนฉันใด พระตถาคต ทรงเลือกเปิดมหารัตนสถูป ที่สถิตอยู่ในอากาศ ณ จุดกลางด้วยพระองคุลีแห่งพระหัตถ์ขวาฉันนั้น 
             เมื่อมหารัตนสถูปนั้น เปิดออกโดยรอบ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ ประทับนั่งขัดสมาธิ พระวรกายซูบผอม ซีดขาว ปรากฏราวกับอยู่ในสมาธิ พระองค์ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดีละ ดีละ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี สัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ เป็นธรรมบรรยายที่พระองค์ตรัสดีแล้ว ดีละ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ที่
พระองค์ได้ตรัสธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ ในท่ามกลางบริษัท 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เราเองก็เสด็จมาในที่นี้เพื่อฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้เช่นกัน เมื่อบริษัท 4 เหล่านั้น ได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ผู้ปรินิพพานไปแล้ว หลายพันร้อยหมื่นโกฏิกัลป์ กำลังตรัสอยู่อย่างนั้น ได้ถึงความมหัศจรรย์ใจและประหลาดใจอย่างยิ่ง
 ขณะนั้น (บริษัททั้ง 4 ) ได้โปรยกองรัตนะ อันเป็นทิพย์และของมนุษย์ (เพื่อบูชา) พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ และพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยมุนี ได้ยินว่า ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตรัตนะ ได้ประทานสิงหาสน์ครึ่งหนึ่งบนบังลังก์นั้น แก่พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ศากยมุนี ในระหว่างแห่งมหารัตนสถูปนั้นเอง (พระองค์) ได้ตรัสอย่างนี้ว่า ขอพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคตจงประทับนั่งในที่นี้ ได้ยินว่าขณะนั้นพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตได้ประทับนั่งบนอาสนะครึ่งหนึ่งรวมกับพระตถาคตนั้น
 พระตถาคตทั้งสองพระองค์นั้นได้เสด็จเข้าไปสู่สิงหาสน์ในท่ามกลางมหารัตนสถูปนั้นที่ปรากฏเด่นในฟากฟ้า 
             ได้ยินว่า ครั้งนั้น บริษัททั้ง 4 เหล่านั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า "พวกเราอยู่ห่างไกลจากพระตถาคตทั้งสองนี้ยิ่งนัก อย่าไรหนอ พวกเราพึงได้ขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ด้วยอานุภาพของพระตถาคต 
             ได้ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ทรง
ทราบความปริตกแห่งจิตของบริษัท 4 เหล่านั้นด้วยจิต (ของพระองค์) นั่นเอง จึงยังบริษัท 4 เหล่านั้นให้ดำรงอยู่บนท้องฟ้าด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ 
             ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนีได้ตรัสเรียกบริษัททั้ง 4 เหล่านั้นในเวลานั้นว่า 
             "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บรรดาท่านทั้งหลาย ใครสามารถเพื่อประกาศสัทธรรมปุณฑรีตสูตรบรรยายนี้ ในสหาโลกธาตุนั้นคือ กาลสมัยนั้น ณ เบื้องพระพักตร์ พระตถาคต 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตได้มอบธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ แล้วก็ปรารถนาจะเข้าสู่ปรินิพพาน ได้ยินว่าในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระถาคาเหล่านี้ว่า 
1       มหาฤาษีองค์นี้ แม้ปรินิพพาน แล้วยังเป็นผู้นำ ได้เสด็จมาสู่รัตนสถูป ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ใครละที่ปรารถนาจะฟังธรรมนี้ จะไม่เกิดความกล้าเพราะเหตุแห่งธรรม 
2       พระมหามุนีนั้น แม้ปรินิพพานแล้วหลายโกฏิกัลป์ ยังมาฟังธรรมเห็นปานนี้เป็นเพราะเหตุแห่งธรรม พระองค์จึงได้เสด็จไปในที่นั้นๆ พระธรรมเห็นปานนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่ง 
3       ประณิธานที่ใช้อยู่ของพระผู้นำพระองค์นี้ ซึ่งมีมาแต่ภพก่อนว่า แม้ปรินิพพานแล้วก็จะเที่ยวไปสู่โลกนี้ทั้งปวงทั้ง 10 ทิศ 
4       อาตมภาวะ (ร่างกาย) ของข้าพเจ้าทั้งปวงเหล่านี้ มีจำนวนหลายพันโกฏิดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา อาตมภาวะเหล่านั้น มาในรูปที่สร้างขึ้นของการสร้างพระธรรม เพื่อเฝ้าพระผู้เป็นที่พึ่งนี้ แม้ปรินิพพานแล้ว 
5       เมื่อได้จัด (พุทธ) เกษตรแต่ละแห่งแล้ว ได้จัดเทพทั้งปวงไว้ในระหว่างสาวกพระสาวกทั้งปวงเหล่านั้น เป็นผู้นำทางธรรม ได้ดำรงอยู่สิ้นกาลนาน เพื่อเหตุแห่งการรักษาพระสัทธรรม 
6       พันโกฏิแห่งโลกธาตุจำนวนมาก ที่เราจัดไว้เพื่อให้เป็นที่ประทับนั่งของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น และทำให้สัตว์ทั้งปวงบริสุทธิ์ด้วยอำนาจแห่งฤทธิ์ 
7       ผู้นำทางธรรมที่เป็นเช่นนี้ ที่ได้ประกาศ(ธรรม) เราได้สร้างไว้ดีแล้ว พระพุทธเจ้าเหล่านี้ มีจำนวนประมาณมิได้ ได้ประทับอยู่ที่โคนต้นไม้ราวกับกองดอกบัว 
8       มีกายมิใช่น้อยจำนวนโกฏิ ปรากฏ ณ โคนต้นไม้ เมื่อพระผู้นำประทับนั่งบนสิงหาสน์ งดงามดำรงอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ ด้วยพระอัคนีเทพราวกับว่าจะกำจัดความมืดฉะนั้น 
9       กลิ่นหอมของพระผู้นำแห่งโลก เป็นที่รู้ได้ด้วยใจ ย่อมกระจายไปในทิศทั้ง 10 เมื่อลมพัดพาไป สัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ย่อมลุ่มหลงตลอดกาลเป็นนิตย์ 
10      เมื่อเราปรินิพพานแล้วผู้ใดพึงทรงจำไว้ซึ่งธรรมบรรยายนี้ ผู้นั้นจงเปล่งวาจาต่อเบื้องพระพักตร์พระผู้เป็นที่พึ่งของชาวโลกโดยเร็ว 
11      พระพุทธเจ้าประภูตร้ตนมุนี แม้ปรินิพพานแล้ว ยังกระทำความพยายามในการฟังสิงหนาทของพระองค์ 
12      พระผู้นำจำนวนมากหลายโกฏิ ได้มาที่นี้ เราเป็นที่สอง จำพยายามฟังพระชินบุตร ผู้อดทน เพื่อประกาศพระธรรมนี้ 
13      เพราะเหตุนั้น เราและพระประภูติรัตนชินสวยัมภู จึงได้รับการบูชาในกาลทุกเมื่อ ผู้เสด็จไปสู่ทิศน้อยใหญ่เป็นนิตย์เพื่อฟังธรรมที่มีลักษณะอย่างนี้ 
14      พระโลกนาถเหล่านี้ ผู้เสด็จมาแล้ว ผู้ทำให้แผ่นดินนี้วิจิตร งดงาม การบูชาอันไพบูลย์ มิใช่น้อย พึงกระทำแก่พระโลกนาถเหล่านั้น ด้วยการประกาศพระสูตร(นี้) 
15      เราปรากฏบนอาสนะนี้และพระผู้มีพระภาคที่ประทับอยู่ในท่ามกลางสถูปและพระโลกนาถจำนวนมากเหล่าอื่น ผู้มาแล้วจากร้อย (พุทธ) เกษตรมิใช่น้อย 
16      โอ ดูก่อนกุลบุตร ท่านทั้งหลายจงตั้งใจ ด้วยความเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง พระผู้นำทั้งหลาย ได้อดทนต่อสถานะนี้ที่ทำได้ยากยิ่ง 
17      บางคนพึงประกาศพระสูตรจำนวนมากหลายพัน เทียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ข้อนั้นไม่ชื่อว่ากระทำได้ยาก 
18      บุคคลใดได้รวบเขาพระสุเมรุไว้ด้วยกำมือแล้วขวางไปสิ้นโกฏิ (พุทธ) เกษตรนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก 
19      บุคคลใดพึงยังโลกนี้ใสให้หวั่นไหวด้วยหัวแม่เท้า แล้วพึงทิ้งไปสิ้นหลายโกฏิพุทธเกษตร ข้อนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้ยาก 
20      บางคนในโลกนี้ได้ยืนอยู่ที่ปลายโลกแล้วพึงฟังธรรม สิ้นพระสูตรอื่นๆ จำนวนหลายพัน ข้อนั้นก็ยังไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก 
21      เมื่อผู้เป็นใหญ่ในโลกปรินิพพานแล้ว ผู้ใดพึงทรงจำไว้และกล่าวพระสูตรนี้ ในกาลภายหลังที่น่ากลัวยิ่ง ข้อนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง 
22      ส่วนบุคคลใดได้วางอากาศธาตุทั้งปวงไว้ในกำมือหนึ่ง แล้วโยนทั้งไป ข้อนั้นก็ไม่ชื่อว่าทำได้ยากยิ่ง 
23      ส่วนบุคคลใด พึงคิดคัดลอกพระสูตรนี้ ในกาลภายหลัง เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ข้อนี้ชื่อว่าเป็นสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง 
24      บุคคลใดพึงยังปฐวีธาตุทั้งปวงให้เข้าไปสู่ปลายเล็บแล้วสลัดทั้งขึ้นไปถึงพรหมโลก 
25      เพราะว่า บุคคลนั้นไม่พึงกระทำสิ่งที่ทำได้ยาก และไม่พึงกระทำความกังวลแห่งความเพียร เมื่อกระทำสิ่งที่ทำได้ยากนั้น จากที่สุดของโลกทั้งปวง 
26      ต่อจากนี้ เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ผู้ใดพึงกล่าวพระสูตรนี้ ในกาลภายหลังแม้เพียงครู่หนึ่ง ข้อนี้ชื่อว่ากระทำได้ยากยิ่ง 
27      บุคคลใดพึงเข้าไปในท่ามกลางไฟบรรลัยกัลป์ในโลก และพึงนำภาระแห่งหญ้าที่ไฟกำลังเผาไหม้อยู่ออกไป สิ่งนี้ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก 
28      ต่อจากนี้ไป เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ผู้รักษา (ทรงไว้) และยังสัตว์ผู้หนึ่งให้ฟังพระสูตรนี้ ย่อมเป็นสิ่งที่ทำได้ยากกว่า 
29      บุคคลพึงทรงจำพระธรรมสิ้น 84,000 ธรรมขันธ์ เขาพึงแสดงธรรม ที่ได้รับการแนะนำแล้ว แห่สัตว์จำนวนหลายโกฏิ 
30      เพราะว่า สิ่งนี้ไม่ชื่อว่าทำได้โดยยาก คือ พึงแนะนำความเจริญแก่ภิกษุทั้งหลาย ในกาลนั้น และพึงยังสาวกของเราทั้งหลาย ให้ตั้งอยู่ในอภิญญา 5 
31     สิ่งนี้ชื่อว่ากระทำได้ยากกว่า คือบุคคลพึงทรงจำพระสูตรนี้ พึงเชื่อ พึงหลุดพ้น และพึงกล่าวพระสูตรนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า 
32      ผู้ใดยังสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากหลายพันโกฏิ ดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ผู้ได้อภิญญา 6 เป็นมหัพภาค ให้ดำรงอยู่ในความเป็นพระอรหันต์ 
33      บุคคลผู้ประเสริฐนั้นชื่อว่าย่อมกระทำหรรมมากกว่านี้ เมื่อได้ทรงจำพระสูตรอันประเสริฐของเรา ผู้ปรินิพพานแล้ว 
34     ธรรมจำนวนมาก ที่เราได้กล่าวแล้วในหลายพันโลกธาตุ แม้ในวันนี้ เราจะกล่าวจากเหตุแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า 
35     พระสูตรที่ใครๆ ก็กล่าวว่าเป็นยอดของพระสูตรทั้งปวง ผู้ใดย่อมทรงจำไว้ซึ่งพระสูตรนี้ ผู้นั้นชื่อรักษาพระสรีระของพระชินเจ้าด้วย 
36     โอ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงกล่าวเฉพาะพระพักตร์พระตถาคตของท่านเถิด บางคนจะพยายามทรงจำเพียงเล็กน้อยในภายหลัง 
37      ผู้ใดทรงจำพระสูตรนี้ ที่จำได้ยาก แม่เพียงครู่หนึ่ง พระโลกนาถทั้งปวงก็จะมีความปีติยินดีอย่างใหญ่หลวง 
38      พระโลกนาถทั้งหลายย่อมสรรเสริญบุคคลนั้น ในกาลทุกเมื่อ เขาเป็นผู้กล้าที่หยิ่งผยอง เป็นผู้ได้อภิญญาเพื่อพระโพธิญาณโดยเร็ว 
39      บุคคลนั้น เป็นผู้นำภาระโอรสของพระโลกนาถ เป็นผู้ถึงภูมิแห่งทาน ย่อมรักษาไว้ซึ่งพระสูตรนี้ 
40      เมื่อพระผู้นำแห่งนรชน ปรินิพพานแล้ว เขาผู้ประกาศพระสูตรนี้ จักเป็นจักษุของโลกพร้อมทั้งเทวดาและมนุษย์ 
41      บุคคลใดพึงกล่าวพระสูตรนี้แม้ชั่วครู่หนึ่ง ในกาลภายหลัง บุคคลนั้นชื่อว่าเป็นบัณฑิต เป็นผู้ที่สัตว์ทั้งปวงควรไหว้ 
 ได้ยินว่าครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคณะของพระโพธิสัตว์ ชาวโลกรวมทั้งเทพและอสูรทั้งปวงว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในกาลก่อนซึ่งเป็นกาลเวลาแห่งอดีต เราได้แสวง สัทธรรมปุณฑรีกสูตร สิ้นกัลป์ที่ไม่สามารถประมาณนับได้ โดยเป็นผู้ไม่หวั่นไหวและไม่เหน็ดเหนื่อย ในกาลก่อน เราได้เป็นพระราชา สิ้นกัลป์มิใช่น้อย สิ้นร้อยพันกัลป์มิใช่น้อย ได้ตั้งประณิธานไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ความประพฤติของเรา ไม่เปลี่ยนไปจากความหวังที่คิดไว้ เราได้พยายามด้วยการยังบารมี 6 ให้สมบูรณ์ เป็นผู้ให้ทานอันประมาณมิได้ ได้บริจาค
ทองมณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ แก้วประพาฬ เงิน ทอง มรกต ปะการัง พลอย หมู่บ้าน เมือง นิคม ชนบท ราษฎร ราชธานี ภรรยา บุตร ธิดา ทาสี ทาสา กรรมกร บุรุษ ช้าง ม้า รถ ได้สละสรีระของตน ได้สละแขน ขา อวัยวยะเบื้องสูง หรือศีรษะ องค์แห่งอินทรีย์ (อวัยวะเครื่องสัมผัส =ตา หู จมูก ฯลฯ) และชีวิต จิตแห่งการยึดมั่น แม้ครั้งหนึ่ง ก็ไม่เกิดขึ้นแก่เรา 
 ก็โดยสมัยนั้น โลกนี้ยังมีอายุยืนยาว ก็เราได้สร้างราชสมบัติตามความถูกต้องแห่งธรรม ตามกาล มิใช่ตามความถูกต้องตามวิสัย ด้วยชีวิตหลายร้อยพันปี เรานั้นได้อภิเกผู้พี่ไว้ ในราชสมบัติแล้ว ก็พยายามแสวงหาพระธรรมอันประเสริฐทั้ง 4 ทิศ คำอย่างนี้ ได้ให้ประกาศแล้วด้วย (การตี) ระฆังว่า ผู้ใดจักให้ธรรมอันประเสริฐแก่เรา หรือจักบอกสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤาษีตนหนึ่ง ท่านได้กล่าวคำนี้แก่เราว่า
 "ข้าแต่มหาราชมีพระสูตรหนึ่ง ชื่อว่า สัทธรรมปุณฑรีกสูตร เป็นสูตรที่แสดงถึงธรรมอันประเสริฐยิ่ง ถ้าท่านจักเข้าถึงความเป็นทาส (ของข้าพเจ้า) ข้าพเจ้าจักให้ท่านได้ฟังพระธรรมนั้น ข้าพเจ้าครั้นได้ฟังแล้ว เกิดความพอใจยินดีถ้อยคำของฤาษีนั้น มีใจเป็นของตน เกิดปีติโสมนัสอย่างสูง ได้เข้าไปถึงที่อาศัยของฤาษีนั้น ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวว่า งานใดอันทาสพึงกระทำแก่ท่าน ข้าพเจ้าจักกระทำงานนั้น เรานั้น ครั้นเข้าถึงความเป็นทาสของฤาษีนั้นแล้ว ได้กระทำงานคนรับใช้ เช่น การหาหญ้า ไม้ น้ำ ผักกาด และผลไม้เป็นต้น และเราได้เป็นผู้รักษาประตูด้วย ครั้นเราทำงานต่างๆ ในเวลากลางวัน กลางคืนได้ประคองเท้าของท่านผู้นอนอยู่บนเตียงความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่ได้มีแก่เรา งานอย่างนี้ที่เรากระทำอยู่ถึงพันปีบริบูรณ์ 
           ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาค เพื่อขยายข้อความนี้ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
42      เราได้ระลึกถึงอดีตกาลล่วงมาแล้วหลายกัลป์ เมื่อครั้งเรายังเป็นธรรมราชา ผู้ประกอบด้วยธรรม เราได้ครองราชสมบัติ เพราะเหตุแห่งธรรม มิใช่เพราะเหตุแห่งความปรารถนา เพราะเหตุแห่งธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุด 
43     เรากระทำการโฆษณานี้ไปสู่ทิศทั้ง 4 ว่าผู้ใดพึงบอกธรรม แก่เรา เราจะยอมเป็นทาสของผู้นั้น โดยกาลนั้น ได้มีฤษีองค์หนึ่ง ผู้เป็นปราชญ์ ได้บอกชื่อพระสูตรว่า สัทธรรม (ปุณฑรีกะ) 
44      ท่าน (ฤาษี) ได้บอกแก่เราว่า "ท่านมีความปรารถนาพระธรรม ท่านจงยอมเป็นทาส(ของข้าพเจ้าก่อน) ต่อจากนั้น ข้าพระเจ้าจะบอกธรรมแก่ท่าน 
45      ความเหน็ดเหนื่อยทางกายและจิตไม่เป็นอุปสรรคแก่เรา ผู้ยอมเป็นทาสเพราะเหตุแห่งพระสัทธรรม เราอุทิศตนปฏิบัติ มิใช่เพราะเหตุแห่งความเป็นสัตว์ และมิใช่เพราะเหตุแห่งความใคร่ 
46      พระราชานั้น ได้ประกอบความเพียรแล้ว กรรมอย่างอื่นไม่มีในทิศทั้ง 10 พระองค์มีความทุกข์ สิ้นพันกัลป์เต็มบริบูรณ์ จึงได้รับพระสูตรที่ชื่อว่า "สัทธรรม(ปุณฑรีกะ) 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ข้อนั้นเป็นไฉน พระราชาในกาลนั้น คือพระราชาอื่นหรือ?  ท่านทั้งหลาย ไม่ควรมีความเห็นอย่างนี้ เพราะเหตุไร?  เพราะว่าเราคือพระราชาในสมัยนั้น 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า ฤาษีในสมัยนั้นคือบุคคลอื่นหรือได้ยินว่าท่านทั้งหลายไม่ควรเป็นอย่างนี้ เพราะว่า ฤาษีในสมัยนั้น ก็คือภิกษุเทวทัตนี้เอง 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า พระเทวทัตคือกัลยาณมิตรของเรา บารมี 6 ประการ ที่เราได้สมบูรณ์ได้ก็เพราะอาศัยพระเทวทัต รวามทั้งมหาไมตรี มหากรุณา มหามุฑิตา และมหาอุเบกขา มหาบุรุษลักษณะ 32 ประการอนุพยัญชนะ 80 ผิวสีทอง พละ 10 อภิญญา 4(ไวศารทฺย=ปัญญา) สังคหวัตถุ 4 พุทธธรรมของผู้เกล้าผม (ชฎิล) ทั้ง18 กำลังของมหาอิทธิฤทธิ์ การปกป้องสัตว์ในทิศทั้ง 10 ทั้งหมดนี้ ย่อมมีแก่เรา เมื่อคบกับพระเทวทัต 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราจะบอกกล่าวแก่ท่านว่า ในอนาคต โดยกัลป์อันประมาณมิได้ นับมิได้ภิกษุเทวทัตนี้ จักได้เป็นตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า เทวราช ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ที่ไม่มีผู้เปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรมใน เทวโสปานโลกธาตุ 
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า อายุของพระเทวราชตถาคต มีประมาณ 20 กัลป์ พระองค์จักได้แสดงธรรมโดยพิสดาร สัตว์ทั้งหลายมีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ด้วยการละกิเลสทั้งปวง ณ เบื้องพระพักตร์ สัตว์มิใช่น้อย จักยกจิตขึ้นสู่ปัจเจกโพธิญาณ สัตว์ทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักยกจิตขึ้นสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จึงถึงความอดทนที่ไม่เปลี่ยนแปลง
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อพระตถาคตเทวราชปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมจักตั้งอยู่สิ้น 20 กัลป์ แต่สรีระของพระองค์ จักไม่สลายตามการแตกสลายของพระธาตุ แต่พระสรีระของพระองค์จะรวมเป็นกลุ่มเดียว เข้าไปสู่สัตตรัตนสถูป สถูปนั้นสูง 6 พันโยชน์ กว้าง 40 โยชน์ เทวดาและมนุษย์ทั้งปวงในที่นั้น จักทำการบูชาด้วย ดอกไม้ ธูป มาลัยหอม แป้ง(ผงลูบไล้) จีวร(ผ้า) ฉัตร ธงแถบ ธงปฏาก และคาถาทั้งหลายพวกเขา (เทวดาแลมนุษย์) จักอยู่บูชาด้วยวัตถุเหล่านั้น ส่วนชนเหล่าใด กระทำการนอบน้อมประทักษิณสถูปนั้น บางพวกจำสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ซึ่งเป็นผลสูงสุดของการสักการะนั้น บางพวกจักเข้าใกล้พระปัจเจกโพธิญาณ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่คำนวณไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักยกจิตขึ้นสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ จักเป็นผู้ไม่หวนกลับมาอีก 
 ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับภิกษุสงฆ์อีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลายในอนาคตกาล กุลบุตรหรือกุลธิดาบางคน 
จำได้ฟังความเป็นไปของสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ครั้นฟังแล้ว จักไม่สงสัย ไม่ลังเลใจ เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ย่อมหลุดพ้น ประตูแห่งทุคติทั้งสามจะถูกปิด เขาจะไม่ไปเกิดในนรก กำเนิดสัตว์เดรัจฉาน และยมโลก เขาผู้บังเกิดในพุทธเกษตรทั้ง 10 ทิศ จักได้ยินพระสูตรนี้ ทุกชาติ การถึงฐานะ อันประเสริฐ จักมีแก่เขา ผู้เกิดในโลกของเทวดาและมนุษย์ เมื่อเกิดในพุทธเกษตรใด เขาจักเกิดในสัตตรัตนปัทมะ ที่เกิดขึ้นเองในพุทธเกษตรนั้น เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต 
             ได้ยินว่า เวลานั้น พระโพธิสัตว์นามว่า ปรัชญากูฎะ ได้มาจากทิศเบื้องล่างพุทธเกษตรของ พระประภูติรัตนตถาคต พระองค์ได้กราบทูลพระประภูตรัตนตถาคตอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอให้พวกเราทั้งหลาย จงไปสู่พุทธเกษตรของตน
             ได้ยินว่า ครั้นนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ได้ตรัสกับปรัชญากูฏโพธิสัตว์ว่า 
             ดูก่อนกุลบุตร ท่านจงรอครู่หนึ่งขอให้ท่านกับพระโพธิสัตว์มัญชุศรีกุมารภูตะ ร่วมกันวิจฉัยธรรมบางอย่างก่อน แล้วค่อยไปสู่พุทธเกษตรของตน ในภายหลัง 
             ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จขึ้นจากท่ามกลางของสมุทร อันเป็นที่ประทับของพระสาครนาคราช ได้ประทับนั่งบนดอกบัวที่มี 1,000 กลีบ มีขนาดเท่าล้อเกวียน แวดล้อมด้วยพระโพธิสัตว์มากมาย เหาะขึ้นไปทางอากาศไปสู่ที่ใกล้พระผู้มีพระภาค มีภูเขาคิชฌกูฏ 
             ครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้เสด็จลงจากดอกบัวถวายบังคมพระผู้มีพระภาคศากยมุนี และพระประภูตรัตนตถาคต ด้วยเศียรเกล้าแล้วเข้าไปหาพระโพธิสัตว์ ปรัชญาภูฏะ ครั้นเข้าไปแล้ว ได้กล่าวคาถาต่างๆ อันน่ายินดี น่าประทับใจ ณ เบื้องพระพักตร์พระโพธิสัตว์ปรัชญาภูฏะ แล้วจึงประทับนั่งที่ส่วนข้างหนึ่ง 
             ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์ ได้ตรัสกะพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า "ข้าแต่พระมัญชุศรี ธาตุแห่งสัตว์เท่าใด ที่ท่านผู้ไปสู่ท่ามกลางมหาสมุทรได้แนะนำแล้ว สัตว์ทั้งหลายประมาณมิได้ นับมิได้ คือไม่อาจให้รู้ได้ด้วยวาจา และไม่อาจให้หยั่งรู้ได้ด้วยจิต
 ดูก่อนกุลบุตร ท่านจงรอครู่หนึ่ง ท่านจักได้นิมิตในกาลก่อน ในระหว่างที่ พระมัญชุศรีกุมารภูตะตรัสอย่างนี้ ในเวลานั้นดอกบัวหลายพันดอก ได้ผุดจากท่ามกลางมหาสมุทรขึ้นสู่ท้องฟ้า พระโพธิสัตว์หลายพันพระองค์ ได้ประทับนั่งบนดอกบัวเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้เสด็จไปสู่ภูเขาศิชฌกูฏ ทางอากาศ ครั้นขึ้นไปแล้ว ได้ประทับยืนปรากฏอยู่บนอากาศ พระโพธิสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นเป็นผู้ที่พระมัญชุศรี อบรมให้ตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระโพธิสัตว์เหล่าใด ดำรงอยู่ในมหายานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้นจักสรรเสริญคุณของมหายานและบารมี 6 พระโพธิสัตว์เหล่าใด เป็นสาวกยานมาก่อน พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จักสรรเสริญคุณของสาวกยาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหมด ย่อมรู้ธรรมและคุณทั้งปวงของมหายานว่าเป็น ศูนยตา
             ได้ยินว่าครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะ ได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์ปรัชญากูฏะว่า 
             ดูก่อนกุลบุตร การอบรมสัตว์ทั้งปวงนี้ อันเราได้กระทำแล้ว ชณะที่อยู่ในท่ามกลางมหาสมุทร ก็การอบรมนั้นยังปรากฏอยู่ 
             ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ปรัชญกูฏะได้ทูลถามพระมัญชุศรีกุมารภูตะ ด้วยเพลงขับเป็นคาถาว่า 
47      ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ พระองค์ได้ชื่อว่าบัณฑิต เพราะปัญญาที่ใช้อบรมสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ซึ่งมีจำนวนนับไม่ได้ สิ่งนี้เป็นอานุภาพของใคร ข้าแต่ผู้เป็นเทพแห่งนรชน พระองค์อันข้าพระองค์ทูลถามแล้ว ขอจงตรัสบอกเหตุนั้นเถิด 
48     ท่านได้แสดงธรรมหรือสูตรใด ที่ชี้ทางแห่งโพธิญาณ แก่สัตว์เหล่านี้ ที่ได้ฟังแล้ว มีจิตน้อมไปเพื่อโพธิญาณ จนได้ฐานะที่มั่นคงในพระสัพพัญญุตญาณ  พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า เราได้กล่าวสัทธีรรมปุณฑรีกสูตรในท่ามกลางมหาสมุทรเราไม่ได้กล่าวถึงสูตรอื่นใด พระปรัชญากูฎะตรัสว่า "พระสูตรนี้ลึกซึ้ง ละเอียด พิจารณาเห็นได้โดยยาก พระสูตรอื่นใด ที่จะเสมอด้วยพระสูตรนี้ย่อมไม่มี มีสัตว์ผู้ใดบ้างละ ที่สามารถเข้าใจรัตนสูตรนี้เพื่อตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 พระมัญชุศรีตรัสตอบว่า ดูก่อนกุลบุตร มีพระธิดาของสาครนาคราช ซึ่งมีพระชนมายุ 8 ปี มีปัญญามาก มีอินทรีย์แก่กล้า สมบูรณ์ด้วย กาย วาจา ใจ ที่ได้ฌานมาก่อน เป็นผู้ได้รับธารณี (มนตร์) ด้วยการเรียนทั้งพยัญชนะและอรรถ ที่พระตถาคตทั้งปวงตรัสแล้ว เป็นผู้สามารถเข้าสรรพธรรมสัตวสมาธานสมาธิได้จำนวนพัน เพียงครู่เดียว เป็นผู้น้อมจิตไปสู่โพธิญาณ มีปณิธานอันยิ่งใหญ่ เป็นผู้แทน ความรักของตนให้แก่สัตว์ทั้งปวง เป็นผู้สมควรในการยังคุณธรรมให้เกิดขึ้น พระธิดาย่อมไม่เสื่อมจากคุณธรรมเหล่านั้น พระธิดามีพระพักตร์เบิกบาน ประดับดอกไม้ ลดา สีสวยงามยิ่งเป็นผู้มีจิตเมตตา ทรงกล่าวด้วยวาจา ที่ประกอบด้วยความกรุณา พระธิดาสมควรบรรลุพระโพธิญาณ 
 พระโพธิสัตว์ปรัชญากูฎะตรัสว่า "เราได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนีผู้พยายามอยู่เพื่อพระโพธิญาณ ได้กระทำบุญมิใช่น้อย จนได้เป็นพระโพธิสัตว์ ความเพียรแม้เล็กน้อยก็มิได้ตกหล่น ตลอดหลายพันโกฏิ แผ่นดินและประเทศ แม้ประมาณเมล็ดงาสรรษปะหนึ่ง ย่อมไม่มีในโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ ที่พระองค์มิได้สละพระสรีระ เพื่อเกื้อกูลแก่สัตว์ภายหลัง เมื่อพระองค์ทรงบรรลุโพธิญาณแล้ว ใครเล่าพึงเชื่อว่าเธอ (ผู้มีทุกข์) จะสามารถบรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ ในครู่เดียว 
             ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระธิดาของสาครนาคราช ประทับยืนอยู่ข้างหน้า ได้อภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้วประทับยืนอยู่ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง เวลานั้น พระธิดาทรงกล่าวคาถานี้ว่า 
49      พระสรีระ (ของพระองค์) บริสุทธิ์ ลึกซึ้ง ละเอียดอ่อน ประกอบด้วยลักษณะ32 ประการ เลื่องลือไปทั่วทุกทิศ 
50      (สรีระของพระองค์) ประกอบด้วยอนุพยัญชนะที่สมบูรณ์ของความเป็นสัตว์ทั้งปวง จึงเป็นที่สรรเสริญของสัตว์ทั้งปวง ราวกับว่าเป็นตลาดเสื้อผ้า 
51      โพธิญาณของข้าพเจ้าได้มาด้วยความปรารถนา ข้อนี้พระตถาคตเป็นพยานของข้าพเจ้าได้ ข้าพเจ้าจักแสดงธรรมที่ปลดเปลื้องความทุกข์ให้พิสดารได้ 
 ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระศาริบุตร ผู้มีอายุ ได้กล่าวกับธิดาของพระสาครนาคราชว่า ดูก่อนกุลบุตรี ความคิดในพระโพธิญาณเพียงอย่างเดียวเกิดขึ้นแล้ว (แก่ท่าน) ท่านเป็นผู้มีปัญญาอันประมาณไม่ได้ โดยไม่เสื่อม แต่ความเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น เป็นสิ่งที่ได้โดยยากยิ่ง แต่กุลสตรี ที่ไม่ยอมให้ความเพียรเสื่อมถอย ได้กระทำบุญสิ้นหลายร้อยกัลป์ และหลายพันกัลป์ ได้สร้างบารมี 6 ให้สมบูรณ์ แต่เธอก็ไม่บรรลุพุทธภาวะ แม้ในวันนี้ เพราะอะไร เพราะสตรีย่อมไม่ถึงสถานะ5 แม้ในวันนี้ สถานะ 5 คืออะไรบ้าง? คือ ที่ 1 สถานะของพรหม ที่2 สถานะของท้าวสักกะ  ที่3 สถานะของมหาราช  ที่4 สถานะของพระเจ้าจักรพรรดิ และที่5 สถานะของพระโพธิสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง 
 ได้ยินว่า เวลานั้น พระธิดาของสาครนาคราช มีแก้วมณีดวงหนึ่ง มีค่าควรแก่หลายพันโลกธาตุ พระธิดาสาครนาคราช ได้ถวายแก้วมณีนั้น แด่พระผู้มีพระภาค เพื่อความอนุเคราะห์ พระผู้มีพระภาคทรงรับแก้วมณีนั้นไว้ พระธิดาสาครนาคราช จึงทรงกล่าวคำนี้กันพระปรัชญากูฏะโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระว่า
             "ข้าพเจ้าได้ถวายแก้วมณีนี้ พระผู้มีพระภาคและพระผู้มีพระภาค ทรงรับแก้วมณีนั้นโดยเร็วมิใช่หรือ? 
             พระเถระกล่าวว่า เมื่อท่านถวายโดยพลัน พระผู้มีพระภาค ก็รับโดยพลัน พระธิดาสาครนาคราชจึงตรัสว่า ข้าแต่พระศาริบุตร ผู้เจริญถ้าข้าพเจ้า มีฤทธิ์มาก ข้าพเจ้าพึงตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณได้เร็วกว่า ผู้รับแก้วมณีก็จะไม่มี  ในเวลานั้น อินทรีย์แห่งสตรีนั้น ก็อันตรายไปต่อหน้าชาวโลกทั้งปวง และต่อหน้าพระศารีบุตรเถระ อินทรีย์แห่งบุรุษ ก็ปรากฏขึ้น พระธิดาของสาครนาคราช ได้แสดงตนเป็นพระโพธิสัตว์ ในเวลานั้น (พระนาง) ได้เสด็จไปสู่ทิศใต้ 
 ครั้งนั้น ในทิศใต้ มีโลกธาตุ ชื่อว่า วิมล (พระนาง) ได้แสดงตนเป็นองค์พุทธะ ประทับนั่งที่โคนสัตวตรัตนโพธิพฤกษ์ ทรงไว้ซึ่งลักษณะ 32 ประการ ผู้มีรูปประกอบด้วยอนุพยัญชนะทั้งปวง ผู้กำลังแสดงธรรมให้กระจายไปสู่ทิศทั้ง 10 ด้วยพระรัศมี สัตว์เหล่าใด ที่มีอยู่ในสหาโลกเหล่านั้น ย่อมมองเห็นพระตถาคตส่วนเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มนุษย์และอมนุษย์ทั้งหลาย ได้ถวายสักการะบูชาพระองค์ ผู้กำลังแสดงธรรมอยู่ สัตว์เหล่าใด ได้ฟังธรรมของพระตถาคต สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นผู้ไม่เปลี่ยนแปลงในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ วิมลโลกธาตุและสหาโลกธาตุนี้ ได้สั่วไหวเป็น 6 จังหวะ สัตว์ทั้งหลายประมาณสามพันคนในมณฑลบริษัทของพระผู้มีพระภาคศากยมุนี ได้รับขันติธรรมโดยทั่วกัน หมู่สัตว์อีกสามพันคน ได้การพยากรณ์ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
             ครั้งนั้น พระปรัชญากูฏโพธิสัตว์และพระศาริบุตรเถระได้เป็นผู้สงบแล้ว 
 บทที่11 สตูปสันทรรศนปริวรรต ว่าด้วยการทัศนาพระสถูป ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๐ ธรรมภาณกปริวรรต ว่าด้วยผู้สอนธรรม

 
   "ดูก่อนไภษัชยราช 
ในบริษัทนี้ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสกับพระโพธิสัตว์ 8 หมื่นองค์ โดยปรารภพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไภษัชยราชว่า "ดูก่อนไภษัชยราช ในบริษัทท่านจงมองดู เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรค มนุษย์ อมนุษย์ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้เป็นสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยาน จำนวนมาก 
ใครเล่า ได้ฟังคำบรรยายนี้ ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต (พระไภษัชยราชโพธิสัตว์) กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ย่อมเห็น ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ย่อมเห็น
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า "ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งปวง ที่อยู่ในบริษัทนี้ มีใครบ้าง ที่เคยสดับแม้คาถาหนึ่ง บทหนึ่ง หรือแม้ผู้ที่เคยอยู่มาก่อน ใครบ้างที่ได้สดับพระสูตรนี้แล้วยังจิตดวงหนึ่ง ให้เกิดขึ้นด้วยความยินดี 
             ดูก่อนไภษัชยราย เราจักกระทำบริษัท 4 เหล่านี้ทั้งหมด ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เขาทั้งหลายบางพวก จักได้สดับการบรรยายธรรมเช่นนี้ ของบพระตถาคต ผู้เสด็จปรินิพพานไปแล้ว แม้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวแล้วยินดี ด้วยจิตที่เกิดขึ้นแม้เพียงครั้งเดียว 
             ดูก่อนไภษัชยราช เราจักกระทำชนเหล่านั้น ผู้เป็นกุลบุตร กุลธิดาไว้ในสัมมาสัมโพธิญาณ
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาเหล่านั้น จักได้เป็นผู้บูชาพระพุทธเจ้า จำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิอย่างสมบูรณ์ 
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งหลายเหล่านั้น จักตั้งประณิธานต่อพระพุทธเจ้าจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ
  เพราะความอนุเคราะห์ต่อสัตว์ทั้งหลายพึงทราบเถอะว่า เข้าเหล่านั้นจะเกิดเป็นมนุษย์ในชมพูทวีปอีก ถ้าเขาได้ทรงจำ ท่อง เผยแพร่รวบรวม และจารึกไว้แม้เพียงคาถาเดียว จากธรรมบรรยายนี้ ครั้นจารึกแล้วจะระลึกถึงและพิจารณาตามกาลเวลา  เขาทั้งหลาย จักยังความเคารพในพระตถาคตให้เกิดขึ้น จักสักการะด้วยความเคารพในพระศาสดา และจักทำความเคารพนับถือบูชาในคัมภีร์เล่มนี้ เขาเหล่านั้นจักบูชาคัมภีร์นั้นด้วยดอกไม้ ธูป พวงมาลัย ผงลูบไล้ จีวร ฉัตร และธงปฏาก เป็นต้น และด้วยกรรมคือการกราบไหว้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาเหล่าใด จักทรงจำหรือยินดีแม้เพียงคาถาเดียว จากธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เราจักกระทำซึ่งกุลบุตรเหล่านั้นทั้งหมด ให้ดำรงอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
             ดูก่อนไภษัชยราช หากบุรุษหรือสตรีคนใดก็ตามพึงกล่าวว่า "สัตว์ทั้งหลายผู้เป็นเช่นไร จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต 
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดา ที่บุรุษหรือสตรีนั้น พึงดูเป็นตัวอย่างคือ บุคคลใดทรงจำ สวด สอนซึ่งคาถาที่มีเพียง 4 บาท จากธรรมบรรยายนี้ ผู้นั้นเป็นผู้เคารพในคำบรรยายนี้ กุลบุตรหรือกุลธิดานี้นั้นจักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในอนาคต ท่านจงดูเถิด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร 
            ดูก่อน ไภษัชยราช เพราะกุลบุตรหรือกุลธิดานั้น อันชาวโลกรวมทั้งเทวโลกพึงทราบว่า คือพระตถาคต บุคคลพึงสักการะต่อพระตถาคตด้วยประการฉะนี้ 
 สาวกใดพึงจดจำ แม้เพียงคาถาเดียวจากธรรมบรรยายนี้ ยิ่งกว่านั้น พระสาวกพึงรวบรวม จดจำ ท่อง เผยแพร่ ประกาศ จารึก ให้จารึกซึ่งธรรมบรรยายนี้ ที่เข้าใจแล้วทั้งหมด(ที่บรรลุแล้วทั้งหมด) ครั้นจารึกแล้วพึงพิจารณาอยู่เสมอ เขาพึงทำความเคารพ สักการะ นับถือ บูชา นอบน้อมในพระสูตรนั้น ด้วยการสักการะ ด้วยดอกไม้ ธูป คันธมาลา ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก เครื่องดนตรี และนอบน้อมด้วยการอัญชลี 
 ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาเช่นนี้พึงทราบว่า เป็นผู้สมบูรณ์(ถึงพร้อม) ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และถึงทราบว่า เป็นผู้พบเห็นพระตถาคคต เขาเป็นผู้อนุเคราะห์ประโยชน์แก่ชาวโลก จึงเกิดในชมพูทวีปนี้ ด้วยอำนาจของประณิธานนั้น เพื่อประกาศธรรมบรรยายนี้ แก่มนุษย์ทั้งหลาย บุคคลใด ยังมีความเอื้อเฟื้อของตน ความเอื้อเฟื้อในการสักการะ ต่อพระธรรมและการเข้าถึงพุทธเกษตรให้เกิดขึ้น
             ครั้นเมื่อ เราปรินิพพานแล้วพึงทราบว่า เขาเป็นผู้เข้าถึงประโยชน์เกื้อกูลของสัตว์ทั้งหลาย และอนุเคราะห์ประโยชน์แก่มนุษย์โลกนี้
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรและกุลธิดาเช่นนี้ ที่ควรทราบว่า คือ ตัวแทนของพระตถาคต 
             ดูก่อนไภษัชยราช พึงทราบว่ากุลบุตรและกุลธิดาผู้นั้น เป็นผู้ได้พบพระตถาคต และได้ทำความเคารพพระตถาคตแล้ว ผู้ใดประกาศธรรมบรรยายนี้ ของพระตถาคตผู้ปรินิพพานแล้ว แม้กระทั่ง พึงประกาศหรือกล่าวแก่สัตว์เพียงบางคน ด้วยอาการหลบซ่อนในที่ลับ(ไม่เปิดเผย) 
             ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่า สัตว์บางคนมีจิตทราม ชั่ว และน่ากลัว กล่าวคำคล้ายกับ ดูหมิ่น ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระตถาคต ผู้ใดพึงได้ฟังคำหยาบ (วาจํ+อปริยำ) จะเป็นจริงหรือไม่จริงก็ตาม ของผู้สอนธรรม หรือผู้ทรงจำพระสูตรเหล่านั้น จะเป็นคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ตาม เรากล่าวว่า "การกระทำอย่างนี้ เป็นบาปอย่างมหันต์ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เพราะเหตุไรเล่า เพราะพึงทราบว่า กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น เป็นผู้ประดับด้วยเครื่องประดับของพระตถาคต 
             ดูก่อนไภษัชยราช เมื่อเขานำพระตถาคตไปด้วยบ่า เขาได้คัดลอกธรรมบรรยายนี้ ทำให้เป็นหนังสือ นำไปด้วยบ่า เขาก้าวไปทางใด สัตว์ทั้งหลายรวมทั้งเทวดาและมนุษย์ควรกราบไหว้เคารพ สักการะ นับถือ ยกย่อง บุชา เทิดทูนเขา ด้วยดอกไม้ ธูป คันธมาลา ผลลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก ดนตรี ขาทนียะ โภชนียะ ข้า น้ำ ยาน อันเลิศ และรัตนะ อันเป็นทิพย์ เขาซึ่งเป็นผู้บรรยายธรรมที่ทุกคนควรสักการะเคารพนับถือบูชา กองรัตนะอันเป็นทิพย์บุคคลพึงน้อมถวายแก่ผู้กล่าวธรรมนั้น เพราะเหตุไร เพราะผู้ใด ยังสัตว์ทั้งหลายให้ฟังธรรมบรรยายนี้ แม้เพียงครั้งเดียว สัตว์ทั้งหลาย ที่ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ จะตั้งอยู่ในพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณอย่างรวดเร็ว
 ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1        สัตว์ทั้งหลายผู้ปรารถนา พระสวยัมภูญาณ ด้วยความปรารถนา ที่จะดำรงอยู่ในพุทธภาวะ พึงทำความเคารพ ผู้ทรงจำพระสูตรนี้ด้วย
2        ผู้ใด ปรารถนาพระโพธิญาณ แล้วคิดว่าทำอย่างไรหนอ พวกเราจะบรรลุพระโพธิญาณได้อย่างรวดเร็ว เขาควรท่องจำพระสูตรนี้ และควรเคารพบูชาผู้ทรงจำพระสูตรนี้ 
3        บุคคลที่พระโลกนาถส่งไป เพราะเหตุแห่งการสอน สรรพสัตว์ พึงท่องจำพระสูตรนี้ ที่มีประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย 
4        บุคคลใน พึงทรงจำซึ่งพระสูตรนี้ ที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สัตว์ทั้งหลาย บุคคลนั้นผู้เป็นปราชญ์ ได้สละการอุบัติที่ดีเสีย แล้วมาสู่โลกนี้ 
5        บุคคลผู้สอน (กล่าว) พระสูตรอันประเสริฐนี้ ในภายหลังตามความปรารถนาที่เกิดขึ้น ย่อมเป็นที่ปรากฏในโลกนี้ 
6        บุคคลพึงสักการะ เคารพ ผู้กล่าวธรรม ด้วยดอกไม้ทิพย์และของหอมทั้งปวงอันเป็นของมนุษย์ พึงประดับด้วยเสื้อผ้าอันเป็นทิพย์และรัตนะทั้งหลาย 
7        บุคคล พึงประคองอัญชลีเป็นนิตย์ ต่อผู้ทรงจำพระสูตรนี้ของพระตถาคต ผู้ปรินิพพานแล้ว ในกาลสุดท้ายอันน่ากลัวนี้ ราวกับว่าเขาคือพระชินเจ้าและพระสวยัมภู 
8        บุคคลพึงถวายวัตถุเครื่องบูชา คือขาทนียะ โภชนียะ ข้าว น้ำ วิหาร ที่นอน ที่นั่งและผ้า(จีวร) จำนวนโกฏิ แก่พระชินบุตร ผู้กล่าวพระสูตรนี้ แม้เพียงครั้งเดียว 
9        ผู้ใดพึงเขียน ท่อง และฟังพระสูตรนี้ในกาลสุดท้าย ผู้นั้น เราได้ส่งมาสู่โลกมนุษย์เพื่อทำงานให้แก่พระตถาคต 
10      บุคคล ผู้มีจิตวิปริต ทำหน้านิ่วคิ้วหมวด ยืนอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระชินเจ้า พึงกล่าวคำตำหนิ จะเป็นผู้เสวยบาปกรรมอย่างหนัก ตลอดหนึ่งกัลป์เต็ม 
11      บุคคลใดโกรธ พึงกล่าวคำตำหนิ ผู้ทรงจำพระสูตรที่กำลังแสดงพระสูตรนี้อยู่ เรากล่าวว่า บาปกรรมของบุคคลนั้นหนักยิ่งกว่า 
12      บุคคล ผู้แสวงหาพระสัมมาสัมโพธิญาณ อันประเสริฐนี้ พึงประคองอัญชลีกล่าวสดุดีเราต่อหน้า สิ้นหนึ่งกัลป์บริบูรณ์ ด้วยคาถาจำนวนหมื่นโกฏิมิใช่น้อย 
13      บุคคลผู้มีจิตยินดี สรรเสริญเรา พึงได้บุญเป็นอย่างมาก แต่บุคคล (มนุษย์) ผู้กล่าวคำสรรเสริญผู้บรรยายธรรม ย่อมได้บุญมากกว่า 
14      บุคคลที่ทำการบูชา ณ ปูชนียวัตถุ ด้วยศัพท์(เสียง) รูป(กาย) รส(ของถวาย)ของหอมอันเป็นทิพย์และสัมผัสอันเป็นทิพย์ตลอด 28000โกฏิกัลป์นั้น 
15      แต่ผู้ที่ได้ฟังพระสูตรนี้ แม้เพียงครั้งเดียว จะมีลาภอันประเสริฐ และยิ่งใหญ่กว่า ผู้ทำการบูชา ที่ปุชนียวัตถุสิ้น 18,000โกฏิกัลป์นั้น 
             ดูก่อนไภษัชยราช เราจะบอกแก่ท่าน เราจะบอกเฉพาะท่านเท่านั้น 
             ดูก่อนไภษัชยราช เพราะว่า เราได้แสดงธรรมบรรยายมาแล้วจำนวนมาก ทั้งที่กำลังแสดงอยู่ และจักแสดงต่อไป 
             ดูก่อนไภษัชยราช ธรรมบรรยายของเราทั้งปวงนั้น ธรรมบรรยายนี้ ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งการคัดค้านของชาวโลกทั้งปวง ย่อมเป็นที่ตั้งแห่งการไม่ศรัทธาของชาวโลกทั้งปวง
             ดูก่อนไภษัชยราช นี้คือธรรมอันลึกซึ้งทางจิตของพระตถาคต ต้องรักษาด้วยกำลังของพระตถาคต ซึ่งเป็นสถานะที่ไม่เคยเปิดเผย ไม่เคยของกล่าวมาก่อน 
             ดูก่อนไภษัชยราช ธรรมบรรยายนี้ของพระตถาคต ผู้ดำรงอยู่ประชาชนจำนวนมาก ยังบอกปัด จะป่วยกล่าวไปใยหลังพระตถาคตนิพพานแล้วเล่า
             ดูก่อนไภษัชยราช ได้ยินว่าพึงทราบว่า กุลบุตรกุลธิดาเหล่านั้น ได้เป็นผู้ครองจีวรของพระตถาคต พลังแห่งกุศลมูล และพลังแห่งประณิธาน ซึ่งเป็นของเฉพาะตนจักมีแก่กุลบุตรกุลธิดาเหล่านั้น 
             ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรกุลธิดาเหล่านั้น จักเป็นผู้อาศัยอยู่ในสถานที่แห่งเดียวกัน คือ วิหารของพระตถาคต เขาเหล่านั้นจักเป็นผู้มีศีรษะ อันฝ่าพระหัตถ์ของพระตถาคตลูบแล้ว เขาเหล่านั้น จักเชื่อ อ่าน เขียน สักการะ บูชา และยังชนกลุ่มอื่น ให้ฟังธรรมบรรยายนี้ ของพระตถาคตผู้ปรินิพพานไปแล้ว 
             ดูก่อนไภษัชยราช ในแผ่นดินและประเทศใดก็ตาม ที่มีการบรรยาย เทศนา คัดลอก เรียน ท่องบ่นธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช ในแผ่นดินและประเทศนั้น ควรก่อสร้างเจดีย์ของพระตถาคต ให้สูงใหญ่และประดับด้วยรัตนะอย่างเรียบง่าย ไม่จำเป็นต้องบรรจุพระสรีรธาตุของพระตถาคตไว้ในเจดีย์นั้น เพราะเหตุไร เพราะว่าในแผ่นดินและประเทศใดก็ตาม ที่มีการบรรยาย เทศนา อ่าน ท่องจำ คั ดลอก เขียน และ ทำเป็นคัมภีร์ ซึ่งธรรมบรรยายนี้ พระสรีรธาตุของพระตถาคต ได้รวมเป็นหนึ่งเดียวอยู่ในแผ่นดิน และ ประเทศนั้น บุคคลควรทำการสักการะเคารพ นับถือ บูชานอบน้อม ที่สถูปนั้น ด้วยดอกไม้ ธูป คันธมาลา ผงลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก และธงมาลา(ไวชยันตี) ทั้งปวง พึงทำการบูชาด้วยเพลงขับดนตรี การฟ้อน เครื่องดนตรี นักฟ้อน(ตาลาวจซ) การขับลำนำ และการโห่ร้องทั้งปวง
             ดูก่อนไภษัชยราช สัตว์เหล่าใด ได้สร้างเจดีย์ของพระตถาคตไว้ เพื่อไหว้บูชาหรือชื่นชม 
             ดูก่อนไภษัชยราช สัตว์เหล่านั้นทั้งปวง พึงทราบว่าเป็นผู้อยู่ใกล้ชิดอย่างยิ่ง ต่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้อนั้นเพราะเหตุไร 
             ดูก่อนไภษัชยราช เพราะคฤหัสถ์และบรรพชิตจำนวนมาก ประพฤติวัตรของพระโพธิสัตว์ แต่ไม่ได้เห็น ฟัง เขียน หรือบูชา ธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช ตราบใด ที่พวกเขาไม่ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ พวกเขาจะไม่ฉลาดในโพธิสัตว์วัตร ตราบนั้น ส่วนชนเหล่าใด ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ครั้งฟังแล้ว ย่อมหลุดพ้น ข้าพ้น รู้แจ้ง น้อมรับไว้ ในสมัยนั้น เขาจักยืนอยู่ใกล้ชิดอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เหมือนบุรุษบางคน เป็นผู้ที่ต้องการน้ำ จึงแสวงหาน้ำ เขาพึงขุดบ่อเพื่อน้ำในที่ดินแห้งแล้ง เขาเห็นทรายที่ขุดออกมานั้น แห้งและเป็นสีแดงเพียงใด เข้าพึงรู้ว่าน้ำยังลึกอยู่ กาลต่อมา เขาเห็นทรายที่ขุดออกมานั้น ผสมน้ำ มีโคลนตม มีหยดน้ำซึมออกอยู่และพึงเห็นบุรุษทั้งหลายผู้ขุดบ่อ มีกายเปื้อนด้วยโคลนตม 
             ดูก่อนไภษัชยราช เมื่อเห็นนิมิตที่เกิดต่อหน้าอย่างนั้น เขาจึงหมดความสงสัยและมั่นใจว่า ใกล้จะถึงน้ำแล้ว 
             ดูก่อนไภษัชยราช พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมห่างไกลอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณตราบเท่าที่พวกเขาไม่ได้ฟัง ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้ยึดถือ ไม่เข้าใจและไม่พิจารณาธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เมื่อใดพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ได้ฟัง ปฏิบัติ ท่อง จำ เข้าใจ เรียน พิจารณา เจริญภาวนา เมื่อนั้น พวกเขาชื่อว่าอยู่ใกล้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
             ดูก่อนไภษัชยราช อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ย่อมเกิดแก่สัตว์ทั้งหลาย จากธรรมบรรยายนี้ เพราะเหตุไร เพราะธรรมบรรยายนี้ ได้อธิบายพระดำรัสที่ตรัสรวมอย่างลึกยิ่ง โดยพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สถานะอันลึกล้ำของพระธรรม พระตถาคตได้ตรัสไว้แล้ว เพื่อให้เป็นเหตุแห่งการบรรลุของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย 
             ดูก่อนไภษัชยราช พระโพธิสัตว์ผู้ใด ฟังตระหนกขยาด ถึงความกลัวต่อธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช พึงทราบว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้นั้น เพิ่งเข้ามาสู่ยานนี้ ถ้าบุคคลใด ผู้นับถือสาวกยานพึงตระหนก ขยาด และถึงความกลัวต่อธรรมบรรยายนี้ 
             ดูก่อนไภษัชยราช พึงทราบว่า เข้าผู้นั้น ซึ่งมีความนับถือมาก ยังเป็นบุคคลสาวกยานอยู่ 
             ดูก่อนไภษัชยราช พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้ใด พึงประกาศธรรมบรรยายนี้ แก่บริษัท 4 ในกาลสมัยสุดท้าย 
             ดูก่อนไภษัชยราช พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น พึงเข้าไปสู่ที่ประทับของพระตถาคต พึงครองจีวรของพระตถาคต พึงนั่งบนอาสนะของพระตถาคต แล้งพึงประกาศธรรมบรรยายนี้แก่บริษัท 4 
             ดูก่อนไภษัชยราช ที่ประทับของพระตถาคตเป็นอย่างไรเล่า? 
             ดูก่อนไภษัชยราช วิหารคือความเมตตาต่อสัตว์ทั้งปวง คือที่ประทับของพระตถาคต ในที่นั่นเองที่กุลบุตรพึงเข้าไป 
             ดูก่อนไภษัชยราช จีวรของพระตถาคตเป็นอย่างไรเล่า? 
             ดูก่อนไภษัชยราชความพอใจในความอดทนที่ใหญ่หลวง คือจีวรของพระตถาคต สิ่งนั่นเอง ที่กุลบุตรกุลธิดาพึงได้ครอง 
             ดูก่อนไภษัชยราช ธรรมาสน์ของพระตถาคตเป็นอย่างไรเล่า? การเข้าถึงศูนยตาแห่งธรรมทั้งปวงคือธรรมาสน์ของพระตถาคต ซึ่งกุลบุตรพึงนั่งบนธรรมาสน์นั้น ครั้งได้ฟังแล้วกุลบุตรพึงประกาศธรรมบรรยายนี้แก่บริษัท 4 พระโพธิสัตว์ ผู้มีจิตไม่หวั่นไหว พึงประกาศธรรมบรรยายนี้แก่บริษัท 4 ที่ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยาน ต่อหน้าคณะของพระโพธิสัตว์ 
             ดูก่อนไภษัชยราช เราผู้ดำรงอยู่ในโลกธาตุอื่น จักยังบริษัททั้งหลาย ให้คล้อยตามด้วยการนิรมิตแก่กุลบุตรนั้น และ
เราจักส่งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ที่เรานิรมิตแล้วมาเพื่อฟังธรรมชนเหล่านั้น จักไม่เบียดเบียน ไม่ปฏิเสธ คำสอนของผู้บรรยายธรรมนั้น ถ้าหากว่า กาลต่อมาเข้าไปสู่ป่า เราก็จักส่งเทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนรและมโหรคะ จำนวนมากไปเพื่อฟังธรรม 
             ดูก่อนไภษัชยราช เราผู้อยู่ในโลกธาตุอื่น จักปรากโอมหน้าต่อกุลบุตรนั้นบทและพยัญชนะเหล่าใดจากธรรมบรรยายนี้ พึงตกหล่นไป เราจะแนะน้ำบทพยัญชนะเหล่านั้นแก่ผู้บรรยายธรรมนั้น ผู้ทบทวนอยู่ 
  ได้ยินว่า  ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
16      บุคคลพึงสละความกังวลทั้งปวง แล้วพึงฟังพระสูตรเช่นนี้ เพราะว่า การฟังเป็นสิ่งที่หาได้โดยยาก แต่การหลุดพ้นของเขา เป็นสิ่งที่หาได้โดยยากเช่นกัน 
17      เหมือนบุรุษบางคน ผู้ต้องการน้ำ พึงขุดบ่อในที่แห้งแล้ง ในขณะที่ขุดนั้น เข้าได้เห็นทรายแห้งครั้งแล้วครั้งเล่า 
18      ครั้นเห็นแล้ว เขาคิดว่า ในที่นี้น้ำยังอยู่ลึกมาก เพราะทรายแห้งที่ขุดออกมานั้น เป็นเครื่องหมายว่าน้ำยังอยู่ลึก 
19      ต่อมา เขาได้เห็นทรายเปียกและชุ่ม เขาจึงมีความหวังว่า ในที่นี้น้ำคงอยู่ไม่ลึกนัก 
20      บุคคลทั้งหลาย ผู้เช่นนั้นย่อมอยู่ ในที่ห่างไกลจากพระโพธิญาณ เพราะเขายังไม่ได้รับการอบรม ยังไม่ได้ฟังพระสูตรนี้ 
21      ส่วนชนทั้งหลายได้ฟัง ได้พิจารณาพระสูตรใหญ่นี้เป็นนิตย์ ซึ่งเป็นสูตรที่ลึกซึ้งและสิ้นความสงสัยของพระสาวกทั้งหลาย 
22      เข้าเหล่านั้น เป็นผู้ฉลาด เป็นผู้อยู่ใกล้พระโพธิญาณ เหมือนทรายเปียกที่บ่งบอกว่า น้ำย่อมมีในที่ใกล้ 
23      ผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเข้าไปสู่ที่ประทับของพระชินเจ้า ได้ครองจีวร ได้นั่งบนอาสนะของเรา เป็นผู้ไม่หวั่นไหว เมื่อแสดง(พระสูตรนี้) 
24      พลังแห่งเมตตาคือที่ประทับ ความอดทนคือจีวร และศูนยตาคืออาสนะของเราบัณฑิตควรดำรงอยู่ในคุณธรรมนี้แล้ว พึงแสดง(ธรรม) 
25      ถ้าหากว่า ก้อนดิน ท่อนไม้ หอก คำสาปแช่ง หรือคำนินทาพึงมีแก่ผู้แสดงธรรม เขาควรระลึกถึงธรรมนั้นของเรา พึงอดทนต่อคำหยาบเหล่านั้น 
26      ความเป็นตัวตนของเรา ย่อมมีมากในพันโกฏิกัลป์แห่งดินแดนทั้งหลาย เราย่อมแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายสิ้นโกฏิกัลป์ จนไม่อาจคำนวณได้ 
27      แม่เมื่อเราปรินิพพานแล้ว เราจะส่งรูปนิมิต จำนวนมากมาให้แก่ผู้กล้าหาญของเรา ที่แสดงพระสูตรนี้ 
28      บริษัททั้งหลาย คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาจักรวมกันทำการบูชาแก่เรา 
29      ถ้าคนทั้งหลายจะทำรายเขา ด้วยก้อนดิน ท่อนไม้ คำสาปแช่ง คำขู่ และคำด่า รูปนิมิตเหล่านั้นจักป้องกันเขาได้ 
30      ในกาลใด เขาจะอยู่ศึกษาเพียงผู้เดียว ในสถานที่อันสงัดจากบุคคล จะเป็นป่า หรือภูเขาก็ดี 
31      ต่อจากนั้น เราจักแสดงตน ที่เลิศด้วยโอภาสแก่เขา จะให้เขาระลึกถึงคำสอนที่เคยจารึกไว้อีกครั้งหนึ่ง 
32      เมื่อเขา เที่ยวไปในป่าเพียงผู้เดียว เราจักส่งเทวดาและยักษ์ทั้งหลายมาเป็นสหายของเขา เพื่อเขาจะได้ผู้ไม่เดี่ยวดาย 
33      คุณธรรมเช่นนี้ ย่อมมีแก่เขาผู้แสดงธรรมแก่บริษัท 4 เมื่อเขาอยู่ตามลำพังในวิหาร ป่าหรือถ้ำ ทำการศึกษาอยู่ เขาก็จักเห็นเรา 
34      ประติภาณของเขา ย่อมไม่ติดขัด เพราะเข้าใจการบรรยายธรรมอย่างหลากหลาย จึงยังสัตว์จำนวนพันโกฏิให้ยินดีได้ เพราะพระพุทธเจ้าให้เขาชำนะ 
35      สัตว์ทั้งหลาย ผู้อาศัยอยู่กับเขา ทุกคนจักได้เป็นพระโพธิสัตว์ในไม่ช้า เมื่อใช้การเดินทางร่วมกัน จักเห็นพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 
 บทที่ 10 ธรรมภาณกปริวรรต ว่าด้วยผู้สอนธรรม  ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๙ อานันทาทิวยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์พระอานนท์

 
    ได้ยินว่า ในขณะนั้น
พระอานนท์ ผู้มีอายุ คิดว่า เราจะได้รับการพยากรณ์อย่างนี้ด้วยหรือไม่หนอ? ครั้นคิดรำพึง ปรารถนาอย่างนั้นแล้ว จึงลุกจากอาสนะไป ถวายอภิวาทพระบาททั้งสอง ของพระผู้พระภาค เช่นเดียวกับพระราหุล ผู้มีอายุ ที่คิดรำพึงอย่างเดียวกัน  แล้วถวายอภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค กราบทูลว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาคขอให้พวกข้าพระองค์ จงมีโอกาสอย่างนั้นบ้าเถิด ข้าแต่พระสุคต ขอให้โอกาสอย่างนั้น จงมีแก่พวกข้าพระองค์บ้างเถิด เพราะว่า พระผู้มีพระภาค เป็นพระบิดา เป็นผู้บันดาลที่อาศัย และเครื่องป้องกันแก่พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะพวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้เปลี่ยนเป็นรูปต่างๆในโลกรวมทั้งเทวดา มนุษย์ และอสูร เช่น คนเหล่านี้ เป็นบุตร เป็นอุปัฏฐาก เป็นผู้รักษาคลังปริยัติ ของพระผู้มีพระภาค ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ของพระผู้มีพระภาค พึงพยากรณ์ รูปเฉพาะชื่อนั้น ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แก่พวกข้าพระองค์โดยเร็วเถิด
 พระภิกษุ ผู้เป็นสาวกอื่นๆ อีก 2000 รูป ทั้งที่เป็นพระเสขะและอเสขะ ได้ลุกจากอาสนะ ครองจีวรเฉวียงบ่า ประคองอัญชลีต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค เพ่งมองพระผู้มีพระภาค คือถึงพุทธญาณด้วยความสงสัยว่า แม้เราทั้งหลาย จะได้รับการพยากรณ์ ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ หรือไม่หนอ? 
          ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกับพระอานนท์ ผู้มีอายุว่า ดูก่อนอานนท์ ในอนาคตกาล เธอจักได้ตรัสรู้ เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก ผู้เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ที่ไม่มีใครเปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม เมื่อท่านได้ทำสักการะ เคารพ นับถือ และบูชา แก่พระพุทธเจ้า จำนวน 62 โกฏิ ได้จดจำพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น และยึดมั่นในคำสอน ก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 ดุก่อนอานนท์ เมื่อเธอตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จะยังพระโพธิสัตว์จำนวน พันร้อยหมื่นโกฏิ เท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้ง 20 ให้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เมื่อนั้น พุทธเกษตรของเธอ จักสำเร็จเป็นแก้วมณีอันล้ำค่าโลกธาตุนั้น จักได้ชื่อว่า อนวนามิตไวชยันตี กัลป์จักได้ชื่อว่า มโนชญศัพทาภิครรชิตะ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ พระองค์นั้นจักมีอายุนับจำนวนไม่ได้ ที่สุดของกัลป์ทั้งหลาย ไม่สามารถคำนวณได้โดยการนับ 
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค หลายพันร้อยหมื่นโกฏิแห่งกัลป์เหล่านั้น ที่ไม่สามารถจะนับได้ จักเป็นประมาณแห่งอายุของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น 
ดูก่อนอานนท์ ประมาณแห่งอายุของพระผู้มีพระภาค ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ พระองค์นั้นมีอยู่เพียงใด พระสัทธรรมของพระองค์ ผู้ปรินิพพานแล้ว จักดำรงอยู่เป็นทวีคูณตราบนั้น พระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น จักตั้งอยู่ตราบใด พระสัทธรรมปฏิรูป จักดำรงอยู่เป็นทวีคูณตราบนั้น 
ดูก่อนอานนท์ ยิ่งกว่านั้น พระพุทธเจ้าจำนวนมาก พันร้อยหมื่นโกฏิพระองค์เท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จะกล่าวถึงเกียรติยศของพระตถาคต สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ ทั้ง 10 ทิศ ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
1       โอ เราจะบอกพระภิกษุสงฆ์ว่า อานันทภัทระ จะเป็นผู้รักษาธรรมของเราหลังจากได้บูชาพระตถาคตจำนวน 60 โกฏิแล้ว จักได้เป็นพระชินเจ้า ในอนาคตกาล 
2        พระองค์จะปรากฏนามว่า สาครพุทธิธารีอภิชญปราปตะ ในดินแดนที่ สวยงามบริสุทธิ์ ซึ่งมีลักษณะเป็นธงชัยอันประเสริฐ 
3       พระองค์อบรมพระโพธิสัตว์ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา หรือมากกว่านั้น ให้มีอุปนิสัยแก่กล้า พระองค์จักเป็นพระชินเจ้า ผู้มีฤทธิ์มากกิตติศัพท์ของพระองค์ จะกึกก้องไปทั่วโลกทั้ง 10 ทิศ 
4       พระชนมายุของพระองค์ ผู้เกื้อกูลต่อชาวโลก จักดำรงอยู่จนไม่สามารถจะนับได้ และพระสัทธรรมของพระองค์ ผู้ปรินิพพานแล้ว จักดำรงอยู่นานเป็นทวีคูณ 
5       สัทธรรมปฏิรูปนั้น ในศาสนาพระชินเจ้า จักตั้งมั่นเพื่อเป็นทวีคูณ สัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา จักเข้าใจเหตุผลในพุทธโพธิญาณ 
          ได้ยินว่า ในบริษัทนั้น พระโพธิสัตว์จำนวน 8000 รูป 
ผู้ตั้งอยู่ในยานใหม่ ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า การพยากรณ์อันยิ่งใหญ่ ของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เราไม่เคยได้ยินมาก่อน แม้วาทะเก่าๆของพระสาวก เราก็ไม่เคยได้ยิน อะไรหนอ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ด้วยจิตของพระองค์ จึงตรัสเรียกพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราทัดเทียมกัน คือพระตถาคตและพระอานนท์ยังจิตให้เกิดในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในขณะเดียวกัน ในครู่เดียวกัน ต่อพระพักตร์ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมโพธิญาณ ในขณะเดียวกัน ในครู่เดียวกัน ต่อพระพักตร์ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ธรรมคคนาภยุทคตราช 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ในขณะนั้น พระอานนท์เป็นผู้ประกอบความเพียร เพื่อเป็นพหูสูต ส่วนเรา เป็นผู้ประกอบความเพียร ฉะนั้น เราจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณก่อน ส่วนอานันทภัทระ ได้เป็นผู้ทรงจำคลังพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าด้วยประการฉะนี้
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ประณิธานนี้ของพระอานนท์ เป็นข้อปฏิบัติของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย 
 ขณะนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุได้ฟังคำพยากรณ์ของตนเองในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณฟังกระบวนคุณในพุทธเกษตร และการตั้งประณิธานในกาลก่อนของตน ก็เกิดความยินดี ร่าเริงเบิกบาน ปราโมทย์ ปรีติโสมนัส 
 ขณะนั้น พระอานนท์ระลึกถึงพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวนพันร้อยหมื่นโกฏิ และประณิธานในอดีตของตนอยู่ ได้ยินว่า พระอานนท์ ผู้มีอายุ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า 
6       พระชินเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้น่าอัศจรรย์และไม่ต้องพิสูจน์ ยังเราให้ระลึกถึงการแสดงธรรม (ในอดีต) ข้าพเจ้าระลึกถึง (พระสัทธรรม) ของพระชินพุทธเจ้าอยู่เสมอ แม้(พระองค์) ปรินิพพานไปแล้ว)ราวกับเหตุการณ์ในวันนี้และพรุ่งนี้ 
7        ข้าพเจ้าพ้นจากความสงสัย ได้ดำรงอยู่เพื่อพระโพธิญาณ กุศโลบายของข้าพเจ้าเป็นอย่างนี้ ข้าพเจ้าเป็นบริวารของพระตถาคต เพราะพระโพธิญาณเป็นเหตุ ข้าพเจ้าจะดำรงไว้ซึ่งพระสัทธรรม 
 ขณะนั้นพระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระราหุลภัทระ ผู้มีอายุว่า ดูก่อนราหุล ในอนาคตเธอจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า สัปตรัตนปัทมวิกรานตคามี ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นสายสารถีฝึกบุรุษที่หาผู้เปรียบมิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย  เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม เมื่อได้สักการะ เคารพ นบนอบ นับถือ บูชา พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ซึ่งประมาณเท่ากับอะตอมของปรมาณูในโลกธาตุทั้งสิบ เธอจักเป็นบุตรคนโตของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าเหล่านั้น ท่านเดียวกับที่เป็นบุตรของเรา ณ บัดนี้ 
 ดูก่อนราหุลภัทระ พระชนมายุของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สัปตรัตนปัทมวิกรานตคามี และคุณสมบัติแห่งกรรมทั้งปวง จักเป็นเช่นเดียวกับกระบวนการเพิ่มขึ้นของพุทธเกษตร ที่ได้เพิ่มกรรมทั้งปวง ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ พระองค์นั้น
 ดูก่อนราหุล เธอจักเป็นบุตรคนโตของ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สาครวรธรพุทธิวิกรีฑิตาภิชญะ พระองค์นั้น  หลังจากนั้น เธอจักตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
 ได้ยินว่า ในเวลานั้นพระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
8       ดูก่อนราหุล บุตรคนโตของเรานั้น คือพระโอรสในสมัยที่ (เรา) เป็นพระราชกุมารบุตรผู้นี้ เมื่อบรรลุพระโพธิญาณแล้ว จักเป็นนักบวชที่ยิ่งใหญ่ เป็นธรรมทายาท(ของเรา) 
9       ในอนาคต เธอจักได้พบพระพุทธเจ้า จำนวนหลายโกฏิพระองค์ ไม่นานนักบุคคลเหล่านี้ทั้งหมด เมื่อแสวงหาพระโพธิญาณ จักได้เป็นโอรสของบพระชินเจ้าเหล่านั้น 
10      นี้คือการปฏิบัติที่ราหุลไม่ทราบ แต่เราทราบประณิธานของเธอ เธอตั้งความหวังในโลกธาตุทั้งปวงว่า "ของเราจงได้เป็นบุตรของพระตถาคต" 
11      ไม่นานนัก ที่จะพิสูจน์คุณสมบัติหลายหมื่นโกฏิ เพราะพระโพธิญาณเป็นเหตุ ความปรารถนานี้เองของราหุล ผู้เป็นโอรสของเรา จึงยังดำรงอยู่ 
           พระผู้มีพระภาค ได้ทอดพระเนตรพระสาวกจำนวน 2000 รูปเหล่านั้น ทั้งผู้ที่เป็นพระเสขะและอเสขะ ที่มองดูพระผู้มีพระภาค อยู่เฉพาะพระพักตร์ ด้วยจิตเลื่อมใส อ่อนโยนและสงบ พระผู้มีพระภาค จึงตรัสกับพระอานนท์ ผู้มีอายุว่า 
 ดูก่อนอานนท์ เธอจงดูพระสาวกทั้งที่เป้นพระเสขะและอเสขะ 
จำนวน 2000 รูปเหล่านี้ พระอานนท์กราบทูล ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ย่อมเห็น ข้าแต่พระสุคต ข้าพระองค์ ย่อมเห็น
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ พระภิกษุ 2000 รูปทั้งหมดเหล่านี้ ยังคิดถึงวัตรปฏิบัติของพระโพธิสัตว์อยู่เสมอ พระภิกษุเหล่านั้น เมื่อสักการะ เคารพ นับถือ ยกย่อง บูชา สรรเสริญ พระพุทธเจ้าที่มีประมาณเท่ากับปรมาณูใน 50 โลกธาตุ และทรงจำพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคไว้ชาติสุดท้าย จักบรรลุ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในเวลาเดียวกัน ครู่เดียวกัน ขณะเดียวกันในพุทธเกษตร โลกธาตุอื่นๆทั้งสิบทิศ ภิกษุเหล่านั้น จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
 ทรงพระนามว่า รัตนเกตุราช หนึ่งกัลป์จักเป็นประมาณอายะบริบูรณ์ของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น กระบวนคุณสมบัติของพระพุทธเกษตรเหล่านั้น ก็ทัดเทียมกัน คณะของพระสาวกกับคณะของพระโพธิสัตว์ มีจำนวนเท่ากัน พระสาวกและพระโพธิสัตว์เหล่านั้น จะนิพพานพร้อมกัน พระสัทธรรมของพระสาวกและพระโพธิสัตว์ จะดำรงอยู่ได้นานเท่ากัน 
 ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
12      ดูก่อนอานนท์ พระสาวกทั้ง 2000 รูปเหล่านี้ กำลังยืนอยู่เบื้องหน้าของเรา ณ บัดนี้ เราจะพยากรณ์สาวก ผู้เป็นบัณฑิตเหล่านั้นว่า จักเป็นพระตถาคตในอนาคต 
13      หลังจากทำการบูชาต่อพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าทั้งหลายแล้ว เมื่อถือกำเนิดในชาติสุดท้าย พระสาวกเหล่านั้นจะสำเร็จอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณของเราด้วยการแสดงอุปมาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด 
14      ทั้งสิบทิศ พระสาวกเหล่านั้น จะมีพระนามเดียวกัน เมื่อนั่งอยู่ที่โคนต้นไม้ประเสริฐ (พระศรีมหาโพธิ์) ก็จะได้บรรลุญาณเป็นพระพุทธเจ้า ในขณะและเวลาเดียวกัน 
15      พระสาวกเหล่านั้นมีพระนามอย่างเดียวกันคือ รัตนเกตุ ซึ่งเป็นที่ทราบกันทั่วไปในโลก พุทธเกษตรของพระสาวกเหล่านั้น มีความเป็นเลิศเสมอกันคณะพระสาวกและพระโพธิสัตว์ก็มีจำนวนเท่ากัน 
16      พระสาวกและพระโพธิสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้มีฤทธิ์ ได้แสดงธรรมพร้อมกันในโลกทั้ง 10 ทิศ เมื่อนิพพานแล้วพระสัทธรรมของพระสาวกและพระโพธิสัตว์เหล่านั้นจักดำรงอยู่นานเท่ากัน 
  ได้ยินว่า พระสาวกทั้งหลาย ทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะ ได้ฟังคำพยากรณ์เรื่องของตนๆ ต่อพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ต่างยินดีปรีดา ปราโมทย์ ปีติโสมนัสอย่างสุดซึ้ง จึงได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า 
17     ข้าแต่พระผู้เป็นแสงสว่างของชาวโลก เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์นี้ ข้าพระองค์รู้สึกยินดียิ่งแล้ว ข้าแต่พระตถาคต ข้าพระองค์มีความสุขราวกับถูกรดด้วนน้ำอมฤต 
18      ข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่มีความสงสัย ไม่มีความกังวลต่อความเห็นต่างกันที่ว่า พวกข้าพระองค์จักได้เป็นผู้ประเสริฐกว่างชนทั้งหลาย วันนี้ พวกข้าพระองค์มีความสุขที่สุด เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์นี้ 
 บทที่ 9 การพยากรณ์พระอานนท์และพระราหุล รวมทั้งภิกษุอื่นอีก 2000 รูป ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๘ ปัญจภิกษุศตวยากรณปริวรรต ว่าด้วย การพยากรณ์ภิกษุห้าร้อยรูป,

 
    ครั้งนั้นแล ท่านพระปูรณไมตรายณีบุตร ได้สดับการชี้แจงทีตรัสสรุปญาณทัศนะในอุปายโกศล เห็นปานนี้ อย่างใกล้ชิดจากพระผู้มีพระภาค และได้ฟังการพยากรณ์มหาสาวกเหล่านั้น พร้อมทั้งเรื่องราวที่เป็นไปในอดีต ตลอดจนความยิ่งใหญ่ของพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้ถึงความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจมีจิตผ่องใสยินดี ปรีดาปราโมทย์ ท่านพระปูรณไมตรายณีบุตรมีจิต ปรีดาปราโมทย์ เป็นอย่างมาก มีความเคารพยิ่งในพระธรรม ลุกขึ้นจากที่นั่ง ถวายอภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคแล้ว กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค น่าอัศจรรย์ ข้าแต่พระสุคต น่าอัศจรรย์ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงกระทำสิ่งที่ทำได้ยากยิ่ง คือทรงทำให้โลก ที่ประกอบด้วยธาตุต่างๆนี้หมุนไป และทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงญาณที่เป็นอุบายโกศลต่างๆ ทรงปลดเปลื้องสัตว์ที่ข้องติดในเรื่องต่างๆ ด้วยอุบายโกศล ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหล่าข้าพระองค์ ควรกระทำอะไรในที่นี้ พระตถาคตเท่านั้น ทรงทราบความประสงค์และข้อปฏิบัติในกาลก่อนของเหล่าข้าพระองค์ ท่านปูรณไมตรายณีบุตร ได้อภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค ด้วยเศียรเกล้าแล้วนมัสการ ยืนเพ่งมองพระผู้มีพระภาค ด้วยนัยน์ตาทั้งสองอย่างไม่กระพริบ ณ ที่สมควรข้างหนึ่ง
             ครั้นนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความประสงค์แห่งจิต ของท่านพระปูรณไมตรายณีบุตร ได้ตรัสกับภิกษุทั้งปวงว่า
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงดูปูรณไมตรายณีบุตรผู้นี้ เป็นผู้ที่เรายกย่องว่าเป็นเลิศทางแสดงธรรม ในหมู่ภิกษุ เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยคุณความดีทั้งหลาย เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพระสัทธรรมในศาสนาของเรา โดยหลากหลายประการปูรณตรายณีบุตร เป็นผู้ที่ทำให้บริษัท 4 หรรษา ตื่นเต้น เบิกบาน รื่นเริง เป็นผู้ไม่เหนื่อยอ่อน สามารถแสดงธรรม กล่าวธรรมและปฏิบัติ ร่วมกับสหธรรมจารีทั้งหลาย
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย นอกจากตถาคตแล้ว ไม่มีใครอื่นเว้นปูรณไมตรายณีบุตรเพียงผู้เดียว ที่สามารถในการบรรยายธรรมได้ ทั้งโดยอรรถและโดยพยัญชนะ
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายเข้าใจว่าปูรณไมตรายณีบุตร เป็นผู้ทรงจำพระสัทธรรมของเรา อย่างเดียวหรือ
        ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายไม่ควรเข้าใจเช่นนั้น เคยทรงจำพระสัทธรรมในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเก้าสิบเก้าโกฏิพระองค์ เรื่องในอดีตกาลนั้นเป็นอย่างไร บัดนี้ ในศาสนาของเราก็เป็นเช่นนั้น ปูรณไมตรายณีบุตร เป็นผู้เลิศทางแสดงธรรมทุกสมัย เป็นผู้เข้าใจเรื่องศูนยตาทุกสมัย เป็นผู้ได้ปฏิบัติปฏิสัมภิทาญาณทุกสมัย เข้าใจถึงอภิญญาแห่งพระโพธิสัตว์ทุกสมัย เป็นผู้แสดงธรรมที่เข้าใจยิ่งดีแล้ว เป็นผู้แสดงธรรมที่ปราศจากข้อสงสัย เป็นผู้แสดงธรรมที่บริสุทธิ์อย่างแท้จริง ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคเหล่านั้น
   ปูรณไมตรายณีบุตร ได้ประพฤติพรหมจรรย์ตลอดชีพและได้นามว่า "ศราวก" ทุกสมัย ปูรณไมตรายณีบุตร ได้ทำประโยชน์แก่สัตว์ ทั้งหลายหมื่นโกฏิ ซึ่งไม่สามารถประมาณและนับจำนวนได้ ด้วยอุบายนี้ ได้อบรมสัตว์จำนวนมาก ที่ไม่อาจประมาณและนับจำนวนได้ ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
   อนึ่ง ปูรณไมตรายณีบุตร ได้ช่วยสัตว์ทั้งหลายด้วยพุทธกิจ ทั้งได้ชำระพุทธเกษตรของตนให้หมดจดทุกสมัย เป็นผู้อบรมสัตว์ทั้งหลายให้มี (อุปนิสัย) แก่กล้าในธรรม
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปูรณไมตรายณีบุตรนี้นั้นแล ที่เป็นเลิศทางแสดงของพระตถาคตทั้ง 8 พระองค์ มีพระวิปัศยีเป็นต้น และเราคือตถาคตองค์ที่ 7 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอนาคตกาล ในภัทรกัลป์นี้ จักมีพระพุทธเจ้า 996 พระองค์ ในศาสนาของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น ปูรณไมตรายณีบุตรผู้นี้ จักเป็นเลิศในบรรดาผู้แสดงธรรม ผู้รักษาพระสัทธรรม และจักทรงจำพระสัทธรรมของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่มีจำนวนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ในอนาคต จักกระทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายแก่สัตว์ทั้งหลาย มีจำนวนที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักอบรมสัตว์ทั้งหลาย มีจำนวนนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นผู้ประกอบกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่ออบรมสัตว์ ในพุทธเกษตรอันบริสุทธิ์ของตน เพื่อให้สัตว์มีอุปนิสัยแก่กล้า
 ปูรณไมตรายณีบุตรนั้น เมื่อปฏิบัติจริยวัตรของโพธิสัตว์เห็นปานนี้สมบูรณ์แล้ว จักบรรลุอนุตตรสัมมาโพธิญาณ ในกัลป์ทั้งหลาย อันนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า "ธรรมประภาส" ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษ ที่ไม่มีใครเปรียบได้ เป็นคุรุของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม จักอุบัติขึ้นในพุทธเกษตรนี้ 
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย โดยสมัยนั้นแล พุทธเกษตรหนึ่งเป็นราวกะว่ามีจำนวนสามพันน้อยใหญ่โลกธาตุ (ตรีสหัสรมหาสหัสรโลกธาตุ) ประมาณเท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่ราบเรียบดุจฝ่ามือ ตกแต่งด้วยรัตนะ 7 ประการ ไม่มีภูเขา เต็มไปด้วยกูฏาคาร(เรือนยอด) ที่สร้างด้วยรัตนะ 7 ประการ มีเทพวิมานสถิตอยู่บนอากาศ เทวดาและมนุษย์ ต่างก็มองเห็นซึ่งกันและกัน 
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ในสมัยนั้นแล พุทธเกษตรนี้ ไม่มีสิ่งชั่วช้าและปราศจากสตรี สัตว์ทั้งปวงเป็นโอปปาติกะ (คือสิ่งที่ผุดขึ้น) เป็นพรหมจารี(ผู้ประพฤติพรหมจรรย์) มีร่างกายเป็นทิพย์ มี
ประทีปในตัวเอง มีฤทธิ์ เคลื่อนไหวไปมาในอากาศ มีความกล้า มีสติ มีปัญญา มีร่างกายเป็นสีทอง มีรูปที่เพียบพร้อมด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย  ในสมัยนั้นแล สัตว์ทั้งหลาย ในพุทธเกษตรนั้นมีอาหาร 2 ชนิด อาหาร 3 ชนิดคืออะไรบ้าง อาหาร 2 ชนิด ได้แก่ ธรรมปรีตยาหาร(อาหารคือความเอิบอิ่มในพระธรรม) และธยานปรีตยาหาร(อาหารคือความเอิบอิ่มในสมาธิ) จะมีพระโพธิสัตว์หลายหมื่นแสนโกฏิ ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ ที่ได้อภิญญาและปฏิสัมภิทา เป็นผู้ฉลาดในการสอนสรรพสัตว์ พระพุทธเจ้าธรรมประภาสนั้น มีสาวกมากมายเหลือคณานับ ที่มีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก มีจิตมั่นคงอยู่ในวิโมกษ์ 8 พุทธเกษตรนั้น เพียบพร้อมไปด้วยคุณงามความดี
 เห็นปานนี้ และกัลป์ก็จะมีชื่อว่า "รัตนาวภาสกัลป์" ส่วนโลกธาตุนั้นมีชื่อว่า "สุวิศุทธะ" อายุของพระองค์(พระธรรมประภาสพุทธเจ้า) นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ว่ากี่กัลป์ เมื่อพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าธรรมประภาสนั้น ปรินิพพานแล้วพระสัทธรรมของพระองค์ก็จักตั้งอยู่ อย่างมั่งคงยั่งยืน โลกธาตุนั้นจะดารดาษไปด้วยพระสถูป ที่สร้างขึ้นด้วนรัตนะทั้งหลาย
   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พุทธเกษตรของพระผู้มีพระภาค (ธรรมประภาส) นั้น จะเพียบพร้อมไปด้วยคุณความดีที่เป็นอจินไตรยอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสอย่างนี้ พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสดังนี้แล้วได้ตรัสให้ขึ้นไปอีกว่า 
1 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงฟังข้อความนี้ของเรา ที่ว่าบุตรของเราได้ปฏิบัติหน้าที่อย่างไร เขาได้ศึกษาอุบายโกศลดีแล้ว ได้ประพฤติปฏิบัติเพื่อพระโพธิญาณอย่างไร 
2 พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นพระสาวก ทราบว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ประพฤติต่ำทราม และสับสนในยานอันวิเศษ แล้วจักแสดงปัจเจกโพธิญาณ 
3 พระพุทธทั้งหลาย จักอบรมพระโพธิสัตว์จำนวนมาก ให้มีอุปนิสัยแก่กล้าด้วยกุศโลบายหลายร้อยอย่าง และประกาศอย่างนี้ว่า พวกเราเป็นสาวก พวกเรายังห่างไกลจากพระโพธิญาณที่ประเสริฐสูงสุดยิ่งนัก 
4 สัตว์จำนวนหลายโกฏิ ทีมีความประพฤติต่ำทราม และมีความเกียจคร้านในกาลก่อน ได้ศึกษาข้อประพฤตินี้จากพระพุทธเจ้าทั้งหลาย จนมีอุปนิสัยแก่กล้าพวกเข้าทั้งหมด จักเป็นพระพุทธเจ้าได้ในกาลภายหลัง 
5 สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ผู้ขาดความรู้ ประพฤติตนอย่างโง่เขลา ด้วยคิดว่าพวกเรา เป็นสาวก มี
ประโยชน์น้อย (มีกิจที่ควรทำเพียงเล็กน้อย) แต่ชำระสถานที่เกษตรของตนๆให้สะอาด.ในการจุติปละเกิดทุกครั้ง
6 พวกเขา ย่อมปรากฏว่า คนเองยังมีราคะ โทสะ และโมหะอยู่ เมื่อเห็นสัตว์ทั้งหลาย ที่ยึดมั่นอยู่ในทิฏฐิ จึงคล้อยตามทิฏฐิของสัตว์เหล่านั้นไปด้วย
7 สาวกจำนวนมากของเรา (ตถาคต) เมื่อประพฤติปฏิบัติอย่างนี้ ช่วยให้สัตว์ทั้งหลายหลุดพ้น (จากกิเลส)ด้วยอุบาย ส่วนชนทั้งหลายที่โง่เขลาเบาปัญญาอาจจะเป็นบ้าได้ หากสอนให้เขารับรู้ข้อปฏิบัติทั้งหมด
8 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระปูรณ(ไมตรยาณีบุตร) สาวกของเรานี้ได้ประพฤติธรรมอยู่ในศาสนาของพระพุทธเจ้าหลายพันโกฏิพระองค์ แสวงหาโพธิญาณนี้อยู่ ได้รับพระสัทธรรมของพระพุทธเจ้าเหล่านั้นแล้ว
9 สาวกผู้ประเสริฐรูปนี้ (พระปูรณไตรยาณีบุตร)เป็นพหูสูต กล่าวกถาได้อย่างวิจิตร เป็นผู้กล้า ในที่ทั้งปวง ร่าเริง หมดกิเลส ได้ยึดมั่นในพุทธกิจ เป็นนิจ 
10 เธอ (พระปูรณไมตรยาณีบุตร) ได้บรรลุอภิญญาอันยิ่งใหญ่ ได้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ทั้งรู้อารมณ์ในอินทรีย์ของสัตว์ทั้งหลาย จึงแสดงธรรมที่บริสุทธิ์ทุกเมื่อ
11 เธอ (พระปูรณไมตรยาณีบุตร) ได้ประกาศพระสัทธรรมอันประเสริฐสุด เป็นผู้อบรมสัตว์หลายพันโกฏิให้มีอุปนิสัยแก่กล้า ในยานอันประเสริฐสุดนี้ ทั้งได้ชำระเกษตรของตนให้สะอาดยิ่งนักอีกด้วย
12 ในอนาคตกาล เธอ (พระปูรณไมตรยาณีบุตร) จักบูชาสักการะพระพุทธเจ้าหลายพันโกฏิพระองค์เหมือนวันนี้ และ
จักได้รับพระสัทธรรมอันประเสริฐสุด พร้อมกับจักชำระเกษตรของตนให้สะอาดด้วย
13 เธอ (พระปูรณไมตรยาณีบุตร) เป็นผู้ฉลาดหลักแหลม แสดงธรรมด้วยอุบายที่ลาดหลายพันโกฏิวิธีเสมอๆ จักอบรมสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากให้มีอุปนิสัยแก่กล้า ในสรรวัชญาชญาณที่ไม่มีอาสวะทั้งปวง
14 เธอ (พระปูรณไมตรยานีบุตร) นั้น หลังจากได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าทั้งหลายและทรงจำพระสัทธรรม อันประเสริฐ ไว้ได้ทุกเมื่อแล้ว จักเป็นพระสยัมภูพุทธเจ้าในโลก มีพระนามปรากฏในทุกทิศว่า "พระสัทธรรมประภาส"
15 ก็แล (พุทธ) เกษตรของ พระธรรมประภาส นั้น จักสะอาด หมดจด งดงาม ด้วยรัตนะ 8 ประการตลอดเวลา กัลป์ของพระองค์มีชื่อว่า "รัตนาวภาส" และโลกธาตุจะมีชื่อวา "สุวิศุทธะ"
16 โลกธาตุที่ชื่อว่า สุวิศุทธะ เพราะมีพระโพธิสัตว์จำนวนมากหลายพันโกฏิที่เป็นผู้แตกฉานในอภิญญา เป็นผู้บริสุทธิ์และมีฤทธิ์มาก
17 ครั้งนั้น พระผู้นำ (พระพุทธเจ้าธรรมประภาส) มีสาวกจำนวนมากหลายพันโกฏิ ซึ่งมีฤทธิ์มาก ได้วิโมกข์¹⅞8 และได้บรรลุปฏิสัมภิทาทั้งหลาย
18 สัตว์ทั้งปวงในพุทธเกษตรนั้น เป็นโอปปาติกะ (เกิดผุดขึ้นมาเอง) มีผิวกายสีทองสมบูรณ์ด้วยรูปลักษณะ 32 ประการ เป็นผู้บริสุทธิ์หมดจด และประพฤติพรหมจรรย์ทุกคน
19 ณ ที่นั้น (พุทธเกษตรนั้น) ไม่มีการเรียนรู้เรื่องอาหาร มีแต่ความยินดีในธรรม ความปีติในฌาน ไม่มีมาตุคาม ไม่มีภัยจากทุกข์คติในอบาย
20 (พุทธ)เกษตร ที่ประเสริฐเช่นนี้ ของปูรณไมตรยาณีบุตร (พระพุทธเจ้าธรรมประภาส ผู้มีพระคุณอันไพบูลย์ ย่อมดารดาษไปด้วยสัตว์ผู้เจริญ ดังได้กล่าวมาแล้ว
    ครั้นนั้นแล พระอรหันต์ 1200 รูปเหล่านั้น ได้เกิดความคิดขึ้นว่า พวกเราอัศจรรย์และประหลาดใจว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตของเรา จะแยกพยากรณ์พวกเรา เหมือนกับทรงพยากรณ์มหาสาวกทั้งหลายเหล่าอื่นหรือไม่หนอ
    ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบข้อปริวิตกแห่งจิตของมหาสาวกทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยพระทัยของพระองค์ จึงได้ตรัสกับท่านมหากาศยปะ ว่า ดูก่อนกาศยปะ เราจะพยากรณ์อรหันต์ 1200 รูปนี้ ซึ่งพร้อมหน้ากันนี้ ณ ที่นี้ ดูก่อนกาศยปะ หลังจากพระพุทธเจ้า 62 หมื่นแสนโกฏิล่วงไป ในบรรดาพระอรหันต์ทั้งหมดนั้น พระมหาสาวกภิกษุเกาณฑินยะ จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลก ทรงพระนามว่า "สมันตประภาส" พระองค์ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่หาผู้เปรียบมิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม
  ดูก่อนกาศยปะ ในบรรดาพระตถาคตเหล่านั้น พระตถาคคต 500 รูป จักมีนามอย่างเดียวกัน หลังจากนั้น  พระมหาสาวกทั้งหมด อีกจำนวน 500 รูป ก็จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณต่อไป พระตถาคตทั้งหมดจักมีพระนามว่า สมันตประภาส เหมือนกัน พระอรหันต์ 500 รูป ที่เป็นประมุข คือ พระคยากาศปะ พระนทีกศปะ พระอุรุวิลกาศยปะ พระกาละ พระกาโลทายี พระอนิรุทธะ พระเรวตะ พระกัปผิณะ พระพักกุละ พระจุนทะ และสวาคตะ  ก็ในเวลานั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
21 พระสาวกของเรา ซึ่งเป็นกาณฑินยโคตร จักเป็นพระตถาคต เป็นที่พึ่งของชาวโลก ในอนาคตกาล ยุคอนันตกัลป์ จักได้สั่งสอนสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ
22 ในอนาคตกาล ยุคอนันตกัลป์ หลังจากเขา (เกาณทินยะ) ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าจำนวนมากแล้ว จำได้เป็นพระชินเจ้าทรงพระนามว่า "สมันประภาส" และพุทธเกษตรของพระองค์บริสุทธิ์ยิ่งนัก
23 พระองค์(สมันตประภาส) นั้นมีเดช ประกอบด้วยพลังแห่งพุทธะ มีพระสุรเสียงก้องกังวาน ไปทั่วทั้งสิบทิศ มีหมู่สัตว์หลายพันโกฏิแวดล้อมติดตาม จักแสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐสูงสุด
24 ณ ที่นั้น จะมีพระโพธิสัตว์มากมาย ที่เป็นผู้ประเสริฐ มีศีลบริสุทธิ์ มีอาจาระอันดีงาม ขึ้นนั่งบนวิมานที่ประเสริฐ แล้วพิจารณาข้อธรรมอยู่
25 (พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย) เหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมของพระตถาคตผู้ประเสริฐกว่า หมู่มนุษย์แล้ว จักไปสู่เกษตรอื่นอยู่เสมอ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น เป็นผู้กราบไหว้ พระพุทธเจ้าจำนวนหลายพัน ได้ทำการบูชาอย่างกว้างขวางต่อพระพุทธเจ้าเหล่านั้น
26 พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จะกลับมายังพุทธเกษตรของพระตถาคตสมันตประภาส ซึ่งเป็นผู้นำนั้น เพียงชั่วขณะหนึ่ง อำนาจจริยาวัตรของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายจะปฏิบัติเช่นนั้น
27 พระสุคต (พระสมันตประภาส) พระองค์นั้น จำมีพระชนมายุหกหมื่นกัลป์บริบูรณ์ หลังจากปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมของพระองค์จะตั้งมั่นอยู่ในโลกนี้เป็นเวลาทวีคูณ
28 สัทธรรมปฏิรูปของพระองค์ จะดำรงอยู่ต่อไปอีกสมัยหนึ่ง เป็นเวลานานถึงสามเท่า หลังจากพระสัทธรรมของพระองค์ได้เสื่อมไปแล้ว เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักเดือดร้อน
29 ต่อจากนั้น จะมีพระชินเจ้า ผู้นำที่สูงสุดในหมู่มนุษย์ อีก 500 องค์ มีพระนามอย่างเดียวกันคือ "สมันตประภาส" พระชินเจ้าเหล่านั้น จักมีต่อเนื่อง สืบต่อกันไป
30 กระบวนการเช่นนี้ จักเป็นพลังแห่งฤทธิ์ ของพระชินเจ้าทั้งหมด แม้พุทธเกษตรคณะ และพระสัทธรรมก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน เพราะพระสัทธรรมของทุกพระองค์จะทัดเทียมกัน
31 สิ่งของทั้งปวง ที่เป็นของพระสมันตประภาส ผู้สูงสุดแห่งมนุษย์นั้น จะมีชื่ออย่างเดียวกัน ทั้งในโลกนี้และเทวโลก ดังที่เราได้พรรณนาไว้แล้วในตอนต้น
32 พระชินเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูล จักพยากรณ์ซึ่งกันและสืบต่อกันไปว่า ผู้อยู่ใกล้ชิดเรา ในวันนี้ จะสั่งสอนชาวโลกทั้งปวงต่อไปเหมือน
เรา
33 ดูก่อนกาศยปะ ณ ที่นี้ ในวันนี้ เธอจงจำไว้ว่า พระอรหันต์ 500 รูป นี้และสาวกอื่นๆ ของเราเป็นอย่างนี้ และเธอจงบอกเรื่องนี้แก่สาวกรูปอื่นๆด้วย
   ครั้นได้ฟังคำพยากรณ์ (อนาคต) ของตน จากพระตถาคตแล้ว พระอรหันต์ทั้ง 500 องค์นั้น ก็มีความยินดี พอใจ เบิกบาน เกิดปรีดีใสมนัสสูงสุด พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ 
   ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ได้น้อมกายถวายอภิวาทพระบาทของพระผู้มีพระภาคแล้วกราบทูลอย่างนี้ว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์ ที่แสดงธรรมอย่างนี้ เพราะเข้าใจผิดว่า จิตที่เป็นไปอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ คือพระนิพพานของข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์สิ้ทุกข์แล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค นี่คือสิ่งที่พวกข้าพระองค์ เป็นคนโง่ ไม่ฉลาด ไม่รู้ระเบียบวิธี เพราะเหตุอะไรเล่า ข้าแตะพระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์ เป็นผู้ยินดีด้วยความรู้ที่มี อย่างนี้ เป็นเหตุให้พวกข้าพระองค์ สละความรู้ของพระตถาคต ที่ทุกคนพึงรู้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหมือนบุรุษบางคน ที่เข้าไปสู่บ้านของมิตรแล้วเมาหรือหลับไป มิตรคนนั้น ได้ผูกรัตนมณีมีค่าไว้ที่ชายผ้าของเรา ด้วยคิดว่า มณีรัตนะนี้เป็นของเขา
  ข้าแต่พระผู้มีพระภาคบุรุษนั้น ได้ลุกจากอาสนะแล้วเดินทางต่อไป เมื่อเขาเดินทางมาถึงชนบทและเมืองอื่นๆ เข้าต้องประสบกับความลำบายในเมืองนั้นๆ เขาต้องประสบกับความลำบาก เพราะต้องแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม เข้าได้รับอาหารเพียงเล็กน้อย โดยใช้ความพยายามเป็นอย่างมาก ก็ใครเล่าจะยินดีปรีดาด้วยอาหารของตนเพียงเท่านั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค
 ครั้งนั้น บุรุษผู้เป็นมิตรเก่าที่เคยผูกรัตนะอันมีค่าไว้ที่ชายผ้าของเขา ได้พบเขาอีกครั้งหนึ่ง จึงกล่าวว่า ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ
ทำไมท่านต้องลำบาก เพราะเหตุแห่งการแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่มอีกเล่า
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ เราได้ผูกมณีรัตนะอันมีค่า ซึ่งจะเป็นประโยชน์ ด้วยการอยู่อย่างมีความสุข จะบันดาลความปรารถนาทั้งปวงให้ได้ ไว้ที่ชายผ้าของท่าน
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ มณีรัตนะนี้ ข้าพเจ้าให้แก่ท่าน
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญท่านไม่เห็นหรือว่า เพราะเหตุไรและทำไม ข้าพเจ้าจึงผู้มณีรัตนะไว้ และอะไรเป็นปฐมเหตุให้ผูกมณีรัตนะนี้ไว้
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญ ท่านที่ยินดีแสวงหาอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ด้วยความยากลำบากนั้น ควรจะเป็นผู้โง่เขลา
             ดูก่อนบุรุษผู้เจริญท่านจงไป จงถือเอามณีรัตนะนี้ ไปสู่มหานคร แล้วขายมัน ท่านจงใช้ทรัพย์นั้น ลงทุนกระทำกิจการทั้งปวง
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในกาลก่อน ครั้งเมื่อพระตถาคต ประพฤติวัตรปฏิบัติของพระโพธิสัตว์อยู่นั้น ได้ยังจิตที่หยั่งรู้ญาณทั้งปวงให้เกิดขึ้น แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่พวกข้าพระองค์ทั้งหลายไม่รู้ ไม่เข้าใจญาณเหล่านั้น
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์เหล่านั้น เข้าใจว่า พระอรหันต์คือความสุขสูงสุดในโลกนี้ ข้าพระองค์ทั้งหลาย จึงอยู่ด้วยความลำบาก
             ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมถึงความยินดีด้วยญาณที่สละทิ้งไป แต่ประณิธานในพระโพธิญาณชั้นสูงสุดทั้งปวง ยังไม่หายไป
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้ที่พระตถาคต
             ทรงแนะนำว่า  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงอย่าคิดว่าพระนิพพานเป็นอย่างนี้
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย กุศลมูลที่เราอบรมให้ในกาลก่อน ย่อมีอยู่ในอุปนิสัยของเธอทั้งหลาย ขณะนี้ ท่านทั้งหลาย ย่อมเข้าใจ กุศโลบายของเราว่า นี่เป็นพระนิพพาน ด้วยคำว่า ธรรมเทศนา
             ครั้นพระผู้มีพระภาคอบรมให้รู้แจ้งแล้ว จึงได้พยากรณ์พวกข้าพระองค์ในเรื่องอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 ได้ยินว่า ในครั้งนั้น พระสาวกจำนวน 500 รูปซึ่งมีพระอัชญาตเกาณฑินยะ เป็นประมุข ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
34 พวกข้าพระองค์ปลื้มปีติยินดีเป็นอย่างยิ่ง เมื่อได้ทราบถึงความสำเร็จอันสูงสุดเช่นนี้ ที่พวกข้าพระองค์ได้กระทำ เพื่อพระโพธิญาณอันประเสริฐยิ่ง ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ ข้าแต่พระตถาคตผู้ประเสริฐ พระองค์เป็นผู้มีจักษุอันหาที่สุดมิได้(อย่างแท้จริง)
35 ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขอแสดงความผิด ณ ที่ใกล้ชิดต่อพระองค์ เพราะพวกข้าพระองค์ยังโง่เขลา ไม่ฉลาด ยินดีกับความสุขทั่วไปในศาสนาของพระสุคต
36 เหมือนบุรุษบางคนในโลกนี้ ได้ไปสู่บ้านของมิตร ซึ่งมิตรของเขาเป็นผู้มีทรัพย์และมั่งคั่ง มิตรคนนั้นได้ให้ขาทนียะและโภชนียะจำนวนมากแก่เขา
37 ครั้นเลี้ยงดูด้วยโภชนะแล้ว มิตรคนนั้นรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก ได้มอบรัตนะอันมีค่ามาก โดยใช้ชายผ้าผู้เป็นปมห่อหุ้มไว้ให้แก่บุรุษนั้น
38 บุรุษนั้น เป็นคนโง่ ครั้นลุกขึ้นแล้วก็เที่ยวเดินทางไปสู่เมืองอื่น เขาประสบกับความทุกข์ยาก กลายเป็นคนตกต่ำ เที่ยวขออาหาร(ผู้อื่น)ด้วยความยากลกลำบากยิ่ง
39 เขาพอใจในอาหารที่ขอมาได้ โดยไม่ได้คิดถึงอาหารอื่นที่ดีกว่า แม้รัตนะ(ที่ได้รับ)เขาก็ลืมสนิท ไม่ได้ระลึกถึงรัตนะในห่อผ้านั้นเลย
40 ขณะนั้น เขาได้พบกับมิตรเก่าที่เคยให้รัตนะแก่เขา ที่บ้านของตน มิตรผู้ประเสริฐได้เตือนเขาพร้อมกับชี้ให้ดูรัตนะในห่อผ้านั้น
41 เมื่อเห็นดั้งนั้น เขาจึงมีความสุขเป็นอย่างยิ่ง อานุภาพของรัตนะเป็นอย่างนี้เอง คือ เขาเป็นผู้มีทรัพย์มาก มีรัตนะและถึงพร้อมด้วยกามคุณทั้ง5
42 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อย่างนี้นั่นเอง พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่ทราบรูปอย่างนี้ ที่เป็นประณิธานในกาลก่อน ที่พระตถาคตประทานแก่พวกข้าพระองค์สิ้นราตรีนานในกาลก่อน
43 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์เป็นผู้มีความรู้น้อย ในโลกนี้ ไม่ทราบหลักคำสอนของพระสุคต เพราะพวกข้าพระองค์ยินดีด้วย คำว่าพระนิพพาน ซึ่งเป็นที่น่าปรารถนาและน่ายินดีสูงสุด
44 พวกข้าพระองค์ เป็นผู้ที่พระองค์ผู้เป็นภราดรของชาวโลก ได้อบรมแล้วว่าอย่างนี้ มิใช่ความสุขที่แท้จริง ความรู้อันประณีตของบุรุษผู้สูงสุดเท่านั้น ที่ควรเรียกว่า เป็นความรู้สูงสุด
45 เมื่อได้ฟังคำพยากรณ์ที่ดี มีความสมบูรณ์หลายอย่าง หาที่เปรียบมิได้เช่นนี้ พวกข้าพระองค์จึงเกิดปีติ ที่สมบูรณ์สูงสุด เพื่อพยากรณ์กันและกันสืบไป
 บทที่ 8 ปัญจภิกษุศตวยากรณปริวรรต ว่าด้วยการพยากรณ์ภิกษุ 500 รูป ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้