Translate

16 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๓ เอาปัมยปริวรรต ว่าด้วยอุปมาการเปรียบเทียบ

     
ก็ในเวลานั้นท่านพระศาริบุตรมีความร่าเริงยินดีปราโมทย์  
 
ปีติโสมนัส เลื่อมใส ประคองอัญชลี ไปทางพระผู้มีพระภาค ณ เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค เพ่งมองพระผู้มีพระภาคอยู่พร้อมกับกราบทูลว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ได้ฟังพระสุรเสียงเห็นปานนี้ในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคแล้ว ไม่มีความอัศจรรย์ใจและประหลาดใจ เป็นอย่างมาก ข้อนั้น เพราะเหตุไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะว่า ข้าพระองค์ไม่ได้ฟังธรรมเห็นปานนี้จากที่ใกล้พระผู้มีพระภาคมาก่อนเลย ข้าพระองค์ได้เห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่าอื่น และได้ยินว่าพระโพธิสัตว์เหล่านี้ จะได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตด้วยแล้ว ยิ่งเสียใจเป็นที่สุด และขัดเคียงใจที่ผิดหวังจาการรู้เห็นวิสัยญาณของพระตถาคต ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บ่อยครั้ง เมื่อใดที่ข้าพระองค์เดินไปตามซอกเขา ป่าลึก สวนที่สวยงาม
 ที่ฝั่งแม่น้ำและที่โคนต้นไม้ เพื่อจะพักผ่อนในเวลากลางวัน ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ย่อมพักด้วยอาการอย่างนี้เป็นส่วนมากแต่พระองค์ได้มอบ หีนยาน ให้แก่พวกข้าพระองค์
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่ว่าขณะนี้ข้าพระองค์สำนึกได้แล้วว่า นั่นเป็นความผิดของพวกข้าพระองค์เอง ไม่ใช่ความผิดของพระผู้มีพระภาคข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า ถ้าข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้พบพระผู้มีพระภาคตอนที่ทรงแสดงพระธรรมเทศนาอันประเสริฐ ปรารภอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณอยู่
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็จะได้ชื่อว่า พระองค์ได้ประทานธรรมทั้งหลายเหล่านั้นให้แล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระโพธิสัตว์ทั้งหลายไม่อยู่ด้วย เพราะข้าพระองค์ทั้งหลายไม่เข้าใจคำสอนอันลึกซึ้งของพระผู้มีพระภาค ฟังธรรมเทศนาของพระตถาคต ที่ทรงแสดงเบื้องต้นเท่านั้น ก็ต่วนยึดถือ ทรงจำไว้ เจริญ คิดและกระทำไว้ในใจ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์นั้นจึงให้เวลาทั้งกลางคืนและกลางวัน โดยส่วนใหญ่ให้ล่วงไปด้วยการบริภาษตนเองอยู่เสมอ 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ข้าพระองค์ได้ถึงความสงบแล้ว
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาควันนี้ข้าพระองค์หลุดพ้นแล้ว
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ข้าพระองค์ได้บรรลุอรหัตผลแล้ว
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ ข้าพระองค์เป็นบุตรผู้ประเสริฐของพระตถาคต ผู้เกิดแล้ว ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค คือ ผู้เกิดจากธรรม ผู้ได้รับการนิรมิตจากธรรม ผู้เป็นธรรมทายาท และผู้สมบูรณ์อยู่ในธรรม
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค วันนี้ข้าพระองค์ได้ฟังธรรมอันประเสริฐที่ยังไม่เคยฟังมาก่อน เห็นปานนี้ อย่างชัดเจน (กึกก้อง) จากที่ใกล้ๆ ของพระผู้มีพระภาค ได้เป็นผู้หมดความรุ่มร้อนแล้ว
  ในขณะนั้นแล ท่านศาริบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค เป็นคาถาทั้งหลายว่า
1       ข้าแต่พระผู้นำ (แห่งโลก) ผู้ยิ่งใหญ่ ข้าพระองค์ ครั้นได้ฟังพระสุรเสียงนี้แล้ว ก็เกิดอัศจรรย์และตื่นเต้น ข้าพระองค์หมดความสงสัยใดๆ ในใจแล้ว และเป็นผู้มีอุปนิสัยแก่กล้าในยานอันประเสริฐนี้
2       พระสุรเสียงของพระสุคตทั้งหลายอัศจรรย์ยิ่งนัก ย่อมทำลายความสงสัย และความเศร้าโศกของสัตว์ทั้งหลายได้พินาศสิ้น ข้าพระองค์สิ้นอาสวะและปราศจากความเศร้าโศกทั้งปวง ก็เพราะได้ฟังพระสุรเสียงนั้นแล
3       ข้าพระองค์พักผ่อนในเวลากลางวัน และเดินจงกรม เข้าไปสู่ป่า สวน โคนต้นไม้และซอกเขา ย่อมครุ่นคิดอยู่อย่างนี้นั่นแล
4       ข้าพระองค์ถูกความคิดเลวทราบครอบงำ ในธรรมที่บริสุทธิ์(ไร้อาสวะ) เป็นธรรมที่มีความเสมอภาค (แก่มนุษย์ทุกคน) แล้วในอนาคต ข้าพระองค์ จะไม่สอนธรรมอันประเสริฐนี้ในโลกทั้งสามละหรือ
5       ข้าพระองค์สูญสิ้นมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการและฉวีวรรณดุจสีทอง พลังและโมกษะทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะหายสิ้น ข้าพระองค์ เป็นผู้มีโมหะ ในธรรมทั้งหลายที่เสมอภาค(แก่มนุษย์ทุกคน)
6       ข้าพระองค์สูญสิ้น ความสมบูรณ์แห่งอณุพยัญชนะ ที่ประเสริฐ แห่งมหามุนีอณุพยัญชนะ และอาเวณิกรรม (ธรรมอันประเสริฐ) 18 ประการ เพราะข้าพระองค์ถูกโมหะครอบงำแล้ว
7       ข้าพระองค์ขณะพักผ่อนตอนกลางวัน และได้เห็นพระองค์ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์เกื้อกูลแก่ชาวโลกแล้ว คิดอยู่แต่ผู้เดียวว่า ข้าพเจ้านี้ ได้เสื่อมจากอสังคธรรม(โลกุตตรธรรม)และอจินตธรรมเสียแล้ว
8       ข้าแต่พระผู้มีพระภาค (นาถ) เมื่อข้าพระองค์คิดอยู่อย่างนี้ วันคือทั้งหลายก็หมดสิ้นไป ข้าพระองค์ขอทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าพระองค์เป็นผู้หมดโอกาสแล้วหรือไม่
9       ข้าแต่พระผู้เป็นจอมแห่งพระชินเจ้า เมื่อข้าพระองค์คิดอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา กลางคืนและกลางวันผ่านพ้นไป ข้าพระองค์ได้เห็นพระโพธิสัตว์อื่นๆ จำนวนมากที่พระองค์ทรงสรรเสริญ
10     (ข้าพระองค์) ฟังพุทธธรรมนั้นแล้วคิดว่า นัยว่าธรรมนั้นเป็นภาษิตลุ่มลึก สุขุม ปราศจากอาสวะ ซึ่งพระชินเจ้าได้ทรงประกาศแล้วที่โพธิมณฑล
11     ในอดีต ข้าพระองค์ได้หมกมุ่นอยู่กับทิฏฐิ(ความเห็น) ที่เป็นเดียรถีย์ปริพาชก หลังจากนั้น พระองค์ผู้เป็นนาถะ(แห่งโลก) ได้ทรงทราบอัธยาศัยของข้าพระองค์แล้ว ทรงแสดงพระนิพพาน เพื่อความหลุดพ้นจากทิฏฐินั้น
12     ข้าพระองค์ครั้นพ้นจากทิฏฐิ โดยประการทั้งปวง และได้สัมผัสกับศูนยตาธรรมทั้งหลายแล้ว จากนั้น ข้าพระองค์ จึงทราบว่า ข้าพระองค์ได้ถึงความดับแล้ว แต่ยังไม่เรียกว่า นี้คือนิพพานที่แท้จริง
13     แต่ว่า เมื่อใด สัตว์ผู้ประเสริฐได้เป็นพุทธะ มีมนุษย์ เทวดา ยักษ์ และรากษส บูชาแล้ว ถึงพร้อมด้วยรูปมหาปุริสลักษณะ 32 ประการ เมื่อนั้นและที่นั้น เขาจึงชื่อว่าเป็นผู้มีนิพพานโดยสิ้นเชิง
14     ในวันนี้ พระองค์ทรงพยากรณ์ธรรม ในพระโพธิญาณอันประเสริฐ ณ เบื้องหน้าชาวโลก พ้อมทั้งเทวโลก ข้าพระองค์ได้ดับ (กิเลส) สิ้นแล้ว เพราะได้ฟังพระสุรเสียง (ของพระองค์) ความกังวลใจทั้งปวงก็ดับไปด้วย
15     ตอนแรกเมื่อได้ฟังพระสุรเสียงของพระองค์ผู้เป็นใหญ่แล้ว ข้าพระองค์ได้ตกใจกลัวยิ่งนัก ด้วยคิดว่า ขออย่าให้มารร้าย ผู้เบียดเบียน แปลงเพศมาเป็นองค์พุทธะเลย 
16     แต่เมื่อพระองค์ ได้ทรงแสดงพุทธโพธิญาณอันประเสริฐ ให้ปรากฏ ด้วยเหตุผลและอุทาหรณ์มากมายหลายหมื่นโกฏิแล้ว ครั้นข้าพระองค์ ได้ฟังธรรมนั้นแล้ว ก็หมดข้อสงสัย 
17     เมื่อพระองค์พรรณนาถึงพระชินพุทธเจ้าทั้งหลายพันโกฏิ ที่ดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แก่ข้าพระองค์ว่า ท่านเหล่านั้น ได้แสดงพระธรรมนี้ ให้ตั้งมั่นด้วยความฉลาดในอุบายอย่างไร 
18     และพระพุทธเจ้าในอนาคตอีกจำนวนมาก ที่แสดงธรรมอันลึกซึ้งนี้(ที่จะบังเกิด) ในโลก ท่านเหล่านั้น ก็จักชี้แจง แสดงธรรมนี้ ด้วยความฉลาดในอุบายหลากหลายวิธีเช่นกัน
19     ความประพฤติที่พระองค์ได้เสด็จออกอภิเนษกรมณ์ ได้รับการสดุดีเช่นไร การตรัสรู้ และพระธรรมจักร เป็นเช่นไร พระองค์ได้แสดงธรรมเทศนาไว้แล้วอย่างนั้น
20     ตั้งแต่นั้น ข้าพระองค์จึงทราบว่า ผู้นี้ต้องไม่ใช่มาร (แต่) เป็นพระโลกนาถผู้แสดงธรรม (ข้อปฏิบัติ) แก่สัตว์ทั้งหลายอยู่ คติแห่งมารทั้งหลายย่อมไม่มีในที่นี้ (ไม่มีมารใดทำเช่นนี้ได้) จิตของข้าพระองค์ก็ได้ถึงวิจิกิจฉา (ยังสงสัย)
21     แต่ข้าพระองค์รู้สึกปลื้มปีติ เมื่อได้ฟังพระสุรเสียงขององค์พระพุทธเจ้า อันไพเราะที่ลึกซึ้งและอ่อนโยนแล้ว ความสงสัยลังเลใจทั้งปวงของข้าพระองค์
 ก็พินาศสูญหายสิ้น และข้าพระองค์ก็ได้ตั้งมั่นอยู่ในธรรม
22     ข้าพระองค์แน่ใจว่า จะได้เป็นพระตถาคต อันเป็นที่เคารพบูชาทั้งในโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก ข้าพระองค์จักรวบรวมแสดงธรรม ให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากเข้าถึงพุทธโพธิญาณ 
          เมื่อท่านพระศาริบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า
             ดูก่อนศาริบุตร เราขอประกาศแก่เธอ ต่อหน้าชาวโลก พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ต่อหน้าประชาชนพร้อมทั้งสมณะพราหมณ์ทั้งหลาย
             ดูก่อนศาริบุตร เราได้อบรมเธอให้พร้อมในอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ณ ที่ ใกล้พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวนยี่สิบหมื่นแสนโกฏิ
             ดูก่อนศาริบุตร เธอได้ศึกษา(คำสอน) ของเรา มาเป็นเวลาช้านานแล้ว
             ดูก่อนศาริบุตร เธอนั้นได้มาเกิดในศาสนาของเราในโลกนี้ โดยการปรึกษาหารือและเห็นพ้องของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย
             ดูก่อนศาริบุตร โดยการอธิฐานของพระโพธิสัตว์ เธอจึงมิได้ระลึกถึงประณิธานแห่งการประพฤติธรรมในอดีตของเธอ การปรึกษาหารือและการเห็นพ้องต้องกันของพระโพธิสัตว์ เธอเข้าใจว่า เธอดับสนิทแล้ว
              ดูก่อน ศาริบุตรเรานั้น ใคร่จะให้เธอระลึกถึงประณิธานแห่งการประพฤติกรรม และการรู้ธรรม ในอดีต จึงขอประกาศ พระสูตรที่สมบูรณ์และยิ่งใหญ่ ชื่อ สัทธรรมปุณฑรีก ธรรมบรรยายนี้ ซึ่งเป็นโอวาทของพระโพธิสัตว์ และเป็นข้อปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทั้งปวง แก่สาวกทั้งหลาย 
             ดูก่อนศาริบุตร ในอนาคตกาล เมื่อเธอได้ธำรงพระสัทธรรมของพระตถาคตหลายหมื่นแสนโกฏิ ด้วยจำนวนกัลป์ ที่นับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ คำนวณไม่ได้ และได้ทำการบูชาต่างๆ ทั้งประพฤติข้อปฏิบัติของพระโพธิสัตว์นี้ให้สมบูรณ์ จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ในโลก นามว่า ปัทมประภา ที่ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถึงฝึกบุรุษที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายเป็นผู้เบิกบานและเป็นผู้จำแนกธรรม
             ดูก่อนศาริบุตร สมัยนั้นแล พุทธเกษตรของพระตถาคตพระผู้มีพระภาค ปัทมประภา พระองค์นั้น มีชื่อว่า วิรชะ
 เป็นสถานที่ราบเรียบ น่ารื่นรมย์ น่ายินดี และน่าดูอย่างยิ่ง
 เป็นสถานที่บริสุทธิ์ กว้างขวาง สมบูรณ์ (ด้วยพืชพันธุ์ธัญญาหาร)
  เป็นแดนเกษตร อุดมสมบูรณ์ด้วยภักษา มีหมู่ชนมากมาย ทั้งชายหญิง เต็มไปด้วยทวยเทพ มีแก้วไพฑูรย์
 เป็นสถานที่ต่อเนื่องกันเป็นตาหมากรุก มีแนวเป็นทอง และในตาหมากรุกเหล่านั้น ดารดาษไปด้วยต้นรัตนพฤกษ์ทั้งหลาย ซึ่งผลิตดอกออกผล เป็นรัตนะ 8 ประการ อย่างไม่ขาดสาย 
             ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าปัทมประปา พระองค์นั้น อาศัยยานทั้งสามนั้นแล้ว จักประกาศพระธรรม
             ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้นไม่บังเกิดในกัลป์ที่เสื่อมโทรมก็จริง ถึงกระนั้น (พระองค์) ก็จักแสดงธรรมด้วยอำนาจแห่งประณิธาน
            ดูก่อนศาริบุตร กัลป์นั้น มีชื่อว่า มหารัตนประติมัณฑิต
            ดูก่อนศาริบุตร ท่านเข้าใจสิ่งนั้นว่า เป็นอย่างไร เพราะเหตุไร กัลป์นั้นจึงเรียกว่า มหารัตนประติมัณฑิต
            ดูก่อนศาริบุตร พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในพุทธเกษตร ถูกเรียกว่า รัตนะ ในสมันนั้น ในโลกธาตุชื่อว่า วิรชะ นั้น มีพระโพธิสัตว์จำนวนมาก จนประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ คิดคำนวณไม่ได้ กำหนดไม่ได้ เกินกว่าที่จะนับพระตถาคตด้วยวิธีอื่นๆ เพราะฉะนั้น กัลป์นั้นจึงเรียกว่า มหารัตนประติมัณฑิต แล 
            ดูก่อนศาริบุตร ก็โดยสมัยนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในพุทธเกษตรนั้น ได้ก้าวก้าวไปบนดอกบัวแก้วทุกก้าว ก็พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น มิใช่เป็นผู้เริ่มต้นการทำกรรม แต่เป็นผู้มีกุศลมูลสะสมมาแล้วเป็นเวลาช้านาน ได้ประพฤติพรหมจรรย์กับพระพุทธเจ้าจำนวนหลายแสงองค์ ได้รับการสรรเสริญจากพระตถาคต เป็นผู้เพียบพร้อมด้วยพุทธญาณ เป็นผู้รู้มหาอภิญญาบริกรรมฉลาดในธรรมทั้งปวง มีความชื่อตรงและมีสติ
             ดูก่อนศาริบุตร โดยมากพุทธเกษตรจะเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเช่นนี้ 
               ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคต ปัทมประภา นั้น จะมีพระชนมายุ 12 กัลป์ โดยไม่ยกเว้นช่วงเวลาที่ทรงเป็นพระกุมาร ส่วนสัตว์ทั้งหลายจะมีอายุ 8 กัลป์
               ดูก่อนศาริบุตร พอล่วงเลยไปได้ 8 กัลป์ พระตถาคต ปัทมประภา นั้น หลังจากได้ทรงพยากรณ์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ นามว่า ธฤติปริปูรณะ ไว้ในพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
               ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ ธฤติปริปูรณะ นี้จักตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณต่อจากเรา พระองค์จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า ปัทมวฤษภิกรามี ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้ง ผู้เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ไม่มีใครอื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้จำแนกธรรมในโลก
             ดูก่อนศาริบุตร พุทธเกษตรของพระปัทมวฤษกวิกรามี จักเป็นเช่นนี้
               ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคต ปัทมประภา นั้น จะมีพระชนมายุ 12 กัลป์ โดยไม่ยกเว้นช่วงเวลาที่ทรงเป็นพระกุมาร ส่วนสัตว์ทั้งหลายจะมีอายุ 8 กัลป์
             ดูก่อนศาริบุตร พอล่วงเลยไปได้ 8 กัลป์ พระตถาคต ปัทมประภา นั้น หลังจากได้ทรงพยากรณ์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ นามว่า ธฤติปริปูรณะ ไว้ในพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ก็เสด็จดับขันธปรินิพพาน
             ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระโพธิสัตว์ มหาสัตว์ ธฤติปริปูรณะ นี้จักตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณต่อจากเรา พระองค์จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า นามว่า ปัทมวฤษภิกรามี ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้ไปดีแล้ว ผู้รู้แจ้ง ผู้เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ไม่มีใครอื่นยิ่งไปกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้จำแนกธรรมในโลก
             ดูก่อนศาริบุตร พุทธเกษตรของพระปัทมวฤษกวิกรามี จักเป็นเช่นนี้
             ดูก่อนศาริบุตร ก็แลพระตถาคต ปัทมประภา ที่ปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมของพระองค์จะดำรงอยู่ต่อไปถึง 33 กัลป์ และเมื่อพระสัทธรรมของพระองค์สิ้นไป สัทธรรมปฏิรูปก็จะดำรงอยู่ได้ถึง 32 กัลป์ ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
23     ดูก่อนศาริบุตร ในอนาคต เธอจักเป็นชินตถาคต นามว่า ปัทมประภา ผู้หยั่งรู้ธรรมทุกประการ (สมันตจักษุ) จักแสดงพุทธญาณ แก่สัตว์หลายพันโกฏิ
24     เธอ เมื่อได้ทำสักการะพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์แล้ว ได้ปฏิบัติจรรยาพละ ณ ที่นั่น และยังทศพลญาณให้เกิดขึ้น แล้วจักบรรลุสัมมาสัมโพธิญาณ
25      ในกัลป์ที่กำหนดไม่ได้ นับไม่ได้ จักมีอยู่กัลป์หนึ่งชื่อว่า ประภูตรัตนะ (มีรัตนะมาก) ณ สมัยนั้น มีโลกธาตุชื่อว่า "วิรชะ" เป็นเขตที่บริสุทธิ์ ของพระชินเจ้า (ผู้ประเสริฐสุดกว่าชนทั้งหลาย
26     พื้นแผ่นดินเต็มไปด้วย แก้วไพฑูรย์ และประดับด้วยเส้นด้ายทอง มีต้นไม้แก้ว เป็นจำนวนหลายร้อย ซึ่งผลิดอกออกผลสวยงามยิ่งนัก 
27     พระโพธิสัตว์จำนวนมาก ที่มีความทรงจำ เชี่ยวชาญในข้อวัตรปฏิบัติ และอภินิหาร ได้ศึกษาข้อปฏิบัติจากกพระพุทธเจ้าหลายร้อยพระองค์ จะไปบังเกิดในพุทธเกษตรนั้น 
28     พระชินเจ้าพระองค์นั้น ในพระชาติสุดท้าย เมื่อพ้นวัยเด็กแล้ว จักสละกาม ออกบวชแล้วจักบรรลุพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
29     ในกาลนั้น พระชินเจ้าพระองค์นั้น จะมีพระชนมายุ 12 กัลป์ ส่วนมนุษย์ผู้เกิดในสมัยนั้น จะมีอายุ 8 กัลป์
30     เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้น ดับขันธปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมของพระองค์จักดำรงอยู่ 32 กัลป์บริบูรณ์ เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก รวมทั้งเทวาทั้งหลายในกาลนั้น
31     ครั้นเมื่อพระสัทธรรม (ของพระองค์) เสื่อมสิ้นไป ธรรมปฏิรูปก็จะดำรงอยู่ถึง 32 กัลป์ พระบรมสารีริกธาตุของพระชินเจ้าพระองค์นั้นผู้มั่นคง จักได้รับการสักการะ บูชาจากมนุษย์และเทวดา เป็นนิจนิรันดร์
32     พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นเช่นนี้ ดูก่อนศาริบุตร ขอเธอจงร่าเริงเถิด เธอนั้นแล จักเป็นพระชินเจ้าองค์นั้น ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ที่ไม่มีใครเทียบได้ 
          ในขณะนั้นแล บริษัทสี่ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร พญานาค มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลาย ได้ยินคำพยากรณ์ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาคว่า ท่านพระศาริบุตร จะได้ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณพากันชื่นชม ยินดี ปราโมทย์ เกิดปีติโสมนัส ได้ทอดผ้าของตนๆ ไปยังพระผู้มีพระภาค และ ท้าวสักกะ จอมเทพ พระพรหม พร้อมทั้งสหัมบดีพรหม และเทพบุตรจำนวนหลายแสนโกฏิ ก็ได้ทอดผ้าทิพย์ไปยังพระผู้มีพระภาค และโปรยปรายดอกมันทารพน้อยใหญ่อันเป็นทิพย์ ทั้งได้ทอดผ้าทิพย์เป็นสายยาวเหยียด พากันประโคมดนตรีทิพย์หลายแสนชนิด ดีกลองไม่ขาดระยะ ทำให้ฝนคือดอกไม้จำนวนมาก โปรยปรายลงมา แล้วเปล่งถ้อยคำวาจาว่า ครั้งแรก พระผู้มีพระภาค ได้ทรงยังพระธรรมจักรให้หมุนไป ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสี
   ก็แล บัดนี้ พระผู้มีพระภาคได้ทรงยังพระธรรมจักร อันประเสริฐ ให้หมุนไป เป็นครั้งที่สอง ในเวลานั้น เทวบุตรทั้งหลายได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
33     ข้าแต่พระมหาวีระ (พระผู้มีพระภาค) ซึ่งหาบุคคลผู้เปรียบเสมอมิได้ พระองค์ทรงหมุนธรรมจักร (ล้อแห่งธรรม) อันเป็นที่เกิดและดิบแห่งขันธ์ทั้งหลายในโลก ณ เมืองพาราณสี
34     ข้าแต่พระนายกะ (ผู้นำแห่งโลก) พระองค์ทรงแสดงพระธรรมจักร ณ ที่นั่น (เมืองพาราณสี) เป็นครั้งแรก และครั้งที่สอง พระองค์ทรงแสดง ณ ที่นี้ ข้าแต่พระนายกะ วันนี้พระองค์ทรงแสดงธรรม ที่รับได้ยากยิ่ง
35     ข้อพระองค์ทั้งหลาย ได้ฟังธรรมมามาก ณ เบื้องพระพักตร์ของพระโลกนาถ ธรรมที่ฟังแล้วครั้งก่อนๆไม่เหมือนกับครั้งนี้เลย
36     ข้าแต่พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ขออนุโมทนาพระดำรัสอันลึกซึ้งของพระองค์(มหาฤษี) ที่พระองค์ทรงพยากรณ์ ท่านพระศาริบุตร ผู้กล้าหาญนี้ว่า จะได้เป็นพระอารยเจ้า
37     แม้ข้าพระองค์ทั้งหลาย พึงได้เป็นพระพุทธะ ผู้ประเสริฐเช่นนี้ ผู้แสดงพุทธโพธิญาณ อันประเสริฐ ด้วยถ้อยคำอันลึกซึ้งด้วยเถิด
38     กุศลมูล ที่ข้าพระองค์ทั้งหลายได้ฟัง และได้กระทำทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า หรือได้บูชาพระพุทธเจ้าแล้ว ของความปรารถนาในพระโพธิญาณ (ของข้าพระองค์) จงสำเร็จด้วยเถิด 
          ครั้งนั้นแล ท่านพระศาริบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาคข้าพระองค์หมดข้อสงสัย คลางแคลงใจแล้ว เพราะได้ฟังคำพยากรณ์เรื่องพระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ของตน (ที่พระองค์ตรัส) ณ เบื้องพระพักตร์อันใกล้ชิดพระองค์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แต่ว่า พระอรหันต์ 1200 รูป ที่พระองค์ทรงสถาปนาไว้ในเสขะภูมิ ทรงโอวาทและตรัสสอนในกาลก่อนว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระธรรมวินัยของเราได้สิ้นสุดลง ด้วยเรื่องนี้ คือ การเข้าถึงพระนิพพานที่ล่วงพ้นชาติ ชรา พยาธิ มรณะ และโศกะ" ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลภิกษุ 2,000 รูป แห่งสาวกของพระผู้มีพระภาค ทั้งที่เป็นพระเสขะและอเสขะทั้งหมด ซึ่งเป็นผู้ปราศจาก อัตตทิฏฐิ ภวทิฏฐิ วิภวทิฏฐิ และทิฏฐิทั้งปวง ที่สำคัญตนว่า พวกเราได้ตั้งอยู่ในภูมิแห่งพระนิพพานแล้ว ดังนี้
 ภิกษุเหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมซึ่งไม่เคยฟังมาก่อนเห็นปานนี้จากที่ใกล้พระผู้มีพระภาค ได้เกิดความสงสัยขึ้นแล้ว ดีละ ขอพระผู้มีพระภาค ได้โปรดตรัสเพื่อบรรเทาความกังวลใจของภิกษุเหล่านี้ โดยประการที่บริษัทสี่ พึงเป็นผู้หมดความสงสัย ความคลางแคลงใจด้วยเถิด 
              เมื่อพระศาริบุตรกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรว่า
             ดูก่อนศาริบุตร เราเคยบอกแก่เธอแล้วมิใช่หรือว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้อุปนิสัยและอารมณ์ของสัตว์ทั้งหลาย จึงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ พระตถาคตปรารภอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณจึงอบรมให้พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีอุปนิสัยแก่กล้า ด้วยธรรมเทศนา ทั้งปวง
             ดูก่อนศาริบุตร เพื่อกระทำความข้อนี้ให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น เราจะเปรียบเทียบให้ท่านฟัง ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า ด้วยการเปรียบเทียบ คนที่มีความรู้ดี ย่อมเข้าใจเนื้อความของคำ ที่เรากล่าวนั้นได้ดี 
             ดูก่อนศาริบุตร สมมติว่า มีคหบดีคนหนึ่ง ในหมู่บ้าน เมือง นิคม ชนบท สถานที่ อันเป็นส่วนชนบท แคว้น หรือราชธานีแห่งหนึ่ง แต่เป็นคนแก่เฒ่า หง่อมชรา มีอายุมาก เป็นผู้ร่ำรวยมีทรัพย์มาก มีโภคะมาก บ้านของเขาสูงใหญ่โต กว้างขวาง สร้างมานานแล้ว และเก่าคร่ำคร่า เป็นทีอาศัยของคนได้ถึง200 คน 300 คน 400 คน หรือ 500 คน ก็แล บ้านหลังนั้นมีประตูเดียว มุ่งด้วยหญ้า หรืออาคารก็สั่นคลอน โคนเสาก็ผุ ปูนฉาบฝากะเทาะหลุดออก วันหนึ่ง บ้านหลังนั้น ถูกไฟไหม้อยู่รอบๆ อย่างรวดเร็ว คหบดีคนนั้น มีลูกหลายคนจะเป็น 5 คน 10 คน 20 คนก็ตาม (อยู่ในบ้าน) ส่วนเขาอยู่นอกบ้าน 
             ดูก่อนศาริบุตร ครั้งนั้นแล บุรุษ(คหบดี) ผู้นั้น เห็นบ้านของตนกำลังถูกกองไฟใหญ่ไหม้อยู่โดยรอบ ตกใจ สะดุ้งกลัว หวาดผวา คิดว่า เรามีพลังมาก สามารถจะวิ่งออกจาก บ้านหลังนี้ ซึ่งกองไฟใหญ่กำลังลุกไหม้อยู่ ได้อย่างเร็วและปลอดภัย ทางประตูบ้าน แต่ลูกเล็กทั้งหลายเหล่านี้ของเราสิ ขณะที่บ้านถูไฟไหม้อยู่ กำลังเล่นสนุกสนาน เพลิดเพลินกับของเล่นอยู่ เข้าไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่เข้าใจ ไม่คิดและไม่เฉลียวใจว่า ไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ เด็กทั้งหลายเหล่านี้ แม้จะถูกกองไฟใหญ่ลวก และได้รับทุกข์ทรมานอยู่ ก็มิได้ใส่ใจความทุกข์นั้นเลย พวกเขา ไม่ได้คิดถึงแม้แต่การจะหนีออกมา 
             ดูก่อนศาริบุตร บุรุษนั้น เป็นผู้มีพลัง มีท่อนแขนกำยำล่ำสัน เขาคิดว่า เรามีพลัง มีท่อนแขนล่ำสัน เราจะรวบรวมเด็กทั้งหมดนั้น เราจะรวบรวมเด็กทั้งหมดนั้น พากออกมาจากบ้าหลังนี้ และเขาก็คิดอีกว่า ได้ยินว่า บ้านหลังนี้มีประตูเข้าออกทางเดียว และประตูก็ปิดอยู่ พวกเด็กก็วิ่งไปมาอยู่ ทั้งตัวเราและเด็กๆ จงอย่างคิดถึงความพินาศเพราะไฟกองใหญ่นี้เลย เราจะเตือนเขาได้อย่างไรหนอ เมื่อคิดดังนี้แล้ว บุรุษนั้น ก็ได้บอกเด็กเหล่านั้นว่า 
             ดูก่อนกุมารผู้เจริญทั้งหลาย เธอทั้งหลาย จงมาทางนี้
 ขอให้เธอทั้งหลายออกมาข้างนอก ไฟกำลังไหม้บ้านอยู่ เธอทั้งหลาย จะถูกไฟกองใหญ่นี้ครอกถึงแก่ความตาย แต่ว่า เด็กเหล่านั้น ไม่เข้าใจ ไม่ใส่ใจ ไม่สนใจ คำพูดของบุรุษผู้หวังดีนั้น และไม่กลัว ไม่สะดุ้งกลัว ไม่คิด ไม่วิ่งออกไป ทั้งนี้ เพราะเด็กเหล่านั้น ไม่รู้ ไม่เข้าใจว่า ไฟไหม้คืออะไร ตรงกันข้าม เด็กเหล่านั้นกลับวิ่งไปมา มองดูบิดาครั้งแล้วครั้งเล่า ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร เป็นเพราะความโง่เขลานั่นเอง 
              ต่อแต่นั้น บุรุษนั้นคิดว่า บ้านหลังนี้ถูกไฟไหม้อย่างหนัก ขออย่างให้เราและเด็กๆ ต้องถึงความพินาศเพราะกองไฟใหญ่นี้เลย อย่างไรก็ตาม เราจะต้องนำพวกเด็กเหล่านี้ออกจากบ้านให้ได้ ด้วยกุศโลบายสักอย่างหนึ่ง
              ก็แล บุรุษนั้น เป็นผู้รู้อัธยาศัย ใจคอของเด็กเหล่านั้นเป็นอย่างดี พวกเด็กมีของเล่นมากมาย ซึ่งเป็นของที่สวยงาม น่าปรารถนา น่าใคร่เป็นที่รัก เป็นที่พอใจและหาได้ยาก 
              ครั้งนั้น บุรุษนั้น ทราบอัธยาศัยของเด็กๆ อยู่ จึงได้พูดกะเด็กๆ
              ดูก่อนกุมารทั้งหลาย พวกเธอจงมาเอาของเล่นทั้งหลาย อันมีสีสรรสวยงามมากมาย น่าชมยิ่งนัก มี ทั้งเกวียนเทียมโค เกวียนเทียมแพะ และเกวียนเทียมกวาง ทุกอย่างล้วนแต่น่ารัก น่าใคร่ น่าพอใจทั้งนั้น เราได้วางไว้ภายนอกประตู เพื่อให้พวกเธอได้เล่นกัน กุมารผู้เจริญทั้งหลาย จงพากันรีบออกมานอกบ้านนั้นเถิด เราจะให้เล่นของเล่น ที่พวกเธออยากได้กัน จงวิ่งออกมาเอาของเล่นกันเร็วๆ เด็กเหล่านั้น เพราะอยากได้ของเล่น
             เมื่อได้ยินชื่อของเล่นเหล่านั้น ซึ่งเป็นของเล่นที่สวยงาม น่ารัก น่าชื่นชม น่าปรารถนา ได้พยายามพากันวิ่งออกจากบ้าน ที่ไฟไหม้อย่างรวดเร็ว โดยไม่รอกันและกัน ด้วยหวังว่า ใครจะวิ่งถึงก่อนกัน   ครั้นบุรุษนั้น เห็นกุมารทั้งหลายเหล่านั้น วิ่งออกมาข้างนอกอย่างปลอดภัย ทราบว่าเขาเหล่านั้นปลอดภัย จึงออกมานอกหมู่บ้าน มีจิตใจปลาบปลื้ม ปรีดาปราโมทย์ หมดความข้องใจ ไร้ความเคลือบแคลงสงสัยและหวาดกลัว
             ก็แลกุมารเหล่านั้นได้เข้าไปหาบุรุษ ผู้เป็นบิดานั้นจนถึงที่(บิดานั่ง) ครั้นเข้าไปหาแล้ว จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่บิดา ขอบิดาให้ของเล่นคือเกวียนเทียมโค เกวียนเทียมแพะ และเกวียนเทียมกวางต่างๆ ที่สวยงามเหล่านั้นแก่ลูกๆเถิด
             ดูก่อนศาริบุตร หลังจากนั้น บุรุษนั้น ได้ให้เกวียนเทียมโคทั้งหลาย ที่มีความเร็วปานลมพัดแก่บุตรของตนเหล่านั้น (เขา) ให้เกวียนเทียมโคทั้งหลาย ที่ประดับด้วยแก้ว 7 ประการ 
มีเบาะนั่ง มีกระดิ่งเล็กๆ ห้อยเรียงราย มีบังเหียนสูง ประกอบด้วยรัตนะอย่างน่าอัศจรรย์ยิ่ง มีพวงมาลัยแก้ว และพวงมาลัยดอกไม้อันสวยงาม มีพรมปู มีเพาะรองนั่ง บุด้วยขนสัตว์ทั้งสองข้าง คลุมด้วยผ้าขาว อันเป็นเกวียนเทียมโคที่มีโคสีขาวและสีนวลวิ่งเร็วลากอยู่ พร้อมทั้งหมู่ชนจำนวนมากร่วมขบวนด้วย (เกวียนเทียมโคนั้น) มีรูปร่างลักษณะต่างๆกัน มีธงปักอยู่และวิ่งได้เร็วดุจลมพัด ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
             ดูก่อนศาริบุตร ที่เป็นเช่นนั้น เพราะว่า บุรุษนั้นเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มียุ้งฉางมาก เขาคิดอย่างนี้ว่า เราให้ยานอื่นแก่เด็กๆ ทั้งหลาย เหล่านี้ไม่มีประโยชน์อะไร ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า เด็กเหล่านี้ทั้งหมด เป็นบุตรของเรา ทุกคนเป็นที่รักใคร่ และปรารถนาของเรา เกวียนใหญ่ๆ เห็นปานนี้ของเรามีอยู่ เด็กเหล่านี้ทั้งหมดไม่ควรคิดว่า แตกต่างจากเรา แม้เรามียุ้งฉางมากมาย เรายังให้เกวียนใหญ่ๆ เห็นปานนี้แก่สัตว์ทั้งหลายได้ จะป่วยกล่าวไปใยถึงบุตรของเราเล่า ในตอนนั้น พวกเด็กเหล่านั้นได้ขึ้นไปบนเกวียนใหญ่เหล่านั้นแล้ว รู้สึกประหลาดมหัศจรรย์ใจมาก
             ดูก่อนศาริบุตร เธอมีความคิดเห็นในเรื่องนี้เป็นอย่างไร บุรุษนั้น เป็นผู้กล่าวเท็จหรือไม่ โดยที่ตอนแรกนั้น เขาได้ชี้ให้กุมารดูเกวียนสามชนิด แต่ภายหลังเขาให้เกวียนใหญ่ที่สวยงามชนิดเดียว แก่เด็กทั้งหมดนั้น พระศาริบุตร กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค หามิได้ ข้าแต่พระสุคต หามิได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษนั้นไม่เป็นผู้กล่าวเท็จ ด้วยเหตุนี้ เพราะว่า นั่นเป็นกุศโลบายที่บุรุษนั้นให้เด็กออกมาจากเรือน ที่กำลังไฟไหม้อยู่ได้ และเป็นการป้องกันชีวิตเด็กด้วย ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร ข้อแต่พระผู้มีพระภาค เพราะว่า เด็กได้ทั้งชีวิต และของเล่นทุกอย่างแล้วข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าว่าบุรุษนั้น ไม่ให้เกวียนสักเล่มแก่เด็กทั้งหลาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เขาก็ไม่เป็นผู้กล่าวเท็จ ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะว่า ครั้งแรก บุรุษนั้นคิดว่า เราจะปลดเปลื้องพวกเด็กให้พ้นจากกองทุกข์อันยิ่งใหญ่ ด้วยกุศโลบาย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ด้วยเหตุนี้คำพูดของเขา จึงไม่เป็นคำเท็จ จะป่วยกล่าวไปไย ในเมื่อบุรุษนั้นคิดว่า ตนมีทรัพย์สินมากมาย ทั้งเห็นว่าเรื่องความรักลูกเป็นสิ่งสำคัญ จึงได้มอบเกวียนใหญ่ชนิดเดียวให้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษนั้น มิได้เป็นผู้กล่าวเท็จเลย 
          ครั้นพระศาริบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระศาริบุตรว่า ดูก่อนศาริบุตร ดีละ ดีละ
          ดูก่อนศาริบุตร ข้อนั้นเป็นอย่างที่เธอกล่าวนั่นแล
          ดูก่อนศาริบุตร เป็นอย่างนั้นแล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นผู้พ้นจากภัยทั้งปวงแล้ว พ้นแล้วจากความท้อแท้ ความตรอมใจ อุปสรรค ทุกข์ โทมนัส และเครื่องกั้น
คือความมืดมนอนธการ กล่าวคือ อวิชชาทั้งปวง โดยประการทั้งปวง และทุกเมื่อ พระตถาคตถึงพร้อมแล้วด้วยพลังแห่งพระญาณ ความแกล้วกล้าและพุทธธรรมอันวิเศษ มีพลังเกินกว่าพลังแห่งฤทธิ์ เป็นบิดาของชาวโลก มีบรมบารมีคือความรู้ในกุศโลบายที่ยิ่งใหญ่ มีมหากรุณาธิคุณ มีจิตใจผ่องใสเป็นผู้มุ่งประโยชน์ และอนุเคราะห์ชนทั้งปวง พระตถาคตอุบัติขึ้นมาในไตรโลกธาตุ อันเช่นกับ ที่อยู่อาศัย อันคร่ำคร่า ผุพัง กำลังถูกเผาด้วยกองทุกข์และโทมนัส อันใหญ่หลวง ด้วยประสงค์จะปลดเปลื้องสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส และเครื่องกั้นคือความมืดมนอนธการ กล่าวคือ อวิชชา (ให้ออกจาก) จากราคะ โทสะ และ 
โมหะที่กำลังเบียดเบียนอยู่ โดยให้เข้าให้ถึงอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
          เมื่อพระตถาคตอุบัติขึ้นมา ทรงเห็นสัตว์ทั้งหลาย กำลังถูกชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส และอุปยาส เผาไหม้จนเดือดร้อน เพียงเพื่อความสุขสนุกสนานในกาม
สัตว์ทั้งหลาย ย่อมได้รับความทุกข์อเนกประการ สัตว์ทั้งหลาย จะได้ความรับทุกข์อเนกประการในนรก กำเนิดดิรัจฉาน และยมโลกในอนาคต เนื่องจากกรรมที่ได้สะสมไว้ ทั้งในปัจจุบันและอดีต สัตว์ทั้งหลาย ย่อมประสบกับความยากไร้ ในเทวโลกและมนุษย์โลก ความทุกข์อันเกิดจากการพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นอิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ ณ สถานที่นั้นนั่นแล สัตว์ทั้งหลายจะจมอยู่ในกองทุกข์ ด้วยการเล่น ยินดี ท่องเที่ยวไป ไม่รู้สึกสะดุ้งหวาดกลัว ไม่หาสิ่งที่ป้องกัน ไม่รู้ ไม่คิด ไม่แสวงหาที่พึ่ง 
ยังยินดีในไตรโลกธาตุ ที่เป็นเหมือนเรือนที่ถูกไฟไหม้ วิ่งพล่านไปมาอยู่ ทั่วทุกสารทิศ ก็แลสัตว์เหล่านั้น แม้ถูกกองทุกข์ใหญ่นั้นครอบงำ ก็ยังไม่ถึงมนสิการญาณ ในทุกข์นั่นเลย 
             ดูก่อนศาริบุตร ณ ที่นั่น พระตถาคตเห็นอย่างนี้ว่า ก็แลเรา (ตถาคต) ผู้เป็นบิดาของสัตว์เหล่านี้ ฉะนั้น เราต้องปลดเปลื้องสัตว์เหล่านี้ ให้พ้นจากกองทุกข์อันใหญ่หลวงนี้ และ 
เราจะต้องให้ความสุข คือพุทธญาณ ที่หาประมาณมิได้ เป็นอจินไตย แก่สัตว์เหล่านั้น โดยประการที่สัตว์เหล่านั้น ยังเล่น ยินดีเที่ยวไป และมีความสนุกสนานได้ 
             ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตเห็นว่า ถ้าเราเข้าใจว่า เรามีพลังญาณและพลังฤทธิ์อยู่เรากล่าวสอนญาณ พละและความแกล้วกล้าแห่งตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ โดยไม่มีอุบาย(ในการกล่าสอน) แล้ว สัตว์ทั้งหลายจะไม่พ้นทุกข์ด้วยธรรมเหล่านี้ ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร เพราะว่า สัตว์เหล่านี้ ยังข้องอยู่ในกามคุณห้า เพราะความยินดีในไตรโลก ยังไม่หลุดพ้นไปจากชาติ ชรา พยาธิ มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปยาส เขาทั้งหลายยังถูกเผาไหม้อยู่ ยังไม่วิ่งออกจากไตรโลกธาตุ อันเปรียบเสมือนเรือนที่มีห้องเก่าคร่ำคร่า ที่ถูกไฟไหม้ จะบรรลุพุทธญาณได้อย่างไร 
             ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตก็เช่นกับบุรุษผู้นั้น คือบุรุษนั้น มีแขนที่แข็งแรง แต่ไม่ใช้แขนที่แข็งแรงทรงพลังนั้นเลย เขาช่วยเด็กเหล่านั้นให้ออกจากอาคาร ที่ไฟไหม้นั้นได้ ด้วย อุบายที่ชาญฉลาด และครั้นให้ออกมาได้แล้ว ภายหลังได้ให้เกวียนใหญ่ ที่สง่างาม แก่เด็กเหล่านั้นอีกด้วย
             ดูก่อนศาริบุตร ในทำนองเดียวกันนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เพียบพร้อมไปด้วยพลังญาณและความแกล้วกล้าแห่งตถาคต แต่ก็ไม่ใช้พลังแห่งญาณและความกล้าหาญแห่งตถาคตนั้นเลย ด้วยเหตุที่จะให้สัตว์ทั้งหลายออกจากไตรโลกธาตุ อันเปรียบเหมือนเรือนที่มีห้องเก่าคร่ำคร่า ที่กำลังถูกไฟไหม้ให้ได้ จึงแสดงยานสาม คือสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตว์ยาน ด้วยความเข้าใจในกุศโลบาย พระตถาคตให้สัตว์ทั้งหลาย ปรารถนายานทั้งสามนั้น และตถาคตก็กล่าวกับสัตว์ทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงอย่ายินดีในโลกธาตุทั้งสาม อันเช่นกับเรือนที่กำลังถูกไฟไหม้ในรูป เสียง กลิ่น รส และสัมผัสที่เลว
             เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายยินดีแล้วในโลกธาตุทั้งสาม ก็จะถูกเผาไหม้ด้วยตัณหาที่มาคู่กับ (สหรคต) กามคุณห้า ซึ่งจะทำให้เดือดร้อนอยู่เสมอ ท่านทั้งหลายจงหนีออกจากโลกธาตุทั้งสามนี้เสีย จงยึดเอายานสามนี้ คือ สาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และ โพธิสัตว์ยาน เราเป็นประกันในเรื่องนี้ เราจะให้ยานทั้งสามเหล่านี้ ท่านทั้งหลาย จงพยายามหนีออกจากโลกธาตุทั้งสามเถิด เราได้พูดปลอบใจเขาเหล่านั้นว่า
             ดูก่อนสรรพสัตว์ผู้เจริญ ยานทั้งสามเหล่านี้ เป็นสิ่งที่พระอริยเจ้าสรรเสริญ เป็นสิ่งที่น่ารื่นรมย์ยิ่ง ท่านทั้งหลาย จักสนุกสนานรื่นเริงพอใจกับยานเหล่านี้อย่างสมบูรณ์ ท่านทั้งหลาย จักได้รับความยินดีมากมาย ด้วยสิ่งเหล่านี้คือ อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ ญาณ วิโมกข์ สมาธิและสมาบัติ ท่านทั้งหลาย จะได้รับความสุข โสมนัส อย่างยิ่งใหญ่ 
             ดูก่อนศาริบุตร สัตว์เหล่าใด เป็นผู้มีปัญญา ชาญฉลาด สัตว์เหล่านั้น ย่อมศรัทธาต่อพระตถาคต ผู้เป็นบิดาของชาวโลก และครั้นมีศรัทธาแล้ว ย่อมพอใจ กระทำความเพียรพยายามในคำสอนของตถาคต บรรดาสัตว์เหล่านั้น สัตว์พวกหนึ่ง หวังจะฟังคำสอนอันประเสริฐสุด พอใจปฏิบัติตามคำสอนของตถาคต เพื่อบรรลุอริยสัจสี่ อันเป็นเหตุแห่งการได้พระนิพพาน สัตว์เหล่านั้นชื่อว่า เป็นผู้มุ่งหวังสาวกยาน แล้ววิ่งออกจากโลกธาตุทั้งสามเหมือนเด็กที่ปรารถนาเกวียนเทียมกวาง พากันวิ่งออกมาจากเรือนที่ไฟกำลังไหม้นั้น
             สัตว์จำพวกหนึ่ง หวังจะได้ญาณทมะและความสงบสุข อันปราศจากผู้เป็นครูอาจารย์ พยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระตถาคต เพื่อรู้เหตุและปัจจัยทั้งหลาย เพราะเหตุที่จะทำให้ตนบรรลุพระนิพพาน สัตว์เหล่านั้นเรียกว่า เป็นผู้มุ่งหวังปัจเจกพุทธยาน พากันวิ่งออกจากโลกธาตุทั้งสาม เหมือนพวกเด็ก ที่ปรารถนาเกวียนเทียมแพะ พากันวิ่งออกมาจากเรือนที่ไฟกำลังไหม้นั้น และสัตว์อีกจำพวกหนึ่งหวัง สัพพัญญูตญาณ พุทธญาณ สยัมภูญาณ อันเป็นญาณที่ปราศจากครูผู้สอน พยายามปฏิบัติตามคำสอนของพระตถาคต เพื่อรู้ญาณพละและความแกล้วกล้าแห่งพระตถาคต เพราะเหตุที่ทำให้สัตว์ทั้งปวงบรรลุพระนิพพาน เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก  เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของชนหมู่ใหญ่ รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ สัตว์จำพวกนี้เรียกว่า เป็นผู้มุ่งหวังมหายาน พากันวิ่งหนีออกจากโลกธาตุทั้งสาม ด้วยเหตุนั้น สัตว์จำพวกนี้จึงถูกเรียกว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เปรียบเหมือนพวกเด็กปรารถนา เกวียนเทียมโค พากันวิ่งออกมาจากเรือนที่กำลังไฟไหม้นั้น 
            ดูก่อนศาริบุตร บุรุษนั้น เห็นพวกเด็กเหล่านั้น วิ่งออกมาจากเรือนที่ถูกไฟไหม้นั้นได้ด้วยความเกษมสำราญ และรู้แล้วว่า พวกเด็กเหล่านี้ พ้นจากอันตรายและได้ถึงความปลอดภัยแล้ว
 ทั้งยังทราบว่า ตนเองเป็นผู้มีทรัพย์มาก จึงให้เกวียนที่สวยงาม เพียงอย่างเดียวเท่านั้นแก่เด็กเหล่านั้น ฉันใด
            ดูก่อนศาริบุตร เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเห็นว่าสัตว์จำนวนหลายโกฏิ เป็นผู้พ้นแล้วจากโลกธาตุ และพ้นแล้วจากทุกข์ภัยอุปัทวันตราย ได้หนีออก(จากทุกข์ทั้งปวง) ทางประตูคือคำสอนของตถาคต และหลุดพ้นแล้วจากภัยอุปัทวันตราย และสิ่งที่ทุรกันดาร เป็นผู้ถึงความสุขสงบแล้ว
             ดูก่อนศาริบุตร เมื่อนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูตะ ทราบว่า ตนเป็นคลังแห่งญาณอันยิ่งใหญ่ พละและความแกล้วกล้ามากมาย ทั้งยังทราบ ว่าสัตว์ทั้งปวงเป็นบุตรของตน จึงให้สัตว์เหล่านั้นนิพพาน (ดับ) ด้วยพุทธยานเท่านั้น ฉันนั้น ก็แล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จะไม่กล่าวนิพพาน เฉพาะอย่าง แก่สัตว์แต่ละคน แต่ว่า พระตถาคตจะให้สัตว์ทั้งหมด ปรินิพพาน ด้วยนิพพานของตถาคต ที่เป็นมหาปรินิพพาน
             ดูก่อนศาริบุตร สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้พ้นแล้วจากไตรโลกธาตุพระตถาคตให้ของเล่นทั้งหลาย ที่วิเศษในรูปของฌาน โมกษะ สมาธิ และสมาบัติ ที่น่ารื่นรมย์และเป็นบรมสุข (แต่) ของเล่นเหล่านั้นทั้งหมด เป็นชนิดเดียวกัน ดูก่อนศาริบุตร ฉันใด ก็ฉันนั้น บุรุษนั้น ไม่ใช่มุสาวาที (ผู้กล่าวเท็จ) ในข้อที่เขาบอกว่า จะให้เกวียนสามชนิด แล้วให้เกวียนใหญ่ชนิดเดียวแก่เด็กเหล่านั้น เขาให้เกวียนชนิดเดียว ที่ทำด้วยรัตนะ 8 ประการ ตกแต่งประดับประดาสวยหรู เป็นเกวียนที่ดีเลิศ
             ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าไมได้เป็นมุสาวาที (ผู้กล่าเท็จ) ในข้อที่พระตถาคต ชี้แจง แสดงยานสามอย่าง ด้วยกุศโลบายในตอนแรก แล้วภายหลังให้สัตว์ทั้งหลายปรินิพพานด้วยมหายาน ข้อนั้น เป็นเพระเหตุไร
              ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า พระตถาคต มีญาณพละและความแกล้วกล้ามากมาย มีพลังพอที่จะแสดงธรรม ที่สหรคตด้วยญาณทั้งปวง แก่สัตว์ทั้งหมด
             ดูก่อนศาริบุตร โดยปริยายนี้ เธอพึงทราบอย่างนี้ว่า พระตถาคต ชี้แจ้ง แสดงมหายานอย่างเดียวเท่านั้น ด้วยกุศโลบายและอภินิหารที่มีอยู่
 ก็ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหลานี้ว่า
39 สมมติว่า บุรุษผู้หนึ่ง มีบ้านหลังใหญ่ ที่เก่าแก่และทรุดโทรม ตัวอาคารชำรุด โคนเสาก็ผุกร่อน
40     หน้าต่างและห้อง (ของบ้านหลังนั้น) ก็เอนเอียง ปูนที่ฉาบผนังก็ผุกร่อน อันแสดงว่าสร้างต่อเติมมาช้านานแล้ว หลังคาที่มุงด้วยหญ้า ก็หลุดร่วงลงมาทุกด้าน
41     ในบ้านหลังนั้น มีผู้คนอาศัยอยู่ไม่น้อยกว่า 500 คน ห้องพักจำนวนมากเต็มไปด้วยอุจจาระ น่ารังเกียจยิ่ง
42     ณ บ้านนั้น จันทันก็หัก กำแพงและฝากั้นหลุดร่วงลงมา มีนกแร้ง นกพิราบ นกฮูก และนกอื่นๆ จำนวนมากอาศัยอยู่
43     ณ บ้านนั้น ตามซอกมุม มีงูพิษร้ายกาจ น่าสะพึงกลัวจำนวนมาก อาศัยอยู่แม้แมลงป่องและหนูชนิดต่างๆ ก็มีมาก บ้านนั้นที่อยู่อาศัยของสัตว์ร้ายหลายชนิด
44     (ในบ้านนั้น) มีอมนุษย์จำนวนไม่น้อยก็อาศัยอยู่ ที่นั่นที่นี้มีกองอุจจาระปัสสาวะอยู่เกลื่อนกลาด เต็มไปด้วยตัวหนอน แมลงเม่าและแมลงอื่นๆ มีสุนัขบ้านและสุนัขจิ้งจอกเห่าหอนอยู่เป็นนิจ
45     ณ ที่บ้านนั้น มีสุนัขป่าที่น่ากลัว กำลังกินซากศพมนุษย์เป็นอาหาร สุนัขบ้าน และสุนัขจิ้งจอกจำนวนมาก คอยจ้องมองหาซากศพของมนุษย์เหล่านั้น
46     สัตว์เหล่านั้นหิวโหยโรยแรง เที่ยวหากินไปตามที่ต่างๆ ทั้งทะเลาะกันเอง เสียงดังลั่น บ้านหลังนั้นมีสภาพเป็นเช่นนี้
47     แม้ยักษ์ร้ายใจโหด ซึ่งคอยขบเคี้ยวกินซากศพมนุษย์จำนวนมาก ก็มีที่บ้านนั้น ณ ซอกต่างๆ ในบ้านนั้น ยังมีทั้งตะขาบ โคถึก และสัตว์ร้ายหลายชนิด
48     สัตว์ทั้งหลาย เข้าไปอยู่ในจุดต่างๆ กระทำที่อยู่อาศัยและตกลูก และพวกยักษ์ เหล่านั้น ก็จับกินลูกของมันอยู่บ่อยๆ
49     ก็แล ณ บ้านนั้น เมื่อใดยักษ์ร้ายใจโหดเหล่านั้น กินเนื้อสัตว์อื่นๆ จนมีร่างกายอ้วนพีแล้ว เมื่อนั้น (มัน)ก็จะต่อสู้กัน อย่างน่าสะพรึงกลัวยิ่ง 
50     ณ ซอกที่เปลี่ยว มีพวกยักษ์แคระมากมาย ซึ่งมีจิตโหดร้ายทารุณ อาศัยอยู่ พวกยักษ์แคระเหล่านี้ สูงขนาด 1 คืบบ้าง 1 ศอกบ้าง 2ศอกบ้าง เคลื่อนไหวไปมาอยู่ ณ ที่นั้น
51     ณ ที่นั่น ยักษ์แคระเหล่านั้น จับสุนัขทั้งหลายฟาดลงกับพื้นบ้าง หยิกและทุบที่คอสุนัขบ้าง ทรมานสุนัขให้เกิดความเจ็บปวดบ้าง (แล้วตนเอง)ก็ชอบใจ
52     ณ ที่นั่น มีเปรตนานาชนิดจำนวนมาก อาศัยอยู่ เปรตเหล่านั้น มีรูปร่างใหญ่โต สูง ดำ ทุพพลภาพ อดโซ เที่ยวแสวงหาอาหาร ส่งเสียงโหยหวน ไปมาที่นั่นที่นี่ 
53     (เปรต) บางพวก มีปากเท่ารูเข็ม บางพวกมีหน้าเหมือนวัว บางพวกมีขนาดเท่ามนุษย์ และบางพวกเท่าสุนัข มีผมยาวรุงรัง มีความทุกข์และอดอยากอาหาร กำลังร้องโหยหวนอยู่
54     ยักษ์ เปรต ปีศาจ และแร้งทั้งหลาย ซึ่งอาศัยอยู่ที่นั่น มองหาอาหารทางช่องโหว่และหน้าต่าง ทั้งสี่ทิศตลอดเวลา
55     บ้านหลังนั้นสูงใหญ่ ไม่มั่นคง น่ากลัวอย่างนี้ เป็นบ้านที่เก่าคร่ำคร่า ปรักหักพังและมีช่องโหว่(แต่) เป็นสมบัติ ของบุรุษหนึ่ง
56     ก็แล ขณะที่บุรุษนั้น อยู่นอกบ้าน ได้เกิดไฟไหม้บ้านหลังนั้นขึ้น เปลวไฟเป็นพันๆได้ลุกลามไปรอบๆทั้งสี่ทิศอย่างรวดเร็ว
57     คานและไม้(เครื่องบนของเรือน)ทั้งหลาย ที่ถูกไฟลุกเผาไหม้ ส่งเสียงปะทุรุนแรงน่าสะพรึงกลัวยิ่ง ไฟลุกลามติดเสาและฝาเรือนไปจนทั่ว ยักษ์และเปรตส่งเสียงร้องโหนหวนงะงมไปทั่ว
58     แร้งจำนวนหลายร้อย และพวกกุมภัณฑ์ไม่ใช่น้อย ที่ถูไฟลวก หน้าตาไหม้ เกรียมพากันวิ่งพล่าน สัตว์หลายร้อยรอบๆนั้น ถูกไฟลวกพากันร้องระงม
59     ณ ที่นั้น ปีศาจจำนวนมาก ที่โชคร้าย ถูกไฟลวกพากันวิ่งพล่าน ปีศาจเหล่านั้น ขณะที่ถูกไฟลวกอยู่ ได้กัดซึ่งกันและกัน จนเลือดไหลโซม
60     สุนัขป่าจำนวนมากได้ตายไป และสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ก็เคี้ยวกินซึ่งกันและกันอุจจาระเมื่อถูกไฟไหม้มีกลิ่นเหม็น ฟุ้งกระจายไปในโลก ทั่วทุกสารทิศ
61     ตะขาบทั้งหลาย ที่วิ่งหนีไปมา ก็ถูกพวกกุมภัณฑ์จับกิน พวกเปรตที่ถูกความหิวกระหาย และความร้อนแผดเผาอยู่ ถูกไฟไหม้เส้นผมพากันวิ่งพล่าน
62     บ้านหลังนั้น มีเปลวไฟจำนวนพันลุกลามไปทั่ว ตกอยู่ในสภาพอันน่ากลัวเช่นนี้ และบุรุษผู้เป็นเจ้าของบ้านนั้น ได้ยืนมองดูอยู่ที่ภายนอกประตู
63     และเขาได้ยิน(เสียง)บุตรของตน ซึ่งมีจิตใจจดจ่ออยู่กับการเล่น กำลังเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนาน เหมือนกับคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลย 
64     บุรุษนั้น ครั้นได้ยินแล้วก็เข้าไปช่วยบุตรโดยเร็ว ด้วยเกรงว่าเด็กน้อยทั้งปวงของเขา ซึ่งยังโง่เขลาเบาปัญญา จะถูกไฟไหม้ แล้วจะต้องตายโดยเร็ว 
65     เขา (บุรุษนั้น) ได้บอกถึงอันตรายที่เกิดจากบ้านหลังนั้นแก่เด็กทั้งหลาย โดยร้องตะโกนว่า ดูก่อนกุลบุตรผู้เจริญ อาคารหลังนี้มีอันตรายใหญ่หลวง ที่จะก่อให้เกิด ความทุกข์ สัตว์นานาชนิด มีอยู่ในอาคารหลังนี้ และไฟก็กำลังลุกไหม้อาคารอยู่ จะก่อให้เกิดทุกข์ยิ่งขึ้น
66     ในบ้านหลังนี้มีงูพิษ ยักษ์กุมภัณฑ์ เปรต ทีมีจิตใจโหดร้ายจำนวนมาก ทั้งยังเป็นที่อาศัยของหมู่สุนัขป่า สุนัขจิ้งจอก และนกแร้งทั้งหลาย ที่กำลังบินหาเหยื่ออยู่ 
67     ในบ้านหลังนี้ มีสัตว์ทั้งหลายจำนวนมากเห็นปานนี้ อาศัยอยู่ แม้จะไม่มีไฟ(ลุกไหม้) มันก็น่ากลัวยิ่งแล้ว แต่บัดนี้มีไฟลุกอยู่รอบด้าน รังแต่จะก่อให้เกิดความทุกข์ยิ่งขึ้นแต่อย่างเดียว
68     เด็กเหล่านั้น ผู้โง่เขลาเบาปัญญา ซึ่งเพลิดเพลินอยู่กับการเล่น แม้บิดาจะตะโกนบอกอยู่อย่างนั้น ก็มิได้คิดถึงคำพูดของบิดาและมิได้ใส่ใจ (มนสิการ) ในคำพูดของบิดา
69     ณ ที่นั้น ในขณะนั้น บุรุษนั้นได้คิดว่า เรามีทุกข์มาก เพราะคิดถึงเรื่องลูก ณ ที่นี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่เรา ที่มีลูกแล้วกลับไม่มี ฉะนั้น ลูกของเราจะต้องไม่ถูกไฟไหม้
70     ที่นั้น เขา (บุรุษนั้น) คิดว่า เด็กเหล่านี้ ชอบของเล่น ที่เด็กชอบของเล่นนั้น ก็เพราะความโง่เขลาเบาปัญญานั่นเอง
71     บุรุษนั้น จึงกล่าวกับเด็กเหล่านั้นว่า ดูก่อนกุมาร พวกเธอจงฟัง เรามีเกวียนหลายชนิด เทียมด้วยกวาง แพะและโค สูงใหญ่ ตกแต่งไว้สวยงามมาก 
72     เกวียนเหล่านั้นอยู่ข้างนอกบ้าน ขอให้พวกเจ้าทั้งหลาย จงวิ่งออกมาข้างนอกบ้านเถิด แล้วรับเอกเกวียนไปเล่นกัน พ่อได้ให้เขาทำไว้สำหรับพวกเจ้า ขอให้ออกมาพร้อมกัน และเล่นของเล่นนั้นให้สนุกเถิด 
73     เด็กทั้งเหล่านั้น พอได้ยินว่า เกวียนเท่านั้น ก็รีบวิ่งออกมาโดยเร็ว เพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น ทุกคนก็มายืนข้างนอกบ้าน อย่างปลอดภัย 
74     บุรุษนั้น ซึ่งนั่งอยู่ที่ตั่ง ณ สี่แยกท่ามกลางหมู่บ้าน ครั้นเห็นเด็กทั้งหลายออกมานอกบ้านแล้ว จึงกล่าวกะเด็กเหล่านั้นว่า ดูก่อนนรชนทั้งหลาย ขณะนี้เราสบายใจแล้ว
75     บุตรคือโอรสที่น่ารักทั้งยี่สิบคนของเรา กำลังประสบความทุกข์ พวกเขากำลังอดทนอยู่ในเรื่องที่น่าสยดสยอง น่าสะพรึงกลัวและมีสัตว์ร้ายมากมาย 
76     ขณะที่ไฟจำนวนพันกำลังลุกไหม้อยู่นั้น เด็กทั้งหลาย กำลังร่าเริงสนุกสนานอยู่กับการเล่น ขณะนี้เราได้ทำให้พวกเขาทั้งหมด พ้นจากความเดือดร้อนแล้ว ฉะนั้น เราจึงรู้สึกปลาบปลื้มใจมาก 
77     เด็กทั้งหลายทราบว่า บิดานั่งอยู่อย่างสบายใจ จึงเข้าไปหาและพูดว่า ข้าแต่บิดาขอท่านจงให้เกวียน ที่สวยงาม ทั้งสามชนิด (แก่ลูก)ตามที่ท่านให้คำสัญญาไว้ด้วยเถิด 
78     ข้าแต่บิดา ถ้าคำพูดทั้งหมด ที่ท่านจะให้เกวียนสามชนิด ซึ่งท่านพูดที่เรือนหลังโน้นเป็นจริงละก็ ขอท่านจงให้เกวียนสามชนิดนั้นแก่ลูกเถิด บัดนี้ถึงเวลาแล้ว
79     บุรุษนั้น เป็นผู้มั่งคั่ง มีทอง เงิน แก้วมณี แก้วมุกดา ทองแท่ง และข้าทาสบริวารจำนวนมาก (แต่ให้) เกวียนชนิดเดียวเท่านั้นแก่ลูก 
80     คือเกวียนเทียมโคอย่างดี ประดับด้วยวัตถุมีค่า มีที่นั่ง มีกระดิ่งติดเป็นทิวแถว ประดับตกแต่งด้วยสัปทน และธง คลุมด้วยตาข่ายมุกดาและมณี
81      (เกวียนเหล่านั้น) ประดับด้วยพวงมาลัย ที่ทำด้วยดอกไม้ทองคำ ห้อยย้อย ณ ที่ต่างๆ ประดับด้วยผ้าสวยงาม คลุมด้วยเนื้อดีสีขาว 
82      (เกวียนเหล่านั้น) มีเบาะทำด้วยผ้าที่อ่อนนุ่ม ปูพรม มีรูปนกยางและหงส์สวยงาม มีมูลค่านับหลายพันโกฏิ
83      โคทั้งหลายที่เทียมเกวียนประดับรัตนะนั้น เป็นโคร่างใหญ่ สีขาว อ้วนพี มีพลังสง่างามและมีบุรุษผู้ดูแลมากมาย
84      บุรุษนั้น (บิดา) ได้ให้เกวียน อันสวยงาม ประเสริฐยิ่งเช่นนั้น แก่บุตรทั้งหมดและบุตรเหล่านั้น มีใจบิติยินดีขับเกวียนเหล่านั้น เล่นสนุกสนานไปทั่วทุกสารทิศ
85     ดูก่อนศาริบุตร ในทำนองเดียวกัน เราเป็นผู้รอบรู้ เป็นผู้คุ้มครองรักษา และเป็นบิดาของสัตว์ทั้งหลาย และสัตว์ทั้งปวงซึ่งมีปัญญาน้อย ข้องติดอยู่ในกามคุณ ในโลกทั้งสามนั้น ก็เป็นบุตรของเรา 
86     โลกทั้งสามนั้นเปรียบเหมือนบ้านหลังนั้น ซึ่งเป็นสถานที่อันน่ากลัว เต็มไปด้วยความทุกข์หลายร้อยประการ ถูกไฟคือ ชาติ ชรา และพยาธิ หลายร้อยชนิดเผาไหม้ไปทั่ว
87     ส่วนเราได้หลุดพ้นแล้วจากโลกทั้งสาม เพียงผู้เดียว มีความสงบ อาศัยอยู่ในป่า โลกทั้งสามนี้ เป็นอาณาจักรของเรา สัตว์ทั้งหลายที่ถูกแผดเผาอยู่ในโลกนั้น คือบุตรของเรา 
88     ณ ที่นั้น เราเอง ได้ชี้โทษและบอกเครื่องป้องกัน แก่สัตว์เหล่านั้น แต่สัตว์ทั้งปวงเป็นผู้โง่เขลา เบาปัญญา มีจิตหมกมุ่นในกามคุณ ไม่ฟังคำของเรา
89     เราจึงใช้ความฉลาดในอุบาย แสดงยานสามแก่พวกเขาเหล่านั้น และให้พวกเขาได้รู้จักทุกข์นานัปการ ในโลกธาตุทั้งสาม แล้วแสดงอุบาย เพื่อการหนีออก (จากทุกข์) 
90     บุตรทั้งหลาย (สัตว์ทั้งหลาย) ที่เชื่อฟังเรา จักตั้งอยู่ในฐานะต่างกันคือจักได้อภิญญาหก วิชชาสาม และมีอานุภาพมาก เป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เป็นพระโพธิสัตว์ที่ไม่เปลี่ยนแปลง
91     เราแสดงพุทธยานอันเลิศนี้ ด้วยอุทาหรณ์ (ตัวอย่าง) อันประเสริฐ แก่บุตรทุกคนว่า ท่านทั้งหลาย จงรับเอาพุทธยานที่เป็นเลิศนี้ ท่านทั้งหมดจักเป็นพระชินเจ้า
92     ญาณ (ธรรม) ของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ เป็นสิ่งวิเศษสุด น่าปรารถนา เป็นสิ่งที่ดีงาม และน่ากราบไหว้บูชาในโลกนี้ 
93     พละทั้งหลาย ฌานทั้งหลาย วิโมกษ์ทั้งหลายและสมาธิ จำนวนร้อยโกฏิใช่น้อย นี้คือยาน (เกวียน) อันประเสริฐยิ่งที่พุทธบุตรทั้งหลายพึงพอใจทุกเมื่อ 
94     เมื่อพุทธบุตรพอใจอยู่อย่างนี้ เวลาได้ผ่านพ้นไปเป็นวัน คืน ปักษ์ เดือน ฤดู ปี กัลป์ และพ้นโกฏิกัลป์ 
95      ยานนี้เป็นรัตนยาน อันประเสริฐสุด ที่พระโพธิสัตว์ผู้ยินดี และสาวกทั้งหลายของพระสุคตไปฟัง ที่โพธิมณฑลนี้
96     ดูก่อนติษยะ (ศาริบุตร) เธอจงเข้าใจอย่างนี้ว่า ในโลกนี้ ไม่ว่าจะไปแสวงหา ณ ที่ใดในสิบทิศนี้ ยานที่สองนั้นไม่มี เว้นเสียแต่เป็นอุบายของพระตถาคตเท่านั้น 
97     เธอทั้งหลาย เป็นบุตรของเรา เราเป็นบิดาของพวกเธอ เราเป็นผู้นำของพวกเธอ ซึ่งกำลังเร่าร้อนอยู่เพราะความทุกข์ เป็นระยะเวลาหลายโกฏิกัลป์ ให้ออกจากโลกที่น่ากลัวทั้งสาม
98     เรากล่าวถึงพระนิพพาน ณ ที่นี้อย่างนี้ แต่พวกเธอยังไม่บรรลุพระนิพพานอย่างนั้น แม้พวกเธอได้พ้นทุกข์ในสังสารวัฏ ณ ที่นี้ แต่พวกเธอ ก็ควรแสวงหาพุทธยานเท่านั้น
99     พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เหล่าใดเหล่าหนึ่งมีอยู่ ณ ที่นี้ ทั้งหมดไดฟังกฎเกณฑ์แห่งพุทธธรรมของเรา นี้คือกุศโลบายของพระชินเจ้า ที่ได้แนะนำพระโพธิสัตว์จำนวนมาก
100    ในเวลาใด สัตว์ทั้งหลาย ในโลกนี้ เป็นผู้ยินดีในกามทั้งหลาย ที่เลวทราม น่ารังเกียจ ในเวลานั้น พระผู้นำแห่งโลก ผู้ไม่มีวาทะเป็นอย่างอื่น จะกล่าวถึงทุกข์ที่เป็นอริยสัจ
101    ก็แล แม้ชนเหล่าใด ที่ไม่รู้และโง่เขลาเบาปัญญา ไม่เห็นมูลเหตุแห่งความทุกข์ เราก็จะชี้ทางให้แก่ชนเหล่านั้นว่า "ตัณหาที่เกิดขึ้นเป็นเหตุแห่งความทุกข์"
102    การดับตัณหาโดยไม่เหลือทุกเมื่อ ชื่อว่านิโรธสัจ ซึ่งเป็นสัจที่สามแห่งเรา บุคคลผู้ปฏิบัติตามมรรคนั้น จักเป็นผู้หลุดพ้นได้อย่างแน่นอน 
103    ดูก่อนศาริบุตร ชนทั้งหลายหลุดพ้นจากอะไรเล่า เขาทั้งหลายจะหลุดพ้นจากการยึดมั่นในสิ่งที่ไม่เป็นจริง แต่พวกเขายังไม่หลุดพ้นโดยสิ้นเชิง ตถาคตจึงเรียกพวกเขาว่า ผู้ยังไม่นิพพาน 
104   เพราะเหตุไร เราจึงไม่เรียก ผู้ทียังไมบรรลุอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณว่า เป็นผู้หลุดพ้น ข้อนี้เป็นประสงค์ของเรา เราเป็นธรรมราชา อุบัติขึ้นมาเพื่อความสุขของชาวโลก
105    ดูก่อนศาริบุตร นี้คือธรรมอันประเสริฐแห่งเรา ที่แสดงในวันนี้ เป็นครั้งสุดท้าย เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก พร้อมทั้งเทวดา ของเธอจง(นำไป)แสดงให้ทั่วทุกสารทิศด้วยเถิด
106    เมื่อเธอแสดงแล้ว หากผู้ใดผู้หนึ่งรับเอาพระสูตร ด้วยความเคารพ แล้วพึงกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอรับเอาด้วยความยินดี" เธอจงเข้าใจผู้นั้นว่า จะไม่เปลี่ยนแปลงอีกแล้ว
107    ผู้ที่เชื่อในพระสูตรนี้ คือผู้ที่ได้พบ พระตถาคตทั้งหลายในอดีตมาแล้ว ได้สักการะพระตถาคตทั้งหลายมาแล้ว และได้ฟังธรรมอย่างนี้มาแล้ว 
108    คนที่ศรัทธาในคำสอนของเรา คือผู้ที่เคยเห็นเรา เห็นเธอ เห็นภิกษุสงฆ์ทั้งปวงของเรา และเห็นพระโพธิสัตว์ทั้งปวงเหล่านี้มาแล้ว 
109    เราแสดงพระสูตรนี้ แก่ผู้ที่มีความรู้เป็นเลิศ พระสูตรนี้อาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิดสำหรับชนผู้มีปัญญาน้อย ที่จริงแล้ว พระสูตรนี้ ก็มิใช่วิสัยของสาวกทั้งหลายและมิใช่คติของพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ณ ที่นี้ด้วย 
110    ดูก่อนศาริบุตร ท่านเข้าถึงพระนิพพาน แต่สาวกรูปอื่นๆ ของเราละ พวกเขาศรัทธา ดำเนินตามเรา แต่พวกเขายังไม่ถึงญาณวิเศษอะไรเลย 
111    เธอจงอย่าแสดงธรรมนี้แก่คนหัวดื้อ คนมีทิฏฐิมานะ และพวกโยคีผู้ไม่สำรวม เพราะพวกเขาเป็นผู้โง่เขลา มัวเมาในกามทั้งหลาย เป็นคนเบาปัญญา จะดูหมิ่นธรรมที่แสดงนั้น 
112    คนที่ดูหมิ่นอุบายโกศลและพุทธธรรมของเรา ที่มีอยู่ในโลกนี้ และแสดงอาการหน้านิ่วคิ้วขมวด ดูหมิ่นยาน (ธรรม) ของเรา เธอจงฟังวิบากกรรมของเขา (ผลที่เขาได้รับนั้น) ต่อไป
113    ไม่ว่าเรายังมีชีวิตอยู่หรือนิพพานไปแล้ว ผู้ที่ดูหมิ่นพระสูตรเช่นนี้ หรือดูหมิ่นภิกษุทั้งหลาย เธอจงฟัง วิบากกรรมของเขา จากเรา (ซึ่งจะเล่าต่อไป) 
114    เข้าทั้งหลาย เคลื่อน(จุติ) จากมนุษย์โลกแล้ว จะไปเกิดในอเวจีมหานรก เป็นเวลาหนึ่งกัลป์บริบูรณ์ พวกเขาผู้โง่เขลา เมื่อเคลื่อนจากอเวจีมหานรกนั้นแล้ว ก็จะไปตกอเวจีมหานรกครั้งแล้ว ครั้งเล่า เป็นเวลาหลายกัลป์
115    ก็แล ในเวลาที่พวกเขาเคลื่อนจากนรกแล้ว ส่วนมากจะไปเกิดเป็นสัตว์เดียรัจฉานคือ เป็นสุนัขบ้านบ้าง สุนัขจิ้งจอกบ้าง เป็นผู้ไม่แข็งแรง กลายเป็นเครื่องเล่นของผู้อื่น
116    ณ ที่นั้น พวกเขา (สัตว์ทั้งหลาย) ผู้ที่รังเกียจโพธิญาณอันประเสริฐของเราย่อมเป็นผู้มีร่างกายด่างดำ เต็มไปด้วย แผล ฝี หิด ไม่มีขน และมีกำลังอ่อนแอ
117    พวกเขาจะถูกผู้อื่นรังเกียจเป็นนิจ จะถูกทำร้ายด้วยอาวุธ ร้องคร่ำครวญ ถูกโบยด้วยท่อนไม้ หิว กระหาย ผอมโซ ในที่ทุกนั้นๆ 
118    พวกเรา ที่โง่เขลาเบาปัญญา ดูถูก กล่าวร้ายพุทธธรรม ย่อมไปเกิดเป็นอูฐบ้าง ลาบ้าง ต้องบรรทุกของหนัก ถูกโบยตีด้วยแซ่และท่อนไม้ คิดถึงแต่เรื่องอาหาร 
119    แลบางคราว พวกเขา ผู้โง่เขลา ไปเกิดเป็นสุนัข รูปร่างน่าเกลียด ตาบอด พิการ(ต่ำทราม) ถูกเด็กชาวบ้านโบยตี และทำร้ายด้วยอาวุธ 
120    หลังจากตายไปแล้ว พวกเข้าผู้โง่เขลา จะไปเกิดเป็นสัตว์ มีร่างกายสูงห้าร้อยโยชน์โง่เง่า ทึมทึกมากยิ่งขึ้น
121   (บางคราว เขาเหล่านั้น ผู้ดูหมิ่นพระสูตรเห็นปานนี้ ย่อมไปเกิดเป็นสัตว์ไม่มีเท้า ต้องเลื้อยคลาน แตะถูกสัตว์อื่นจำนวนหลายโกฏิ กัดกิน ย่อมประสบเวทนา อย่างทารุณยิ่ง 
122    แลเขาทั้งหลาย ผู้ซึ่งไม่ศรัทธาในพระสูตรของเรา เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนพิการ เป็นง่อย ค่อม ตาบอด โง่ และต่ำทราม
123    เขาทั้งหลาย ซึ่งไม่เชื่อในพุทธโพธิญาณ จะเป็นผู้ที่ไม่มีใครคบค้าสมาคมด้วย ในโลกนี้ เป็นคนมีกลิ่นปากเหม็น มีวิญญาณร้าย (ยักษ์) สิ่งอยู่ในร่างกายของเขา
124    เขาทั้งหลาย จะเป็นคนยากจน ทำงานขั้นต่ำ อาศัยผู้อื่นเป็นนิจ มีกำลังอ่อนแอ มีโรคภัยมากมาย อยู่ในโลกนี้ อย่างผู้อนาถา
125    เขาทั้งหลาย จะเป็นคนรับใช้ในที่นั้นๆ เป็นผู้ไม่ปรารถนาจะให้แก่ใคร และของที่คนอื่นให้มาแล้วก็จะสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ผลแห่งบาปกรรมมีถึงเพียงนี้ 
126    ณ ที่นั้น เขาทั้งหลาย แม้จะได้ยาดีที่หมอปรุงให้ด้วยจิตกุศล แม้กระนั้นโรคของพวกเขา ก็มีอาการรุนแรงขึ้น เขาจะไม่มีวันสงบจากโรคได้เลย 
127    เข้าเหล่านั้น บางพวกไปทำโจรกรรมจากผู้อื่น เช่นทำร้าย ขู่เข็ญ ฉกชิง วิ่งราว ทรัพย์สินของผู้อื่น พวกเขาย่อมตกอยู่ภายใต้อำนาจบาปกรรมนั้น
128    เพราะเหตุที่ พวกเขาดูหมิ่นพุทธธรรมนี้ของเรา พวกเขาจะไม่ได้พบพระโลกนาถ และพระผู้เป็นจอมราชันแห่งนรชน ผู้สอนธรรมบนแผ่นดินนี้ เพราะพวกเขาจะเกิดในสถานที่เสื่อมโทรมเท่านั้น
129    คนพาล ที่ดูหมิ่นพุทธธรรมอย่างนี้ จะไม่ได้ฟังธรรม เป็นคนหูหนวก ไร้ความคิด และจะไม่มีโอกาสพบกับความสงบสุขเลย แม้ในกาลไหนๆ 
130    คนที่ดูหมิ่นพระสูตร (ธรรม) จะกลายเป็นคนโง่ วิกลจริต เป็นเวลาเกินพันหมื่นโกฏิกัลป์ เท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา นี้คือผลของบาปกรรม 
131    นรกเป็นสถานที่เล่น อันสนุกสนานของเพวกเขา (ผู้ดูหมิ่นพุทธธรรม) ที่อยู่ของพวกเขาคืออบายภูมิ ซึ่งมีทั้ง ลา สุนัขป่าและสุนัขบ้าน พวกเขา(ผู้ดูหมิ่นพุทธธรรม) ก็จะอยู่ร่วมกับสัตว์เหล่านั้นเป็นนิจ
132    พวกเขา (ผู้ดูหมิ่นพุทธธรรม) เมื่อเกิดเป็นมนุษย์ ก็จะเป็นคนตาบอด หูหนวก โง่เขลา เป็นคนรับใช้ผู้อื่น และยากจนเป็นนิจ คุณสมบัติเหล่านี้ (มีตาบอดเป็นต้น) เป็นอาภรณ์ของเขา ในกาลนั้น 
133    โรคภัยไข้เจ็บ แผลมากมาย (หลายหมื่นโกฏิ) บนร่างกาย พุพอง หิด โรคผิวหนัง โรคเรื้อน โรคกลากเกลื้อน และกลิ่นเหม็น เป็นเครื่องนุ่งห่มของเขา (ผู้ดูหมิ่นพุทธธรรม)
134    พวกเขา (ผู้ดูหมิ่นพุทธธรรม) มีสายตามืดมัว มีความโกรธแรงกล้า มีราคะจัด และเป็นผู้ยินดี ในกำเนิดของสัตว์เดียรัจฉาน
135    ดูก่อนศาริบุตร ถ้าเราจะกล่าวถึงโทษของผู้ที่ดูหมิ่นพระสูตร (พุทธธรรม)ของเราตลอดกัลป์บริบูรณ์ โทษของผู้ดูหมิ่นพุทธธรรมนั้น ก็ยังไม่หมด 
136    ดูก่อนศาริบุตร เราเห็นเนื้อความอย่างนี้ จึงขอสั่งเธอว่า ขอเธอจงอย่าแสดงพระสูตร (ธรรม) เห็นปานนี้ ต่อหน้าคนพาลเลย 
137    แต่ว่า ชนเหล่าใด มีปัญญา เป็นพหูสูตร มีสติ เป็นบัณฑิต มีญาณ เป็นผู้ตั้งมั่นมุ่งตรงต่อพระโพธิญาณ อันประเสริฐ ขอเธอจงให้ชนเหล่านั้น ได้ฟังธรรม อันประเสริฐนี้เถิด
138    แลชนเหล่าใดได้เฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้วหลายโกฏิพระองค์ ได้สร้างกุศลไว้มากมาย จนประมาณมิได้ และมีอัธยาศัยมั่นคง ขอเธอจงให้ชนเหล่านั้น ได้ฟังธรรมอันประเสริฐนี้เถิด 
139    ชนเหล่าใด มีวิริยะ มีจิตเมตตา ได้เจริญเมตตามาช้านาน มีความเสียสละ ร่างกาย และชีวิต เธอควรแสดงพระสูตร (ธรรม) อันประเสริฐแก่ชนเหล่านั้นด้วยเถิด 
140    เหล่าชนที่มีความรักและเคารพซึ่งกันและกัน ชนที่ไม่ฝักใฝ่คนโง่เขลา ยินดีอยู่ตามซอกเขา เธอควรให้ชนเหล่านั้นได้ฟังพระสูตร (ธรรม) อันประเสริฐนี้ด้วย
141    ถ้าเธอเห็นพุทธบุตรผู้เป็นเช่นนี้ คือ คบแต่กัลยาณมิตร และละบาปมิตร ขอให้เธอแสดงพระสูตร (ธรรม)นี้ แก่พุทธบุตรเหล่านั้นด้วย
142    ถ้าเธอเห็นพุทธบุตรผู้เป็นเช่นนี้ คือ เป็นผู้มีศีลไม่ขาด บริสุทธิ์ดุจแก้วมณี ตั้งมั่นในการศึกษาไวปุลยสูตร (ปุณฑรีกสูตร) เธอควรแสดงพระสูตร (ธรรม) นี้แก่พุทธบุตรเหล่านั้นด้วย 
143    ชนเหล่าใด เป็นผู้ไม่โกรธ มีความชื่อตรง มีความกรุณาต่อสัตว์ทั้งปวง และเคารพใกล้ชิดพระสุคตศาสดา เธอควรแสดงพระสูตร (ธรรม) นี้ แก่ชนเหล่านั้นด้วย 
144    ผู้ใดพ้นจากกิเลสเครื่องเกี่ยวข้อง (กับสิ่งทางโลก) แล้ว มีจิตตั้งมั่นในสมาธิ กล่าวธรรมในท่ามกลางชุมชน เธอจงแสดงพระสูตร (ธรรม) นี้ ด้วยการยกตัวอย่างหลายหมื่นโกฏิ แก่ผู้นั้นเถิด 
145    ก็แลผู้ใด ผูกพัน แสวงหาภาวะแห่งสัพพัญญุตญาณ ประคองอัญชลีไว้เหนือศีรษะและแม้ผู้ใด ไปแสวงหาภิกษุ ผู้กล่าวสอนดีในทิศทั้งปวง 
146    ผู้ใดพึงทรงจำไวปุลยสูตร ผู้ไม่ชอบใจคำสอนผู้อื่น และไม่ทรงจำคาถาแม้หนึ่งคาถาจากคัมภีร์อื่น เธอควรแสดงพระสูตร(ธรรม)อันประเสริฐนี้ แก่พวกเขาด้วยเถิด
147    บุคคลที่แสงหาพระสูตร(ธรรม)อันประเสริฐเช่นนี้ ครั้นได้แล้วเทิดทูนไว้เหนือศีรษะนั้น เทียบได้กับคนที่แสวงหาพระธาตุของพระตถาคต ครั้นได้แล้วย่อมเก็บไว้เป็นอย่างดี ก็ปานกัน 
148    อย่าใฝ่ใจในสูตรอื่นและศาสตร์อื่น ที่เป็นโลกายัต สูตรและศาสตร์เช่นนี้ เป็นสิ่งที่คนโง่เท่านั้นสนใจกัน เธอควรละสูตรและศาสตร์เหล่านั้นเสีย แล้วแสดงพระสูตร (ธรรม)นี้ 
149    ดูก่อนศาริบุตร เรา (ตถาคต) สามารถกล่าวถึงเรื่องอื่นๆ ได้อีกหลายพันโกฏิ ตลอดกัลป์เต็ม ชนเหล่าใด เป็นผู้ปรารถนาธรรมอันประเสริฐสุด เธอจง กล่าวพระสูตรนี้ ต่อหน้าชนเหล่านั้น

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๐๒ อุปายโกศลปริวรรต ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย

     
ผู้ทรงมีพระสติและปัญญา ทรงออกจากสมาธิ 
ครั้นออกแล้ว ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า ดูก่อน ศาริบุตร พุทธญาณ เป็นสิ่งซึ่งลึกซึ้งเข้าใจยากและรู้ยาก  เป็นสิ่งที่พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงก็เข้าใจยาก แต่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้รู้แล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร?  ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้บูชาสักการะพระพุทธเจ้าจำนวนมาก หลายหมื่นแสนโกฏิมาแล้ว ได้ประพฤติธรรมมากับพระพุทธเจ้าหลายหมื่นแสนโกฏิ ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้ทำความเพียร จนบรรลุธรรมอันน่าอัศจรรย์และเป็นจริง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยธรรมที่รู้ได้ยากและเข้าใจธรรมที่เข้าใจได้ยาก 
           ดูก่อนศาริบุตร การแสดงธรรมของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ยาก เพราะเหตุไร ? เพราะว่า พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายทรงประกาศธรรมทั้งหลายที่เป็นเฉพาะพระองค์ เพื่อให้สัตว์ผู้ข้องอยู่ใน สิ่งต่างๆ หลุดพ้นไปด้วยกุศโลบายต่าง ๆ คือ ด้วยญาณทัศนะ การแสดงเหตุผล อารมณ์ นิรุกติ และการทำให้เข้าใจ 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ถึงแล้วซึ่งความ ผู้ฉลาดในอุบายอันยิ่งใหญ่ ญาณทัศนะ และพระบารมีจึงสูงยิ่ง เพราะ(พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย) ทรงเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความไม่ข้อง (ในสิ่งต่างๆ) ด้วยความรู้ที่ไม่มีผู้ใดขัดข้องได้ ด้วยทัศนะ ด้วยพลัง ด้วยความแกล้วกล้า ด้วยธรรมอันวิเศษ อินทรีย์พละ โพชฌงค์ ฌาน วิมุตติ สมาธิ สมาบัติ และธรรมอื่นๆ ทรงเป็นผู้ประกาศธรรมนานัปการ 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงความมหัศจรรย์ 
          ดูก่อนศาริบุตร เป็นการสมควรที่จะกล่าวอย่างนี้ว่า 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงเป็นผู้ถึงซึ่งความมหัศจรรย์ยิ่ง 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้นแล พึง แสดงธรรมที่พระองค์ทรงรู้แล้ว แก่พระตถาคต 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตนั้น ทรงแสดงธรรมแม้ทั้งปวง พระตถาคตนั้นแลทรงรู้ธรรมทั้งปวง ธรรมทั้งหลายเหล่านั้น เป็นอะไรเป็นอย่างไร เป็นเช่นไร มีลักษณะอย่างไร มีสภาพอย่างไร พระตถาคตนั่นแล ทรงเป็นผู้รู้ประจักษ์ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น
 ก็แล ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น จึงตรัสคาถาเหล่านี้ ในเวลานั้นว่า
1 สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง ไม่อาจจะรู้ได้ว่า ในโลกที่มีเทวดาและมนุษย์ มีพระตถาคตที่กล้าหาญยิ่งอยู่มาก ซึ่งไม่อาจประมาณจำนวนได้
2 ใครๆ ไม่อาจรู้ได้ว่า พระตถาคตทั้งหลายมีพลัง และเป็นผู้หลุดพ้น มีความฉลาด เช่นใด มีพุทธธรรมเป็นเช่นไร
3 ในอดีตกาล พระตถาคต ได้ทรงประพฤติธรรมอยู่ใกล้ๆพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ธรรมนั้นลึกซึ้งละเอียดสุขุม ใครๆ รู้ได้ยาก และเห็นได้ยาก
4 ในขณะที่ทรงประพฤติธรรมอยู่หลายโกฏิกัลป์จนจำไม่ได้ ก็บัดนี้ เรา(ตถาคต) ได้เห็นผล ที่มณฑปอันเป็นที่ตรัสรู้
5 เรา ผู้นำแห่งโลกคนอื่นๆ ย่อมรู้ธรรมนั้นว่า เป็นประการใด เป็นอะไร เป็นเช่นไร และมีลักษณะอย่างไร
6 ไม่มีใครสามารถแสดงธรรมนั้นได้ จึงไม่มีโวหารแห่งธรรมนั้นบุคคลใดๆ ที่เป็นเช่นนั้น (คือสามารถกล่าวธรรมนั้นได้) ก็ไม่มีในโลก
7 เว้นจากพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเสียแล้ว ใครจะแสดงธรรมนั้นแก่ผู้ใด ใครจะรู้ธรรมที่แสดงแล้ว และชนเหล่าใดจะเป็นผู้ที่ตั้งมั่นในอธิโมกข์ได้
8 วิสัยในญาณของพระชินเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่มีในชนทั้งหลาย ผู้เป็นสาวกของพระตถาคต ผู้ปฏิบัติกิจแล้ว ผู้ที่พระสุคตทรงสรรเสริญแล้ว ผู้สิ้นอาสวะแล้วและผู้ดำรงชีวิตเป็นชาติสุดท้าย
9 ถ้าว่าโลกธาตุทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยชนทั้งหลาย เช่นกับพระศาริบุตร และชนเหล่านั้นมาร่วมกันคิด เขาเหล่านั้นก็ไม่สามารถรู้ญาณของพระสุคตได้
10 ถ้าว่าทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยบัณฑิตทั้งหลายอย่างท่าน โลกก็จะเต็มไปด้วยบัณฑิตผู้เป็นสาวกของเรา (ตถาคต) นั่นเอง
11 และเขาเหล่านั้นทั้งหมดพึงมาประชุมกัน พิจารณาญาณของพระสุคต เขาเหล่านั้นทั้งหมด แม้จะประชุมกันแล้ว ก็ไม่อาจรู้พุทธญาณ ที่ประมาณไม่ได้ของเรา(ตถาคต)
12 ทิศทั้งสิบพึงเต็มไปด้วยพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สิ้นอาสวะ ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ผู้มีร่างกายอยู่ในภพสุดท้ายแล้ว ดุจต้นอ้อหรือต้นไผ่ในป่า
13 ก็แลพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้นทั้งหมด พึงมาประชุมกันพิจารณาธรรมอันประเสริฐของเรา (ตถาคต) เพียงส่วนเดียวตลอดหลายหมื่นโกฏิกัลป์ติดต่อกันไป ท่านเหล่านั้นก็ไม่เข้าใจอรรถอันแท้จริงของธรรมอันประเสริฐนั้นได้
14 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้อยู่บนยานใหม่ มีกิจอันได้กระทำแล้ว ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ ผู้กล่าวอรรถที่พิจารณาดีแล้ว และกล่าวธรรมจำนวนมาก ทิศทั้งสิบควรเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น
15 หากโลกทั้งปวงพึงเต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ จนไม่มีที่ว่างเหมือนไม้อ้อและต้นไผ่(ในป่า) พระโพธิสัตว์เหล่านั้น มาประชุมกันพิจารณาธรรมที่พระสุคตเจ้าทรงเห็นแล้วเป็นนิจกาล
16 พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีจิตแน่วแน่ไม่คิดเป็นอื่นด้วยปัญญาอันสุขุม คิดพิจารณาอยู่หลายโกฏิกัลป์จนนับไม่ได้ เหมือนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แค่คติวิสัยในญาณ ของพระสุคต ย่อมไม่มีแก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น
17 พระโพธิสัตว์จำนวนไม่น้อยดุจเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ผู้ไม่ถอยกลับ และมีจิตแน่แน่ว ไม่คิดเป็นอย่างอื่น พึงคิดพิจารณาญาณ (ของพระสุคต) แต่คติวิสัยในญาณ (ของพระสุคต) ย่อมไม่มีแม้แก่พระโพธิสัตว์เหล่านั้น
18 ธรรมที่ลึกซึ้งสุขุมอย่างไร เช่นไร พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ผู้บริสุทธิ์ ปราศจากอาสวะ และเรา (ตถาคต)หรือพระชินเจ้าทั้งหลาย ในทิศทั้งสิบ ในโลก ก็ย่อมรู้ได้
19 ดูก่อนศาริบุตร พระสุคตตรัสธรรมใดท่านจงเชื่อในธรรมนั้น พระชินเจ้ามหามุนีผู้มีปกติไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ได้ตรัสเนื้อความประเสริฐสุด มาช้านานแล้ว
20 เรา (ตถาคต) ได้เรียกพระสาวกทั้งหมด ที่ปรารถนาจะบรรลุปัจเจกโพธิมา ซึ่งเป็นผู้ที่เราช่วยให้ตั้งอยู่ในนิรวารณธรรม และเป็นผู้ที่เราช่วยให้พ้นแล้วจากความทุกข์ตลอดไป
21 เรา (ตถาคต) ใช้อุบายโกศล อันประเสริฐของเรา กล่าวธรรมหลากหลายวิธีในโลกจนปลดเปลื้องผู้ข้องในพันธะทั้งปวง แล้วแสดงยานทั้งสามให้ปรากฏ 
           ครั้งนั้นแล ในบริษัทที่ประชุมบริษัทนั้น ได้มีพระอรหันตขีณาสพ มหาสาวกจำนวน 1200 องค์ ซึ่งมีพระอาชญาตเกานฑินยะ (พระอัญญาโกณฑัญญะ) เป็นประมุข ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกาทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติในสาวกยาน และ(ชนอื่นๆ) ผู้ตั้งอยู่ในปัจเจกพุทธยาน ทั้งหมดนั้น ได้มีความคิดอย่างนี้ ว่า อะไรหนอเป็นเหตุ ที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ตรัสสรรเสริญ อุบายโกศลของพระตถาคตทั้งหลาย เป็นอย่างยิ่ง ตรัสว่า ธรรมอันลึกซึ้งนี้อันเรา (ตถาคต) ได้ตรัสรู้แล้ว และตรัสว่า อันพระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง พึงทราบได้โดยยาก เพราะพระผู้มีพระภาคตรัสความหลุดพ้นอย่างเดียวเท่านั้น แม้เราทั้งหลายได้รับพุทธธรรม ก็จักบรรลุพระนิพพาน เราทั้งหลายไม่เข้าใจความหมายพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสครั้งนี้ 
                 ครั้งนั้นแล พระศาริบุตรผู้มีอายุ ทราบความลังเลใจ ความสงสัยของบริษัทสี่เหล่านั้น และเข้าใจความปริวิตกที่เกิดขึ้นในจิตของบริษัทเหล่านั้น ด้วยจิต แม้ตนเองก็มีความสงสัยในธรรม จึงทูลกับพระผู้มีพระภาค ในเวลานั้นว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค อะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้พระผู้มีพระภาค ทรงสรรเสริญอุบายโกศลญาณทัศนะ และการแสดงธรรมของพระตถาคตทั้งหลายบ่อยๆนัก และพระผู้มีพระภาค ย่อมตรัสเสมอว่า เราได้ตรัสรู้ธรรมอันลึกซึ้ง และธรรมของพระตถาคต เป็นสิ่งที่เข้าใจยากยิ่ง ก็ข้าพระองค์ ไม่เคยฟังธรรมบรรยายเช่นนี้ ในที่ใกล้ชิดพระผู้มีพระภาคมาก่อนเลย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ก็แลบริษัทสี่เหล่านี้มีความลังเลใจ และสงสัยยิ่งนัก ดังข้าพระองค์จะขอโอกาสพระตถาคต พระตถาคตทรงประสงค์สิ่งใดจึงตรัสสรรเสริญธรรมของพระตถาคตซึ่งลึกซึ้งบ่อยๆ ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงชี้แจงสิ่งนั้นด้วยเถิด 
                 ก็แล ในเวลานั้นท่านศาริบุตร ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ ว่า
22 พระสุคตผู้ประเสริฐ แห่งนรชนทั้งหลาย ย่อมตรัสพระดำรัสเช่นนี้ ในวันนี้ เป็นเวลาช้านานว่า เราได้บรรลุ พละ วิโมกษะ และญาณ อันหาประมาณมิได้แล้ว
23 พระองค์ตรัสสภาวะแห่งความรู้แจ้ง โดยไม่มีผู้ใดทูลถาม และพระองค์ตรัสพระธรรม โดยปราศจากผู้ทูลถามพระองค์
24 พระองค์ทรงตรัสและพรรณนาจริยาของพระองค์โดยไม่มีผู้ทูลถาม และพระองค์ตรัสอย่างชัดเจนถึงการตรัสรู้ญาณและพระธรรมอันลึกซึ้ง
25 วันนี้ ชนเหล่านี้ ผู้สำรวมตนแล้ว ไม่มีอาสวะ ผู้จะเข้าถึงพระนิพพานแล้ว มีความสงสัยว่า เพราะเหตุไร พระชินเจ้าจึงตรัสความข้อนี้
26 ภิกษุ ภิกษุณี เทวดา นาค ยักษ์ คนธรรพ์และพญานาคทั้งหลาย ผู้ปรารถนาปัจเจกโพธิ
27 กำลังสนทนากะกันและกันอยู่ กำลังเฝ้ามองพระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ เขาเหล่านั้น เป็นผู้มีความคลางแคลงใจ คิดอยู่ว่า ขอพระองค์ผู้เป็นพระมหามุนีได้โปรดพยากรณ์ให้แจ่มแจ้งด้วยเถิด
28 พระสาวกทั้งปวงของพระสุคต มีจำนวนเท่าใด ข้าพระองค์ คือผู้ที่พระมุนี ผู้ประเสริฐได้พยากรณ์ไว้แล้ว จึงได้สะสมบารมีไว้ในโลกนี้
29 ข้าแต่ผู้ประเสริฐสุดในหมู่ชน ณ ที่นี้ แม้ข้าพระองค์ยังมีความสงสัยในสถานะของตนว่า ข้อปฏิบัติที่แสดงแล้วแก่ข้าพระองค์นั้น ข้าพระองค์จะตั้งอยู่ในพระนิพพานหรือ
30 ขอพระองค์ทรงเปล่งพระสุรเสียงว่า นี้คือธรรม ให้กึกก้องดุจเสียงกลองอันประเสริฐ พุทธบุตรเหล่านี้ของพระชินเจ้า ได้ยืนประคองอัญชลีเฝ้าพระชินเจ้าอยู่แล้ว
31 เทวดา นาค ยักษ์ และรากษสทั้งหลาย มีจำนวนหลายพันโกฏิ เสมอเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา แม้ผู้ที่ปรารถนาพระโพธิญาณ ซึ่งมีจำนวน 80,000 คน ก็ยืนพร้อมกันอยู่ที่นี่
32 ราชามหาบดี และพระเจ้าจักรพรรดิทั้งหลาย ผู้เสด็จมาแล้วจากหลายพันโกฏิ (พุทธ) เกษตร ทุกท่านมีความเคารพ (ในพระองค์) ได้ยืนประคองอัญชลี ด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจะประพฤติให้บริบูรณ์ได้อย่างไรหนอ
             ครั้นเมื่อ พระศาริบุตรกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า พอละ ศาริบุตร ประโยชน์อะไรด้วยการกล่าวอรรถนี้ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร
            ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อเรา(ตถาคต) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกและเทวดาจะตกใจกลัว 
          พระศาริบุตร ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค แม้เป็นคำรบสองว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัสอรรถนี้นั่นแล ของพระสุคตจงตรัสอรรถนั่นแล ข้อนั้นเป็นเพราะอะไร ข้อแต่พระผู้มีพระภาค เพราะในบริษัท (ที่ประชุม) นั้น มีสรรพสัตว์จำนวนมาก นับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่เคยเฝ้าพระพุทธเจ้ามาแล้ว เป็นผู้มีปัญญา จักมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้ 
            ครั้งนั้นแล ท่านศาริบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถานี้ ว่า
33 ข้าแต่พระชินเจ้าผู้ประเสริฐสุด ขอพระองค์จงตรัสให้ชัดเจนเถิด บรรดาสรรพสัตว์จำนวนพันในบริษัทนี้ มีความศรัทธา เลื่อมใส เคารพ ในพระสุคต จักเข้าใจธรรมที่พระองค์ตรัสแล้วนั้น
            ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระศาริบุตรผู้มีอายุ เป็นคำรบสองว่า ดูก่อน ศาริบุตร พอละ ไม่มีประโยชน์ ที่จะอธิบายอรรถนี้
             ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่าเมื่อเรา (ตถาคต ) กล่าวอธิบายอรรถนี้อยู่ ชาวโลกรวมทั้งเทวโลก จะพากันตกใจกลัว และภิกษุทั้งหลายที่มีอภิมานะ (เย่อหยิ่ง) จักต้องอาบัติหนัก
             ครั้งนั้น ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า 
34 อย่าให้เราประกาศธรรม ณ ที่นี้เลย ธรรมนี้สุขุมลุมลึก เข้าใจยาก คนโง่ที่เย่อหยิ่ง มีจำนวนมาก พวกเขาไม่รู้ก็จะใส่ร้ายธรรมที่เราประกาศแล้วนั้น  
               ท่านศาริบุตร ได้ทูลอ้อนวอนพระผู้มีพระภาคอีก เป็นคำรบสามว่า ขอพระผู้มีพระภาค จงตรัส ของพระสุคตจงตรัสเนื้อความนี้ นั่นแล ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในบริษัทนี้ บรรดาสรรพสัตว์ผู้เหมือนอย่างข้าพระองค์มีจำนวนหลายร้อย ข้าแต่พระผู้มีพระภาค และมีสรรพสัตว์จำนวนมากมายนับเป็นร้อย พัน แสน และหลายหมื่นแสนโกฏิ ที่พระผู้มีพระภาคได้อบรมแล้ว ในชาติปางก่อน เขาเหล่านั้น จะมีศรัทธาเชื่อถือและรับเอาพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคได้ พระดำรัสนั้นก็จะเป็นเพื่อประโยชน์ และความสุขแก่เขาทั้งหลายตลอดกาลนาน 
                 ครั้งนั้น ท่านพระศาริบุตรก็ได้กล่าวคาถาอีกหลายคาถาในเวลานั้นว่า 
35 ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐสุดในหมู่มนุษย์ ข้าพระองค์เป็นบุตรคนโตได้ทูลขอร้องพระองค์ว่า ขอพระองค์จงแสดงธรรมเถิด ณ ที่นี้ มีสรรพสัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ
 ซึ่งจะศรัทธาเชื่อถือธรรมของพระองค์เช่นกัน
36 และสรรพสัตว์ทั้งหลายที่พระองค์ได้อบรมแล้ว เป็นนิตย์ตลอดกาลช้านานในชาติปางก่อน บัดนี้ ก็ได้ยืนประคองอัญชลีอยู่แล้ว ณ ที่นี้ สรรพสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จะศรัทธาเชื่อถือธรรมที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว 
37 มีชนอีก 1200 คนที่เป็นเช่นกับข้าพระองค์ คือปรารถนาจะบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐ ขอพระสุคตจงทอดพระเนตรเขาเหล่านั้น ทรงตรัสธรรมยังความหรรษาสูงสุดให้เกิดขึ้น แก่เขาทั้งหลาย
           ครั้งนั้นแล ครั้นทรงทราบคำทูลของร้องของท่านพระศาริบุตรตลอดทั้งสามวาระแล้ว พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระศาริบุตรว่า 
          ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ เนื่องจากเธอขอร้องเราถึงสามครั้ง 
          ดูก่อนศาริบุตร เราจะกล่าวอะไรกะเธอ ผู้ขอร้องอยู่ 
          ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงตั้งใจให้ดี จงใส่ใจให้ดี เราจะกล่าวแก่เธอ เมื่อพระผู้มีพระภาค ครัสถ้อยคำนี้จบลง 
          ลำดับนั้นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ที่มีอภิมานะประมาณ 5,000 ในที่ประชุมนั้น ได้ลุกจากที่นั่งของตนๆ ก้มลงกราบพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาค แล้วหลีกออกไปจากที่ประชุมนั้น เพราะเกิดมีอภิมานะและท่านเหล่านั้นคิดว่าตนจะต้องทุกข์ทรมาน จึงออกไปเสียจากที่ประชุมนั้น และพระผู้มีพระภาคก็ทรงยอมรับโดยดุษณีภาพ 
          ครั้งนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสกะพระศาริบุตรว่า ที่ประชุมของเราได้ว่างจากสิ่งที่ไร้ค่า พ้นจากสิ่งที่ไร้ประโยชน์ ตั้งมั่นอยู่แล้วในศรัทธาสาระ 
          ดูก่อนศาริบุตร ดีละ ผู้มีอภิมานะเหล่านี้ ได้หนีไปแล้ว 
          ดูก่อนศาริบุตร ถ้าอย่างนั้น เราจะกล่าวข้อความนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ดีละ พระศาริบุตรได้ฟังจากพระผู้มีพระภาค เป็นนิจ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า 
          ดูก่อนศาริบุตร บางครั้งเท่านั้น ที่ตถาคตแสดงพระธรรมเทศนา อย่างนี้ 
          ดูก่อนศาริบุตร ดอกมะเดื่อย่อมปรากฏเป็นบางครั้ง ฉันใด 
          ดูก่อนศาริบุตร ตถาคต ย่อแสดงธรรมอย่างนี้ เป็นบางครั้ง ฉันนั้น 
          ดูก่อนศาริบุตร เธอจงเชื่อเรา เราย่อมกล่าวคำสัตย์ พูดแต่ความจริง เราไม่กล่าวสิ่งที่ไม่ถูกต้อง 
          ดูก่อนศาริบุตร วาจาของพระตถาคตนั้น เข้าได้ยาก ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร? 
          ดูก่อนศาริบุตร เราได้ประกาศธรรม ด้วยกุศโลบายร้อยพันอย่าง ที่มีการชี้แจง อธิบาย และยกตัวอย่างด้วยศัพท์ต่างๆ 
          ดูก่อนศาริบุตร พระสัทธรรมนั้น เป็นตถาคตญาณ ไม่เป็นไปด้วยเหตุและผลของตรรกะ ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร? 
          ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นมาในโลก ด้วยกรณียกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นกรณียกิจที่ยิ่งใหญ่มาก
          ดูก่อนศาริบุตร กรณียกิจที่ยิ่งใหญ่ของพระตถาคตเป็นอย่างไรหนอ ? พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า อุบัติขึ้นในโลก ด้วยกิจที่พึงกระทำอย่างหนึ่ง คือ แสดงนิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ได้เข้าถึงตถาคตญาณทัศนะ นิมิตเป็นเหตุให้เห็นตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุให้สัตว์ บรรลุตถาคตญาณทัศนะ นิมิตที่เป็นเหตุสัตว์ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ 
ดูก่อนศาริบุตร นี้คือกรณียกิจที่ควรกระทำอย่างหนึ่ง เป็นมหากรณียกิจที่มีประโยชน์ฝ่ายเดียวซึ่งเกิดขึ้นยากในโลก 
ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตได้กระทำกรณียกิจอย่างหนึ่ง ที่เป็นมหากรณียกิจอย่างนี้แล ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร ? 
ดูก่อนศาริบุตร เราเองได้บรรลุตถาคตญาณทัศนะ ได้แสดงตถาคตญาณทัศนะ ได้ก้าวลงสู่ตถาคตญาณทัศนะ ได้รู้แจ้งตถาคตญาณทัศนะ และได้ก้าวลงสู่แนวทางของตถาคตญาณทัศนะ 
ดูก่อนศาริบุตร เราอาศัยยานเดียวเท่านั้น แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย ยานนี้ก็คือพุทธยาน 
ดูก่อนศาริบุตร ยานที่สองหรือที่สามใดๆนั้นไม่มี 
ดูก่อนศาริบุตร นี้เป็นธรรมดาทุกที่ในโลกทั้งสิบทิศ ข้อนั้นเป็นไฉน ? 
 ดูก่อนศาริบุตร พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายได้มีแล้วในอดีตกาล ในโลกธาตุทั้งหลาย ที่นับไม่ได้กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก
 เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลกและเพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนใหญ่ เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ (กายและจิต) ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ได้ทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือ ด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ 
ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นก็คือพุทธยาน อันมีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคทั้งปวง ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต 
ดูก่อนศาริบุตร สัตว์แม้เหล่าใด ได้ฟังพระสัทธรรมจากที่ใกล้แห่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
ดูก่อนศาริบุตร ในอนาคตกาล พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จักมีในโลกธาตุทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนที่นับไม่ได้ ที่กำหนดไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนจำนวนมากและเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย
 พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าใด ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆ กัน จักทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือ ด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจงแสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ 
ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคทั้งปวงแม้เหล่านั้น ได้อาศัยยาน เดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรม นั่นก็คือ พุทธยานมีการรู้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นที่สุด และนั่นก็คือพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งปวง จักทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะแห่งตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะแห่งตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย 
ดูก่อนศาริบุตร ลัตว์ทั้งหลายเหล่าใดจักฟังธรรมนั้นจากที่ใกล้พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอนาคตนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็จักถึงการตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
ดูก่อนศาริบุตร ในปัจจุบันนี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย สถิตดำรง ทรงอยู่ ทรงแสดงธรรมอยู่ในโลกธาตุ มีจำนวนที่นับไม่ได้ในสิบทิศ เพื่อประโยชน์แก่ชนเป็นจำนวนมาก  เพื่อความสุขแห่งชนจำนวนมาก เพื่อการอนุเคราะห์ชาวโลก เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชนส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ทรงทราบอารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจมีอารมณ์ต่างๆกัน ย่อมทรงแสดงธรรมด้วยอุบายที่ฉลาด คือ ด้วยอภินิหาร การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ การอธิบายที่มาของคำ 
ดูก่อนศาริบุตร พระผู้มีพระภาคสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น ได้ทรงอาศัยเพียงยานเดียวเท่านั้น ทรงแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุด กล่าว คือ
พระผู้มีพระภาคพุทธทั้งปวง ย่อมทรงแสดงธรรมที่เป็นเหตุให้ได้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย 
ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมอยู่ ณ ที่ใกล้ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าในปัจจุบัน สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดจักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
ดูก่อนศาริบุตร ณ บัดนี้ แม้เรา ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ารู้อารมณ์ต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย ผู้มีความสนใจ มีอารมณ์ต่างๆกัน แสดงธรรมอยู่ ด้วยอุบายที่ฉลาด คือ ด้วยอภินิหารต่างๆ การชี้แจง แสดงเหตุผลต่างๆ และด้วยการอธิบายที่มาของคำ เพื่อประโยชน์แก่ชนจำนวนมาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก  เพื่อประโยชน์แก่หมู่ชน ส่วนมาก และเพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย 
ดูก่อนศาริบุตร แม้เราก็อาศัยเพียงยานเดียว แสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลาย นั่นคือพุทธยาน ที่มีการรู้สิ่งทั้งปวงเป็นที่สุดกล่าวคือ เรา ตถาคตแสดงอยู่ซึ่งธรรม ที่เป็นเหตุให้รับญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องสอนญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องเปิดเผยญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเหตุให้เข้าใจญาณทัศนะของตถาคต ที่เป็นเครื่องชี้ทางแห่งญาณทัศนะของตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลาย 
ดูก่อนศาริบุตร สัตว์ทั้งหลายเหล่าใด ได้ฟังธรรมนี้ของเรา ณ บัดนี้ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 ดูก่อนศาริบุตร เพราะฉะนั้น พึงทราบตามคำบรรยายนี้อย่างนี้ คือไม่มีการประกาศยานที่สองในโลกทั้งสิบทิศ ไม่ว่าที่ใด ดังนั้น จะมีการประกาศยานทั้งสาม ณ ที่ใดเล่า   
              ดูก่อนศาริบุตร แม้เมื่อใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย อุบัติขึ้นในกัลป์ที่หม่นหมอง หรือสรรพสัตว์หม่นหมอง หรือว่าในสมัยที่มี ความหม่นหมองเพรากิเลส หม่นหมองเพราะทิฏฐิ หม่นหมองเพราะอายุ 
ดูก่อนศาริบุตร เมื่อสัตว์ทั้งหลายจำนวนมาผู้มีกุศลมูลเพียงเล็กน้อย เดือดร้อนใจและหม่นหมองในกัลป์ ถึงปานนี้ 
ดูก่อนศาริบุตร เมื่อนั้นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมแสดงพุทธยานเพียงหนึ่งเดียว โดยแยกแสดงเป็น 3 ยาน ด้วยอุบายที่ฉลาด 
ดูก่อนศาริบุตร ณ ที่นั้น ชนเหล่าใด ซึ่งเป็นสาวกอรหันต์หรือเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าไม่ได้ฟัง ไม่ไตร่ตรอง ไม่เข้าใจกิริยานี้ ที่เป็นเหตุให้ถึงพุทธยานของตถาคต
 ดูก่อนศาริบุตร ทุกคนควรทราบเถิดว่า ชนเหล่านั้น ไม่ใช่สาวกของตถาคต ไม่ใช่พระอรหันต์ ไม่ใช่พระปัจเจกพุทธเจ้า                 ดูก่อนศาริบุตร ถ้าหากภิกษุหรือภิกษุณีผู้ใดผู้หนึ่ง พึงปฏิญาณความเป็นอรหันต์พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เป็นผู้ตัดขาดแล้วจากพุทธยาน (และ) พึงกล่าว ถึงพระนิพพานว่า เป็นชาติสุดท้ายของเราเช่นนี้ 
ดูก่อนศาริบุตร พึงรู้เถิดว่าเขาผู้นั้นเป็นผู้มีอภิมานะ ข้อนั้น เพราะอะไร 
ดูก่อนศาริบุตร เพราะไม่ใช่ฐานะและเป็นไปไม่ได้ที่ภิกษุหรือพระอรหันต์ ที่สิ้นอาสวะแล้ว ฟังธรรมนี้จากพระตถาคต ผู้อยู่เบื้องหน้าแล้ว ไม่มีศรัทธาเชื่อถือ นอกจากพระตถาคตปรินิพพานไปแล้วเท่านั้น ข้อนั้น เพราะเหตุไร 
ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ในกาลสมัยนั้น สาวกทั้งหลายก็จะไม่อาจทรงจำ หรือแสดงพระสูตรทั้งหลายเห็นปานนี้ได้ 
ดูก่อนศาริบุตร เขาเหล่านั้นจะหมดความสงสัย ก็ต่อเมื่อมีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่าอื่น (อุบัติขึ้นมา) 
ดูก่อนศาริบุตร ท่านจงเชื่อในพุทธธรรมทั้งหลายเหล่านี้ของเรา จงทำความคุ้นเคยและเข้าใจพุทธธรรมเหล่านี้เถิด 
ดูก่อนศาริบุตร เพราะว่า ตถาคตไม่ได้พูดโกหก 
ดูก่อนศาริบุตร มียานอยู่ชนิดเดียวเท่านั้น คือพุทธยาน ขณะนั้นแล พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงชี้แจงเนื้อความนั้นให้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้นจึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
38 ก็ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย ผู้มีอภิมานะ(ถือตัว) ปราศจากศรัทธา มีจำนวนไม่ น้อยกว่า 5000 คน 
39 (เขาเหล่านั้น) เมื่อไม่เห็นโทษอย่างนี้ มีการศึกษาอบรมมาอย่างผิดๆ ทั้งยังรักษาสิ่งที่ผิดไว้ มีความรู้ผิด ได้หลีกออกไปแล้ว 
40 พระโลกนาถ ทรงทราบความเศร้าหมองของบริษัท จึงได้ตรัสว่า เขาเหล่านั้น ไม่มี บุญกุศลที่จะฟังธรรมนี้ 
41 บริษัทของเราบริสุทธิ์แล้ว ปราศจากเครื่องเศร้าหมองแล้ว ปราศจากสิ่งไร้คุณค่าดำรงอยู่ดีแล้ว และบัดนี้สิ่งที่เป็นสาระแก่นสารทั้งหมดได้ตั้งมั่นแล้ว 
42 ดูก่อนศาริบุตร เธอจงฟังเราเถิดว่า ธรรมนี้ เป็นธรรมที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เลิศแห่งมนุษย์ ได้ตรัสรู้แล้วอย่างไร และพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
 ซึ่งเป็นผู้นำ ย่อมตรัสด้วยอุบายอันฉลาดหลายร้อยวิธีอย่างไร 
43 เรา (ตถาคต) รู้อัธยาศัยจริตและความน้อมนึกแห่งจิตต่างๆ กันของสัตว์จำนวนหลายโกฏิ ณ ที่นี้ ทั้งรู้การกระทำต่างๆ และกุศลกรรมที่สัตว์เหล่านั้นได้กระทำแล้ว ในชาติปางก่อน 
44 เราจึงแสดงธรรม แก่สัตว์เหล่านั้น ด้วยการอธิบายเหตุผลต่างๆ การยกอุทาหรณ์หลายร้อยอย่างให้เห็น และสรรพสัตว์ก็ยินดี กับวิธีการนั้น 
45 เรา (ตถาคต) จะตรัสพระสูตร คาถา อติวฤตตกะ ชาตกะ อัทภูตะ เคยะ อุปเทศะ พร้อมด้วยนิทานและอุปมาหลายร้อยอย่างต่างๆ กัน 
46 เราจะแสงดทางพระนิพพาน แก่ชนทั้งหลาย ผู้ไม่มีความรู้ ยินดีในความเสื่อมข้องติดอยู่ในสังสารวัฏ มีความทุกข์ และไม่ประพฤติธรรมในพระพุทธเจ้าที่มีมากหลายโกฏิ 
47 พระสวยัมภู ทรงใช้อุบายนี้เพื่อทำให้สัตว์เข้าใจประโยชน์ของการรู้พุทธญาณ แต่พระองค์ก็มิได้ตรัสกะชนทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลาย จงอย่ากังวล ท่านทั้งหลายจะได้เป็นพระพุทธเจ้าในโลกนี้ ณ สมัยใดสมัยหนึ่ง 
48 เหตุใด พระสวยัมภูตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพิจารณากาลเวลาแล้ว และทรงพบโอกาสแล้ว จึงตรัสในภายหลังว่า ได้เวลานี้แล้ว เราจะกล่าข้อความตามที่เป็นจริง ณ ที่นี้ 
49 เรา (ตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า) ได้ประกาศนวังคศาสน์แล้ว ตามกำลังน้อยใหญ่ของสัตว์ทั้งหลาย เราผู้ให้สิ่งประเสริฐ ได้แสดงอุบายนี้ ก็เพื่อประโยชน์ของสัตว์ที่จะเข้าถึงพุทธญาณ 
50 ณ ที่นี้ ชนเหล่าใด เป็นผู้บริสุทธิ์ ฉลาด สะอาด มีใจกรุณา เป็นพุทธบุตร และได้สร้างอธิการไว้ ในพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์มีอยู่ เราก็จะแสดงพระสูตรที่กว้างขวางยิ่งขึ้น แก่ชนเหล่านั้น 
51 เพราะเหตุนั้น เรา (ตถาคต) จึงกล่าวถึงชนเหล่านั้น ผู้มีกายบริสุทธิ์ มีใจเบิกบานว่า จักเป็นพระพุทธเจ้า ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ (ต่อสรรพสัตว์) 
52 เมื่อชนทั้งหมดเหล่านั้น ได้ฟังแล้ว เกิดความยินดีว่า พวกเราจักได้เป็นพระพุทธเจ้า เป็นประธานของชาวโลก เราเมื่อรู้ความประพฤติของพวกขาเหล่านั้น จึงประกาศพระสูครให้กว้างขวางยิ่งขึ้น 
53 พวกเขาเหล่านั้น ซึ่งเป็นสาวกของพระตถาคต ได้เคยฟังคำสอนอันประเสริฐนี้ แม้ได้ฟัง หรือจดจำเพียงคาถาเดียว ก็ไม่น่าจะมีปัญหา (ความสงสัย) ในการตรัสรู้ธรรมทั้งปวง 
54 จริงอยู่ ในกาลไหนๆ ก็มีเพียงยานเดียว ยานที่สองไม่มี ยานที่สามก็ไม่มี นอกจากว่า พระผู้มีพระภาค ใช้อุบายจึงแสดงว่า มียานต่างๆ 
55 พระโลกนาถ ยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นในโลก ด้วยการประกาศพุทธธรรม ภารกิจมีเพียงอย่างเดียว ภารกิจที่สองไม่มี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่นำสัตว์ไปด้วยหีนยาน 
56 พระสวยัมภู (ตถาคต) เองดำรงมั่นแล้ว ในธรรมเช่นใด ที่พระองค์ตรัสรู้แล้ว พระองค์ยังสัตว์เหล่านั้น ที่มีพลังและอินทรีย์หลุดพ้นแล้วด้วยสมาธิ ให้ตั้งมั่นในธรรมเล่านั้นด้วย 
57 ก็แล โทษที่เกิดจากความริษยาจะพึงมีแก่เรา (ตถาคต) ผู้บรรลุโพธิญาณอันปราศจากโทษและประเสริฐสุดแล้ว ถ้าให้สัตว์แม้ผู้หนึ่งดำรงอยู่ในหีนยาน การกระทำอย่างนี้ไม่สมควรแก่เรา 
58 ความเลวร้าย ความริษยา ฉันทะ และราคะ ไม่มีแก่เรา ธรรมทั้งปวงของเราก็เป็นธรรมที่ไร้บาป ฉะนั้น เราจึงเป็นพระพุทธเจ้า เพราะให้ชาวโลกตรัสรู้ตาม (ด้วย) 
59 เมื่อสรรพสัตว์มิใช่น้อย ได้นับถือเครื่องหมายของสภาวธรรม เป็นเครื่องชี้นำ เราจึงทำโลกนี้ให้สว่างไสว ด้วยลักษณะต่างๆของเรา 
60 ดูก่อนศาริบุตร ดังนั้น เรา (ตถาคต) จึงคิดว่า สรรพสัตว์ในโลกนี้ พึงเป็นผู้มีมหาบุรุษลักษณะ สามสิบสอง ประการ จะเป็นพระสวยัมประภา พระโลกวิทู และพรสวยัมภู ได้อย่างไรหนอ? 
 61 เรา (ตถาคต) เห็นอย่างไร คิดอย่างไร และความหวังในกาลก่อนของเรามีอย่างไร ประณิธานนั้นของเราบริบูรณ์แล้วทั้งความเป็นพุทธะ และเราจะประกาศพุทธธรรม ต่อไป 
62 ดูก่อนศาริบุตร ถ้าเราพึงกล่าวกะสัตว์ทั้งหลายว่า ขอให้พวกเธอจงยังความพอใจ ให้เกิดขึ้น เพื่อการตรัสรู้ พวกเขาทั้งหมดผู้เขลาก็จะไม่เข้าใจคำสอนของเรา พึงเที่ยวไป ณ ที่นี้ 
63 เราทราบเรื่องราวของเขาเหล่านั้นว่าในชาติปางก่อน พวกเขาไม่ได้ประพฤติธรรม หมกมุ่น ยึดติดในกามคุณทั้งหลาย ถูกกิเลสตัณหาครอบงำ จนมีโมหจิต 
64 เพราะกามคุณเป็นเหตุ พวกเขาจึงตกไปสู่ทุคติ ถูกทรมานในภูมิทั้งหก เวียนเกิดอยู่เรื่อยไป พวกเขาเป็นผู้มีบุญน้อย ถูกความทุกข์เบียดเบียนอยู่ร่ำไป 
65 พวกเขาจมอยู่กับการยึดทฤษฎีที่ว่า เที่ยง ไม่เที่ยง มี ไม่มี อาศัยทิฏฐิ 62 ดำรงอยู่ด้วยการยึดมั่นในอสันตภาวะ 
66 เขาเหล่านั้น เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ เย่อหยิ่ง หัวดื้อ คดโกง หยาบช้า และโง่เขลา พลา จะไม่ได้ยินเสียงของพระพุทธเจ้าแน่นอน แม้ในหลายโกฏิชาติ 
67 ดูก่อนศาริบุตร เรากล่าวอุบายแก่สัตว์เหล่านั้นว่า เธอทั้งหลายจงสร้างที่สุดแห่งทุกข์ (ขจัดทุกข์ให้หมดไป) 
เราเห็นสัตว์ที่ถูกความทุกข์เบียดเบียนแล้ว จึงแสดงพระนิพพาน ณ ที่นั้น (แก่พวกเขา) 
68 ก็แล เราแสดงธรรมเหล่านี้ ที่เป็นเครื่องดับทุกข์อยู่เป็นนิตย์ ที่ทำให้สงบในเบื้องต้น ส่วนพุทธบุตรยังวัตรปฏิบัติให้ถึงพร้อม ก็จักเป็นพระชินเจ้าได้ในอนาคต 
69 นี้เป็นอุบายที่ฉลาดของเรา ที่เราแสดงยานเป็นสาม ซึ่งที่แท้ยานมีเพียงหนึ่ง เท่านั้น นัยก็มีหนึ่ง และเทศนาของตถาคตทั้งหลายก็มีเพียงหนึ่ง 
70 ชนเหล่าใด มีความข้องใจสงสัยอยู่ เธอจงขจัดความข้องใจสงสัยของชนเหล่านั้นเสีย ตามปกติ พระโลกนาถทั้งหลาย ไม่ตรัสเป็นอย่างอื่น ยานมีเพียงหนึ่งเท่านั้น ยานที่สองไม่มี 
71 ก็แล ในอดีตกาล พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าในสมัยก่อน มีจำนวนหลายพันองค์ ไม่สามารถประมาณได้ ที่ได้ปรินิพพานไปแล้ว ในกัลป์อันนับไม่ถ้วน 
72 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นบุรุษสูงสุดเหล่านั้นทั้งหมด ได้ประกาศธรรมอันบริสุทธิ์หมดจดมากมาย ด้วยการยกตัวอย่าง ด้วยการแสดงเหตุผล และด้วยอุบายที่ฉลาดหลายร้อยวิธี 
73 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหมดนั้น ได้แสดงยานเดียว และให้สัตว์หลายพันโกฏิ นัยไม่ได้ เข้าถึงยานเดียว ทั้งอบรมสัตว์เหล่านั้นไว้ในยานเดียว 
74 พระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงประกาศธรรมอันประเสริฐสุด ด้วยอุบายอื่นๆ อีกมากมายของพระชินเจ้า พระองค์ทรงทราบความเป็นไปและอุปนิสัยของสัตว์ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก ด้วยอุบายเหล่านั้น 
75 สัตว์ทั้งหลายที่กำลังฟังธรรมอยู่ ณ เบื้องพระพักตร์ของพระตถาคตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นก็ตาม เป็นผู้เคยฟังธรรมมาแล้ว (ในชาติปางก่อน) ก็ตาม
ได้ให้ทานรักษาศีล และประพฤติดี ปฏิบัติชอบด้วยความอดทน 
76 สัตว์ทั้งหลายได้ทำความดีด้วยความเพียร และด้วยสมาธิ ได้ไตร่ตรองพิจารณาธรรมด้วยปัญญา และได้ทำบุญต่างๆ สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นทั้งหมด มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้ 
77 สัตว์ทั้งหลายผู้อดทน มีคนฝึกแล้ว ตั้งมั่นในพระศาสนาของพระชินเจ้าทั้งหลายที่ปรินิพพานแล้ว สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
78 สัตว์ทั้งหลาย ผู้ทำการบูชาพระธาตุทั้งหลายของพระชินเจ้า ที่ปรินิพพานไปแล้วและได้สร้างสถูปจำนวนหลายพัน ด้วยรัตนเจ้า ทอง แก้วผลึก 
79 พวกเขาได้สร้างสถูปที่สำเร็จด้วย มรกต การเกตน์ มุกดา ไพฑูรย์ นิล ที่มีคุณภาพดียิ่ง สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
80 สัตว์ทั้งหลาย ที่สร้างสถูปด้วยศิลา แก่นไม้จันทน์และกฤษณา ไม่เทพทารุ (ไม้สนหรือไม้ฉำฉา) และด้วยไม้นานาชนิด 
81 สัตว์ทั้งหลาย ที่มีความยินดี สร้างสถูปด้วยอิฐ หรือก้อนดินเหนียวปั้น หรือให้ทำกองฝุ่นเป็นสถูป ในป่าและที่เปลี่ยว อุทิศพระชินเจ้าทั้งหลาย 
82 แม้เด็กๆ เล่นทำเนินทรายให้เป็นสถูป อุทิศ (เจาะจง) พระชินเจ้าทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้ 
83 ชนบางพวกเจาะจงให้สร้างรูปพระชินเจ้าทั้งหลาย ที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะอาการ 32 จากรัตนะ (เพื่อเป็นที่ระลึก) แม้เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้เหมือนกัน 
84 ชนบางพวกให้สร้างรูปของพระสุคตทั้งหลาย ด้วยทองแดงบ้าง ด้วยทองเหลืองบ้าง ประดับด้วยรัตนะ 8 ประการบ้าง ไว้ ณ ที่นั้นๆ เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อการตรัสรู้ 
85 ชนเหล่าใดใช้ตะกั่ว เหล็ก หรือดินเหนียว ทำรูปพระสุคตทั้งหลาย ให้เป็นต้นแบบที่งดงาม ชนเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
86 ชนเหล่าใดกระทำภาพ (พระสุคต) ที่สมบูรณ์ด้วยปุณยลักษณะ 100 ประการบนฝาผนังที่สวยงาม เขาเขียน (ภาพ) เองก็ตาม ให้ผู้อื่นเขียนก็ตาม เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
87 ผู้ใหญ่หรือเด็กก็ตาม ที่กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ หรือเล่นอยู่ เพื่อความสนุกสนาน เพลิดเพลิน เขียนภาพ (ตถาคต) ด้วยเล็บหรือชิ้นไม้ไว้ที่ฝาผนัง 
88 เขาเหล่านั้นทั้งหมด เป็นผู้มีความกรุณา ช่วยเหลือสัตว์เป็นจำนวนหลายพันโกฏิ สนับสนุนพระโพธิสัตว์จำนวนมากให้ข้ามพ้น (สังสารวัฏ) เขาเหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
89 ชนเหล่าใดถวายดอกไม้และเครื่องหอมทั้งหลาย ไว้ที่พระธาตุทั้งหลาย หรือที่พระสถูปทั้งหลายของตถาคต ที่ปั้นด้วยดินเหนียว หรือรูปวาดของตถาคตที่ฝาผนัง หรือที่สถูปทราย 
90 ชนเหล่าใด ที่เป็นนักดนตรี ได้บรรเลง (ดนตรี) ตีกลอง เป่าสังข์ มีเสียงกึกก้องและตีกลองหน้าเดียวดังกึกก้อง เพื่อบูชาพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้ประเสริฐสุด 
91 เด็กหนุ่ม หรือกุมารเยาว์วัย เชื้อสายนักดนตรี ที่สมารถดีดพิณ ตีฉาบ เป่าแตร เป่าปี่ เป่าขลุ่ย ตีกลอง ที่ไพเราะจับใจ (เพื่อบูชาพระพุทธเจ้า) เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
92 ชนทั้งหลายที่ตีฉิ่ง เป่าปี่ หรือเป่าแตร ร้องเพลงอันไพเราะจับเพื่ออุทิศบูชาพระสุคตทั้งหลาย 
93 เขาเหล่านั้นทั้งหมด กระทำการบูชาพระบรมธาตุชนิดต่างๆในโลก ให้บรรเลงเครื่องดนตรีชิ้นเล็กๆ เพียงชิ้นเดียว ร ที่ใกล้พระบรมธาตุของพระสุคต ก็ได้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว 
94 แม้ผู้มีจิตฟุ้งซ่าน บูชาพระตถาคต ด้วยดอกไม้เพียงดอกเดียว และให้เขียนภาพพระตถาคตบนผนัง แล้วบูชา ก็ได้ได้เฝ้าพระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ตามกาลอันควร 
95 บางพวกเพียงประนมมือไหว้ บางพวกทำความเคารพอย่างสมบูรณ์แบบ คือยกศีรษะชั่วครู่แล้วน้อมกายลงครั้งหนึ่ง ที่พระสถูปนั้นๆ 
96 ในเวลานั้น แม้พวกที่มีจิตฟุ้งซ่าน กล่าวครั้งหนึ่งว่า “ข้าพเจ้าขอนอบน้อมต่อพระพุทธเจ้า” ที่พระสถูปอันเป็นที่บรรจุพระบรมธาตุทั้งหลาย เขาเหล่านั้นทั้งหมด ก็จักได้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐนี้ 
97 สัตว์เหล่าใด แม้ได้ฟังชื่อพระธรรมของพระสุคตทั้งหลาย ผู้ปรินิพพานไปแล้วหรือทรงดำรงอยู่ในกาลนั้น สัตว์เหล่านั้นทั้งหมดก็มีส่วนได้เพื่อตรัสรู้ 
98 พระพุทธเจ้าหลายโกฏิพระองค์ในอนาคต มีจำนวนที่กำหนดไม่ได้ ประมาณมิได้ พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ผู้เป็นพระชินเจ้า เป็นที่พึ่งของชาวโลกที่ประเสริฐสุดจักประกาศอุบายเช่นนี้ 
99 พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ซึ่งเป็นผู้แนะนำชาวโลก ก็จะมีความฉลาดในอุบายอันหาที่สุดมิได้ ด้วยความฉลาดในอุบาย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ก็จะแนะนำสัตว์จำนวนหลายโกฏิในพุทธภาวะ และญาณอันไม่มีอาสวะ 
100 ไม่มีสัตว์แม้ผู้เดียวที่ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ว่าเวลาใด จะไม่ได้เป็นพุทธะ พระตถาคตมีพระประณิธานอย่างนี้ว่า “เราประพฤติธรรมแล้วจะต้องให้ผู้อื่นประพฤติธรรม เพื่อตรัสรู้ด้วย” 
101 ในอนาคตกาล พระพุทธเจ้าทั้งหลาย จักประกาศแนวทางแห่งการบรรลุธรรมมากมายหลายพันโกฏิ พระองค์เมื่อประกาศยานหนึ่งนี้ ก็จักแสดงธรรม (เพื่อบรรลุ) ความเป็นพระตถาคตด้วย 
102 พระพุทธเจ้า ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ทรงทราบว่า หัวข้อและกฎแห่งธรรมที่มั่นคงนี้ ย่อมส่องประกาย (รุ่งเรือง) อยู่เสมอ จึงได้ประกาศเอกยานของเรา 
103 พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้ประกาศความมั่นคงแห่งธรรม กฎแห่งธรรม ที่ไม่หวั่นไหว ตั้งมั่นในโลกเป็นนิจ และพระโพธิญาณบนพื้นดิน 
104 พระพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนเท่าเมล็ดทราย ในแม่น้ำคงคา ที่มนุษย์และเทวดาบูชาแล้วทั้งสิบทิศ ทุกๆ พระองค์ย่อมแสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งมวลในโลกนี้ 
105 พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงประกาศความฉลาดในอุบาย ทรงแสดงยานต่างๆ แต่จะประกาศยานหนึ่งเท่านั้นว่า เป็นพื้นฐานของความสงบสูงสุด 
106 พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้นทรงทราบจริต และอุปนิสัยที่เคยปฏิบัติ กำลังและความเพียรของสัตว์ทั้งหลายแล้ว ย่อมแสดงธรรมเครื่องหลุดพ้น 
107 พระพุทธเจ้าทั้งหลายที่เป็นผู้นำ ย่อมชี้อุทาหรณ์เหตุแลผลมากมาย ด้วยกำลังแห่งพระญาณ พระองค์ทรงทราบว่า สัตว์ทั้งหลายมีอุปนิสัยต่างๆกันแล้ว จึงแสดงอภินิหารต่างๆ 
108 แม้เราเอง เป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ของพระชินเจ้า ย่อมแสดงพุทธโพธิญาณนี้ ด้วยอภินิหารหลายพันโกฏิวิธี ก็เพื่อประโยชน์สุขของสัตว์ทั้งหลาย 
109 เราทราบพฤติกรรมและอุปนิสัยของสัตว์ทั้งหลายแล้ว จึงแสดงธรรมหลายประการ เราให้สัตว์แต่ละผู้แต่ละคนรื่นเริงหรรษาด้วยอุบายหลายอย่าง นี้คือ กำลังแห่งญาณของเรา 
110 เรามองเห็นสัตว์ผู้ยากไร้ ผู้เสื่อมจากปัญญาและบุญ ผู้ตกอยู่ในความทุกข์ลำบากในสังสารวัฏ ทั้งยังจมอยู่ในกองทุกข์อย่างต่อเนื่อง 
111 คนพาล ผู้หมกมุ่นอยู่ในตัณหาเหมือกับจามรี มืดมนตลอดเวลาเพราะกามเป็นเหตุ เขาเหล่านั้นไม่แสวงหาพุทธะและธรรมะ ที่มีอานุภาพมาก สามารถให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้ 
112 เขาทั้งหลายเหล่านั้นมีจิตยินดีอยู่ในภูมิทั้งหก ตั้งมั่นในมิจฉาทิฏฐิอย่างเหนียวแน่นวิ่งหาทุกข์อยู่ร่ำไป เรามีความการุณต่อพวกเขาเหลือกำลัง 
113 เราหลังจากตรัสรู้แล้ว ประทับอยู่โพธิมณฑลสามสัปดาห์เต็ม เพ่งมองต้นไม้พิจารณาเรื่องนี้อยู่ 
114 เราเพ่งมองต้นไม้นั้นและเดินจงกรมอยู่ภายใต้ต้นไม้นั้น พลางคิดว่านี้คือญาณที่อัศจรรย์และประเสริฐสุด สัตว์เหล่านี้ ช่างโง่เขลาและมืดบอดเหลือเกิน 
115 ในกาลนั้น พระพรหม ท้าวศักระ ท้าวโลกาบาลทั้งสี่ พระมเหศวร พระอิศวร และคณะมรุตเทพ จำนวนหลายพันโกฏิมาขอร้องเรา 
116 เทพเหล่านั้นทั้งหมด ยืนประคองอัญชลี แสดงความเคารพ เรา (ตถาคต) คิดถึงเรื่องนี้ว่า จะทำอย่างไรดี (ตัดสินใจว่า) เราจะแสดงธรรมอันประเสริฐแก่สัตว์ (ชนชั้น) ทั้งหลาย เพราะสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ถูกความทุกข์ครอบงำ 
117 ถ้าพวกเขาจะเพิกเฉยธรรมของเราที่กล่าวเพื่อคนพาล ครั้นพวกเขาเพิกเฉยก็จะเข้าถึงอบายภูมิ จึงเป็นการดีที่เราไม่แสดงธรรมแม้ในกาลไหนๆ ขอให้เราจงนิพพานด้วยความสงสัยเสียในวันนี้เถิด 
118 แต่ว่า เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อน และอุบายอันฉลาดของพระพุทธเจ้าเหล่านั้น (เราจึงคิดได้ว่า) เราควรแสดงพุทธโพธิญาณนี้ โดยแบ่งเป็นสามภาค 
119 ขณะที่เราคิดข้อธรรมอยู่อย่างนี้ พระพุทธเจ้าองค์อื่นๆ ที่ประทับอยู่ในทิศทั้งสิบก็มาปรากฏพระกายต่อหน้าเรา และเปล่งพระสุรเสียงว่า “สาธุ” (แล้วกล่าว่า) 
120 ข้าแต่พระมุนี ผู้นำที่ประเสริฐของชาวโลก ดังข้าพเจ้าทั้งหลายจะขอโอกาสพระองค์เมื่อตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ พิจารณา ศึกษากุศโลบายของพระผู้นำแห่งโลกอยู่ 
121 แม้ข้าพเจ้าทั้งหลาย หลังจากตรัสรู้แล้วในครั้งนั้น ได้แสดงธรรม (บท) แบ่งเป็นสามภาค เพราะว่า ชนทั้งหลายที่ไม่มีความรู้ และมีอุปนิสัยต่ำทราม จะไม่เชื่อ(คำพยากรณ์ที่ว่า) “พวกเธอจะได้เป็นพระพุทธเจ้า (ในอนาคต) 
122 แต่นั้น ด้วยความอนุเคราะห์เป็นเหตุ เราจึงใช้ความฉลาดในอุบาย กล่าวสนับสนุนเรื่องความปรารถนาในอริยผล กะพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย 
123 เราได้ฟังพระสุรเสียงอันไพเราะจับใจของพระตถาคตทั้งหลายแล้ว มีปิติปลาบปลื้มใจ เราจึงกล่าวว่า ท่านมหาฤษีทั้งหลาย (พระพุทธเจ้าทั้งหลาย) ผู้ประเสริฐ พระดำรัสของท่านผู้มั่นคง เป็นพระดำรัสที่ไม่มีโมหะ 
124 เราจะประพฤติเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสไว้ เพราะว่า เราบังเกิดในท่ามกลางแห่งความเสื่อมของสัตว์ที่ปวดร้าวและทารุณนี้ 
125 ดูก่อนศาริบุตร เราครั้นทราบอย่างนี้แล้ว ก็ได้ออกเดินทางไปยังเมืองพาราณสี ในเวลานั้น และได้ประกาศธรรมอันเป็นรากฐานแห่งความสงบ แก่ภิกษุปัญจวัคคีย์ ด้วยอุบายอันฉลาด 
126 แต่นั้น ธรรมจักรของเราตถาคตได้หมุนไป ศัพท์ว่า นิพพาน อรหันต์ ธรรมะ สังฆะ ก็ได้บังเกิดขึ้นในโลก 
127 เรากล่าวเรื่องนิพพานเป็นเวลาหลายปี และชี้ว่า พระนิพพานเป็นที่สุดแห่งความทุกข์ในสงสาร เรา (ตถาคต) กล่าวอย่างนี้เป็นนิจกาล 
128 ดูก่อนศาริบุตร ในเวลานั้น เราได้เห็นบุตรของชนชั้นสูง จำนวนมากมายหลายพันโกฏิ ที่เข้าใกล้พระโพธิญาณอันประเสริฐและสูงสุด 
129 ทุกคนเหล่านั้น เข้ามาสู่ที่ใกล้เรา (ตถาคต) ยืนประคองอัญชลีเคารพเรา เขาเหล่านั้นเคยฟังธรรมของพระชินเจ้าทั้งหลายมาแล้ว และได้ฟังกุศโลบาย ประการต่างๆมาแล้ว 
130 แต่นั้นเราได้มีความคิดครู่หนึ่งว่า นี้เป็นกาลสมัยแห่งเรา ที่จะประกาศธรรมอันประเสริฐ(เพราะว่า) เราอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ ก็เพื่อประกาศ
พระโพธิญาณ อันประเสริฐนั้นและเป็นประโยชน์แก่ชาวโลก 
131 การเข้าใจนิมิตในวันนี้ เป็นสิ่งที่รับ (เชื่อ) ได้ยาก สำหรับผู้ที่มีความรู้น้อย ถึงพร้อมด้วยอธิมานะ งมงาน แต่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ จะพากันฟังธรรม (ของเรา) 
132 เรามีความแกล้วกล้าผ่องใส ละความลังเลใจทั้งปวงเสียแล้ว จะกล่าวในท่ามกลางแห่งบุตรพระสุคตทั้งหลาย และเราจะนำเขาเหล่านั้นให้ตรัสรู้ตามด้วย 
133 ก็เราครั้นเห็นพุทธบุตรที่เช่นนี้แล้ว (จึงกล่าวว่า) ท่านทั้งหลายจงขจัดความสงสัยออกไป และสาวกอีก 1200 รูป เหล่านี้ ก็จักเป็นผู้ไม่มีอาสวะทั้งหมดจักเป็นพุทธะในโลกนี้ 
134 ธรรมของมุนีในอดีตทั้งหลายเหล่านั้น และของพระชินเจ้าในอนาคต ย่อมเป็นเหมือนกับธรรมของเรา คือปราศจากมลทิน ซึ่งเราจะแสดงแก่ท่านทั้งหลายในวันนี้ 
135 ไม่ว่าเวลาใด ที่ใด และอย่างไร พระตถาคตทั้งหลาย จะอุบัติขึ้นในโลก ครั้นอุบัติขึ้นในโลกแล้ว ทุกพระองค์ทรงมีจักษุเป็นทิพย์ ย่อมแสดงธรรมเช่นนี้ทุกครั้ง 
136 ธรรมอันประเสริฐเช่นนี้เป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งตลอดเวลาหลายหมื่นโกฏิกัลป์ และสัตว์ทั้งหลายผู้เช่นนี้ ซึ่งฟังธรรมอันประเสริฐแล้ว เกิดความเลื่อมใส ก็หาได้ยากยิ่ง 
137 เหมือนดอกมะเดื่อเป็นสิ่งที่หาได้ยาก อย่างไรก็ตาม บุคคลย่อมพบเห็นในบางคราวและบางแห่ง มันก็ยังเป็นที่เจริญใจของบุคคล ทั้งยังเป็นที่อัศจรรย์แก่ชาวโลกและเทวดาด้วย 
138 ก็แล ธรรมที่เรากล่าวยิ่งอัศจรรย์ไปกว่านั้น บุคคลใดได้ฟังธรรมอันเป็นสุภาษิตนี้ แล้วอนุโมทนายินดีกล่าวถ้อยคำแม้เพียงคำเดียว (เกี่ยวกับธรรมนั้น) เขาเหล่านั้นชื่อว่าได้กระทำการบูชาพระพุทธเจ้าทั้งปวงแล้ว 
139 ขอให้เธอจงเลิกละความสงสัย คลางแคลงใจในเรื่องนี้เถิด เราผู้เป็นธรรมราชาขอบอกว่า เราจะให้เขาเข้าถึงโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ณ ที่นี้ เรายังไม่มีสาวกเลย 
140 ดูก่อนศาริบุตร เธอจงทราบความลึกลับนี้ของเราไว้เถิด แม้สาวกทั้งปวงของเรามีพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นประธานเหล่านี้ ก็จงจำความลึกลับของเรา (ตถาคต)ไว้ 
141 เพราะเหตุไร ในสมัยแห่งความเสื่อมทั้งห้าสัตว์ทั้งหลายผู้ชั่วช้าและต่ำทรามถูกครอบงำด้วยกามทั้งหลาย เป็นผู้โง่เขลาเบาปัญญาในกาลไหนๆ ย่อมมีความคิดเพื่อการตรัสรู้ 
142 แลสัตว์ทั้งหลายได้ฟังเพียงยานเดียวของเรา ที่พระชินเจ้าประกาศแล้วท่องเที่ยวไปในอนาคตกาล สลัดพระสูตรทิ้งเสีย ก็จะพึงถึงนรก 
143 สัตว์ทั้งหลาย ผู้สงบเสงี่ยม สะอาดหมดจด พยายามเข้าถึงพระโพธิญาณอันประเสริฐสูงสุด เรากล้าจะพรรณนาลักษณะอันไม่สิ้นสุดของเอกยานนั้นแก่เขาทั้งหลาย 
144 เทศนาของผู้นำ (ตถาคต) ทั้งหลายเป็นเช่นนี้ นี้คือความฉลาดในอุบาย ที่ประเสริฐสุด เราได้กล่าวด้วยถ้อยคำอันลึกหลากหลาย ยากที่ผู้ไม่ได้รับการศึกษาจะเข้าใจได้ 
145 เพราะฉะนั้น เธอควรเข้าใจถ้อยคำอันลึกของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้สั่งสอนโลกผู้มั่นคงเถิด จงขจัดความสงสัย จงละความคลางแคลงใจเสีย ก็จะเป็นพุทธะ ยังความหฤหรรษ์ให้เกิดขึ้น อุปายโกศลปริวรรต 
 บทที่ 2 ว่าด้วยความฉลาดในอุบาย
 มีเพียงเท่านี้