Translate

17 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๒๒ ไภษัชยราชปูรวโยคปริวรรต ว่าด้วยปุพพโยคกรรมของพระไภษัชยราช

 
   นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ได้ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะเหตุไร? พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ จึงได้ท่องเที่ยวไปในโลกธาตุนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระโพธิสัตว์มหาสัตว์องค์นั้นได้ประสบความลำบากจำนวนมาก เป็นร้อยพันหมื่นโกฏิ เป็นการดียิ่ง ถ้าพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้แสดงพื้นฐานจรรยาวัตรบางอย่าง ของพระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ เมื่อ เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ อมนุษย์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ผู้มาจากโลกธาตุอื่นจากนั้น และพระมหาสาวกทั้งหลายทั้งปวง ได้ฟังแล้ว จะเกิดปีติยินดี มีจิตฟูขึ้น 
ครั้งนั้น เมื่อพระผู้มีพระภาค ทรงทราบคำทูลอาราธนาของพระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์มหาสัตว์แล้ว จึงตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะว่า ดูก่อนกุลบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว ในอดีต ที่ผ่านมาแล้วหลายกัลป์ ซึ่งเท่ากับจำนวนเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา กาลสมัยนั้น ได้มีพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งนามว่า จันทรสูรยวิมลประภาศรี ได้อุบัติขึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่หาผู้เปรียบมิได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจันทรสูรยวิมลประภาศรี นั้น ได้มีมหาสันนิบาตพระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวน 80 โกฏิ และมีสาวกสันนิบาตเท่ากับเมล็ดทรายใน 72 แม่น้ำคงคา ประพจน์(ศาสนาของพระองค์) นั้นปราศจากมาตุคาม พุทธเกษตรนั้นปราศจากสัตว์นรก ปราศจากสัตว์ในกำเนิดเดรัจฉาน ปราศจากเปรตและอสูรกาย เป็นพุทธเกษตรที่น่ารื่นรมย์เสมอ ได้เกิดแล้วบนฝ่ามือส่วนที่เป็นพื้นดินสำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ที่เป็นทิพย์ ประดับด้วยต้นรัตนจันทนพฤกษ์ มีหน้าต่างประดับด้วยรัตนะ ห้อยด้วยแผ่นผ้าที่ต่อเนื่องกัน จุดธูปครู่หนึ่ง ชั่วกลิ่นแห่งรัตนะ ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ทั้งปวง ประมาณช่วงแห่งการยิงลูกธนู จะมีโพยม (ปราสาท) รัตนะตั้งอยู่ บนยอดรัตนปราสาททั้งปวง มีเทพบุตรจำนวนร้อยโกฏิ ร่วมกันขับร้องประโคมดนตรี เพื่อบูชาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคนั้น ได้แสดงธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ โดยพิสดาร แก่พระมหาสาวกทั้งหลายเหล่านั้น และแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ได้กระทำให้ พระสรรวสัตวปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ตั้งมั่นแล้ว พระชนมายุของพระนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ และพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี นั้นมีประมาณ 42 พันกัลป์ เช่นเดียวกับพระชนมายุของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระสาวกเหล่านั้น ก็ พระสรรวสัตวปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ถึงพร้อมด้วยความประพฤติ ที่ทำได้ยากยิ่ง ตามประพจน์ของพระผู้มีพระภาค พระองค์ได้ขึ้นสู่การเดินจงกรม เป็นเวลา 12,000 ปี เป็นผู้ประกอบโยคะ ด้วยการใช้ความเพียรเป็นอย่างมาก ล่วงเลยไปถึง 12,000 ปี พระองค์จึงได้บรรลุ สรรวรูปสันทรรศนสมาธิ (สมาธิที่สามารถมองเห็นรูปทั้งปวง) พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นั้น เมื่อได้สมาธินั้นแล้ว ก็เกิดความยินดีปรีดิ์เปรมปลื้มปีติโสมนัสสูงสุด
 ในขณะนั้น คิดว่า เพราะอาศัยธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีตสูตรนี้ เราจึงได้สรรวรูปทรรศน์สมาธินี้ ในเวลานั้นพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้คิดอย่างนี้ว่า ไฉนหนอ เราควรทำการบูชาต่อพระผู้มีพระภาคตถาคต จันทรสูรยวิมลประภาศรี และธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนั้น ในขณะที่พระองค์ทรงบรรลุสมาธินั้น สายธารดอกมณฑารพน้อยใหญ่จำนวนมาก ได้โปรยลงจากฟากฟ้า แก่พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้บรรลุสมาธินั้นตามลำดับ ละอองไม้จันทน์จับกลุ่มดำทะมึนปรากฏขึ้น สายฝนไม้จันทน์ก็ได้โปรยลงมา 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ คันธชาติเช่นนั้น แม้เพียงหนึ่งกรษะก็มีค่ากว่าสหาโลกธาตุนี้
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นได้มีความทรงจำและมีความรู้สึก เมื่อออกจากสมาธินั้น ครั้นออกแล้ว ได้คิดอย่างนี้ว่า การบูชา พระผู้มีพระภาค ด้วยการแสดงฤทธิ์ปาฏิหาริย์เพียงเท่านี้ จะไม่มากไปกว่าการเสียสละชีวิตของตนได้เลย
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในเวลานั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้บริโภครสธูปไม้กฤษณาและกำยาน ทั้งได้ดื่มน้ำมันดอกจำปาแล้ว
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ โดยปริยายนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้บริโภคของหอมและดื่มน้ำมันจำปาผสมกันเรื่อยมา จนล่วงไปได้ 12 ปี
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น โดยกาลล่วงไป 12 ปีนั้น ได้ห่อหุ้มอัตภาพของตนด้วยผ้าทิพย์ กระทำการอธิษฐานเฉพาะตน แล้วกระโจนลงในน้ำมันหอม ครั้นทำการอธิษฐานเฉพาะตนแล้ว ได้เผากายตนเอง เพื่อกรรมคือการบูชาพระตถาคต และเพื่อบูชาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ โลกธาตุทั้งหลายจำนวนเท่าเมล็ดทรายใน 80 แม่น้ำคงคา สว่างขึ้น ด้วยเปลวแสงประทีปจากกายของพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายใน 80 คงคานที ในโลกธาตุเหล่านั้น ได้ให้สาธุการว่า "ดีละ ดีละ กุลบุตร ดีละ ดีละ กุลบุตร ท่านจงทำต่อไป นี้คือการปรารภความเพียร อันเที่ยงแท้ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย นี้คือตถาคตบูชาและธรรมบูชาอย่างแท้จริง ไม่เหมือนการบูชาด้วยดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย แป้งเครื่องลูบไล้ จีวร ธงปฏาก ไม่ใช่การบูชาด้วยอามิสไม่เหมือการบูชาด้วยไม้จันทน์อุรคสาร 
               ดูก่อนกุลบุตร นี้คือทานอันเลิศ ไม่เหมือนกับทานคือการสละราชสมบัติ ไม่เหมือนกับทานคือการสละบุตรและภรรยาอันเป็นที่รัก 
               ดูก่อนกุลบุตร การบูชาธรรมที่ทำแล้วอย่างนี้ เป็นสิ่งประเสริฐ ดี เลิศ เลิศที่สุด กว่าการสละอาตมภาวะของตน 
               ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระพุทธเจ้าเหล่านั้น ครั้นตรัสพระวาจาอย่างนี้แล้ว ก็ดำรงอยู่ด้วยอาการสงบ 
               ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เมื่ออาตมภาวะ (ร่างกาย) ของพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์ ถูกไฟเผาไหม้อยู่นาน
ถึง 1200 ปี เปลวไฟก็ยังไม่สงบ หลังจากล่วงไปอีก 1200 ปี แล้ว ไฟนั้นจึงสงบ 
              ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ขณะนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ครั้นได้ทำตถาคตบูชา และธรรมบูชาอย่างนั้นแล้ว ก็จุติจากที่นั้น ไปบังเกิดทันทีในพระราชวังของ พระเจ้าวิมลทัตตะ ในสมัยของพระผู้มีพระภาค ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี บัลลังก์ก็ปรากฏขึ้นในบริษัท ในทันทีที่เกิดขึ้นนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวคาถากับมารดาบิดาของตนในขณะนั้นว่า 1 ข้าแต่ราชเศรษฐะ ข้าพเจ้าได้สมาธินี้ เพราะผลแห่งการเดินจงกรมของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้สละอาตมภาวะอันเป็นที่รักยิ่ง บำเพ็ญมหาพรตอย่างแรงกล้าและมั่นคงยิ่ง 
               ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ครั้นได้กล่าวคาถานี้แล้ว ได้ทูลมารดาบิดของตนว่า ข้าแต่พระมารดาบิดา ข้าพเจ้าได้รับมนตร์ในการรับรู้เสียงทั้งปวง เพราะได้ทำการบูชาพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี ซึ่งยังดำรงพระชนม์อยู่ จะดำรงอยู่ต่อไปในโลกนี้ จักได้แสดงธรรมในวันนี้ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ มี 80 รั้อยพันหมื่นโกฏิคาถา ด้วย สังกระ(ระคนกัน) วิวระ(มีช่องทาง) อัโษภยะ(100วิวระ) ทั้งหมด ข้าพเจ้าได้ฟังจากสำนักของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ข้าแต่พระมารดา พระบิดา ดีละ ข้าพเจ้าจักไปสู่สำนักของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ครั้นไปที่นั้นแล้ว จักทำการบูชาพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในขณะนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้เหาะขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงประมาณ 7 ชั่วต้นตาล นั่งขัดสมาธิบนสัปตรัตนกูฏาคาร แล้วเคลื่อนเข้าไปสู่ที่ประทับของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ครั้นเข้าไปใกล้แล้ว ได้อภิวาทพระบาททั้งสองของพระผู้มีพระภาคด้วยเศียรเกล้า กระทำสักการะ ประทักษินพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นประคองอัญชลีไปในทิศที่พระผู้มีพระภาคประทับ ครั้นนมัสการพระผู้มีพระภาคแล้ว ได้สดุดี ด้วยคาถานี้ว่า 
1 ข้าแต่พระนริทระ พระองค์ผู้เป็นปราชญ์ มีพระพักตร์ผ่องใส รัศมีของพระองค์แผ่สว่างไปใน10 ทิศ ข้าแต่พระสุคต ผู้เป็นที่
พึ่ง เพราะข้าพระองค์ ได้ทำการบูชาอันเลิศแด่พระองค์ จึงได้มาเฝ้าพระองค์อีก ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในขณะนั้น เมื่อพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ กล่าวคาถานี้แล้ว จึงได้ทูลเนื้อความนี้ กับพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์ยังพอทรงพระชนม์อยู่แม้ในวันนี้หรือ? 
              ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจันทรสูรยวิมลประภาศรี นั้น ได้ตรัสเนื้อความนี้กับพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนกุลบุตร กาลสมัยแห่งนิพพานของเรา ได้มาถึงแล้ว ดูก่อนกุลบุตรกาลอันเป็นที่สิ้นสุดของเราได้มาถึงแล้ว ดูก่อนกุลบุตร ท่านจงไปสู่ที่นั้น เพื่อเตรียมเตียงแก่เรา เราจักปรินิพพาน ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระผู้มีพระภาคตถาคตจันทรสูรยวิมลประภาศรี ได้ตรัสข้อความกันพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นว่า "ดูก่อนกุลบุตร เราจักมอบศาสนา (คำสอน) นี้แก่ท่าน เราจักมอบพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ พระมหาสาวกทั้งหลาย พระพุทธโพธิญาณ โลกธาตุ รัตนวโยมกะ เทวบุตรและอุปัฏฐาก ทั้งหลายของเราแก่ท่าน  ดูก่อนกุลบุตร เมื่อเรานิพพานแล้ว เราจักมอบพระธาตุเหล่านั้นแก่ท่าน ดูก่อนกุลบุตรขอให้ท่านพึงทำการบูชาพระธาตุของเราอย่างใหญ่หลวงด้วยตนเอง ท่านพึงกระทำพระธาตุเหล่านั้น ให้แผ่กว้างออกไป ท่านพึงสร้างสถูปจำนวนหลายพันองค์
               ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จันทรสูรยวิมลประภาศรี นั้น ครั้นได้
สอน (แนะนำ) พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์อย่างนั้นแล้ว ในปัจฉิมยามราตรีนั้นเอง ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์พระองค์นั้นเห็นว่า พระผู้มีพระภาคตถาคต จันทรสูรยวิมลประภาศรี ปรินิพพานแล้ว จึงจักทำกองไม้จันทน์อุรคสาร ถวายพระเพลิงอาตมภาวะ(สรีระ)ของพระตถาคตนั้น เมื่อเห็นว่า อาตมภาวะของพระตถาคตที่ถูกเผาไหม้สงบลงแล้ว ต่อมาจึงเก็บพระธาตุ ร้องไห้ คร่ำครวญ เศร้าโศกแล้ว ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เมื่อพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ร้องไห้คร่ำครวญ เศร้าโศกนั้น ได้ให้สร้างสัปตรัตนกุมภะ 84,000 ใบ บรรจุพระธาตุของพระตถาคต ลงในสัปตรัตนกุมภะเหล่านั้น ทั้งให้สร้างสัปตรัตนสถูป 84,000 องค์ สูงจรดพรหมโลก ประดับด้วยฉัตรเป็นแถว ห้อยด้วยผ้าแพรและกระดิ่ง เมื่อสร้างสถูปเหล่านั้นเสร็จแล้ว คิดว่าเราได้ทำการบูชาพระธาตุของพระตถาคตให้เลิศมากยิ่งขึ้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวกับคณะของพระโพธิสัตว์ มหา
สาวก เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งปวงเหล่านั้นว่า  ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งปวง จงมารวมกัน เราจักทำการบูชาพระธาตุ ของพระตถาคตพระองค์นั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในขณะนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้เผาแขนของตนที่วิจิตรด้วยบุณยลักษณะ 100 ประการ เบื้องหน้าสถูปพระธาตุของพระตถาคต 84,000 องค์ ครั้นเผาแล้ว ได้ทำการบูชาสถูปพระธาตุพระตถาคตเหล่านั้นเป็นเวลา 72,000 ปี ครั้นทำการบูชาแล้ว ได้ทำการสอนพระสาวก จำนวน พันร้อยหมื่นโกฏิจนนับไม่ได้จากบริษัทนั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้บรรลุสรรวรูปสันทรรศน์สมาธิทุกองค์
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงนั้น และมหาสาวกทั้งหลาย ครั้นได้เห็นพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น เสียอวัยวะ (แขน มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้ คร่ำครวญ เศร้าโศก ได้กล่าวต่อๆกันว่า พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นี้ เป็นอาจารย์สั่งสอนเรา ขณะนี้ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ยังดำรงอยู่ทั้งที่เสียอวัยวะ เสียแขน
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวกะพระโพธิสัตว์ มหาสาวก และเทวบุตรเหล่านั้นว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย เมื่อเห็นเราเสียอวัยวะ จงอย่างร้องไห้ อย่างคร่ำครวญ อย่าเศร้าโศกไปเลย ที่ทรงพระชนม์อยู่ และทรงพระชนม์อยู่ต่อไปในโลกธาตุ อันไม่มีที่สิ้นสุดในทิศทั้ง 10 ขอให้พระพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น เป็นพยานต่อพระผู้มีพระภาค ที่ได้สละแขนข้างหนึ่งของข้าพเจ้า ด้วยสัตยวาจาที่กล่าวนั้น ขอให้กายของข้าพเจ้าเป็นสีทอง ด้วยสัตยวาจานั้น ขอให้แขนของข้าพเจ้าจงเป็นเหมือนเดิม ขอให้มหาปฤถิวีนี้ จงหวั่นไหวเป็น 6 วิการ (6จังหวะ) ขอให้เทพบุตรทั้งหลายที่อยู่บนท้องฟ้า จงโปรยฝนดอกไม้จำนวนมากลงมา
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ในทันทีที่พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น กระทำสัตยาธิษฐานนี้ สามพันโลกธาตุน้อยใหญ่นี้ ก็หวั่นไหวเป็น 6 จังหวะ ฝนดอกไม้จำนวนมากถูกโปรยลงมาจากเบื้องบนฟากฟ้า แขนของพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ ก็ได้ปรากฏเหมือนเดิม เพราะความตั้งมั่นด้วยพลังแห่งญาณ และพลังแห่งบุญของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ท่านอาจจะมีความสงสัย เข้าใจผิด หรือไม่แน่ใจว่า ก็โดยกาลสมัยนั้น พระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น เป็นผู้อื่น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ท่านไม่ควรมีความคิดเห็นอย่างนั้น เพราะอะไร?
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เพราะว่า พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ ในกาลสมัยนั้น คือพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ (ในสมัยนี้)
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้ประสบความทุกข์ยากถึงพันร้อยหมื่นโกฏิชนิด ที่ปรารถนาอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ พึงเผานิ้วหัวแม่เท้าที่เจดีย์ของพระตถาคต พึงเผานิ้วมือ หรือนิ้วเท้าข้างหนึ่ง หรืออวัยวะแขนข้างหนึ่ง กุลบุตร หรือกุลธิดานั้น ผู้ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยาน ก็ชื่อว่า ได้ทำสักการะ ด้วยบุญที่มากกว่า ไม่น้อยไปกว่าการบริจาคราชสมบัติ ไม่น้อยไปกว่าการบริจาคบุตรธิดาและภรรยาอันเป็นที่รัก ไม่น้อยไปกว่าการบริจาคโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่รวมทั้งป่า มหาสมุทร ภูเขา น้ำพุ สระน้ำ ลำธาร บ่อ และอาราม
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ กุลบุตรหรือกุลธิดา ผู้ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยาน พึงกระทำโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่ใน
เต็มด้วยสัปตรัตนะ แล้วพึงถวายทานแด่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น สามารถทำได้พึงเพียงนั้น กุลบุตร หรือกุลธิดานั้นพึงรักษาธรรมบรรยายปุณฑรีกสูตร โดยที่สุดแม้เพียงคาถาหนึ่ง ซึ่งมี 8 บาท เราย่อมกล่าวว่า การสักการะอย่างนี้ ของกุลบุตรกุลธิดานั้นย่อมมีผลมากกว่า เราไม่กล่าวว่า ผู้ที่ทำโลกธาตุทั้งสามพันน้อยใหญ่นี้ ให้เต็มด้วยสัปตรัตนะ แล้วถวายทานแด่พระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ พระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวงว่าย่อมมีผลบุญมากกว่า
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ มหาสมุทรถึงความเป็นยอดของน้ำพุ สระ หนอง ทั้งปวงฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ก็ถึงความเป็นยอดแห่งพระสูตรทั้งปวง ที่พระตถาคตตรัสแล้ว ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระสุเมรุที่เป็นราชาแห่งภูเขา ย่อมถึงความเป็นยอดแห่งภูเขาตามกาลแห่งจักรวาลและมหาจักรวาลทั้งปวง ฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ชื่อว่า ราชา ถึงความเป็นยอดแห่งพระสูตรทั้งปวง ที่พระตถาคตตรัสแล้ว ฉันนั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระจันทร์ที่ให้แสงสว่าง ถึงความเป็นยอดของดวงดาว ทั้งปวง ฉันใด  ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายปุณฑรีกสูตรนี้ ที่ให้แสงสว่างยิ่งกว่าพระจันทร์พันร้อยหมื่นโกฏิดวง ย่อมถึงความเป็นยอดกว่าพระสูตรทั้งปวง ที่พระตถาคตตรัสแล้ว ฉันนั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ มณฑลของพระอาทิตย์ย่อมขจัดความมืดมนอนธการทั้งปวง ฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ย่อมกำจัดความมืดมนอนธการแห่งอกุศลทั้งปวง ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ บรรดาเทพทั้งปวงในตรัยตรึงศ์ ท้าวสักกะ เป็นใหญ่กว่าเทพทั้งปวง ฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ย่อมเป็นใหญ่กว่าพระสูตรทั้งปวงที่พระตถาคตตรัสแล้ว ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ท้าวสหัมบดีพรหม ผู้เป็นราชาแห่งเทพ พรหมกายิกาทั้งปวง ทำหน้าที่บิดาแห่งพรหมโลก ฉันใด  ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตร นี้ ย่อมทำหน้าที่บิดาของสัตว์
ทั้งปวง พระสาวกทั้งปวง ทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะ พระปัจเจกพุทธเจ้า และผู้ที่ตั้งอยู่ในโพธิสัตวยานทั้งปวง ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์ และพระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมเป็น
ผู้ก้าวล่วงชน ไม่เว้นแม้คนพาลทั้งปวง ฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ย่อมก้าวล่วงพระสูตรทั้งปวง ที่พระตถาคตตรัสแล้ว พึงทราบเถิดว่า เป็นพระสูตรที่ถึงความเป็นเลิศ และถึงความเป็นยอด ฉันนั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ สัตว์เหล่าใด รักษาราชา(ความยิ่งใหญ่)แห่งพระสูตรนี้ พึงทราบว่า สัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นผู้ถึงความเป็นยอด
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระโพธิสัตว์ เรากล่าว่า เป็นเลิศกว่าพระสาวก และพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ฉันใด ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เราก็กล่าวว่า เป็นเลิศกว่าพระสูตรทั้งปวง ที่พระตถาคตตรัสแล้ว ฉันนั้น 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ พระตถาคต ผู้เป็นธรรมราชาเจ้านคร ของพระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ฉันใด  ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ 
ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ชื่อว่า เป็นตถาคต ของ
ผู้ตั้งอยู่ในโพธิสัตว์ยานทั้งหลาย ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ย่อมปกป้องสัตว์ทั้งปวงจากภัยทั้งปวง ย่อมปลดเปลื้องสัตว์ทั้งปวง จากความทุกข์ทั้งปวง เหมือนกับบ่อน้ำของผู้กระหายน้ำ เหมือนกับไฟของผู้มีความหนาวเย็น เหมือนเสื้อผ้าของคนเปลือยกาย เหมือนผู้นำการค้าของพ่อค้า เหมือน
มารดาของบุตร เหมือนเรือของผู้ข้ามฝั่ง เหมือนนายแพทย์สำหรับ ผู้ป่วยไข้ เหมือนประทีปสำหรับผู้อยู่ในความมืด เหมือน
รัตนะของผู้ปรารถนาทรัพย์ เหมือนพระเจ้าจักรพรรดิของป้อมรบทั้งปวง เหมือนมหาสมุทรของแม่น้ำ เหมือนเปลวไฟของผู้กำจัดความมืดมน อน ธการ 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ย่อมปลดเปลื้องจากความทุกข์ทั้งปวง ย่อมขจัดพยาธิทั้งปวง ย่อมปลดเปลื้องจากหนทางที่สัมพันธ์กับภัยในสงสารทั้งปวง ฉันนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ผู้ใดได้ฟัง ได้ถ่ายทอด หรือคัดลอก ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ใครๆก็ไม่สามารถจะนับปุญญาภิสังขาร ของผู้นั้น ให้สิ้นสุดได้ด้วยพุทธญาณ กุลบุตรหรือ
กุลธิดา ชื่อว่า ได้สร้างปุญญาภิสังสารนั้น กุลบุตรหรือกุลธิดา ใด ได้รักษา ท่อง สวด สดับ คัดลอกซึ่งธรรมบรรยายนี้ หรือทำเป็นเล่มหนังสือ แล้วพึงสักการะ เคารพ นบนอบ บูชาด้วยดอกไม้ ธูป มาลัย ของหอม ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก ธงไพชยันต์ หรือด้วยดนตรี ผ้า และกรรมคือการประคองอัญชลี หรือ ด้วยประทีปน้ำมันเนย ประทีปน้ำมันหอม ประทีปน้ำมันดอกจำปา ประทีปน้ำมันดอกสุมนา ประทีปน้ำมันปาฎะ ประทีปน้ำมันจารษิกะ หรือประทีปนั้นดอกมะลิซ้อน พึงกระทำการสักการะ เคารพ นบน้อม และบูชา ด้วยการบูชาชนิดต่างๆ จำนวนมาก
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ กุลบุตร หรือ กุลธิดา ผู้ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยาน ผู้รักษา ท่องจำ และฟัง โยคปริวรรตเก่าๆ ของพระไภษัชยราช ชื่อว่าได้สะสมบุญไว้จำนวนมาก
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ถ้ามาตุคามใด ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ แล้วยึดถือปฏิบัติ รักษาไว้ สตรีภาวะจักมีแก่เขาเป็นครั้งสุดท้าย
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ มาตุคามบางคน ได้ฟังประวัติปูรวโยคะของพระไภษัชยราชนี้ แล้วปฏิบัติตามใน 50 ชาติสุดท้าย เขาเมื่อจุติจากโลกนี้แล้ว จะไปเกิดในโลกธาตุสุขาวดี ที่พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า อมิตายุส ซึ่งแวดล้อมด้วยคระของพระโพธิสัตว์ ประทับอยู่ ดำรงอยู่ และจะดำรงอยู่ต่อไป เขาได้อุบัติขึ้นนั่งบนสิงหาสน์ปัทมครรภ์นั้น ความรัก ความเกลียดชัง ความลุ่มหลง ความเย่อหยิ่ง ความริษยา ความโกรธ และความพยาบาท จะไม่เบียดเบียนเขาอีกต่อไป พร้อมกับการอุบัติขึ้น เขาย่อมได้รับอภิญญา 5 ประการ ได้ความเพียรในธรรมที่ยังไม่อุบัติขึ้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เขาเป็นพระโพธิสัตว์ ที่มีความเพียรในธรรม ขณะที่ยังไม่อุบัติขึ้น ได้เห็นพระตถาคตทั้งหลายมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 72 คงคานที เขาสามารถมองเห็นพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ด้วยจักขุนทรีย์ที่บริสุทธิ์ยิ่งของเขา
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้ประทานให้สาธุการแก่เขาว่า ดีละ ดีละ กุลบุตร ท่านได้ฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ที่ยกขึ้นแสดงในประพจน์ของพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี แล้วศึกษา เจริญภาวนา ใคร่ควรญ กระทำไว้ในใจ และประกาศแก่สัตว์เหล่าอื่น 
 ดูก่อนกุลบุตร การสะสมบุญนี้ของท่าน แม้พระพุทธเจ้าพันองค์ก็ไม่อาจจะชี้แจงได้
 ดูก่อนกุลบุตร ท่านได้เป็นศัตรูของมารร้าย ได้ข้ามพ้นสงครามอันน่ากลัวแล้ว ได้บดขยี้ศัตรูผู้ขัดขวางได้แล้วท่านได้เป็นผู้ตั้งมั่นแล้ว ในพระพุทธเจ้าพันร้อยองค์
 ดูก่อนกุลบุตร ในโลกรวมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก บรรดาประชาชนทั้งหลาย รวมทั้งสมณะและพราหมณ์ บุคคลผู้เป็นเช่นท่านนั้น ย่อมไม่มี ยกเว้นพระตถาคตเพียงพระองค์เดียวเท่านั้น บุคคลอื่น จะเป็นพระสาวกก็ตาม พระปัจเจกพุทธเจ้าก็ตาม พระโพธิสัตว์ก็ตาม ไม่สามารถจะชนะ (ครอบงำ) ท่านได้ด้วยบุญ ปัญญา หรือสมาธิ
  ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะโพธิสัตว์นั้น ชื่อว่า เป็นผู้ทรงไว้ซึ่งพลังแห่งปัญญา 
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ผู้ใดได้ฟังประวัติโยคะในกาลก่อนของพระไภษัชยราชนี้ ที่กำลังเล่าอยู่ แล้วให้สาธุการ กลิ่นหอมแห่งดอกอุบลจักออกจากปากของผู้นั้น กลิ่นจันทน์หอม จักมีจากอวัยวะของเขา บุคคลใด ให้สาธุการในธรรมบรรยายนี้ คุณานิสงส์ทั้งหลายที่เราแสดงแล้วในที่นี้ ซึ่งประกอบด้วยธรรมที่ประจักษ์เหล่านี้ จักมีแก่บุคคลนั้น
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เพราะเหตุนั้น เราจึงมอบพระสูตรนี้ ที่เป็นบุพโยคประวัติของพระสรรวสัตว์ปริยทรรศน์โพธิสัตว์มหาสัตว์ (ให้แก่ท่าน) เพราะในกาลสมัยสุดท้าย ธรรมบรรยายนี้พึงดำเนินไปในชมพูทวี่ปนี้ ใน 50 ปีสุดท้ายที่ยังเหลืออยู่ ยังไม่ถึงกับอันตรธาน มารผู้มีบาปไม่พึงได้โอกาส (กาอวตาร) แม้กระทั่งเทพ ผู้เป็นกลุ่มของมาร นาค ยักษ์ คนธรรพ์ และกุมภัณฑ์ก็ไม่พึงได้การอวตาร
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ เพราะเหตุนั้น เราจึงอธิษฐานถึงธรรมบรรยายนี้ ในชมพูทวีปนี้ ธรรมบรรยายนี้ จักเป็นเภสัชของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ป่วย และถูกพยาธิเบียดเบียน เพราะได้ฟังธรรมบรรยายนี้ พยาธิย่อมไม่เข้าสู่ร่างกาย ความชราและความตายก่อนอายุขัย จะไม่มาถึง
 ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ถ้าบุคคลผู้ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยานพึงเห็นภิกษุ ผู้รักษาพระสูตรนี้ แล้วพึงสักกาะท่าน แม้ด้วยผงจันทน์และดอกอุบล ครั้นโปรยดอกไม้แล้ว พึงเกิดความคิดขึ้นว่า กุลบุตรจักไปสู่มณฑลของต้นโพธิ์ จักรับหญ้า จักกำหนดรู้ที่นอนคือหญ้าที่ต้นโพธิ์ เขาจักกระทำให้มารและยักษ์พ่ายแพ้ เขาจักยังสังข์แห่งธรรมให้สมบูรณ์ เขาจักตีกลองแห่งธรรม เขาจักข้ามสาครคือภพ ดูก่อนนักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ กุลบุตร หรือกุลธิดา ผู้ดำรงอยู่ในโพธิสัตวยานนั้น ครั้นได้เห็นภิกษุ ผู้รักษาพระสูตรนี้ พึงเกิดความคิดว่า คุณานิสงส์ที่พระตถาคตแสดงแล้ว ย่อมมีมากมายถึงเพียงนี้
 เมื่อพระตถาคตกำลังแสดงบุพโยคประวัติของพระไภษัชยราชอยู่นั้นพระโพธิสัตว์จำนวน 84,000 องค์ ก็ได้รับมนต์ที่นำไปสู่ความเป็นผู้ฉลาดในเสียงทั้งปวง พระผู้มีพระภาคประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทานสาธูการว่า ดีละ ดีละ นักษัตรราชสังกุสุมิตาภิชญะ ท่านได้คิดอย่างนี้ แล้วถามพระตถาคต ผู้เพียบพร้อมด้วยคุณธรรมที่ไม่สามารถคิดคำนวณได้ ซึ่งพระตถาคตก็ได้แสดงไว้แล้ว 
             บทที่ 22 ไภษัชยราชปูรวโยคปริวรรค ว่าด้วยปุพพโยคกรรมของไภษัชยราช มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๒๑ ธารณีปริวรรต ว่าด้วยธารณี

  
   ครั้งนั้น พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้
ลุกจากอาสนะ กระทำอุตราสงค์เฉวียงบ่า ข้างหนึ่ง คุกเข่าขวาลงบนพื้น ประคองอัญชลีไปในทิศที่พระผู้มีพระภาคประทับ แล้วกราบทูลความนี้กับพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กุลบุตรหรือกุลธิดา ผู้รักษาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ด้วยการปฏิบัติก็ดี ด้วยการสร้างพระคัมภีร์ก็ดี พึงเพิ่มบุญได้เพียงใด เมื่อพระโพธิสัตว์กล่าวอย่างนี้ พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสกับพระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาคนใด ได้สักการะ เคารพ นับถือ บูชาพระตถาคตร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 80 แม่น้ำคงคา 
 ดูก่อนไภษัชยราช ท่านคิดอย่างไรกับข้อนั้น? กุลบุตรหรือกุลธิดา พึงเพิ่มบุญที่บริสุทธิ์ได้มากกว่า อย่างนั้นหรือ?
 พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์กราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เขาย่อมเพิ่มบุญได้มาก ข้าแต่พระสุคต เขาย่อมเพิ่มบุญได้มาก 
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูก่อนไภษัชยราชเราจะบอกให้ท่านทราบ ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดา คนใดก็ตาม รักษา อ่าน ท่อง และปฏิบัติตาม โดยที่สุดแม้เพียงคาถาหนึ่ง ซึ่งมีเพียง 4 บาท จากธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ดูก่อนไภษัชยราช กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้นั้น ได้ชื่อว่า เพิ่มบุญอันบริสุทธิ์ได้มากกว่า(ผู้ที่แสดงความเคารพนับถือเพียงอย่างเดียว) 
          ได้ยินว่า เวลานั้น พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพื่อคุ้มครองป้องกัน รักษา ข้าพระองค์จะให้บทธารณีมนตร์ แก่กุลบุตร กุลธิดาเหล่านั้น ผู้ปฏิบัติหรือสร้างคัมภีร์ธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ดังนี้ 
อนฺเย อนฺเย มเน มนเน จิตฺเต จริเต สเม สมิตา วิศานฺเต มุกฺเต มุกฺตเม สเม อวิษเม สมสเม ชเย กฺษเย อกฺษเย อกฺษิเณ ศานฺเต สมิเต ธารณี   อาโลกภาเษ ปฺรตฺยเวกฺษณิ นิธิรุ อภฺยนฺตรนิเวษฺเฏ อภฺยนฺตรปาริศุทธิมุตฺกุเล อรเฑ สุกางฺกฺษิ อสมสเม พุทฺธวิโลกิเต ธรฺมปรีกฺษิเต สํฆนิรฺโฆษณิ นิรฺโฆษณิ   ภยาภยวิโศธนิ มนฺตฺรากฺษยเต รุเต รุตเกาศลฺเย อกฺษยวนตาเย วกฺกุเล วโลฑฺ อมนฺยนตาเย สวาหา 
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บทธารณีมนตร์เหล่านี้ เป็นของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายใน 62 แม่น้ำคงคา ผู้ใดล่วงเกินผู้กล่าวธรรมเห็นปานนี้ และผู้รักษาพระสูตรเห็นปานนี้ ผู้นั้นได้ชื่อว่า เป็นผู้ประทุษร้ายพระพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น 
         ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ให้สาธุการแก่พระไภษัชยราชโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดีละ ดีละ ไภษัชยราช ท่านได้ทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลายแล้ว ท่านได้ยึดถือความเมตตาสัตว์ทั้งหลาย จึงได้บอกบทธารณี ได้ชื่อว่าท่านได้ทำการปกป้อง คุ้มครอง รักษา(สัตว์ทั้งหลาย)แล้ว
 ครั้งนั้น พระประทานศูรโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ข้าพระองค์จักให้บทธารณีมนตร์ เพื่อประโยชน์แก่ผู้กล่าวธรรมเห็นปานนี้ ใครก็ตาม เช่น ยักษ์ รากษส ภูต ผี กุมภัณฑ์หรือเปรต ที่คอยโอกาส แสวงหาโอกาส(ทำร้าย) ย่อมไม่ได้โอกาสจากผู้กล่าวธรรมเห็นปานนี้
ครั้งนั้น พระประทานศูรโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวบทธารณีมนตร์เหล่านี้ว่า ชฺวเล มหาชฺวเล อุกฺเก ตุกฺเก มุกฺเก อทฑ  อฑาวติ นฤตฺเย นฤตฺยาวติ อฏฺฏินิ วิฏฺฏินิ จิฏฺฏนิ นฤตฺยนิ นฤตยาวติ สฺวาหา 
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บทธารณีมนตร์เหล่านี้ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ได้ตรัสไว้และอนุโมทนาแล้ว ผู้ใดล่วงเกิน ผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้ประทุษร้ายพระตถาคตทั้งปวงเหล่านั้นด้วย 
         ครั้งนั้นท้าวไวศรวณมหาราช ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า แม้ข้าพระองค์ก็จักบอกบทธารณีมนตร์ ด้วยความเมตตา เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข เพื่อปกป้อง คุ้มครอง รักษาผู้กล่าวธรรมเหล่านั้นว่า อฏฺเฏ ตฏฺเฏ นฏฺเฏ วนฏฺเฏ อนเฑ นาฑิ กุนฑิ สฺวาหา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จักทำการคุ้มครอง บุคคลผู้กล่าวธรรมเหล่านั้นด้วยบทธารณีมนตร์เหล่านี้ ข้าพระองค์จักทำการคุ้มครองกุลบุตรกุลธิดาเหล่านั้น ผู้รักษาพระสูตรนี้ จักสร้างความสวัสดี ให้แก่พวกเขา แม้จากที่ห่างไกลถึง 100 โยชน์ 
          ครั้งนั้น ท้าววิรูฒกมหาราช ได้โผล่ขึ้นในท่ามกลางบริษัท นั่งด้านหน้าติดตามด้วยกุมภัณฑ์ร้อยพันหมื่นโกฏิตน ท้าวเธอลุกจากอาสนะทำผ้าอตตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประคองอัญชลีไปในทิศที่พระผู้มีพระภาคประทับ แล้วกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จักบอกบทธารณีมนตร์ เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชนจำนวนมาก ซึ่งเป็นบทธารณีมนตร์ เพื่อปกป้อง คุ้มครอง รักษาผู้กล่าวธรรม และผู้รักษาพระสูตรเหล่านั้นว่า อคเณ อเณ เคาริ คนฺธาริ จฺณฑาริ มาตงฺคิ ปุกฺกสิ สํกุเล วฺรูสลิ สิสิ สฺวาหา  ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บทธารณีมนตร์เหล่านี้ พระพุทธเจ้า 42 โกฏิพระองค์ตรัสไว้ ผู้ใดล่วงเกินผู้กล่าวธรรม เท่ากับประทุษร้ายพระพุทธเจ้าเหล่านั้นด้วย 
          ขณะนั้น ยักษีนามว่า ลัมพา วิลัมพา กูฎทันตี บุษปทันตี มกุฎทันตี เกศินี อจลา มาลาธารี กุนตี สรรวสัตโวโชหารี หสิตี พร้อมด้วยบุตรและบริวาร ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ทั้งหมดจึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคเป็นเสียงเดียวกันว่า แม้ข้าพระองค์ทั้งหลาย ก็จักให้การคุ้มครอง ปกป้อง รักษา ผู้รักษาพระสูตรและผู้กล่าวธรรมเหล่านั้นและจักกระทำให้พวกเขาได้รับความสุขสวัสดี ผู้คอยโอกาส(ทำร้าย) ย่อมไม่ได้โอกาสจากผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น 
          ขณะนั้น ยักษีทั้งหมดเหล่านั้น ได้ท่องบทธารณีมนตร์เหล่านี้พร้อมเพรียงเป็นเสียงเดียวกัน ต่อพระผู้มีพระภาคว่า   อิติ เม อิติ เม อิติ เม อิติ เม อิติ เม. นิเม นิเม นิเม นิเม นิเม. รุเห รุเห รุเห รุเห รุเห. สฺตุเห สฺตุเห สฺตุเห สฺตุเห สฺตุเห. สฺวาหา  ใครก็ตามที่โผล่ศีรษะขึ้นมาแล้ว จะเป็นยักษ์ รากษส เปรต ปีศาจ ผี นางปีศาจ เวตาล กุมภัณฑ์ คนเขลา ผู้ฆ่า ผู้เบียดเบียน ผู้เป็นโรคลมบ้าหมู ปีศาจยักษ์ ปีศาจอมนุษย์ ปีศาจมนุษย์ สัตว์ที่เกิดวันเดียว สัตว์ที่เกิดสองวัน สัตว์ที่เกิดสามวัน สัตว์ที่เกิดสี่วัน สัตว์ที่ป่วยเป็นนิตย์ สัตว์ที่ป่วยหนัก จงอย่าได้เบียดเบียนผู้กล่าวธรรมเลย โดยที่สุด แม้ผู้กล่าวธรรมอยู่ในสภาพนอนหลับ สตรี บุรุษ เด็กชาย เด็กหญิง ก็ไม่สามารถทำอันตรายได้ สถานะอย่างนี้ย่อมไม่มีแก่ผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น 
          ครั้งนั้น ยักษิณีทั้งหลาย ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยเสียงขับพร้อมกัน ด้วยคาถาของรากษสเหล่านี้
1    ผู้ใดได้ยินมนตร์นี้แล้ว ยังล่วงเกินผู้กล่าวธรรม ศีรษะของพวกเขา พึงแตกออกเป็น 7 เสี่ยง เหมือนเม็ดมุกดาอรชกะ ฉะนั้น
2    ผู้ใดล่วงเกินผู้กล่าวธรรม เขาต้องไปสู่คติของผู้ฆ่ามารดา และคติของผู้ฆ่าบิดา
3    ผู้ใดล่วงเกินผู้กล่าวธรรม ผู้นั้นย่อมถึงคติของผู้บดงาและของยอดงา
4    ผู้ใดล่วงเกินผู้กล่าวธรรม ผู้นั้นย่อมดำเนินไปสู่คติของเครื่องชั่ง และเครื่องทองเหลือง 
         ครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว รากษสีทั้งหลายเหล่านั้น มีนางกุนตี เป็นประมุข ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้พวกข้าพระองค์ทั้งหลายก็จะทำการรักษา ผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น จักปกป้องพวกเขาให้เดินทางด้วยความปลอดภัย ให้รอดพ้นจากการทำร้าย ด้วยไม้ และการประทุษร้ายด้วยยาพิษ ครั้นกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับรากษสีว่า สาธุ สาธุ ภคินีทั้งหลาย ท่านทั้งหลายได้ทำการปกป้อง คุ้มครอง รักษา ผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น โดยที่สุด ได้รักษา แม้เพียงชื่อของธรรมบรรยายนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงผู้รักษาธรรมบรรยายนี้ทั้งหมด ผู้ทำสักการะคัมภีร์ด้วยดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก และธงไพชยันต์ หรือด้วยประทีปน้ำมัน ประทีปน้ำมันเนย ประทีปน้ำมันหอม ประทีปน้ำมันจำปา ประทีปน้ำมันวารศิกะ ประทีปน้ำมันบัว ประทีปน้ำมันดอกสุมนา เขาย่อมทำสักการะ เคารพ ด้วยการบูชาชนิดต่างๆ จำนวนมากอย่างนี้ ถึงร้อยพันชนิด 
 ดูก่อนกุนตี ท่านพร้อมกับบริวาร จึงควรรักษาผู้กล่าวธรรมเหล่านั้น  ได้ยินว่า เมื่อพระผู้มีพระภาค แสดงบทธารณีนี้อยู่ หมู่สัตว์จำนวน 68 พัน ก็ได้รับธรรมสันติที่เกิดขึ้นโดยทั่วกัน 
 บทที่ 21 ธารณีปริวรรต ว่าด้วยธารณี มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๒๐ ตถาคตอิทธาสังสการปริวรรต ว่าด้วยอิทธิภิสังขารของพระตถาคต

 
   ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิองค์ มีจำนวนเท่าธุลีแห่งปรมาณูในสหัสโลกธาตุ ได้ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน ทุกองค์ประคองอัญชลี ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลายจักประกาศธรรมบรรยายนี้ ในพุทธเกษตรทั้งปวง ที่พระผู้มีพระภาค ทรงพระชนม์อยู่ และที่พระผู้มีพระภาคได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย ปรารถนาจะรักษา ท่อง แสดง ประกาศ และคัดลอกธรรมบรรยายอันยิ่งใหญ่นี้ให้คงอยู่ตลอดไป 
          ครั้งนั้น พระโพธิสัตว์จำนวนมากถึงร้อยพันหมื่นโกฏิองค์ ที่อยู่ในสหาโลกธาตุนี้ ซึ่งมีพระมัญชุศรี เป็นประมุขได้แก่
 ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ อมนุษย์ และพระโพธิสัตว์มหาสัตว์จำนวนมาก เปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา พากันกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อ พระตถาคตปรินิพพานแล้ว พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย แม้ไม่ปรากฏกาย ก็จักประกาศธรรมบรรยายนี้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลายยืนอยู่ในอากาศ จักให้หมู่สัตว์ได้ยินเสียงจัก
ส่งเสริมสัตว์ทั้งหลายที่ไม่เคยสร้างกุศลมูล ให้สร้างกุศลมูลต่อไป
       ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า วิศิษฏจาริตระ ซึ่งเป็นคณาจารย์ของพระโพธิสัตว์คณะใหญ่ และเป็นประมุของค์หนึ่งของคณาจารย์พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ คณะน้อยใหญ่ ที่เคยมีในอดีตว่า ดีละ ดีละ วิศิษฏจาริตระ เพื่อประโยชน์แห่งธรรมบรรยายนี้ ท่านทั้งหลายควรทำอย่างนั้น ท่านทั้งหลายได้ชื่อว่า เป็นผู้ที่พระตถาคตได้อบรมมาดีแล้ว 
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคต ศากยมุนี กับพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ประภูติรัตนะ ซึ่งได้เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ประทับอยู่ในใจกลางของสถูป แม้ทั้งสองพระองค์เสด็จเข้าสู่สิงหาสน์ ทรงกระทำการยิ้มแย้มแก่กันอย่างชัดเจน และยื่นพระชิวหินทรีย์ออกจากช่องพระโอษฐ์ รัศมีจากพระชิวหินทรีย์ทั้งสองนั้น ได้ขึ้นไปถึงพรหมโลก รัศมีจำนวนมากหลายร้อยพันหมื่นโกฏิ ได้แผ่ออกจากพระชิวหินทรีย์ทั้งสองนั้น บรรดารัศมีทั้งหลาย ในรัศมีแต่ละลำแสง ได้ก่อให้เกิดมีพระโพธิสัตว์จำนวนมาก หลายร้อยพันหมื่นโกฏิ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น มีพระกายเป็นสีทอง ประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ ประทับนั่งบนสิงหาสน์ ในปัทมครรภ์ (ใจกลางดอกบัว) พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ได้แผ่ขยายไปสู่ทิศน้อยใหญ่ ในร้อยพันโลกธาตุ ในทิศน้อยใหญ่ทั้งปวงนั้น ได้มีพระโพธิสัตว์ยืนแสดงธรรมอยู่ในอากาศ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ได้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ด้วยพระชิวหินทรีย์ ฉันใด พระประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง ผู้มาจากร้อยพันหมื่นโลกธาตุ ได้เข้าไปประทับบนสิงหาสน์ของตนๆที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ ก็ได้แสดงอิทธิปาฏิหารย์ ด้วยพระชิวหินทรีย์ ฉันนั้น 
          ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี และพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้กระทำสักการะนั้นด้วยฤทธิ์ สิ้นร้อยพันปีบริบูรณ์ เมื่อร้อยพันปีล่วงไป พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายเหล่านั้น ได้ดึงชิวหินทรีย์ทั้งหมดกลับพร้อมกัน ภายในครู่เดียวเท่านั้น ทุกพระองค์ได้กระทำเสียงกระแอมและเสียงปรบมือ ดังดุจเสียงพญาราชสีห์ ด้วยเสียงกระแอมและเสียงปรบมือที่ดังนั้น ทำให้ร้อยพันหมื่นโกฏิพุทธเกษตรทั้ง 10 ทิศ เคลื่อนไหว พุทธเกษตรทั้งปวงเหล่านั้น ได้สั่น เคลื่อน สะท้าน สะเทือน หวั่นไหว 
เอนเอียง สัตว์ทั้งปวงในพุทธเกษตรเหล่านั้น เช่น เทพ นาค ยักษ์ คนธรรพ์ อสูร ครุฑ กินนร มโหรคะ มนุษย์ และอมนุษย์ทั้งหลาย ก็สั่นไหวเช่นกัน สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น ผู้ยืนอยู่ในที่นั้น ได้เห็นสหาโลกธาตุที่เป็นอย่างนี้ เพราะอานุภาพของพระพุทธเจ้า พวกเขาได้เห็นพระตถาคตทั้งปวงเหล่านั้น จำนวนร้อยพันโกฏิพระองค์ ที่เข้าสู่สิงหาสน์ของตนๆ ณ โคนรัตนพฤกษ์ ได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ได้เห็นพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประภูตรัตนะ ที่ปรินิพพานแล้ว เสด็จสู่สิงหาสน์ ในใจกลางมหารัตนสถูปนั้น ทรงประทับนั่งรวมกับพระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี และได้เห็นบริษัทที่เหลือทั้งสามเหล่านั้น ครั้นได้เห็นแล้ว พวกเขาได้ถึงความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจ และได้รับความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกเขาได้ยินเสียงจากท้องฟ้าว่า
 ดูก่อนท่านผู้เจริญ ล่วงเลยร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุนี้ออกไป จนประมาณไม่ได้ นับไม่ได้ ยังมีอีกโลกธาตุหนึ่ง ชื่อว่า สหาโลกธาตุ พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี ประทับอยู่ ณ ที่นั้นพระองค์ทรงแสดงธรรมบรรยาย หรือสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่สมบูรณ์มาก เป็นโอวาทสำหรับพระโพธิสัตว์ เป็นข้อปฏิบัติสำหรับพระพุทธเจ้าทั้งปวง แก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงอนุโมทนาพระสูตรนั้นตามอัธยาศัยเถิด และท่านทั้งหลายจงทำความเคารพ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนีและพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าประภูติรัตนะพระองค์นั้น 
          ได้ยินว่า สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น เมื่อได้ยินเสียงปานนั้นจากท้องฟ้า ผู้ที่ยืนอยู่ ณ ที่นั้นนั่นแล ได้ประคองอัญชลี เปล่งอุทานว่า ขอความนอบน้อม จงมีแด่พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าศากยมุนี เขาได้โปรยสิ่งของต่างๆ มีดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก และธงไพชยันต์ สู่ทิศทางของสหาโลกธาตุนั้น เขาได้โปรยอาภรณ์ต่างๆ มีผ้าห่ม สร้อยข้อมือ สร้อยคอ และรัตนะทั้งหลาย เพื่อทำการบูชาพระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี ประภูตรัตนะ และเพื่อบูชาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏากและธงไพชยันต์ กับสร้อยข้อมือ สร้อยคอ และรัตนะทั้งหลายเหล่านั้น ที่ถูกโปรย ได้ตกลงสู่สหาโลกธาตุ บนท้องฟ้าในโลกธาตุทั้งปวง ที่พระตถาคตประทับนั่งนั้น มีเพดานดอกไม้ใหญ่ถูกตกแต่งโดยรอบด้วยกองดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก ธงไพชยันต์ สร้อยข้อมือสร้อยคอและรัตนะรวมกันเป็นเพียงหนึ่งเดียวในสหาโลกธาตุ ในบรรดาร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุเหล่าอื่น 
          ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ซึ่งมีพระวิศิษฏจาริตระเป็นประมุขว่า
             ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น มีภาวะเป็นอจินไตย 
             ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราได้กล่าวถึงประโยชน์ที่น่ายินดี (ปรีทนารถํ) ของธรรมบรรยายนี้ และอานิสงส์จำนวนมาก ด้วยหลักธรรมต่างๆ ตลอดร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์เมื่อกล่าวถึงธรรมบรรยายนี้ เราไม่สามารถจะพรรณนาให้จบสิ้นได้ 
             ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลายเราซึ่งเป็นผู้นำของพระพุทธเจ้าทั้งปวง ได้แสดงความลี้ลับของพระพุทธเจ้าทั้งปวง และสถานะอันลึกซึ้งพระพุทธเจ้าทั้งปวงไว้ ในธรรมบรรยายนี้เพียงโดยย่อ 
             ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เพราะฉะนั้น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ท่านทั้งหลายควรสักการะ รักษา แสดง คัดลอก ท่องจำ ประกาศ อบรม และบูชา ธรรมบรรยายนี้ตลอดไป 
             ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ในแผ่นดิน หรือประเทศใดก็ตาม ที่มีการอ่าน ประกาศ แสดง คัดลอก พิจารณา สอน เรียน หรือรวมเป็นเล่มหนังสือ ตั้งไว้ในอาราม วิหาร บ้าน ป่า เมือง โคนต้นไม้ ปราสาท ที่อาศัย หรือถ้ำ ควรสร้างเจดีย์ อุทิศพระตถาคตไว้ในพื้นที่ หรือประเทศนั้น เพราะเหตุไร? เพราะพื้นที่หรือประเทศนั้นควรทราบว่า เป็นปริมณฑลของพระตถาคตทั้งปวง พึงทราบว่า ในพื้นที่ประเทศนั้นนั่งเอง ที่พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งปวง ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในพื้นที่ประเทศนั้นนั่นเอง ที่พระตถาคตทั้งปวงได้หมุนธรรมจักรให้เคลื่อนไป และพึงทราบว่า ในพื้นที่ประเทศนั้นนั่นเอง ที่พระตถาคตทั้งปวงได้เสด็จดับขันธปรินิพพาน 
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1       ด้วยจักษุที่กว้างไกล (ไม่มีที่สิ้นสุด) พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมแสดงฤทธิ์แก่ชาวโลก ผู้ที่ดำรงอยู่ความความรู้ของพระมุนี ด้วยธรรมชาติที่เป็นอจินไตย เพื่อยังสัตว์ทั้งปวงในโลกนี้ให้เกิดความยินดี
2       เมื่อพระโพธิสัตว์ยื่นชิวหินทรีย์ไปสู่พรหมโลก ขณะที่ปล่อยรัศมีออกมาเป็นพันอิทธิฤทธิ์นี้ ได้เป็นที่อัศจรรย์ใจแก่ผู้พบเห็น และแก่ชนทั้งปวง ผู้ที่ดำรงอยู่ในโพธิญาณอันประเสริฐ
3       พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมกระทำเสียงกระแอมดังๆ กระทำเสียงจากการปรบมือเพื่อยังชาวโลกทั้งปวงใน 10 ทิศให้รู้แจ้งโลกธาตุนี้
4       พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีความเมตตากรุณา ได้แสดงคุณวิเศษที่เป็นปาฏิหาริย์ทั้งหลายเหล่านี้และเหล่าอื่น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานไปแล้ว ในกาลเช่นนั้นสัตว์ทั้งหลาย มัวเพลิดเพลินอยู่ทำไม ควรช่วยกันรักษาพระสูตรนี้ไว้
5       เรากล่าวคำสดุดีแก่บุตรของพระสุคต ผู้รักษาพระสูตรอันประเสริฐนี้ไว้ ตลอดเวลาหลายพันโกฏิกัลป์ เมื่อพระผู้นำของชาวโลกปรินิพพานไปแล้ว
6       คุณความดีของชนเหล่านั้น ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด เช่นเดียวกับอากาศธาตุ ในทิศทั้งหลาย คุณความดีของผู้รักษาพระสูตรอันงดงามนี้ไว้ ไม่อาจคิดคำนวณได้เช่นกัน
7       เรา พระผู้นำทั้งปวงเหล่านี้ รวมทั้งพระผู้นำแห่งโลกที่ปรินิพพานไปแล้ว เป็นผู้ที่เขาได้เห็นแล้ว พระโพธิสัตว์ทั้งปวงจำนวนมากเหล่านี้ และบริษัท สี่ ก็เป็นผู้ที่บุคคลเช่นนี้ได้เห็นแล้วเช่นกัน
8       ในโลกนี้ เรา พระผู้นำทั้งปวงเหล่านี้ พระชินเจ้าใดๆ ที่ปรินิพพานไปแล้ว และพระโพธิสัตว์อื่นใดใน สิบ ทิศ เป็นผู้ที่เขาได้บูชาแล้วในวันนี้
9       ผู้ที่รักษาพระสูตรนี้ จักได้เห็น จักได้บูชา พระพุทธเจ้าทั้งหลายทั้งปวง ที่มีในทิศทั้ง 10 ทั้งในอดีตและอนาคต
10     บุคคลผู้รักษาพระสูตร ที่เป็นสัจธรรมนี้ เมื่อสามารถรู้ญาณที่ลึกซึ้งของพระตถาคต ก็จะตรัสรู้ได้อย่างฉับพลัน ณ โพธิมณฑล
11     ความรู้ของเขาไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนพายุย่อมไม่ติดขัดในที่ไหนๆ ผู้รักษาพระสูตรอันประเสริฐนี้ ย่อมเข้าใจและรู้ความหมายในธรรมและอรรถกถา
12     เขาย่อมเข้าใจความสัมพันธ์ของพระสูตรทั้งหลาย ที่พระผู้นำ(ตถาคต) ตรัสไว้แก่พระสงฆ์ เมื่อพระผู้นำปรินิพพานแล้ว เขาย่อมเข้าใจความหมายที่แท้จริงของพระสูตรทั้งหลาย
13     เขาเป็นผู้เสมอด้วยพระจันทร์ และพระอาทิตย์ เป็นผู้สร้างรัศมีแห่งแสงสว่าง เป็นผู้ท่องเที่ยวไปทั่วพื้นปฐพี เพื่อเข้าใกล้พระโพธิสัตว์จำนวนมากอยู่เสมอ
14      เพราะฉะนั้น พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้เป็นบัณฑิต เมื่อได้ฟังอานิสงส์ที่เป็นเช่นนี้ เหล่านี้แล้ว ควรจะรักษาพระสูตรนี้ไว้ เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พวกเขาอย่ามีความสงสัยในพระโพธิญาณอีกเลย 
             บทที่ 20 ตถาคตอิทธาภิสังสการปริวรรต ว่าด้วยอิทธาภิสังขารของพระตถาคต มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๙ สทาปริภูตปริวรรค ว่าด้วยพระสทาปริภูตโพธิสัตว์

 
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระมหาสถามปราปตโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนมหาสถามปราปตะ โดยปริยานนี้ ท่านพึงทราบอย่างนี้ว่า ชนเหล่าใดปฏิเสธธรรมบรรยายนี้ สาปแช่ง บริภาษภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้รักษาพระสูตรนี้ ดูถูกเขาด้วยวาจาที่ไม่เป็นจริง และหยาบคาย วิบากกรรมอันไม่พึงปรารถนาเห็นปานนี้ ที่ไม่อาจบรรเทาได้ด้วยวาจา จักมีแก่เขา ส่วนชนผู้รักษา อ่าน แสดง และเผยแพร่พระสูตรนี้ เขาย่อมประกาศต่อผู้อื่นอย่างกว้างขวาง วิบากกรรมอันน่าปรารถนสเห็นปานนี้ จักมีแก่พวกเขา บุคคลเช่นนี้เองที่เราพรรณนามก่อนแล้ว จักษุ โสต ฆานะ ชิวหา กายและใจ ของเขา จักถึงความบริสุทธิ์ ด้วยประการฉะนี้ 
 ดูก่อน มหาสถามปราปตะ ในอดีตกาลล่วงมาแล้วหลายกัลป์จนนับไม่ได้ นานยิ่งจนนับไม่ได้ มากมายมหาศาลจนประมาณไม่ได้ คิดคำนวณไม่ได้ เรื่องเคยมีมาแล้วตามลำดับว่า กาลสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่า ภีษมครรชิตสวรราช ผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ ผู้เสด็จไปดีแล้ว ผู้เป็นโลกวิทู ผู้เป็นสารถีฝึกบุรุษ ที่ไม่มีใครยิ่งกว่า ผู้เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ผู้เบิกบาน ผู้จำแนกธรรม ทรงอุบัติขึ้นในโลกนี้ 
         ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ภีษมครรชิตสวรรราช นั้น ทรงแสดงธรรมแก่ชาวโลก รวมทั้งเทวดา มนุษย์ และอสูระใน มหาสัมภวโลกธาตุ นั้น พระองค์ทรงแสดงธรรม ที่ประกอบด้วยความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ แก่พระสาวกคือ การปฏิบัติเพื่อปฎิจจสมุปบาท ที่มีพระนิพพานเป็นที่สุด และเพื่อข้ามพ้นชาติ ชรา พยาธิมรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกขะ โทมนัส และอุปายาสะ พระองค์ปรารภอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณที่มีตถาคตญาณทัศนะเป็นที่สุด ซึ่งประกอบด้วยบารมี 6 ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ภีษมครรชิตสวรราช มีพระชนมายุประมาณร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ซึ่งมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 40 แม่น้ำคงคา  เมื่อพระองค์ปรินิพพาน พระสัทธรรมจักตั้งอยู่สิ้นร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ เท่ากับธุลีปรมณูของชมพูทวีป สัทธรรมปฏิรูปตั้งมั่นอยู่ต่อไป สิ้นร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ เท่ากับธุลีปรมาณู ในชมพูทวีปทั้ง 4
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ในมหาสัมภวโลกธาตุ นั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ภีษมครรชิตสวรราช ปรินิพพานแล้ว สัทธรรมปฏิรูปก็อันตรธานไป พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าชื่อ ภีษมครรชิตสวรราช อีกองค์หนึ่ง ก็อุบัติขึ้นในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษ ที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ในมหาสัมภวโลกธาตุนั้น ได้เกิดพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ภีษมครรชิตสวราช สืบต่อมาถึงนยี่สิบร้อยพันพันหมื่นโกฏิ พระองค์ในครั้งนั้น 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระตถาคตนั้นใด เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า ภีษมครรชิตสวรราช องค์แรกของพระตถาคตทั้งปวง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นโลกวิทู เป็นนายสารถีผู้ฝึกบุรุษที่ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม เมื่อพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น นิพพานแล้ว พระสัทธรรมก็เสื่อมไป สัทธรรมปฏิรูปก็กำลังเสื่อมสลาย ศาสนานี้ถูกละเมิดโดยภิกษุ ผู้มีอธิมานะ ได้เกิดมีภิกษุ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์ขึ้นองค์หนึ่งนามว่า สทาปริภูตะ
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ เพราะเหตุไร? พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น จึงได้ชื่อว่า สทาปริภูตะ 
ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น เมื่อพบเห็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกาใดก็ตาม ได้เข้าไปหาภิกษุนั้นแล้วกล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เราย่อไม่ดูหมิ่นท่าน เราไม่เคยดูหมิ่นท่านทั้งหลาย ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุใด? เป็นเพราะว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลายทั้งปวง ย่อมดำเนินตามจรรยาวัตรของพระโพธิสัตว์ ท่านทั้งหลายจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้ ดูก่อนมหาสถามปราปตะ โดยปริยายนี้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์แม้ได้พบเห็นภิกษุใด แม้ไปสู่ที่ไกล ไม่ทำการแสดงธรรม ไม่ทำการศึกษาในที่อื่น ได้เข้าไปหาภิกษุทั้งปวง แล้วให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ฟังอย่างนั้น 
 ครั้นเข้าไปหาแล้วได้กล่าวกับภิกษุอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เราย่อมไม่ดูหมิ่นท่าน เราไม่เคยดูหมิ่นท่าน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุใด? เป็นเพราะว่า ท่านทั้งปวง ประพฤติตามจรรยาของพระโพธิสัตว์ท่านทั้งหลาย จักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ดูก่อนมหาสถามปราปตะ
 สมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ได้ให้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก หรืออุบาสิกา ได้ฟังอย่างนี้ ภิกษุทั้งปวงย่อมโกรธ พยาบาท เกิด
ความไม่เลื่อมใส ด่า บริภาษ ด้วยอาการต่างๆ จำนวนมากว่า ทำไม ภิกษุนี้ ใครๆก็ไม่ได้ถาม แล้วเข้าไปชี้แจ้งแก่เราว่า ไม่มีจิตคิดดูหมิ่น เรา เขาได้ทำตนเองให้เป็นที่น่าดูหมิ่น และเขาได้พยากรณ์พวกเราไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ทั้งๆที่พวกเราไม่มีความปรารถนาอย่างนั้น 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ หลายปีผ่านไป ที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ถูกด่า ถูกบริภาษ แต่พระโพธิสัตว์นั้น ไม่โกรธต่อใครๆ แต่ไม่มีจิตคิดพยาบาทอีกด้วย ชนเหล่าใด ย่อมปาก้อนดินหรือท่อนไม้ แก่ท่าน ผู้ทักทายอยู่อย่างนั้น ท่าได้ทักทายชนเหล่านั้น ด้วนเสียงอันดังมาแต่ไกลว่า เราไม่ดูหมิ่นท่าน ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ผู้มีอธิมานะเหล่านั้น ที่ท่านเคยให้ฟังคำอย่างนั้น มาอย่างต่อเนื่อง จึงตั้งชื่อท่านว่า สทาปริภูตะ ด้วยประการฉะนี้
  ดูก่อนมหาสถามปราปตะ สทาปริภูตะโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ได้ฟังธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ เมื่อมรณะกาลสมัยใกล้เข้า การกระทำกาลกิริยาก็ใกล้เข้ามา พระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธภีษมครรชิตสวรราชพระองค์นั้น กำลังแสดงธรรมบรรยายนี้ด้วยคาถาจำนวน 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิ พระสทาปริภูตโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นได้ฟังธรรมบรรยายนี้จากเสียงในอากาศ ใกล้มรณะกาลสมัยมาถึง เขาเมื่อได้ยินเสียงในอากาศ ที่ผู้หนึ่งผู้ใดกล่าวแล้ว ก็ได้จับใจความธรรมบรรยายนี้ จึงได้คุณสมบัติต่างๆเห็นปานนี้คือ ความบริสุทธิ์แห่งจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และใจ ด้วยความบริสุทธิ์ที่ได้รับนั้น ท่านจึงได้อธิษฐานถึงการกระทำตนให้มีชีวิตอยู่ต่อไปอีก ตลอด 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิปี เพื่อประกาศธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ สัตว์ทั้งหลายผู้มีอธิมานะ จะเป็น ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาก็ตาม ที่เคยได้ยินคำว่า เราไม่ดูหมิ่นท่าน แล้วตั้งชื่อท่านว่า สทาปริภูตะ เมื่อได้เห็นพลศักดิ์แห่งฤทธิ์อันยิ่งใหญ่ของท่าน พลศักดิ์แห่งประติภาณของการอุปไมย พลศักดิ์แห่งปัญญา ทั้งหมดจะกลายมาเป็นบริวาร เพื่อฟังธรรม (จากท่าน) ท่านได้ทำให้สัตว์เหล่าอื่น หลายร้อยพันหมื่นโกฏิ ตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
         ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์องค์นั้น ก็ได้ไปจากที่นั้น เพื่อบูชาพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จำนวน 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ที่มีนามเหมือนกันว่า จันทรสวรราช และได้ประกาศธรรมบรรยายนี้ ในศาสนาของพระตถาคตทุกพระองค์ ด้วย กุศลมูลในอดีตตามลำดับนั้น พระโพธิสัตว์นั้น ได้บูชาพระตถาคต จำนวน 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ซึ่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ล้วนทรงพระนามว่า ทุนทุภิสวรราช มาตามลำดับ ในศาสนาของพระตถาคตเหล่านั้น เมื่อได้บูชาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้แล้ว เขาก็ได้ประกาศธรรมแก่บริษัททั้ง 4 ด้วยกุศลมูลในอดีตนั้นพระโพธิสัตว์นั้นได้บูชาพระตถาคตจำนวน 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ ซึ่งพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้นล้วนมีพระนามว่า เมฆสวรราช มาตามลำดับในอดีต ในศาสนาของพระตถาคตทั้งปวง เขาได้บูชาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ และได้ประกาศแก่บริษัททั้ง 4 ในศาสนาของพระตถาคตทั้งปวง ท่านเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยคุณสมบัติเห็นปานนี้คือ จักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา กาย และใจที่บริสุทธิ์ 
          ดูก่อนมหาสถามปราปตะ พระสทาปริภูตโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ได้ทำการสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม สรรเสริญพระตถาคตเหล่านี้ จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์และได้ทำสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม สรรเสริญพระพุทธเจ้าเหล่าอื่นอีกจำนวนมากถึงร้อยพันหมื่นโกฏิพระองค์ในศาสนาของพระพุทธเจ้าทั้งปวงเหล่านั้น เขาได้บูชาธรรมบรรยายสัทธรรมปุณฑรีกสูตรนี้ ครั้นได้บูชาแล้ว เขาจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยกุศลในอดีตที่เขาได้สะสมไว้นั้น 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ท่านอาจจะมีความสงสัยความเข้าใจผิด หรือความลังเลใจว่า โดยกาลสมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า สทาภีษมครรชิตสวรราช เขาได้รับขนานนามจากบริษัท 4 ว่า สทาปริภูตะ เขาได้บูชาพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามากมายถึงเพียงนั้น
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ท่านอย่าคิดเห็นอย่างนี้ อีกเลย เพราะเหตุไร? 
  ดูก่อนมหาสถามปราบปตะ เพราะเหตุว่า เราเองคือ สทาปริภูตโพธิสัตว์มหาสัตว์ ในกาลสมัยนั้น 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ หากเรา ไม่เคยศึกษา ไม่เคยรักษา ธรรมบรรยายนี้ม่าก่อน เราคงไม่ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยเร็ว 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ เราได้รักษา อ่านและแสดงธรรมบรรยายนี้ จากสำนักของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ที่มีในอดีต เพราะเหตุนั้น เราจึงได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิณาณโดยเร็ว 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ส่วนภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา จำนวนหลายร้อยที่พระสทาปริภูตะโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ให้ฟังธรรมบรรยายนี้ ในศาสนาของพระผู้มีพระภาคนั้นว่า เราไม่ดูหมิ่นท่าน ท่านผู้เจริญทั้งปวง จงประพฤติจรรยาวัตรของพระโพธิสัตว์ ท่านทั้งหลายจักเป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ชนเหล่านใดก่อนให้เกิดจิตคิดพยาบาทต่อพระโพธิสัตว์องค์นั้น พวกเขาจะไม่ได้พบพระตถาคตตลอด 20 ร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ เขาจะไม่ได้ยินเสียงพระธรรม จะไม่ได้ยินเสียงพระสงฆ์ เขาจะได้รับทุกขเวทนาอันทารุณ ในมหานรกอเวจี ตลอดหมื่นกัลป์ เมื่อเขาพ้นจากธรรมอันไม่น่าปรารถนานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นเอง ได้อบรมเขาไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ ท่านอาจจะมีความสงสัย ความเข้าใจผิด และความลังเลใจอีกว่า ใครละ ที่ล้อเลียน เยาะเย้ย พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีอยู่ในกาลสมัยนั้น
 ดูก่อนมหาสถามปราบปตะ ในบริษัทนี้เอง คือพระโพธิสัตว์ 500 รูป มีท่าน ภัทรปาละ เป็นหัวหน้า ภิกษุณี 500 รูป มี สิงหจันทรา เป็นหัวหน้า อุบาสกอุบาสิกา 500 คน มี สุคตเจตนา เป็นหัวหน้า ทั้งหมด ล้วนมีเจตนาตั้งมั่นในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ การรักษา อ่าน แสดง ธรรมบรรยายอันมีประโยชน์มากนี้ เป็นการนำพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไปสู่อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยแท้ 
 ดูก่อนมหาสถามปราปตะ เพราะเหตุนั้น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายจึงควรรักษา อ่าน และประกาศธรรมบรรยายนี้บ่อยๆ 
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1       เราย่อมระลึกถึงอดีตกาล สมัยที่พระภีษมสวรราชชินเจ้า ทรงพระชนม์อยู่ พระองค์มีอานุภาพมาก เป็นผู้ที่มนุษย์และเทวดาบูชาแล้ว เป็นผู้นำของมนุษย์ เทวดา ยักษ์ และรากษสทั้งหลาย
2       เมื่อพระชินเจ้าพระองค์นั้นปรินิพพานแล้ว พระสัทธรรมก็เสื่อมลง ในกาลต่อมาบังเอิญได้มีภิกษุ ผู้เป็นพระโพธิสัตว์องค์หนึ่ง ซึ่งใครก็เรียกท่านว่า สทาปริภูตะ
3       เมื่อภิกษุ ภิกษุณีอื่นเข้าไปหา ได้พบกับคำวิจารณ์(จากท่าน) ว่า ความดูหมิ่นจากเรา ย่อมไม่มีในกาลไหนๆเพราะท่านทั้งหลายย่อมประพฤติจรรยาวัตรในพระโพธิสัตว์อันประเสริฐ
4       ท่านได้ฟังคำอย่างนี้ตลอดกาลเป็นนิตย์ ท่านย่อมอดทนต่อคำด่า คำปริภาษ ของชนเหล่าอื่น เมื่อกาลกิริยาเข้ามาใกล้ ท่านจึงได้ฟังพระสูตรนี้
5       ท่านผู้เป็นบัณฑิต ยังไม่ทำกาละ (ตาย) แต่ได้อธิษฐานให้มีอายุยืนนาน ท่านจึงได้ประกาศพระสูตรนี้ ในศาสนาของพระผู้นำพระองค์นั้น
6       ชนทั้งหลายจำนวนมาก ผู้มีความเชื่อต่อสิ่งที่ได้รับเฉพาะหน้า ถูกเขาอบรมให้อยู่ในพระโพธิญาณ เขาผู้เป็นพระโพธิสัตว์ เมื่อไปจากที่นั้นแล้ว ควรได้รับการสดุดีตลอดพันโกฏิพุทธกาล
7       เพราะบุญที่ทำไว้ในอดีตตามลำดับนั้น พระชินบุตรผู้บรรลุพระโพธิญาณแล้ว จึงได้ประกาศพระสูตรนี้อยู่เป็นนิตย์ พระโพธิสัตว์ศากยมุนี ในครั้งนั้นคือเราเอง
8       บุคคลทั้งหลายผู้มีความเชื่อต่อสิ่งที่ได้รับเฉพาะหน้า ทั้งภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกา เป็นผู้อันบัณฑิตโพธิสัตว์ได้สอนให้ตั้งอยู่ในพระโพธิญาณแล้ว
9       ชนทั้งหลาย ผู้เฝ้าพระพุทธเจ้า จำนวนหลายโกฏิ เขาเหล่านั้น ไม่ต่ำกว่า 500 คน เป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกและอุบาสิกาที่อยู่ต่อหน้าเราในขณะนี้
10     เขาทั้งปวงคือผู้ที่เราให้ฟังธรรมอันประเสริฐแล้ว ทั้งหมดเป็นผู้ที่เราอบรมแล้ว เมื่อเราปรินิพพาน เขาทั้งปวง ซึ่งเป็นผู้มีปัญญา จักรักษาพระสูตรอันประเสริฐนี้ไว้
11      ธรรมเช่นนี้ ชนทั้งหลายจำนวนมากจนนับไม่ถ้วน ยังไม่เคยได้ฟังตลอดโกฏิกัลป์ พระพุทธเจ้าจำนวนร้อยโกฏิพระองค์ที่มีอยู่ ก็ไม่เคยแสดงพระสูตรนี้
12      ฉะนั้น ชนทั้งหลายผู้ได้ฟังธรรมที่บรรยายมานี้ จากพระสวยัมภูโดยตรง ให้ทำการบูชาพระองค์บ่อยๆ เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พึงประกาศพระสูตรนี้ต่อไป
   บทที่ 19 สทาปริภูตปริวรรค ว่าด้วยพระสทาปริภูตโพธิสัตว์
 มีเพียงเท่านี้ 

16 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๘ ธรรมภาณกานุศำสาปรวรรต ว่าด้วยอานิสงส์ของผู้กล่าวธรรม

อิซึโมะไทฉะ 
 
   ขณะนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระสตตสมิตาภิยุกตบบ โพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาคนใด จักจดจำ ท่อง แสดง หรือคัดลอก ธรรมบรรยายนี้ กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น จักได้ซึ่งคุณลักษณะแห่งจักษุทั้ง 800 ประการ คุณลักษณะแห่งโสต 1,200 ประการคุณลักษณะแห่งฆานะ 800 ประการ คุณลักษณะแห่งชิวหา 1200 ประการ
 ด้วยคุณลักษณะมากมายอย่างนี้ บ้านคืออินทรีย์ 6 ของเขา จึงสะอาดบริสุทธิ์ เขาย่อมมองเห็นโลกธาตุทั้งสาม ซึ่งมีจำนวนหลายพัน ด้วยตาเนื้อ(มังสจักษุ) ที่เกิดจากมารดาบิดา ซึ่งปรากฏโดยอินทรีย์จักษุอันบริสุทธิ์ ทั้งภายในและภายนอก รวมทั้งภูเขาและป่ารกชัฎ ลึกลงไปจนถึงอเวจีมหานรก สูงขึ้นไปจนถึงขอบโลกพิภพทั้งปวง ด้วยตาเนื้อที่ปรากฏ เขาจะมองเห็นสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นในภพนั้น และจะรู้วิบากกรรมของสัตว์เหล่านี้ด้วย 
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1        ท่านจงฟังคุณลักษณะของบุคคล ผู้เป็นปราชญ์ ไม่มีความเดือดร้อน พึงกล่าวประกาศพระสูตรนี้ ในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย จากเรา
2        จักษุของเขามีคุณลักษณะ 800 ประการ สมบูรณ์ด้วยประการทั้งปวง จักษุของเขาไม่มีมลทิน บริสุทธิ์ ไม่ขุ่นมัว
3        เขาย่อมมองเห็นโลกธาตุนี้ พร้อมด้วย ภูเขา ป่า และบ้านเมือง ด้วยตาเนื้อที่เกิดจากมารดาบิดานั้น
4        เขาจะมองเห็นภูเขา เขาพระสุเมรุ และจักรวาลทั้งปวง เขาได้มองเห็นภูเขาส่วนอื่นๆ และมหาสมุทรด้วย
5        เขาย่อมมองเห็นสิ่งทั้งปวง ต่ำสุดจนถึงนรกอเวจี สูงสุดถึงขอบโลกพิภพ ตาเนื้อของเขา ย่อมมีผลเช่นนี้
6       จักษุทิพย์ของเขาย่อมไม่มี และยังไม่เกิด วิสัยเช่นนี้ย่อมมีแก่ตาเนื้อของเขาเท่านั้น  ยิ่งกว่านั้น
 ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกตะ กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้นั้น ผู้กำลังประกาศธรรมบรรยายนี้ และยังสัตว์เหล่าอื่นให้ฟังอยู่ เป็นผู้ประกอบด้วยสุดคุณจำนวน 1,200 ประการเหล่านั้น เสียงต่างๆ ที่แผ่ไปในโลกธาตุทั้งสาม ซึ่งมีจำนวนหลายพันโลกธาตุ ตั้งแต่อเวจีมหานรก จนถึงสุดขอบโลกพิภพ ทั้งภายในและภายนอก เช่นเสียง ช้าง เสียงม้า เสียงอูฐ เสียงโค เสียงแพะ เสียงในชนบท เสียงรถ เสียงคนร้องไห้ เสียงคนเศร้าโศก เสียงคนกลัว เสียงสังข์ เสียงระฆัง เสียงกลองรบ เสียงกลอง เสียงการละเล่น เสียงเพลง เสียงการฟ้อน เสียงดุริยางค์ เสียงดนตรี เสียงสตรี เสียงบุรุษ เสียงทารก เสียงธรรม เสียงอธรรม เสียงคนมีความสุข เสียงคนมีความทุกข์ เสียงคนพาล เสียงบัณฑิต เสียงของผู้ที่เป็นเจ้าหญิง เสียงของผู้ที่มิได้เป็นเจ้าหญิง เสียงเทวดา เสียงนาค เสียงยักษ์ เสียงรากษส เสียงคนธรรพ์ เสียงอสูร เสียงครุฑ เสียงกินนร เสียงมโหรคะ เสียงมนุษย์ เสียงอมนุษย์ เสียงไฟ เสียงลม เสียงน้ำ เสียงชาวบ้าน เสียงชาวนคร เสียงภิกษุ เสียงพระสาวก เสียงปัจเจกพุทธเจ้า เสียงพระโพธิสัตว์ เสียงพระตถาคต จนกระทั่งเสียงใดๆ ที่แผ่ไปในโลกธาตุทั้งสาม ซึ่งมีจำนวนหลายพันโลกธาตุ ทั้งภายในและภายนอก เขาย่อมได้ยินเสียงเหล่านั้นด้วย โสตินทรีย์ที่บริสุทธิ์ตามที่ปรากฏนั้น เขายังไม่ได้รับโสตอันเป็นทิพย์ แต่เขาย่อมรู้ ย่อมเข้าใจ ย่อมจำแนกเสียงของสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยโสตินทรีย์ที่ปรากฏ เขาย่อมได้ยินเสียงสัตว์ต่างๆเหล่านั้น แต่เสียงทั้งปวงเหล่านั้น ไม่สามารถครอบงำโสตินทรีย์ของเขาได้
 ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกตะ รูปอย่างนี้ คือการได้โสตินทรีย์ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้น ทั้งที่เขายังไม่ได้ทิพยโสต
 เมื่อพระผู้มีพระภาคได้ตรัสอย่างนั้นแล้ว พระสุคตศาสดาจึงได้ตรัสพระคาถาเหล่าอื่นอีกว่า
7       ตราบเท่าที่โสตินทรีย์ของบุคคลนั้น บริสุทธิ์ ไม่ขุ่นมัว ปรากฏชัดเจน เขาย่อมได้ยินเสียงต่างๆในโลกธาตุนี้ โดยไม่มีส่วนเหลือ
8       เขาย่อมได้ยินเสียง ช้าง ม้า รถ โค แพะ แกะ กลองใหญ่ กลองเล็ก เสียงของผู้ประกาศ เสียงพิณใหญ่ เสียงขลุ่ย และเสียงพิณเล็ก
9       เขาย่อมได้ยินเสียงขับร้อง อ้นไพเราะจับใจ แต่เขาผู้เป็นปราชญ์ ย่อมไม่ข้องติดในเสียงนั้น เขาย่อมได้ยินเสียงมนุษย์ จำนวนหลายโกฏิ ที่คุยกันถึงเรื่องใดๆ ในที่ใดๆก็ตาม
10     เขาได้ยินเสียงของเทวดาเป็นนิตย์ และได้ยิงเสียงเพลงขับ เสียงดนตรี อันไพเราะจับใจ และเขาได้ยินเสียงของบุรุษ สตรี เด็กชาย เด็กหญิงทั้งหลายด้วย
11     เขาย่อมได้ยินเสียงสัตว์ที่อาศัยตามภูเขาทั้งหลาย เสียงนกการเวก นกดุเหว่า นกยูง และบรรดานกน้อยใหญ่ทั้งหลาย ที่มีชีวิต เขาย่อมได้ยินเสียงอันไพเราะของสัตว์เหล่านั้น
12     เปรตทั้งหลายที่เจ็บปวดด้วยทุกขเวทนาในนรก ย่อมส่งเสียงร้องอย่างโหยหวน แม้พวกเปรตที่ถูกบีบคั้นด้วยทุกขเวทนาเรื่องอาหาร ก็ส่งเสียงร้องอย่างนั้นเหมือนกัน
13     เช่นเดียวกับอสูรและสัตว์ทั้งหลาย ที่อาศัยอยู่ในท่ามกลางทะเล ย่อมส่งเสียงร้องต่างๆกัน เขาผู้แสดงธรรมที่กำลังยืนอยู่บนโลกนี้ ย่อมได้ยินเสียงทั้งปวงและเสียงนั้นไม่อาจครอบงำเขาได้
14     เขาผู้ยืนอยู่บนโลกนี้ ย่อมได้ยินเสียงต่างๆ มากมาของสัตว์ทั้งหลาย ที่กำลังสนทนากัน ในแหล่งที่อยู่ของตน
15     เขาย่อมได้ยินเสียงของเทพที่อยู่ในพรหมโลก ที่อยู่ในอกนิษฐพรหม และอาภัสรพรหม ซึ่งกำลังสนทนากัน
16     เขาย่อมได้ยินเสียงของภิกษุทั้งหลายในโลกนี้อยู่เป็นนิตย์ ที่กำลังสาธยายธรรมอยู่ ครั้งได้รับคำสั่งจากพระสุคต จึงแสดงธรรมในท่ามกลางบริษัททั้งหลาย
17     เขาย่อมได้ยินเสียงต่างๆของพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ในโลกธาตุนี้ ที่กำลังสาธยายธรรมและสนทนาธรรมต่อกัน
18     พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ผู้เป็นนายสารถีฝึกนรชน ย่อมตรัสธรรมอันประเสริฐนี้ ในบริษัททั้งหลาย พระโพธิสัตว์ผู้รักษาพระสูตรนี้ จักได้ฟังธรรมอันประเสริฐนั้น ในกาลครั้งหนึ่ง
19     สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงในสามพันพุทธเกษตรนี้ ย่อมส่งเสียงต่างๆ จำนวนมากทั้งภายในและภายนอก โดยต่ำสุดถึงนรกอเวจี สูงสุดถึงขอบโลกพิภพ
20     เขาย่อมได้ยินเสียงสัตว์ทั้งปวง ถ้ากายินทรีย์ของเขายังปกติ อินทรีย์ 4 ยังรับรู้หน้าที่ของตน ๆ โสตินทรีย์ ก็จะปรากฏแจ่มแจ้งเช่นกัน
21     บุคคลผู้ไม่พยายามทำโสตของตนให้เป็นทิพย์ แต่ให้คงอยู่โดยธรรมชาติ นี้คือคุณความดีของผู้รักษาพระสูตรนี้ 
         ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกติ นอกจากนั้น ฆานินทรีย์ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้รักษา ประกาศ ศึกษา และคัดลอกพระสูตรนี้ เป็นฆานินทรีย์ที่บริสุทธิ์ ประกอบด้วยคุณลักษณะ 800 ประการ เพราะฆานินทรีย์ที่บริสุทธิ์นั้น เขาจึงรับรู้กลิ่นต่างๆ ในโลกธาตุทั้งสาม ซึ่งมีจำนวนหลายพัน ทั้งภายในและภายนอก  เช่นกลิ่นเหม็น กลิ่นที่น่าพึงพอใจ กลิ่นดอกไม้ทั้งหลายซึ่งมีประการต่างๆ เช่น กลิ่นดอกมะลิซ้อน กลิ่นดอกมะลิ กลิ่นดอกจำปาและกลิ่นดอกกุหลาบ เป็นต้น เขาสามารถรับรู้กลิ่นเหล่านั้น เขาย่อมรับรู้กลิ่นต่างๆ ของดอกไม้ แม้ที่เกิดในน้ำ เช่น เขารับรู้กลิ่นดอกอุบล กลิ่นดอกบัว กลิ่นดอกโกมุท และกลิ่นดอกปุณฑริก เขาย่อมรับรู้กลิ่นดอกและกลิ่นผลของไม้ดอกและไม้ผลต่างๆ เช่น เขาย่อมรับรู้กลิ่นไม้จันทน์ กลิ่นใบยาสูบ กลิ่นดอกพุด กลิ่นต้นกฤษณา และกลิ่นดอกสุรภี เขาผู้ยืนอยู่ในที่เดียว ย่อมรับรู้กลิ่นทั้งปวง ที่แยกได้ร้อยพันกลิ่นแตกต่างกัน
 เขาย่อมรับรู้กลิ่นต่างๆ ของสัตว์ทั้งหลาย เช่น เขาย่อมรับรู้กลิ่นของ ช้าง ม้า วัว แพะ และสัตว์เลี้ยงทั้งหลาย เขาย่อมรับรู้กลิ่นกายของสัตว์ต่างๆที่ถือกำเนิดในสัตว์ดิรัจฉาน เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของสตรีและบุรุษ เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเด็กชายและเด็กหญิง เขาย่อมรับรู้กลิ่นของหญ้า พุ่มไม้ สมุนไพร และต้นไม้ทั้งหลาย ซึ่งอยู่ในที่ไกล เขาย่อมรับรู้กลิ่นทั้งหลายตามความเป็นจริง เขาไม่เสื่อม ไม่ลงจากกลิ่นเหล่านั้น แม้ยืนอยู่ในที่นี้ เขาย่อมได้กลิ่นเทวดาทั้งหลาย เช่น ได้กลิ่นดอกไม้ทิพย์ของต้นปาริชาติ ต้นโกวิทาระ ต้นมัทารพน้อยใหญ่ และต้อคำน้อยใหญ่ เขาย่อมรับรู้กลิ่นผงกฤษณาและผงไม้จันทน์อันเป็นทิพย์ เขาย่อมรับรู้กลิ่นดอกไม้ประเภทต่างๆ อันเป็นทิพย์หลายร้อยพันชนิด และเขาย่อมรู้จักชื่อของดอกไม้เหล่านั้น
 เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเทวบุตรทั้งหลาย เช่นกลิ่นอาตมภาวะของท้าวสักกะ ผู้เป็นใหญ่แห่งเทพทั้งหลาย เข่าย่อมรู้ว่า ท้าวสักกะนั้น กำลังเล่น กำลังยินดี หรือกำลังเพลิดเพลินอยู่ในปราสาทไวชยันต์ หรือกำลังแสดงธรรมแก่เทพทั้งหลาย ที่สุธรรมาเทวสภา บนสวรรค์ชั้นตรัยตรึงศ์ หรือกำลังไปเพื่อการเล่นในสนามแห่งอุทยาน เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเทวบุตรทั้งหลายเหล่าอื่น ไม่เว้นแต่ละองค์ เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะ ของเทพกุมารีและเทพสตรีทั้งหลาย เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเทพกุมารทั้งหลาย เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเทพกุมาริกาทั้งหลาย แต่เขาไม่ยึดติดด้วยกลิ่นเหล่านั้น โดยปริยายนี้ เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของสัตว์ทั้งหลาย แม้ผู้ที่อุบัติขึ้นที่สุดขอบของโลกพิภพ
 เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของเทวบุตรทั้งหลาย ผู้เป็นกลุ่มของพระพรหมและกลุ่มของท้าวมหาพรหม โดยปริยายนี้ เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของกลุ่มเทพทั้งปวง เขาย่อมรับรู้กลิ่นอาตมภาวะของพระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์และพระตถาคต เขาย่อมรับรู้แม้กลิ่นที่ประทับของพระตถาคต เขาย่อมรับรู้ว่า พระตถาคต พระอรหันต์ และพรสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมประทับอยู่ในที่ใด ฆานินทรีย์ของเขาจะไม่ถูกขัดขวาง ไม่ถูกรบกวนและไม่ถูกเบียดเบียนจากกลิ่นต่างๆ เหล่านั้น เมื่อปรารถนา เขาย่อมสามารถอธิบายกลิ่นต่างๆ เหล่านั้น ให้แก่บุคคลอื่นได้ และความจำของเขา จะไม่ถูกรบกวน
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
22     เมื่อฆานินทรีย์ของเขายังบริสุทธิ์ เขาย่อมรับรู้กลิ่นต่างๆ จำนวนมากทั้งหมดที่มีอยู่ในโลกธาตุ นี้ทั้งกลิ่นดีและกลิ่นเสีย
23     กลิ่นหอมของมะลิซ้อน ของดอกมะลิ ของใบยาสูบ ของไม้จันทน์ ของดอกพุด ของต้นกฤษณา ของดอกไม้และผลไม้ต่างๆ
24     เขายืนอยู่ในที่ไกล ย่อมรู้กลิ่นของสัตว์ทั้งหลาย ผู้ชายและผู้หญิง เด็กชายและเด็กหญิง เขาจะรู้ตำแหน่งที่อยู่ของชนเหล่านั้น ด้วยกลิ่น
25     เขาย่อมรู้กลิ่นของพระราชา ผู้เป็นจักรพรรดิ ขุนนางผู้เป็นจอมทัพ ขุนนางผู้ปกครองแว่นแคว้น รวมทั้งกลิ่นของกุมารและอำมาตย์ เขาย่อมรู้ชนทั้งปวงภายในเมือง เพราะกลิ่นของชนเหล่านั้น
26     พระโพธิสัตว์ย่อมรู้รัตนะสำหรับใช้สอยต่างๆ จำนวนมากและรัตนะเงินที่อยู่บนดินอีกจำนวนมาก ที่ใช้เป็นเครื่องประดับสตรี ด้วยกลิ่นของสิ่งเหล่านั้น
27     พระโพธิสัตว์ย่อมรู้เครื่องอาภรณ์อันวิจิตร ซึ่งประดับที่กายของชนเหล่านั้น เช่น ผ้า มาลัย และเครื่องลูบไล้ ด้วยกลิ่นของสิ่งเหล่านั้น
28     ผู้ฉลาดที่ทรงจำพระสูตรอันประเสริฐนี้ไว้ ย่อมรู้สตรี ที่ยื่น นั่ง หรือนอน และย่อมรู้ความยินดีในการเล่น กำลังแห่งฤทธิ์ทั้งปวง ด้วยอำนาจมานินทรีย์
29     เขาผู้ยืนอยู่นั้น ย่อมได้กลิ่นน้ำมันหอม กลิ่นดอกไม้และกลิ่นผลไม้ชนิดต่างๆและเขาย่อมรู้จักกลิ่นเหล่านั้นว่า มีอยู่ในที่โน้นหรือที่นี่
30     เขาย่อมรู้ไม้จันทน์จำนวนมากที่ผลิดอกระหว่างซอกและสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในซอกเขานั้น ได้ไม่ยากนัก ก็เพราะกลิ่นของสิ่งทั้งปวงเหล่านั้น
31     สัตว์ทั้งหลายที่อยู่ใกล้จักรวาล ท่ามกลางมหาสมุทรหรือท่ามกลางพื้นพิภพ เขาย่อมรู้จักสัตว์เหล่านั้นได้ด้วยกลิ่น
32     เขารู้จักเทพ ยักษ์ และธิดาของยักษ์ เขารู้จักการละเล่นและความยินดีของยักษ์ ประสบการณ์เช่นนี้ เป็นเพราะพลังแห่งมานินทรีย์ของเขา
33     เพราะฆานินทรีย์นั้น เขาจึงรู้จักที่อยู่ของสัตว์ 4 เท้า  ในป่า เช่น สิงห์ เสือ ช้าง งู กระบือ โคและโคป่า 
34     จากกลิ่นนั้น เขาย่อมรู้ทารกในครรภ์ของสตรี ซึ่งมีกายกำลังปั่นป่วนอยู่ในท้องว่า เป็นเพศชาย หรือเพศหญิง
35     เขาย่อมรู้ว่า สัตว์มาถึงแล้ว(ใกล้จะคลอด) เขารู้ด้วยว่า สัตว์นั้นจะตายหรือไม่ตาย สตรีผู้นี้ เมื่อหายเจ็บปวดแล้ว จะคลอดบุตรชายผู้มีบุญ
36     เขาย่อมรู้จักคนหลายประเภท เช่นเดียวกับที่เขารับรู้กลิ่นของบุคคลแต่ละประเภท เช่น คนมีความรัก คนเลว คนกลับกลอก และเขาย่อมรู้กลิ่นของบุคคลที่มีจิตสงบแล้วด้วย
37     พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมรับรู้ด้วยกลิ่นว่า มีทรัพย์ฝังอยู่ภายในพื้นดิน เช่นทรัพย์ เงิน ทองรูปพรรณ ภาชนโลหะ รวมทั้งทองแท่ง
38     ด้วยกลิ่นนั้นเอง เขาย่อมรู้สิ่งเหล่านั้นทั้งหมด คือสร้อยข้อมือ สร้อยคอ แก้วมณี มุกดา รัตนะต่างๆ อันหาค่ามิได้ รวมทั้งสิ่งที่มีชื่ออันหาค่ามิได้อื่นๆ ซึ่งมีแสงเป็นประกายยิ่ง
39     ผู้เป็นปราชญ์ แม้อยู่ในโลกนี้ ย่อมได้กลิ่นดอกไม้ในสวรรค์ชั้นสูงสุด เช่นกลิ่นดอกมณฑารพ ดอกมัญชูษกะ(ดอกคำ) และดอกปาริชาต
40     ด้วยอำนาจของฆานินทรีย์ เขาผู้ดำรงอยู่ในโลกนี้ ย่อมรู้กลิ่นวิมานของผู้เช่นนี้ สูง ต่ำ ปานกลาง หรือมีรูปทรงงดงามปานใด
41     เขาย่อมรู้พื้นที่ในอุทยาน ที่นั่งของเทพในไวชยันต์ อันเป็นปราสาทที่ดีที่สูดในสุธรรมศาลา เขาย่อมรู้เทพบุตรทั้งหลาย ที่สำลังรื่นเริงอยู่ในที่นั่น
42     เขาผู้อยู่ในโลกนี้ ย่อมได้กลิ่นของเทวดาเหล่านั้น เพราะกลิ่นนั้นเอง เขาจึงรู้จักเทพบุตรทั้งหลาย ผู้กำลังทำงาน กำลังยืน กำลังนอน หรือกำลังเดินอยู่
43     ด้วยกลิ่นนั้น พระโพธิสัตว์ย่อมรู้ว่า นางเทวกัญญา ที่ประดับด้วยดอกไม้นานาชนิด ประดับด้วยอาภรณ์คือมาลักมุกดา กำลังร่างเริงและเดินอยู่ ณ ที่ใด
44     ด้วยกลิ่นนั้น เขาย่อมรู้ว่า เทพ พรหม มหาพรหม ผู้อยู่ในวิมานสูงสุดยอดพิภพ กำลังอยู่ในสมาธิ หรืออกจากสมาธิแล้ว
45     เขาย่อมรู้เทวบุตรทั้งหลาย ผู้อยู่ในชั้นอาภัสระ ที่กำลังจุติและอุบัติขึ้น และเทวบุตรอื่นๆ ที่ไม่มีมาก่อน ฆานินทรีย์อย่างนี้ ย่อมมีแก่พระโพธิสัตว์ผู้รักษาพระสูตรนี้เท่านั้น
46     พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมรู้จักภิกษุทั้งปวง ในศาสนาของพระสุคต ผู้ประกอบความเพียรในการจงกรม ผู้มีความยินดีในธรรมบรรยายและการเรียนรู้
47     ด้วยกลิ่นนั้นเขาผู้มีปัญญา ย่อมรู้จักภิกษุ ผู้เป็นสาวกชินบุตรผู้อาศัยอยู่ ณ โคนต้นไม้ และรู้จักภิกษุทั้งปวงเหล่านั้นว่า ภิกษุชื่อโน้น ย่อมอาศัยอยู่ ณ ที่โน้น
48     ด้วยกลิ่นนั้น พระโพธิสัตว์ย่อมรู้ว่าพระโพธิสัตว์เหล่าอื่น มีสติ สมาธิ ยินดีในการบรรยายและเรียนรู้ ย่อมประกาศธรรมในบริษัททั้งหลายเพียงใด
49     ด้วยกลิ่นนั้น พระโพธิสัตว์ย่อมรู้จักพระสุคตมหามุนี ผู้อนุเคราะห์ประโยชน์ ผู้ควรสักการะ ผู้ประกาศธรรมในท่ามกลางหมู่สาวก ซึ่งอยู่ในทิศใดก็ตามว่า นั้นคือพระโลกนาถ
50     พระโพธิสัตว์ผู้อยู่ในโลกนี้ ย่อมรู้สัตว์ทั้งหลายที่ฟังธรรม ครั้นฟังแล้วก็มีความยินดี ทั้งย่อมรู้บริษัททั้งปวงของพระชินเจ้าด้วย
51      อำนาจแห่งฆานินทรีย์ของเขาเป็นเช่นนี้ ทิพยฆานินทรีย์ของเขาย่อมไม่มี เพราะฆานินทรีย์อย่างนี้ของเขาเป็นของธรรมดา ฆานินทรีย์ที่เป็นทิพย์จึงไม่เศร้าหมอง 
          ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกตะ กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น ผู้รักษา แสดง ประกาศ คัดลอกซึ่งธรรมบรรยายนี้ ย่อมได้ชิวหินทรีย์ ที่ประกอบด้วยชิวหา คุณลักษณะ 1,200 ประการเหล่านนั้น เขาย่อมลิ้มรสเหล่าใดด้วยชิวหินทรีย์ ที่มีลักษณะอย่างนั้น เขาวางรสเหล่าใดลงที่ชิวหินทรีย์รสเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมให้รสประเสริฐอันเป็นทิพย์ เขาจะไม่ลิ้มรสอันไม่เป็นที่พอใจ โดยประการใด เขาจักลิ้มรสโดยประการนั้น เพราะรสอันไม่เป็นที่พอใจเหล่านั้นที่เขาวางลงบนชิวหินทร์ ย่อมให้รสอันเป็นทิพย์ เขาไปเผยแพร่ธรรมใดในท่ามกลางบริษัท สัตว์ทั้งหลายจักเป็นผู้มีอินทรีย์เอิบอิ่ม มีความปีติ ยินดีปราโมทย์เป็นอย่างยิ่ง กับการแสดงธรรมของเขาสำเนียงของเขานั้น นุ่มนวล ลึกซึ้ง ไพเราะจับใจ น่ายินดี จัก แผ่ซ่านเข้าสู่จิตใจ(ของผู้ฟัง)
 สัตว์ทั้งหลายผู้ยินดี ด้วยธรรมของเขา จักมีจิตใจที่สูงขึ้น เขาแสดงธรรมแก่ชนเหล่าใด ชนเหล่านั้นและเทวดาทั้งหลาย เมื่อได้ฟังเสียงอันไพเราะ นุ่นนวลจับใจของเขาแล้ว ย่อมคิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้เทวบุตร แม้เทวกัญญาทั้งหลาย ก็คิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่คนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้ท้าวสักกะ แม้พระพรหม และเทวบุตรพรหมกายิกา ก็คิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชน ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้นาค และนาคกัญญา ก็คิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้อสูรและอสูรกัญญา ก็คิดถึงเขาว่าเป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้ครุฑและครุฑกัญญา ก็คิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม แม้กินนร กินนร กัญญา มโหรคะ มโหรคกัญญา ยักษ์ ยักษกัญญา ปีศาจ ปีศาจกัญญา ก็คิดถึงเขาว่า เป็นผู้ที่ตนควรเข้าหา เพื่อชื่นชม ไหว้ เข้าไปนั่งใกล้ และเพื่อฟังธรรม ชนเหล่านั้น จักทำสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ยกย่อง นอบน้อม แก่เขา แม้ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ก็ปรารถนาจะพบเขา
 แม้พระราชา พระราชบุตร ราชอำมาตย์ ราชมหาอำมาตย์ ก็ปรารถนาจะพบเขา แม้พระราชา ผู้เป็นจอมทัพ แม้พระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ประกอบด้วยรัตนะ 7 พร้อมด้วยพระกุมาร อำมาตย์ และบริวารภายในราชสำนัก ต่างก็ปรารถนาจะพบเขา เพื่อทำสักการะ เขาผู้กล่าวธรรมอันไพเราะนั้น จักกล่าวธรรมตามความเป็นจริง ตามที่พระตถาคตตรัสไว้แล้ว แม้บุคคลอื่นๆ คือ พราหมณ์ คฤหบดี ชาวนิคมและชาวชนบท จักผูกพันกับคำสอนที่มีเหตุผลของผู้กล่าวธรรมนั้น จนกระทั่งสิ้นชีวิต แม้พระสาวกของพระตถาคต ก็ปรารถนาจะพบเขา แม้พระปัจเจกพุทธเจ้า ก็ปรารถนาจะพบเขา แม้พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าก็ปรารถนาจะพบเขา กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น อาศัยอยู่ในทิศใดก็ตาม เขาจักแสดงต่อพระพักตร์ของพระตถาคตในทิศนั้น เขาจึงเหมาะสมกับพุทธธรรม เสียงแห่งธรรม อันไพเราะ จับใจ และลึกซึ้งของเขาจึงแพร่ไปด้วยประการฉะนี้
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
52     ชิวหินทรีย์ของเขา จะมีความรู้สึกเป็นเลิศ เขาจะไม่ลิ้มรสที่เสื่อมคุณภาพ รสทั้งหลายเพียงวางลง (ที่ปลายลิ้นของเขา ก็จะกลายเป็นรสทิพย์ และอาหารนั้นก็จะประกอบด้วยรสทิพย์เช่นกัน
53     เขาย่อมกล่าวถ้อยคำที่นุ่มนวล ไพเราะ น่าฟัง น่าปรารถนา น่ายินดี เขากล่าวด้วยเสียงที่ลุ่มลึกน่ารักเสมอ ในท่ามกลางบริษัท
54     ผู้ใดก็ตาม หากได้ฟังธรรมที่เขาแสดงอยู่ ด้วยอุทาหรณ์มากมายหลายหมื่นโกฏิ เขาจะเกิดความปิติยินดี จักทำการบูชาด้วยความเคารพรักอย่างยิ่ง
55     เทพ นาค อสูร และปีศาจทั้งหลาย ย่อมปรารถนาจะพบเขาและฟังธรรมของเขา ด้วรความเคารพตลอดกาลเป็นนิตย์ เพราะคุณธรรมเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมมีอยู่ที่เขา
56     เมื่อปรารถนา เขาสามารถยังโลกธาตุนี้ทั้งหมด ให้รับรู้ได้ด้วยเสียง (ของตน) เพราะเสียงของเขา ไพเราะ ลึกซึ้ง นุ่มนวล มีเสน่ห์ และน่ารักอย่างยิ่ง
57     พระราชาทั้งหลาย ผู้เป็นเจ้าแผ่นดิน ผู้เป็นพระจักพรรดิ พร้อมด้วยบุตรและมเหสีปรารถนาจะทำการบูชา จึงเข้าไปหา ประคองอัญชลีต่อเขา เพื่อฟังธรรมจากเขา ตลอดกาลเป็นนิตย์
58     ยักษ์ นาค หมู่คนธรรพ์ ปีศาจชาย ปีศาจหญิง จะติดตามเขาไปทุกเมื่อ เพื่อแสดงความเคารพ นับถือและบูชา
59     แม้พระพรหม พระอิศวร ผู้เป็นมเหศวร และเทวบุตรก็อยู่ในอำนาจของเขา แม้ท้าวสักกะ เทวบุตรอื่นๆ และเทวกัญญาอีจำนวนมาก ก็เช่นกัน คือ ย่อมเข้าไปหาเข้า
60     พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ผู้มีความเมตตากรุณาต่อชาวโลก พร้อมด้วยพระสาวก เมื่อได้ยินเสียงของเขา ก็ทรงยินดี ทรงคุ้มครอง รักษาเขา ด้วยการปรากฏพระพักตร์ต่อเขาที่กำลังแสดงธรรมอยู่ 
          ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกตะ นอกจากนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้รักษา ท่อง ประกาศ แสดง หรือคัดลอก ธรรมบรรยายนี้ ย่อมได้รับร่างกายที่ประกอบด้วยคุณลักษณะ 800 ประการ กายของเขาบริสุทธิ์ผ่องใส มีผิวพรรณผ่องใสดุจแก้วไพฑูรย์ เป็นที่รักและน่าทัศนาของสัตว์ทั้งหลาย ในกายบริสุทธิ์นั้น เขาสามารถมองเห็นโลกธาตุทั้งปวง ที่มีจำนวนหลายพันนั้นได้สัตว์เหล่าใดในโลกธาตุทั้งหลายนั้น ทั้งที่ดับไปแล้วและเกิดขึ้น ทั้งเลวและประณีต ทั้งที่มีวรรณะดีและมีวรรณะไม่ดี ทั้งที่อยู่ในสุคติและทุคติ ทั้งที่อยู่ในจักรวาล และมหาจักรวาล ทั้งที่อยู่บนภูเขาหลวงเมรุและสุเมรุ และสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ต่ำสุดภายใต้นรกอเวจี จนถึงสูงสุดขอบโลกพิภพ เขาย่อมเห็นสัตว์เหล่านั้นทั้งหมด ในกายของตน พระสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ และพระตถาคต ที่อยู่ในหลายพันโลกธาตุ พระตถาคตเหล่านั้น ย่อมแสดงธรรมใดสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเข้าไปนั่ง
ใกล้พระตถาคตเหล่านั้น เขาย่อมเห็น เขาผู้ได้รับอาตมภาวะของสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น จึงเห็นสัตว์เหล่านั้น ในกายของตน ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? เป็นเพราะกายของเขามีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง 
ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
61     กายของเขาบริสุทธิ์ผ่องใสอย่างยิ่ง ราวกับสำเร็จจากแก้วไพฑูรย์ ผู้ที่รักษาพระสูตรอันยิ่งใหญ่นี้ ย่อมเป็นที่น่ารัก เป็นที่น่าทัศนาของสัตว์ทั้งหลายเป็นนิตย์
62     โลกทั้งปวงย่อมปรากฏขนกายของเขา เหมือนภาพที่ปรากฏบนแผ่นกระจก เขาผู้เป็นพระสยัมภู ย่อมไม่เห็นสัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ เป็นอื่น บนกายอันบริสุทธิ์ของเขา
63     สัตว์ทั้งหลายในโลกธาตุนี้ จะเป็นมนุษย์ เทพ อสูร ปีศาจในนรก ในแปดวิสัย และในกำเนิดดิรัจฉาน ล้วนปรากฏเป็นภาพบนกายของเขา
64     วิมานของเทพจนสุดขอบโลกพิภพ ภูเขา เนิน จักรวาล ป่าหิมพานต์ เขาสุเมรุ และภูเขามหาสุเมรุ ทั้งหมดล้วนปรากฏขนกายของเขา
65     เขาย่อมเห็นพระพุทธเจ้า รวมทั้งพระสาวก พระพุทธบุตรอื่นๆ พระโพธิสัตว์และผู้ประกาศธรรมแก่คณะทั้งหลาย ที่กายของตน
66     นี้คือความบริสุทธิ์แห่งกายของเขา ที่ปรากฏโลกธาตุทั้งปวง แม้กายของเขายังไม่ถึงความเป็นทิพย์ แต่กายตามปกติของเขาก็เป็นเช่นนี้ 
         ดูก่อนสตตสมิตาภิยุกตะ ยังมีอีก เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้รักษา แสดง ประกาศ คัดลอก อ่าน ธรรมบรรยายนี้ ย่อมมีมนินทรีย์บริสุทธิ์ ที่ประกอบด้วยคุณแห่งมนสิการ 1200 ประการเหล่านั้น ด้งมนินทรีย์อันบริสุทธิ์นั้น โดยที่สุด แม้เขาได้ฟังเพียงคาถาเดียว เขาก็ย่อมเข้าใจความหมายทั้งปวงของธรรมนั้น เขาเมื่อเข้าใจคาถานั้นแล้วย่อมแสดงธรรมอันประถมเหตุ นั้น ตลอดหนึ่งเดือนบ้าง จักแสดงธรรมตลอดสี่เดือนบ้าง หนึ่งปีบ้าง เมื่อเขาแสดงธรรมใดๆธรรมนั้นย่อมไม่ถึงการเลือนหายไป จากความทรงจำของระเบียบสังคมของชาวโลก จะเป็นภาษิตคือมนตราก็ดีเขาย่อมยังระเบียบเหล่านั้นทั้งหมดแสดงออกด้วยกฎแห่งธรรม สัตว์ที่อุบัติขึ้น ย่อมวนเวียนอยู่ในคติทั้งหก ในโลกธาตุทั้งสามซึ่งมีจำนวนหลายพัน
 เขาย่อมรู้ความคิด ความประพฤติ และความเคลื่อนไหวของสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น เขาย่อมรู้ ย่อมทราบ สิ่งที่สัตว์ทั้งหลาย บูชา คิด และต้องการ แม้ว่า เขายังไม่ได้ฌานอันประเสริฐ แต่มนินทรีย์ของเขาบริสุทธิ์ถึงปานนี้ เขาได้พิจารณาถึงนิรุกติแห่งธรรมแล้วจึงจะแสดงธรรม เขาจึงแสดงธรรมทั้งปวง ตามความเป็นจริง เขาย่อมกล่าวถึงธรรมทั้งปวงนั้นที่พระตถาคตตรัสแล้วทั้งหมด ซึ่งปรากฏอยู่ทั่วไป ใน พระสูตรของพระชินเจ้าองค์ก่อน 
 เวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
67     มนินทรีย์ของเขานั้น สะอาด ผ่องใส บริสุทธิ์ ไม่ขุ่นมัว ด้วยจิตที่ผ่องใสนั้น เขาจึงสามารถแสดงธรรมต่างๆ ทั้งต่ำ สูง และปานกลาง
68     ผู้เป็นปราชญ์ ได้ฟังแม้เพียงคาถาเดียว ย่อมเข้าใจอรรถเป็นจำนวนมากของธรรมนั้นได้ แล้วแสดงธรรมนั้นตามความเป็นจริง ตลอดหนึ่งเดือน สี่เดือน หรือหนึ่งปี
69     สัตว์ทั้งหลาย ทั้งที่อาศัยอยู่ภายในและภายนอกโลกธาตุนี้ จะเป็น เทพ มนุษย์ อสูร ปีศาจ นาค และสัตว์ในกำเนิดดิรัจฉาน
70     นักปราชญ์ย่อมทราบความคิดของสัตว์ทั้งปวง ที่อยู่ในคติหกเพียงครู่เดียวเท่านั้น นี่คืออานิสงส์ของผู้รักษาพระสูตรนี้
71     พระพุทธผู้มีลักษณะแห่งบุญ 100 ประการ ย่อมประกาศธรรมแก่ชาวโลกทั้งปวง เขาได้ฟังเสียงของพระองค์ แล้วยึดถือธรรมอันบริสุทธิ์ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงนั้น
72     เขาใคร่พินิจธรรมอันประเสริฐจำนวนมาก เขาจึงท่องจำธรรมจำนวนมากอยู่นิรันดร์กาล เขาไม่มีการหลงลืมแม้ในกาลไหนๆ นี่ก็เป็นอานิสงส์ของการรักษาพระสูตรนี้
73     เขาย่อมรู้ความสัมพันธ์ ความไม่สัมพันธ์ และลักษณะที่แตกต่างกัน ในธรรมทั้งปวง เขาจึงสอนและอธิบายความหมายไปตามความเข้าใจ
74     พระสูตรใดที่โบราณจารย์ในโลกได้สั่งสอนกันมา เป็นเวลานาน เขาไม่มีความกลัวที่จะสอนธรรมจากพระสูตรนั้น เป็นนิจกาล ในท่างกลางบริษัท
75     มนินทรีย์ของผู้รักษาและอ่านพระสูตรนี้ ย่อมเป็นเช่นของผู้นี้ เขายังไม่ได้ญาณที่ไม่ติดขัด แต่ญาณของเขาก็เป็นปุพพมรรค
76     ผู้รักษาพระสูตรนี้ของพระสุคต เป็นผู้ฉลาด สามารถอฺธิบายความหมายได้หลายโกฏิ ย่อมตั้งอยู่ในภูมิของอาจารย์ ฟังสอนธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายทั้งปวง 
 บทที่ 18 ธรรมภาณกานุศำสาปรวรรต ว่าด้วยอานิสงส์ของผู้กล่าวธรรม ในธรรมบรรยาย ศรีสัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๗ อนุโมทนาปุณยนิรเทศปรวรรต ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา

ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
 
   ครั้งนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กุลบุตรหรือกุลธิดา ได้ฟังธรรมบรรยายที่พระองค์แสดงนี้ แล้วอนุโมทนา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น จะสะสมบุญนั้นได้อย่างไร? ในกาลนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้ตรัสคาถาว่า
 1       เมื่อพระมหาวีระ (พระพุทธเจ้า) นิพพานแล้ว บุคคลใดได้ฟังพระสูตรเช่นนี้ ครั้นฟังแล้ว เขาพึงอนุโมทนา บุญกุศล แห่งการอนุโมทนาของเขา นั้น จะเป็นอย่างไร?
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เมื่อตถาคตนิพพานแล้ว กุลบุตรหรือกุลธิดาใดก็ตาม ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ที่เราแสดงประกาศอยู่ จะเป็นภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บุรุษผู้เป็นปราชญ์ เด็กชาย เด็กหญิง ครั้นได้ฟังแล้วพึงอนุโมทนา ถ้าหลังจากนั้น เขาลุกจากการฟังธรรม แล้วหลีกไป เขาจะไปวัด บ้าน ป่า ถนน หมู่บ้าน หรือชนบท แล้วพึงบอกเหตุและธรรมนั้น ตามที่ได้ฟังมา ตามที่ตนเข้าใจ และตามความสามารถ แก่สัตว์อื่นๆ จะเป็นมารดาก็ดี บิดาก็ดี ญาติก็ดี หรือใครๆจะเป็นผู้ร่วมยินดีบุคคลอื่น หรือผู้ร่วมสรรเสริญ ถ้าว่า บุคคลนั้น ได้ฟังแล้ว พึงอนุโมทนา ครั้นอนุโมทนาแล้วพึงบอกแก่บุคคลอื่นต่อไปอีก บุคคลแม้นั้น ครั้นได้ฟังแล้ว ก็พึงอนุโมทนาบอกบุคคลอื่นต่อๆกันไป โดยปริยายนี้ จนถึง 50 คน
 ดูก่อนอชิตะ บุรุษคนที่ 50 พึงเป็นผู้ยินดีต่อการได้บอกต่อกันมา 
 ดูก่อนอชิตะ เราจักแสดงการสะสมบุญที่ถึงพร้อมด้วยการอนุโมทนา ของกุลบุตรหรือกุลธิดานั้น ขอท่านจงฟัง จงยินดี และจงตั้งใจฟังด้วยดี เราจะแสดงแก่ท่าน
 ดูก่อนอชิตะ สัตว์ทั้งหลาย ที่อยู่ในโลกธาตุทั้ง 4 เป็นเวลาร้อยพันอสงไขย เป็นผู้เข้าถึงคติทั้ง 6 คือพวกที่เกิดในไข่ เกิดในครรภ์ เกิดในไคล เกิดผุด(อุบัติ)ขึ้น มีรูปก็ตาม ไม่มีรูปก็ตาม มีสัญญาก็ตาม ไม่มีสัญญาก็ตาม มีสัญญาหามิได้ก็ตาม ไม่มีสัญญาหามิได้ก็ตาม มีเท้าก็ตาม ไม่มีเท้าก็ตาม สองเท้าก็ตาม สี่เท้าก็ตาม มีหลายเท้าก็ตาม จนกระทั่งสัตว์ทั้งหลาย ที่รวมกันเป็นกลุ่มในสัตว์โลก
 ครั้งนั้น เกิดมีบุรุษผู้หนึ่ง ซึ่งปรารถนาจะทำบุญ ปรารถนาจะทำประโยชน์ เขาจึงให้เครื่องเล่น อันน่าปรารถนาทั้งปวง เครื่องบริโภค อันน่ายินดี น่าปรารถนา น่าใคร่ น่ารัก น่าพอใจ แก่หมู่สัตว์เหล่านั้น เขาพึงให้ชมพูทวีป ที่สมบูรณ์ (ทุกอย่าง) แก่สัตว์แต่ละคน เพื่อการละเล่นที่น่าปรารถนา การบริโภคที่น่าพอใจ พึงให้ทองคำแท่ง ทองคำ เงิน มณี มุกดา ไพฑูรย์ สังข์ ประพาฬ รถเทียมโค และรถเทียมช้าง แม้กระทั่งปราสาทเรือนยอด 
 ดูก่อนอชิตะ โดยปริยายนี้ บุรุษผู้เป็นเจ้าแห่งทาน เป็นเจ้าแห่งมหาทานนั้น พึงให้ทานตลอด 80 ปีเต็ม
 ดูก่อนอชิตะ บุรุษผู้เป็นเจ้าแห่งทาน เป็นเจ้าแห่งมหาทานนั้น พึงคิดว่า ได้ยินว่า สัตว์ทั้งหลายเหล่านี้ ที่เราให้เล่น ให้เพลิดเพลิน และให้เป็นอยู่ด้วยความสุข บัดนี้สัตว์เหล่านั้น หนังเหี่ยว ผมหงอก แก่เฒ่า ชรา มีอายุได้ 80 ปีโดยกำเนิด สัตว์เหล่านั้น กำลังอยู่ในกาลกิริยา(ตาย) เราควรสอนสัตว์เหล่านั้น ให้น้อมลงสู่พระธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว
 ดูก่อนอชิตะ บุรุษนั้น จึงยังสัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น ให้ยอมรับ (พระธรรม) ครั้นให้ยอมรับแล้ว จึงให้เขาน้อมลง และยึดถือพระธรรมวินัย ที่พระผู้มีพระภาคทรงประกาศแล้ว เมื่อสัตว์เหล่านั้น ได้ฟังธรรมของบุรุษนั้นแล้ว แม้ฟังเพียงขณะหนึ่ง ครู่หนึ่ง นิดหนึ่ง สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น พึงบรรลุเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอนาคามิผล จนกระทั่งบรรลุเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ มีสมาธิ และสมาธิในวิโมกข์ทั้ง 8
 ดูก่อนอชิตะ ท่านคิดว่า มูลเหตุนั้น เป็นอย่างไร? บุรุษเจ้าของทาน เจ้าของมหาทานนั้น ควรสะสมบุญอันบริสุทธิ์ ให้จนมิอาจประมาณได้ มิอาจนับได้หรือ?
 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์จึงกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต เป็นอย่างนั้น ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะเหตุนี้ บุรุษผู้เป็นเจ้าของทาน เจ้าของมหาทาน ควรสะสมบุญให้มากขึ้น เพราะเขาได้ให้ความสุขที่มั่นคงแก่สัตว์ทั้งหลายจะป่วยกล่าวไปใย ที่เขายังสัตว์ให้ตั้งอยู่ในธรรมเบื้องสูง คือความเป็นพระอรหันต์อีกเล่า?
 เมื่อกราบทูลอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์นั้นว่า ดูก่อนอชิตะ เราจักบอก กล่าวแก่ท่าน บุรุษผู้เป็นเจ้าของทาน เจ้าของมหาทานนั้น ควรสะสมบุญด้วยกายยังสัตว์ทั้งหลาย ให้บริบูรณ์ด้วยการตั้งมั่นในความสุขทั้งปวง ในโลกธาตุทั้ง 4 เป็นเวลาร้อยพันอสงไขย แล้วพึงให้ตั้งอยู่ในความเป็นอรหันต์ ส่วนบุรุษที่ 50 ได้รับการฟังสืบต่อกันมา วัสดุ (มูลเหตุ แห่งการทำบุญ ที่ประกอบด้วยการอนุโมทนาของบุรุษนั้นกับ วัสดุ(มูลเหตุ) แห่งการกระทำบุญที่ประกอบด้วยทาน และยังสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความเป็นพระอรหันต์ของบุรุษผู้เป็นเจ้าของทานและเจ้าของมหาทานนั้น การสะสมบุญที่ประกอบด้วยการอนุโมทนานี้แล มีผลมากกว่าการเป็นเจ้าของทานนั้น คือบุรุษที่ 50 นี้ ได้ฟังแม้เพียงคาถาเดียว บาทเดียว จากธรรมบรรยายนี้ ที่ฟังต่อๆกันมาจากบุรุษนั้น แล้วจึงอนุโมทนา 
 ดูก่อนอชิตะ การสะสมบุญ ที่ประกอบด้วยทาน และประกอบด้วยการให้ตั้งอยู่ในความเป็นพระอรหันต์นั้นที่เคยมีมาแล้วย่อมไม่ถึงเสี้ยวแห่งร้อย ของการสะสมบุญที่ประกอบด้วยการอนุโมทนา และการสะสมกุศลมูล ที่ประกอบด้วยการอนุโมทนา ย่อมไม่ถึงเสี้ยวที่พัน เสี้ยวที่แสน เสี้ยวที่โกฏิ เสี้ยวที่ร้อยโกฏิ เสี้ยวที่พันโกฏิ เสี้ยวที่แสนโกฏิ และเสี้ยวที่หมื่นแสนโกฏิ ไม่สามารถกำหนดด้วยการนับ คำนาน รวบรวม เปรียบเทียบ และจัดการ 
 ดูก่อนอชิตะ บุรุษที่ 50 นั้น โดยที่สุดได้ฟังแม้เพียงคาถาเดียว บาทเดียว ในการฟังต่อๆกันมา แล้วสะสมบุญที่มิอาจประมาณได้ นับมิได้ถึงเพียงนี้ 
 ดูก่อนอชิตะ เราจึงเรียกการสะสมบุญนั้น ของบุรุษคนที่ 50 นั้นว่า ประเสริฐกว่าจนประมาณมิได้ เลิศกว่าจนนับมิได้ 
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดาคนใด ปรารถนาจะฟังธรรมบรรยายนี้ พึงออกจากบ้านของตนแล้วไปสู่วิหาร ครั้นไปแล้ว พึงยืนหรือนั่ง ฟังธรรมบรรยายนี้ ในวิหารนั้นแม้เพียงครู่หนึ่ง ด้วยการสะสมบุญจำนวนมากนั้น ที่เขาได้กระทำและรวบรวมไว้ บุคคลนั้น เมื่อตายจากชาตินี้แล้ว จักได้รถเทียมโค รถเทียมม้า รถเทียมช้าง สีวิก(วอหรือเกี้ยว) ยานเที่ยมโคตัวเมีย ยานเทียมโคตัวผู้ และวิมานทิพย์ในชาติที่สอง อันเป็นการได้รับเฉพาะตน ครั้งที่สอง ถ้าหากว่าการฟังธรรมบรรยายนี้ เขาพึงนั่งลง แล้วฟังธรรมบรรยายนี้แม้เพียงครู่หนึ่ง หรือ ให้คนอื่นนั่ง หรือแบ่งที่นั่งให้บุคคลอื่น ด้วยการสะสมบุญนั้น เขาจักได้บัลลังก์ของท้าวสักกะ บัลลังก์ของพรหม และราชบัลลังก์ของพระเจ้าจักรพรรดิ 
 ดูก่อนอชิตะ ถ้ากุลบุตร หรือกุลธิดาคนใดพึงกล่าวกับบุรุษอื่นว่า ข้าแต่บุรุษผู้เจริญ ท่านจงมาเถิด จงฟังธรรมบรรยายชื่อสัทธรรมปุณฑรีกสูตร ถ้าบุรุษนั้นมาฟังธรรมมาตรว่า เพียงชั่วครู่หนึ่ง เพราะอาศัยการชักชวนของเขา ด้วยการชักชวนนั้น เขาย่อมได้ความร่วมใจกันพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ได้ธารณี เพราะกุศลมูลที่สะสมไว้แล้ว เขาไม่เป็นคนหดหู่ มีอินทรีย์กล้า มีปัญญา ปากของเขาไม่เป็นโรค ไม่มีโรค และไม่มีกลิ่น ตลอดร้อยพันชาติ ไม่มีโรคที่ลิ้น ไม่มีโรคที่ปาก ฟังไม่ดำ ไม่เก ไม่เหลือง ไม่ซ้อน ไม่ทู่ ไม่หัก ไม่งอ ปากไม่ห้อย ไม่หุบ ไม่ยื่น ไม่โค้ง ไม่ดำ และไม่น่าเกลียด จมูกไม่แฟบ ไม่เบี้ยว หน้าไม่ยื่น ไม่งอ ไม่ดำ มิใช่มิน่ารักและน่าดู ดูก่อนอชิตะ ลิ้นฟัง ริมฝีปากของเขา ช่างงดงามและเหมาะ จมูกโด่ง ใบหน้าละเอียดอ่อน คิ้วเหมาะสม หน้าผากอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมสวยงาม เป็นผู้ได้ลักษณะของบุรุษที่สมบูรณ์ทุกประการ เขาย่อมได้พระผู้มีพระภาคเป็นผู้สอนธรรม ย่อมได้ความใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้าในเร็วพลัน 
 ดูก่อนอชิตะ ท่านจงดูบุรุษนั้น ที่ชักชวนสัตว์เพียงคนเดียว สามารถเพิ่มบุญได้ถึงเพียงนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงบุคคลที่ฟัง ท่อง แสดง และประกาศธรรมด้วยความเคารพเล่า ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
2       บุรุษที่ 50 ได้ฟังพระสูตรนี้ต่อๆกันมา เพียงคาถาเดียว แล้วมีจิตยินดีอนุโมทนา ท่านจงฟังเถิดว่า บุญของเขามีมากมายเพียงใดในโลก
3       บุรุษผู้บริจาคทานแก่สัตว์หลายหมื่นโกฏิ ในโลกเป็นนิตย์ ที่เราได้เปรียบเทียบมาก่อนแล้ว เขาได้อุทิศทานนั้นให้แก่สัตว์ทั้งปวง ตลอด 80 ปี
4       เขาได้เห็นสัตว์เหล่านั้น ตั้งอยู่ในความชรา ผิวย่น ศีรษะขาว อะโห สัตว์เหล่านี้ ควรจะหลุดพ้น(จากภาวะนั้น ไฉนหนอ) เราพึงให้ธรรมโมวาทแก่พวกเขา
5       เขาย่อมสอนธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในโลกนี้ แล้วพึงประกาศนิพพานภูมิในภายหลัง เพราะความเป็นสัตว์ทั้งปวงนั้น เปรียบได้กับฟองน้ำและพยับแดด ฉะนั้น เขาจึงปล่อยวางในภพทั้งปวง
6       สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้น ครั้นได้ฟังธรรมอย่างใกล้ชิดจากบุรุษผู้ให้นั้น ได้กลายเป็นพระอรหันต์ สิ้นอาสวะ ดำรงร่างกายเป็นชาติสุดท้ายในโลกเพียงสมัยเดียว
7       บุญของบุคคลผู้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวต่อๆกันมา ย่อมมีมากกว่าผู้ให้ทาน เพราะบุญของผู้ให้ทาน ย่อมไม่ถึงเสี้ยวแห่งบุญของผู้ได้ฟังธรรมนั้น
8       บุญของบุคคลผู้ได้ฟังเพียงคาถาเดียวต่อๆกันมา มีมากถึงเพียงนี้ ไม่มีที่สิ้นสุด ประมาณไม่ได้ แล้ว
จะป่วยกล่าวไปไย ถึงบุญของผู้ได้ฟังธรรมต่อพระพักตร์(ของพระผู้มีพระภาคเล่า)
9       หากผู้ใดชักชวนอีกหนึ่งคน ให้เกิดความอุตสาหะว่า ท่านจงไปฟังธรรม เพราะว่า พระสูตรนี้เป็นสิ่งทีหาได้ยากยิ่ง ในหลายหมื่นโกฏิกัลป์
10     แม้ว่า บุคคลนั้น ได้ฟังพระสูตรนี้เพียงครู่หนึ่ง เพราะถูกชักชวน ท่านจงฟังผลแห่งธรรมนั้น เขาจะไม่มีโรคในปากเลย แม้ในกาลไหนๆ
11     แม้ในกาลไหนๆ เขาจะไม่มีโรคเกี่ยวกับลิ้น ฟัน(ของเขา) จะไม่หลุด ไม่ดำ ไม่เหลือง ไม่เก ริมฝีปากจะไม่น่าเกียจ
12     ใบหน้าของเขาจะไม่งอ ไม่แห้งกรอบ ไม่ยาว ไม่แบน จมูกจะตั้งอย่างเหมาะสม หน้าผาก ฟัน ริมฝีปาก และใบหน้าก็เหมาะสมเหมือนกัน
13     เขาจะเป็นที่รักและเป็นที่น่าสนใจของชนทั้งหลายในกาลทุกเมื่อ ในหน้าของเขาจะไม่บูดเบี้ยว แม้ในกาลไหนๆ กลิ่นปากของเขาจะฟุ้งไปด้วยความหอมดุจกลิ่นดอกบัว
14     บุคคลผู้ฉลาดออกจากบ้านไปสู่วิหาร เพื่อฟังพระสูตรนี้   ครั้นไปแล้วได้ฟังพระสูตรในวิหารนั้นครู่หนึ่ง ท่านทั้งหลาย จงตั้งใจฟังผลบุญของบุรุษผู้มีจิตเลื่อมใส นั้น
15     อาตมภาวะ(ร่างกาย) ของเขานั้น มีความสมบูรณ์เป็นเลิศ เขาผู้เป็นปราชญ์ ย่อมดำเนินไปด้วยรถเทียมม้า ได้ขึ้นสู่รถเทียมช้างที่สูง ประดับด้วยรัตนะทั้งหลาย แล้วจึงดำเนินไป
16     เขาพึงได้รับสีวิกาที่ประดับอย่างงดงาม มีคนจำนวนมากแบกหาม ผลที่งดงามถึงเพียงนี้ได้มีแก่เขา เพราะไปฟังธรรมนั่นเอง
17     เพราะกุศลกรรมที่เขากระทำนั้น เขาจึงได้นั่ง (ในท่ามกลาง) บริษัท ได้ครองบัลลังก์ท้าวสักกะ บัลลังก์พรหม และราชบัลลังก์ 
 บทที่17 อนุโมทนาปุณยนิรเทศปรวรรต ว่าด้วยการแสดงบุญจากการอนุโมทนา ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑริกสูตร อันประเสริฐ  มีเพียงเท่านี้