Translate

16 มีนาคม 2567

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๖ ปุณยบรรยายปริวรรต ว่าด้วยบุญบรรยาย

 
   เมื่อเรากำลังแสดงธรรมบรรยายชี้แจงประมาณอายุกาลของพระตถาคตอยู่นั้น ชื่อว่าได้กระทำประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย ที่ไม่สามารถประมาณนับได้ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกับพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เมื่อเราแสดงธรรมบรรยายชี้แจงประมาณอายุกาลของพระตถาคตอยู่นั้นความเพียรในธรรมที่ไม่เคยเกิดก็จะเกิดขึ้น แก่พระโพธิสัตว์ จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 68 แม่น้ำคงคา การเข้าถึงธารณี ได้มีแก่พระโพธิสัตว์ทั้งหลายจำนวนพันเท่า เพราะได้ฟังธรรมบรรยายนี้ 
 พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่นซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูในพันโลกธาตุ ทั้งได้เข้าถึงความงามที่ปราศจากหมู่คณะ การที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่นมีจำนวนมาก มีจำนวนเท่าธุลีปรมาณูในสองพันโลกธาตุ ได้รับธารณีที่เปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาร้อยพันหมื่นโกฏิ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูในสามพันโลกธาตุ เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ พึงยังวงล้อธรรมจักร ที่ไม่เคยหมุนกลับ ให้หมุนต่อไป พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น มีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูในมัธยมโลกธาตุ เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ พึงยังวงล้อธรรมจักรที่มีประกายบริสุทธิ์ให้หมุนไป พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูในโลกธาตุขนาดเล็ก เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน 8 ชาติ 
 พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูในโลกธาตุทั้ง 4 ที่มีใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน 4 ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูใน 3 โลกธาตุ ที่มีใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน 3 ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูใน 2 โลกธาตุ ที่มีใน 4 ทวีป เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมโพธิญาณใน 2 ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณูใน 1 โลกธาตุ ที่มีใน4 ทวีป เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ จะได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณใน 1 ชาติ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ซึ่งมีจำนวนเท่ากับธุลีปรมาณู 38 สหัสรมหาสหัสรโลกธาตุ เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ย่อมยังจิตให้เกิดขึ้นในอนุตตรสัมโพธิญาณ
 เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงแสดงการประดิษฐานในสมัยแห่งธรรมแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้นตามลำดับ ฝนคือดอกมณฑารพน้อยใหญ่ ได้โปรยลงจากท้องฟ้า นภากาศ จำนวนพระพุทธเจ้าร้อยพันหมื่นโกฏิ ในร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุ ที่มาแล้วเข้าไปประทับนั่งที่โคนต้นรัตนพฤก์ ฝนดอกไม้ ได้ปกคลุม ท่วมทับพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทุกพระองค์ ฝนดอกไม้เหล่านั้น ย่อมปกคลุม ท่วมทับพระผู้มีพระภาคศากยมุนี ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้มีพระภาคประภูรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้สงบเข้าไปสู่สิงหาสน์ แล้วฝนดอกไม้ย่อมปกคลุม ท่วมทับคณะของ พระโพธิสัตว์ทั้งปวง และบริษัททั้ง 4 เหล่านั้น ผลจันทน์และอครุ อันเป็นทิพย์ ได้โปรยลงจากท้องฟ้า เสียงอันไพเราะ ลึกซึ้ง จับใจ จากกลองใหญ่ที่ไม่เคลื่อนไหว ดังไปทั่วเวหาขนท้องฟ้าชั้นสูงสุด ผ้าทิพย์จำนวนร้อยพันคู่ ได้ตกลงมาจากท้องฟ้าชั้นสูงสุด มุกดาจำนวนหนึ่งกับครึ่งหนึ่ง (1.1/2) ของผู้ที่นำไป มณีรัตนและมหารัตนของผู้ทีนำไป ได้ห้อยอยู่ในทิศทั้งปวงโดยรอบ ในท้องฟ้านภากาศชั้นสูงสุด เมื่อรูปถึงความเป็นเลิศ นาฬิกาพันหนึ่งซึ่งทำจากรัตนะ ก็ตามไปโดยรอบตามภาวะของตน
 พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ได้ถือแถวรัตนฉัตรของพระตถาคตแต่ละองค์ บนท้องฟ้านภากาศจนถึงพรหมโลก โดยปริยายนี้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ได้ถือรัตนฉัตรแก่พระพุทธเจ้าเหล่านั้นจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ที่ประมาณมิได้ นับมิได้ บนท้องฟ้านภากาศจนถึงพรหมโลก พระโพธิสัตว์ทั้งหลายต่างพากันยกย่องพระตถาคตเหล่านั้น ด้วยการกล่าวคาถา สดุดีพระพุทธเจ้าตามความเป็นจริง 
          ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไม่เตรยะได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
1       พระธรรมที่พระตถาคตประกาศแล้ว เป็นธรรมที่น่าอัศจรรย์ยิ่ง พระธรรมเช่นนี้เราไม่เคยได้ฟังมาก่อน ฉะนั้น การประมาณความยิ่งใหญ่ และอายุของพระผู้นำว่า เป็นเช่นไรนั้น เป็นสิ่งที่ไม่สิ้นสุด
2       สัตว์หลายพันโกฏิและบุตรของพระผู้นำแห่งโลก เมื่อได้ฟังธรรมอย่างนี้ ในวันนี้ที่พระสุคตจำแนกอยู่เฉพาะหน้า พากันยินดีเบิกบานแล้ว
3       บางพวกได้ตั้งอยู่ในพระโพธิญาณอันประเสริฐโดยไม่หวนกลับ บางพวกได้ตั้งอยู่ในธารณีอันประเสริฐ บางพวกได้ตั้งอยู่ในความงามอันสงบ และในธารณีหลายพันโกฏิ
4       ชนเหล่าอื่น ดุจจำนวนเกษตรแห่งปรมณู ได้ตั้งอยู่ในพุทธญาณสูงสุด บางพวกเป็นผู้เห็นแจ้ง โดยไม่มีที่สิ้นสุด จักเป็นพระชินเจ้า โดยล่วงไปอีกแปดชาติเท่านั้น
5       บรรดาผู้ได้ฟังธรรมนี้ของพระผู้นำ จะเป็นผู้มองเห็นประโยชน์สูงสุด บางพวกจะบรรลุพระโพธิญาณ โดยกาลล่วงไปอีกสี่ชาติ บางพวกจะบรรลุพระโพธิญาณโดยกาลล่วงไปอีกสามชาติ ชนเหล่าอื่น จะบรรลุพระโพธิญาณโดยกาลล่วงไปอีกสองชาติ
6       ชนบางพวกดำรงอยู่เพียงชาติเดียวก็จักเข้าถึงพระโพธิญาณ ในระหว่างภพ การได้รับผลเช่นนี้ ย่อมไม่มีความทุกข์ เพราะได้ฟังอายุนี้ของพระผู้นำ
7       สัตว์จำนวนหลายโกฏิ จนประมาณไม่ได้ด้วยการนับ ดุจธุลีที่มีใน (พุทธ) เกษตรทั้งแปด เมื่อได้ฟังธรรมนี้แล้ว จักยังจิตให้เกิดขึ้นในพระโพธิญาณอันประเสริฐ
8       มหาฤษี ผู้ประกาศพุทธโพธิญาณ อันไม่มีที่สุด ไม่มีขอบเขต ประมาณมิได้ เหมือนอากาศธาตุ ได้กระทำกรรมเช่นนี้ไว้
9       เทวบุตรจำนวนมากหลายพันโกฏิ ท้าวสักกะและพรหม เปรียบได้กับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ที่มาประชุมกันจากหลายพัน (พุทธ) เกษตร ได้โปรยฝนดอกมณฑารพลงมา
10      เทวบุตรทั้งหลายเหล่านั้น เมื่อโปรยผงหอมไม้จันทน์และผงไม้หอมอื่นๆ ได้เที่ยวไปในอากาศเหมือนนก แล้วห้อมล้อมพระชินเจ้า ตามพิธีการ
11      บนท้องฟ้า กลองใหญ่สั่นเสียงไพเราะ โดยปราศจากผู้ตี ผ้าทิพย์หลายพันโกฏิได้ลอยหมุนมาตกแก่พระผู้นำทั้งหลาย
12      พันโกฏิมณฑลแห่งธูป ที่มีค่ามาก เพราะประดับด้วยรัตนะ ได้เลื่อนลอยไปโดยรอบตามความพอใจ เพื่อประโยชน์แก่การบูชาพระพุทธเจ้า ผู้เป็นอธิบดีแห่งโลก
13     พระโพธิสัตว์ผู้เป็นบัณฑิตทั้งหลาย ย่อมถือรัตนฉัตร อันสูงใหญ่ จำนวนหลายหมื่นโกฏิ ไม่มีที่สิ้นสุดที่ย้อยลงมาจากพรหมโลก
14     บุตรทั้งหลายของพระสุคต ผู้มีจิตร่าเริง ได้ชูธงที่พลิ้วไหวน่าดูยิ่งนัก แก่พระผู้นำแล้วสดุดีด้วยคาถาจำนวนหลายพัน
15     แต่พระผู้นำ ความประหลาดใจ อันน่าอัศจรรย์ และดีเลิศอย่างนี้ ย่อมปรากฏวิจิตรงดงามยิ่งในวันนี้ เพราะการแสดงประมาณพระอายุกาล (ของพระองค์) สัตว์ทั้งปวงเหล่านั้นได้รับความยินดียิ่งแล้ว
16     เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในวันนี้ ย่อมมีในสิบทิศ เสียงของพระผู้นำย่อมกึกก้องไปไกลสัตว์หลายพันโกฏิ ผู้ประกอบด้วยกุศล ต่างยินดีแล้ว เพื่อพระโพธิญาณ
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เมื่อมีการเทศนาธรรมบรรยายที่แสดงถึงประมาณอายุกาลของพระตถาคตนี้อยู่ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมถึงวิมุติ เพราะการยังจิตให้เกิดขึ้นครั้งเดียวได้ ความเป็นผู้มีศรัทธาที่สร้างไว้หรือ กุลบุตรเหล่านั้นมากเพียงใดก็ตามจงฟัง จงทำความดี และจงยกย่องในใจว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งหลาย ควรตระหนักถึงบุญ เราจะกล่าวถึงบุญตราบเท่าที่มีผู้สนใจอยู่
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดา คนใด ปรารถนาอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พึงประพฤติบารมีทั้ง 5 ตลอด 8 ร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ คือ ในทาน บารมี ศีลบารมี ขันติบารมี วิริยบารมี ฌานบารมี ยกเว้นปัญญาบารมี
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดาก็ตาม เมื่อได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ที่แสดงถึงประมาณอายุกาลของพระตถาคต เข้าถึงวิมุติ เพราะการยังจิตให้เกิดขึ้น เพียงครั้งเดียว หรือมีศรัทธา การสร้างบุญ สร้างกุศล และการประกอบบารมีทั้ง 5 ที่มีในกาลก่อนให้ถึงพร้อมด้วยร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ย่อมไม่ถึง1/100ของการสะสมบุญนั้น ย่อมไม่ถึง 1/1,000 1/10,000 1/1000,000 1/100,000,000 โกฏิ 1/10,000,000,000 ไม่อาจนับ คาดคะเน คำนวน อุปมาและเปรียบเทียบได้
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดา ผู้ประกอบด้วยการสะสมบุญถึงปานนี้ย่อมเป็นไปเพื่ออนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ เพราะเหตุนั้น ใครๆไม่ควรคำนึงถึงสถานะนี้ 
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
17      บุคคลผู้แสวงหาโพธิญาณนี้ ซึ่งเป็นพุทธญาณที่ประเสริฐที่สุด พึงเป็นผู้อยู่ในโลกนี้ เพื่อบำเพ็ญบารมีทั้ง ห้า
18     เขาควรให้ทานบูชาพระพุทธเจ้าและพระสาวกบ่อยๆ ตลอด แปดโกฏิพันกัลป์เต็มสมบูรณ์
19      เขาย่อมยังพระปัจเจกพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย จำนวนหลายโกฏิ ให้ยินดีด้วยขาทนียะ โภชนียะ ข้าว น้ำ ผ้า ที่นอน และที่นั่ง
20     เขาพึงสร้างกุฏิ (ที่อาศัย) วิหาร ที่ทำด้วยไม้จันทน์ และอารามอันน่ารื่นรมย์ ที่งดงามด้วยสถานที่เดินจงกรม
21     บุคคลพึงให้ทานชนิดต่างๆ จำนวนมากเช่นนี้ จนถึงโกฏิพันกัลป์ แล้วพึงน้อมจิตไปเพื่อพระโพธิญาณ
22     บุคคลพึงรักษาศีลให้บริสุทธิ์ ตามที่พระพุทธเจ้าพรรณนาไว้ ไม่ให้ด่างพร้อยตามที่สดุดีไว้ เพื่อเหตุแห่งพุทธญาณ
23     บุคคลพึงเจริญขันติบารมี ตั้งอยู่ในภูมิของผู้ฝึกฝนแล้ว มีความเพียร มีสติ พึงอดทนคำบริภาษเป็นอันมาก
24     สัตว์เหล่าใดมีความยึดมั่น ตั้งอยู่ในอธิมานะ เขาพึงอดทนคำครหาของสัตว์เหล่านั้น เพื่อเหตุแห่งพุทธญาณ
25     เขาเป็นผู้ขวนขวายเป็นนิตย์ มีความเพียร มีความพยายาม มีสติมั่นคง เป็นผู้ไม่มีความกังวลอื่นในใจตลอดโกฏิกัลป์
26     บุคคลผู้อยู่ป่า เดินขึ้นสู่ที่จงกรม เว้นจากความเกียจคร้าน ความง่วงนอน แล้วพึงเที่ยวไปตลอดโกฏิกัลป์
27     แม้เป็นปราชญ์ มหาปราชญ์ พอใจในสมาธิ มีจิตตั้งมั่น ดำรงอยู่ พึงเจริญภาวนาอย่างน้อย 8 พันโกฏิกัลป์
28     เขาเป็นผู้กล้า พึงปรารถนาพระโพธิญาณอันสูงสุด ด้วยสมาธินั้น เป็นผู้รู้สิ่งทั้งปวงว่า เป็นเรา จงเข้าถึงฌานบารมี
29     ธรรมเหล่าใดที่ได้รับการยกย่องในกาลก่อน ตลอดโกฏิพันกัลป์ บุญข่อมีเพราะปฏิบัติตามการกระทำนี้ของธรรมเหล่านั้น
30     สตรีหรือบุรุษใดก็ตามได้ฟัง (การบรรยาย) อายุกาลของเรา เกิดศรัทธาแม้เพียงครู่หนึ่ง บุญเช่นนี้ย่อมหาที่สุดมิได้
31     ผู้ละความสงสัย สละความคิดในใจ พึงหลุดพ้นได้แม้เพียงครู่หนึ่ง ผลของบุญนั้นย่อมเป็นเช่นนี้
32     พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ประพฤติ(ธรรม) คลอดโกฏิกัลป์ เมื่อได้ฟังว่า อายุกาลของเรายาวนายขึ้นไม่สามารถคำนวณได้ ก็ย่อมไม่ประหลาดใจ
33     พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ย่อมน้อมศีรษะลงด้วยหวังว่า ขอให้เราเป็นเช่นกับพระองค์คือ (สามารถ) ยังสัตว์จำนวนหลายโกฏิให้ข้ามถึงฝั่งได้ตลอดเวลา
34     พระศากยมุนี ผู้เป็นนาถะ ผู้เป็นสิงหะแห่งศากยวงศ์ ผู้เป็นมหามุนี เมื่อประทับนั่งที่โพธิมณฑล ได้เปล่งพระสุรสิงหนาทนี้
35     ในอนาคตกาล ขอให้ข้าพเจ้า ผู้เป็นมนุษย์ ที่ทำการสักการะทั้งปวง ได้นั่งที่โพธิมณฑลแล้วแสดงอายุกาลที่เป็นเช่นนี้บ้าง
36     ชนทั้งหลายผู้ถึงพร้อมด้วยอัธยาศัย และทรงสุตะ ย่อมเข้าใจอรรถกถาแห่งปิฏก พวกเข้าย่อมไม่มีความสงสัยใดๆ     
 ยังมีอีก อชิตะ ผู้ใดได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ที่แสดงประมาณอายุกาลของพระตถาคตพึงข้ามพ้น แทงตลอดและหยั่งรู้ ผู้นั้นพึงเพิ่มการสะสมบุญ ที่หยั่งลงสู่พุทธญาณ ได้มากจนมิอาจประมาณได้ จากการฟังธรรมบรรยายนี้ จะป่วยกล่าวไปไย ถึงบุคคลผู้ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ หรือให้คนอื่นได้ฟัง ท่อง จำ เขียน ให้เขียน หรือพึงรวบรวมเป็นเล่มหนังสือ พึงเคารพ นับถือบูชา หรือ สักการะ พึงเพิ่มบุญ สักการะ ให้มากกว่า ที่จะให้หยั่งลงสู่พุทธญาณ ด้วยดอกไม้ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตรและธงปฏาก หรือ ประทีปน้ำมัน ประทีปเที่ยนไข หรือประทีปน้ำมันหอม 
           ดูก่อนอชิตะ ในกาลใด กุลบุตรหรือกุลธิดา ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ ที่แสดงถึงประมาณอายุกาลของพระตถาคต ย่อมหลุดพ้นได้ตามอัธยาศัย ในกาลนั้น เขาพึงทราบลักษณะของอัธยาศัยดังนี้ เขาจักเห็นเรา ซึ่งอยู่บนภูเขาคิชกูฎ ที่กำลังแสดงอยู่ ซึ่งแวดล้อมไปด้วยคณะพระโพธิสัตวง์ ติดตามไปด้วยคณะพระโพธิสัตว์ อยู่ท่ามกลางพระสาวก เขาจักเห็นพุทธเกษตรนี้ ของเรา ซึ่งเป็นสหาโลกธาตุ ที่สำเร็จด้วยแก้วไพฑูรย์ เป็นทุ่งราบเรียบ ถูกตรึงด้วยสถานที่ทั้ง 8 ซึ่งเหมือนสายใยทองคำ อันวิจิตงดงามด้วยรัตนพฤกษ์ทั้งหลาย เขาจักเห็นพระโพธิสัตว์ทั้งหลาย ผู้ประทับอยู่บนกูฎาคารที่พัก
 ดูก่อนอชิตะ พึงทราบลักษณะอัธยาศัยของกุลบุตร กุลธิดา ผู้จะหลุดพ้นได้ด้วยอัธยาศัยอย่างนี้
 ยังมีอีก อชิตะ เราจะกล่าวกับกุลบุตรทั้งหลายเหล่านั้น ผู้หลุดพ้นแล้วตามอัธยาศัยเมื่อเขาได้ฟังธรรมบรรยายนี้ของพระตาถคตที่นิพพานแล้ว จักไม่ปฏิเสธและจักอนุโมทนายิ่งขึ้น จะป่วยกล่าวไปใย ถึงผู้ที่จดจำ และท่องจำอีกเล่า ผู้ใดได้รวบรวมธรรมบรรยายนี้ เข้าเป็นเล่มหนังสือ แล้วแบกไว้ ผู้นั้นได้ชื่อว่า ได้แบกพระตถาคตไว้เช่นกัน 
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น ไม่พึงสร้างสถูป ไม่พึงสร้างวิหาร ถวายเรา ไม่ถวายการปฏิบัติด้วยคิลานเภสัชแก่ภิกษุสงฆ์ เพราะเหตุไร 
 ดูก่อนอชิตะ เพราะเหตุว่า กุลบุตรและกุลธิดานั้น ได้ทำการบูชาสรีรธาตุของเรา และได้สร้างสถูปที่ประดับด้วยสัปตรัตนะ สูงถึงพรหมโลก มีส่วนอื่นคือฐาน ตามความเหมาะสม มีที่รองรับฉัตร มีธง เป็นที่น่ายินดีด้วยการลั่นของระฆัง ความทำสักการะต่างๆ แก่สถูปที่บรรจุสรีรธาตุ เหล่านั้น ด้วยดอกไม้ ธูป ของหอม มาลัย ผงเครื่องลูบไล้ จีวร ฉัตร ธงปฏาก และธงริ้วทั้งหลาย ที่เป็นของทิพย์ (เทพ) และของมนุษย์ชนิดต่างๆและควรทำสักการะสิ้นร้อยพันโกฏิกัลป์ มากจนประมาณมิได้ด้วย ด้วยเสียงที่ดังกึกก้องของบกรับ(ตาล) ดนตรี(วาทยะ) อันน่ากลัว (ภีรุ) ของกลองเล็กใหญ่ อันเป็นกลองสงครามที่รุนแรง เป็นเหตุให้ใจอ่อนไหวไปต่างๆ และด้วยกลุ่มนักร้อง นักรำ รวมทั้งนักระบำชนิดต่างๆ จำนวนมากจนมิอาจนับได้ 
 ดูก่อนอชิตะ เมื่อเรานิพพานแล้ว บุคคลผู้ท่องจำ เขียน และเผยแผ่ธรรมบรรยายนี้ ชื่อว่า ได้สร้างวิหารอันกว้างใหญ่ไพศาลทีเดียว เขาได้สร้างปราสาท (วิหาร) 32 หลังทำด้วยไม้จันทน์แดง สูง 8 ชั้น ให้เป็นที่อาศัยของภิกษุ 1000 รูป ปราสาทเหล่านั้น งดงามด้วยดอกไม้ในสวน สมบูรณ์ด้วยป่าเป็นที่เดินจงกรม ประกอบด้วยที่นอนและที่นั่ง สมบูรณ์ด้วยการปรุงขาทนียะโภชนียะ ข้าวน้ำและคิลานเภสัช ประดับด้วยเครื่องหอมเพื่อความสุขของทุกคน สัตว์เหล่านั้น มีจำนวนมาก จนประมาณมิได้ว่า เป็นร้อย เป็นพัน เป็นแสน เป็นโกฏิ เป็นร้อยโกฏิ เป็นพันโกฏิ เป็นแสนโกฏิ หรือเป็นร้อยพันหมื่นโกฏิ เขาเหล่านั้น ได้พยายามต่อหน้าสาวกของเรา และเราก็รู้ว่า เขาเป็นผู้ดื่มด่ำ(ในธรรม) แล้ว เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว ผู้ใดทรงจำ ท่อง แสดง เขียน หรือให้เขียน ซึ่งธรรมบรรยายนี้
 ดูก่อนอชิตะ โดยปริยายนี้ เราจึงกล่าวกับผู้นั้นว่า เมื่อเรานิพพานแล้ว บุคคลนั้นไม่ควรสร้างสถูปบรรจุพระธาตุ ไม่ควรทำสังฆบูชา
 ดูก่อนอชิตะ จะป่วยกล่าวไปไยถึงบุคคล ผู้ทรงจำธรรมบรรยายนี้ ที่ถึงพร้อมด้วยทาน ศีล ขันติ วิริยะ ฌาน หรือถึงพร้อมด้วยปัญญา กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น พึงสะสมบุญที่เป็นไปเพื่อพระโพธิญาณได้มากจนประมาณมิได้ นับมิได้ และไม่มีที่สิ้นสุด 
 ดูก่อนอชิตะ เช่นเดียวกับอากาศธาตุ อันไม่มีขอบเขตที่สิ้นสุด ในทิศตะวันออก ทิศใต้ ทิศตะวันตก ทิศเหนือ ทิศเบื้องบน ทิศเบื้องล่าง และทิศใหญ่ทั้งหลาย กุลบุตรหรือกุลธิดาใด พึงทรงจำ ท่อง แสดง เขียน หรือให้เขียน ซึ่งธรรมบรรยายนี้ กุลบุตรหรือกุลธิดานั้น พึงเพิ่มการสะสมบุญ ที่ประมาณมิได้ นับไม่ได้ อย่างนี้ที่เป็นไปเพื่อพระโพธิญาณ เขาได้ปฏิบัติเพื่อประโยชน์แก่การสักการะเจดีย์ของพระตถาคตแล้ว พึงกล่าวยกย่องสาวกของพระตถาคต พึงเผยแพร่คุณธรรมจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย และพึงประกาศแก่ผู้อื่น พึงถึงพร้อมด้วยขันติ ศีล มีกัลยาณธรรม มีความสามัคคี มีความอดทน มีทมะ และเป็นผู้ไม่โกรธเคือง ไม่อาฆาต มีใจมั่นคง ไม่มี
จิตคิดพยาบาท มีสติ มีพละ มีวิริยะ มีความหมั่นเพียร เป็นผู้มีสมาธิด้วยความปรารถนาพุทธธรรม เป็นผู้มุ่งไปในทางวิเวก เป็นผู้มากไปด้วยความวิเวก เป็นผู้ฉลาดในการแก้ปัญหา สามารถแก้ปัญหาได้จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ
 เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้วคุณประโยชน์ทั้งหลายเห็นปานนี้ ที่เราได้แยกแยะไว้ พึงมีแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ทรงจำธรรมบรรยายนี้
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้นั้น พึงทราบอย่างนี้ว่า กุลบุตรหรือกุลธิดาผู้นี้ ผู้ยืนอยู่ที่บริเวณต้นโพธิ์ ย่อมไปสู่โคนต้นโพธิ์ เพื่อตรัสรู้พระโพธิญาณ
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรหรือกุลธิดา ผุ้นั้น พึงยืน นั่ง หรือเดินจงกรมในที่ใด
 ดูก่อนอชิตะ ในที่นั้น ความสร้างเจดีย์เพื่ออุทิศพระตถาคต ชาวโลกและเทวดาพึงกล่าวถึงเจดีย์ นั้นว่า นี้คือสถูป (บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ) ของพระตถาคต 
  เวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
37      กองบุญที่ไม่มีขอบเขต ที่เราพรรณนาไว้ครั้งแล้ว ครั้งเล่านั้น จักมีแก่บุคคลผู้ทรงจำพระสูตรนี้ เมื่อพระผู้นำแห่งนรชนนิพพานแล้ว
38     เขาได้ทำการบูชาและสร้างสถูปบรรจุพระธาตุของเรา ที่สำเร็จด้วยรัตนะอันวิจิตรงดงามน่าทัศนายิ่ง
39     สูงเสมอพรหมโลก ประดับด้วยธงแถวทั้งหลาย มีความกว้างเป็นที่สุด มีความงามประดับด้วยธงริ้วทั้งหลาย
40     ระฆังที่เหมาะสม งดงามด้วยแถบผ้าแพร เมื่อถูกลมพัดจะมีเสียงดังกังวาล ย่อมงดงามเหมือนระฆังที่พระธาตุของพระชินเจ้า ฉะนั้น
41     เขาได้ทำการบูชาที่ยิ่งใหญ่แก่พระธาตุ ด้วยดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ดนตรี ผ้าและกลองบ่อยๆ
42     เขาได้ถวายการละเล่นด้วยตนตรี การขับร้องอันไพเราะ การจุดประทีปด้วยน้ำมันหอม โดยรอบที่พระธาตุเหล่านั้น
43     เมื่อถึงยุคเสื่อม บุคคลใดได้ทรงจำและแสดงพระสูตรนี้ บุคคลนั้น ชื่อว่า ได้กระทำการบูชาเช่นนี้มากมายแก่เรา
44     เขาได้สร้างวิหารอันดีเลิศ จำนวนหลายโกฏิ ปราสาท 32 หลัง สูง 8 ชั้น
45     มีห้องจำนวน 1,000 ประกอบด้วยที่นอน ที่นั่ง สมบูรณ์ด้วยขาทนียะ และโภชนียะ ที่จัดเป็นห้องหนึ่ง เพื่อนำไปสู่ห้องรวม
46     เขาได้ถวายอาราม ทางเดินจงกรม ที่งดงามไปด้วยสวนดอกไม้ และนาข้าวจำนวนมาก ที่วิจิตรไปด้วยรวงข้าวจำนวนมาก
47     บุคคลใดพึงทรงจำพระสูตรนี้ เมื่อพระผู้นำได้นิพพานไปแล้ว บุคคลนั้นชื่อว่า ได้กระทำการบูชาต่างๆแก่พระสงฆ์ต่อหน้าเรา
48     บุคคลที่ท่องและเขียนพระสูตรนี้ ย่อมได้บุญมากกว่า ผู้มีวิมุติเป็นแก่นสาร
49     บุคคลบางคนพึงให้คัดลอกศัพทศาสตร์ ไว้ในหนังสือ แล้วพึงบูชาหนังสือนั้น ด้วยของหอม มาลัย และเครื่องลูบไล้ทั้งหลาย
50     บุคคลพึงถวายประทีป ที่เต็มด้วยน้ำหอม ดอกบัวตามธรรมชาติที่บานแล้วและช่อดอกจำปา
51     บุคคลที่ได้ทำการบูชาเช่นนี้ ต่อหนังสือทั้งหลาย บุญจำนวนมากย่อมเพิ่มขึ้นจนไม่สามารถประมาณได้
52     อากาศธาตุในทิศทั้ง 10 มิสามารถประมาณได้ ฉันใด กองบุญที่เป็นเช่นนี้ ก็ไม่สามารถประเมินผลได้ ฉันนั้น
53     จะป่วยกล่าวไปไยถึงบุคคลผู้มีขันติ ทมะ สมาธิ ศีล การศึกษา และเจริญภาวนา
54     ผู้ไม่โกรธ ไม่โหดร้าย ตั้งอยู่ในความเคารพ อ่อนน้อมต่อภิกษุเป็นนิตย์ ไม่เย่อหยิ่ง ไม่หงอยเหงา
55     เป็นผู้มีความรู้ เป็นนักปราชญ์ เมื่อถูกถามปัญหาก็ไม่โกรธ เป็นผู้มีความเมตตา กรุณา ต่อสัตว์ทั้งหลาย ย่อมชี้แจงตามลำดับขั้นตอน
56     บุคคลใดพึงรักษาพระสูตรนี้ไว้ ก็ไม่สามารถประมาณกองบุญของบุคคลเช่นนี้ได้
57     ถ้าบุคคลได้พบเห็นบุคคลเช่นนี้ ซึ่งเป็นผู้สอนธรรม ทรงจำพระสูตรนี้ไว้ พึงทำความเคารพต่อบุคคลนั้น
58     บุคคลพึงบูชาด้วยดอกไม้ทิพย์ พึงถวายด้วยผ้าทิพย์ พึงน้อมศีรษะลงให้ความเคารพบาททั้งสองของเขา เพราะผู้นี้คือพระตถาคต ที่จะยังพระโพธิญาณให้เกิดขึ้น
59     เมื่อพบบุคคลเช่นนี้ จงคิดว่า ในกาลนั้น บุคคลผู้นี้กำลังเดินไปสู่โคนต้นไม้ จักตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ อันเป็นบรมสุข เพื่อประโยชน์เกื้อกูลต่อมนุษย์และเทวดา
60     พระมุนีผู้เป็นเช่นนี้ ผู้เป็นนักปราชญ์ จะเดิน ยืน นั่ง หรือนอน ในที่ใดก็ตาม จะกล่าวคาถาจากพระสูตรหนึ่ง
61     ในที่นั้น บุคคลพึงสร้างสถูปอันงดงาม และน่าทัศนา ของพระผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ เพื่ออุทิศพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระผู้นำและควรทำการบูชาอันวิจิตต่างๆ
62     แผ่นดินและประเทศนั้น เราเคยอาศัยมาแล้ว ที่นั่นเราเคยเดินมาแล้ว กุลบุตรนั้นสถิตอยู่ในที่ใด ที่นั้นเราก็เคยเข้าไปแล้ว 
 บทที่ 16 ปุณยบรรยายปริวรรต ว่าด้วยบุญบรรยาย ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑริกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๕ ตถาคตยุษประมาณปริวรรต ว่าด้วยประมาณอายุกาลของพระตถาคต

อิซึโมะไทฉะ
 
   ครั้งนั้น 
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะคณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายย่อมสามารถ ท่านทั้งหลายจงเชื่อพระวาจาที่เป็นจริงของพระตถาคต พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น
  เป็นครั้งที่ 2 ว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายจงวางใจเถิด ท่านทั้งหลายจงเชื่อพระวาจาที่เป็นจริง ของพระตถาคต พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้น
 เป็นครั้งที่ 3 ว่า ดูก่อนกุลบุตรของเรา ท่านทั้งหลายจงวางใจเถิด ท่านทั้งหลายจงเชื่อพระวาจาที่เป็นจริงของพระตถาคต
 ครั้งนั้น คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงที่ยืนอยู่หน้าพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้ประคองอัญชลี แล้วกราบทูลข้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ 
ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ได้กราบทูลข้อความนี่กะพระผู้มีพระภาค
 เป็นครั้งที่ 2 ว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต คณะของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง ได้กราบทูลข้อความนี่กะ
พระผู้มีพระภาค
 เป็นครั้งที่ 3 ว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงตรัสถึงเรื่องนี้ ขอพระสุคต จงตรัสเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลายจักเชื่อพระดำรัสของพระตถาคต พระผู้มีพระภาค ทรงพิจารณาคำทูลเชิญทั้งสามครั้งของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น แล้วตรัสกะพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งหลายจงฟัง การได้กำลังที่มั่นคงถึงปานนิ้ของเรา
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ชาวโลกรวมทั้งเทวดา มนุษย์และอสูร ย่อมรู้ว่า อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่พระผู้มีพระภาคตถาคตศากยมุนี เสด็จออกจากศากยุสกุล ไปสู่หลักชัยอันประเสริฐคือมณฑลแห่งโพธิพฤกษ์ ในมหานครคยา แล้วจึงได้ตรัสรู้ ท่านทั้งหลายไม่ควรมีความคิดเห็นอย่างนั้น
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณมาแล้ว เป็นเวลาร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย มีปรมาณูปฐวีธาตุ อยู่ใน 50 ร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุ บังเอิญ มีบุรุษคนหนึ่งหยิบปรมาณูไปหนึ่งธุลี เดินทางไปในทิศตะวันออก สิ้นร้อยพันจนนับไม่ถ้วน ใน 50 โลกธาตุ แล้ว จึงวางปรมาณูหนึ่งธุลีนั้นลงโดยปริยายนี้ บุรุษนั้น พึงทำโลกธาตุทั้งปวงนั้น ให้ปราศจากปฐวีธาตุ สิ้นร้อนพันหมื่นโกฏิกัลป์ เขาพึงทิ้งละอองปรมาณูในปฐวีธาตุทั้งปวงเหล่านั้น ในทิศตะวันออก โดปริยายนี้ และโดยการทิ้งเป็นแสนครั้งอย่างนี้
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายคิดว่า เรื่องนี้เป็นอย่างไรใครๆสามารถคิด คำนวณ ตวง หรือประมาณโลกธาตุเหล่านั้นได้หรือ? 
 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ คณะของพระโพธิสัตว์ และกลุ่มของพระโพธิสัตว์ทั้งปวงนั้นได้ กราบทูลข้อความนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โลกธาตุเหล่านั้น ไม่สามารถนับได้ ไม่สามารถคำนวณได้ ย่อมสุดวิสัยของความคิด ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้พระสาวกและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งปวง ก็ไม่อาจคิด คำนวณ ชั่ง กำหนดนับ ด้วยวิชาอันเลิศได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โคจรแห่งจิตในฐานะนี้ จะไม่หวนกลับมา แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ดำรงอยู่ในภูมิที่ไม่เปลี่ยนแปลง ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โลกธาตุเหล่านั้น ไม่สามารถประมาณได้
 ครั้นตรัสอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้นว่า ดูก่อนกุลบุตร เราจะบอกแก่ท่านทั้งหลาย เราจะประกาศแก่ท่านทั้งหลาย
 ดูก่อนกุลบุตร โลกธาตุมีประมาณเท่าใด บุรุษนั้น ได้วางธุลีปรมาณูในโลกธาตุจำนวนเท่านั้น และไม่ได้วางไว้ในโลกธาตุเท่าใด ธุลีปรมาณูมีประมาณเท่านั้น ย่อมไม่มีในร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุทั้งหมดนั้นที่เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ตลอดร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตั้งแต่นั้นมา เราจะแสดงธรรมแก่สัตว์ทั้งหลายในสหาโลกธาตุนี้ และร้อยพันหมื่นโกฏิโลกธาตุอื่นๆ
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่าอื่นที่เรายกย่อง อย่างเช่น พระตถาคตทีปังกร เป็นต้น การนิพพานที่สมบูรณ์ของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น เราจึงสร้างขุมทรัพย์คือการแสดงธรรมด้วยกุศโลบาย 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราพิจารณาถึงอินทรีย์ กำลัง และความเป็นผู้เยาว์ ของสัตว์ทั้งหลายที่มาแล้วๆจึงให้ชื่อเฉพาะตนไว้ในสัตว์เหล่านั้น ตถาคตย่อมประทานการนิพพานไว้เฉพาะในสัตว์นั้นๆ ยังสัตว์ทั้งหลายให้ยินดี ด้วยธรรมบรรยายสูตรต่างๆ
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตย่อมกล่าวแก่สัตว์ทั้งหลายผู้หลุดพ้นแล้วด้วยวิธีการต่างๆ ผู้มีกุศลมูลน้อย ผู้มีกิเลสมาก อย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย (เรา) ได้ออกจากวงศ์ตระกูลตั้งแต่ยังหนุ่ม  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้ไม่นาน
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตได้ตรัสรู้มาแล้ว เป็นเวลานาน แต่ประกาศอย่างนี้ว่า เราได้ตรัสรู้มาไม่นาน ดังนี้ พระองค์นำไปเพื่อประโยชน์แก่การอบรมสัตว์ทั้งหลาย พระองค์จึงตรัส
ธรรมบรรยายนี้ เพื่อประโยชน์แก่การบูชา
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตได้ตรัสธรรมบรรยายนี้ เพื่อประโยชน์ในความเป็นระเบียบของสัตว์ทั้งหลาย ด้วยการแสดงตนหรือแสดงผู้อื่น ด้วยการอาศัยตนหรืออาศัยผู้อื่น พระตถาคตประกาศธรรมบรรยายใดๆ ธรรมบรรยายเหล่านั้นทั้งหมด ที่พระตถาคตตรัสแล้วย่อมเป็นจริง วาทะที่เป็นเท็จของพระตถาคตนั้นย่อมไม่มี ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร เป็นเพราะว่า ไตรโลกธาตุที่พระตถาคตทรงเห็นแล้วนั้นล้วนเป็นจริง มัน (ไตรโลกธาตุ) ไม่เกิด ไม่ตาย ไม่ตกไป ไม่ผุดขึ้น ไม่เวียนว่าย ไม่ดับ ไม่เป็น ไม่เป็นหามิได้ ไม่มี ไมมีหามิได้ ไม่เป็นอย่างนั้น ไม่เป็นอย่างนั้นหามิได้ ไม่เป็นภาพลวงตา ไม่เป็นภาพลวงตาหามิได้ พระตถาคตไม่มองโลกธาตุ เหมือนที่ประชาชนคนพาล คนโง่มองธรรมที่ประจักษ์ทั้งหลาย เป็นธรรมที่ไม่มีการปิดบัง ในสถานะของพระตถาคต พระตถาคตตรัสคำใด คำนั้นทั้งหมดย่อมเป็นจริง ไม่ผิด ไม่เปลี่ยนแปลง พระตถาคตทรงประกาศธรรมบรรยายที่ต่างกัน ด้วยภูมิฐานที่ต่างกัน เพื่อประโยชน์คือการก่อให้เกิดกุศลมูล แก่สัตว์ทั้งหลายที่มีความประพฤติต่างกัน มีความปรารถนาต่างกัน มีความรู้ ความไม่รู้ และการปฏิบัติที่ต่างกัน 
ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เพราะว่า พระตถาคต ย่อมกระทำการสิ่งที่พระตถาคตควรกระทำเท่านั้น พระตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว สิ้นกาลนาน มีพระชนมายุไม่กำหนด ทรงดำรงอยู่ตลอดกาล พระตถาคตยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ย่อมแสดงถึงนิพพาน ด้วยอำนาจ (การศึกษา) ของพระสาวก
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย แม้ในขณะนี้ เรายังไม่ทำพรหมจรรย์ของพระโพธิสัตว์ ที่มีอยู่ในอดีตให้สมบูรณ์ ประมาณอายุของเราก็ยังไม่เต็ม
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย แม้ในวันนี้ เราจักมีอายุอีกสองเท่าของร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ จากการที่อายุของเรายังไม่เต็มบริบูรณ์
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย บัดนี้ เรายังไม่ปรินิพพาน แต่จักประกาศการปรินิพพาน เพราะเหตุไร?
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย โดยปริยายนี้ เราจักยังสัตว์ทั้งหลายให้ถึงพร้อมว่าสัตว์ทั้งหลายผู้ไม่ได้สร้างกุศลมูล ผู้งดเว้นจากการทำกุศล เป็นผู้ทุกข์ยาก มีความโลภในกามคุณ เป็นผู้มืดบอด ถูกครอบงำด้วยตาข่ายแห่งทิฏฐิ ทราบว่า พระตถาคตยังดำรงอยู่ แล้วปฏิบัติพระโพธิญาณเพื่อความสนุกสนาน ไม่ยังพระโพธิญาณที่ได้โดยยากนั้น ให้เกิดขึ้น ด้วยคิดว่า เราอยู่ใกล้ชิดพระตถาคตแล้ว เขาทั้งหลายจึงไม่ปรารถนาความเพียร เพื่อสลัดออกจากโลกธาตุทั้งสาม ไม่ยังความรู้ที่ได้โดยยากจากพระตถาคตให้เกิดขึ้น
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ตถาคตจึงประกาศถ้อยคำด้วยกุศโลบายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การเกิดขึ้นของพระตถาคต แก่สัตว์ทั้งหลายนั้นเป็นสิ่งที่ยากยิ่ง ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร? เป็นเพราะว่า การที่สัตว์ทั้งหลายได้พบพระตถาคตนั้น ต้องใช้เวลาหลายร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ หรืออจาไม่ได้พบเลย ได้ยินว่า เราได้แสดงสิ่งที่เกิดขึ้นครั้งแรกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พระตถาคตทั้งหลาย มีภาวะที่เกิดขึ้นยากและหาได้ยากพวกเขารู้ว่า ความเป็นพระตถาคตนั้น เป็นสิ่งที่ได้โดยยาก และเป็นภาวะที่ยากยิ่งกว่าประมาณการมาก จึงยังความอัศจรรย์ใจให้เกิดขึ้น ทั้งเกิดความรู้สึกโศกเศร้าเสียใจขึ้น กุศลมูลทำให้เกิดจิตที่อิงอาศัยพระตถาคตของพวกเขา เป็นไปเพื่อความปรารถนา เพื่อประโยชน์และความสุขตลอดกาลนาน พระตถาคตที่ยังไม่ปรินิพพาน ได้เห็นประโยชน์นี้ จึงประกาศการปรินิพพาน เพื่อให้เกิดความปรารถนาต่อการศึกษาของสัตว์ทั้งหลาย
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย นี่คือธรรมบรรยายที่พระตถาคตประกาศ ในกรณีนี้ พระตถาคตจึงตรัสถูกต้องแล้ว
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย มีบุรุษแพทย์คนหนึ่ง เป็นบัณฑิต เป็นนักปราชญ์ มีปัญญาเป็นผู้ฉลาดในการวิเคราะห์โลกทั้งปวง เขา
มีบุตรจำนวนมาก 10 คน หรือ 20 คนหรือ 30 คน หรือ 40 คน หรือ 50 คน หรือ 100 คนก็ตาม เมื่อแพทย์คนนี้ไปสู่ถิ่นอื่น บุตรทั้งปวงของเขาถูกโรคร้ายหรือโรคธรรมดาก็ตามเบียดเบียน พิษธรรมดา หรือพิษร้ายนั้น ทำให้พวกเขาประสบทุกขเวทนาอย่างรวดเร็วยิ่ง เมื่อพิษร้ายกำเริบ พวกเขาก็นอนกลิ้งไปมาบนพื้นดิน
 ครั้งนั้น เมื่อนายแพทย์ผู้เป็นบิดาของพวกเขากลับมาจากต่างถิ่น บุตรเหล่านั้นของเขา กำลังเจ็บปวดทุกขเวทนาเพราะพิษร้ายนั้น บุตรบางคนมีความเข้าใจผิด บางคนก็เข้าใจถูกต้อง บุตรเหล่านั้นทั้งหมดที่ประสบทุกข์ เพราะพิษร้าย ครั้นได้เห็นบิดาก็พากันยินดี และกล่าวว่า ข้าแต่บิดาท่านผู้มาแล้วด้วยความสุขสวัสดิ์ จงพิจารณาเถิด ขอท่านจงยังพวกเราให้พ้นจากภยันตรายนี้จะเป็นพิษธรรมดาหรือพิษร้ายก็ตาม ข้าแต่บิดา ขอท่านจงไว้ชีวิตแก่พวกเรา 
 ครั้งนั้น เมื่อนายแพทย์นั้นได้เห็นบุตรมีความทุกขเวทนากำเริบนอนกลิ้งไปมาบนพื้นดิน จึงเตรียมหาเภสัชประกอบด้วยสี กลิ่น รส บดบนแท่งศิลา เพื่อให้บุตรดื่ม ได้กล่าวกับบุตรเหล่านั้นว่า 
 ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงดื่มมหาเภสัชนี้ อันประกอบด้วยสี กลิ่น และรส
 ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย ครั้นดื่มมหาเภสัชนี้แล้ว จักหายจากพิษร้ายนี้ โดยเร็วทีเดียว ท่านทั้งหลายจักดำรองอยู่ด้วยดีและไม่มีโรค บุตรเหล่าใดของนายแพทย์นั้น มีความเข้าใจดี พวกเขาได้เห็นสี ดมกลิ่น และลิ้มรสของยา จักหายจากโรคโดยเร็ว บุตรเหล่านั้นทั้งหมด เมื่อดื่มอยู่ก็จะหายจากโรคนี้โดยสิ้นเชิง ส่วนบุตรเหล่าใดของนายแพทย์นั้น เข้าใจผิด พวกเขายินดีกับบิดาแล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ข้าแต่บิดา ท่านกลับมาด้วยความสุขสวัสดี จงดูเถิด ขอท่านจงรักษาพวกเราทั้งหลาย พวกเขากล่าวอย่างนี้ แล้วไม่ดื่มยาที่เตรียมมานั้น ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร?
  เป็นเพราะว่าเภสัชที่เตรียมมานั้น ไม่เป็นที่น่าพอใจแก่บุตรเหล่านั้น ทั้งสี กลิ่น และรส เนื่องจากความเข้าใจผิด ครั้งนั้น นายแพทย์จึงคิดว่า บุตรของเรา เข้าใจผิดเรื่องพิษหรือพิษร้ายนี้ พวกเขาจึงไม่ดื่มมหาเภสัชนี้ และไม่ยินดีกับเรา เราจักยังบุตรเหล่านี้ให้ดื่มเภสัชด้วยกุศโลบาย แพทย์คนนั้น ปรารถนาให้บุตรทั้งหลายเหล่านี้ ดื่มเภสัชด้วยอุบายจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราเป็นผู้ชรา แก่ เฒ่าแล้ว การทำกาลกิริยา ก็ปรากฏใกล้เข้ามาแล้ว
 ดูก่อนบุตรทั้งหลาย ขอท่านทั้งหลาย จงอย่าโศกเศร้าอย่างเสียใจ เราได้เตรียมมหาเภสัชนี้ไว้แก่ท่านทั้งหลายแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายปรารถนา ท่านจงดื่มเภสัชเถิด เมื่อนายแพทย์สอนบุตรเหล่านั้นด้วยอุบายอย่างนี้ แล้วไปสู่ชนบท และประเทศอื่นๆ ครั้นไปแล้ว ยังบุตรที่ป่วยอยู่ให้เข้าใจว่า ตนตายไปแล้ว บุตรเหล่านั้น เศร้าโศก คร่ำครวญอย่างยิ่งในสมัยนั้นว่า บิดาผู้เป็นที่พึ่ง เป็นผู้ให้กำเนิด เป็นผู้อนุเคราะห์เรา ได้ตายไปแล้ว บัดนี้ เราทั้งหลาย จะเป็นอยู่โดยไม่มีที่พึ่ง บุตรเหล่านั้นพิจารณาเห็นว่า คนเป็นผู้อนาถา เพื่อพิจารณาเห็นว่า ตนไม่มีที่พึ่งบ่อยๆ ก็เป็นผู้มีความทุกข์ เศร้าโศก ความเข้าใจผิดถูกก็จะเกิดขึ้นแก่บุตรเหล่านั้น เพราะมีความทุกข์โศกเศร้าบ่อยๆ พวกเขายอมรับรู้เภสัชที่ปรุงด้วย สี กลิ่นและรสนั้น
 ในสมัยนั้น พวกเขาจะยอมรับเอาเภสัชนั้น เมื่อพวกเขารับเภสัชไปอยู่ก็จักหายจากอาพาธนั้น ขณะนั้นแพทย์นั้นทราบว่า บุตรเหล่านั้นหาจากอาพาธ จึงปรากฏตนอีกครั้ง ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เธอย่อมเข้าใจว่าเหตุนั้น เป็นอย่างไร? เมื่อนายแพทย์ใช้กุศโลยายนั้น ใครๆไม่ควรโจทย์ด้วยถ้อยคำที่เป็นเท็จ (กุลบุตรทั้งหลาย) กล่าวว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค มิใช่อย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต มิใช่อย่างนั้น
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เป็นอย่างนั้น เราได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณนี้ สิ้นร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ที่ประมาณมิได้ ที่นับไม่ได้ ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย เราแสดงกุศโลบายอย่างนี้ แก่สัตว์ทั้งหลาย เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาอย่างต่อเนื่อง การกล่าวเท็จใดๆ จึงไม่มีแก่เรา ผู้ดำรงอยู่ในสถานะนั้น ในเวลานั้น
 พระผู้มีพระภาค เพื่อแสดงเรื่องที่เป็นประโยชน์ด้วยมาตราจำนวนมาก จึงได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้
1       ประมาณกาลแห่งพระโพธิญาณที่เราได้บรรลุแล้ว ไม่อาจทราบได้ด้วยจำนวนตลอดพันโกฏิกัลป์ เราก็ยังแสดงธรรมคือพระโพธิญาณอันประเสริฐนั้น ตลอดกาลเป็นนิตย์
2      เรายังพระโพธิสัตว์ทั้งหลายให้ดื่มด่ำ แล้วให้ตั้งอยู่ในพระโพธิญาณ ได้อบรมสัตว์จำนวนหลายหมื่นโกฏิ มิใช่น้อย ตลอดหลายโกฏิกัลป์
3      เราได้แสดงนิรวาณภูมิ แล้วกล่าวถึงอุบาย เพื่อประโยชน์แก่การศึกษาของสัตว์ทั้งหลาย ในกาลนั้น เรายังไม่นิพพาน ยังแสดงธรรมอยู่ในที่นี้
4      เราปกครองตนเองและสัตว์ทั้งหลาย ส่วนชนทั้งหลาย ผู้รู้ผิด เป็นผู้โง่เขลา เป็นผู้ไม่เห็นเรา ย่อมดำรงอยู่ในที่นั้น
5      ชนเหล่านั้นเห็นอาตมภาวะของเราว่า นิพพานแล้ว ย่อมกระทำการบูชาต่างๆในพระธาตุ ย่อมมองไม่เห็นเรา ย่อมยังความปรารถนาให้เกิดขึ้น ต่อจากนั้น จิตอันสุจริตของเขาก็จะเกิดขึ้น
6      สัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น เป็นผู้สุจริต นุ่มนวล อ่อนโยน เป็นผู้สละความใคร่แล้ว ต่อแต่นั้น เราได้รวบรวมหมู่สาวก แล้วแสดงตนบนภูเขาคิชฌกูฎ
7      ภายหลังเราจึงกล่าวแก่พวกเขาอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรายังไม่นิพพานในสถานที่นี้ มันเป็นกุศโลบายของเราเท่านั้น เพราะเราเกิดในชีวโลกนี้บ่อยๆ
8       เราเมื่อสัตว์เหล่าอื่นสักการะบูชา จึงได้แสดงพระโพธิญาณอันประเสริฐของเราแก่พวกเขา แต่ท่านทั้งหลายยัง
ไม่ได้ฟังคำของเรา นอกจากพระโลกนาถจะนิพพานไปเท่านั้น
9       เราเห็นสัตว์ทั้งหลายเป็นผู้ฆ่า จึงไม่แสดงอาตมาภาวะนั้น เมื่อสัตว์ปรารถนาจะพบเรา เราจึงแสดงพระสัทธรรมแก่สัตว์ผุ้ปรารถนาเหล่านั้น
10      ความตั้งใจมั่นของเราเป็นเช่นนี้ ทุกเมื่อ ตลอดพันโกฏิกัลป์ จนนับไม่ได้ เรา
ไม่เคยไปจากภูเขาคิชกูฎนี้ เพื่ออยู่อาศัยในที่อื่น เป็นเวลาหลายโกฏิกัลป์
11     สัตว์ทั้งหลายที่เห็นโลกธาตุนี้แล้ว ย่อมสำคัญว่า มันกำลังถูกเผาไหม้อยู่ เมื่อนั้นพุทธเกษตรนี้ของเรา ย่อมเต็มไปด้วยเทวดาและมนุษย์
12      พวกเขามีการละเล่น มีความเพลิดเพลิน สิ่งสวยงามวิจิตร มีอุทยาน ปราสาทและวิมานหลายโกฏิ ล้วนประดับด้วยภูเขารัตนมณี และต้นไม้ที่สมบูรณ์ด้วยดอกและผล
13     เทวดาในเบื้องบน ประโคมดนตรี โปรยเมล็ดฝนคือดอกมณฑาระ จนปกคลุมเราพระสาวก และพระมุนีเหล่าอื่น ผู้ตรงอยู่ในพระโพธิญาณ
14      พุทธเกษตรนี้ของเรา ซึ่งตั้งอยู่อย่างนี้ในกาลทุกเมื่อ ชนเหล่าอื่นย่อมสำคัญว่า มันกำลังถูกเผาไม้อยู่ ย่อ
มองเห็นโลกธาตุว่า น่ากลัว ลำบาก เต็มไปด้วยความทุกข์โศกหลายร้อยชนิด
15      ชนทั้งหลายที่ยังไม่ได้ยินชื่อของเราผู้เป็นตถาคต ตลอดหลายโกฏิกัลป์ ทั้งยังไม่ได้ฟังชื่อของพระธรรมและพระสงฆ์ของเรา ที่เป็นอย่างนี้ เพราะผลของกรรม
16      สัตว์ทั้งหลาย ผู้นุ่มนวล อ่อนโยน จะเกิดขึ้นในมนุษย์โลกนี้ ครั้นเกิดขึ้นแล้ว จะเห็นเราที่กำลังแสดงธรรมอยู่ เพราะกุศลกรรม(ของพวกเรา)
17     เราจะไม่กล่าวถึงการกระทำ ที่ยิ่งไปกว่าคำที่เป็นจริง แก่ชนเหล่านั้นในกาลไหนๆ เพราะเหตุนั้น เราผู้ประจักษ์ จึงดำรงอยู่ตลอดกาลนาน เราจึงกล่าวว่าพระชินเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ที่หาได้ยาก
18     ความงามแห่งประภาที่เป็นเช่นนี้ และไม่มีที่สุด เนื่องจากพลังแห่งปัญญาของเรา และเราอายุยาวนาน ไม่กำหนดกาลกัลป์ เพราะประพฤติพรหมจรรย์ในอดีตกาล
19     ดูก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอย่าก่อความสงสัยในเรื่องนี้ ท่านจงละความสงสัยทั้งหมดเสีย อย่าให้เหลือ เรา
ได้กล่าววาจาที่เป็นจริงนี้แล้ว ถ้อยคำของเราไม่เคยเป็นเท็จในกาลไหนๆ
20      จริงอยู่นายแพทย์นั้น ได้ศึกษาในอุบาย เพราะเหตุแห่งบุตรผู้เข้าใจผิด จึงกล่าวว่า คนที่มีชีวิตนั้นตายเสียแล้ว ผุ้มีความรู้ ไม่ควรตำหนินายแพทย์ ด้วยความเข้าใจผิด
21      เราผู้เป็นบิดาแห่งโลก เป็นพระสยัมภู เป็นนายแพทย์ เป็นที่พึ่งของประชาชนทั้งปวง เป็นผู้ยังไม่สิ้นธุระ รู้ว่า ชนทั้งหลายเข้าใจผิด หลงงมงายและโง่เขลา จึงแสดงการสิ้นธุระ
22      อะไรเป็นเหตุแห่งการปรากฏบ่อยๆของเรา เมื่อชนทั้งหลายไม่มีศรัทธา ไม่ฉลาด โง่ ลุ่มหลง และ
มัวเมาในกามคุณ ย่อมถึงทุคติ เพราะเหตุแห่งความประมาทนั้น
23      เราทราบความประพฤติ(ของชนทั้งปวง) ตลอดกาลเป็นนิตย์ จึงกล่าวแก่สัตว์ทั้งหลายว่า เราเป็นอย่างนั้น อย่างนั้น ด้วยคิดว่า จะนำผู้นี้เข้าไปในพระโพธิญาณได้อย่างไร ชนเหล่านั้นจะรับพุทธธรรมได้อย่างไร
 บทที่ 15 ตถาคตยุษประมาณปริวรรต ว่าด้วยประมาณอายุกาลของพระตถาคต ในธรรมบรรยาย สัทธธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ  มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๔ โพธิสัตวปฤถิวีวิวรสมุทคมปริวรรต ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน

 
   บรรดาพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลายผู้มาจากโลกธาตุอื่น  สมัยนั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้ง 8 ได้ผุดขึ้นจากมณฑลของบริษัทนั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ประคองอัญชลี เฉพาะเบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาค นมัสการพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตแก่พวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประกาศ อ่าน เขียน และบูชาธรรมบรรยายนี้ในสหาโลกธาตุ เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์เพียรพยายามในธรรมบรรยายนี้ เป็นการดีที่พระผู้มีพระภาค ทรงอนุญาตธรรมบรรยายนี้ แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
 ขณะนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระโพธิสัตว์เหล่านั้นว่า พอละ กุลบุตรทั้งหลาย ประโยชน์อะไรกับการกระทำเช่นนี้ แก่ท่านทั้งหลาย 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ในสหาโลกธาตุ เรามีพระโพธิสัตว์หมายพันองค์ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายใน 60 คงคานที เป็นบริวารของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น พระโพธิสัตว์หลายพันองค์ มีจำนวนเท่ากันเมล็ดทรายใน 60 คงคานที พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ก็มีบริวารเท่านี้เช่นกัน ในกาลสมัยหลัง เมื่อเราปรินิพพานแล้ว พระโพธิสัตว์เหล่านั้น จักรักษา ท่อง และประกาศธรรมบรรยายนี้ ครั้นพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ สหาโลกธาตุนี้ ได้แยกกว้างออกโดยรอบ พระโพธิสัตว์หลายร้อยพันหมื่นโกฏิ มีผิวกายดุจทองคำ ประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ 32 ประการ ผุดขึ้นจากรอยแยกเหล่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่านั้น อยู่ในโลกธาตุภายใต้พื้นพิภพนี้
 ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์เหล่านั้น อาศัยโลกธาตุนี้ เมื่อได้ฟังพระสุรเสียงเห็นปานนี้ของพระผู้มีพระภาค จึงได้ลุกจากภายใต้พื้น
พิภพ พระโพธิสัตว์แต่ละองค์ มีพระโพธิสัตว์เท่าจำนวนเมล็ดทรายใน 60 คงคานที เป็นบริวาร เป็นคณะ เป็นมหาคณะ และเป็นคณาจารย์ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีคณะ มหาคณะ และคณาจารย์เหล่านั้น ที่ผุดขึ้นจากรอยแยกของธรณีแห่งโลกธาตุนี้
 ยังมีพระโพธิสัตว์อีกจำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิเท่ากับเมล็ดทรายใน 60 คงคานที จะป่วยกล่าวไปไย ถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 50 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 40 คงคานที เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไย ถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 30 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 20 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไย ถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 10 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน5,4,3,และ2 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 1 หรือ 2 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่พระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทรายใน 1 หรือ 2 คงคานที เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ที่มีพระโพธิสัตว์เท่าเมล็ดทราย
ใน 1/4, 1/6, 1/8, 1/10, 1/20, 1/30, 1/40, 1/50, 1/100, 1/1,000, 1/1,0000, 1/1,000,000, 1/100,000,000, 1/1,000,000,000, 1/100,000 *100,000, 1/100,000*10,000*10,0000 คงคานทีเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีพระโพธิสัตว์จำนวนมากถึงแสนหมื่นโกฏิเป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารหนึ่งโกฏิ จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวนแสนจะป่วยกล่าวไปใยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวนพัน จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวนห้าร้อย จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวน 400 ,300, 200, จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวน100 จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่มีบริวารจำนวน 50 ฯลฯ
 จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้มีพระโพธิสัตว์จำนวน 40,30,20,10,4,3,และ2 เป็นบริวาร จะป่วยกล่าวไปไยถึง
พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้มีตนเป็นที่สอง (มีบริวาร 1 องค์) จะป่วยกล่าวไปไยถึงพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ผู้อยู่องค์เดียว ไม่มีบริวาร ไม่อาจจะนับ คำนวณ และอุปมาพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ที่ผุดขึ้นจากรอยแยกของธรณีในสหาโลกธาตุนี้ได้ พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ที่ผุดขึ้นมาตามลำดับ ได้เข้าไปสู่มหารัตนสถูป ที่ตั้งอยู่บนท้องฟ้า ซึ่งเป็นที่พระประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปรินิพพานแล้ว ประทับอยู่(พระองค์) ประทับนั่งบนสิงหาสน์ร่วมกับพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้ถวายอภิวาทพระบาทของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ และรูปของพระตถาคตทั้งหลายอันเป็นนิมิตแทนองค์ทั้งปวงของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคต ผู้เข้าสู่สิงหาสน์ที่โคนต้นรัตนพฤกษ์ต่างๆ ที่อยู่ในโลกธาตุเหล่าอื่นทั้ง 10 ทิศโดยรอบ
 เมื่อถวายบังคม นมัสการพระตถาคตทั้งปวง เป็นแสนครั้งมิใช่น้อย ได้กระทำประทักษิณพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สดุดีด้วยบทสรรเสริญพระโพธิสัตว์ต่างๆ แล้วนั่งอยู่ในที่สุดข้างหนึ่ง พระโพธิสัตว์เหล่านั้นได้ประคองอัญชลี กระทำนมัสการ พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระผู้มีพระภาคประภูตรัตนตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าต่อหน้าพระพักตร์ 
  สมัยนั้น ตลอดเวลา 50 กัลป์ผ่านไป ที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพ และนมัสการพระตถาคต สดุดีด้วยบทสรรเสริญพระโพธิสัตว์ด้วยประการต่างๆ ในระหว่าง 50 กัลป์นั้น พระผู้มีพระภาคศากยมุนี ตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ประทับโดยดุษฎี บริษัท 5 เหล่านั้นได้หยั่งลงสู่การดุษฎีโดยภาวะ ตลอด 50 กัลป์ ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ได้สร้างรูปอย่างนั้นขึ้น ด้วยจินตนาการแห่งฤทธิ์ ต่อมาบริษัททั้ง4 ยังแต่ละรูปที่ตนภักดีให้เกิดขึ้น เพราะรูปนั้นได้สมบูรณ์ด้วยจินตนาการแห่งฤทธิ์ (บริษัท 4) ได้เห็นสหาโลกธาตุนี้ที่มีรูปเป็นอากาศธาตุจำนวนแสน ที่เต็มไปด้วยพระโพธิสัตว์ ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ 4 องค์ คือ 
พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า วิศิษฏจาริตระ 
พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า อนันตจาริตระ 
พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า วิศุทธจาริตระ และ
พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า สุประติษฐิจาริตระ
 ได้เป็นประมุขคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และกลุ่มของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 องค์นั้น ได้
เป็นประมุขคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และกลุ่มของพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมาก ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ได้ยืนอยู่หน้าคณะของพระโพธิสัตว์จำนวนมาก และหน้ากลุ่มพระโพธิสัตว์อีกจำนวนมาก ได้ประคองอัญชลีต่อเบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า อาพาธเพียงเล็กน้อย ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลีย และผัสสะ ความเป็นของพระผู้มีพระภาคเป็นอย่างไรบ้าง?
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค สัตว์ทั้งหลาย มีอาการดี เชื่อฟัง มีวินัย และมีความสุขดีอยู่หรือ? ขอสัตว์เหล่านั้น จงอย่าสร้างความทุกข์ให้แก่พระผู้มีพระภาคเลย พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
1 ข้าแต่พระโลกนาถ ผู้สร้างแสงสว่าง พระองค์ทรงเป็นอยู่ด้วยความสุขหรือพระองค์เป็นผู้พ้นแล้วจากการอาพาธ ผัสสะในพระวรกายของพระองค์ไม่มีความทุกข์หรือ?
2 สัตว์เหล่านั้น เป็นผู้มีอาการดี มีวินัย และสบายใจดี จงอย่างทำความทุกข์แก่พระโลกนาถ ผู้ตรัสดีแล้ว
 ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ผู้เป็นประมุขของคณะพระโพธิสัตว์คณะใหญ่ และของกลุ่มพระโพธิสัตว์กลุ่มใหญ่นั้นว่า เป็นเช่นนั้นกุลบุตรทั้งหลาย เป็นเช่นนั้น เราอาพาธเล็กน้อย มีความเหน็ดเหนื่อยบ้าง แต่ร่างกายและความเป็นอยู่สบายดี สัตว์เหล่านั้นก็เหมือนกัน มีอาการดี เชื่อฟัง มีวินัย ชำระใจบริสุทธิ์ สัตว์เหล่านั้น เมื่ออบรมอยู่ก็ไม่สร้างความทุกข์ให้แก่เรา ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร?
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลายเพราะเหตุว่าสัตว์เหล่านั้น มีบริกรรมที่ได้กระทำแล้ว ในพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต เพราะว่าจากการได้เห็น จากการได้ฟัง พวกเขาจะหลุดพ้นก้าวลงสู่และเข้าถึง พุทธญาณของเรา สัตว์เหล่าใดได้ปฏิบัติในสาวกภูมิ หรือปัจเจกพุทธภูมิ เราจะยังสัตว์เหล่านั้นให้หยั่งลงสู่พุทธญาณและได้สดับประโยชน์สูงสุด ในเวลานั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กล่าวคาถาเหล่านี้ว่า
3 ดีละ ดีละ พระมหาวีระ ข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมยินดีที่ว่า สัตว์เหล่านั้น เป็นอยู่ปกติดี มีวินัย จิตใจบริสุทธิ์
4 ข้าแต่พระนายกะ พวกเขาทั้งหลาย ญาณอันลึกซึ้งนี้ ของพระองค์ ข้าแต่พระนายกะ พวกเขาครั้นได้ฟังแล้ว ย่อมหลุดพ้น ก้าวลงสู่ (พระโพธิญาณ)
 เมื่อกล่าวดังนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคได้ให้สาธุการแก่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้ง 4 ผู้เป็นประมุขของคณะพระโพธิสัตว์คณะใหญ่นั้น และผู้เป็นประมุขของพระโพธิสัตว์กลุ่มใหญ่ว่า ดีละ ดีละ กุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายย่อมยินดีกับพระตถาคต
 ได้ยินว่า สมัยนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระโพธิสัตว์จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ซึ่งเปรียบได้กับเมล็ดทรายในคงคานทีทั้ง 8 ได้เกิดความคิดขึ้นว่า คณะใหญ่และกลุ่มใหญ่ของพระโพธิสัตว์นี้ เราไม่เคยเห็นเลย เราไม่เคยได้ยินว่า พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพ ยืนอยู่เบื้องหน้าของพระผู้มีพระภาค ทำสักการะ เคารพ นับถือ บูชา พระตถาคต และยินดีกับพระตถาคต พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น มาจากที่ใดหนอ? พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ทรงทราบการสนทนาที่สงสัยกันด้วยพระองค์เอง ทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตด้วยจิตของพระโพธิสัตว์จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา ในเวลานั้นเอง จึงประคองอัญชลี แล้วกราบทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยบทเพลงเป็นคาถาว่า
5 พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย มีจำนวนหลายพันหมื่นโกฏิ ไม่มีที่สิ้นสุด ข้าแต่พระองค์ผู้ประเสริฐกว่ามนุษย์ ขอพระองค์ทรงเล่าถึงพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ซึ่งไม่เคยมีมาก่อน แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด
6 ผู้มีฤทธิ์มากเหล่านี้ มาจากไหน อย่างไร โดยรูปมหาอาตมภาวะ มาจากที่ไหน?
7 พระมหามุนีเหล่านี้ เป็นผู้มีปัญญา มีสติ มีรูปเป็นที่ชื่นชมด้วยความรัก ทั้งปวงมาจากที่ไหน? 
8 ข้าแต่พระผู้เป็นใหญ่ในโลก บริวารของพระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดแต่ละองค์ ประมาณมิได้ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา
9 บริวารทั้งหมดของพระโพธิสัตว์มียศสมบูรณ์ทั้งหกสิบ มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำ คงคาทั้งหกสิบ เป็นผู้ดำรองอยู่ในพระโพธิญาณ
10 บริวารเห็นปานนี้ของพระโพธิสัตว์ เป็นผู้กล้าหาญ มีบริษัท 4 จำนวนประมาณเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคาทั้ง 60
11 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีมากกว่านี้ พร้อมกับริวารติดตาม มีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา50, 40,30
12 บริวารโดยรอบของพระโพธิสัตว์ มีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 20 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่นมีบริวารมากกว่านั้นคือมีจำนวนเท่ากับเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 10 และ 5 
13 ข้าแต่พระนายกะ บริวารของพระโพธิสัตว์ ผู้เป็นพุทธบุตรแต่ละองค์ มีจำนวนมากในวันนี้ บริษัทที่มีจำนวนเท่านี้ มาจากไหน? 
14 บริวารทั้งหลายผู้เป็นศิษย์ ที่ติดตามของพระโพธิสัตว์แต่ละองค์ มีจำนวนเท่เมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา สี่บ้าง สามบ้าง สองบ้าง 
15 ยิ่งกว่านั้น พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น ซึ่งมีจำนวนมากกว่า จนนับไม่ถ้วน ไม่สามารถจะเปรียบเทียบได้ ในพันโกฏิกัลป์
16 บริวารของพระโพธิสัตว์ผู้กล้าหาญ ผู้ป้องกันรักษามีจำนวนเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา 1/2, 1/3, 1/10, และ1/20
17 นอกจากนั้น บรรดาพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ยังมีพระโพธิสัตว์อื่นอีกจำนวนมากที่ผู้อยู่แต่ละองค์ ไม่สามารถจะทรายได้โดยการประมาณด้วยร้อยโกฏิแห่งกัลป์
18 นอกจากนั้น พระโพธิสัตว์เหล่าอื่นอีกจำนวนมาก พร้อมกับบริวารติดตามจำนวนโกฏิโกฏิกับครึ่งโกฏิ
19 พระโพธิสัตว์เหล่าอื่น เกินกว่าที่จะนับของมหาฤษีจำนวนมาก เป็นผู้มีปัญญาตั้งมั่น ทั้งหมดควรแก่ความเคารพ
20 บริวารจำนวนพัน จำนวนร้อย และจำนวนสิบ ของพระโพธิสัตว์เหล่านั้น ไม่สามารถจะนับได้ด้วยร้อยโกฏิกัลป์
21 ส่วนบริวารของผู้กล้าทั้งหลาย มีจำนวน 20 ,10, 5,4,3,2 จนไม่สามารถจะทราบได้ด้วยการนับ
22 ส่วนผู้มีตนผู้เดียวเที่ยวไป และคนหนึ่งๆย่อมต้องการความสงบ ไม่สามารถจะนับชนเหล่านั้น ผู้มาในที่นี้ได้
23 แม้บุคคลผู้มีสลากในมือ ก็ไม่สามารจะนับพระโพธิสัตว์เหล่านั้นให้จบสิ้นได้ ตลอดเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคา
24 กำเนิดของพระโพธิสัตว์ ผู้กล้า ผู้มีตนเป็นใหญ่ ผู้มีความเพียร และผู้ป้องกันรักษา เหล่านี้ทั้งหมด มาจากที่ไหน?
25 ใครเป็นผู้แสดงธรรมแก่เขา ใครให้เขาตั้งอยู่ในพระโพธิญาณ เขาพอใจคำสอนของใคร และเขาดำรงรักษาคำสอนของใคร? 
26 พระมุนีทั้งหลาย ผู้มีฤทธิ์ มีปัญญามาก ผู้ฉลาด ได้ทำลายพื้นพิภพทั้งหมดทั้ง 4 ทิศโดยรอบ ผุดขึ้นมาแล้ว
27 ข้าแต่พระมุนี โลกธาตุนี้ ที่พระโพธิสัตว์ผู้ฉลาดทั้งหลายเหล่านั้น ผุดขึ้นมา ทำให้เป็นรอยแตกโดยรอบ
28 บางครั้งเหตุการณ์เหล่านี้ ข้าพระองค์ทั้งหลายไม่เคยเห็น ข้าแต่พระวินายกะ ขอพระองค์จงบอกชื่อโลกธาตุนี้แก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย
29 ข้าพระองค์ทั้งหลาย ได้เที่ยวไปสู่ทิศน้อยใหญ่ครั้งแล้วครั้งเล่า ตั้งแต่กาลไหนๆ ข้าพระองค์ไม่เคยพบพระโพธิสัตว์เหล่านี้
30 ใครเป็นบุตรของพระองค์ ที่ข้าพระองค์ไม่เคยเห็นมาก่อน วันนี้ ข้าพระองค์ได้เห็นพระโพธิสัตว์เหล่านี้โดยพลัน ข้าแต่พระมุนี ขอพระองค์จงเล่าเรื่องนี้ด้วยเถิด 
31 พระโพธิสัตว์ทั้งหมดหลายพันร้อยหมื่นต่างประหลาดใจ มองดูพระผู้ประเสริฐเหนือมนุษย์ 
32 ข้าแต่พระมหาวีระ ที่หาผู้เสมอเหมือนมิได้ ผู้ทรงคุณธรรม ของพระองค์จงอธิบาย ให้แจ่มแจ้งด้วยว่า พระโพธิสัตว์ผุ้กล้า(ฉลาด) ทั้งหลายเหล่านี้ มาจากไหน? 
 ก็โดยสมัยนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จำนวนร้อยพันหมื่นโกฏิ ผู้มาจากโลกธาตุอื่น ซึ่งเป็นรูปนิมิตของพระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคต ที่แสดงธรรมแก่สัตว์ในโลกธาตุอื่นอยู่ เข้าไปนั่งสามาธิที่มหารัตนสิงหาสน์ โคนต้นรัตนพฤกษ์จากทิศทั้ง 8 โดยรอบของพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และอุปัฎฐากของตนๆของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น ได้เห็นคณะพระโพธิสัตว์และกลุ่มพระโพธิสัตว์จำนวนมาก ทีผุดขึ้นจากรอยแยกของพื้นพิภพโดยรอบ แล้วสถิตอยู่ในอากาศธาตุ ได้ถึงความประหลาดใจ ได้ตามพระตถาคตของคนๆว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระโพธิสัตว์มหาสัตว์มากมายเพียงนี้ ประมาณมิได้ นับมิได้ ย่อมมาจากที่ไหน?
 เมื่อได้ยินดังนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จึงได้ตรัสกับอปัฏฐากของตนๆว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงรอสักครู่ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์นามว่า พระไมเตรยนี้ ได้รับการพยากรณ์ไว้ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในอนาคต จากพระผู้มีพระภาคศากยมุนี เขาจะถามข้อความนี้กับพระผู้มีพระภาคศากยมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า และ
พระผู้มีพระภาคศากมุนีตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจักพยากรณ์ ท่านทั้งหลายจงฟังในขณะนั้นเถิด ครั้งนั้น
 พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดีละ ดีละ อชิตะ ดูก่อนอชิตะ ขอท่านจงอย่างถามเรื่องที่ลึกซึ้งอย่างนั้น
 พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกับพระโพธิสัตว์ทั้งปวงว่า ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น ท่านทั้งปวงจงตั้งใจ จงนั่งตามสบาย มีกำลังที่แข็งแรง ทั้งหมดนี้คือคณะของพระโพธิสัตว์
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า จักประกาศการค้นพบพระโพธิญาณของพระตถาคต ที่พระองค์ทรงบรรลุแล้ว รวมทั้งความทุกข์ กรรม ความร่าเริง ความหงอยเหงา และความกล้าหาญของพระตถาคต
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
33 ดูก่อนกุลบุตร ท่านทั้งปวงจงตั้งใจ เราจะกล่าววาจาอันไม่เปลี่ยนแปลงนี้ ดูก่อนบัณฑิตทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอย่างทะเลาะกันเลย เพราะพระโพธิญาณของของพระตถาคตเป็นอจินไตย
34 ท่านทั้งปวงเป็นผู้มีปัญญา มีสติตั้งมั่นเสมอ มั่นคงในทุกสถาน ทันนี้ท่านจักได้ฟังธรรมที่ยังไม่เคยได้ฟังมาก่อน ซึ่งเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของพระตถาคตทั้งหลาย
35 ท่านทั้งปวงจงอย่างสร้างความสงสัยขึ้นมาเลย เพราะเราจะให้ท่านดำรงอยู่อย่างมั่นคง เราเป็นผู้นำ เป็นผู้มีวาจาที่ไม่เปลี่ยนแปลง ความรู้ของเราไม่สามารถจะนับได้
36 ธรรมทั้งหลายเป็นสิ่งลึกซึ้ง ที่พระสุคตได้ตรัสรู้แล้ว เป็นธรรมที่อยู่เหนือเหตุผลและประมาณการไม่ได้ วันนี้ เราประกาศธรรมนั้น ขอท่านทั้งหลายจงฟังว่าธรรมนั้นเป็นอย่างไร
 เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาเหล่านี้แล้ว ได้ตรัสกาบพระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ว่า ดูก่อนอชิตะ เราพอใจท่าน เรารู้ ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์เหล่านี้ ประมาณไม่ได้ นับไม่ได้จินตการไม่ได้ เปรียบเทียบไม่ได้ คำนวณไม่ได้ ที่ท่านไม่เคยเห็นมาก่อน ได้ก้าวขึ้นมาจาก รอยแยกของพื้นพิภพ
 ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งปวงเหล่านี้ ได้ตรัสรู้อนุตตรสัมาสัมโพธิญาณ ในสหโลกธาตุนี้ เราเป็นผู้รบเร้าให้พลัง ให้เกิดความพอใจ ให้น้อมไปในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ กุลบุตรเหล่านี้ เราเป็นผู้อบรม ให้ตั้งอยู่ ให้เข้าถึง ให้ตั้งมั่น ให้หยั่งลง ให้รู้แจ้ง และ ให้บริสุทธิ์ในธรรมของพระโพธิสัตว์นี้ 
 ดูก่อนอชิตะ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ย่อมอาศัยอยู่บนกลุ่มอากาศภายใต้สหาโลกธาตุนี้ กุลบุตรเหล่านี้เป็นผู้คิดและกำหนดใจทบทวนบทเรียนของตน ไม่ยินดีกับการคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีกับการสมาคม ไม่ละทิ้งหน้าที่ของตน ปรารภความเพียรอย่างยิ่งยวด 
 ดูก่อนอชิตะ กุลบุตรเหล่านี้ยินดีในความวิเวกยินดีในความสงบ กุลบุตรเหล่านี้ ไม่ยินดีในการสมาคม ย่อมไม่อยู่ในที่อาศัยของเทวดาและมนุษย์ กุลบุตรเหล่านี้ พอใจยินดีในธรรม จำกัดตนไว้ในพุทธญาณเท่านั้น
 ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
37 พระโพธิสัตว์เหล่านี้ เปรียบเทียบมิได้ คำนวณมิได้ ประมาณมิได้ เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยฤทธิ์ ปัญญา และศรุตะ ปฏิบัติเพื่อพระโพธิญาณอยู่หลายโกฏิกัลป์
38 เราได้อบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้เพื่อพระโพธิญาณ พระโพธิสัตว์หล่านี้ได้อาศัยอยู่ในพุทธเกษตรของเรา เรา
ได้อบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้ทั้งหมด เพราะพระโพธิสัตว์เหล่านี้เป็นบุตรของเรา
39 พระโพธิสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยธุดงควัตร ย่อมหลีกเลี่ยงพื้นที่ของสังคมบุตรของเราเหล่านี้ ไม่จาริกไปกับหมู่คณะ ติดตามศึกษาวินัย (ความประพฤติ) อันสูงสุดของเรา
40 ผู้กล้าเหล่านี้อาศัยอยู่ที่ส่วนหนึ่งของอากาศธาตุ เที่ยวไปภายใต้พุทธเกษตรเพื่อบรรลุพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ จึงไม่ประมาท พยายามทั้งกลางวันและกลางคืน
41 พระโพธิสัตว์ทั้งปวง เป็นผู้ปรารภความเพียร มีสติ มีพลังแห่งปัญญา ตั้งมั่นในสิ่งที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ พวกเธอ
เป็นผู้มีปัญญา ย่อมแสดงธรรม เพราะว่าพวกเธอทั้งหมด เป็นผู้งดงามด้วนแสงสว่างและเป็นบุตรของเรา
42 เราผู้บรรลุโพธิญาณอันประเสริฐนี้ ที่โคนต้นไม้แห่งเมืองคยา ได้หมุนธรรมจักรอันประเสริฐ แล้วอบรมพวกเธอทั้งหมดไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้
43 คำพูดของเรานี้ไม่คลาดเคลื่อน ท่านทั้งปวงจงฟังและจงเชื่อเราเถิด เราเองได้อบรมท่านทั้งปวงไว้ในพระโพธิญาณอันประเสริฐ ซึ่งเราได้บรรลุมานานแล้ว
 ขณะนั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ และพระโพธิสัตว์อีกจำนวนวนมาก หลายร้อยพันหมื่นโกฏิได้ถึงความอัศจรรย์ ประหลาดใจ สงสัยอยู่ว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เล่านี้มีจำนวนนับไม่ได้ พระผู้มีพระภาคอบรมให้ถึงพร้อมในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยการอยู่เพียงครู่หนึ่ง ซึ่งเป็นเวลาเพียงเล็กน้อย ได้อย่างไร? ครั้งนั้น
 พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไมเตรยะ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กาลนี้เป็นอย่างไร?
 เมื่อพระตถาคตยังเป็นพระกุมาร ได้ออกจานครศากยะ เมืองกบิลพัสดุ์ ไปสู่หลักชัยอันประเสริฐคือโคนต้นโพธิ์ไกลจากนครคยา แล้วได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค กาลนั้นในวันนี้ ได้ล่วงเลยมา 40 กว่าปีแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อนั้นเป็นอย่างไร หน้าที่ของพระตถาคตที่กำหนดนับไม่ได้นี้ พระตถาคตทำสำเร็จได้ด้วยเวลาเพียงเท่านี้ ควรเป็น
ผู้นำและความกล้าหาญของพระตถาคต พระตถาคตได้แสดงออกแล้ว ข้าแต่พระผู้มีพระภาคคณะของพระโพธิสัตว์มีประมาณเท่านี้ กลุ่มของพระโพธิสัตว์ก็มีประมาณเท่านั้น พระตถาคตอบรมให้พร้อมตั้งอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยเวลาเพียงเล็กน้อยได้อย่างไร?
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ที่สุดแห่งการนับคณะของพระโพธิสัตว์และกลุ่มของพระโพธิสัตว์นี้ ด้วยร้อยพันหมื่นโกฏิกัลป์ ย่อมไม่ได้ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เมื่อพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้ ที่ประมาณมิได้อย่างนี้ ได้ประพฤติพรหมจรรย์มาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถจะนับได้ มีกุศลมูลที่ถึงความเป็นเลิศ ในสำนักของพระพุทธเจ้าจำนวนมาก หลายร้อยพันองค์ ได้ถึงพร้อมแล้วในหลายร้อยพันกัลป์ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค บุรุษบางคนเพิ่งเข้าสู่วัยหนุ่ม มีเส้นผมดำอยู่ในวัยที่หนึ่ง ถือกำเนิดได้เพียง 25 ปี เขาแสดงบุตรอายุ 100 ปี (ของเขา) กล่าวว่า กุลบุตรเหล่านี้คือ บุตรของเรา บุรุษทั้งหลายทีมีอายุ 100 ปี เหล่านั้นกล่าวว่า ผู้นี้คือบิดาผู้ให้กำเนิดของเรา
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค คำพูดของบุรุษนั้น เป็นสิงที่ไม่น่าเชื่อถือ ยากที่ชาวโลกเชื่อถือได้ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณไม่นานนี้เอง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้มีจำนวนมากจนประมาณมิได้ ประพฤติพรหมจรรย์จนแตกฉาน ตลอดหลายร้อยพันโกฏิกัลป์ เป็นผู้เข้าถึงกาลบริกรรมในมหาอภิญญา เป็นผู้ทำการบริกรรมในมหาอภิญญา เป็นบัณฑิตในพุทธภูมิเป็นผู้ฉลาดในบทเพลงแห่งธรรมของพระตถาคต เป็นผู้มีพลังอันน่าอัศจรรย์ เป็นผู้ถึงความตั้งมั่นแห่งพลังความเพียร อันยิ่งใหญ่ของชาวโลก พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับกุลบุตรเหล่านั้นว่า ตั้งแต่ต้น พระโพธิสัตว์เหล่านี้ เราได้ให้ถึงพร้อม มีอำนาจ ให้การอบรมจนน้อมลงสู่โพธิสัตว์ภูมินี้การเข้าถึงความเพียงทั้งปวงนี้ เราผู้บรรลุอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ได้กระทำสำเร็จแล้วข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักถึงคำสอนของพระตถาคตด้วยศรัทธาได้อย่างไรว่า พระดำรัสของพระตถาคตย่อมไม่เปลี่ยนแปลง พระตถาคตพึงยังประโยชน์นี้ให้เกิดเถิด
 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ได้ยินว่า พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ทั้งหลาย ผู้ดำรงอยู่ในยานใหม่ๆย่อมยังความสงสัยให้เกิดขึ้น ในสถานะนั้น เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ผู้ฟังธรรมบรรยายนี้แล้ว จักไม่ยอมรับ ไม่เชื่อ และไม่เลื่อมใส ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ชนเหล่านั้น จักมาเพื่อเปลี่ยนแปลงพิธีกรรม ที่เป็นไปเพื่อละทิ้งธรรม ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ดีละ ขอพระองค์ทรงชี้แจงเรื่องนี้ด้วยเถิด ข้าพระองค์ทั้งหลาย พึงอยู่ในธรรมวินัยนี้ด้วยความไม่สงสัย ในอนาคตกาล กุลบุตรหรือกุลธิดาทั้งหลาย ผู้อยู่ในโพธิสัตวยานจะไม่เกิดความสงสัย
 ในเวลานั้น พระไมเตรยโพธิสัตว์มหาสัตว์ ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
44 ท่านประสูติที่เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นศากยะ ได้ออกบวชจนท่านบรรลุพระพิญาณ ที่เมืองคยา ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เหตุนี้เกิดขึ้นไม่นานนี้เอง
45 ข้าแต่พระอารยะ ชนผู้เป็นบัณฑิตจำนวนมาก เป็นคณะใหญ่ ประพฤติธรรมมาแล้วชั่วโกฏิกัลป์ ตั้งมั่นในพลังแห่งฤทธิ์ ไม่หวั่นไหว ศึกษาดีแล้ว เป็นผู้ถึงคติในพลังแห่งปัญญา
46 เขาเหล่านั้นเป็นผู้ไม่เปรอะเปื้อน เหมือนที่ไม่เปื้อนด้วยน้ำ ได้ทำลายพื้นพิภพผุดขึ้นมาในวันนี้ ทั้งหมดเป็นผู้มีสติ ที่ยืนประคองอัญชลี ด้วยความเคารพนั้นคือบุตรของพระโลกาธิบดี
47 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จักเชื่อเรื่องอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ได้อย่างไรของพระองค์ทรงตรัสถึงเหตุ เพื่อทำลายความสงสัยนั้น คือขอพระองค์ทรงแสดงเรื่องที่เป็นจริงนั้นเอง
48 เชื่อเรื่องเด็กหนุ่มมีผมดำ มีอายุเกิน 20 ปี ที่แสดงถึงบุตรมีอายุ 100 ปีนั้น
49 ชนเหล่านั้น มีผิวหนังเหี่ยวย่น ผมหงอก พึงกล่าวว่า ชายหนุ่มผู้นี้เป็นผู้สร้างร่างกายแก่พวกเรา ข้าแต่พระโลกนาถ ข้อนั้นเป็นสิ่งที่เชื่อได้ยากยิ่งว่า ชายหนุ่มนั้นมีบุตรมากมายุถึงเพียงนี้ 
50 ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พวกข้าพระองค์ไม่มั่นใจว่า พระโพธิสัตว์จำนวนมากเหล่านี้ ซึ่งเป็นผู้มีความรู้ มีสติ มีปัญญา เป็นบัณฑิต มีการศึกษาดีในพันโกฏิกัลป์ 
51 เป็นผู้มีสติ มีปัญญา เป็นผู้ฉลาด น่าเลื่อมใส น่าทัศนา เป็นผู้กล้าหาญในการวินิจฉัยธรรม เป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาค (พระผู้นำแห่งโลก)ได้สรรเสริญแล้ว
52 เป็นผู้ไม่สู่สังคม เป็นผู้อยู่ในป่า ไม่อาศัยอยู่ต่อเนื่องในอากาศธาตุ ผู้เป็นบุตรของพระตถาคต ผู้ปรารถนาพุทธภูมินี้ จึงยังความเพียรให้เกิดขึ้น
53 เรื่องนี้จะพึงเชื่อได้อย่างไร ในเมื่อพระผู้เป็นที่พึ่งของโลกได้ปรินิพพานแล้ว ความสงสัยย่อมไม่มีแก่ข้าพระองค์ทั้งหลาย หากพวกข้าพระองค์ได้ฟังจากพระโอษฐ์ของพระโลกนาถ 
54 พระโพธิสัตว์ทั้งหลายผู้มีความสงสัย ในประเด็นนี้ ไม่พึงไปสู่ทุคติ ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์ทรงกระทำความจริงให้ปรากฏว่า พระองค์ทรงอบรมพระโพธิสัตว์เหล่านี้อย่างไร
 บทที่ 14 โพธิสัตวปฤถิวีวิวรสมุทคมปริวรรต ว่าด้วยพระโพธิสัตว์ผุดขึ้นจากรอยแยกของแผ่นดิน ในธรรมบรรยาย
 สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ มีเพียงเท่านี้

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๓ สุขวิหารปริวรรต ว่าด้วยธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข

อิซึโมะไทฉะ
 
     ได้ยินว่า ครั้งนั้น พระมัญชุศรีกุมารภูตะได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เป็นสิ่งที่กระทำได้ยากยิ่ง ที่พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านี้  จะประกาศในกาลสมัยสุดท้าย ได้อย่างไร" 
             เมื่อ พระมัญชุศรีกราบทูลอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคจึงได้ตรัสกับพระมัญชุศรีกุมารภูตะว่า ดูก่อนมัญชุศรี ธรรมบรรยายนี้อันพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ตั้งอยู่ในธรรมทั้ง 4 พึงประกาศในกาลสมัยสุดท้าย ธรรม 4 คืออะไรบ้าง 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ตั้งอยู่ในอาจารโคจร พึงประกาศธรรมบรรยายนี้ในกาลสมัยสุดท้าย 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ตั้งอยู่ในอาจารโคจร เป็นอย่างไร? 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นผู้อดทนอย่างไร? เป็นผู้ระงับ เป็นผู้เข้าถึงภูมิแห่งความระงับ เป็นผู้มีใจไม่ตระหนก ไม่วู่วาม ไม่คิดร้าย 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ย่อมไม่ยึดติดในธรรมใดๆ จักพิจารณาเห็นลักษณะของตน ตามความเป็นจริงในธรรมทั้งหลาย เป็นผู้ไม่วิจารณ์ เป็นผู้ไม่ตรวจสอบในธรรมเหล่านี้ 
             ดูก่อนมัญชุศรี เราเรียกสิ่งนี้ว่า อาจาระ ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์
             ดูก่อนมัญชุศรี (วิสัย) ของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์เป็นอย่างไร 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์  ไม่รับใช้ ไม่สมาคม ไม่คบ ไม่เข้าใกล้  ไม่เข้าหาพระราชา ราชบุตร ราชอำมาตย์ ราชบุรุษ ไม่รับใช้เดียรถีย์ อเจลกะ ปริพาชก อาชีวกและนิครนถ์อื่น หรือสัตว์ทั้งหลาย ผู้หลงใหลในกาพย์ศาสตร์ (วรรณคดี) ไม่คบ ไม่เข้าหา ไม่รับใช้ ผู้นิยมมนตร์ของโลกายัต (ของจารวาก) และผู้นับถือลัทธิโลกายัต ย่อมไม่สร้างความสัมพันธ์ กับชนเหล่านั้น ไม่เยี่ยมคนจัณฑาล น้ำมวยปล้ำ คนเลี้ยงสุกร คนเลี้ยงไก่ คนล่ากวาง คนล่าเนื้อ นักฟ้อนระบำ นักกระบี่กระบอง และนักรำดาบ ไม่เข้าไปสู่สถานที่อื่น อันเป็นแหล่งบันเทิงและเล่นกีฬาของชนเหล่าอื่น ไม่ควรสมาคมกับชนเหล่านั้น นอกจากสอนธรรมตามกาลแก่ชนเหล่านั้น ผู้เข้ามาหา ย่อมสอนโดยไม่หวัง(ทรัพย์) ไม่รับใช้ ไม่คบ ไม่เข้าหา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้ปฏิบัติตามลัทธิสาวกยาน ไม่สมาคมกับชนเหล่านั้น   ไม่ร่วมโคจรด้วยความตั้งใจกับชนเหล่านั้น  ในที่เดินจงกรมหรือในที่พัก (วิหาร) นอกจากสอนธรรมตามกาลแก่ชนเหล่านั้น ผู้เข้ามาหา ย่อมสอนโดยไม่หวัง (ทรัพย์) 
             ดูก่อนมัญชุศรี นี่คือโคจรของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ 
             ดูก่อนมัญชุศรี ยิ่งกว่านั้น พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ย่อมไม่ยึดถือนิมิตความเรียบร้อยอย่างอื่น แล้วแสดงธรรมบ่อยๆ ไม่
เป็นผู้ปรารถนาจะพบมาตุคามบ่อยๆ ไม่เข้าไปหาตระกูลทั้งหลาย ไม่พึงกล่าวกับเด็กหญิงบ่อยๆ ไม่ควรสนิทสนมกับเด็กสาวหรือหญิงสาว ไม่ควรแสดงธรรมแก่กระเทย ไม่ควรสมาคมและสนิทสนมกับกระเทยนั้น ไม่ควรไปบ้านเพียงผู้เดียว เพื่อประโยชน์แก่ภิกษา นอกจากยังภาวนาระลึกถึงพระตถาคตอยู่ ถ้าจะแสดงธรรมแก่มาตุคามอีกในที่สุด เขา   ไม่ควรแสดงธรรม ด้วยความเสน่หาในธรรม จะป่วยกล่าวไปไย ด้วยความเสน่หาในสตรีอีกเล่า โดยที่สุด แล้วสีแห่งฟัน(หัวเราะ)ก็ ไม่ควรแสดง จะป่วยกล่าวไปไย ถึงการแสดงความเปลี่ยนแปลงใบหน้าของผู้พบเห็นกันอีกเล่า ย่อม   ไม่ใกล้ชิดกับสามเณร สามเณรี ภิกษุ ภิกษุณี กุมารและกุมารี ไม่สมาคมและไม่สนทนากับชนเหล่านั้น ไม่เน้นหนักในการสนทนา โต้ตอบ อมคบหาด้วยการสนทนาโต้ตอบชั่วขณะ 
             ดูก่อนมัญชุศรี นี้แหละที่เรียกว่า โคจรข้อที่หนึ่งของพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ 
             ดูก่อนมัญชุศรี ยิ่งกว่านั้นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ย่อมเห็นธรรมทั้งปวงว่า เป็นศูนยตา ย่อมเห็นธรรมทั้งหลาย ว่าตั้งอยู่ตามความเป็นจริง มีสถานะที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีสถานะที่เป็น
จริง ไม่คลอนแคลน ไม่หวั่นไหว ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ถอยกลับ มีสถานะที่เป็นจริง มีภาวะเป็นอากาศอยู่เหนือคติที่จะกล่าวถึง ไม่เกิด ไม่มี ไม่มีจริง มีรวมกัน ไม่ต่อเนื่องกัน ดำรงอยู่ในสถานะที่ไม่สามารถจะรวมนำมากล่าวด้วยถ้อยคำที่ไม่ประจักษ์ ซึ่งปรากฏตรงข้ามกับความรู้ (เห็นผิด) 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ย่อมพิจารณาธรรมทั้งปวงบ่อยๆ เมื่ออยู่ด้วยวิหารธรรมนี้ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ย่อมตั้งอยู่ในโคจร 
             ดูก่อนมัญชุศรี โคจรนี้เองเป็นฐานะที่สองของพระโพธิสัตว์ 
             ได้ยินว่า ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาค เพื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้ ด้วยมาตราจำนวนมากจึงตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า
1       พระโพธิสัตว์ ผู้ไม่หวั่นไหว ผู้แกล้วกล้า พึงปรารถนาประกาศพระสูตรนี้ ในกาลภายหลังที่โหดร้าย
 2       พระโพธิสัตว์ พึงรักษาอาจาระและโคจร พึงสร้างความบริสุทธิ์ พึงงดเว้นการสมาคม (สดุดี) กับพระราชาและราชบุตรเป็นนิตย์
3       ไม่พึงสมาคมกับราชบุรุษทั้งหลาย ไม่ควรคบกับคนจัณฑาลและนักมวย รวมทั้งนักเลงสุราและพวกเดียรถีย์โดยประการทั้งปวง
4        ไม่ควรเป็นคนมีอหังการ ควรตั้งมั่นในคัมภีร์วินัย ควรเว้นจากภิกษุผู้ทุศีล ผู้สมมุติตนว่า เป็นพระอรหันต์
5        พึงหลีกเลี่ยงภิกษุณี ผู้มีโคจรด้วยถ้อยคำร่าเริงเป็นนิตย์ พึงงดเว้นอุบาสิกาผู้มีความเสื่อมเป็นที่ปรากฏ
6       อุบาสิกาเหล่าใด แสวงหาความประพฤติในธรรมที่ประจักษ์ พระโพธิสัตว์ควรสมาคมกับอุบาสิกาเหล่านั้น อย่างนี้เรียกว่าอาจาระของพระโพธิสัตว์ 
7       บุคคลใดเข้าไปหาพระโพธิสัตว์นี้ แล้วถามธรรมในพระโพธิญาณอันประเสริฐ พระโพธิสัตว์ ผู้เป็นปราชญ์ไม่หวั่นไหว(ลาภ) พึงบอก(ธรรม) แก่ผู้นั้นทุกเมื่อ หลีกเลี่ยงหญิงสาวและกุมารีในตระกูลทั้งหลาย 
8        ไม่พึงให้สตรีเหล่านั้น ยินดีว่า ขอกุศลจงเกิดเพื่อถามถึงความสุข พึงเว้นการสมาคมกับคนเลี้ยงหมูและแพะ
9        ชนเหล่าใด เบียดเบียนสัตว์ต่างๆ เพราะต้องการทรัพย์ ชนเหล่าใด ขายเนื้อแก่ร้านค้า พระโพธิสัตว์พึงเว้นการสมาคมกับชนเหล่านี้ 
10      พระโพธิสัตว์ พึง เว้นจากการสมาคมกับบุคคลเป็นพ่อเล้า (แม่เล้า) (ผู้เลี้ยงดูโสเภณี) นักฟ้อน นักรำกระบี่กระบอง นักรำดาบ และชนเหล่าอื่นที่เป็นที่เป็นเช่นนั้น
11      ชนอื่นใด ที่มีความประพฤติเพื่อทรัพย์ พระโพธิสัตว์ ไม่ควรคบหาชนเหล่านั้น พึงงดเว้นการสนทนาโต้ตอบกับชนเหล่านั้น โดยประการทั้งปวง 
12      บัณฑิต เมื่อจะแสดงธรรมแก่มาตุคาม ไม่พึงไปเพียงผู้เดียว ไม่ควรหยอกล้อกับสตรี 
13      ถ้ามีความต้องการอาหาร จำเป็นต้องเข้าไปสู่หมู่บ้านบ่อยๆ ภิกษุพึงมีภิกษุรูปที่สองเดินทางไปด้วย หรือพึงระลึกถึงพระพุทธเจ้า 
14      ฐานะที่หนึ่ง คืออาจารโคจรนี้ ที่เราแสดงแล้ว ผู้มีปัญญาทั้งหลาย ที่ทรงจำพระสูตรเช่นนี้ ย่อมดำรงอยู่ด้วยฐานะที่หนึ่ง 
15      เมื่อบุคคลไม่ประพฤติธรรม ในชนชั้นต่ำ ชนชั้นสูงและชนชั้นกลาง ที่รวมกันหรือแยกกัน ที่เป็นจริง หรือไม่เป็นจริง โดยประการทั้งปวง 
16      ผู้ฉลาด ย่อมไม่จำแนกว่า นี่คือสตรี ไม่กำหนดว่า นี่คือบุรุษ เมื่อแสวงหาธรรมทั้งปวง ย่อมไม่พบจากสิ่งที่ยังไม่เกิด
 17      เพราะว่า สิ่งนี้เรียกว่าอาจาระของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง โคจรเป็นอย่างไร ขอท่านทั้งหลาย จงฟังโคจรของพระโพธิสัตว์ทั้งหลายเหล่านั้น จากการประกาศ(ของเรา)
18      ธรรมเหล่านี้ทั้งปวง เราประกาศแล้วว่า ไม่มี ไม่ปรากฏ ไม่เกิด ไม่มีความปรารถนา เป็นศูนยตา ตั้งอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ นี้เรียกว่าโคจรของบัณฑิตทั้งหลาย 
19      ชนเหล่านี้ ผู้มีความรู้ที่เปลี่ยนแปลง(เห็นผิด) ถูกกำหนดแล้วว่า มีหรือไม่มี จริงหรือไม่จริง เป็นสิ่งตั้งมั่น ธรรมที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้นแล้ว เป็นสิ่งที่ถูกกำหนดให้เปลี่ยนแปลงไป
20      ผู้มีจิตเลิศเป็นหนึ่ง จิตตั้งมั่นในกาลทุกเมื่อ เป็นผู้มั่นคงราวกับยอดเขาสุเมรุ ผู้ตั้งมั่นแล้วอย่างนี้ พึงพิจารณาเห็นธรรมทั้งปวงเหล่านั้นว่าเป็นอากาศธาตุ
21      ธรรมทั้งหลายที่ตั้งอยู่ตลอดกาล เสมอด้วยอากาศ ไร้สาร ไม่เคลื่อนไหว ปราศจากการปรากฏ นี้แลเรียกว่า โคจรของบัณฑิตทั้งหลาย 
23      ภิกษุผู้รักษาครรลองความประพฤติอันงดงาม (ในศาสนา) ของเรา เมื่อเรานิพพานแล้วพึงประกาศพระสูตรนี้ในโลก ความเหน็ดเหนื่อยของภิกษุ ก็จะไม่มี 
24      บัณฑิต ผู้คิดอยู่ตามกาล พึงเข้าไปสู่ที่อาศัย ครั้นเข้าไปแล้วอย่างนั้น จงพิจารณาธรรมนี้ทั้งปวง ด้วยอุบายอันแยบคาย เมื่อมีจิตไม่หวั่นไหวแล้วจึงลุกขึ้นแสดงธรรม นอกจากนั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์มหาสัตว์ เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ในกาลสมัยสุดท้าย
 เมื่อพระสัทธรรมเสื่อมลง ประสงค์จะประการธรรมบรรยายนี้ จึงดำรงอยู่ด้วยความสุข พระโพธิสัตว์ผู้ดำรงอยู่ด้วยความสุขนั้นจักกล่าวธรรมทั้งภาคทฤษฎี และ ภาคปฏิบัติ (ที่เป็นไปทางกายและเป็นไปทางคัมภีร์) เมื่อจะแสดงธรรม ไม่ควรวิจารณ์คัมภีร์ของบุคคลอื่น ไม่ควรตำหนิภิกษุ ผู้แสดงธรรมรูปอื่นๆ ไม่ควรพูดถึงปมด้อย ไม่พูดถึงเรื่องที่ไม่ดี (ของบุคคลอื่น) เมื่อเอ่ยชื่อของภิกษุสาวกยานเหล่าอื่น ไม่ควรกล่าวถึงเรื่องที่ร้าย ไม่วิจารณ์เรื่องที่ไม่ดี ไม่อาฆาตผู้ที่เป็นปรปักษ์ในสำนักของนิกายเหล่านั้น เพราะเหตุไร?  เพราะสถานการณ์กำลังอยู่ในความสงบสุข พระโพธิสัตว์นั้น ย่อมแสดงธรรมด้วยความอนุเคราะห์แก่ผู้ฟังธรรมที่มาแล้วโดยไม่ให้เกิดเฉพาะ (บุคคล) ที่ไม่โต้แย้ง เมื่อถูกถามปัญหา ไม่ควรตอบตามแบบสาวกยาน แต่ควรหลีกเลี่ยงเหมือนผู้บรรลุพระพุทธญาณแล้ว 
           ได้ยินว่า เวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า 
26     ผู้ฉลาด ดำรงอยู่ด้วยความสุข ในกาลทุกเมื่อ กระทำความโอบอ้อมอารีที่ได้มาด้วยปัญญา ให้เป็นอาสนะนั่งอย่างสบาย แล้วกล่าวธรรมในประเทศคือแผ่นดินที่ชำระแล้ว ซึ่งรู้ได้ด้วยใจ
27      ผู้ฉลาดนั้น ครองจีวรที่ชำระแล้ว ย้อมดีแล้ว ด้วยสีอย่างดี สละผ้าสีดำที่ไม่ควรใช้ แล้งครองผ้าสีอันมีประมาณมาก 
28      เมื่อนั่งบนอาสนะ ซึ่งมีที่วางเท้าห่อหุ้มด้วยผ้าอันวิจิตร มีศีรษะและใบหน้าที่เบิกบาน ได้ยกเท้าที่ชำระแล้วขึ้น 
29      เมื่อนั่งบนอาสนะแล้ว และเมื่อสัตว์ผู้มีความประสงค์อย่างเดียวกันมาพร้อมแล้ว จึงบรรยายธรรมกถา อันวิจิตรจำนวนมาก แก่ภิกษุและภิกษุณีทั้งหลาย 
30      บัณฑิตนั้น เมื่อถูกชนทั้งหลายถามปัญหา ย่อมแสดงอรรถนั้น โดยลำดับอีก เขาจะแสดงธรรมที่มีประโยชน์ เพื่อให้ผู้ฟังได้พระโพธิญาณในภพ 
32      ผู้เป็นบัณฑิต พึงเว้นจากความเหน็ดเหนื่อย ไม่ยังความรู้สึกอ่อนเพลียให้เกิดขึ้น พึงงดเว้นความไม่ยินดีทั้งปวง พึงยังพลังแห่งเมตตาให้เกิดขึ้นแก่บริษัท 
33      บัณฑิตนั้น พึงกล่าวธรรมอันเลิศทั้งกลางวันและกลางคืน ด้วยตัวอย่างหลายหมื่นโกฏิ พึงยังบริษัท ให้ร่าเริง ยินดี โดยไม่คิดและไม่ปรารถนาสิ่งใด
34      บัณฑิต ไม่พึงคิดถึงขาทนียะ โภชนียะ อาหาร เครื่องดื่ม ผ้า ที่นอน ที่นั่ง จีวร และคิลานเภษัช ไม่พึงปรารถนาสิ่งใดจากบริษัท 
35      ผู้ฉลาดพึงคิดเสมอว่าเราจะยังสัตว์เหล่านี้ให้เป็นพุทธะได้อย่างไร เราประกาศธรรมใด เพื่อประโยชน์แก่ชาวโลก ธรรมนั้นต้องเป็นที่ตั้งแห่งความสุขของสัตว์เสมอ 
36      เมื่อเราปรินิพพานแล้ว ภิกษุผู้ไม่มีความริษยา พึงประกาศธรรมนี้ เธอย่อมไม่มี ความทุกข์ อันตราย ความเสร้าและความคับแค้นใจใดๆ 
37     ใครๆไม่พึงทำให้เธอนั้นสะดุ้ง ไม่พีงทุบตี ไม่พึงกล่าวร้ายเธอ เสียงขับไล่ก็ไม่เกิดแก่เขา เพราะเธอดำรงอยู่ด้วยขันติธรรม 
38      บัณฑิตย่อมดำรงอยู่ด้วยความสุข เหมือนอย่างที่เรากล่าวแล้วว่า บัณฑิตผู้ดำรงอยู่อย่างนี้ ย่อมเจริญด้วยคุณหลายร้อยโกฏิ จนไม่อาจจะพรรณาได้ในเวลาร้อยกัลป์ ยิ่งกว่านั้น พระมัญชุศรีโพธิสัตว์มหาสัตว์
 เมื่อพระตถาคตพระนิพพานแล้ว ผู้อยู่ในกาลสุดท้ายแห่งความเสื่อมของพระสัทธรรม พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้รักษาพระสูตรนี้ เป็นผู้ไม่ริษยา ไม่คดโกง ไม่หลอกลวง ไม่กล่าวตำหนิติเตียน ไม่ดูหมิ่นบุคคลผู้นับถือโพธิสัตวยานเหล่าอื่น ไม่เปิดเผยความชั่วของภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ผู้นับถือสาวกยาน ปัจเจกพุทธยาน และโพธิสัตวยานเหล่าอื่นว่า 
 ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลาย ท่านทั้งหลายยังอยู่ไกล จากอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ท่านทั้งหลายย่อมไม่ประจักษ์ในพระโพธิญาณนั้น ท่านย่อมอยู่ในความประมาทอย่างยิ่ง ท่านไม่มีกำลังที่จะตรัสรู้พระโพธิญาณ เขาไม่ควรเปิดเผยความชั่วของผู้นับถือโพธิสัตวยานคนใด เป็นผู้ไม่ยินดีในการวิวาท เพราะธรรมย่อมไม่ก่อธรรมวิวาทกับใครๆ ไม่ละเว้นพลังแห่งเมตตา ในสำนักของสัตว์ทั้งปวง ย่อมยังความรู้คุณบิดา ให้เกิดขึ้นในสำนักของพระตถาคตทั้งปวง ยังการรู้คุณพระศาสดา ให้เกิดขึ้นในสำนักของพระโพธิสัตว์ทั้งปวง พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่าใดในโลกทั้ง 10 ทิศ เขานอบน้อมแสดงธรรมที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ด้วยความเคารพ ด้วยใจเป็นกลางบ่อยๆ เมื่อจะแสดงธรรมเขาย่อมแสดงธรรมที่ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน ด้วยความรักในธรรมที่สม่ำเสมอ เมื่อจะประกาศธรรมบรรยายนี้ เขาย่อมไม่จับเอาเฉพาะตอนที่ดียิ่งเพราะใจรักในธรรมเป็นที่สุด 
 ดูก่อนมัญชุศรี พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ประกอบด้วยธรรมข้อที่สามนี้ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว ตรงกับกาลที่พระสัทธรรมเสื่อมถอย เมื่อจะประกาศธรรมบรรยายนี้ ย่อมอยู่อย่างมีความสุข เป็นผู้มีจิตที่ไม่ถูกเบียดเบียน ย่อมประกาศธรรมบรรยายนี้ ในการสนทนาธรรมของเธอย่อมมีสหายทั้งหลาย ผู้ฟังธรรมของเธอก็จักเกิดขึ้น ชนผู้ได้ฟังธรรมบรรยายนี้ย่อมเกิดศรัทธา ศึกษา ท่องจำ อ่าน เขียน คัดลอก กระทำเป็นคัมภีร์ สักการะ เคารพนับถือ บูชา เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระสุคตศาสดา ครั้นตรัสอย่างนี้แล้ว จึงตรัสพระคาถานี้ที่ยิ่งขึ้นว่า 
39      บัณฑิต ผู้ปรารถนาจะประกาศพระสูตรนี้ ควรละการคดโกง การถือตัว การหลอกลวงโดยสิ้นเชิง และไม่พึงก่อความริษยาต่อผู้ใด
40      (บัณฑิต) ย่อมไม่กล่าวโทษใครๆ ไม่ก่อนวิวาท เพราะเหตุแห่งทฤษฎี ไม่ควรสร้างปมด้วยแก่ใครๆว่า ท่านยังไม่ได้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
41      (บัณฑิต) เป็นผู้มีความชื่อตรง อ่อนโยน มีความอดทน เป็นบุตรของพระสุคต เมื่อแสดงธรรมนี้บ่อยๆ ความเหน็ดเหนื่อยแม้สักนิดย่อมไม่มีแก่ตน 
42      พระโพธิสัตว์ในทิศทั้ง 10 ย่อมเที่ยวไปในโลกเพื่ออนุเคราะห์แก่สัตว์ พระโพธิสัตว์ทั้งปวงเป็นศาสดาของเรา บัณฑิตพึงยังความเคารพให้เกิดในพระโพธิสัตว์เหล่านั้น 
43      เมื่อระลึกถึงพระพุทธเจ้าทั้งหลายผู้เหนือกว่ามนุษย์ พึงสร้างความรู้สึกในพระชินเจ้าทั้งหลายว่า เป็นบิดาอยู่เนืองนิตย์ เมื่อละความรู้สึกอหังการทั้งปวงเสียได้ อันตรายก็จะไม่มีแก่ตน 
44      บัณฑิตเมื่อได้ฟังธรรมเห็นปานนี้แล้ว พึงรักษา (ธรรม) บัณฑิตนั้นผู้มีใจตั้งมั่นด้วยการอยู่อย่างมีความสุข สัตว์จำนวนหลายโกฏิย่อมคุ้มครอง ยิ่งกว่านั้น พระมัญุชุศรีโพธิสัตว์มหาสัตว์
 เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว กาลสุดท้ายแห่งการเสื่อมของพระสัทธรรมก็มาถึง ภิกษุผู้ประสงค์จะรักษาพระธรรมบรรยายนี้ ควรอยู่ให้ห่างจากความใกล้ชิดกับคฤหัสถ์และนักบวช(อื่น) ควรอยู่ด้วยวิหารธรรมคือ เมตตา สัตว์เหล่าใดดำรงอยู่เพื่อโพธิญาณ ความปรารถนาย่อมเกิดขึ้นในที่ใกล้ของสัตว์เหล่านั้น ภิกษุนั้นพึงเกิดความคิดอย่างนี้ว่า " โอ สัตว์เหล่านี้ "มีความรู้ผิดเป็นอย่างมาก เขายังไม่ได้ฟัง ไม่รู้ ไม่เข้าใจ ไม่ถาม ไม่เชื่อ สันธาภาษิต อันเป็นกุศโลบายของพระตถาคต เขาจึงยังไม่หลุดพ้น สัตว์เหล่านี้ย่อมไม่ตระหนัก ไม่เข้าใจ ธรรมบรรยายนี้ เราซึ่งเป็นผู้ดำรงอยู่ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว จักยังสัตว์เหล่านั้นให้เลิก ให้ถึง ให้หยั่งลง และ ให้มีอุปนิสัยแก่กล้า ในพระโพธิญาณนั้น 
 ดูก่อนมัญชุศรี เมื่อพระตถาคตนิพพานแล้ว พระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ประกอบด้วยธรรมสี่ประการนี้ เมื่อประกาศธรรมบรรยายนี้ ก็จะไม่ถูกเบียดเบียน จะได้รับการสักการะ เคารพนับถือ และบูชา จากภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา พระราชา ราชบุตร ราชอำมาตย์ มหามนตรีของพระราชา ชาวนิคม ชนบท พราหมณ์ และคฤหัสถ์ทั้งหลาย เทวดาทั้งหลายผู้เที่ยวไปในท้องฟ้า มีศรัทธาก็จักติดตามมาเพื่อฟังธรรม เทวบุตรทั้งหลาย ก็จักติดตามมาเพื่อรักษาผู้อยู่ในหมู่บ้านหรือวิหาร เขาทั้งหลาย ผู้ถามถึงธรรม ย่อมเข้าไปหาทั้งกลางวันและกลางคืน พวกเขาเป็นผู้มีใจฟูขึ้น ยินดีด้วยคำพยากรณ์ของตถาคต เพราะเหตุไร 
             ดูก่อนมัญชุศรีเพระธรรมบรรยายนี้ ได้ตั้งมั่นเพื่อพระพุทธเจ้าทั้งปวง ธรรมบรรยายนี้ ได้ตั้งมั่นเป็นนิตย์ เพราะพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ในอดีตและปัจจุบัน
             ดูก่อนมัญชุศรีสัพท์หรือเสียงที่เอ่ยชื่อของธรรมบรรยายนี้ เป็นสิ่งที่หาได้ยาก ในโลกธาตุทั้งหลายจำนวนมาก 
             ดูก่อนมัญชุศรี เหมือนพระราชาผู้เป็นจักรพรรดิแห่งกองทัพ ซึ่งได้ราชสมบัติ ด้วยการใช้กำลัง พระราชาทั้งหลายที่เป็นปฏิปักษ์ เป็นศัตรูของพระองค์ ได้ก่อสงครามกับพระราชาองค์นั้น มีทหารหน่วยต่างๆในกองทัพ ของพระราชาที่เป็นจักรพรรดินั้น ทหารเหล่านั้นจักต่อสู้กับศัตรูเหล่านั้น พระราชานั้น เมื่อมีใจปีติยินดี จึงพระราชทานรางวัลต่างๆ แก่ทหารเหล่านั้น เช่น บ้าน ที่ดินในหมู่บ้าน เมือง ที่ดินในเมือง เสื้อผ้า หมวก สร้อยมือ สร้อยเท้า สร้อยคอ ตุ้มหู สร้อยทองคำ มุข ผสม เงิน ทองคำ มณี มุกดา ไพทูรย์ สังข์ และประพาฬ ช้าง ม้า รถทาส ชาย หญิง ยาน และเกี้ยว แต่พระองค์ มิได้มอบจุฑามณี (เพชรประดับมงกุฎ) แก่ใครๆ เพราะเหตุไร เพราะจุฑามณีนั้นไป กำลังกองทัพทั้ง 4 ของพระราชา จะถึงความอัศจรรย์และประหลาดใจ 
 ดูก่อนมัญชุศรี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นธรรมสวามีผู้เป็นธรรมราชา ทรงครองธรรมราชสมบัติโดยธรรมในโลกธาตุทั้งสาม ที่พระองค์ทรงชนะได้ด้วยกำลังพระพาหาของพระองค์เอง และทรงชนะได้ด้วยกำลังแห่งบุญ มารผู้ชั่วร้าย ย่อมรุกรานโลกธาตุทั้งสามของพระองค์ ทหารชั้นเลิศของพระตถาคตก็ต่อสู้กับมาร 
ดูก่อนมัญชุศรี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นธรรมสวามี ธรรมราชา ได้เห็นการต่อสู้ของทหารชั้นเลิศเหล่านั้น จึงได้ตรัสพระสูตรต่างๆ จำนวนหนึ่งแสน เพื่อประโยชน์ เพื่อความยินดีของบริษัททั้ง 4 พระองค์ทรงประทานมหานครแห่งธรรมอันเป็นนครแห่งพระนิพพานแก่พวกเขา พระองค์ยังพวกเขาให้ได้ความสุข พระองค์จะไม่ตรัสธรรมบรรยายเห็นปานนี้อีก 
 ดูก่อนมัญชุศรี พระราชานั้น ผู้เป็นจักรพรรดิแห่งกองทัพ ได้ประหลาดใจกับการกระทำอันยิ่งใหญ่ เยี่ยงวีรบุรุษของทหารเหล่านั้น ที่กำลังสู้รบอยู่ จึงได้ประทานทรัพย์ของพระองค์ทั้งปวง ที่สุดแม้จุฑามณีที่รักษาไว้เป็นเวลานาน ยังดำรงอยู่บนพระเศียรของพระราชานั้น 
 ดูก่อนมัญชุศรี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้เป็นธรรมราชาในไตรโลก ปกครองราชสมบัติโดยธรรมสมัยใดทรง
เห็นพระสาวกพระโพธิสัตว์ กำลังต่อสู้อยู่กับมารแห่งอินทรีย์ 5 หรือมาร 3 คือกิเลส เมื่อต่อสู้อยู่กับมารเหล่านั้น พวกเขาก็สิ้นราคะโทสะ โมหะ สลัดออกจากไตรโลกทั้งปวงได้ทรงฆ่ามารทั้งปวง ได้สร้างมหาบุรุษขึ้น ในกาลนั้น พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ปราศจากราคะ เป็นผู้พอพระทัย จักตรัสธรรมบรรยายนี้ ซึ่งเป็นศัตรูของโลกทั้งปวง ไม่เป็นที่ศรัทธาของโลกทั้งปวง ที่ไม่เคยตรัสมาก่อน ไม่เคยแสดงมาก่อน พระตถาคตทรงประทานเพชรประดาบมงกุฎ ที่จะนำมาซึ่งพระสัพพัญญุตญาณแก่พระสาวกทั้งปวง 
             ดูก่อนมัญชุศรี นี้คือ การแสดงธรรมอันประเสริฐของพระตถาคต และ นี้   คือ ธรรมบรรยายสุดท้ายของพระตถาคตบรรดาธรรมบรรยายทั้งปวง นี้   คือ ธรรมบรรยายที่ลึกซึ้งกว่าธรรมทั้งปวง เป็นศัตรูของโลกทั้งปวง 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระตถาคตก็เหมือนกับพระราชาผู้เป็นจักรพรรดิแห่งกองทัพ ทรงถอดจุฑามณีที่รักษาไว้นานพระราชทานแก่ทหารทั้งปวง 
             ดูก่อนมัญชุศรี พระตถาคตจักแสดงธรรมประเสริฐนี้ซึ่งเป็นธรรมที่ลึกซึ้งเก็บรักษาไว้นาน ดำรงอยู่สูงสุดกว่าธรรมบรรยายทั้งปวง ที่พระตถาคตรู้แจ้ง วันนี้จึงได้ประกาศพระสูตรนี้ 
45      พระผู้มีพระภาค เมื่อจะทรงแสดงเนื้อความนี้โดยมาตราบท จึงตรัสพระคาถาเหล่านี้แสดงกำลังแห่งเมตตา ผู้มีความกรุณาต่อสัตว์ทั้งปวง พึงประกาศธรรมเห็นปานนี้ ซึ่งเป็นพระสูตรอันประเสริฐ ที่พระตถาคตทั้งหลายสดุดีแล้ว 
46      คฤหัสถ์ นักบวชและพระโพธิสัตว์ ผู้อยู่ในกาลสุดท้าย เขาควรเป็นผู้แผ่กำลังแห่งเมตตาในสัตว์ทั้งหลาย เพราะสัตว์เหล่านั้นจะปฏิเสธการฟังธรรม 
47      ส่วนเรา แม้มีความกลัวเมื่อบรรลุพระโพธิญาณ ดำรงอยู่ในความเป็นพระตถาคต ก็ยังมุ่งมั่นให้สรรพสัตว์ได้ฟังพระโพธิญาณอันประเสริฐนี้ 
48      พระราชา ผู้เป็นจักรพรรดิแห่งกองทัพ ผู้มีความยินดี ได้พระราชทานสิ่งของต่างๆมีเงิน ทอง ช้าง ม้า รถ ประชาชน เมือง หมู่บ้าน แก่ทหารทั้งหลาย 
49      พระองค์ผู้มีความยินดี ได้พระราชทานเครื่องอาภรณ์ประดับมือ เงินทอง สร้อยทอง มุกดามณี สังข์และประวาฬ แก่ทหารบางพวก พระองค์ผู้ยินดียังได้พระราชทานข้าทาสอีกจำนวนมาก 
50      พระองค์ทรงประหลาดใจอย่างยิ่ง กับทหารบางคนผู้มีความโหดเหี้ยมสูงสุด(กล้าหาญอย่างยิ่ง) เมื่อทราบว่า เขาได้ทำสิ่งที่น่าอัศจรรย์ถึงเพียงนี้ จึงทรงถอดมงกุฎพระราชทานมณี(ที่มงกุฎให้แก่เขา) 
51      พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระธรรมราชา ผู้มีกำลังแห่งขันติ ผู้เป็นคลังแห่งปัญญา ผู้มีเมตตา กรุณาต่อมิตร 
52      เราได้เห็น สัตว์ทั้งหลาย ผู้ถูกเบียดเบียนอยู่ เพื่อยังความกล้าหาญให้เกิดแก่สัตว์ทั้งหลายผู้บริสุทธิ์ ผู้ทำลายกิเลสเสียได้ จึงได้ตรัสพระสูตรจำนวนหลายพันโกฏิ 
53      แม้พระธรรมราชา ผู้เป็นแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ ได้ตรัสธรรมบรรยายจำนวนหลายพันโกฏิ ทราบว่าสัตว์ทั้งหลาย มีกำลัง มีความรู้ จึงได้แสดงพระสูตรนี้ ซึ่งเป็นดุจจุฑามณี 
54      เราจะกล่าวถึงพระสูตรนี้ อันเป็นสูตรสุดท้าย เป็นสูตรที่เลิศกว่าพระสูตรทั้งปวงของเรา แก่ชาวโลก เราจักให้ฟังพระสูตรนั้น ซึ่งเราเก็บรักษาไว้อย่างดี ไม่
เคยกล่าวมาก่อน ขอท่านทั้งปวงจงตั้งใจฟังพระสูตรนั้นในวันนี้ 
55      ธรรมทั้งหลายเห็นปานนี้ทั้ง 4 ที่บุคคลควรปฏิบัติ เมื่อเรานิพพานแล้ว ชนเหล่าใดมีความปรารถนา ควรกระทำความพยายามสูงสุดในพระโพธิญาณอันประเสริฐเพื่อเรา 
56      พวกเขาย่อมไม่มีความเศร้าโศก ไม่มีอุปสรรค ไม่มีความเจ็บไข้ที่ทนได้ยาก ผิวพรรณของเขาก็ไม่ดำ เขาไม่อยู่ในเมืองที่เสื่อมโทรม 
57      พระมหามุนีพระองค์นั้น ผู้เป็นปริทรรศน์ ได้รับการบูชาราวกับพระตถาคต พระองค์จักมีเทวบุตรทั้งหลาย เป็นอุปัฏฐากอยู่เป็นนิจ 
58      ศาสตรา ยาพิษ ท่อนไม้ ก้อนดิน จักไม่ทำอันตรายแก่เขา ปากของผู้ที่กล่าวคำครหาแก่เขาก็จักถูกปิดสนิท 
59      เข้าผู้เกิดมาในโลก ได้เป็นเครือญาติของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมเที่ยวไปทั่วพื้นพิภพ เป็นผู้ทรงจำพระสูตรนี้ไว้ เมื่อเรานิพพานแล้ว จะเป็นผู้กำจัดความมืดบอดของสัตว์จำนวนหลายโกฏิ 
60      เขาได้เห็นพระพุทธรูป ภิกษุ ภิกษุณี อาตมภาวะ(ร่าง) ที่สถิตบนสิงหาสน์ ในสุบินนิมิต เพื่อประกาศธรรมอันมีประการต่างๆ 
61      เขาได้เห็นเทวดา ยักษ์ อสูร นาค มีประมาณเท่าเมล็ดทรายในแม่น้ำคงคามีประการต่างๆ เขาย่อมกล่าวธรรมอันประเสริฐแก่ชนเหล่านั้นทั้งหมด ผู้ประคองอัญชลีอยู่ในสุบินนิมิต 
62      เขาได้เห็นพระตถาคต ที่ทรงเปล่งพระรัศมีจำนวนหลายพัน ผู้เป็นพระนาถะ ผู้มีวรรณะดุจทอง มีพระสุรเสียงไพเราะ กำลังแสดงธรรมแก่หมู่สัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ 
63      เขาผู้ยืนประคองอัญชลียกย่องพระมุนีว่า เป็นผู้สูงสุดกว่ามนุษย์ (สัตว์สองเท้า) ขณะที่พระชินเจ้า ผู้เป็นนายแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ตรัสธรรมอันเลิศแก่บริษัททั้ง 4 
64      เขาเมื่อได้ฟัง (ธรรม) แล้วก็มีความยินดีปราโมทย์ ได้ทำการบูชา(แด่พระตถาคต) เมื่อได้สัมผัสโพธิญาณ อันไม่เสื่อมคลายอย่างรวดเร็ว ชื่อว่าย่อมบรรลุ(การถือเอา)ความฝัน 
65      พระโลกนาถทรงทราบว่า เขาเป็นผู้มีใจเป็นกุศล จึงพยากรณ์เขาไว้ในความที่เป็นผู้นำแห่งบุรุษ ดูก่อนกุลบุตร ในอนาคตกาล เขาจักสัมผัสพระโพธิญาณอันเป็นบรมสุขยิ่งกว่า 
66      พุทธเกษตรอันกว้างใหญ่และบริษัท จักมีแก่ท่านเหมือนอย่างที่เรามี เขาทั้งหลายจักประคองอัญชลี ด้วยความเคารพ ฟังธรรมอันพิสดารและไม่มีโทษ(จากท่าน) 
67     เขาเมื่อเจริญธรรมอยู่ในถ้ำบนภูเขา ก็จะได้เห็นภาวะแห่งตน (อาตมภาวะ) เขาครั้นเจริญ (ภาวนา) แล้วจะได้สมาธิ สัมผัสพระธรรมตามภาวะของธรรมชาติ แล้วจักเห็นพระชินเจ้า 
68      เขาได้เห็น (พระพุทธองค์) ผู้มีวรรณะดุจทองมีบุณยลักษณะ 100 ประการในความฝัน ก็จักได้ฟังธรรม ครั้นฟังแล้ว ก็จักได้ประกาศธรรมนั้นแก่บริษัท รูปแบบอย่างนี้เองได้เป็นความฝันของเขา 
69      ในความฝัน เขาได้สละราชสมบัติทั้งปวง ในที่สุดแม้เพื่อนและคณะญาติ ครั้นสละบ้านทั้งปวงแล้ว ได้ปลีกตนเข้าไปสู่มณฑลแห่งโพธิพฤกษ์ 
70      เขาผู้มีความต้องการด้วยพระโพธิญาณ จึงนั่งอยู่บนสิงหาสน์ที่โคนต้นไม้นั้น จนถึงวันที่ 7 จึงเข้าถึงความรู้ของพระตถาคตทั้งหลาย 
71      เมื่อบรรลุพระโพธิญาณแล้ว เขาก็ลุกจากที่นั้น เพื่อหมุนวงล้อแห่งความสุข (ไม่มีทุกข์) จึงแสดงธรรมแก่บริษัท 4 ตลอดหลายพันโกฏิจนคำนวณไม่ได้ 
72      ครั้นประกาศ (ธรรม) แล้ว เขาได้เผยแผ่ธรรมอันเป็นบรมสุขให้แก่หมู่สัตว์จำนวนหลายพันโกฏิ ดุจประทีปที่แพร่ขยายไปในยุคแห่งความมืด (ในยุคเสื่อมเหตุผล) นี้คือรูปแห่งความฝัน (ของเขา) 
73      เสียงชักชวนของพระมัญชุศรี มีประโยชน์เป็นอย่างมาก จนหาที่สุดมิได้แก่ผู้ที่ประกาศธรรมอันประเสริฐ ที่เราได้แสดงไว้ดีแล้ว ในกาลสุดท้าย 

 บทที่ 13 สุขวิหารปริวรรต ว่าด้วยธรรมเครื่องอยู่เป็นสุข  ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ  มีเพียงเท่านี้ 

สัทธรรมปุณฑริกสูตร บทที่ ๑๒ อุตสหปริวรรต ว่าด้วยความเพียรพยายาม

 
    ได้ยินว่า ครั้งนั้นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ไภษัชยราช กับพระโพธิสัตว์มหาสัตว์มหาประติภาน รวมทั้งพระโพธิสัตว์บริวาร 20 แสนองค์ได้กล่าววาจานี้ ณ เบื้องพระพักตร์ ของพระผู้มีพระภาคว่า "ขอพระผู้มีพระภาค จงมีความขวนขวายน้อย (อดทน) ในเรื่องนี้ 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้อพระองค์ทั้งหลาย จักแสดง จักประกาศธรรมบรรยายนี้ ของพระตถาคตผู้ปรินิพพานแล้วแก่สัตว์ทั้งหลาย 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้ว่าสัตว์ทั้งหลาย ผู้คดโกง จักมีอยู่ในกาลนั้นสัตว์ผู้มีกุศลน้อย มีอหังการมาก ปรารถนาลาภสักการะ อาศัยอกุศลมูล เป็นผู้ฝึกยาก ปราศจากความหลุดพ้น เป็นผู้มากด้วยความยึดมั่น (ไม่หลุดพ้น) 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาคในกาลนั้น ข้าพระองค์ทั้งหลาย ให้(พวกเขา) แสดงพลังความอดทน ให้ศึกษา ให้ท่อง ให้อธิบาย ให้เขียน ให้สักการะ ให้เคารพ ให้ยกย่อง ให้บูชา ซึ่งพระสูตรนี้ 
             ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักสละกายและชีวิต เพื่อประกาศพระสูตรนี้ ขอพระผู้มีพระภาคจงมีความขวนขวายน้อยเถิด ในบริษัทนั้น ภิกษุจำนวน 500 รูป ทั้งที่เป็นพระเสขะและอเสขะ ได้กราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า
             "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ทั้งหลาย จะพยายาม เพื่อประกาศธรรมบรรยายนี้ แม้ในโลกธาตุเหล่าอื่น 
 ได้ยินว่า พระสาวกทั้งหลายของพระผู้มีพระภาค ทั้งที่เป็นพระเสขะและพระอเสขะ เป็นผู้ที่พระผู้มีพระภาคได้พยากรณ์ไว้ ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ พระภิกษุ 8,000 รูปเหล่านั้นทั้งหมด ประคองอัญชลีต่อพระผู้มีพระภาค ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า "ขอพระผู้มีพระภาค จงเป็นผู้ขวนขวายน้อย  ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประกาศธรรมบรรยายนี้ เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว
 ในกาลสมัยภายหลัง แม้ในโลกธาตุอื่นข้อนั้นเพราะเหตุไร 
ข้าแต่พระผู้มีพระภาค เพราะในสหาโลกธาตุนี้ สัตว์ทั้งหลายเป็นผู้อหังการมีกุศลน้อย มีจิตวิบัติเป็นนิตย์ เป็นผู้ทุจริต มีธรรมชาติคดโกง ได้ยินว่า ขณะนั้น พระมหาประชาบดีโคตมี พระภคินีแห่งพระมารดาของพระผู้มีพระภาคพร้อมด้วยพระภิกษุณี 6,000 รูป กับพระภิกษุณี ที่เป็นเสขะและพระอเสขะลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลีต่อพระผู้มีพระภาค แล้วยืนมองพระผู้มีพระภาคอยู่
             ในเวลานั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถาม พระมหาประชาบดีโคตมีว่า
              "ดูก่อนโคตมี ทำไมเธอจึงมีทุกข์ใจยืนมองพระตถาคตอยู่" 
              พระนางกราบทูลว่า "หม่อมฉันไม่ได้รับการเผื่อแผ่ 
(กระจาย) ไม่ได้รับการพยากรณ์ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ" 
 พระผู้มีพระภาคตรัสว่า "ดูก่อนโคตมี เธอได้รับคำพยากรณ์พร้อมกับบริษัททั้งปวงแล้ว ดูก่อนโคตมี ต่อไปนี้เธอจักได้รับ จำกระทำการสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ไหว้ แล้วจักได้เป็นพระโพธิสัตว์มหาสัตว์ ผู้ประกาศธรรมในสมัยของพระพุทธเจ้า 38 ร้อยพันล้านโกฏิ บรรดาภิกษุณี ที่เป็นเสขะและอเสขะทั้งหลาย ภิกษุณีเหล่าอื่นอีก 6,000 รูป จักได้เป็นพระโพธิสัตว์ ผู้ประกาศธรรมในสมัยของพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าเหล่านั้น พร้อมกับเธอ จากนั้นเธอ เมื่อยังจรรยาของพระโพธิสัตว์ให้สมบูรณ์ยิ่งๆขึ้น จักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีพระนามว่า สรรพสัตวปริยทรรศน์ ในโลก  เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นผู้เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม 
 ดูก่อนโคตมี พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้านามว่า สรรพสัตวปริยทรรศน์ นั้น จักพยากรณ์พระโพธิสัตว์ 6พันรูปเหล่านั้น ด้วยการพยากรณ์ที่ยิ่งๆขึ้นในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ภิกษุณี ยโศธรา มารดาของพระราหุล ได้คิดว่า "ชื่อของเรา พระผู้มีพระภาค มิได้แผ่มาถึงเลย พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของภิกษุณียโศธรา (ด้วยจิตของพระองค์) จึงตรัสกับภิกษุยโศธราว่า ดูก่อนยโศธรา เราจักบอกเธอ เราจักประกาศแก่เธอ เธอเมื่อกระทำสักการะ เคารพ นับถือ บูชา นอบน้อม ไหว้ ในสมัยของพระพุทธเจ้าจำนวนหนึ่งหมื่นโกฏิ จักเป็นพระโพธิสัตว์ผู้ประกาศธรรม เมื่อยังจรรยาของพระโพธิสัตว์ให้สมบูรณ์โดยลำดับแล้ว ท่านจักได้เป็นพระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระนามว่า รัศมีศตสหัสรปริปูรณธวัช ในโลก เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ เป็นเสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นนายสารถีฝึกบุรุษที่ไม่มีผู้ใดเปรียบได้ เป็นครูของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบาน เป็นผู้จำแนกธรรม ในภัทรโลกธาตุ ประมาณอายุของพระผู้มีพระภาคตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รัศมีศตสหัสรปริปูรณธวัช นั้นมีไม่จำกัด
          ได้ยินว่า ภิกษุณี มหาประชาบดีโคตมี กับภิกษุณีบริวาร 6.000 รูปและภิกษุณี อโศธรา กับภิกษุณีบริวารอีก 4.000 รูป ที่ได้สดับคำพยากรณ์ของตน ในอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณจากสำนักของพระผู้มีพระภาค ได้ถึงความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจ จึงได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า 
1        ข้าแต่พระผู้มีพระภาค พระองค์เป็นผู้นำ เป็นผู้แนะนำ เป็นศาสดาของโลก รวมทั้งเทวโลก เป็นผู้ประทานความสำเร็จ เป็นผู้ที่มนุษย์และเทวดาบูชาแล้ว ข้าแต่พระผู้เป็นที่พึ่ง ข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นผู้ยินดีแล้วในวันนี้ ครั้นกล่าวคาถานี้แล้ว ภิกษุณีเหล่านั้น ได้กล่าวคำนี้กะพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค แม้หม่อมฉันทั้งหลาย ก็จักพยายามเพื่อประกาศธรรมบรรยายนี้ ในกาลสมัยภายหลังแม้ในโลกธาตุเหล่าอื่น พระผู้มีพระภาค ทอดพระเนตรพระโพธิสัตว์เหล่านั้น จำนวนแปดสิบร้อยพันหมื่นโกฏิ ผู้ได้รับความมั่นใจ ผู้หมุนธรรมจักรมิให้หวนกลับ พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ที่พระผู้มีพระภาคทรงเห็นแล้วโดยรอบ ได้ลุกจากอาสนะ ประคองอัญชลีต่อพระผู้มีพระภาคแล้ว คิดว่า "พระผู้มีพระภาค คงปรารถนาให้เราทั้งหลาย เพื่อประกาศธรรมบรรยายนี้"
 พระโพธิสัตว์เหล่านั้น ครั้นคิดอย่างนี้แล้ว เป็นผู้หวั่นไหว ได้กล่าวแก่กันและกันว่า "ดูก่อนกุลบุตรทั้งหลายเราจะทำอย่างไร พระผู้มีพระภาค ปรารถนาให้พวกเราประกาศธรรมบรรยายนั้น
ในกาลอนาคต" กุลบุตรเหล่านั้นได้บันลือสีหนาท ด้วยประณิธานจรรยาในกาลก่อนของตน ณ เบื้องพระพักตร์ของพระผู้มีพระภาค ด้วยความเคารพว่า "ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ในอนาคตกาล เมื่อพระตถาคตปรินิพพานแล้ว ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักไปในทิศทั้ง 10 เพื่อสัตว์ทั้งปวงให้คัดลอก อ่าน พิจารณา ประกาศธรรมบรรยายนี้ ด้วยอานุภาพของพระผู้มีพระภาค ขอพระผู้มีพระภาคผู้ประทับในโลกธาตุอื่น ทรงช่วยรักษา คุ้มครอง ป้องกันข้าพระองค์ทั้งหลายด้วย" พระโพธิสัตว์มหาสัตว์เหล่านั้น ได้กล่าวสรรเสริญพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า 
2       ข้าแต่พระผู้มีพระภาค ขอพระองค์จงเป็นผู้ขวนขวายน้อย เมื่อพระองค์ปรินิพพานแล้ว ในกลียุคสุดท้ายอันน่ากลัว ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประกาศพระสูตรอันประเสริฐสุดนี้ 
3       ข้าแต่ท่านผู้นำ ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักอดทน จักอดกลั้น ต่อความพยายามใส่ร้ายจากคำครหา และคำขู่ของคนพาลทั้งหลาย 
4       ในปัจฉิมกาล อันน่ากลัว มนุษย์เป็นผู้โง่เขลา คดโกง หลอกลวง อหังการด้วยความเป็นพาล สำคัญตนว่า ได้บรรลุแล้วในสิ่งที่ตนยังไม่บรรลุ 
5       ข้าพระองค์ อยู่ป่า นุ่งห่มผ้าขี้ริ้ว ประพฤติไปตามครรลองของชีวิต จักบอกกับคนชั่วอย่างนี้ 
6        ผู้ที่มีความยึดติด ผู้ปรารถนาในรส แต่เป็นผู้สอนธรรมแก่คฤหัสถ์ จักเป็นผู้ที่คฤหัสถ์ทั้งหลายสักการะราวกับว่าผู้ได้อภิญญา หก 
7       คนที่มีจิตโหดร้ายเป็นคนชั่ว คิดถึงแต่ทรัพย์ของคฤหัสถ์ เข้าไปสู่ป่าจักเป็นผู้ปริวาท (ให้ร้าย) พวกข้าพระองค์ 
8       เดียรถีย์ทั้งหลาย ผู้ปรารถนาลาภสักการะ จักกล่าวถึงพวกข้าพระองค์ว่าภิกษุทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมให้โอวาทว่า ตนมีความรู้ 
9       ผู้ที่ต้องการลาภสักการะเป็นเหตุปัจจัย ได้แต่งพระสูตรทั้งหลายขึ้นมาเอง ย่อมกล่าวหาพวกข้าพระองค์ ในท่ามกลางบริษัทว่า เป็นผู้ทำลาย 
10     (กล่าว) ในทำนองเดียวกันกับพระราชาราชบุตร ราชอำมาตย์ นักบวช คฤหบดี และภิกษุเหล่าอื่น 
11     พวกเขาจักกล่าวคำตำหนิพวกเรา ให้ทำตามคำสอนของเดียรถีย์ พวกข้าพระองค์จักอดทนสิ่งทั้งปวง ด้วยความเคารพต่อพระมหาฤษี (พระผู้มีพระภาค) 
12      ในกาลนั้น คนโง่ทั้งหลาย จักดูหมิ่นพวกข้าพระองค์ พวกข้าพระองค์จักอดทนโดยประการทั้งปวง จนกว่าคนเหล่านี้จักรู้แจ้ง 
13      ในกาลอันเป็นมหาภัยที่ทารุณ ปั่นป่วนและน่ากลัวแห่งกัลป์ ภิกษุจำนวนมากผู้มีรูปดุจยักษ์จักพากันตำหนิพวกข้าพระองค์ 
14      พวกข้าพระองค์ จักอดทนสิ่งที่กระทำได้ยาก ด้วยความเคารพในพระผู้เป็นใหญ่แห่งโลก จักยับยั้งคำเหยียดหยาม (คำโต้แย้ง) ด้วยขันติแล้วจักประกาศพระสูตรนี้ 
15      ข้าแต่พระนายกะ (ผู้นำ) ข้าพระองค์ทั้งหลาย ไม่มีความต้องการทางกายและชีวิต แต่เป็นผู้มีความปรารถนาในพระโพธิญาณ และจักเป็นผู้รักษามรดกของพระองค์ 
16      พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ในกาลียุคสุดท้าย ภิกษุชั่วเช่นใดผู้ไม่มีสันธาภาษยะ จักรู้สึกกลัว 
17      ข้าพระองค์พึงอดทนต่อการแสดงหน้านิ่ว (คิ้วขมวด) การปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า การถูกตัดความสัมพันธ์กับอาสนะทองคำ จากวิหารและที่อื่นๆจำนวนมาก 
18      ข้าพระองค์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้คงแก่เรียน ยังระลึกถึงคำสั่งของพระโลกนาถ ในกาลสุดท้ายอยู่ จักประกาศพระสูตรนี้ในท่ามกลางบริษัท 
19      ข้าแต่พระนายกะ (พระผู้นำ) ชนเหล่าใด ผู้มีความต้องการ (ธรรม) แต่ยังรู้สึกยังกลัว ข้าพระองค์ทั้งหลาย จัก
ไปในนคร หมู่บ้านของชนเหล่านั้น ครั้นไปแล้วจักมอบมรดกของพระองค์ (แก่พวกเขา) 
20      ข้าแต่พระมหามุนีผู้เป็นใหญ่ในโลก ข้าพระองค์ทั้งหลาย จักประกาศ หลักธรรมของพระองค์ ของพระองค์ผู้ปรินิพพานแล้ว จงเป็นผู้ขวนขวายน้อย จงถึงความสงบเถิด 
21      พระองค์ทรงหยั่งรู้ความหลุดพ้นของสัตว์ทั้งปวง ผู้เป็นแสงสว่างแห่งโลก ผู้มาแล้วจกาทิศทั้งสิบ และทรงรู้ว่า ข้าพระองค์ทั้งหลาย ย่อมกล่าวคำสัตย์จริง 
 บทที่ 12 อุตสหปริวรรต ว่าด้วยความเพียรพยายาม ในธรรมบรรยาย สัทธรรมปุณฑรีกสูตร อันประเสริฐ  มีเพียงเท่านี้