Translate

01 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย มูลค่าจีวรที่เจ้าทรัพย์ส่งมาถวาย พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑๐
         พรรณนาราชสิกขาบท   
             ราชสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-   ในราชสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               [แก้อรรถมูลเหตุปฐมบัญญัติ]   
              สอง บท ว่า อุปาสกํ สญฺญาเปตฺวา ได้แก่ ให้อุบาสกเงงังข้าใจแล้ว.    อธิบายว่า กล่าวแล้วอย่างนี้ว่า 
            ท่านจงซื้อจีวรด้วยมูลค่านี้แล้ว        ถวายพระเถระ
               บท ว่า ปญฺญาสพนฺโธ มีคำอธิบายว่า ถูกปรับ ๕๐ กหาปณะ.                 ปาฐะว่า ปญฺญาสมฺพนฺโธ ก็มี
    หลาย บท ว่า อชฺชุณฺโห ภนฺเต อาคเมหิ มีความว่า ท่านขอรับ! วันนี้ โปรดหยุด คือยับยั้ง ให้กระผมสักวันหนึ่ง.
               บท ว่า ปรามสิ แปลว่า ได้ยืดไว้.
               บท ว่า ชิโนสิ มีความว่า ท่านถูกพวกเราชนะ คือชนะท่าน       ๕๐ กหาปณะ. อธิบายว่า ท่านจะต้องเสียให้ ๕๐ กหาปณะ.
               บท ว่า ราชโภคฺโค มีวิเคราะห์ว่า ชื่อว่าราชอำมาตย์ เพราะมีเบี้ยเลี้ยงจะพึงบริโภคหรือพึงใช้สอย
           จากพระราชา. ปาฐะว่า ราชโภโค ก็มี. ความว่า ผู้มีโภคะ (ความเป็นใหญ่) จากพระราชา.
               บท ว่า ปหิเณยฺย แปลว่า พึงส่งไป. แต่เพราะมีอรรถตื้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ตรัสบทภาชนะแห่งบทว่า ปหิเณยฺย นั้นไว้.
        ก็ บท ว่า ปหิเณยฺย นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ตรัสบทภาชนะไว้ฉันใด, 
แม้บท ว่า จีวรํ อิตฺถนฺนามํภิกฺขุํ เป็นต้นก็ฉันนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า ไม่ได้ตรัสบทภาชนะไว้ เพราะมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               บท ว่า อาภฏํ แปลว่า นำมาแล้ว.
               สอง บท ว่า กาเลน กปฺปิยํ คือ โดยกาลอันถึงความสมควร.          ความว่า พวกเราจะรับจีวรที่ควรในเวลาพวกเรามีความต้องการ.
               บท ว่า เวยฺยาวจฺจกโร ได้แก่ ผู้ทำกิจ.
               ความว่า กัปปิยการก (ผู้ทำของให้สมควร).
               ข้อว่า สญฺญตฺโต โส มยา มีความว่า คนที่ท่านแสดงเป็นไวยาจักรนั้น ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว คือสั่ง
โดยประการที่เมื่อท่านมีความต้องการด้วยจีวรเขาจะถวายจีวรแก่ท่าน.
  คำว่า อตฺโถ เม อาวุโส จีวเรน นี้เป็นคำแสดงลักษณะแห่งการทวง (ด้วยวาจา). จริงอยู่ คำสำนวนนี้ ควรกล่าว.
               อีกอย่างหนึ่ง อรรถแห่งคำว่า อาวุโส! รูปมีความต้องการด้วยจีวรนั้น ควรกล่าวด้วยภาษาหนึ่ง. ลักษณะนี้
 ชื่อว่าลักษณะแห่งการทวง. ส่วนคำว่า จงให้จีวรแก่รูป เป็นต้น ตรัสไว้เพื่อแสดงอาการที่ไม่ควรกล่าว. 
จริงอยู่ คำเหล่านี้หรือเนื้อความของคำเหล่านี้ไม่ควรกล่าวด้วยภาษาใดภาษาหนึ่ง.    ข้อว่า ทุติยํปิ วตฺตพฺโพ ตติยํปิ 
วตฺตพฺโพ มีความว่า ไวยาวัจกรนั้นอันภิกษุพึงกล่าวคำนี้แลถึง ๓ ครั้งว่า อาวุโส! รูปมีความต้องการจีวร.
               พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกำหนดการทวง ที่ยกขึ้นแสดงในคำว่า พึงทวงพึงเตือนสองสามครั้ง
 อย่างนี้แล้ว บัดนี้เมื่อจะทรงแสดงใจความโดยสังเขปแห่ง บทเหล่านี้ว่า ทฺวิตฺติกฺขตฺตุํ โจทยมาโน สารยมาโน
 ตํ จีวรํ อภินิปฺผาเทยฺย อิจฺเจตํ กุสลํ จึงตรัสว่า ถ้าภิกษุสั่งไวยาวัจกรนั้นให้จัดสำเร็จ การให้จัดสำเร็จได้อย่างนี้
นั้น เป็นการดี. เมื่อทวงถึง ๓ ครั้งอย่างนี้ ถ้าจัดจีวรนั้นให้สำเร็จได้ คือย่อมอาจเพื่อให้สำเร็จ ด้วยอำนาจ (ทำ) ให้ตน
ได้มา, การจัดการให้สำเร็จได้อย่างนี้นั่นเป็นการดี คือให้สำเร็จประโยชน์ ดีงาม             คำว่า จตุกฺขตฺตุํ 
   ปฺจกฺขตฺตุํ ฉกฺขตฺตุปรมํ ตุณฺหีภูเตน อุทฺทิสฺส ฐาตพฺพํ นี้ เป็นการแสดง     ลักษณะแห่งการยืน.
 ก็คำว่า ฉกฺขตฺตุปรมํ นี้บอกภาวนปุงสกลิงค์.
        จริงอยู่ ภิกษุนี้พึงยืนนิ่งเฉพาะจีวร ๖ ครั้งเป็นอย่างมาก. ไม่พึงกระทำกิจอะไรๆ อื่น. นี้เป็นลักษณะแห่งการยืน.
 เพื่อจะทรงแสดงความเป็นผู้นิ่ง (ที่ตรัส) ไว้ในบทว่า ตุณฺหีภูเตน นั้น ซึ่งเป็นสาธารณะแก่การยืนทุกๆ ครั้งก่อน
 พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ตตฺถ คนฺตฺวา ตุณฺหีภูเตน เป็นต้น ในบทภาชนะ.
               [อธิบายการทวงและการยืน] 
               บรรดาบทเหล่านั้น สอง บท ว่า น อาสเน นิสีทิตพฺพํ มีความว่า 
ภิกษุแม้อันไวยาวัจกรกล่าวว่า โปรดนั่งที่นี้เถิด ขอรับ! ก็ไม่ควรนั่ง.
               สอง บท ว่า น อามิสํ ปฏิคฺคเหตพฺพํ มีความว่า แม้อันเขาอ้อนวอนอยู่ว่า โปรดรับอามิสต่างโดย
ยาคูและของเคี้ยวเป็นต้น สักเล็กน้อย ขอรับ! ก็ไม่ควรรับ.
 สอง บท ว่า น ธมฺโม ภาสิตพฺโพ มีความว่า แม้ถูกเขาอ้อนวอนอยู่ว่า โปรดกล่าวมงคล หรืออนุโมทนาเถิด ก็ไม่ควร
กล่าวอะไรเลย. เมื่อถูกเขาถามอย่างเดียวว่า ท่านมาเพราะเหตุอะไร? พึงบอกเขาว่า จงรู้เอาเองเถิด ผู้มีอายุ!
    จริงอยู่ คำว่า ปุจฺฉิยมาโน นี้ เป็นปฐมาวิภัตติลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ.
               อีกอย่างหนึ่ง ผู้ศึกษาพึงเห็นใจความในบท ว่า ปุจฺฉิยมาโน นี้ แม้อย่างนี้ว่า ถูกเขาตั้งปัญหาถาม. 
จริงอยู่ บุคคลใดย่อมตั้งปัญหาถาม, ภิกษุควรตอบบุคคลนั้นเท่านี้แล.
               สอง บท ว่า ฐานํ ภญฺชติ คือ ย่อมหักซึ่งเหตุแห่งการมา.
               บัดนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อทรงแสดงการเพิ่มและการลดในการทวง ๓ ครั้ง และการยืน ๖ ครั้ง
ที่พระองค์ตรัสไว้แล้ว จึงตรัสคำเป็นต้นว่า จตุกฺขตฺตุํ โจเทตฺวา เป็นต้น. อนึ่ง ในพระบาลีนี้ตรัสให้ลดการยืน ๒ ครั้ง
 โดยเพิ่มการทวงครั้งหนึ่ง เพราะฉะนั้น จึงเป็นอันทรงแสดงลักษณะว่า การทวงหนึ่งครั้งเท่ากับการยืนสองครั้ง.
             มีคำอธิบายว่า โดยลักษณะดังกล่าวมานี้ ภิกษุทวง ๓ ครั้ง พึงยืนได้ ๖ ครั้ง, ทวง ๒ ครั้ง พึงยืนได้ ๘ ครั้ง,
ทวงครั้งเดียว พึงยืนได้ ๑๐ ครั้ง, เหมือนอย่างที่ท่านกล่าวไว้ว่า ทวง ๖ ครั้งแล้ว ไม่พึงยืนฉันใด ยืน ๑๒ ครั้ง
แล้ว ก็ไม่พึงทวงฉันนั้น ดังนี้ก็มีเหมือนกัน.              เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบวินิจฉัยในการทวง และการยืน
ทั้งสองนั่นอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุทวงอย่างเดียวไม่ยืน ย่อมได้การทวง ๖ ครั้ง. ถ้ายืนอย่างเดียว ไม่ทวง ย่อมได้การยืน
       ๑๒ ครั้ง. ถ้าทวงบ้าง ยืนบ้าง  พึงลดการยืน ๒ ครั้งต่อการทวงครั้ง ๑.
               บรรดาการทวงและการยืนนั้น ภิกษุใดไปทวงบ่อยๆ วันเดียวเท่านั้นถึง ๖ ครั้ง, หรือว่าไปเพียงครั้งเดียว 
แต่พูด ๖ ครั้งว่า ผู้มีอายุ รูปต้องการจีวร. อนึ่ง ไปยืนบ่อยๆ วันเดียวเท่านั้นถึง ๑๒ ครั้ง, หรือว่าไปเพียงครั้งเดียว
 แต่ยืนในที่นั้นๆ ๑๒ ครั้ง, ภิกษุแม้นั้นย่อมหักการทวงทั้งหมด และการยืนทั้งหมด ก็จะป่วยกล่าวไปไย ในเรื่อง
หักการทวงและการยืนของภิกษุผู้กระทำอย่างนี้ ในต่างวันกันเล่า?
               ข้อว่า ยตสฺส จีวรเจตาปนํ อาภฏํ มีความว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ที่เขานำมาเพื่อภิกษุนั้น จากพระราชา
หรือจากราชอำมาตย์ใด. ปาฐะว่า ยตฺราสฺส ก็มี. เนื้อความอย่างนี้เหมือนกัน. อาจารย์บางพวกสวดว่า ยตฺถสฺส ก็มี
 และกล่าวอรรถว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรอันเขาส่งมาเพื่อภิกษุนั้นในที่ใด. แต่ว่า พยัญชนะไม่สมกัน.
               บท ว่า ตตฺถ มีความว่า ในสำนักแห่งพระราชา หรือว่าราชอำมาตย์นั้น.
               จริงอยู่ คำว่า ตตฺถ นี้ เป็นสัตตมีวิภัตติ ลงในอรรถว่าใกล้.
               ข้อว่า น ตํ ตสฺส ภิกฺขุโน กิญฺจิ อตฺถํ อนุโภติ มีความว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนั้น ไม่ให้สำเร็จกรรม
            น้อยหนึ่ง คือแม้มีประมาณเล็กน้อย แก่ภิกษุนั้น.
 ข้อว่า ยุญฺชนฺตายสฺมนฺโต สกํ มีความว่า ท่านทั้งหลายจงทวงเอาทรัพย์ของตน คือจงตามเอาทรัพย์นั่นคืนไปเสีย.
           ข้อว่า มา โว สกํ วินสฺส มีความว่า ทรัพย์ส่วนตัวของท่านจงอย่าสูญหายไปเลย, อนึ่ง ภิกษุใดย่อมไม่ไปเอง 
ทั้งไม่ส่งทูตไป, ภิกษุนั้นย่อมต้องทุกกฏ เพราะละเลยวัตร.
               [ว่าด้วยกัปปิยการกและไวยาวัจกร]               
               ถามว่า ก็ในกัปปิยการกทั้งปวง จะพึงปฏิบัติอย่างนี้หรือ?
               แก้ว่า ไม่ต้องปฏิบัติ (อย่างนี้เสมอไป).
               แท้จริง ชื่อว่า กัปปิยการกนี้ โดยสังเขปมี ๒ อย่าง คือ ผู้ที่ถูกแสดง ๑ ผู้ที่มิได้ถูกแสดง ๑. ใน ๒ พวกนั้น
กัปปิยการกผู้ที่ถูกแสดงมี ๒ คือ ผู้ที่ภิกษุแสดงอย่างหนึ่ง ผู้ที่ทูตแสดงอย่างหนึ่ง. แม้กัปปิยการกที่ไม่ถูกแสดงก็มี ๒
อย่าง คือ กัปปิยการกผู้ออกปากเป็นเองต่อหน้า ๑ กัปปิยการกลับหลัง ๑. บรรดากัปปิยการก ที่ภิกษุแสดงเป็นต้น
นั้น กัปปิยการกที่ภิกษุแสดง มี ๔ อย่าง ด้วยอำนาจต่อหน้าและลับหลัง. กัปปิยการกที่ทูตแสดงก็เช่นเดียวกันแล.
               อย่างไร?
               คือบุคคลบางคนในโลกนี้ย่อมส่งอกัปปิยวัตถุไปด้วยทูต เพื่อประโยชน์แก่จีวรสำหรับภิกษุ.
 ทูตเข้าไปหาภิกษุรูปนั้น กล่าวว่า ท่านขอรับ! ท่านผู้มีชื่ออย่างนี้ ส่งอกัปปิยวัตถุนี้มาเพื่อประโยชน์แก่จีวร
สำหรับท่าน, ขอท่านจงรับอกัปปิยวัตถุนั้น.
               ภิกษุห้ามว่า อกัปปิยวัตถุนี้ ไม่สมควร.
               ทูตถามว่า ท่านขอรับ! ก็ไวยาวัจกรของท่านมีอยู่หรือ?
             และไวยาวัจกรทั้งหลายที่พวกอุบาสกผู้ต้องการบุญสั่งไว้ว่า พวกท่านจงทำการรับใช้แก่ภิกษุทั้งหลาย
 หรือไวยาวัจกรบางพวกเป็นเพื่อนเคยเห็นเคยคบกันมา ของภิกษุทั้งหลายมีอยู่. บรรดาไวยาวัจกรเหล่านั้นคนใด
คนหนึ่ง นั่งอยู่ในสำนักของภิกษุ ในขณะนั้น.
               ภิกษุแสดงเขาว่า ผู้นี้เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ดังนี้.
               ทูตมอบอกัปปิยวัตถุไว้ในมือของไวยาวัจกรนั้น สั่งว่า ท่านจงซื้อจีวรถวายพระเถระ ดังนี้ แล้วไป. นี้
ชื่อว่าไวยาวัจกรที่ภิกษุแสดงต่อหน้า.        ถ้าไวยาวัจกรมิได้นั่งอยู่ในสำนักของภิกษุ, อนึ่งแล ภิกษุย่อมแสดงขึ้นว่า 
คนชื่อนี้ ในบ้านชื่อโน้น เป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย. ทูตนั้นไปมอบอกัปปิยวัตถุไว้ในมือของไวยาวัจกร
นั้นสั่งว่า ท่านพึงซื้อจีวรถวายพระเถระ มาบอกแก่ภิกษุแล้วจึงไป. ไวยาวัจกรนี้ ชื่อว่าผู้อันภิกษุแสดงไม่พร้อมหน้า
 อย่างหนึ่ง.              ก็แล ทูตนั้นมิได้มาบอกด้วยตนเองเลย แต่กลับวานผู้อื่นไปบอกว่า 
ท่านขอรับ! ทรัพย์สำหรับจ่ายค่าจีวร ผมได้มอบไว้ในมือผู้นั้น, ขอท่านพึงรับเอาจีวรเถิด. ไวยาวัจกรนี้ 
ชื่อว่าผู้อันภิกษุแสดงไม่พร้อมหน้า 
อย่างที่สอง.          ทูตนั้นมิได้วานคนอื่นไปเลย, แต่ไปบอกภิกษุเสียเองแลว่า ผมจักมอบทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไว้
ในมือแห่งผู้นั้น ขอท่านพึงรับเอาจีวรเถิด. ผู้นี้ชื่อว่า ไวยาวัจกรที่ภิกษุแสดงไม่พร้อมหน้า
 อย่างที่สาม.         ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ไวยาวัจกร ๔ จำพวกเหล่านี้ คือ ผู้ที่ภิกษุแสดงต่อหน้าจำพวกหนึ่ง
ผู้ที่ภิกษุแสดงไม่พร้อมหน้า ๓ จำพวก ชื่อว่าไวยาวัจกรที่ภิกษุแสดง. ในไวยาวัจกร ๔ จำพวกนี้ ภิกษุพึงปฏิบัติ
โดยนัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในราชสิกขาบทนี้แล.
         ภิกษุอีกรูปหนึ่งถูกทูตถามแล้วโดยนัยก่อนนั่นแล เพราะไวยาวัจกรไม่มี หรือเพราะไม่อยากจะจัดการ
 จึงกล่าวว่า พวกเราไม่มีกัปปิยการก และในขณะนั้นมีคนบางคนผ่านมา, ทูตจึงมอบอกัปปิยวัตถุไว้ในมือของเขา
 แล้วกล่าวว่า ท่านพึงรับเอาจีวรจากมือของผู้นี้เถิด แล้วไปเสีย.       ไวยาวัจกรนี้ ชื่อว่าผู้อันทูตแสดงต่อหน้า.
           ยังมีทูตอื่นอีกเข้าไปยังบ้านแล้วมอบอกัปปิยวัตถุไว้ในมือของผู้ใดผู้หนึ่งที่ชอบพอกับตน แล้วมาบอกหรือ
วานผู้อื่นไปบอกโดยนัยก่อนนั่นแล หรือกล่าวว่า ผมจักให้ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไว้ในมือของคนชื่อโน้น, ท่านพึงรับ
เอาจีวรเถิด ดังนี้ แล้วไปเสีย. ไวยาวัจกรที่ ๓ นี้ชื่อว่าผู้ที่ทูตแสดง
ไม่พร้อมหน้า.   ด้วยประการดังกล่าวมานี้ ไวยาวัจกร ๔ จำพวกเหล่านี้             คือไวยาวัจกรที่ทูตแสดงต่อหน้า
จำพวกหนึ่ง ไวยาวัจกรที่ทูตแสดงไม่พร้อมหน้า ๓ จำพวก ชื่อว่าไวยาวัจกรที่ทูตแสดง. ในไวยาวัจกร ๔ จำพวก
เหล่านี้ ภิกษุพึงปฏิบัติโดยนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในเมณฑก
สิกขาบทนั่นแล.        สมจริงดังคำที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
           ภิกษุทั้งหลาย! มีอยู่ พวกมนุษย์ที่มีศรัทธาเลื่อมใส, มนุษย์เหล่านั้นย่อมมอบหมายเงินและทองไว้ในมือ
แห่งกัปปิยการกทั้งหลายสั่งว่า พวกท่านจงจัดของที่ควร ถวายแก่พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเงินและทองนี้ ภิกษุทั้งหลาย!
 เราอนุญาตให้ยินดีสิ่งของซึ่งเป็นกัปปิยะจากเงินและทองนั้น,
           ภิกษุทั้งหลาย! แต่เราหากล่าวไม่เลยว่า ภิกษุพึงยินดี         พึงแสวงหาทองและเงิน โดยปริยายไรๆ.
       ในอธิการแห่งไวยาวัจกร ๔ จำพวกที่ทูตแสดงนี้ ไม่มีกำหนดการทวง.
               การที่ภิกษุผู้ไม่ยินดีมูลค่า ยินดีแต่กัปปิยภัณฑ์โดยการทวงหรือการยืน แม้ตั้งพันครั้ง ก็ควร.
 ถ้าไวยาวัจกรนั้นไม่ให้ แม้จะพึงตั้งกัปปิยการกอื่น ให้นำมาก็ได้. ถ้ากัปปิยการกอื่นปรารถนาจะนำมา 
              ภิกษุพึงบอกแม้แก่เจ้าของเดิม. ถ้าไม่ปรารถนา ก็ไม่ต้องบอก.
               ภิกษุอีกรูปหนึ่งถูกทูตถามโดยนัยก่อนเหมือนกัน กล่าวว่า พวกเราไม่มีกัปปิยการก. คนอื่นจากทูตนั้น
ยืนอยู่ใกล้ๆ ได้ยินจึงกล่าวว่า ผู้เจริญ! โปรดนำมาเถิด, ผมจักจ่ายจีวรถวายพระคุณเจ้า ดังนี้. ทูตกล่าวว่า เชิญเถิด
              ท่านผู้เจริญ! ท่านพึงถวาย แล้วมอบไว้ในมือของผู้นั้น                               ไม่บอกแก่ภิกษุเลย ไปเสีย
 นี้ชื่อว่ากัปปิยการกผู้ออกปากเป็นเองต่อหน้า.
 ทูตอีกคนหนึ่งมอบอกัปปิยวัตถุไว้ในมืออุปัฏฐากของภิกษุ หรือคนอื่นสั่งว่า ท่านพึงถวายจีวรแก่พระเถระ แล้วหลีก
ไปจากที่นั่นทีเดียว. นี้ชื่อว่า กัปปิยการกลับหลัง ฉะนั้น กัปปิยการกทั้งสองนี้จึงชื่อว่า กัปปิยการกที่ทูต
ไม่ได้แสดง.       ในกัปปิยการกทั้ง ๒ นี้ พึงปฏิบัติเหมือนในอัญญาตกสิกขาบทและอัปปวาริตสิกขาบทฉะนั้น.
 ถ้ากัปปิยการกที่ทูตมิได้แสดงทั้งหลาย นำจีวรมาถวายเอง ภิกษุพึงรับ, ถ้าไม่ได้นำมาถวาย อย่าพึงพูดคำอะไรๆ.
     ก็คำว่า ทูเตน จีวรเจตาปนํ ปหิเณยฺย นี้ สักว่าเป็นเทศนาเท่านั้น.
               ถึงในพวกกัปปิยการกแม้ผู้นำอกัปปิยวัตถุมาถวาย เพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาตเป็นต้นด้วยตนเอง 
ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. ภิกษุจะรับเพื่อประโยชน์แก่ตนเองอย่างเดียวเท่านั้น ไม่สมควร.
               [วิธีปฏิบัติในเรื่องเงินและทองที่มีผู้ถวาย]      
            ถ้าใครๆ นำเอาทองและเงินมากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายทองและเงินนี้แก่สงฆ์, ท่านทั้งหลายจงสร้างอาราม
 วิหาร เจดีย์หรือหอฉันเป็นต้น อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตาม, จะรับทองและเงินแม้นี้ไม่ควร.
               ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า ด้วยว่าเป็นทุกกฏแก่ภิกษุรูปใดรูปหนึ่งผู้รับเพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่น. 
ก็ถ้าเมื่อภิกษุปฏิเสธว่า ภิกษุทั้งหลายจะรับทองและเงินนี้ ไม่สมควร. เขากล่าวว่า ทองและเงินจักอยู่ในมือของ
พวกช่างไม้หรือพวกกรรมกร, ท่านทั้งหลายจงรับทราบการงานที่เขาทำดี และไม่ดีอย่างเดียว ดังนี้แล้ว มอบไว้
ในมือพวกช่างไม้หรือพวกกรรมกรเหล่านั้นจึงหลีกไป, จะรับก็ควร.
               ถ้าแม้น เขากล่าวว่า ทองและเงินจักอยู่ในมือของพวกคนของผมเอง, หรือว่าจักอยู่ในมือของผมเอง, 
ท่านพึงส่งข่าวไปเพื่อประโยชน์แก่บุคคลผู้ที่เราจะต้องให้ทองและเงินเขาอย่างเดียว, แม้อย่างนี้ก็ควร.
ก็ถ้าว่าพวกเขาไม่ระบุสงฆ์ คณะหรือบุคคล กล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายถวายเงินและทองนี้แก่เจดีย์, ถวายแก่วิหาร,
 ถวายเพื่อนวกรรม ดังนี้ จะปฏิเสธไม่สมควร. พึงบอกแก่พวกกัปปิยการกว่า ชนพวกนี้กล่าวคำนี้.  แต่เมื่อเขากล่าว
ว่า ท่านทั้งหลายจงรับเก็บไว้เพื่อประโยชน์แก่เจดีย์เป็นต้นเถิด พึงปฏิเสธว่าการที่พวกเรารับไว้ไม่สมควร.
           แต่ถ้าคนบางคนนำเอาเงินและทองมามากกล่าวว่า ข้าพเจ้าขอถวายเงินและทองนี้แก่สงฆ์ ท่านทั้งหลาย
จงบริโภคปัจจัย ๔ เถิด, ถ้าสงฆ์รับเงินและทองนั้น เป็นอาบัติทั้งเพราะรับ ทั้งเพราะบริโภค.
               ถ้าบรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุรูปหนึ่งปฏิเสธว่า สิ่งนี้ไม่ควร. และอุบาสกกล่าวว่า ถ้าไม่ควรจักเป็น
ของผมเสียเอง ดังนี้แล้วไป, ภิกษุนั้นอันภิกษุบางรูปไม่พึงกล่าวคำอะไรๆ ว่า เธอทำอันตรายลาภของสงฆ์, เพราะ
ภิกษุใดโจทเธอ, ภิกษุนั้นเองเป็นผู้มีอาบัติติดตัว. แต่เธอรูปเดียวกระทำภิกษุเป็นอันมากไม่ให้เป็นอาบัติ.
               ก็ถ้าว่า เมื่อภิกษุทั้งหลายปฏิเสธว่า ไม่ควร. เขากล่าวว่า จักอยู่ในมือของพวกกัปปิยการก หรือจักอยู่
ในมือของพวกคนของผม หรือในมือของผม ท่านทั้งหลายจงบริโภคปัจจัยอย่างเดียวเท่านั้น ดังนี้ สมควรอยู่.
               อนึ่ง เขาถวายเพื่อประโยชน์แก่จตุปัจจัย พึงน้อมไปเพื่อปัจจัยที่ต้องการ. เขาถวายเพื่อประโยชน์
แก่จีวร พึงน้อมไปในจีวรเท่านั้น. ถ้าว่าไม่มีความต้องการจีวรนั้น สงฆ์ลำบากด้วยปัจจัยมีบิณฑบาตเป็นต้น 
พึงอปโลกน์เพื่อความเห็นดีแห่งสงฆ์แล้วน้อมไป แม้เพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาตเป็นต้น. แม้ในอกัปปิยวัตถุ
ที่เขาถวาย เพื่อประโยชน์แก่บิณฑบาตและคิลานปัจจัย ก็นัยนี้.
               อนึ่ง อกัปปิยวัตถุที่เขาถวายเพื่อประโยชน์แก่เสนาสนะ พึงน้อมไปในเสนาสนะเท่านั้น เพราะเสนาสนะ
เป็นครุภัณฑ์. ก็ถ้าว่า เมื่อพวกภิกษุละทิ้งเสนาสนะไป เสนาสนะจะเสียหาย, ในกาลเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย แม้จำหน่ายเสนาสนะแล้วบริโภค (ปัจจัย) ได้.
           เพราะฉะนั้น เพื่อรักษาเสนาสนะไว้ ภิกษุอย่ากระทำให้ขาดมูลค่า พึงบริโภคพอยังอัตภาพให้เป็นไป.
 และมิใช่แต่เงินทองอย่างเดียวเท่านั้น, แม้อกัปปิยวัตถุอื่นมีนาและสวนเป็นต้น อันภิกษุไม่ควรรับ.
               [วิธีปฏิบัติในบึงและสระน้ำเป็นต้นที่มีผู้ถวาย]               
               ถ้าใครๆ กล่าวว่า บึงใหญ่ให้สำเร็จข้าวกล้า ๓ ครั้งของข้าพเจ้ามีอยู่ ข้าพเจ้าขอถวายบึงใหญ่นั้นแก่สงฆ์, 
ถ้าสงฆ์รับบึงใหญ่นั้น เป็นอาบัติทั้งในการรับ ทั้งในการบริโภคเหมือนกัน. แต่ภิกษุใดปฏิเสธบึงใหญ่นั้น ภิกษุนั้น
อันภิกษุบางรูปไม่ควรว่ากล่าวอะไรๆ โดยนัยก่อนเหมือนกัน. เพราะว่าภิกษุใดโจทเธอ, ภิกษุนั่นเองมีอาบัติติดตัว. 
แต่เธอรูปเดียวได้ทำให้ภิกษุมากรูปไม่ต้องอาบัติ.              อนึ่ง ผู้ใดแม้กล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายบึงใหญ่เช่นนั้น
เหมือนกัน ถูกพวกภิกษุปฏิเสธว่า ไม่ควร, ถ้ายังกล่าวว่า บึงโน้นและบึงโน้นของสงฆ์ มีอยู่, บึงนั้นย่อมควรได้
 อย่างไร? พึงบอกเขาว่า เขาจักทำให้เป็นกัปปิยะแล้วถวายกระมัง? เขาถามว่า ถวายอย่างไร จึงจะเป็นกัปปิยะ?
 พึงกล่าวว่า เขากล่าวถวายว่า ท่านทั้งหลายจงบริโภคปัจจัย ๔ เถิดดังนี้.                   ถ้าเขากล่าวว่า ดีละขอรับ! 
               ขอท่านทั้งหลายจงบริโภคปัจจัย ๔ เถิดดังนี้, ควรอยู่.
               ถ้าแม้น เขากล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงรับบึงเถิด ถูกพวกภิกษุทั้งหลายห้ามว่าไม่ควรแล้วถามว่า
 กัปปิยการกมีอยู่หรือ? เมื่อภิกษุตอบว่า ไม่มี จึงกล่าวว่า คนชื่อโน้นจักจัดการบึงนี้ หรือว่า จักอยู่ในความดูแลของ
คนโน้น  หรือ               ในความดูแลของข้าพเจ้า ขอสงฆ์จงบริโภคกัปปิยภัณฑ์เถิด            ดังนี้, จะรับควรอยู่.
               ถ้าแม้นว่า ทายกนั้นถูกภิกษุปฏิเสธว่า ไม่ควร แล้วกล่าวว่า คนทั้งหลายจักบริโภคน้ำ จักซักล้างสิ่งของ, 
                    พวกเนื้อและนกจักดื่มกิน, แม้การกล่าวอย่างนี้ ก็สมควร.
               ถ้าแม้นว่า ทายกถูกภิกษุปฏิเสธว่า ไม่ควร แล้วยังกล่าวว่า ขอท่านทั้งหลายจงรับโดยมุ่งถึงของ
สมควรเป็นใหญ่เถิด, ภิกษุจะกล่าวว่า ดีละ อุบาสก! สงฆ์จักดื่มน้ำ จักซักล้างสิ่งของ พวกเนื้อและนกจักดื่มกิน
ดังนี้ แล้วบริโภค ควรอยู่.               แม้หากว่า เมื่อทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายบึงหรือสระโบกขรณีแก่สงฆ์ ภิกษุ
จะกล่าวคำเป็นต้นว่า ดีละ อุบาสก! สงฆ์จักดื่มน้ำ แล้วบริโภคใช้สอย สมควรเหมือนกัน.              ก็ถ้า พวกภิกษุ
ขอหัตถกรรม และขุดกัปปิยปฐพีด้วยมือของตนเอง ให้สร้างสระน้ำเพื่อต้องการใช้น้ำ, ถ้าพวกชาวบ้านอาศัย
สระนั้นทำข้าวกล้าให้สำเร็จแล้วถวายกัปปิยภัณฑ์ในวิหาร ควรอยู่.
           ถ้าแม้นว่า พวกชาวบ้านนั่นแหละขุดพื้นที่ของสงฆ์เพื่อต้องการอุปการะแก่สงฆ์ แล้วถวายกัปปิยภัณฑ์
จากกล้าที่อาศัยสระน้ำนั้นสำเร็จแล้ว, กัปปิยภัณฑ์แม้นี้ ก็สมควร. ก็เมื่อเขากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงตั้งกัปปิยการก
ให้พวกผมคนหนึ่ง แม้ภิกษุจะตั้งก็ได้.     อนึ่ง ถ้าพวกชาวบ้านนั้นถูกราชพลีรบกวนพากันหนีไป, ชาวบ้านอื่นจักทำ
อยู่ และไม่ถวายอะไรๆ แก่ภิกษุทั้งหลาย, พวกภิกษุหวงห้ามน้ำก็ได้. ก็แลการหวงน้ำนั้น ย่อมได้ในฤดูทำนา
เท่านั้น ไม่ใช่ในฤดูข้าวกล้า (สำเร็จแล้ว). ถ้าพวกชาวบ้านกล่าวว่า ท่านขอรับ! แม้เมื่อก่อนพวกชาวบ้านได้
อาศัยน้ำนี้ทำข้าวกล้ามิใช่หรือ? เมื่อนั้นพึงบอกพวกเขาว่า พวกนั้นเขาได้กระทำอุปการะอย่างนี้ และอย่างนี้
แก่สงฆ์ และได้ถวายแม้กัปปิยภัณฑ์ อย่างนี้. ถ้าว่า พวกเขากล่าวว่า แม้พวกข้าพเจ้าก็จักถวาย ดังนี้, อย่างนี้ก็ควร.
               ก็ถ้าว่า ภิกษุบางรูปไม่เข้าใจ รับสระหรือให้สร้างสระโดยอกัปปิยโวหาร, สระนั้นพวกภิกษุไม่ควรบริโภค
ใช้สอย. แม้กัปปิยภัณฑ์ที่อาศัยสระนั้นได้มา ก็เป็นอกัปปิยะเหมือนกัน.
               ถ้าเจ้าของ (สระ) บุตรและธิดาของเขา หรือใครๆ อื่นผู้เกิดในสกุลวงศ์ของเขา ทราบว่า ภิกษุทั้งหลาย
สละแล้ว จึงถวายด้วยกัปปิยโวหารใหม่, สระนั้น ควร. เมื่อสกุลวงศ์ของเขาขาดสูญ ผู้ใดเป็นเจ้าของชนบทนั้น ผู้นั้น
ริบเอาแล้วถวายคืน เหมือนราชมเหสีนามว่า อนุฬา ทรงริบเอาฝายน้ำที่
ภิกษุในจิตตลดาบรรพตชักมาแล้ว ถวายคืนฉะนั้น, แม้อย่างนี้ก็ควร.
               จะทำการโกยดินขึ้นและกั้นคันสระใหม่ ในสระที่รับไว้ด้วยอำนาจแห่งน้ำ แม้เป็นกัปปิยโวหาร ย่อมควร
แก่ภิกษุผู้มีจิตบริสุทธิ์. แต่การที่ภิกษุเห็นพวกชาวบ้านอาศัยสระนั้น กระทำข้าวกล้าอยู่ จะตั้งกัปปิยการก 
ไม่ควร. ถ้าพวกเขาถวายกัปปิยภัณฑ์เสียเอง ควรรับ, ถ้าพวกเขาไม่ถวาย ไม่ควรทวงไม่ควรเตือน. การที่จะตั้ง
กัปปิยการกในสระที่รับไว้ด้วยอำนาจแห่งปัจจัย ควรอยู่. แต่จะทำการโกยดินขึ้นและกั้นคันสระเป็นต้น ไม่ควร, 
ถ้าพวกกัปปิยการกกระทำเองเท่านั้น จึงควร.
เมื่อลัชชีภิกษุผู้ฉลาดใช้พวกกัปปิยการกทำการโกยดินขึ้นเป็นต้น สระน้ำจะเป็นกัปปิยะในเพราะการรับ
 แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้นก็เป็นการบริโภคไม่ดี ดุจบิณฑบาตที่เจือยาพิษ และดุจโภชนะที่เจืออกัปปิยมังสะฉะนั้น 
เพราะกัปปิยภัณฑ์ที่เจือด้วยสิ่งของอันเกิดจากประโยคของภิกษุเป็นปัจจัย เป็นอกัปปิยะแก่พวกภิกษุทั่วไป
เหมือนกัน. แต่ถ้ายังมีโอกาสเพื่อน้ำ ภิกษุจะจัดการเฉพาะน้ำเท่านั้นอย่างนี้ว่า ท่านจงทำโดยประการที่คันของสระ
จะมั่นคง จุน้ำได้มาก คือจงทำให้น้ำเอ่อขึ้นปริ่มฝั่ง ดังนี้ ควรอยู่.
               [วิธีปฏิบัติในพืชผลที่ได้เพราะอาศัยสระน้ำของวัดเป็นต้น]       
   ชนทั้งหลายกำลังดับไฟที่เตาไฟ จะกล่าวว่า พวกท่านจงได้อุทกกรรมก่อนเถิด อุบาสก ดังนี้ ก็ควร. แต่จะกล่าว
ว่า ท่านจงกระทำข้าวกล้าแล้วนำมา ไม่ควร. ก็ถ้าว่า ภิกษุเห็นน้ำในสระมากเกินไป ให้ชักเหมืองออกจากด้านข้าง
หรือด้านหลัง ให้ถางป่า ให้ทำคันนาทั้งหลาย ไม่ถือส่วนปกติในคันนาเดิม ถือเอาส่วนที่เกิน, กะเกณฑ์เอากหาปณะ
ว่า ท่านทั้งหลายจงให้กหาปณะประมาณเท่านี้ ในข้าวกล้านอกฤดูกาล หรือในข้าวกล้าใหม่ซึ่งไม่ได้กำหนดไว้,
 เป็นอกัปปิยะแก่ภิกษุทุกรูป.              อนึ่ง ภิกษุใดไม่ได้กล่าวว่า พวกท่านจงไถ จงหว่าน กะพื้นที่อย่างนี้ว่า 
สำหรับพื้นที่เท่านี้ มีส่วนชื่อประมาณเท่านี้ก็ดี เมื่อพวกชาวนากล่าวว่า พวกผมกระทำข้าวกล้าในส่วนพื้นที่เท่านี้,
ท่านทั้งหลายจงถือเอาส่วนชื่อประมาณเท่านี้ เอาเชือกหรือไม้เท้าวัดเพื่อกำหนดประมาณพื้นที่ก็ดี ยืนรักษาอยู่ที่
ลานก็ดี ให้ขนออกจากลานไปก็ดี ให้เก็บไว้ในฉางก็ดี ผลที่เกิดขึ้นจากพื้นที่นั้น เป็นอกัปปิยะแก่ภิกษุรูปนั้นเท่านั้น.
      ถ้าชาวนาทั้งหลายนำกหาปณะมากล่าวว่า กหาปณะเหล่านี้พวกผมนำมาเพื่อสงฆ์, และภิกษุรูปใดรูปหนึ่งกล่าว
ว่า ท่านจงนำผ้ามาด้วยกหาปณะเท่านี้ จงจัดข้าวยาคูเป็นต้นด้วยกหาปณะประมาณเท่านี้ ด้วยความสำคัญว่า สงฆ์
ไม่รับกหาปณะ. สิ่งของที่พวกเขานำมา เป็นอกัปปิยะแก่พวกภิกษุทั่วไป.
               ถามว่า เพราะเหตุไร ตอบว่า เพราะภิกษุจัดการกหาปณะ.
               ถ้าพวกชาวนานำข้าวเปลือกมากล่าวว่า ข้าวเปลือกนี้                 พวกผมนำมาเพื่อสงฆ์, และภิกษุรูปใด
รูปหนึ่งกล่าวว่า พวกท่านจงนำเอาสิ่งนี้และสิ่งนี้มาด้วยข้าวเปลือกประมาณเท่านี้        โดยนัยก่อนนั่นแล สิ่งของที่
พวกเขานำมา เป็นอกัปปิยะเฉพาะแก่ภิกษุนั้นเท่านั้น.      เพราะเหตุไร?                 เพราะภิกษุจัดการข้าวเปลือก
    ถ้าพวกเขานำเอาข้าวสารหรืออปรัณชาติมากล่าวว่า พวกผมนำสิ่งของนี้มาเพื่อสงฆ์. และภิกษุรูปใด รูปหนึ่ง
กล่าวว่า พวกท่านจงนำเอาสิ่งนี้และสิ่งนี้มาด้วยข้าวสารมีประมาณเท่านี้ โดยนัยก่อนนั่นแล, สิ่งของที่พวกเขา
นำมา เป็นกัปปิยะแก่ภิกษุทั้งหมด. เพราะเหตุไร? เพราะภิกษุจัดการข้าวสารเป็นต้นที่เป็นกัปปิยะ. 
           ไม่เป็นอาบัติแม้ในเพราะซื้อขาย เพราะบอกกัปปิยการก.
               แต่ในครั้งก่อน ภิกษุรูปหนึ่งที่จิตตลดาบรรพต ได้กระทำมณฑล (รูปดวงจันทร์) ไว้ที่พื้นดิน ใกล้ประตู
ศาลา ๔ มุข เพื่อให้เกิดความเข้าใจแก่พวกคนวัดโดยรำพึงว่า โอหนอ! 
        พวกคนวัดพึงทอดขนมประมาณเท่านี้ เพื่อสงฆ์ในวันพรุ่งนี้.
               อารามิกชนผู้ฉลาด เห็นมณฑลนั้น (รูปดวงจันทร์) แล้ว ได้ทำอย่างนั้น ในวันที่สอง เมื่อพวกเขาตี
กลองประชุมสงฆ์แล้ว จึงถือขนมไปเรียนพระสังฆเถระว่า ท่านขอรับ! ในกาลก่อนนี้ พวกผมไม่เคยได้ยินบิดา
มารดา ไม่เคยได้ฟังปู่ย่าตายาย (บอกเล่าเหตุการณ์) อย่างนี้เลย, พระคุณเจ้ารูปหนึ่งได้ทำเครื่องหมายที่ประตู
ศาลา ๔ มุข เพื่อประโยชน์แก่ขนม, บัดนี้จำเดิมแต่นี้ไป พระคุณเจ้าทั้งหลายจงบอกตามความพอใจ
ของตนๆ เถิด แม้พวกผมก็จักอยู่เป็นผาสุก.  พระมหาเถระกลับจากที่นั้นทันที. แม้ภิกษุรูปหนึ่งก็ไม่รับขนมเลย. 
ในกาลก่อน ภิกษุทั้งหลายย่อมไม่ฉันแม้ขนมที่เกิดขึ้นในอารามนั้น อย่างนี้.
               เพราะฉะนั้น        ภิกษุผู้ไม่ประมาท ไม่ละการปฏิบัติขัดเกลา
                        ไม่พึงกระทำความโลเล เพื่อประโยชน์แก่อามิส
                         แม้ในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ ฉะนี้แล.
               อนึ่ง แม้ในสระโบกขรณี ฝายและเหมืองเป็นต้น ก็มีนัยดังนัยที่กล่าวไว้แล้วในสระนี้เหมือนกัน. แม้
เมื่อทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายนาหรือว่าสวน อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่เพาะปลูกบุพพัณชาติ อปรัณชาติ
 อ้อยและมะพร้าวเป็นต้น. ภิกษุพึงปฏิเสธว่า ไม่ควร แล้วปฏิบัติโดยนัยดังกล่าวแล้วในสระนั่นแล.
               ในเวลาเขากล่าวด้วยกัปปิยโวหารว่า ข้าพเจ้าถวายเพื่อประโยชน์แก่การบริโภคปัจจัย ๔ ภิกษุควรรับ, 
       ก็เมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายสวน, ถวายป่า ควรจะรับไว้.
        ถ้าพวกชาวบ้านมิได้ถูกภิกษุบังคับเลย ตัดต้นไม้ในป่านั้น ยังอปรัณชาติเป็นต้นให้ถึงพร้อมแล้ว ถวายส่วนแก่
ภิกษุทั้งหลาย จะรับก็ควร. พวกเขาไม่ถวาย ไม่ควรทวง ไม่ควรเตือน.
   ถ้าเมื่อพวกเขาพากันอพยพไป เพราะอันตรายบางอย่าง คนพวกอื่นทำ และไม่ถวายอะไรๆ เลยแก่ภิกษุทั้งหลาย,
 พึงห้ามชนเหล่านั้น. ถ้าพวกเขากล่าวว่า แม้เมื่อก่อน พวกชาวบ้านได้กระทำข้าวกล้าในที่นี้มิใช่หรือ ขอรับ! 
ลำดับนั้น พึงบอกเขาว่า พวกนั้นเขาได้ให้กัปปิยภัณฑ์อย่างนี้ๆ แก่สงฆ์. 
           ถ้าพวกเขากล่าวว่า แม้พวกผมก็จักถวาย. อย่างนี้ ควรอยู่.
               พวกเขากล่าวหมายถึงภูมิประเทศที่เพาะปลูกข้าวกล้าบางแห่งว่า ข้าพเจ้าจะถวายเขตแดน ควรอยู่. 
แต่ภิกษุทั้งหลายไม่ควรปักเสาหรือวางหิน เพื่อกำหนดเขตแดนเอง. เพราะเหตุไร? เพราะธรรมดาว่า แผ่นดินมีค่า
นับไม่ได้, ภิกษุจะพึงเป็นปาราชิก แม้ด้วยเหตุเล็กน้อย. แต่พึงบอกพวกอารามิกชนว่า เขตของพวกเราไปถึงที่
นี้. ก็ถ้าแม้นว่าพวกเขาถือเอาเกินไปไม่เป็นอาบัติ เพราะกล่าวโดยปริยาย. ก็ถ้าว่าพระราชาและราชอำมาตย์เป็นต้น
 ให้ปักเสาเองแล้วถวายว่า ขอท่านทั้งหลายจงบริโภคปัจจัย ๔ เถิด การถวายนั้น ควรเหมือนกัน.
           ถ้าใครๆ ขุดสระภายในเขตแดนสีมา หรือไขเหมืองไปโดยท่ามกลางวัด ย่อมทำลายลานพระเจดีย์และ
ลานโพธิ์เป็นต้น พึงห้าม. ถ้าสงฆ์ได้อะไรๆ บางอย่างแล้ว ไม่ห้าม เพราะหนักในอามิส, ภิกษุรูปหนึ่งห้าม 
ภิกษุรูปนั้นเท่านั้นเป็นใหญ่. ถ้าภิกษุรูปหนึ่งกล่าวว่า พวกท่านจงไขไป ไม่ห้าม
คือเป็นพรรคพวกของชาวบ้านเหล่านั้นนั่นแล, สงฆ์ห้าม สงฆ์เท่านั้นเป็นใหญ่.
   จริงอยู่ ในกรรมอันเป็นของสงฆ์ ภิกษุรูปใดทำกรรมเป็นธรรม. ภิกษุรูปนั้นเป็นใหญ่. ถ้าแม้บุคคลที่ถูกภิกษุห้ามอยู่
 ยังขืนกระทำ, พึงกลบดินร่วนที่เขาคุ้ยไว้ข้างล่างถมข้างล่าง กลบดินร่วนที่เขาคุ้ยไว้ข้างบนถมข้างบนให้เต็ม.
        พระมหาสุมเถระกล่าวว่า ถ้าใครๆ ประสงค์จะถวายอ้อย หรืออปรัณชาติ หรือผลไม้เถา มีน้ำเต้าและฟักเป็นต้น
 ตามที่เกิดแล้วนั่นแหละ กล่าวว่า ข้าพเจ้าจะถวายไร่อ้อย ไร่อปรัณชาติ หลุม (เพาะปลูก) ผลไม้เถาทั้งหมดนี้
 ดังนี้, ไม่ควร เพราะเขาระบุพร้อมวัตถุ (ไร่). ส่วนพระมหาปทุมเถระกล่าวว่า นั่นเป็นแต่เพียงโวหาร เพราะภูมิภาค
                นั่นยังเป็นของพวกเจ้าของอยู่นั่นเอง เพราะเหตุนั้น จึงควร.
               [วิธีปฏิบัติในทาส คนวัด และปศุสัตว์ที่มีผู้ถวาย]               
        ทายกกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายทาส การถวายนั้น ไม่ควร. เมื่อเขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายคนวัด ถวายไวยาวัจกร
ถวายกัปปิยการก ดังนี้ จึงควร.               ถ้าอารามิกชนนั้นทำการงานของสงฆ์เท่านั้นทั้งก่อนภัตและภายหลังภัต
ภิกษุพึงกระทำแม้การพยาบาลด้วยยาทุกอย่างแก่เขาเหมือนกับสามเณร. ถ้าเขาทำการงานของสงฆ์ก่อนภัตเวลา
เดียว ภายหลังภัตไปกระทำการงานของตน ไม่พึงให้อาหาร ในเวลาเย็น. แม้ชนจำพวกใดกระทำงานของสงฆ์ตาม
วาระ ๕ วัน หรือตามวาระปักษ์ ในเวลาที่เหลือทำงานของตน พึงให้ภัตและอาหารแม้แก่บุคคลพวกนั้น ในเวลา
กระทำเท่านั้น. ถ้าการงานของสงฆ์ไม่มี พวกเขากระทำงานของตนเองเลี้ยงชีพ. ถ้าพวกเขานำเอามูลค่าหัตถกรรม
มาถวาย พึงรับ. ถ้าพวกเขาไม่ถวาย ก็อย่าพึงพูดอะไรๆ เลย. การรับทาสย้อม
ผ้าก็ดี ทาสช่างหูกก็ดี อย่างใดอย่างหนึ่ง โดยชื่อว่า อารามิกชน ควรอยู่.
               ถ้าพวกทายกกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายโคทั้งหลาย ดังนี้ ภิกษุพึงห้ามพวกเขาว่า ไม่สมควร. 
เมื่อมีพวกชาวบ้านถามว่า โคเหล่านี้ ท่านได้มาจากไหน? พึงบอกเขาว่า พวกบัณฑิตถวายไว้เพื่อประโยชน์แก่การ
บริโภคปัญจโครส. เมื่อพวกเขากล่าวว่า แม้พวกผมก็ถวาย เพื่อประโยชน์บริโภคปัญจโครส ดังนี้ ควรอยู่.
               แม้ในปศุสัตว์มีแม่แพะเป็นต้น ก็นัยนี้แหละ.
               พวกชาวบ้านกล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายช้าง, ถวายม้า, กระบือ, ไก่, สุกร ดังนี้, จะรับไม่ควร. 
ถ้าพวกชาวบ้านบางหมู่กล่าวว่า ท่านขอรับ! ขอท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ขวนขวายน้อยเถิด พวกผมจักรับ
สัตว์เหล่านี้แล้ว ถวายกัปปิยภัณฑ์แก่ท่านทั้งหลาย แล้วรับไป ย่อมควร. จะปล่อยเสียในป่าด้วยกล่าวว่า 
ไก่และสุกรเหล่านี้จงอยู่ตามสบายเถิด ดังนี้ ก็ควร. เมื่อเขากล่าวว่า พวกข้าพเจ้าถวายสระนี้ นานี้ 
                  ไร่นี้ แก่วิหาร ภิกษุจะปฏิเสธไม่ได้ฉะนี้แล.
               คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น ดังนี้แล.
               บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทแม้นี้ก็มีสมุฏฐาน ๖ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ 
         ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
               พรรณนาราชสิกขาบทในอรรถกถาพระวินัย.               
                 ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ       
       และจบวรรคที่ ๑      

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๑๐ ว่าด้วย มูลค่าจีวรที่เจ้าทรัพย์ส่งมาถวาย พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
    [๗๐] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี
. ครั้นนั้น มหาอำมาตย์ ผู้อุปัฏฐากของท่านพระอุปนันทศากย
บุตร ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปกับทูตถวายแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตรสั่งว่า เจ้าจงจ่าย จีวรด้วยทรัพย์จ่ายจีวร
นี้ แล้วให้ท่านพระอุปนันทครองจีวร. จึงทูตนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะท่าน
พระอุปทนันทศากยบุตรว่า ท่านเจ้าข้า ทรัพย์สำหรับ จ่ายจีวรนี้แล กระผมนำมาถวายเฉพาะพระคุณเจ้า ขอ
พระคุณเจ้าจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร. เมื่อทูตนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้ตอบคำนี้ กะทูต
นั้นว่า พวกเรารับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่ได้, รับได้แต่จีวรอันเป็นของควรโดยการเท่านั้น; เมื่อท่านตอบอย่างนั้น
แล้ว ทูตนั้นได้ถามท่านว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกรของท่านมีหรือ? ขณะนั้น อุบาสกผู้หนึ่งได้เดินไปสู่อารามด้วย
กรณียะบางอย่าง จึงท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวคำนี้กะทูตนั้นว่า อุบาสกนั้นแล เป็นไวยาวัจกรของภิกษุ
ทั้งหลาย.        จึงทูตนั้น สั่งอุบาสกนั้น    ให้เข้าใจแล้ว           กลับเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตรแจ้งว่า
       ท่านเจ้าข้า อุบาสกที่พระคุณเจ้าแสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น, 
      กระผมสั่งให้เข้าใจแล้ว; ขอพระคุณ เจ้าจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล. 
            ขณะนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตรไม่ได้พูดอะไรกะอุบาสกนั้น. แม้ครั้งที่สอง
แล ท่านมหาอำมาตย์นั้น ก็ได้ส่งทูตไปในสำนักท่านพระอุปนันทศากยบุตร ว่า ขอพระคุณเจ้าจงใช้สอย
จีวรนั้น, ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้จีวรนั้น; แม้ครั้งที่สอง ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ก็มิได้พูดอะไร 
กะอุบาสกนั้น. แม้ครั้งที่สามแล ท่านมหาอำมาตย์นั้น ก็ได้ส่งทูตไปในสำนักท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ขอ
พระคุณเจ้าจงใช้สอยจีวรนั้น, ข้าพเจ้าต้องการจะให้พระคุณเจ้าใช้จีวรนั้น. ก็สมัยนั้น เป็นคราวประชุมของชาวนิคม
 และชาวนิคมได้ตั้งกติกากันไว้ว่า. ผู้ใดมาภาย หลัง ต้องถูกปรับ ๕๐ กหาปณะ. คราวนั้น ท่านอุปนันทศากยบุตร
เข้าไปหาอุบาสกนั่น. ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะเขาว่า ฉันต้องการจีวร, อุบาสกนั้นขอผลัดว่า ท่านเจ้าข้า โปรดรอสัก
วันหนึ่งก่อน, วันนี้เป็นสมัยประชุมของ ชาวนิคม และชาวนิคมได้ตั้งกติกากันไว้ว่า ผู้ใดมาภายหลังต้องถูกปรับ ๕๐
 กหาปณะ. ท่านพระอุปนันทศากยบุตรได้กล่าวคาดคั้นว่า ท่านจงให้จีวรแก่ฉันในวันนี้แหละ แล้ว ยึดชายพกไว้. 
 ครั้นอุบาสกนั้นถูกคาดคั้น จึงจ่ายจีวรถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร แล้วจึงได้ ไปภายหลัง. คนทั้งหลายพากัน
ถามอุบาสกนั้นว่า เหตุไรท่านจึงได้มาภายหลัง? ท่านต้องเสีย เงิน ๕๐ กหาปณะ. จึงอุบาสกนั้นได้เล่าเรื่องนั้น
ให้คนเหล่านั้นฟัง คนทั้งหลาย พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ จะทำการช่วยเหลือคนเหล่านี้บ้าง ก็ทำไม่ได้ง่าย ไฉนพระอุปนันทศากยบุตร เมื่ออุบาสก
ขอผลัด ว่าท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน ก็รอไม่ได้? ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนเหล่านั้นเพ่งโทษ ติเตียน
โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน
 โพนทะนาว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตร เมื่ออุบาสกขอผลัดว่า ท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน ก็รอ
                    ไม่ได้? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
 ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรก เกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันท ข่าวว่า เธออันอุบาสกขอ ผลัดว่า 
ท่านเจ้าข้า กรุณารอสักวันหนึ่งก่อน ก็รอมิได้ ดังนี้ จริงหรือ?
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจ
ของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำไฉน เธอเมื่ออุบาสกขอผลัดว่า กรุณา รอสักวันหนึ่งจึงไม่รอเล่า? การกระทำของเธอ
นั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว
 โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่นเป็น ไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่
ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่ เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
           พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตรโดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษ แห่งความเป็นคน
เลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัส
คุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
 อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่อง
นั้น ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจัก
บัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ 
เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่อความอยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกัน
อาสวะอัน จะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง 
ไม่เลื่อมใส ๑    เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑              เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑.            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๒๙.๑๐ อนึ่ง พระราชาก็ดี ราชอำมาตย์ก็ดี พราหมณ์ก็ดี คหบดีก็ดี ส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปด้วยทูต
เฉพาะภิกษุว่า เจ้าจงจ่ายจีวรด้วยทรัพย์สำหรับจ่าย จ่ายจีวรนี้แล้วยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร, ถ้าทูตนั้นเข้าไปหา
ภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้นำมาเฉพาะท่าน, ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร, ภิกษุ นั้นพึง
กล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไม่, พวกเรารับ แต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล; ถ้า
ทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็น ไวยาวัจกรของท่านมีหรือ? ภิกษุผู้ต้องการจีวรพึงแสดงชนผู้ทำการ
ในอารามหรืออุบา สกให้เป็นไวยาวัจกร ด้วยคำว่า คนนั้นแลเป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย, ถ้าทูต นั้นสั่ง
ไวยาวัจกรนั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า คนที่ท่านแสดง เป็นไวยาวัจกรนั้น, ข้าพเจ้าสั่งให้
เข้าใจแล้ว; ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครอง จีวรตามกาล, ภิกษุผู้ต้องการจีวรเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้ว พึงทวง
พึงเตือนสองสามครั้ง ว่า รูปต้องการจีวร; ภิกษุทวงอยู่ เตือนอยู่ สองสามครั้ง ยังไวยาวัจกรนั้น ให้ จัดจีวรสำเร็จได้
 การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการดี, ถ้าให้สำเร็จไม่ได้, พึง- *ยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็น
อย่างมาก; เธอยืนนิ่งต่อหน้า ๔ ครั้ง ๕ ครั้ง ๖ ครั้ง เป็นอย่างมาก; ยังไวยาวัจกรนั้นให้จัดจีวรสำเร็จได้, 
การให้สำเร็จได้ ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการดี, ถ้าให้สำเร็จไม่ได้, ถ้าเธอพยายามให้ยิ่งกว่านั้น ยังจีวร นั้น
ให้สำเร็จ, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์; ถ้าให้สำเร็จไม่ได้พึงไปเองก็ได้, ส่งทูตไปก็ได้ ในสำนักที่ส่งทรัพย์สำหรับจ่าย
จีวรมาเพื่อเธอ, บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ไปเฉพาะภิกษุใด, ทรัพย์นั้นหาสำเร็จประโยชน์น้อยหนึ่ง
     แก่ภิกษุนั้นไม่, ท่านจงทวง เอาทรัพย์ของท่านคืน, ทรัพย์ของท่าน
            อย่าได้ฉิบหายเสียเลย; นี้เป็นสามีจิกรรมใน เรื่องนั้น. 
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. 
สิกขาบทวิภังค์ [๗๑] 
บท ว่า อนึ่ง ... เฉพาะภิกษุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุ คือทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้วใคร่จะให้ภิกษุครอง.
             ที่ชื่อว่า พระราชา ได้แก่ ท่านผู้ทรงราชย์
             ที่ชื่อว่า ราชอำมาตย์ ได้แก่ ข้าราชการผู้ได้รับความชุบเลี้ยงของพระราชา
             ที่ชื่อว่า พราหมณ์ ได้แก่ พราหมณ์ โดยกำเนิด.
             ที่ชื่อว่า คหบดี ได้แก่ เจ้าเรือน ยกพระราชา ราชอำมาตย์ พราหมณ์ นอกนั้น ชื่อว่าคหบดี.
             ที่ชื่อว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ได้แก่ เงิน ทอง แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วลายหรือแก้วผลึก
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.
             บท ว่า ให้ครอง คือ จงถวาย.
            ถ้าทูตนั้นเข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า          ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้           นำมา เฉพาะท่าน, 
ขอท่านจงรับทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร, ภิกษุนั้นพึงกล่าวต่อทูตนั้นอย่างนี้ว่า พวกเราหาได้รับทรัพย์สำหรับจ่าย
จีวรไม่, พวกเรารับแต่จีวรอันเป็นของควรโดยกาล; ถ้าทูตนั้นกล่าวต่อภิกษุนั้นอย่างนี้ว่า ก็ใครๆ ผู้เป็นไวยาวัจกร
ของท่านมีหรือ, ภิกษุ ผู้ต้องการจีวรพึงแสดงชนผู้ทำการในอาราม หรืออุบาสกให้เป็นไวยาวัจกรด้วยคำว่า คน
นั้นแลเป็นไวยาวัจกรของภิกษุทั้งหลาย ไม่ควรกล่าวว่า จงให้แก่คนนั้น หรือว่า คนนั้นจักเก็บไว้ หรือว่าคนนั้นจัก
แลก หรือว่า คนนั้นจักจ่าย: ถ้าทูตนั้นสั่งไวยาวัจกร นั้นให้เข้าใจแล้ว เข้าไปหาภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้ว่า คนที่ท่าน
แสดงเป็นไวยาวัจกรนั้น, ข้าพเจ้าสั่งให้เข้าใจแล้ว, ท่านจงเข้าไปหา เขาจักให้ท่านครองจีวรตามกาล, ภิกษุผู้
ต้องการจีวรเข้าไปหาไวยาวัจกรแล้วพึงทวง พึงเตือนสองสามครั้งว่า รูปต้องการจีวร; อย่าพูดว่า จงให้จีวรแก่รูป
 จงนำจีวรมาให้รูป จงแลกจีวรให้รูป จงจ่ายจีวรให้รูป พึงพูดได้ แม้ครั้งที่สอง พึงพูดได้แม้ครั้งที่สาม, ถ้าให้จัด
สำเร็จได้ การให้สำเร็จได้ด้วยอย่างนี้ นั่นเป็นการ ดี, ถ้าให้จัดสำเร็จไม่ได้, พึงไปยืนนิ่งต่อหน้าในที่ใกล้ไวยาวัจกร
นั้น, ไม่พึงนั่งบนอาสนะ ไม่ พึงรับอามิส ไม่พึงกล่าวธรรม, เมื่อเขาถามว่ามาธุระอะไร พึงกล่าวว่า รู้เอาเองเถิด, ถ้านั่ง
บน อาสนะก็ดี รับอามิสก็ดี กล่าวธรรมก็ดี ชื่อว่าหักการยืนเสีย, พึงยืนได้แม้ครั้งที่สอง พึงยืน ได้ แม้ครั้งที่สาม ทวง
 ๔ ครั้งแล้ว; พึงยืนได้ ๔ ครั้ง ทวง ๕ ครั้งแล้ว, พึงยืนได้ ๒ ครั้ง ทวง ๖ ครั้งแล้ว, จะพึงยืนไม่ได้, ถ้าเธอพยายามให้
ยิ่งกว่านั้นยังจีวรนั้นให้สำเร็จ, เป็น ทุกกฏในประโยคที่พยายาม, เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์
 คณะ หรือบุคคล. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
 วิธีเสียสละ
 เสียสละแก่สงฆ์
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง เป็นของจำจะสละ,
ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสีย
สละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า.           จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำ
จะ สละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,               สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ 
เสียสละแก่คณะ
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า ให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง เป็น
ของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ 
พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละ ให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้
ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว,
                   ท่าน ทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่บุคคล
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน จีวร
ผืนนี้ ของข้าพเจ้า ให้สำเร็จด้วยทวงเกิน ๓ ครั้ง ด้วยยืนเกิน ๖ ครั้ง เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้
แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละ แล้วให้ด้วยคำว่า
 ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้ ในประโยคว่า ถ้าให้สำเร็จไม่ได้ พึงไปเองก็ได้ ส่งทูตไปก็ได้ ในสำนักที่ ส่ง
ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรมาเพื่อเธอ บอกว่า ท่านส่งทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไปเฉพาะ ภิกษุใด, ทรัพย์นั้นหา
สำเร็จประโยชน์น้อยหนึ่งแก่ภิกษุนั้นไม่, ท่านจงทวงเอาทรัพย์ของ ท่านคืน, ทรัพย์ของท่านอย่าได้ฉิบหายเสียเลย:
 นี้เป็นสามีจิกรรมในเรื่องนั้น ดังนี้: ความว่า นี้เป็นความถูกยิ่งในเรื่องนั้น.ฯ 
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๗๒] ทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ภิกษุสำคัญว่าเกิน ยังจีวรนั้น
    ให้สำเร็จ,เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ภิกษุสงสัย ยังจีวรนั้นให้สำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ทวงเกิน ๓ ครั้ง ยืนเกิน ๖ ครั้ง ภิกษุสำคัญว่าไม่ถึง ยังจีวรนั้นให้สำเร็จ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ            ทวงไม่ถึง ๓ ครั้ง ยืนไม่ถึง ๖ ครั้ง ภิกษุสำคัญว่าเกิน ยังจีวรให้สำเร็จ, ต้องอาบัติทุกกฏ.   
             ทวงไม่ถึง ๓ ครั้ง ยืนไม่ถึง ๖ ครั้ง ภิกษุสงสัย ยังจีวรให้สำเร็จ, ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ            ทวงไม่ถึง ๓ ครั้ง ยืนไม่ถึง ๖ ครั้ง ภิกษุสำคัญว่าไม่ถึง ยังจีวรนั้นให้สำเร็จ, ไม่ต้องอาบัติ.ฯ
อนาปัตติวาร       [๗๓] ภิกษุทวง ๓ ครั้ง ยืน ๖ ครั้ง ภิกษุทวงไม่ถึง ๓ ครั้ง ยืนไม่ถึง ๖ ครั้ง ๑ ภิกษุไม่ได้ทวง 
       ไวยาวัจกรถวายเอง ๑ เจ้าของทวงเอามาถวาย ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑,ไม่ต้องอาบัติแล.ฯ
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๑๐ จบ.
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ วรรคที่ ๑ จบ.
หัวข้อประจำเรื่อง
             ๑. ทสาหปรมสิกขาบท ว่าด้วยการทรงอติเรกจีวรไว้ได้ ๑๐ วันเป็นอย่างยิ่ง.
             ๒. เอกรัตติสิกขาบท ว่าด้วยการอยู่ปราศจากไตรจีวรแม้ราตรีหนึ่ง.
             ๓. มาสปรมสิกขาบท ว่าด้วยการเก็บจีวรไว้ได้เดือนหนึ่งเป็นอย่างยิ่ง.
             ๔. ปุราณจีวรโธวาปนสิกขาบท ว่าด้วยการให้ภิกษุณีซักจีวรเก่า.
             ๕. จีวรปฏิคคหณสิกขาบท ว่าด้วยการรับจีวรจากมือภิกษุณี.
             ๖. อัญญาตกวิญญัตติสิกขาบท ว่าด้วยการขอจีวรต่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ.
             ๗. ตทุตตริสิกขาบท ว่าด้วยการขอจีวรเกินกำหนด.
             ๘. อุททิสสิกขาบท ว่าด้วยมูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์รายเดียว.
             ๙. อุภินนอุททิสสิกขาบท ว่าด้วยมูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์สองราย.
             ๑๐. ทูตสิกขาบท ว่าด้วยมูลค่าจีวรที่เจ้าทรัพย์ส่งมาถวาย.ฯ

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย มูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์สองราย พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๖๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะบุรุษผู้หนึ่งว่า ผมจักยัง
ท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร แม้บุรุษอีกผู้หนึ่งนั้น ก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ผมก็จักยังท่าน พระอุปนันทให้ครองจีวร. 
 ภิกษุรูปหนึ่งถือการเที่ยวบิณฑบาต ได้ยินถ้อยคำที่เจรจากันนี้ของบุรุษทั้งสองนั้น จึงเข้า ไปหาพระอุปนันทศากย
บุตร. ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า อาวุโส อุปนันท ท่านเป็นผู้มีบุญมาก ในสถานที่โน้น
บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะบุรุษอีกผู้หนึ่งว่า ผมจัก ยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร แม้บุรุษอีกผู้หนึ่งนั้นได้กล่าว
อย่างนี้ว่า แม้ผมก็จักยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร. ท่านพระอุปนันทกล่าวรับรองว่า มีขอรับ เขาทั้งสองนั้น
เป็นอุปัฏฐากของผม. ครั้นแล้ว ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้เข้าไปหาบุรุษทั้งสองคนนั้น แล้วสอบถามเขาว่า 
จริงหรือ ท่าน ทั้งหลาย ข่าวว่า ท่านทั้งสองประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร? 
              บุ. ความจริง พวกผมได้พูดกันไว้อย่างนี้ว่า จักยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร. 
              อุ. ถ้าท่านทั้งสองประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร ก็จงให้ครองจีวร
ชนิดนี้เถิด เพราะจีวร ทั้งหลายที่อาตมาไม่ใช้ แม้ครองแล้วจักทำอะไรได้.
      บุรุษทั้งสองคนนั้น จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาขึ้นในขณะนั้นว่า พระสมณะเชื้อสาย พระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ จะให้ครองจีวรก็ทำได้ไม่ง่าย ไฉน พระคุณเจ้า อุปนันทอันพวกเราไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน
จึงได้เข้ามาหาแล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า? ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษทั้งสองนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
 บรรดาที่เป็นผู้ มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนา 
ว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงได้เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย แล้ว
ถึงการกำหนดในจีวรเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรก เกิดนั้น แล้ว
ทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันท ข่าวว่าเธออันเขาไม่ได้ ปวารณาไว้ก่อน ได้เข้าไปหา
            พ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย แล้วถึงการกำหนดในจีวร จริงหรือ? 
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดูกรอุปนันท เขาเหล่านั้นเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ. 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่
กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คนที่ไม่ใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำ อันสมควรหรือไม่ควร ของที่มีอยู่ หรือไม่มี
ของคนที่ไม่ใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธออันเขา ทั้งหลายไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ยังเข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย
ผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำหนดใน จีวรได้ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อ
        ความ ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็น
คนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคน ไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน
         ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน บำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา 
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่ สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย. ทรงกระทำธรรมีกถาที่
สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ สมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่ง
สงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ 
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อม ใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย        ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๒๘.๙. อนึ่ง มีพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติสองคน ตระ เตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะ
ผืนๆ ไว้เฉพาะภิกษุว่า เราทั้งหลายจักจ่ายจีวร เฉพาะผืนๆ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่านี้แล้ว ยัง
ภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวรหลายผืนด้วยกัน, ถ้าภิกษุนั้นเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาแล้วถึงการ กำหนด ในจีวร
ในสำนักของเขาว่า ดีละ ขอท่านทั้งหลายจงจ่ายจีวรเช่นนั้นหรือเช่น นี้ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่า
นี้แล้ว ทั้งสองคนรวมกัน ยังรูปให้ ครองจีวรผืนเดียวเถิด เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี.ฯ
 เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. สิกขาบทวิภังค์ [๖๗] 
บท ว่า อนึ่ง ... เฉพาะภิกษุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุคือทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้วใคร่จะให้ภิกษุครอง
             บท ว่า สองคน คือสองคนด้วยกัน.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิให้ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่บุรุษผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่สตรีผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ได้แก่ เงิน ทอง แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วลายแก้วผลึก ผ้า หรือฝ้าย.
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเหล่านี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.
             บท ว่า ให้ครอง คือ จักถวาย.
             คำว่า ถ้าภิกษุนั้น ... ในสำนักของเขา ได้แก่ ภิกษุที่เขาทั้งสองคน
            ตระเตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไว้ถวายเฉพาะ.
             บท ว่า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน คือ เป็นผู้อันเขาไม่ได้บอกไว้ก่อน
ว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะต้องการจีวรเช่นไร ผมจักจ่ายจีวรเช่นไรถวายท่าน.
             บท ว่า เข้าไปหาแล้ว คือ ไปถึงเรือนแล้ว เข้าไปหาในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
           บท ว่า ถึงการกำหนดในจีวร คือ กำหนดว่า ขอให้ยาว ขอให้กว้าง ขอให้เนื้อแน่นหรือขอให้เนื้อละเอียด.
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเหล่านี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
         บท ว่า เช่นนั้นหรือเช่นนี้ คือ ยาวหรือกว้าง เนื้อแน่นหรือเนื้อละเอียด.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.
           บท ว่า ยังรูปให้ครอง คือ จงให้.
             บท ว่า ทั้งสองคนรวมกัน คือ รวมทรัพย์ทั้งสองรายเข้าเป็นรายเดียวกัน.
             บท ว่า ถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี คือมีความประสงค์ผ้าที่ดี ต้องการผ้าที่มีราคาแพง         เขาจ่าย
จีวร ยาวก็ดี กว้างก็ดี เนื้อแน่นก็ดี เนื้อละเอียดก็ดี ตามคำของเธอเป็นทุกกฏในประโยคที่เขาจ่าย, เป็น
นิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา. ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
           ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ
กล่าวอย่างนี้ว่า:-         ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้าเรือนผู้มิใช่
ญาติทั้งหลาย ถึงการกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.         ครั้นสละแล้วพึงแสดง
อาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ                       พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
      ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ,           เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้า
ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,          สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ
เสียสละแก่คณะ
        ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-        ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้า
เรือนผู้มิใช่ญาติทั้งหลาย ถึงการกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. 
        ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา
 ว่าดังนี้:-        ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้           เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่
ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว,      ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุชื่อนี้.ฯ
เสียสละแก่บุคคล
         ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- 
        ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน,         ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติทั้งหลาย 
ถึงการกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.        ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ
ผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละแล้วให้ด้วยคำว่า                      ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.ฯ
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
    [๖๘] เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนทั้งหลายแล้ว
             ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
  เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือน
ทั้งหลายแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนทั้งหลายแล้ว
                 ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่า เป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร          [๖๙] ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้ปวารณาไว้ ๑ ภิกษุ
ขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๑ ภิกษุจ่ายด้วยทรัพย์ของตน ๑ เจ้าเรือนใคร่จะจ่ายจีวรมีราคาแพง
ภิกษุให้เขาจ่ายจีวรมีราคาถูก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
                    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙
 พรรณนาทุติยอุปักขฏสิกขาบท       
           บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในทุติยอุปักขฏสิกขาบทโดยนัยนี้แล. เพราะว่า สิกขาบทแรกนั้น เช่นเดียวกับอนุปัตติแห่งสิกขาบทที่สองนี้.
 ในสิกขาบทก่อน ภิกษุเพียงทำความเบียดเบียนแก่คนๆ เดียวเท่านั้น
 ในสิกขาบทที่ ๒ กระทำแก่คน ๒ คน. นี้เป็นความแปลกกันในสิกขาบทนี้.
คำที่เหลือทั้งหมดเช่นเดียวกับสิกขาบทก่อนทั้งนั้น. และผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุผู้กระทำความเบียดเบียนแก่คนมากคนถือเอา เหมือนทำแก่คน ๒ คน ถือเอาฉะนั้น.
               พรรณนาทุติยอุปักขฏสิกขาบทที่ ๙ จบ.         

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ว่าด้วย มูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์รายเดียว พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
                     นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๘ 
พรรณนาปฐมอุปักขฏสิกขาบท 
อุปักขฏสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-   ในอุปักขฏสิกขาบทนั้น                     มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
      [แก้อรรถมูลเหตุปฐมบัญญัติ]
                    ในคำว่า อตฺถาวุโส มํ โส อุปฏฺฐาโก นี้ มีความอย่างนี้ว่า ท่านผู้มีอายุ! บุรุษที่ท่านพูดถึง เห็นปานนี้นั้น
เป็นอุปัฏฐากของผม มีอยู่.
               คำว่า อปิมยฺยา เอวํ โหติ มีความว่า ข้าแต่พระผู้เป็นเจ้า!                      ความจริง ผมตั้งใจไว้อย่างนั้น.
                  ปาฐะว่า อปิ เมยฺยา เอวํ โหติ แปลว่า ข้าแต่พระคุณเจ้า! ถึงผมก็มีความคิดอย่างนี้ ดังนี้ ก็มี.
               บท ว่า อุทฺทิสฺส ที่มีอยู่ในคำว่า ภิกฺขุํ ปเนว อุทฺทิสฺส นี้ มีอรรถว่า อ้างถึง คือปรารภถึง. ก็เพราะทรัพย์
สำหรับจ่ายจีวรที่พ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ตระเตรียมไว้เฉพาะภิกษุใด            จัดว่าเป็นอันเขาตระเตรียมแล้ว
เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุนั้น ฉะนั้น 
ในบทภาชนะแห่งบทว่า ภิกฺขุํ ปเนว อุทฺทิสฺส 
 นั้น ท่านพระอุบาลีจึงกล่าวว่า       เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุ
   [แก้อรรถสิกขาบทวิภังค์ว่าด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร]              
               คำว่า ภิกฺขุํ อารมฺมณํ กริตฺวา ได้แก่ กระทำภิกษุให้เป็นปัจจัย.
     จริงอยู่ ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรที่พ่อเจ้าเรือน หรือแม่เจ้าเรือนตระเตรียมไว้เฉพาะภิกษุใด ย่อมชื่อว่าเป็นอันเขา
ทำภิกษุนั้นให้เป็นปัจจัยตระเตรียมไว้โดยแน่นอนทีเดียว. เพราะเหตุนั้นจึงกล่าวว่า ทำภิกษุให้เป็นอารมณ์.
ความจริง แม้ปัจจัยก็มาแล้วโดยชื่อว่า อารมณ์ ในคำว่า ลภติ มาโร อารมฺมณํ แปลว่า มารย่อมได้ปัจจัย ดังนี้เป็นต้น.
               บัดนี้ เพื่อแสดงอาการของกัตตา (ผู้ทำ) ในบท ว่า อุทฺทิสฺส นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ประสงค์จะให้
ภิกษุครอง. จริงอยู่ คฤหบดีผู้ประสงค์จะให้ภิกษุครองนั้น ตระเตรียมไว้เฉพาะภิกษุนั้น, มิใช่ (ตระเตรียม) เพราะเหตุ
อื่น. เพราะเหตุนี้ คฤหบดีนั้นจึงชื่อว่า เป็นผู้ประสงค์จะให้ครอง. ด้วยเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า ผู้ประสงค์จะให้ภิกษุครอง.
               สอง บท ว่า อญฺญาตกสฺส คหปติสฺส วา มีอรรถว่า อันคฤหบดีผู้มิใช่ญาติ ก็ดี. แท้จริง คำนี้เป็น
ฉัฏฐีวิภัตติ ลงในอรรถแห่งตติยาวิภัตติ. แต่ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะไม่วิจารณ์พยัญชนะ แสดงแต่
อรรถอย่างเดียว จึงตรัสคำมีอาทิว่า อญฺญาตโก นาม ฯเปฯ คหปติ นาม ดังนี้.
               บท ว่า จีวรเจตาปนํ แปลว่า มูลค่าแห่งจีวร.
               ก็เพราะมูลค่าแห่งจีวรนั้น ย่อมเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่งในบรรดาทรัพย์มีเงินเป็นต้น ฉะนั้น ในบทภาชนะ 
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสคำว่า                             หิรญฺญํ วา เป็นต้น.
               สอง บท ว่า อุปกฺขฏํ โหติ ได้แก่ เป็นทรัพย์ที่เขาตระเตรียมไว้ คือรวบรวมไว้แล้ว. ก็เพราะด้วยคำว่า
หิรญฺญํ วา เป็นต้นนี้  ย่อมเป็นอันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความที่มูลค่าจีวรนั้น เป็นของอันคฤหบดีนั้น
ตระเตรียมไว้แล้ว ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงยกบท ว่า อุปกฺขฏํ นาม ขึ้นแล้วตรัสบทภาชนะแยกไว้
ต่างหาก. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายถึงทรัพย์ที่เขาตระเตรียมไว้ จึงตรัสว่า อิมินา เป็นต้น. เพราะเหตุนั้นแล ใน
บทภาชนะแห่งบทว่า อิมินา นั้น จึงตรัสว่า ปจฺจุปฏฺฐิเตน แปลว่า ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดไว้เฉพาะ. จริงอยู่ มูลค่าแห่ง
จีวรที่คฤหบดีตระเตรียมไว้ คือ                รวบรวมไว้แล้ว         ชื่อว่า เป็นทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ ฉะนี้แล.
             คำว่า อจฺฉาเทสฺสามิ นี้เป็นคำสำนวน. แต่ความหมายในคำว่า อจฺฉาเทสฺสามิ นี้     ดังนี้ว่า ข้าพเจ้าจักถวาย
แก่ภิกษุ ผู้มีชื่อนี้.             เพราะเหตุนั้นนั่นแล แม้ในบทภาชนะแห่ง บท
 ว่า อจฺฉาเทสฺสามิ นั้น พระองค์จึงตรัสว่า ทสฺสามิ แปลว่า เราจักถวาย.
               ในคำว่า ตตฺร เจ โส ภิกฺขุ นี้ มีการเชื่อมบทอย่างนี้ว่า ถ้าภิกษุนั้น เขามิได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาแล้ว
     ถึงการกำหนดในจีวร ในสำนักของเจ้าพ่อเรือน หรือแม่เจ้าเรือนนั้น.
               บรรดาบทเหล่านั้น เมื่ออรรถแห่ง บท ว่า อุปสงฺกมิตฺวา แปลว่า เข้าไปหาแล้ว นี้สำเร็จด้วยบทว่า คนฺตฺวา 
            แปลว่า ไปแล้ว นี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สู่เรือน ดังนี้ ด้วยอำนาจโวหารข้างมาก.
               เนื้อความในบทว่า คนฺตฺวา นี้ อย่างนี้ว่า ก็ทายกนั้นอยู่ในที่ใด ไปแล้ว
 ณ ที่นั้น. เพราะฉะนั้นจึงตรัสซ้ำอีกว่า เข้าไปหาแล้ว ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
               สอง บท ว่า วิกปฺปํ อาปชฺเชยฺย มีความว่า พึงถึงความกำหนดพิเศษยิ่ง คือ การจัดแจงอย่างยิ่ง. 
              แต่ในบทภาชนะ เพื่อแสดงเหตุเป็นเครื่องให้ถึงความกำหนดเท่านั้น จึงตรัสว่า อายตํ วา เป็นต้น.
               ศัพท์ว่า สาธุ เป็นนิบาตลงในความอ้อนวอน.
               ศัพท์ว่า วต เป็นนิบาตเป็นไปในความรำพึง.
               ภิกษุย่อมอ้างตนเอง ด้วยบทว่า มํ (ยังรูป).
               ย่อมร้อง คือย่อมเรียก ผู้อื่นว่า อายสฺมา (ท่าน).
               ก็คำทั้งหมดนี้ เป็นเพียงสักว่าพยัญชนะ มีอรรถตื้นทั้งนั้น เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึง
         ไม่ตรัสอธิบายไว้ในบทภาชนะแห่งบทว่า สาธุ เป็นต้นนั้น.
     สอง บท ว่า กลฺยาณกมฺยตํ อุปาทาย มีความว่า ถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรที่ดี คือความเป็นผู้ปรารถนาจีวร
ที่วิเศษยิ่งด้วยจิต. บท ว่า อุปาทาย นั้น เชื่อมความกับบทว่า อาปชฺเชยฺย เจ นี้.
               อนึ่ง เพราะเหตุที่ภิกษุใดถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี ย่อมถึงความกำหนด, ภิกษุนั้นย่อมเป็นผู้มี
ความต้องการจีวรดี คือมีความต้องการด้วยจีวรที่มีค่ามาก ฉะนั้น ในบทภาชนะแห่งบทว่า กลฺยาณกมฺยตํ อุปาทาย 
นั้น จึงทรงละพยัญชนะเสีย ตรัสคำนั้นเท่านั้น เพื่อแสดงเฉพาะอรรถที่ต้องการ. แต่เพราะอาบัติ ยังไม่ถึง
ที่สุดด้วยเหตุสักว่า การถึงความกำหนดจีวรนี้เท่านั้น ฉะนั้น จึงตรัสคำว่า
                   ตสฺส วจเนน แปลว่า ตามคำของภิกษุนั้น เป็นต้น.
               ในคำว่า อนาปตฺติ ญาตกานํ เป็นต้น ผู้ศึกษาพึงเห็นอรรถอย่างนี้
ว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ถึงความกำหนดในจีวรของพวกญาติ.
  คำว่า มหคฺฆํ เจตาเปตุกามสฺส อปฺปคฺฆํ เจตาเปติ มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้กล่าวแก่คฤหบดี ผู้ใคร่จะให้
จ่ายจีวรมีราคา ๒๐ บาทว่า อย่าเลย ด้วยจีวรมีราคา ๒๐ นี้ แก่รูป, จงถวายจีวรมีค่า ๑๐ บาทหรือ ๘ บาท เถิด.
      คำว่า อปฺปคฺฆํ นี้ ตรัสไว้ เพื่อป้องกันราคาที่มากเกินไปนั่นเอง. แต่แม้ในจีวรที่เสมอกัน (มีราคาเท่ากัน) ก็ไม่เป็น
อาบัติ. ก็แล จีวรนั้นเสมอกัน (เท่ากัน) ด้วยอำนาจแห่งราคาเท่านั้น                   ไม่ใช่ด้วยอำนาจประมาณ (ขนาด).
               จริงอยู่ สิกขาบทนี้มีการให้เพิ่มราคา เพราะฉะนั้น แม้จะพูดกะคฤหบดีผู้ใคร่จะให้จ่ายอันตรวาสก
             มีราคา ๒๐ ว่า จงถวายจีวรมีราคาเพียงเท่านี้แหละ ดังนี้ ก็ควร.
                         คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.              แม้สมุฏฐานเป็นต้น ก็เป็นเช่นกับตทุตตริสิกขาบทนั่นแล.
  พรรณนาปฐมอุปักขฏสิกขาบทที่ ๘ จบ. 

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๘ เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร ว่าด้วย มูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์รายเดียว พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google   
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
 [๖๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า ฉักจักยัง ท่าน
พระอุปนันทะให้ครองจีวร. ภิกษุรูปหนึ่งผู้ถือการเที่ยวบิณฑบาตเป็นวัตร ได้ยินบุรุษนั้นกล่าวคำนี้ จึงเข้าไปหาท่าน 
พระอุปนันทศากยบุตร
 ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุปนันทศากย
            บุตรว่า อาวุโส อุปนันทะ ท่านเป็นผู้มีบุญมาก ในสถานที่โน้น
บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะภรรยาว่า ฉันจักยังท่านพระอุปนันทะให้ครองจีวร. ท่านพระอุปนันทะกล่าวรับรองว่า มีขอรับ เขาเป็นอุปัฏฐากของผม. 
ครั้นแล้วท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้เข้าไปหาบุรุษนั้นแล้วสอบถามเขาว่า
                จริงหรือ ข่าวว่า ท่านประสงค์จะให้ อาตมาครองจีวร? 
              บุ. ความจริง ผมตั้งใจไว้อย่างนี้ว่า จักยังท่านพระอุปนันทะให้ครองจีวร. 
            อุ. ถ้าท่านประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร ก็จงให้ครองจีวรชนิดนี้
          เถิด เพราะจีวรที่ อาตมาไม่ใช้ แม้ครองแล้วจักทำอะไรได้. 
              บุรุษนั้นจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาขึ้นในขณะนั้นว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เป็น
คนมักมาก ไม่สันโดษ จะให้ครองจีวรก็ทำได้ไม่ง่าย ไฉนพระคุณเจ้าอุปนันทะ อันเราไม่ได้ปวารณาไว้ก่อนจึงได้
เข้ามาหา แล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า. ภิกษุทั้งหลาย ได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาที่เป็น
ผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนท่าน
พระอุปนันทศากยบุตร อันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงได้เข้าไปหาพ่อเจ้า
เรือน ถึงการ กำหนดในจีวรเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุ แรกเกิดนั้น
                 แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันทะ
          ข่าวว่า เธออันเขา ไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ได้เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร จริงหรือ? 
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดูกรอุปนันทะ เขาเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ? 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่
กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คนที่มิใช่ญาติย่อมไม่รู้การกระทำอัน สมควรหรือไม่สมควร ของที่มีอยู่หรือไม่มี
ของคนที่มิใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธออันเขาไม่ ได้ปวารณาไว้ก่อน ยังเข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการ
กำหนดในจีวรได้ การกระทำ ของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความ
เลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชน ที่ยัง
ไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันท
ศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัส โทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคน
มักมาก ความเป็นคนไม่ สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน
บำรุง ง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความ
เพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสม แก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้ว
รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย
อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก
 ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจัก
บังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑
 เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑ 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๒๗.๘. อนึ่ง มีพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติ ตระเตรียม ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะภิกษุไว้
ว่า เราจักจ่ายจีวรด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ แล้ว ยังภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวร ถ้าภิกษุนั้นเขาไม่ได้ปวารณา
ไว้ก่อน เข้าไปหาแล้ว ถึงการกำหนดในจีวรในสำนักของเขาว่า ดีละ ท่านจงจ่ายจีวรเช่นนั้น หรือเช่นนี้ ด้วยทรัพย์
สำหรับจ่ายจีวรนี้ แล้วยังรูปให้ครองเถิด เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพราะ อาศัยความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี. 
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ.
สิกขาบทวิภังค์ [๖๓] 
บท ว่า อนึ่ง ... เฉพาะภิกษุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุ คือ ทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้วใคร่จะให้ภิกษุครอง.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิใช่ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่ บุรุษผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่            สตรีผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ได้แก่ เงิน ทอง แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วลายแก้วผลึก ผ้า ด้าย หรือฝ้าย.
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้                    คือ          ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.                  บท ว่า ให้ครอง คือ จักถวาย.
             คำว่า ถ้าภิกษุนั้น ... ในสำนักของเขา ได้แก่ ภิกษุที่เขาตระเตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไว้ถวายเฉพาะ.
          บท ว่า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน คือ เป็นผู้อันเขาไม่ได้บอกไว้ก่อน
ว่า ท่านเจ้าข้าท่านจะต้องการจีวรเช่นไร ผมจักจ่ายจีวรเช่นไรถวายท่าน.
    บท ว่า เข้าไปหาแล้ว คือ ไปถึงเรือนแล้ว เข้าไปหาในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
             บท ว่า ถึงการกำหนดในจีวร คือ กำหนดว่า ขอให้ยาว ขอให้กว้าง ขอให้เนื้อแน่นหรือขอให้เนื้อละเอียด.
        บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรนี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
          บท ว่า เช่นนั้นหรือเช่นนี้ คือ ยาวหรือกว้าง เนื้อแน่นหรือเนื้อละเอียด.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.            บท ว่า ยังรูปให้ครองเถิด                       คือ จงให้
             บท ว่า เพราะอาศัยความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี          คือ มีความประสงค์ผ้าที่ดี ต้องการผ้าที่มีราคาแพง.
             เขาจ่ายจีวรยาวก็ดี กว้างก็ดี เนื้อแน่นก็ดี เนื้อละเอียดก็ดี ตามคำของเธอ เป็นทุกกฏ
ในประโยคที่เขาจ่าย เป็นนิสสัคคีย์ ด้วยได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่านั่งกระโหย่ง
 ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-         ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าเข้าไปหา
เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงการกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์         ครั้นสละแล้ว
พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-    
      ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ 
ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่คณะ
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระโหย่ง
 ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-        ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้า
เรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงการกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย.          ครั้นสละแล้ว
พึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-       ท่าน
ทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าความพร้อม
พรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
เสียสละแก่บุคคล
             ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
     ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ถึงการกำหนดในจีวร
เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.         ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับ
อาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๖๔] เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนแล้ว 
                 ถึงการกำหนดในจีวร เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหา
เจ้าเรือนแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนแล้ว 
                     ถึงการกำหนดในจีวร เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๖๕] ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้ปวารณาไว้ ๑ ภิกษุขอ
เพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๑ ภิกษุจ่ายมาด้วยทรัพย์ของตน ๑ เจ้าเรือนใคร่จะจ่ายจีวรมีราคาแพง
ภิกษุให้เขาจ่ายจีวรมีราคาถูก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.