Translate

01 กันยายน 2567

นิสสัคคิยกัณฑ์ จีวรวรรค วรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙ ว่าด้วย มูลค่าจีวรของเจ้าทรัพย์สองราย พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
[๖๖] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะบุรุษผู้หนึ่งว่า ผมจักยัง
ท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร แม้บุรุษอีกผู้หนึ่งนั้น ก็กล่าวอย่างนี้ว่า แม้ผมก็จักยังท่าน พระอุปนันทให้ครองจีวร. 
 ภิกษุรูปหนึ่งถือการเที่ยวบิณฑบาต ได้ยินถ้อยคำที่เจรจากันนี้ของบุรุษทั้งสองนั้น จึงเข้า ไปหาพระอุปนันทศากย
บุตร. ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้กะท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า อาวุโส อุปนันท ท่านเป็นผู้มีบุญมาก ในสถานที่โน้น
บุรุษผู้หนึ่งได้กล่าวคำนี้กะบุรุษอีกผู้หนึ่งว่า ผมจัก ยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร แม้บุรุษอีกผู้หนึ่งนั้นได้กล่าว
อย่างนี้ว่า แม้ผมก็จักยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร. ท่านพระอุปนันทกล่าวรับรองว่า มีขอรับ เขาทั้งสองนั้น
เป็นอุปัฏฐากของผม. ครั้นแล้ว ท่านพระอุปนันทศากยบุตร ได้เข้าไปหาบุรุษทั้งสองคนนั้น แล้วสอบถามเขาว่า 
จริงหรือ ท่าน ทั้งหลาย ข่าวว่า ท่านทั้งสองประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร? 
              บุ. ความจริง พวกผมได้พูดกันไว้อย่างนี้ว่า จักยังท่านพระอุปนันทให้ครองจีวร. 
              อุ. ถ้าท่านทั้งสองประสงค์จะให้อาตมาครองจีวร ก็จงให้ครองจีวร
ชนิดนี้เถิด เพราะจีวร ทั้งหลายที่อาตมาไม่ใช้ แม้ครองแล้วจักทำอะไรได้.
      บุรุษทั้งสองคนนั้น จึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาขึ้นในขณะนั้นว่า พระสมณะเชื้อสาย พระศากยบุตรเหล่านี้
เป็นคนมักมาก ไม่สันโดษ จะให้ครองจีวรก็ทำได้ไม่ง่าย ไฉน พระคุณเจ้า อุปนันทอันพวกเราไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน
จึงได้เข้ามาหาแล้วถึงการกำหนดในจีวรเล่า? ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษทั้งสองนั้น เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
 บรรดาที่เป็นผู้ มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนา 
ว่า ไฉนท่านพระอุปนันทศากยบุตรอันเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน จึงได้เข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย แล้ว
ถึงการกำหนดในจีวรเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
              พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรก เกิดนั้น แล้ว
ทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนันท ข่าวว่าเธออันเขาไม่ได้ ปวารณาไว้ก่อน ได้เข้าไปหา
            พ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย แล้วถึงการกำหนดในจีวร จริงหรือ? 
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
              ภ. ดูกรอุปนันท เขาเหล่านั้นเป็นญาติของเธอ หรือมิใช่ญาติ. 
              อุ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า. 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่
กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ คนที่ไม่ใช่ญาติ ย่อมไม่รู้การกระทำ อันสมควรหรือไม่ควร ของที่มีอยู่ หรือไม่มี
ของคนที่ไม่ใช่ญาติ เมื่อเป็นเช่นนั้น เธออันเขา ทั้งหลายไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ยังเข้าไปหาพ่อเจ้าเรือนทั้งหลาย
ผู้มิใช่ญาติ แล้วถึงการกำหนดใน จีวรได้ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง
ไม่เลื่อมใส หรือเพื่อ ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อ
        ความ ไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความเป็น
คนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคน ไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน
         ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคน บำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา 
ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่ สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย. ทรงกระทำธรรมีกถาที่
สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ สมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะ
เหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่ง
สงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อ ข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ 
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อม ใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ 
เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย        ก็แล พวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดง อย่างนี้ ว่าดังนี้:- 
พระบัญญัติ 
              ๒๘.๙. อนึ่ง มีพ่อเจ้าเรือนก็ดี แม่เจ้าเรือนก็ดี ผู้มิใช่ญาติสองคน ตระ เตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะ
ผืนๆ ไว้เฉพาะภิกษุว่า เราทั้งหลายจักจ่ายจีวร เฉพาะผืนๆ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่านี้แล้ว ยัง
ภิกษุชื่อนี้ให้ครองจีวรหลายผืนด้วยกัน, ถ้าภิกษุนั้นเขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาแล้วถึงการ กำหนด ในจีวร
ในสำนักของเขาว่า ดีละ ขอท่านทั้งหลายจงจ่ายจีวรเช่นนั้นหรือเช่น นี้ ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเฉพาะผืนๆ เหล่า
นี้แล้ว ทั้งสองคนรวมกัน ยังรูปให้ ครองจีวรผืนเดียวเถิด เป็นนิสสัคคียปาจิตตีย์ ถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี.ฯ
 เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร จบ. สิกขาบทวิภังค์ [๖๗] 
บท ว่า อนึ่ง ... เฉพาะภิกษุ ความว่า เพื่อประโยชน์ของภิกษุคือทำภิกษุให้เป็นอารมณ์แล้วใคร่จะให้ภิกษุครอง
             บท ว่า สองคน คือสองคนด้วยกัน.
             ที่ชื่อว่า ผู้มิให้ญาติ คือ ไม่ใช่คนเนื่องถึงกัน ทางมารดาก็ดี ทางบิดาก็ดี ตลอด ๗ ชั่วอายุของบุรพชนก.
             ที่ชื่อว่า พ่อเจ้าเรือน ได้แก่บุรุษผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า แม่เจ้าเรือน ได้แก่สตรีผู้ครอบครองเรือน.
             ที่ชื่อว่า ทรัพย์สำหรับจ่ายจีวร ได้แก่ เงิน ทอง แก้วมณี แก้วมุกดา แก้วลายแก้วผลึก ผ้า หรือฝ้าย.
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเหล่านี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.
             บท ว่า ให้ครอง คือ จักถวาย.
             คำว่า ถ้าภิกษุนั้น ... ในสำนักของเขา ได้แก่ ภิกษุที่เขาทั้งสองคน
            ตระเตรียมทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรไว้ถวายเฉพาะ.
             บท ว่า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน คือ เป็นผู้อันเขาไม่ได้บอกไว้ก่อน
ว่า ท่านเจ้าข้า ท่านจะต้องการจีวรเช่นไร ผมจักจ่ายจีวรเช่นไรถวายท่าน.
             บท ว่า เข้าไปหาแล้ว คือ ไปถึงเรือนแล้ว เข้าไปหาในที่แห่งใดแห่งหนึ่ง.
           บท ว่า ถึงการกำหนดในจีวร คือ กำหนดว่า ขอให้ยาว ขอให้กว้าง ขอให้เนื้อแน่นหรือขอให้เนื้อละเอียด.
             บท ว่า ด้วยทรัพย์สำหรับจ่ายจีวรเหล่านี้ คือ ด้วยทรัพย์ที่เขาจัดหาไว้เฉพาะ.
         บท ว่า เช่นนั้นหรือเช่นนี้ คือ ยาวหรือกว้าง เนื้อแน่นหรือเนื้อละเอียด.
             บท ว่า จ่าย คือ แลกเปลี่ยน.
           บท ว่า ยังรูปให้ครอง คือ จงให้.
             บท ว่า ทั้งสองคนรวมกัน คือ รวมทรัพย์ทั้งสองรายเข้าเป็นรายเดียวกัน.
             บท ว่า ถือเอาความเป็นผู้ใคร่ในจีวรดี คือมีความประสงค์ผ้าที่ดี ต้องการผ้าที่มีราคาแพง         เขาจ่าย
จีวร ยาวก็ดี กว้างก็ดี เนื้อแน่นก็ดี เนื้อละเอียดก็ดี ตามคำของเธอเป็นทุกกฏในประโยคที่เขาจ่าย, เป็น
นิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา. ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุพึงเสียสละจีวรนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละ
เสียสละแก่สงฆ์
           ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ
กล่าวอย่างนี้ว่า:-         ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้าเรือนผู้มิใช่
ญาติทั้งหลาย ถึงการกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่สงฆ์.         ครั้นสละแล้วพึงแสดง
อาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ                       พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
      ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้เป็นของจำจะสละ,           เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้า
ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว,          สงฆ์พึงให้จีวรผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.ฯ
เสียสละแก่คณะ
        ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-        ท่านเจ้าข้า จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน, ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้า
เรือนผู้มิใช่ญาติทั้งหลาย ถึงการกำหนดในจีวรเป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่านทั้งหลาย. 
        ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา
 ว่าดังนี้:-        ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า. จีวรผืนนี้ของภิกษุมีชื่อนี้           เป็นของจำจะสละ, เธอสละแล้วแก่
ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว,      ท่านทั้งหลายพึงให้จีวรผืนนี้ แก่ภิกษุชื่อนี้.ฯ
เสียสละแก่บุคคล
         ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- 
        ท่าน จีวรผืนนี้ของข้าพเจ้า เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน,         ข้าพเจ้าเข้าไปหาเจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติทั้งหลาย 
ถึงการกำหนดในจีวร เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละจีวรผืนนี้แก่ท่าน.        ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุ
ผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนจีวรที่เสียสละแล้วให้ด้วยคำว่า                      ข้าพเจ้าให้จีวรผืนนี้แก่ท่าน ดังนี้.ฯ
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
    [๖๘] เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนทั้งหลายแล้ว
             ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
  เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือน
ทั้งหลายแล้ว ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เจ้าเรือนผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ เขาไม่ได้ปวารณาไว้ก่อน เข้าไปหาเจ้าเรือนทั้งหลายแล้ว
                 ถึงการกำหนดในจีวร, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ     เจ้าเรือนเป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่า เป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร          [๖๙] ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้เป็นญาติ ๑ ภิกษุขอต่อเจ้าเรือนผู้ปวารณาไว้ ๑ ภิกษุ
ขอเพื่อประโยชน์ของภิกษุอื่น ๑ ภิกษุจ่ายด้วยทรัพย์ของตน ๑ เจ้าเรือนใคร่จะจ่ายจีวรมีราคาแพง
ภิกษุให้เขาจ่ายจีวรมีราคาถูก ๑ ภิกษุวิกลจริต ๑ ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
จีวรวรรค สิกขาบทที่ ๙ จบ.
                    นิสสัคคิยปาจิตตีย์ จีวรวรรคที่ ๑ สิกขาบทที่ ๙
 พรรณนาทุติยอุปักขฏสิกขาบท       
           บัณฑิตพึงทราบเนื้อความในทุติยอุปักขฏสิกขาบทโดยนัยนี้แล. เพราะว่า สิกขาบทแรกนั้น เช่นเดียวกับอนุปัตติแห่งสิกขาบทที่สองนี้.
 ในสิกขาบทก่อน ภิกษุเพียงทำความเบียดเบียนแก่คนๆ เดียวเท่านั้น
 ในสิกขาบทที่ ๒ กระทำแก่คน ๒ คน. นี้เป็นความแปลกกันในสิกขาบทนี้.
คำที่เหลือทั้งหมดเช่นเดียวกับสิกขาบทก่อนทั้งนั้น. และผู้ศึกษาพึงทราบว่า เป็นอาบัติ แม้แก่ภิกษุผู้กระทำความเบียดเบียนแก่คนมากคนถือเอา เหมือนทำแก่คน ๒ คน ถือเอาฉะนั้น.
               พรรณนาทุติยอุปักขฏสิกขาบทที่ ๙ จบ.         

ไม่มีความคิดเห็น: