Translate

02 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๘ ว่าด้วย การรับทองเงิน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
                      นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๘ 
พรรณนารูปิยสิกขาบท     
 รูปิยสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในรูปิยสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
       บท ว่า ปฏิวึโส แปลว่า ส่วน.
    ในบท ว่า ชาตรูปรชตํ นี้ คำว่า ชาตรูป เป็นชื่อแห่งทองคำ.
      ก็เพราะทองคำนั้นเป็นเช่นกับพระฉวีวรรณแห่งพระตถาคต เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ในบทภาชนะว่า ท่านเรียกพระฉวีวรรณของพระศาสดา.
               เนื้อความแห่งบทภาชนะนั้นว่า โลหะพิเศษมีสีเหมือนพระฉวีวรรณของของพระศาสดา 
 นี้ชื่อว่า ชาตรูป (ทองคำธรรมชาติ). ส่วนเงินท่านเรียกว่า รูปิยะ 
            ในคำทั้งหลายว่า สังข์ ศิลา ประพาฬ เงิน ทองเป็นต้น.
             แต่ในสิกขาบทนี้ ท่านประสงค์เอากหาปณะเป็นต้นอย่างใดอย่างอย่างหนึ่งที่ให้ถึงการซื้อขายได้.
 เพราะเหตุนั้นนั่นแล ในบทภาชนะแห่งบทว่า รชตํ นั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า กหาปณะ โลหมาสก ดังนี้ เป็นต้น.
               [อธิบายวัตถุแห่งนิสสัคคีย์และทุกกฏ]               
               บรรดาบท ว่า กหาปณะ เป็นต้นนั้น กหาปณะที่เขาทำ
ด้วยทองคำก็ดี ทำด้วยเงินก็ดี กหาปณะธรรมดาก็ดี ชื่อว่า กหาปณะ.
               มาสกที่ทำด้วยแร่ทองแดงเป็นต้น ชื่อว่า โลหมาสก.
มาสกที่ทำด้วยไม้แก่นก็ดี ด้วยข้อไม้ไผ่ก็ดี โดยที่สุดแม้มาสกที่เขาทำด้วยใบตาลสลักเป็นรูป ก็ชื่อว่า มาสกไม้.
               มาสกที่เขาทำด้วยครั่งก็ดี ด้วยยางก็ดี ดุนให้เกิดรูปขึ้น ชื่อว่ามาสกยาง.
               ก็ด้วยบท ว่า เย โวหารํ คจฺฉนฺติ นี้ ท่านสงเคราะห์เอามาสกทั้งหมดที่ใช้เป็นมาตราซื้อขายในชนบท
 ในเวลาซื้อขายกัน โดยที่สุดทำด้วยกระดูกบ้าง ทำด้วยหนังบ้าง ทำด้วยเมล็ดผลไม้บ้าง ดุนให้เป็นรูปบ้าง มิได้ดุนให้เป็นรูปบ้าง.
               วัตถุทั้ง ๔ อย่าง คือ เงิน ทอง ทั้งหมดนี้อย่างนี้ (และ) มาสกทอง มาสกเงิน มีประเภทดังกล่าวแล้วแม้ทั้งหมด จัดเป็นวัตถุแห่งนิสสัคคีย์,
              วัตถุนี้ คือ มุกดา มณี ไพฑูรย์ สังข์ ศิลา ประพาฬ ทับทิม บุษราคัม ธัญชาติ ๗ ชนิด ทาสหญิง ทาสชาย
 นาไร่ สวนดอกไม้ สวนผลไม้เป็นต้น จัดเป็นวัตถุแห่งทุกกฏ.
               วัตถุนี้ คือ ด้าย ผาลไถ ผืนผ้า ฝ้ายอปรัณชาติมีอเนกประการ และ เภสัชมีเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อยงบเป็นต้น จัดเป็นกัปปิยวัตถุ.
            บรรดานิสสัคคิยวัตถุและทุกกฏวัตถุนั้น ภิกษุจะรับนิสสัคคิยวัตถุ เพื่อประโยชน์ตนเอง หรือเพื่อประโยชน์
แก่สงฆ์ คณะบุคคลและเจดีย์เป็นต้น ย่อมไม่ควร, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์แก่ตนเอง. 
เป็นทุกกฏแก่ภิกษุผู้รับเพื่อประโยชน์แก่สิ่งที่เหลือ เป็นทุกกฏอย่างเดียว แก่ภิกษุผู้รับทุกกฏวัตถุ เพื่อประโยชน์ทุกอย่าง, ไม่เป็นอาบัติในกัปปิยวัตถุ.
               เป็นปาจิตตีย์ด้วยอำนาจที่มาในรัตนสิกขาบทข้างหน้าแก่ภิกษุผู้รับวัตถุมีเงินเป็นต้นแม้ทั้งหมด
             ด้วยหน้าที่แห่งภัณฑาคาริก เพื่อต้องการจะเก็บไว้.
               [ว่าด้วยการรับ การใช้ให้รับ และวิธีปฏิบัติในรูปิยะ]               
               บท ว่า อุคฺคณฺเหยฺย แปลว่า พึงถือเอา. ก็เพราะเมื่อภิกษุรับเอาจึงต้องอาบัติ ฉะนั้น ในบทภาชนะแห่งบท
ว่า อุคฺคณฺเหยฺย นั้น ท่านจึงกล่าวว่า ภิกษุรับเอง เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.               แม้ในบทที่เหลือ ก็มีนัยอย่างนี้.
                        ในการรับเองและใช้ให้รับนั้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เป็นอาบัติตัวเดียวแก่ภิกษุผู้รับเอง หรือใช้ให้รับวัตถุสิ่งเดียว ในบรรดาภัณฑะ คือ ทอง เงิน ทั้ง
กหาปณะและมาสก. ถ้าแม้นว่า ภิกษุรับเองหรือใช้ให้รับตั้งพันอย่างรวมกัน, เป็นอาบัติมากตามจำนวนวัตถุ.
               แต่ในมหาปัจจรีและกุรุนที กล่าวรวมกันว่า เป็นอาบัติ โดยนับรูปในถุงที่ผูกไว้หย่อนๆ หรือในภาชนะ
ที่บรรจุไว้หลวมๆ. ส่วนในถุงที่ผูกไว้แน่น หรือในภาชนะที่บรรจุแน่น เป็นอาบัติตัวเดียวเท่านั้น.
                ส่วนในการยินดีเงินทองที่เขาเก็บไว้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
               เมื่อเขากล่าวว่า นี้เป็นของพระผู้เป็นเจ้า ถ้าแม้นภิกษุยินดีด้วยจิต เป็นผู้ใคร่เพื่อจะรับเอาด้วยกายหรือ
วาจา, แต่ปฏิเสธว่า นี้ไม่ควร ไม่เป็นอาบัติ. แม้ไม่ห้ามด้วยกายและวาจา เป็นผู้มีจิตบริสุทธิ์ ไม่ยินดีด้วยคิดว่า 
นี้ไม่ควรแก่เรา ไม่เป็นอาบัติเหมือนกัน.           จริงอยู่ บรรดาไตรทวารอันภิกษุห้ามแล้วด้วยทวารใดทวารหนึ่ง
 ย่อมเป็นอันห้ามแล้วแท้. แต่ถ้าไม่ห้ามด้วยกายและวาจา รับอยู่ด้วยจิต ย่อมต้องอาบัติ ในกายทวารและวจีทวาร 
มีการไม่กระทำเป็นสมุฏฐาน เพราะไม่กระทำการห้ามที่ตนพึงกระทำด้วยกายและวาจา. แต่ชื่อว่า อาบัติ ทางมโน
ทวาร ไม่มี.              บุคคลคนเดียววางเงินทองตั้งร้อยตั้งพันไว้ใกล้เท้า ด้วยกล่าวว่า นี้ จงเป็นของท่าน. ภิกษุห้าม
ว่า นี้ไม่ควร. อุบาสกพูดว่า กระผมสละถวายท่านแล้ว ก็ไป. มีคนอื่นมาที่นั้น ถามว่า นี้อะไร ขอรับ! ภิกษุพึงบอก
คำที่อุบาสกนั้นและตนพูดกัน. ถ้าเขาพูดว่า ผมจักเก็บให้ ขอรับ! ท่านจงแสดงที่เก็บ. ภิกษุพึงขึ้นไปยังปราสาท
ถึงชั้น ๗ แล้วพึงบอกว่า นี้ที่เก็บ. แต่อย่าพึงบอกว่า จงเก็บไว้ในที่นี้. อกัปปิยวัตถุ (มีทองและเงินเป็นต้น) ย่อมเป็น
อันอาศัยวัตถุที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ ตั้งอยู่ด้วยคำบอกมีประมาณเท่านี้, พึงปิดประตูแล้วอยู่รักษา.
               ถ้าว่า อุบาสกถือเอาบาตรและจีวรซึ่งเป็นของจะขายบางอย่างมา, เมื่อเขากล่าวว่า ท่านจักรับสิ่งนี้ไหม
 ขอรับ! พึงกล่าวว่า อุบาสก พวกเรามีความต้องการสิ่งนี้ และวัตถุชื่อเห็นปานนี้ ก็มีอยู่ แต่ไม่มีกัปปิยการก.
 ถ้าเขาพูดว่า ผมจักเป็นกัปปิยการก ขอท่านโปรดเปิดประตูให้เถิด. พึงเปิดประตูแล้ว กล่าวว่า ตั้งอยู่ในโอกาสโน้น.
และอย่าพึงกล่าวว่า ท่านจงถือเอาสิ่งนี้. แม้อย่างนี้ อกัปปิยวัตถุก็เป็นอันอาศัยวัตถุที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะตั้งอยู่
                    เหมือนกัน. ถ้าเขาถือเอากหาปณะนั้นแล้ว                                   ถวายกัปปิยภัณฑะแก่เธอ, ควรอยู่.             ถ้าเขาถือเอาเกินไป พึงบอกเขาว่า พวกเรา จักไม่เอาภัณฑะของท่าน จงเก็บเสีย.
               ในคำว่า สงฺฆมชฺเฌ นิสฺสชฺชิตพฺพํ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ตรัสว่าพึงสละแก่สงฆ์ หรือแก่คณะ หรือแก่บุคคล ก็เพราะธรรมดาว่ารูปิยะเป็นอกัปปิยะ (เป็นของไม่สมควร).
               อนึ่ง เพราะรูปิยะนั้น เป็นเพียงแต่ภิกษุรับไว้เท่านั้น เธอไม่ได้จ่ายหากัปปิยภัณฑ์อะไรด้วยรูปิยะนั้น ฉะนั้น
เพื่อทรงแสดงการใช้สอยโดยอุบาย จึงตรัสว่า พึงสละในท่ามกลางแห่งสงฆ์.
               ข้อว่า กปฺปิยํ อาจิกฺขิตพฺพํ สปฺปิ วา 
มีความว่า พึงบอกอย่างนี้ว่า อุบาสก เนยใส หรือน้ำมัน ย่อมควรแก่บรรพชิตทั้งหลาย.
               [ปัจจัยที่ได้จากรูปิยะที่ภิกษุรับ ไม่ควรแก่เธอผู้รับ]              
               ข้อว่า รูปิยปฏิคฺคาหกํ ฐเปตฺวา สพฺเพเหว ปริภุญฺชิตพฺพํ มีความว่า ภิกษุทั้งหมดพึงแจกกันบริโภค.
ภิกษุผู้รับรูปิยะไม่พึงรับส่วนแบ่ง. แม้ได้ส่วนที่ถึงแก่พวกภิกษุอื่นหรืออารามิกชนแล้ว จะบริโภคก็ไม่ควร. 
โดยที่สุด เนยใสหรือน้ำมันนั้น อันดิรัจฉานมีลิงเป็นต้น ลักเอาไปจากส่วนแบ่งนั้น วางไว้ในป่า หรือที่หล่นจาก
มือของสัตว์เหล่านั้น ยังเป็นของอันดิรัจฉานหวงแหนก็ดี เป็นของบังสุกุลก็ดี ไม่สมควรทั้งนั้น. แม้จะอบเสนาสนะ
ด้วยน้ำอ้อยที่นำมาจากส่วนแบ่งนั้น ก็ไม่ควร. จะตามประทีปด้วยเนยใส หรือน้ำมันแล้วนอนก็ดี กระทำกสิณบริกรรมก็ดี สอนหนังสือก็ดี ด้วยแสงสว่างแห่งประทีป ไม่ควร.
               อนึ่ง จะทาแผลที่ร่างกายด้วยน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น จากส่วนแบ่งนั้น ก็ไม่ควรเหมือนกัน.
               คนทั้งหลายเอาวัตถุนั้น จ่ายหาเตียงและตั่งเป็นต้นก็ดี สร้างอุโบสถาคารก็ดี สร้างโรงฉันก็ดี จะบริโภค
ใช้สอย ก็ไม่ควร. แม้ร่มเงา (แห่งโรงฉันเป็นต้น) อันแผ่ไปอยู่ตามเขตของเรือน ก็ไม่ควร. ร่มเงาที่เลยเขตไป ควรอยู่
 เพราะเป็นของจรมา. จะเดินไปตามทางก็ดี สะพานก็ดี เรือก็ดี แพก็ดี ที่เขาจำหน่ายวัตถุนั้นสร้างไว้ไม่ควร. 
จะดื่มหรือใช้สอยน้ำที่เอ่อขึ้นเต็มปริ่มสระโบกขรณี ซึ่งเขาให้ขุดด้วยวัตถุนั้นก็ไม่ควร.
               แต่ว่า เมื่อน้ำภายใน (สระ) ไม่มี น้ำที่ไหลมาใหม่หรือน้ำฝนไหลเข้าไป สมควรอยู่. แม้น้ำที่มาใหม่ซึ่ง
ซื้อมาพร้อมกับสระโบกขรณีที่ซื้อมา (ด้วยวัตถุนั้น) ก็ไม่ควร.
               สงฆ์ตั้งวัตถุนั้นเป็นของฝาก (เก็บดอกผล) บริโภคปัจจัย, แม้ปัจจัยเหล่านั้น ก็ไม่ควรแก่เธอ. 
แม้อารามซึ่งเป็นที่อันสงฆ์รับไว้ (ด้วยวัตถุนั้น) ก็ไม่ควรเพื่อบริโภคใช้สอย. ถ้าพื้นดินก็ดี พืชก็ดี เป็นอกัปปิยะ, จะ
ใช้สอยพื้นดิน จะบริโภคผลไม้ไม่ควรทั้งนั้น. ถ้าภิกษุซื้อพื้นดินอย่างเดียว เพาะปลูกพืชอื่น, จะบริโภคผล ควรอยู่.
 ถ้าพืช ภิกษุซื้อมาปลูกลงในพื้นดินอันเป็นกัปปิยะ จะบริโภคผล ไม่ควร. จะนั่งหรือนอนบนพื้นดิน ควรอยู่.
               ข้อว่า สเจ โส ฉฑฺเฑติ มีความว่า เขาโยนทิ้งไป ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่ง. 
ถ้าแม้นเขาไม่ทิ้ง หรือถือเอาไปเสียเอง, ไม่พึงห้ามเขา.
               ข้อว่า โน เจ ฉฑฺเฑติ มีความว่า ถ้าเขาไม่ถือเอาไปและไม่ทิ้งให้ หลีกไปตามความปรารถนา 
         ด้วยใส่ใจว่า ประโยชน์อะไรของเรา ด้วยการขวนขวายนี้. 
        ลำดับนั้น สงฆ์พึงสมมติภิกษุผู้มีลักษณะตามที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ.
               [ว่าด้วยองค์แห่งภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ]               
               ในคำว่า โย น ฉนฺทาคตึ เป็นต้น มีวินิจฉัยดังนี้ :-
ภิกษุผู้กระทำวัตถุนั้นเพื่อตน หรือยกตนขึ้นอ้าง ด้วยอำนาจแห่งความโลภ ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะ
ชอบกัน. เมื่อรุกรานผู้อื่นด้วยอำนาจแห่งโทสะว่า ภิกษุนี้ไม่รู้แม่บทเลย ไม่รู้วินัย ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะ
โทสะ.        เมื่อถึงความเป็นผู้พลั้งเผลอและหลงลืมสติด้วยอำนาจโมหะ ชื่อว่า ย่อมถึงความลำเอียงเพราะหลง. 
 เมื่อไม่อาจจะทิ้งเพราะกลัวภิกษุผู้รับรูปิยะ ชื่อว่า    ย่อมถึงความลำเอียงเพราะกลัว     ภิกษุผู้ไม่กระทำอย่างนี้
 บัณฑิตพึงทราบว่า ย่อมไม่ถึงความลำเอียงเพราะชอบกัน ฯลฯ                     ย่อมไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว.
            สอง บท ว่า อนิมิตฺตํ กตฺวา ได้แก่ ไม่กระทำให้มีที่หมาย.
               อธิบายว่า ภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะนั้น หลับตาแล้ว ไม่เหลียวดูดุจคูถคือไม่กำหนดหมายที่ตก พึงทิ้งให้ตกไป
ในแม่น้ำ ในเหว หรือในพุ่มไม้. ในรูปิยะแม้อันภิกษุพึงรังเกียจอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าก็ตรัสบอกการบริโภค
ใช้สอยแก่ภิกษุทั้งหลายโดยปริยาย.            ก็การบริโภคปัจจัยที่เกิดขึ้นจากรูปิยะนั้น ย่อมไม่สมควรแก่ภิกษุ
ผู้รับรูปิยะ โดยปริยายไรๆ เลย. ก็การบริโภคปัจจัยที่เกิดขึ้นนี้ ไม่ควรแก่ภิกษุผู้รับรูปิยะนั่น ฉันใด, ปัจจัยที่เกิดขึ้น
 เพราะการอวดอุตริมนุสธรรมอันไม่มีจริงก็ดี เพราะกุลทูสกกรรมก็ดี เพราะการหลอกลวงเป็นต้นก็ดี ย่อมไม่ควร
แก่ภิกษุนั้นและแก่ภิกษุอื่น ฉันนั้น. ถึงปัจจัยที่เกิดขึ้นโดยธรรมโดยสม่ำเสมอ ยังไม่ได้พิจารณา จะบริโภค ก็ไม่ควร.
               [อธิบายการบริโภคปัจจัยมี ๔ อย่าง]               
               จริงอยู่ การบริโภคมี ๔ อย่าง คือ ไถยบริโภค (บริโภคอย่างขโมย) ๑ อิณบริโภค (บริโภคอย่างเป็นหนี้) ๑
 ทายัชชบริโภค (บริโภคอย่างเป็นผู้รับมรดก) ๑ สามีบริโภค (บริโภคอย่างเป็นเจ้าของ) ๑.
               บรรดาการบริโภค ๔ อย่างนั้น การบริโภคของภิกษุผู้ทุศีลซึ่งนั่งบริโภคอยู่ แม้ในท่ามกลางสงฆ์ 
             ชื่อว่า ไถยบริโภค. การบริโภคไม่พิจารณาของภิกษุผู้มีศีล
             ชื่อว่า อิณบริโภค. เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้มีศีลพึงพิจารณาจีวรทุกขณะที่บริโภคใช้สอย.
        บิณฑบาตพึงพิจารณาทุกๆ คำกลืน. เมื่อไม่อาจอย่างนั้น พึงพิจารณาในกาลก่อนฉัน หลังฉัน ยามต้น 
ยามกลางและยามสุดท้าย. หากเมื่อเธอไม่ทันพิจารณาอรุณขึ้น, ย่อมตั้งอยู่ในฐานะบริโภคหนี้. แม้เสนาสนะ ก็
พึงพิจารณาทุกๆ ขณะที่ใช้สอย. ความมีสติเป็นปัจจัยทั้งในขณะรับทั้งในขณะบริโภคเภสัช ย่อมควร. แม้เมื่อเป็น
อย่างนั้น ก็เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ทำสติในการรับ ไม่ทำในการบริโภคอย่างเดียว. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ ทำแต่ในเวลาบริโภค.
               ก็สุทธิมี ๔ อย่าง คือ เทสนาสุทธิ (หมดจดด้วยการแสดง) ๑ สังวรสุทธิ (หมดจดด้วยสังวร) ๑
 ปริยิฏฐิสุทธิ (หมดจดด้วยการแสวงหา) ๑ ปัจจเวกขณสุทธิ (หมดจดด้วยการพิจารณา) ๑.
               บรรดาสุทธิ ๔ อย่างนั้น ปาฏิโมกขสังวรศีล ชื่อว่าเทสนาสุทธิ. ก็ปาฏิโมกขสังวรศีลนั้น ท่าน
                เรียกว่า เทสนาสุทธิ เพราะบริสุทธิ์ด้วยการแสดง.
               อินทรียสังวรศีล ชื่อว่า สังวรสุทธิ. ก็อินทรียสังวรศีลนั้น ท่านเรียกว่า สังวรสุทธิ เพราะบริสุทธิ์ด้วยสังวร
 คือ การตั้งจิตอธิษฐานว่า เราจักไม่ทำอย่างนี้อีกเท่านั้น.
               อาชีวปริสุทธิศีล ชื่อว่า ปริยิฏฐิสุทธิ. ก็อาชีวปาริสุทธิศีลนั้น ท่านเรียกว่า ปริยิฏฐิสุทธิ เพราะเป็น
ความบริสุทธิ์ด้วยการแสวงหาของภิกษุผู้ละอเนสนาแล้วยังปัจจัยทั้งหลายให้เกิดขึ้นโดยธรรม โดยสม่ำเสมอ.
               ปัจจัยบริโภคสันนิสสิตศีล ชื่อว่า ปัจจเวกขณสุทธิ.
               จริงอยู่ ปัจจัยบริโภคสันนิสสิตศีลนั้น ท่านเรียกว่า ปัจจเวกขณสุทธิ เพราะบริสุทธิ์ด้วยการพิจารณา
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยมีอาทิว่า ภิกษุย่อมพิจารณาโดยแยบคายแล้วเสพจีวร ดังนี้. เพราะเหตุนั้น
              ข้าพเจ้าจึงกล่าวว่า แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไม่ทำสติในการรับ ทำแต่ในการบริโภค.
ในที่อื่นๆ เป็น ปริเยฏฐิสุทธิ.
               การบริโภคปัจจัยของพระเสขะ ๗ จำพวก ชื่อว่า ทายัชชบริโภค.             จริงอยู่ พระเสขะ ๗ จำพวกนั้น เป็นพระโอรสของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น จึงเป็นทายาท
       แห่งปัจจัยอันเป็นของพระพุทธบิดา บริโภคอยู่ซึ่งปัจจัยเหล่านั้น.            ถามว่า ก็พระเสขะเหล่านั้น บริโภคปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้าหรือบริโภคปัจจัยของพวกคฤหัสถ์?
               ตอบว่า ปัจจัยเหล่านั้น แม้อันพวกคฤหัสถ์ถวาย ก็จริง.    แต่ชื่อว่าเป็นของพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ เพราะฉะนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า          พระเสขะเหล่านั้นบริโภคปัจจัยของ
พระผู้มีพระภาคเจ้า. ก็ธรรมทายาทสูตร เป็นเครื่องสาธกในการบริโภค         ปัจจัยของพระผู้มีพระภาคเจ้านี้.
               การบริโภค ของพระขีณาสพทั้งหลาย ชื่อว่า สามีบริโภค.     จริงอยู่ พระขีณาสพทั้งหลายเหล่านั้น ชื่อว่าเป็นเจ้าของบริโภคเพราะล่วงความเป็นทาสแห่งตัณหาได้แล้ว.
               บรรดาการบริโภคทั้ง ๔ นี้ สามีบริโภคและทายัชชบริโภค           ย่อมควรแม้แก่ภิกษุทุกจำพวก.    อิณบริโภค ไม่สมควรเลย. ในไถยบริโภค ไม่มีคำจะพูดถึงเลย.
               [อธิบายว่าการบริโภคอีก ๔ อย่าง]               
               การบริโภคแม้อื่นอีก ๔ คือ ลัชชีบริโภค อลัชชีบริโภค ธัมมิยบริโภค อธัมมิยบริโภค.
               บรรดาการบริโภค ๔ อย่างนั้น การบริโภคของอลัชชีภิกษุร่วมกับลัชชีภิกษุ สมควร. ไม่พึงปรับอาบัติเธอ.
             การบริโภคของลัชชีภิกษุร่วมกับอลัชชีภิกษุ ย่อมควรตลอดเวลาที่เธอยังไม่รู้ เพราะว่าธรรมดาภิกษุ
ผู้เป็นอลัชชีมาแต่แรกไม่มี. เพราะฉะนั้น พึงว่า กล่าวเธอในเวลาทราบว่าเธอเป็นอลัชชีว่า ท่านทำการละเมิด
ในกาย ทวาร และ วจี ทวาร, การทำนั้น ไม่สมควรเลย, ท่านอย่าได้กระทำอย่างนี้. ถ้าเธอไม่เอื้อเฟื้อยังคงกระทำ
อยู่อีก ถ้ายังขืนทำการบริโภคร่วมกับอลัชชีนั้น แม้เธอก็จะกลายเป็นอลัชชีไปด้วย.
               ฝ่ายภิกษุใดกระทำการบริโภคร่วมกับอลัชชี ผู้ซึ่งเป็นภาระของตน, 
                  แม้ภิกษุนั้น อันภิกษุอื่นเห็นพึงห้าม, ถ้าเธอไม่ยอมงดเว้น ภิกษุแม้รูปนี้ก็เป็นอลัชชีเหมือนกัน.
               อลัชชีภิกษุแม้รูปเดียว ย่อมทำให้ภิกษุเป็นอลัชชีได้แม้ตั้งร้อยรูปอย่างนี้. 
ชื่อว่าอาบัติในการบริโภคร่วมกันระหว่างอลัชชีกับอลัชชี ย่อมไม่มี. การบริโภคร่วมระหว่างลัชชีกับลัชชี
 เป็นเช่นเดียวกับขัตติยกุมารสองพระองค์เสวยร่วมกันในสุวรรณภาชน์. การบริโภคเป็นธรรมและไม่เป็นธรรม
                   ผู้ศึกษาพึงทราบด้วยอำนาจแห่งปัจจัยนั่นแล.
               ในการบริโภคเป็นธรรมและไม่เป็นธรรมนั้น พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
               ถ้าแม้บุคคลก็เป็นอลัชชี แม้บิณฑบาตก็ไม่เป็นธรรม, น่ารังเกียจทั้ง ๒ ฝ่าย. 
บุคคลเป็นอลัชชี แต่บิณฑบาตเป็นธรรม, ภิกษุทั้งหลายรังเกียจบุคคลแล้ว ไม่พึงรับบิณฑบาต. 
            แต่ในมหาปัจจรี ท่านกล่าวไว้ว่า คนทุศีลได้อุเทศภัตเป็นต้นจากสงฆ์แล้ว ถวายแก่สงฆ์นั่นแล, 
         อุเทศภัตเป็นต้นนี้ ย่อมควร เพราะเป็นไปตามที่เขาถวายนั่นเอง.
               บุคคลเป็นลัชชี บิณฑบาตไม่เป็นธรรม, บิณฑบาตน่ารังเกียจ ไม่ควรรับเอา. บุคคลเป็นลัชชี แม้บิณฑบาตก็เป็นธรรม ย่อมสมควร.
               [อธิบายการยกย่องและการบริโภคอีกอย่างละ ๒]              
               ยังมีการยกย่อง ๒ อย่าง และการบริโภค ๒ อย่างอีก คือ การยกย่องลัชชี ๑ การยกย่องอลัชชี ๑
          ธรรมบริโภค ๑ อามิสบริโภค ๑. ในการยกย่องและการบริโภคนั้น การยกย่องลัชชีแก่อลัชชี สมควร. 
เธอไม่ควรถูกปรับอาบัติ.           ก็ถ้าว่า ลัชชียกย่องอลัชชี ย่อมเชื้อเชิญด้วยอนุโมทนา เชื้อเชิญด้วยธรรมกถา
 อุปถัมภ์ในสกุลทั้งหลาย, แม้อลัชชีนอกนี้ ก็กล่าวสรรเสริญเธอในบริษัทว่า อาจารย์ของพวกเราย่อมเป็นผู้เช่นนี้
                 และ เช่นนี้, ภิกษุนี้ บัณฑิตพึงทราบว่า   ย่อมทำพระศาสนาให้เสื่อมลง คือให้อันตรธานไป.
ก็บรรดาธรรมบริโภคและอามิสบริโภคในบุคคลใด อามิสบริโภค สมควร, ในบุคคลนั้น แม้ธรรมบริโภค ก็สมควร.
 ท่านกล่าวไว้ (ในอรรถกถาทั้งหลาย) ว่า ก็คัมภีร์ใดตั้งอยู่ในสุดท้าย จักฉิบหายไปโดยกาลล่วงไปแห่งบุคคล
               นั้น, จะเรียนเอาคัมภีร์นั้นเพื่ออนุเคราะห์ธรรม ควรอยู่.                   ในการอนุเคราะห์ธรรมนั้น               มีเรื่องต่อไปนี้ :-
               [เรื่องเรียนคัณฐะจากคนเลวเพื่ออนุเคราะห์ธรรม]               
               ได้ยินว่า ในยุคมหาภัย ได้มีภิกษุผู้ชำนาญมหานิเทศเพียงรูปเดียวเท่านั้น. ครั้งนั้น พระอุปัชฌายะของ
พระติสสเถระผู้ทรงนิกาย ๔ ชื่อว่ามหาติปิฏกเถระ กล่าวกะพระมหารักขิตเถระว่า อาวุโสมหารักขิต! เธอจงเรียน
เอามหานิเทศในสำนักแห่งภิกษุนั่นเถิด. เธอเรียนว่า ได้ทราบว่า ท่านรูปนี้เลวทราม ขอรับ! กระผมจักไม่เรียนเอา.
                       อุปัชฌาย์. เรียนไว้เถิดคุณ! ฉันจักนั่งใกล้ๆ เธอ.            พระเถระ. ดีละ ขอรับ! เมื่อท่านนั่งอยู่ด้วย กระผมจักเรียนเอา 
แล้วเริ่มเรียนติดต่อกันทั้งกลางคืนกลางวัน วันสุดท้ายเห็นสตรีภายใต้เตียงแล้ว เรียนว่า ท่านขอรับ! กระผมได้สดับ
มาก่อนแล้วทีเดียว ถ้าว่ากระผมพึงรู้อย่างนี้ จะไม่พึงเรียนธรรมในสำนักคนเช่นนี้เลย. ก็พระมหาเถระเป็นอันมาก
ได้เรียนเอาในสำนักของพระเถระนั้นแล้ว
 ได้ประดิษฐานมหานิเทศไว้สืบมา.
        อันทองและเงินแม้ทั้งหมด ผู้ศึกษาพึงทราบว่า ถึงการสงเคราะห์ว่ารูปิยะทั้งนั้น ในคำว่า รูปิเย รูปิยสญฺญี นี้.
         สอง บท ว่า รูปิเย เวมติโก มีความว่า เกิดมีความสงสัย โดยนัยเป็นต้นว่า เป็นทองคำหรือทองเหลือง๑- หนอ
               สอง บท ว่า รูปิเย อรูปิยสญฺญี มีความว่า มีความสำคัญในทองคำเป็นต้นว่า เป็นทองเหลืองเป็นต้น.
๑- วิมติ ขรปตฺตนฺติ ขรสงฺขาตํ สุวณฺณปฏิรูปกํ วตฺถุ แปลว่า ที่ชื่อว่า
๑- ขรปัตตะ ได้แก่ วัตถุที่นับว่าแข็ง เทียมทองคำ. - ผู้ชำระ.
               อีกอย่างหนึ่ง บุคคลผู้ใคร่ในบุญทั้งหลาย มีนางสนมของพระราชาเป็นต้น ถวายเงินและทองใส่ไว้ในภัต
 ของควรเคี้ยว ของหอมและกำยานเป็นต้น, ถวายแผ่นผ้าเล็กๆ รวมกับกหาปณะที่ขอดไว้ที่ชายผ้าเป็นต้น
นั่นแหละ แก่ภิกษุทั้งหลายผู้เที่ยวบิณฑบาตผ้า. ภิกษุทั้งหลายรับเอาด้วยสำคัญว่าภัตตาหารเป็นต้น หรือ
สำคัญว่าผ้า. ภิกษุนี้ พึงทราบว่า ผู้มีความสำคัญในรูปิยะว่ามิใช่รูปิยะ รับเอารูปิยะด้วยอาการอย่างนี้.
               แต่ภิกษุผู้รับ พึงกำหนดให้ดีว่า วัตถุนี้เราได้ในเรือนหลังนี้ เพราะว่า ผู้ที่ถวายของด้วยไม่มีสติ ได้สติแล้ว
จะกลับมา (ทวงถาม). ลำดับนั้น ภิกษุพึงบอกเขาว่า ท่านจงตรวจดูห่อผ้าของท่าน ดังนี้.
               บทที่เหลือในสิกขาบทนี้ มีอรรถตื้นทั้งนั้น.
        บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๖ บางคราว
เป็นกิริยา เพราะต้องด้วยการรับ บางคราวเป็นอกิริยา เพราะไม่ทำการห้าม.
               จริงอยู่ รูปิยสิกขาบท อัญญวาทกสิกขาบทและอุปัสสุติสิกขาบท ทั้ง ๓ มีกำหนดอย่างเดียวกัน เป็น
โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.
               รูปิยสิกขาบทที่ ๘ จบ.      

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๘ ว่าด้วย การรับทองเงิน พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระอุปนันทศากยบุตร
         [๑๐๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่ พระราชทานเหยื่อแก่กระแต 
เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น ท่านพระอุปนันทศากยบุตร เป็น 
กุลุปกะของสกุลหนึ่ง รับภัตตาหารอยู่เป็นประจำ ของเคี้ยวของฉันอันใดที่เกิดขึ้นในสกุลนั้น. เขาย่อมแบ่งส่วนไว้
ถวายท่านพระอุปนันทศากยบุตร. เย็นวันหนึ่งในสกุลนั้นมีเนื้อเกิดขึ้น              เขาจึง แบ่งส่วนเนื้อนั้นไว้ถวายท่าน
     พระอุปนันทศากยบุตร. เด็กของสกุลนั้นตื่นขึ้นในเวลาเช้ามืด ร้อง อ้อนวอนว่า      จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า. 
บุรุษสามีจึงสั่งภรรยาว่า                 จงให้ส่วนของพระแก่เด็ก เราจัก ซื้อของอื่นถวายท่าน. ครั้นแล้วเวลาเช้าท่าน
          อุปนันทศากยบุตร นุ่งอันตรวาสกแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปสู่สกุลนั้น แล้วนั่งบนอาสนะที่เขาจัดถวาย. 
 ทันใด บุรุษนั้นเข้าไปหาท่านพระอุปนันทศากยบุตร กราบแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง, ได้กราบเรียนว่า ท่าน
เจ้าข้า เมื่อเย็นวานนี้มีเนื้อเกิดขึ้น, ผมได้เก็บไว้ถวายพระคุณเจ้าส่วนหนึ่ง, จากนั้นเด็กคนนี้ตื่นขึ้นแต่เช้ามืด
ร้องอ้อนวอนว่า จงให้เนื้อแก่ข้าพเจ้า ผมจึงได้ให้เนื้อส่วนของ พระคุณเจ้าแก่เด็ก, พระคุณเจ้าจะให้ผมจัดหาอะไรมาถวายด้วยทรัพย์กหาปณะหนึ่ง ขอรับ. 
              ท่านพระอุปนันทศากยบุตรถามว่า เธอบริจาคทรัพย์กหาปณะหนึ่งแก่เรา แล้วหรือ?
                บุ. ขอรับ ผมบริจาคแล้ว. 
                อุ. เธอจงให้กหาปณะนั้นแหละแก่เรา.
   บุรุษนั้นได้ถวายกหาปณะแก่ท่านพระอุปนันทศากยบุตร          ในทันใดนั้นเอง แล้วเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา
ว่า พระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ รับรูปิยะเหมือนพวกเรา.             ภิกษุทั้งหลายได้ยินบุรุษนั้นเพ่งโทษ 
ติเตียน โพนทะนาอยู่ บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็
เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน ท่านพระอุปนันทศากยบุตรจึงได้รับ               รูปิยะเล่า? แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม 
            ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น
                  แล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนันทศากยบุตรว่า      ดูกรอุปนันทะ ข่าวว่า เธอรับรูปิยะจริงหรือ? 
           ท่านพระอุปนันทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
 ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่
กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ไฉนเธอจึงได้รับรูปิยะเล่า? การกระ ทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส
ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของ ชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น
เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาค ทรงติเตียนท่านพระอุปนันทศากยบุตร โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้วตรัส โทษแห่งความเป็น
คนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน
ตรัสคุณแห่งความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด
อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น
ที่เหมาะสมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจัก
บัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำ นาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความ
สำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุมีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ
บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยัง ไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. 
                    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ ๓๗. ๘. อนึ่ง ภิกษุใด รับก็ดี ให้รับก็ดี ซึ่งทอง เงิน หรือยินดีทอง เงิน อันเขาเก็บไว้ให้, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
            เรื่องพระอุปนันทศากยบุตรจบ. 
สิกขาบทวิภังค์ 
              [๑๐๖] บท ว่า อนึ่ง ... ใด 
ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติ อย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด 
มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม, 
                นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
               บท ว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ. 
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าประพฤติภิกขาจริยวัตร. 
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว. 
                 ชื่อว่า ภิกษุโดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. 
                 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุ. 
            ชื่อว่า ภิกษุเพราะว่าอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ. 
                ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่ามีสารธรรม. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ, 
              ชื่อว่าภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกัน
           อุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. 
                บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ
               ควรแก่ฐานะ, นี้ชื่อว่า ภิกษุที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
              ที่ชื่อว่า ทอง ตรัสหมายทองคำ.     ที่ชื่อว่า เงิน ได้แก่กหาปณะ มาสกที่ทำด้วยโลหะ มาสกที่ทำด้วยไม้
 มาสกที่ทำด้วยครั่ง ซึ่งใช้เป็นมาตราสำหรับแลกเปลี่ยนซื้อขายกันได้.
             บท ว่า รับ คือรับเอง เป็นนิสสัคคีย์.
             บท ว่า ให้รับ คือให้คนอื่นรับแทน เป็นนิสสัคคีย์.
       บท ว่า หรือยินดีทองเงินอันเขาเก็บไว้ให้ ความว่า หรือยินดี ทอง เงินที่เขาเก็บไว้ให้ด้วยบอกว่า ของนี้จงเป็น
           ของพระคุณเจ้า ดังนี้เป็นต้น, เป็นนิสสัคคีย์ ทองเงินที่เป็นนิสสัคคีย์ต้องเสียสละในท่ามกลางสงฆ์.
       ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละรูปิยะนั้น อย่างนี้:-
วิธีเสียสละรูปิยะ
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่ง ประนมมือ
 กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้ารับรูปิยะไว้แล้ว. ของนี้ของข้าพเจ้า เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้า สละรูปิยะนี้
แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ, ถ้าคนผู้ทำการวัด หรืออุบาสก เดินมา
ในสถานที่เสียสละนั้น พึงบอกเขาว่า ท่านจงรู้ของสิ่งนี้, ถ้าเขาถามว่า จะให้ผมนำของสิ่งนี้ไปหาอะไรมา อย่าบอก
ว่า  จงนำของสิ่งนี้หรือของสิ่งนี้มา. ควรบอกแต่ของ ที่เป็นกัปปิยะ เช่น เนยใส น้ำมัน น้ำผึ้ง หรือน้ำอ้อย, ถ้าเขานำ
รูปิยะนั้นไปแลกของที่เป็นกัปปิยะ มาถวาย เว้นภิกษุผู้รับรูปิยะ, ภิกษุนอกนั้นฉันได้ทุกรูป, ถ้าได้อย่างนี้ นั่นเป็น
การดี;    ถ้าไม่ได้, พึงบอกเขาว่า โปรดช่วยทิ้งของนี้, ถ้าเขาทิ้งให้ นั่นเป็นการดี; ถ้าเขาไม่ทิ้งให้, พึงสมมติภิกษุ 
                 ผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ. องค์ ๕                             ของภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ องค์ ๕ นั้น คือ
 ๑ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ,
๒ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะ เกลียดชัง,
๓ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะงมงาย
๔ ไม่ถึงความลำเอียงเพราะกลัว; และ
๕ รู้จักว่าทำ อย่างไรเป็นอันทิ้งหรือไม่เป็นอันทิ้ง.
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติภิกษุนั้น อย่างนี้:-
 วิธีสมมติภิกษุผู้ทิ้งรูปิยะ พึงขอภิกษุให้รับตกลงก่อน, ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศ ให้สงฆ์ทราบ
 ด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
  คำสมมติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงสมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ นี่เป็นญัตติ. ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. สงฆ์สมมติภิกษุ
มีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ, การสมมติ ภิกษุมีชื่อนี้ให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะ, ชอบแก่ท่านผู้ใด; ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง. ไม่ชอบ
แก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด. ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ทิ้งรูปิยะแล้ว ชอบแก่สงฆ์. เหตุนั้นจึงนิ่ง, ข้าพเจ้า 
ทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้. ภิกษุผู้รับสมมติแล้วนั้น พึงทิ้งอย่าหมายที่ตก, ถ้าทิ้งหมายที่ตก, ต้องอาบัติทุกกฏ.
บทภาชนีย์
                 ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๑๐๗] รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             รูปิยะ ภิกษุสงสัย รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่รูปิยะ รับรูปิยะ, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
                    ทุกกฏ      ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าเป็นรูปิยะ. ต้องอาบัติทุกกฏ.
             ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                 ไม่ต้องอาบัติ     ไม่ใช่รูปิยะ ภิกษุสำคัญว่าไม่ใช่รูปิยะ ... ไม่ต้องอาบัติ.
               อนาปัตติวาร             [๑๐๘] ทองเงินตกอยู่ภายในวัดก็ดี ภายในที่อยู่ก็ดี, ภิกษุหยิบยกเองก็ดี ใช้ให้หยิบยกก็ดี, 
แล้วเก็บไว้ด้วยตั้งใจว่า เป็นของผู้ใด, ผู้นั้นจักนำไปดังนี้ ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๘ จบ.

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๗ ว่าด้วย การซักขนเจียม พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องพระฉัพพัคคีย์
    [๑๐๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม เขตพระนคร กบิลพัสดุ์ แถบสักกชนบท.
     ครั้งนั้น พระฉัพพัคคีย์ใช้ภิกษุณีซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่ง ขนเจียม, ภิกษุณีทั้งหลายมัวสาละวนซัก ย้อม สาง ขนเจียมอยู่ จึงละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา. 
              ครั้งนั้นแล พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี เสด็จเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ณ พุทธสำนัก.
       ครั้น ถวายบังคมแล้ว ได้ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 
  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามพระมหาปชาบดีโคตมีเถรีผู้ประทับอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แลว่า
                ดูกรพระโคตมี พวกภิกษุณียังเป็นผู้ไม่ประมาท มีความเพียร มีตนส่งไปแล้วอยู่หรือ?
 พระนางกราบทูลว่า "พระพุทธเจ้าข้า ความไม่ประมาทของพวกภิกษุณีจักมีแต่ไหน, "เพราะ พระผู้เป็นเจ้า
เหล่าฉัพพัคคีย์ใช้ภิกษุณีซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียม, ภิกษุณีทั้งหลาย มัวสาละวนซัก ย้อม สาง 
ขนเจียมอยู่ จึงละเลยอุเทศ ปริปุจฉา อธิศีล อธิจิต อธิปัญญา. 
      ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว. พระนางถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทำประทักษิณ หลีกไปแล้ว.
  ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
 ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้ว ทรงสอบถามพระฉัพพัคคีย์ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกเธอ ใช้
              ภิกษุณีซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียม จริงหรือ? 
                  พระฉัพพัคคีย์ทูลรับว่า  จริง พระพุทธเจ้าข้า. 
                    พ. เขาเป็นญาติของพวกเธอ หรือมิใช่ญาติ?                                         
                    ฉ. มิใช่ญาติ พระพุทธเจ้าข้า 
ทรงติเตียน 
              พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษทั้งหลาย การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม
 ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ, ภิกษุผู้มิใช่ญาติ ย่อมไม่ รู้การกระทำที่สมควรหรือไม่สมควร,
อาการที่น่าเลื่อมใสหรือไม่น่าเลื่อมใส ของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ, เมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเธอยังใช่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้
ซักบ้าง ย้อมบ้าง สางบ้าง ซึ่งขนเจียมได้, การกระทำของพวกเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่
เลื่อมใส หรือเพื่อความ เลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว. โดยที่แท้ การกระทำของพวกเธอนั่น เป็นไปเพื่อ
ความไม่ เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
 ทรงบัญญัติสิกขาบท 
              พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนพระฉัพพัคคีย์โดยอเนกปริยายดั่งนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก
ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง
ความเป็นคนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความ เพียร โดยอเนกปริยาย ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ
สมแก่เรื่องนั้น แก่ ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัยอำนาจ ประโยชน์ ๑๐ ประการ
คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่ม บุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มี
ศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดใน ปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่ เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระ
สัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
 พระบัญญัติ               ๓๖. ๗. อนึ่ง ภิกษุใด ยังภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ให้ซักก็ดี 
ให้ย้อมก็ดี ให้สางก็ดี ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
             เรื่องพระฉัพพัคคีย์ จบ.
 สิกขาบทวิภังค์
             [๑๐๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด
มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด, เป็น
เถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม, นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
 บทว่า ภิกษุ ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้ขอ.
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร.
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า ทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว.
 ชื่อว่า ภิกษุ โดยสมญา. ชื่อว่า ภิกษุ โดยปฏิญญา. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นเอหิภิกษุ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์.
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้เจริญ. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า มีสารธรรม. ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระเสขะ.
ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นพระอเสขะ.
 ชื่อว่า ภิกษุ เพราะอรรถว่า เป็นผู้อันสงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ. บรรดาภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่สงฆ์พร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ, นี้ ชื่อว่า ภิกษุ ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
วิธีเสียสละ 
       เสียสละแก่สงฆ์
    ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ
กล่าวอย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า. ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว เป็น ของจำจะสละ, 
ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนขน
เจียมที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อ
นี้ เป็นของ จำจะสละ, เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์   ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้ ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่คณะ 
              ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษา กว่า นั่ง
กระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-               ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว
เป็น ของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย.              ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้
สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนขนเจียมที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านทั้งหลาย ขอจงฟัง
ข้าพเจ้า. ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของจำ จะสละ, เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของ
             ท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว, ท่านทั้งหลายพึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่บุคคล 
              ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-
          ท่าน ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้า ใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักแล้ว เป็นของจำ จะสละ, ข้าพเจ้าสละขนเจียม
เหล่านี้แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้น พึงรับอาบัติ พึงคืนขนเจียมที่เสีย สละให้ด้วยคำว่าข้าพเจ้าให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน 
บทภาชนีย์
                สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๑
             [๑๐๓] ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่ง  ขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้สาง ซึ่ง   ขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ซึ่ง     ขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่ง  ขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้ย้อม ให้สาง ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่ามิใช่ญาติ จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ซึ่ง      ขนเจียม. เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ซัก ซึ่ง   ขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ให้สาง ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๑
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ซัก ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้ย้อม ให้สาง ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สงสัย จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้สาง ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้สาง ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้สาง ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสงสัย ให้สาง ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัว กับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๑
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ซัก ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๒
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้สาง ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ กับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้ย้อม ให้สาง ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
สำคัญว่าเป็นญาติ จตุกกะ ๓
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้สาง ซึ่งขนเจียม, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้สาง ให้ซัก ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
             ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้สาง ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏกับนิสสัคคีย์.
ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ให้สาง ให้ซัก ให้ย้อม ซึ่งขนเจียม, ต้องอาบัติทุกกฏ ๒ ตัวกับนิสสัคคีย์.
ทุกกฏ       ภิกษุ ใช้ภิกษุณี ซักขนเจียมของภิกษุอื่น, ต้องอาบัติทุกกฏ.             ภิกษุ ใช้ภิกษุณีผู้อุปสมบทแต่สงฆ์ฝ่ายเดียวซัก, ต้องอาบัติทุกกฏ.             ภิกษุณีผู้เป็นญาติ 
ภิกษุสำคัญว่ามิใช่ญาติ ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                     ภิกษุณีผู้เป็นญาติ  ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
                  ไม่ต้องอาบัติ     ภิกษุณีผู้เป็นญาติ ภิกษุสำคัญว่าเป็นญาติ ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๑๐๔] ภิกษุณีผู้เป็นญาติซักให้เอง ๑, ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติเป็นผู้ช่วยเหลือ ๑, ภิกษุไม่ได้
บอกใช้ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติซักให้เอง ๑,                ภิกษุใช้ให้ซักขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของแล้วแต่ยังไม่ได้ใช้ ๑,
ใช้สิกขมานาซัก ๑, ใช้สามเณรีซัก ๑,             ภิกษุวิกลจริต ๑,              ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
                  โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๗ จบ.
              อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์
                นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๗
       พรรณนาเอฬกโลมโธวาปนสิกขาบท
               เอฬกโลมโธวาปนสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น
               ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
             บรรดาบทเหล่านั้น บท ว่า ริญฺจนฺติ แปลว่า ย่อมละทิ้ง คือย่อมสละเสีย.
               มีคำอธิบายว่า ย่อมไม่อาจเพื่อจะประกอบเนืองๆ.
               คำที่เหลือในเอฬกโลมโธวาปนสิกขาบทนี้ พร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น 
      มีนัยดังกล่าวแล้วในปุราณจีวรสิกขาบทนั้นแล.
 เอฬกโลมโธวาปนสิกขาบทที่ ๗ จบ.   

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๖ ว่าด้วย การรับขนเจียม พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
                   นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๖    
พรรณนาเอฬกโลมสิกขาบท            
          เอฬกโลมสิกขาบท ว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-           ในเอฬกโลมสิกขาบทนั้น             
           มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
         บท ว่า อุปฺผณฺเฑสุํ มีความว่า พวกชาวบ้านกล่าวคำสัพยอกเป็นต้นว่า                 ท่านขอรับ (ขนเจียมนี้)
 ท่านซื้อมาด้วยราคาเท่าไร?
               สอง บท ว่า ฐิตโกว อาสุมฺภิ มีความว่า พวกชาวบ้านขนมัดฟืนแบกใหญ่มาจากป่าเหน็ดเหนื่อยแล้วโยน      ลงไป ทั้งๆ ที่ยืนอยู่ฉันใด ภิกษุนี้ได้โยน (ขนเจียม) ให้ตกลงไปฉันนั้น.
   บท ว่า สหตฺถา แปลว่า ด้วยมือตนเอง.
 มีคำอธิบายว่า นำไปด้วยตนเอง.
               สอง บท ว่า พหิติโยชนํ ปาเตติ มีความว่า โยนออกไปภายนอก ๓ โยชน์. เมื่อขนเจียมจะตกไปโดย
ไม่มีอันตราย พอพ้นจากมือ เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์มากตัวตามจำนวนเส้นขน. ถ้าขนเจียมที่โยนไปนั้นกระทบที่
ต้นไม้ หรือเสาในภายนอก ๓ โยชน์แล้วตกลงภายใน (๓ โยชน์) อีก ยังไม่ต้องอาบัติ. ถ้าห่อขนเจียม ตกลงพื้น
หยุดแล้ว          กลิ้งไป กลับเข้ามาภายใน (๓ โยชน์) อีก เป็นอาบัติแท้.
               ภิกษุยืนข้างในเอามือ หรือเท้า หรือไม้เท้ากลิ้งไป, ห่อขนเจียมจะหยุด หรือไม่หยุดก็ตาม กลิ้งออกไป, 
เป็นอาบัติเหมือนกัน. ภิกษุวางไว้ด้วยตั้งใจว่า คนอื่นจักนำไป, แม้เมื่อคนนั้นนำขนเจียมไปเป็นอาบัติเหมือนกัน.
ขนเจียมที่ภิกษุวางไว้ด้วยจิตบริสุทธิ์ ลมพัดไปหรือคนอื่นให้ตกไป ในภายนอกโดยธรรมดาของตน เป็นอาบัติ
           เหมือนกัน เพราะภิกษุมีอุตสาหะ และเพราะสิกขาบทเป็นอจิตตกะ.
               แต่ในกุรุนทีเป็นต้น ท่านกล่าวอนาบัติไว้ ในเพราะขนเจียมที่ถูกลมพัดไป หรือบุคคลอื่นให้ตกไปภายนอก
               นี้, อนาบัติที่ท่านกล่าวไว้นั้น ไม่สมด้วยบาลีแห่งอนาปัตติวาร.            ภิกษุกระทำห่อทั้งสองข้างให้เนื่องเป็นอันเดียวกัน เมื่อวางไว้ให้ห่อหนึ่งอยู่ภายในเขตแดน อีกห่อหนึ่งให้
อยู่ในภายนอกเขตแดน, ยังรักษาอยู่ก่อน. แม้ในหาบที่เนื่องเป็นอันเดียวกัน ก็มีนัยเหมือนกันนี้. แต่ถ้าว่าขนเจียม
เป็นเพียงแต่ภิกษุวางไว้ที่ปลายหาบมิได้ผูกเลย, ย่อมคุ้มอาบัติไม่ได้.                   เมื่อภิกษุสับเปลี่ยนแม้ขนเจียมที่
เนื่อง  เป็นอันเดียวกันไปวางไว้แทน     
            ก็เป็นอาบัติเหมือนกัน
               ในคำว่า อญฺญสฺส ยาเน วา นี้ มีวินิจฉัยดังนี้ :-
       ภิกษุวางไว้บนยานหรือบนหลังช้างเป็นต้น ซึ่งกำลังไป ด้วยตั้งใจว่า เมื่อเจ้าของเขาไม่รู้เลย มันจักนำไปเอง,
 เมื่อยานนั้นล่วงเลย ๓ โยชน์ ไปเป็นอาบัติทันที. แม้ในยานที่จอดอยู่ ก็มีนัยอย่างนี้เหมือนกัน. 
   ก็ถ้าว่า ภิกษุวางขนเจียมไว้บนยาน หรือบนหลังช้างเป็นต้นที่ไม่ไป แล้วขึ้นขับขี่ไป หรือไปเตือนภายใต้ (ให้ไป)
 หรือเรียกให้ (จอดอยู่) ติดตามไป, ไม่เป็นอาบัติ เพราะพระบาลีว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป. แต่ในกุรุนทีเป็นต้น 
ท่านกล่าวว่า เป็นอาบัติ. คำนั้นไม่สมด้วยคำนี้ว่า ภิกษุให้คนอื่นช่วยนำไป.
               ก็ในอทินนาทานเป็นอาบัติในเพราะสุงกฆาฏ (ตระบัดภาษี).
               แท้จริง อาบัติใดในอทินนาทานนั้น, อาบัตินั่นเป็นอนาบัติในสิกขาบทนี้, 
อาบัติใดในสิกขาบทนี้, อาบัตินั้นเป็นอนาบัติในอทินนาทานนั้น.
               ภิกษุไปถึงสถานที่นั้นส่งใจไปอื่น หรือถูกพวกโจรเป็นต้นรบกวนเลยไปเสียก็ดี, เป็นอาบัติเหมือนกัน.
 พึงทราบจำนวนอาบัติ ตามจำนวนเส้นขนในฐานะทั้งปวง.
               หลายบท ว่า ติโยชนํ วาสาธิปฺปาโย คนฺตฺวา ตโต ปรํ หรติ 
             มีความว่า ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำไป แม้ตั้งร้อยโยชน์อย่างนี้ คือเพราะไม่ได้อุเทศและปริปุจฉาเป็นต้น
 ในที่ที่ตนไปแล้ว ภิกษุจึงไปในที่อื่นต่อจากที่นั้น, ไปในที่อื่นแม้จากที่นั้น.
           สอง บท ว่า อจฺฉินฺนํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า พวกโจรชิงเอาขนเจียมนั้นไป
 รู้ว่าไม่มีประโยชน์แล้วคืนให้, ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้นำขนเจียมนั้นไป.
               สอง บท ว่า นิสฺสฏฺฐํ ปฏิลภิตฺวา มีความว่า ได้ขนเจียมที่ทำวินัยกรรมแล้วคืนมา.
               บท ว่า กตภณฺฑํ มีความว่า ขนเจียมที่เขาทำเป็นสิ่งของ มีผ้ากัมพลพรมและสันถัตเป็นต้นอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยที่สุดแม้เพียงมัดด้วยเส้นด้าย.
               อนึ่ง ภิกษุใดสอดขนเจียมลงในระหว่างถลกบาตรบางๆ ก็ดี ในหลืบผ้ารัดเข่า ผ้าอังสะและประคดเอว
เป็นต้นก็ดี ในฝักมีด เพื่อป้องกันสนิมกรรไกรเป็นต้นก็ดี โดยที่สุดอาพาธเป็นลม ยอนขนเจียมไว้แม้ในช่องหูแล้ว
เดินไปเป็นอาบัติแก่ภิกษุนั้นเหมือนกัน, แต่ขนเจียมที่มัดด้วยด้ายใส่ไว้ (ในระหว่างรองเท้าและถลกบาตรเป็นต้น)
 ย่อมตั้งอยู่ในฐานะแห่งขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของ. ภิกษุทำให้เป็นช้องผม แล้วนำไป, นี้ชื่อว่าทางเลี่ยงเก็บ, 
เป็นอาบัติเหมือนกัน.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้น.
               บรรดาสมุฏฐานเป็นต้น เอฬกโลมสิกขาบทนี้ ชื่อว่าเอฬกโลมสมุฏฐาน (มีขนเจียมเป็นสมุฏฐาน) 
ย่อมเกิดขึ้นทางกาย ๑ ทางกายกับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ 
ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ดังนี้แล.
               เอฬกโลมสิกขาบทที่ ๖ จบ.   

นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๖ ว่าด้วย การรับขนเจียม พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง
            [๙๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน
 อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
 ครั้งนั้น ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไปสู่พระนครสาวัตถีแถบ โกศล
ชนบท. ขนเจียมเกิดขึ้นแก่เธอในระหว่างทาง            จึงภิกษุนั้นได้เอาผ้าอุตราสงค์ห่อขนเจียม เหล่านั้นเดินไป.
 ชาวบ้านเห็นภิกษุนั้นแล้วพูดสัพยอกว่า ท่านเจ้าข้า ท่านซื้อขนเจียมมาด้วยราคาเท่าไร กำไรจักมีสักเท่าไร. 
                           ภิกษุรูปนั้นถูกชาวบ้านพูดสัพยอกได้เป็นผู้เก้อ.
 ครั้นเธอไปถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทั้งๆ ที่ยืนอยู่นั่นแล   ได้โยนขนเจียมเหล่านั้นลง. ภิกษุทั้งหลายจึงถามภิกษุนั้น
อย่างนี้ว่า อาวุโส ทำไมท่านจึงโยนขนเจียมเหล่านั้นลงทั้งๆ      ที่ยังยืนอยู่เล่า? ภิกษุรูปนั้นตอบว่า ก็เพราะผมถูก
ชาวบ้านพูดสัพยอก เหตุขนเจียมเหล่านี้ ขอรับ. ภิกษุทั้งหลายถามว่า อาวุโส ก็ท่านนำขนเจียมเหล่านี้มาจากที่ไกล
          เท่าไรเล่า? ภิกษุรูปนั้นตอบว่า เกินกว่า ๓ โยชน์ ขอรับ. 
บรรดาภิกษุผู้มักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็ เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า
 ไฉนภิกษุจึงได้นำขนเจียมมาไกลเกิน ๓ โยชน์เล่า? แล้วกราบ ทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
  ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
 ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ใน เพราะเหตุแรกเกิดนั้น
 แล้วทรงสอบถามภิกษุรูปนั้นว่า ดูกรภิกษุ ข่าวว่าเธอนำขนเจียมมาไกล
                เกิน ๓ โยชน์ จริงหรือ? ภิกษุรูปนั้นทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
  ทรงติเตียน 
 พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่น ไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของ
สมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอจึงได้นำขนเจียมมาไกลเกิน กว่า ๓ โยชน์ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อ
               ความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส    หรือ       เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว.
โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไป เพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่ เลื่อมใสแล้ว. 
ทรงบัญญัติสิกขาบท
 พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนภิกษุรูปนั้น โดยอเนกปริยาย ดังนี้แล้ว ตรัสโทษแห่งความ เป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็น
คนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความ คลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่งความเป็น
        คนเลี้ยงง่าย ความเป็นคนบำรุงง่าย ความ มักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่า
เลื่อมใส การไม่สะสม การ ปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย, ทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะ
สมแก่ เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลายแล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติ
สิกขาบทแก่ภิกษุทั้งหลาย อาศัย อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ
 เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุผู้มีศีล
เป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะ บังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความ
เลื่อมใสของชุมชนที่ ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระ
สัทธรรม ๑ เพื่อถือตามพระวินัย ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกเธอพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
  พระบัญญัติ    ๓๕.๖. อนึ่ง ขนเจียมเกิดขึ้นแก่ภิกษุผู้เดินทางไกล, ภิกษุต้องการพึงรับได้, 
      ครั้นรับแล้ว เมื่อคนถือไม่มี พึงถือไปด้วยมือของตนเองตลอดระยะทาง ๓ โยชน์เป็น อย่างมาก,
 ถ้าเธอถือเอาไปยิ่งกว่านั้น แม้คนถือไม่มี, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์.
          เรื่องภิกษุรูปหนึ่ง จบ
 สิกขาบทวิภังค์
             [๙๘] บท ว่า ... แก่ภิกษุผู้เดินทางไกล ได้แก่ ภิกษุเดินทาง.
             บท ว่า ขนเจียมเกิดขึ้น คือ เกิดขึ้นแต่สงฆ์ก็ตาม แต่คณะก็ตาม แต่ญาติก็ตาม แต่มิตร
ก็ตาม แต่ที่บังสุกุลก็ตาม แต่ทรัพย์ของตนก็ตาม.
             บท ว่า ต้องการ คือ เมื่อปรารถนา ก็พึงรับได้.
             คำว่า ครั้นรับแล้ว ... พึงถือไปด้วยมือของตนเอง ตลอดระยะทาง ๓ โยชน์เป็น
อย่างมาก คือ นำไปด้วยมือของตนเองได้ ชั่วระยะทาง ๓ โยชน์ เป็นอย่างไกล.
             บท ว่า เมื่อคนถือไม่มี ความว่า คนอื่น คือ สตรี หรือบุรุษ คฤหัสถ์ หรือบรรพชิต
สักตนหนึ่ง เป็นผู้ช่วยถือไปไม่มี.
             คำว่า ถ้าเธอถือเอาไปยิ่งกว่านั้น แม้คนถือไม่มี อธิบายว่า เธอก้าวเกิน ๓ โยชน์
เท้าแรก, ต้องอาบัติทุกกฏ. เท้าที่สอง ขนเจียมเหล่านั้น, เป็นนิสสัคคีย์. เธอยืนอยู่ภายในระยะ
๓ โยชน์ โยนขนเจียมลงนอกระยะ ๓ โยชน์, ก็เป็นนิสสัคคีย์. ซ่อนไว้ในยานพาหนะก็ตาม
ในห่อถุงก็ตาม ของคนอื่น ซึ่งเขาไม่รู้ ให้ล่วง ๓ โยชน์ไป, ก็เป็นนิสสัคคีย์. คือ เป็นของ
จำต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือบุคคล.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุพึงเสียสละขนเจียมนั้นอย่างนี้:-
 วิธีเสียสละ
        เสียสละแก่สงฆ์
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุผู้แก่พรรษากว่า นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าว
อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วงเลย ๓ โยชน์ เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้า สละขนเจียม
เหล่านี้แก่สงฆ์. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนขนเจียมที่ เสียสละให้ด้วย
ญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-               ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า. ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อนี้ เป็นของ จำจะ
สละ, เธอสละแล้วแก่สงฆ์. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ที่ถึงที่แล้ว, สงฆ์พึงให้ ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้.
 เสียสละแก่คณะ 
 ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า         กราบเท้าภิกษุผู้แก่ พรรษากว่า นั่งกระหย่ง
ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:-               ท่านเจ้าข้า ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วง ๓ โยชน์ เป็นของ
จำจะสละ, ข้าพเจ้า สละขนเจียมเหล่านี้แก่ท่านทั้งหลาย. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึง
รับอาบัติ พึงคืนขนเจียมที่ เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-              ท่านทั้งหลาย ขอจงฟังข้าพเจ้า 
ขนเจียมเหล่านี้ของภิกษุมีชื่อนี้. เป็นของ จำจะสละ,        เธอสละแล้วแก่ท่านทั้งหลาย. ถ้าความพร้อมพรั่งของ
ท่านทั้งหลายถึง ที่แล้ว, ท่านทั้งหลายพึงให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ภิกษุมีชื่อ. 
เสียสละแก่บุคคล
      ภิกษุรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง   ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า        นั่งกระหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า:- 
          ท่าน ขนเจียมเหล่านี้ของข้าพเจ้าให้ล่วงเลย ๓ โยชน์   เป็นของจำจะสละ, ข้าพเจ้าสละ ขนเจียมเหล่านี้
แก่ท่าน. ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุผู้รับเสียสละนั้นพึงรับอาบัติ พึงคืนขนเจียมที่เสีย สละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้ขนเจียมเหล่านี้แก่ท่าน ดังนี้.
บทภาชนีย์
                  ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
             [๙๙] เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าเกิน เดินเลย ๓ โยชน์ไป, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
             เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสงสัย เดินเลย ๓ โยชน์ไป, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์
             เกิน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าหย่อน เดินเลย ๓ โยชน์ไป, เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกกฏ          หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าเกิน ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
             หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสงสัย ... ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ          หย่อน ๓ โยชน์ ภิกษุสำคัญว่าหย่อน ... ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร             [๑๐๐] ภิกษุถือไปเพียงระยะ ๓ โยชน์ ๑, ภิกษุถือไปหย่อนระยะ ๓ โยชน์ ๑, ภิกษุ
ถือไปก็ดี ถือกลับมาก็ดี เพียงระยะ ๓ โยชน์ ๑, ภิกษุถือไปเพียง ๓ โยชน์ แล้วพักแรมเสีย
รุ่งขึ้นถือต่อจากนั้นไปอีก ๑, ขนเจียมถูกโจรชิงไปแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก ๑, ขนเจียม
ที่สละแล้ว ภิกษุได้คืนมา ถือไปอีก ๑, ภิกษุให้คนอื่นช่วยถือไป ๑, ขนเจียมที่ทำเป็นสิ่งของ
แล้วภิกษุถือไป ๑, ภิกษุวิกลจริต ๑, ภิกษุอาทิกัมมิกะ ๑, ไม่ต้องอาบัติแล.
โกสิยวรรค สิกขาบทที่ ๖ จบ.

01 กันยายน 2567

อรรถกถา นิสสัคคิยกัณฑ์ โกสิยวรรค วรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๕ ว่าด้วย การทำสันถัตสำหรับนั่ง พระวินัยปิฎก เล่ม ๒ มหาวิภังค์ ทุติยภาค

ทำบุญsearch-google  
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๕
       พรรณนานิสีทนสันถตสิกขาบท         นิสีทนสันถตสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
               ในนิสีทนสันถตสิกขาบทนั้น                   มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-            สอง บท ว่า อิจฺฉามหํ ภิกฺขเว ความว่า ได้ยินว่า      พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ที่ควร
ให้ตรัสรู้ไรๆ เลย ตลอดภายในไตรมาสนั้น
 เพราะเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนี้.
   แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็จะต้องทรงกระทำพระธรรมเทศนา                      ด้วยสามารถแห่งตันติประเพณี
               อนึ่ง เพราะพระองค์ได้ทรงมีรำพึงอย่างนี้ว่า เมื่อเราให้ทำโอกาสหลีกเร้นอยู่
               ภิกษุทั้งหลายจักกระทำกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรม, อุปเสนะจักทำลายกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรมนั้น,
            เราจักเลื่อมใส (ขอบใจ) เธอแล้วอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายเฝ้า, แต่นั้น พวกภิกษุผู้ประสงค์จะเยี่ยมเรา
 เป็นอันมากจักสมาทานธุดงค์ทั้งหลาย และเราจักบัญญัติสิกขาบท เพราะสันถัตที่ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งเป็นปัจจัย. 
                 ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น.
               ก็ในการหลีกเร้นนี้ มีอานิสงส์มากอย่างนี้แล.
             ข้อว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระได้รับการตำหนิในขันธกสิกขาบทนี้ว่า
 ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่พึงให้กุลบุตรบวช ภิกษุใดพึงให้บวช ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. 
    โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ! อย่างไรกันน๊ะ เธอยังเป็นผู้ที่คนอื่นควรโอวาทควรพร่ำสอน 
จักสำคัญเพื่อจะโอวาท เพื่อจะพร่ำสอนผู้อื่น จึงคิดว่า พระศาสดาทรงอาศัยบริษัทของเราได้ทรงประทาน
การตำหนิแก่เรา, บัดนี้ เรานั้นจักยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เปล่งพระสุรเสียงดุจพรหม ด้วยพระพักตร์อันบริบูรณ์
ด้วยอาการทุกอย่าง มีสิริดังพระจันทร์เพ็ญนั้นนั่นแล แล้วจักให้ประทานสาธุการ เพราะอาศัยบริษัท
นั่นแหละ เป็นกุลบุตรผู้มีหทัยงามเดินทางล่วงไปได้ ๑๐๐ กว่าโยชน์ ได้แนะนำบริษัท เป็นผู้อันภิกษุ
ประมาณ ๕๐๐ รูปแวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก.
               เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า                     สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ เป็นต้น.
     จริงอยู่ ใครๆ ไม่อาจจะให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดปรานได้โดยประการอื่นนอกจากวัตรสมบัติ.
               ข้อว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน มีความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้หมดความระแวง เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยวัตร
สมบัติ จึงนั่งในที่ไม่ไกล               พระผู้มีพระภาคเจ้า                    ดุจสีหะนั่งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งภูเขาทองฉะนั้น.
    บท ว่า เอตทโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ เพื่อยกเรื่องราวขึ้น.
       ข้อว่า มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานิ       ความว่า ดูก่อนภิกษุ ผ้าบังสุกุลเหล่านี้เป็นที่ชอบใจของเธอหรือ? 
              คือ เธอถือตามความชอบใจ ตามความพอใจของตนหรือ?
           ด้วยคำว่า น โข เม ภนฺเต มนาปานิ นี้ ภิกษุนั้นย่อมแสดงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถือ
ตามความชอบใจตามความพอใจของตน คือ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ถูกอุปัชฌาย์ให้ถือ ดุจบุคคลถูกบังคับ
                 ให้ถือด้วยการบีบคอและด้วยการตีที่กระหม่อมฉะนั้น.
         บท ว่า ปญฺญายิสฺสติ มีความว่า จักเป็นผู้ปรากฏ คือเป็นผู้มีชื่อเสียง.
           มีคำอธิบายว่า จักปรากฏในกติกานั้น.
               ข้อว่า น มยํ อปฺปญฺญตฺตํ ปญฺญาเปสฺสาม มีความว่า เราทั้งหลาย
ชื่อว่าเป็นสาวก จักไม่บัญญัติข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้.
               จริงอยู่ วิสัย คือการบัญญัติสิกขาบทที่มิได้ทรงบัญญัติ หรือการถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
           โดยนัยว่า ปาจิตตีย์ ทุกกฏเป็นต้น นี้เป็นพุทธวิสัย.
               ด้วยบท ว่า สมาทาย นี้ พระอุปเสนะแสดงว่า เราทั้งหลายจักสมาทานสิกขาบทนั้นๆ แล้ว
รับว่า ดีละ โดยดี ดังนี้แล้วจักศึกษาในสิกขาบททั้งปวงตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระหฤทัยโปรดปรานแล้ว ได้ทรงกระทำสาธุการแม้อีกแก่พระอุปเสนะนั้นว่า ดีละ ดีละ.
                       บทสนธิว่า อนุญฺญาตาวุโส ตัดบทว่า อนุญฺญาตํ อาวุโส        แปลว่า (ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว).                             บท ว่า ปิหนฺตา แปลว่า กระหยิ่มอยู่.                            สอง บท ว่า สนฺถตานิ อุชฺฌิตฺวา 
                 มีความว่า ละทิ้งสันถัตทั้งปวงแล้ว       เพราะเป็นผู้มีความสำคัญในสันถัตว่า เป็นจีวรผืนที่ ๕.
           ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นสันถัตทั้งหลายเกลื่อนกลาด แล้วทรงดำริว่า ไม่มีเหตุในการที่จะยังศรัทธาไทยให้ตกไป,
          เราจักแสดงอุบายในการใช้สอยแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้ว    ทรงกระทำธรรมีกถาตรัสเตือนภิกษุทั้งหลาย.            ข้อว่า สกึ นิวตฺถํปิ สกึ ปารุตํปิ ได้แก่ นั่งและนอนแล้วครั้งเดียว.
               บท ว่า สามนฺตา มีความว่า พึงถือเอาโดยประการที่ที่ตนตัดเอาเป็นวงกลม หรือเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส
จากชายข้างหนึ่ง จะมีประมาณคืบหนึ่ง. แต่ภิกษุเมื่อจะลาดพึงลาดลงในเอกเทศ หรือชีออกแล้วลาดให้ผสมกัน
โดยนัยดังกล่าวในบาลีนั่นเทียว. สันถัตที่ภิกษุหล่อแล้วอย่างนี้ จะเป็นของมั่นคงยิ่งขึ้น.
               คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
               สมุฏฐานเป็นต้นแห่งสิกขาบทนี้ เป็นเช่นเดียวกับเทวภาคสิกขาบท เพราะเป็นทั้งกิริยาฉะนี้แล.
           นิสีทนสันถตสิกขาบทที่ ๕ จบ.   
               ก็ในสันถัต ๕ ชนิดเหล่านี้ สันถัต ๓ ชนิดข้างต้น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า กระทำวินัยกรรมแล้วได้มา
 ไม่ควรใช้สอย, ๒ ชนิดข้างหลังทำวินัยกรรมแล้วได้มา จะใช้สอย ควรอยู่.