
นิสสัคคิยปาจิตตีย์ โกสิยวรรคที่ ๒ สิกขาบทที่ ๕
พรรณนานิสีทนสันถตสิกขาบท นิสีทนสันถตสิกขาบทว่า เตน สมเยน เป็นต้น ข้าพเจ้าจะกล่าวต่อไป :-
ในนิสีทนสันถตสิกขาบทนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :- สอง บท ว่า อิจฺฉามหํ ภิกฺขเว ความว่า ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทอดพระเนตรเห็นสัตว์ที่ควร
ให้ตรัสรู้ไรๆ เลย ตลอดภายในไตรมาสนั้น
เพราะเหตุนั้น จึงตรัสอย่างนี้.
แม้เมื่อเป็นอย่างนั้น พระองค์ก็จะต้องทรงกระทำพระธรรมเทศนา ด้วยสามารถแห่งตันติประเพณี
อนึ่ง เพราะพระองค์ได้ทรงมีรำพึงอย่างนี้ว่า เมื่อเราให้ทำโอกาสหลีกเร้นอยู่
ภิกษุทั้งหลายจักกระทำกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรม, อุปเสนะจักทำลายกติกาวัตรอันไม่เป็นธรรมนั้น,
เราจักเลื่อมใส (ขอบใจ) เธอแล้วอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายเฝ้า, แต่นั้น พวกภิกษุผู้ประสงค์จะเยี่ยมเรา
เป็นอันมากจักสมาทานธุดงค์ทั้งหลาย และเราจักบัญญัติสิกขาบท เพราะสันถัตที่ภิกษุเหล่านั้นละทิ้งเป็นปัจจัย.
ฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น.
ก็ในการหลีกเร้นนี้ มีอานิสงส์มากอย่างนี้แล.
ข้อว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ มีความว่า ได้ยินว่า พระเถระได้รับการตำหนิในขันธกสิกขาบทนี้ว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่พึงให้กุลบุตรบวช ภิกษุใดพึงให้บวช ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ.
โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า ดูก่อนโมฆบุรุษ! อย่างไรกันน๊ะ เธอยังเป็นผู้ที่คนอื่นควรโอวาทควรพร่ำสอน
จักสำคัญเพื่อจะโอวาท เพื่อจะพร่ำสอนผู้อื่น จึงคิดว่า พระศาสดาทรงอาศัยบริษัทของเราได้ทรงประทาน
การตำหนิแก่เรา, บัดนี้ เรานั้นจักยังพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เปล่งพระสุรเสียงดุจพรหม ด้วยพระพักตร์อันบริบูรณ์
ด้วยอาการทุกอย่าง มีสิริดังพระจันทร์เพ็ญนั้นนั่นแล แล้วจักให้ประทานสาธุการ เพราะอาศัยบริษัท
นั่นแหละ เป็นกุลบุตรผู้มีหทัยงามเดินทางล่วงไปได้ ๑๐๐ กว่าโยชน์ ได้แนะนำบริษัท เป็นผู้อันภิกษุ
ประมาณ ๕๐๐ รูปแวดล้อมแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าอีก.
เพราะเหตุนั้น พระธรรมสังคีติกาจารย์จึงกล่าวว่า สปริโส เยน ภควา เตนูปสงฺกมิ เป็นต้น.
จริงอยู่ ใครๆ ไม่อาจจะให้พระพุทธเจ้าทั้งหลายโปรดปรานได้โดยประการอื่นนอกจากวัตรสมบัติ.
ข้อว่า ภควโต อวิทูเร นิสินฺโน มีความว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้หมดความระแวง เพราะเป็นผู้บริสุทธิ์ด้วยวัตร
สมบัติ จึงนั่งในที่ไม่ไกล พระผู้มีพระภาคเจ้า ดุจสีหะนั่งอยู่ใกล้ถ้ำแห่งภูเขาทองฉะนั้น.
บท ว่า เอตทโวจ คือ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ เพื่อยกเรื่องราวขึ้น.
ข้อว่า มนาปานิ เต ภิกฺขุ ปํสุกูลานิ ความว่า ดูก่อนภิกษุ ผ้าบังสุกุลเหล่านี้เป็นที่ชอบใจของเธอหรือ?
คือ เธอถือตามความชอบใจ ตามความพอใจของตนหรือ?
ด้วยคำว่า น โข เม ภนฺเต มนาปานิ นี้ ภิกษุนั้นย่อมแสดงว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้ามิได้ถือ
ตามความชอบใจตามความพอใจของตน คือ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้ถูกอุปัชฌาย์ให้ถือ ดุจบุคคลถูกบังคับ
ให้ถือด้วยการบีบคอและด้วยการตีที่กระหม่อมฉะนั้น.
บท ว่า ปญฺญายิสฺสติ มีความว่า จักเป็นผู้ปรากฏ คือเป็นผู้มีชื่อเสียง.
มีคำอธิบายว่า จักปรากฏในกติกานั้น.
ข้อว่า น มยํ อปฺปญฺญตฺตํ ปญฺญาเปสฺสาม มีความว่า เราทั้งหลาย
ชื่อว่าเป็นสาวก จักไม่บัญญัติข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้.
จริงอยู่ วิสัย คือการบัญญัติสิกขาบทที่มิได้ทรงบัญญัติ หรือการถอนสิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้แล้ว
โดยนัยว่า ปาจิตตีย์ ทุกกฏเป็นต้น นี้เป็นพุทธวิสัย.
ด้วยบท ว่า สมาทาย นี้ พระอุปเสนะแสดงว่า เราทั้งหลายจักสมาทานสิกขาบทนั้นๆ แล้ว
รับว่า ดีละ โดยดี ดังนี้แล้วจักศึกษาในสิกขาบททั้งปวงตามที่พระพุทธองค์ทรงบัญญัติไว้. พระผู้มีพระภาคเจ้า
ทรงมีพระหฤทัยโปรดปรานแล้ว ได้ทรงกระทำสาธุการแม้อีกแก่พระอุปเสนะนั้นว่า ดีละ ดีละ.
บทสนธิว่า อนุญฺญาตาวุโส ตัดบทว่า อนุญฺญาตํ อาวุโส แปลว่า (ท่านผู้มีอายุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตแล้ว). บท ว่า ปิหนฺตา แปลว่า กระหยิ่มอยู่. สอง บท ว่า สนฺถตานิ อุชฺฌิตฺวา
มีความว่า ละทิ้งสันถัตทั้งปวงแล้ว เพราะเป็นผู้มีความสำคัญในสันถัตว่า เป็นจีวรผืนที่ ๕.
ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภิกฺขู อามนฺเตสิ มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทอดพระเนตรเห็นสันถัตทั้งหลายเกลื่อนกลาด แล้วทรงดำริว่า ไม่มีเหตุในการที่จะยังศรัทธาไทยให้ตกไป,
เราจักแสดงอุบายในการใช้สอยแก่ภิกษุเหล่านั้น แล้ว ทรงกระทำธรรมีกถาตรัสเตือนภิกษุทั้งหลาย. ข้อว่า สกึ นิวตฺถํปิ สกึ ปารุตํปิ ได้แก่ นั่งและนอนแล้วครั้งเดียว.
บท ว่า สามนฺตา มีความว่า พึงถือเอาโดยประการที่ที่ตนตัดเอาเป็นวงกลม หรือเป็นสี่เหลี่ยมจตุรัส
จากชายข้างหนึ่ง จะมีประมาณคืบหนึ่ง. แต่ภิกษุเมื่อจะลาดพึงลาดลงในเอกเทศ หรือชีออกแล้วลาดให้ผสมกัน
โดยนัยดังกล่าวในบาลีนั่นเทียว. สันถัตที่ภิกษุหล่อแล้วอย่างนี้ จะเป็นของมั่นคงยิ่งขึ้น.
คำที่เหลือมีอรรถตื้นทั้งนั้นแล.
สมุฏฐานเป็นต้นแห่งสิกขาบทนี้ เป็นเช่นเดียวกับเทวภาคสิกขาบท เพราะเป็นทั้งกิริยาฉะนี้แล.
นิสีทนสันถตสิกขาบทที่ ๕ จบ.
ก็ในสันถัต ๕ ชนิดเหล่านี้ สันถัต ๓ ชนิดข้างต้น ผู้ศึกษาพึงทราบว่า กระทำวินัยกรรมแล้วได้มา
ไม่ควรใช้สอย, ๒ ชนิดข้างหลังทำวินัยกรรมแล้วได้มา จะใช้สอย ควรอยู่.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น