ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันอารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้น นายสาฬหะหลานของมิคารมาตา มีความประสงค์จะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์.
ครั้งนั้นและนายสาฬหะหลานของมิคารมาตา. จึงเข้าไปหานางภิกษุณีทั้งหลาย แจ้งความประสงค์ว่า แม่เจ้า กระผมอยากจะสร้างวิหารถวายภิกษุณีสงฆ์ ขอแม่เจ้าจงโปรดให้ภิกษุณีผู้อำนวยการก่อสร้างรูปหนึ่งแก่กระผม.
ครั้งนั้นมีสาว ๔ พี่น้อง ชื่อนันทา ๑ ชื่อนันทาวดี ๑ ชื่อสุนทรีนันทา ๑ ชื่อถุลลนันทา ๑ บวชอยู่ในสำนักภิกษุณี.
บรรดาภิกษุณีทั้ง ๔ นั้นภิกษุณีสุนทรีนันทา เป็นบรรพชิตสาวทรงโฉมวิไล น่าพิศ พึงชม เป็นบัณฑิต เฉียบแหลม มีปรีชา ขยัน ไม่เกียจคร้าน กอปรด้วยปัญญาเลือกฟั้นอันเป็นทางดำเนินในการงานนั้นๆ สามารถพอที่จะทำกิจการงานนั้นๆ ให้ลุล่วงไป.
ครั้งนั้นแลจึงภิกษุณีสงฆ์ได้สมมติภิกษุณีสุนทรีนันทาให้เป็นผู้อำนวยการก่อสร้างแก่นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา. และต่อมาภิกษุณีสุนทรีนันทา ไปสู่เรือนของนายสาฬหะ หลานมิคารมาตาเสมอ โดยแจ้งว่า จงให้มีด จงให้ขวาน จงให้ผึ่ง จงให้จอบ จงให้สิ่ว.
แม้นายสาฬหะ หลานมิครมาตา ก็ไปสู่สำนักนางภิกษุณีเสมอ เพื่อทราบกิจการที่ทำแล้ว ที่ยังมิได้ทำ เขาทั้งสองได้มีจิตปฏิพัทธ์กัน เพราะเห็นกันอยู่เสมอ.
ครั้นนายสาฬหะหลานมิคารมาตา ไม่ได้โอกาสที่จะประทุษร้ายภิกษุณีสุนทรีนันทา จึงได้ตกแต่งภัตตาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ เพื่อมุ่งจะประทุษร้ายภิกษุณีสุนทรีนันทานั้น.
ครั้งนั้นแล นายสาฬหะหลานมิคารมาตาให้ปูอาสนะในโรงฉัน จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีทั้งหลายที่แก่กว่าภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ส่วนหนึ่งสำหรับภิกษุณีทั้งหลายที่อ่อนกว่าภิกษุณีสุนทรีนันทา
ไว้ส่วนหนึ่ง จัดอาสนะสำหรับภิกษุณีสุนทรีนันทาไว้ในสถานที่อันกำบังนอกฝาเรือน ให้ภิกษุณีผู้เถระทั้งหลายพึงเข้าใจว่านางนั่งในสำนักพวกภิกษุณีผู้นวกะ แม้ภิกษุผู้นวกะทั้งหลายก็พึงเข้าใจว่า นางนั่งอยู่ในสำนักพวกภิกษุณีผู้เถระ.
ครั้นจัดเสร็จแล้ว นายสาฬหะหลานมิคารมาตา ได้ให้คนไปแจ้งภัตตกาลแก่ภิกษุณีสงฆ์ว่าได้เวลาอาหารแล้ว เจ้าข้า ภัตตาหารเสร็จแล้ว.
ภิกษุณีสุนทรีนันทาทราบได้ดีว่า นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ไม่ได้ทำอะไรมากมาย ได้ตกแต่งภัตตาหารไว้ถวายภิกษุณีสงฆ์ ด้วยเธอมีความประสงค์จะประทุษร้ายเรา ถ้าเราไป ความอื้อฉาวจักมีแก่เรา จึงใช้ภิกษุณีอันตวาสินีไปด้วยสั่งว่า เธอจงไปนำบิณฑบาตมาให้เรา และผู้ใดถามถึงเรา เธอจงบอกว่าอาพาธ.
ภิกษุณีอันเตวาสินีนั้นรับคำสั่งของภิกษุณีสุนทรีนันทาแล้วว่าดีแล้วพระแม่เจ้า. สมัยนั้น นายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ยืนคอยอยู่ที่ซุ้มประตูข้างนอก ถามถึงภิกษุณีสุนทรีนันทาไปข้างไหน ขอรับ แม่เจ้าสุนทรีนันทา ไปข้างไหน ขอรับ?
เมื่อเขาถามถึงอย่างนี้แล้ว ภิกษุณีอันเตวาสินีของนางสุนทรีนันทาตอบกะเขาดังนี้ว่า อาพาธค่ะ ดิฉันจักนำบิณฑบาตไปถวาย.
ครั้งนั้นเขาคิดว่า การที่เราได้ตกแต่งอาหารถวายภิกษุณีสงฆ์ ก็เพราะเหตุแม่เจ้าสุนทรีนันทาจึงสั่งคนให้เลี้ยงดูภิกษุณีสงฆ์แล้วเลี่ยงไปทางสำนักภิกษุณีสงฆ์.
ก็สมัยนั้น ภิกษุณีสุนทรีนันทายืนคอยมองนายสาฬหะ หลานมิคารมาตาอยู่ข้างนอกซุ้มประตูวัด นางเห็นเขาเดินมาแต่ไกลจึงหลบเข้าสู่สำนัก นอนคลุมศีรษะอยู่บนเตียง.
ครั้นเขาเข้าไปหาแล้ว ได้ถามนางว่า แม่เจ้าไม่สบายหรือขอรับ ทำไมจึงจำวัดเสียเล่า?.
นางตอบว่า นาย การที่สตรีรักใคร่กับคนที่เขาไม่รักตอบ ย่อมเป็นเช่นนี้แหละค่ะ.
เขากล่าวว่า ทำไมผมจะไม่รักแม่เจ้า ขอรับ แต่ผมหาโอกาสที่จะประทุษร้ายแม่เจ้าไม่ได้แล้วมีความกำหนัด ได้ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับนางภิกษุณีสุนทรีนันทา ผู้มีความกำหนัด.
ก็สมัยนั้นแล ภิกษุณีรูปหนึ่งผู้ชราทุพพลภาพ เท้าเจ็บ นอนอยู่ไม่ห่างจากภิกษุณีสุนทรีนันทา.
นางภิกษุณีนั้นได้แลเห็นนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา ถึงความเคล้าคลึงด้วยกายกับภิกษุณีสุนทรีนันทาผู้กำหนัด ครั้นเห็นแล้วจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล นางภิกษุณีนั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุณีทั้งหลาย.
บรรดาภิกษุณีผู้มีความมักน้อย สันโดษ มีความละอาย มีความรังเกียจ ผู้ใคร่ต่อสิกขา ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉน แม่เจ้าสุนทรีนันทา จึงได้มีความกำหนัดยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล นางภิกษุณีเหล่านั้นจึงแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
ภิกษุเหล่านั้นพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้มีความกำหนัดเล่า.
ครั้งนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ข่าวว่า ภิกษุณีสุนทรีนันทามีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด จริงหรือ?.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การกระทำของภิกษุณีสุนทรีนันทาไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนภิกษุณีสุนทรีนันทาจึงได้มีความกำหนัด ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกายของบุรุษบุคคลผู้กำหนัดเล่า
การกระทำของนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้วโดยที่แท้ การกระทำของนาง เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใสและเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว.
ครั้นพระองค์ทรงติเตียนภิกษุณีสุนทรีนันทาโดยอเนกปริยายแล้ว จึงตรัสโทษแห่งความเป็นคนเลี้ยงยาก ความเป็นคนบำรุงยาก ความเป็นคนมักมาก ความเป็นคนไม่สันโดษ ความคลุกคลี ความเกียจคร้าน ตรัสคุณแห่ง ความเป็นคนเลี้ยงง่รน
ความเป็นคนบำรุงง่าย ความมักน้อย ความสันโดษ ความขัดเกลา ความกำจัด อาการที่น่าเลื่อมใส การไม่สะสม การปรารภความเพียร โดยอเนกปริยาย แล้วทรงกระทำธรรมีกถาที่สมควรแก่เรื่องนั้น ที่เหมาะสมแก่เรื่องนั้น แก่ภิกษุทั้งหลาย แล้วรับสั่งว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เพราะเหตุนั้นแล เราจักบัญญัติสิกขาบทแก่ภิกษุณีทั้งหลาย อาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความสำราญแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มภิกษุณีผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่สำราญแห่งภิกษุณีผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑
เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่อถือตาม พระวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณีจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ ๕. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด มีความกำหนัด ยินดีการลูบก็ดี คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่ออุพภชานุมัณฑลิกา หาสังวาสมิได้.
เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๒] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือผู้เช่นใด มีการงานอย่างใด มีชาติอย่างใด มีชื่ออย่างใด มีโคตรอย่างใด มีปกติอย่างใด มีธรรมเครื่องอยู่อย่างใด มีอารมณ์อย่างใด เป็นเถระก็ตาม เป็นนวกะก็ตาม เป็นมัชฌิมะก็ตาม นี้พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อนึ่ง ... ใด.
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่า ประพฤติภิกขาจริยวัตร
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าทรงผืนผ้าที่ถูกทำลายแล้ว
ชื่อว่า ภิกษุณี โดยสมญา
ชื่อ ภิกษุณี โดยปฏิญญา
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นเอหิภิกษุณี
ชื่อ ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้อุปสมบทแล้วด้วยไตรสรณคมน์
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้เจริญ
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่ามีสารธรรม
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นพระเสขะ.
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นพระอเสขะ
ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้อันสงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุถกรรม อันไม่กำเริบ
ควรแก่ฐานะบรรดาภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีอันสงฆ์สองฝ่ายพร้อมเพรียงกันอุปสมบทให้ด้วยญัตติจตุตถกรรม อันไม่กำเริบ ควรแก่ฐานะ นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า มีความกำหนัด ได้แก่หญิงหรือชายมีความกำหนัดมาก มีความเพ่งเล็ง มีจิตปฏิพัทธ์.
ที่ชื่อว่า บุรุษบุคคล ได้แก่ มนุษย์ผู้ชาย ไม่ใช่ยักษ์ผู้ชาย ไม่ใช่เปรตผู้ชาย ไม่ใช่สัตว์ดิรัจฉานตัวผู้ เป็นคนรู้ความ เป็นผู้สามารถ เพื่อถึงความเคล้าคลึงด้วยกาย.
บทว่า ใต้รากขวัญลงไป คือ เบื้องต่ำแห่งรากขวัญลงไป.
บทว่า เหนือเข่าขึ้นมา คือ เบื้องบนแห่งมณฑลเข่าขึ้นมา.
ที่ชื่อว่า ลูบ คือ เพียงลูบไป.
ที่ชื่อว่า คลำ คือ จับเบาๆ ไปข้างโน้นข้างนี้.
ที่ชื่อว่า จับ คือ เพียงจับตัว
ที่ชื่อว่า ต้อง คือ เพียงถูกต้องตัว.
บทว่า ยินดี การบีบเคล้นก็ดี คือยินดีการจับต้องอวัยวะแล้วบีบเคล้น. บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.
คำว่า เป็นปาราชิก อธิบาย บุรุษถูกตัดศีรษะแล้วไม่อาจมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันเหมือนกัน มีความกำหนัด ยินดีการลูบก็ดี คลำก็ดี จับก็ดี ต้องก็ดี บีบเคล้นก็ดี ของบุรุษบุคคลผู้กำหนัด ใต้รากขวัญลงไป เหนือเข่าขึ้นมา ย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่าสังวาส ได้แก่กรรมที่พึงกระทำร่วมกัน อุเทศ ที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้นเพราะเหตุนั้นจึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
บทภาชนีย์
[๓] เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งถูกกายด้วยกาย ใต้รากขวัญลงไปเหนือเข่าขึ้นมา ภิกษุณีต้องอาบัติปาราชิก. ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
ถูกกายด้วยของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ด้วยของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ถูกกายด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ถูกของที่โยนให้ ด้วยของที่โยนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๔] กายต่อกายถูกกัน เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ภิกษุณีต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ของที่เนื่องด้วยกายกับกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
กายกับของที่เนื่องด้วยกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกาย กับของที่เนื่องด้วยกายถูกกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของไปถูกกายต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๕] ฝ่ายหนึ่งมีความกำหนัด กายต่อกายถูกกัน ใต้รากขวัญลงไปเหนือเข่าขึ้นมา ภิกษุณีต้องอาบัติถุลลัจจัย.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกายต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๖] กายถูกกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๗] เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด จับต้องกายด้วยกาย ของยักษ์ก็ดี เปรตก็ดี บัณเฑาะก็ดี สัตว์ดิรัจฉานที่มีกายคล้ายมนุษย์ก็ดี ใต้รากขวัญลงมาเหนือเข่าขึ้นไป ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไป ถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๘] ถูกกายด้วยกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๙] ฝ่ายหนึ่งมีความกำหนัด ถูกกายด้วยกาย ใต้รากขวัญลงมา เหนือเข่าขึ้นไป ต้อง
อาบัติทุกกฏ.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
[๑๐] กายถูกกาย เหนือรากขวัญขึ้นไป ใต้เข่าลงมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
กายถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกายถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่เนื่องด้วยกาย ถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของไปถูกกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
โยนของถูกของที่เนื่องด้วยกาย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ของที่โยนไปถูกของที่โยนมา ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร [๑๑] ภิกษุณีไม่ตั้งใจ ๑ เผลอ ๑ ไม่รู้ตัว ๑ ไม่ยินดี ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ ภิกษุณีอาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ ปาราชิกกัณฑ์ปาราชิก
สิกขาบทที่ ๑
สมันตปาสาทิกาอรรถกถาพระวินัยปิฎก อรรถกถาปาราชิกกัณฑ์
ในภิกขุนีวิภังค์ เพราะมาถึงลำดับแห่งการสังวรรณนา ภิกขุนีวิภังค์ ของพวกภิกษุณี ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลาย ได้ร้อยกรองไว้ใน ลำดับแห่งภิกขุวิภังค์ ฉะนั้น เพื่อทำการ พรรณนาบทที่ยังไม่เคยมีมาก่อน ในปาราชิก แห่งภิกขุนีวิภังค์นั้น จึงมีการสังวรรณนา เริ่มต้น ดังต่อไปนี้.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๑
แก้อรรถปฐมปาราชิกสิกขาบทของพวกภิกษุณี
ในคำว่า เตน สมเยน พุทฺโธ ภควา สาวตฺถิยํ วิหรติ ฯเปฯ สาฬฺโห มิคารนตฺตา นี้ คำว่า สาฬฺโห เป็นชื่อของมิคารนัดดานั้น เพราะเขาเป็นหลานของนางวิสาขามิคารมารดา. ด้วยเหตุนั้น พระธรรมสังคาหกาจารย์จึงกล่าวว่า มิคารนตฺตา.
บทว่า นวกมฺมิกํ แปลว่า ผู้อำนวยนวกรรม.
บทว่า ปณฺฑิตา แปลว่า ผู้ประกอบด้วยความเป็นบัณฑิต.
บทว่า พฺยตฺตา แปลว่า ประกอบด้วยความเป็นผู้เฉียบแหลม.
บทว่า เมธาวินี ได้แก่ ผู้ประกอบด้วย ปัญญามีสติเป็นหลักในการเรียนบาลี (และ) ด้วยสติปัญญาเป็นหลักในการเรียนอรรถกถา.
บทว่า ทกฺขา แปลว่า ผู้หลักแหลม ความว่า ผู้มีปกติทำงานที่ควรทำได้รวดเร็ว ไม่ผิดพลาด.
บทว่า อนลสา แปลว่า ผู้ปราศจากความเกียจคร้าน.
บทว่า ตตฺรูปายาย แปลว่า เป็นทางดำเนินในการงานเหล่านั้น.
บทว่า วีมํสาย แปลว่า ด้วยปัญญาเลือกเฟ้นการงานที่ควรทำ.
บทว่า สมนฺนาคตา แปลว่า ประกอบพร้อม.
สองบทว่า อลํกาตุํได้แก่ เป็นผู้สามารถเพื่อทำการงานนั้น.
สองบทว่า อลํสํวิธาตุํ ได้แก่ เป็นผู้สามารถแม้จะจัดการอย่างนี้ว่า การงานนี้จงเป็นอย่างนี้ และการงานนี้จงเป็นอย่างนั้น.
สองบทว่า กตากตํชานิตุํ คือ เพื่อรู้งานที่ทำแล้ว และยังมิได้ทำ.
บทว่า เต มีความว่า ชนทั้งสองนั้น คือภิกษุณีสุนทรีนันทากับนายสาฬหะนั้น.
บทว่า ภตฺตคฺเค คือ ในสถานที่อังคาส.
บทว่า นิกฺกุฑฺเฑ คือ เป็นที่ลึกซ่อนเร้นอันแสดงให้เห็นคล้ายมุมฉาก.
สามบทว่า วิสฺสโร เม ภวิสฺสติ มีความว่า เสียงอื้อฉาวจักมีแก่เรา คือจักมีเสียงฉาวโฉ่ต่างๆ แก่เรา.
บทว่า ปฏิมาเนนฺตี แปลว่า คอยดูอยู่.
บทว่า กยาหํ ตัดบทเป็น กึ อหํ แปลว่า ทำไม ผม (จะไม่รักแม่เจ้าเล่า ขอรับ)
บทว่า ชราทุพฺพลา คือ ทุพพลภาพเพราะชรา.
บทว่า จรณคิลานา คือ ประกอบด้วยโรคเท้าเจ็บ.
บทว่า อวสฺสุตา มีความว่า เป็นผู้มีความกำหนัด คือเปียกชุ่มอยู่ด้วยความกำหนัด ในการเคล้าคลึงกาย. แต่ในบทภาชนะแห่งบทว่า อวสฺสุตา นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาราคะนั้นทีเดียวจึงตรัสคำว่า สารตฺตา เป็นต้น.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สารตฺตา คือ ผู้มีความกำหนัดอย่างหนักด้วยกายสังสัคคราคะ ดุจผ้าถูกย้อมด้วยสี ฉะนั้น.
บทว่า อเปกฺขวตี มีความว่า ผู้ประกอบด้วยความเพ่งเล็งที่เป็นไปในบุรุษนั้น ด้วยอำนาจแห่งความกำหนัดนั้นนั่นแหละ.
บทว่า ปฏิพทฺธจิตฺตา ได้แก่ เป็นผู้มีจิตดุจถูกความกำหนัดนั้นผูกพันไว้ในบุรุษนั้น.
แม้ในวิภังค์แห่งบทที่ ๒ ก็มีนัยอย่างนี้.
บทว่า ปุริสปุคฺคลสฺส ได้แก่ บุคคลกล่าวคือบุรุษ.
บทว่า อธกฺขกํ คือ ใต้รากขวัญลงไป.
บทว่า อุพฺภชานุมณฺฑลํ คือ เหนือมณฑลเข่าทั้งสอง ขึ้นมา. แต่ในบทภาชนะ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยลำดับแห่งบททีเดียวว่า เหฏฺฐกฺขกํ อุปริชานุมณฺฑลํ ใต้รากขวัญเหนือมณฑลเข่า ดังนี้.
ก็ในบทว่า อุปริชานุมณฺฑลํ นี้ แม้เหนือศอกขึ้นมา ท่านก็สงเคราะห์เข้าด้วยเหนือมณฑลเข่าขึ้นมาเหมือนกัน. คำที่เหลือบัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์นั่นแล.
สองบทว่า ปุริมาโย อุปาทาย มีความว่า ทรงเทียบเคียงภิกษุณี ๔ รูป ผู้ต้องอาบัติปาราชิกกับด้วยปาราชิกที่ทั่วไป (๔ มีเมถุนเป็นต้น).
ก็คำว่า อุพฺภชานุมณฺฑลิกา นี้ เป็นเพียงชื่อแห่งอาบัติปาราชิกนี้ เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงมิได้ทรงวิจารณ์ไว้ในบทภาชนะ.
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงจำแนกสิกขาบทที่พระองค์ทรงแสดงไว้โดยลำดับแห่งบทอย่างนี้แล้ว บัดนี้ เพื่อทรงแสดงชนิดแห่งอาบัติโดยความต่างกันแห่งความเป็นผู้มีความกำหนัดเป็นต้น จึงได้ตรัสคำว่า อุภโต อวสฺสุเต เป็นต้น.
ว่าด้วยทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดจับต้องกายเป็นต้น
ในคำว่า อุภโต อวสฺสุเต เป็นต้นนั้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คำว่า อุภโต อวสฺสุเต คือ เมื่อทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัด.
ความว่า เมื่อภิกษุณีและบุรุษเป็นผู้มีความกำหนัดด้วยกายสังสัคคราคะ.
สามบทว่า กาเยน กายํ อามสติ มีความว่า ภิกษุณีจับต้องกายของบุรุษส่วนใดส่วนหนึ่งด้วยกายตามที่กำหนดไว้ หรือว่า บุรุษจับต้องกายของภิกษุณีตามที่กำหนดไว้ ด้วยกาย (ของตน) ส่วนใดส่วนหนึ่ง. เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณีแม้โดยประการทั้งสอง.
สองบทว่า กาเยน กายปฏิพทฺธํ คือ (ภิกษุณีถูกต้อง) ของเนื่องด้วยกายของบุรุษด้วยกายของตน มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล.
ในบทว่า อามสติ นี้ มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณี จงจับต้องเองหรือจงยินดีการจับต้องของบุรุษนั้นก็ตามที เป็นถุลลัจจัยเหมือนกัน.
สองบทว่า กายปฏิพทฺเธน กายํ ได้แก่ ภิกษุณีจับต้องกายของบุรุษ ด้วยของเนื่องด้วยกายมีประการดังกล่าวแล้วของตน.
แม้ในบทว่า อามสติ นี้ ก็มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีจงจับต้องเองหรือจงยินดีการจับต้องของบุรุษก็ตามที เป็นถุลลัจจัยทั้งนั้น.
แม้ในบทที่เหลือก็พึงทราบวินิจฉัยโดยนัยนี้แล.
แต่ถ้าเป็นภิกษุกับภิกษุณีด้วยกัน ในภิกษุกับภิกษุณีนั้น ถ้าภิกษุณีจับต้อง ภิกษุเป็นผู้นิ่งไม่ไหวติงแต่ยินดีด้วยจิต พระวินัยธรไม่ควรปรับภิกษุด้วยอาบัติ. ถ้าภิกษุจับต้อง ภิกษุณีเป็นผู้นิ่งไม่ไหวติง แต่ยินดี (ยอมรับ) ด้วยจิตอย่างเดียว แม้ไม่ให้ส่วนแห่งกายไหว พระวินัยธรก็พึงปรับด้วยปาราชิกในเขตแห่งปาราชิก ด้วยถุลลัจจัยในเขตแห่งถุลลัจจัย ด้วยทุกกฎในเขตทุกกฎ.
เพราะเหตุไร? เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ยินดีการเคล้าคลึงด้วยกาย. นี้เป็นวินิจฉัย ในอรรถกถาทั้งหลาย. ก็เมื่อมีวินิจฉัยอย่างนี้ ความที่สิกขาบทนี้ มีการทำเป็นสมุฏฐาน ไม่ปรากฏให้เห็น เพราะเหตุนั้นความที่สิกขาบทมีการทำเป็นสมุฏฐานนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า พวกอาจารย์กล่าวไว้โดยนัย คือความที่สิกขาบทนั้นมีการทำเป็นสมุฏฐานทั้งนั้นเป็นส่วนมาก.
บทว่า อุพฺภกฺขกํ แปลว่า เบื้องบนแห่งรากขวัญทั้งสอง.
บทว่า อโธชานุมณฺฑลํ แปลว่า ภายใต้แห่งมณฑลเข่าทั้งสอง. อนึ่ง แม้เหนือข้อศอกขึ้นมา ท่านก็สงเคราะห์เข้าด้วยเหนือมณฑลเข่าเหมือนกัน ในบทว่า อโธชานุมณฺฑลํ นี้.
ในคำ เอกโต อวสฺสุเต นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า เอกโต ไว้โดยไม่แปลกกัน แม้ก็จริง, ถึงอย่างนั้น บัณฑิตพึงทราบว่า เมื่อภิกษุณีมีความกำหนัดเท่านั้น ความต่างแห่งอาบัตินี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้.
ในสิกขาบทนี้ มีวินิจฉัยตั้งแต่ต้นดังต่อไปนี้ :-
ภิกษุณีกำหนัดด้วยความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย ถึงบุรุษก็อย่างนั้นเหมือนกัน เมื่อมีความยินดีในการเคล้าคลึงกาย ในกายประเทศตั้งแต่รากขวัญลงมา เหนือมณฑลเข่าขึ้นไป เป็นปาราชิกแก่ภิกษุณี. ภิกษุณีมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย. ฝ่ายบุรุษมีความกำหนัดในเมถุน หรือ
มีความรักอาศัยเรือน หรือมีจิตบริสุทธิ์ก็ตามที เป็นถุลลัจจัย ทั้งนั้น. ภิกษุณีมีความกำหนัดในเมถุน, ฝ่ายบุรุษมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย หรือมีความกำหนัดในเมถุนหรือมีความรักอาศัยเรือน หรือ
มีจิตบริสุทธิ์ก็ตามที เป็นทุกกฏ. ภิกษุณีมีความรักอาศัยเรือน, ฝ่ายบุรุษมีจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะ ๔ ที่กล่าวแล้วเป็นทุกกฏเหมือนกัน. ภิกษุณีมีจิตบริสุทธิ์, แต่บุรุษมีจิตอย่างใดอย่างหนึ่ง ในฐานะ ๔ ที่กล่าวแล้ว ไม่เป็นอาบัติ.
แต่ถ้าเป็นภิกษุกับภิกษุณี ทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย, ฝ่ายภิกษุเป็นสังฆาทิเสส, ภิกษุณีเป็นปาราชิก. ภิกษุณีมีความกำหนัดในการเคล้าคลึงกาย, ฝ่ายภิกษุมีความกำหนัดในเมถุนก็ดี ความรักอาศัยเรือนก็ดี เป็นถุลลัจจัยแก่
ภิกษุณี เป็นทุกกฏแก่ภิกษุ. ทั้งสองฝ่ายมีความกำหนัดในเมถุนก็ดี มีความรักอาศัยเรือนก็ดี เป็นทุกกฏเหมือนกันแม้ทั้งสองฝ่าย. ฝ่ายใดมีจิตบริสุทธิ์ ในฐานะ (มีการจับต้องเป็นต้น) ใด, ฝ่ายนั้นไม่เป็นอาบัติในฐานะนั้น. แม้ทั้งสองฝ่ายมีจิตบริสุทธิ์ก็ไม่เป็นอาบัติแม้ทั้งสองฝ่าย.
ในบทว่า อนาปตฺติ อสญฺจิจฺจ เป็นต้น มีวินิจฉัยว่า ภิกษุณีจับต้องผิดพลาดไปก็ดี ส่งใจไปทางอื่นก็ดี ไม่รู้ว่า ผู้นี้เป็นชาย หรือหญิงก็ดี ถึงถูกบุรุษนั้นถูกต้องก็ไม่ยินดีผัสสะนั้นก็ดี แม้เมื่อมีการจับต้องก็ไม่เป็นอาบัติ.
คำที่เหลือในบททั้งปวง ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีสมุฏฐานดุจปฐมปาราชิก (ของภิกษุ) เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๒ ดังนี้แล.