[๑๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี
เขตพระนครสาวัตถี.
ครั้งนั้นภิกษุณีสุนทรีนันทามีครรภ์กับนายสาฬหะ หลานมิคารมาตา.
นางได้ปกปิดไว้จนมีครรภ์อ่อนๆ เมื่อครรภ์แก่แล้วนางจึงสึกออกมาคลอดบุตร. ภิกษุณีทั้งหลายได้ถามเรื่องนั้นกับภิกษุณีถุลลนันทาว่า แม่เจ้า นางสุนทรีนันทาสึกไม่นานนัก ก็คลอดบุตร ชะรอยนางจะมีครรภ์ทั้งเป็นภิกษุณีกระมัง เจ้าข้า?
ถุล. อย่างนั้น เจ้าข้า.
ภิก. ก็แม่เจ้ารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก เหตุไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะเล่า?
ถุล. โทษอันใดของเธอ นั่นเป็นโทษของดิฉัน การเสื่อมเกียรติอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมเกียรติของดิฉัน การเลื่อมยศอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมยศของดิฉัน การเสื่อมลาภอันใดของเธอ นั่นเป็นการเสื่อมลาภของดิฉัน ไฉนดิฉันจักบอกโทษของตน การเสื่อมเกียรติของตน การเสื่อมยศของตน การเสื่อมลาภของตน แก่คนเหล่าอื่นเล่า.
บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า แม่เจ้าถุลลนันทารู้อยู่ซึ่งภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะเล่า.
ครั้งนั้นแลนางภิกษุณีเหล่านั้นแจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลความเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ประชุมสงฆ์ทรงสอบถาม
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์ ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นในเพราะเหตุแรกเกินนั้น ทรงทำธรรมีกถา แล้วทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทา รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ
จริงหรือ?.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทารู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไฉนจึงไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใส ของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส หรือ
เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว โดยที่แท้ การกระทำของเธอนั่น เป็นไปเพื่อความไม่เลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส และเพื่อความเป็นอย่างอื่นของชนบางพวกที่เลื่อมใสแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพวกภิกษุณี จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ว่า ดังนี้:-
พระบัญญัติ
๖.๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงอาบัติปาราชิก ไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ ในเวลาที่ภิกษุณีนั้นยังดำรงเพศอยู่ก็ดี เคลื่อนไปแล้วก็ดี ถูกนาสนะแล้วก็ดี ไปเข้ารีตเดียรถีย์เสียก็ดี ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื่อก่อน
ดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้และมีความประพฤติเช่นนี้แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน ไม่บอกแก่คณะ แม้ภิกษุณีนี้ก็เป็นปาราชิก ชื่อวัชชปฏิจฉาทิกาหาสังวาสมิได้.
เรื่องภิกษุณีสุนทรีนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
[๑๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ นี้ชื่อว่า ภิกษุณี ที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
ที่ชื่อว่า รู้อยู่ คือ รู้เองก็ดี คนอื่นบอกแก่เธอก็ดี เจ้าตัวบอกก็ดี. คำว่า ล่วงอาบัติปาราชิก คือ ต้องอาบัติปาราชิกข้อใดข้อหนึ่ง ในปาราชิก ๘.
คำว่า ไม่โจทด้วยตน คือ ไม่โจทเอง.
คำว่า ไม่บอกแก่คณะ คือ ไม่บอกแก่ภิกษุณีอื่นๆ
[๑๔] พากย์ว่า ในเวลาที่ภิกษุณีนั้น ยังดำรงเพศอยู่ก็ดี เป็นต้น อธิบายว่า ภิกษุณีผู้ดำรงอยู่ในเพศของตน ตรัสเรียกว่า ผู้ยังดำรงเพศอยู่ ผู้ถึงมรณภาพ ตรัสเรียกว่า ผู้เคลื่อนไปผู้สึกเองก็ตาม ถูกผู้อื่นนาสนะเสียก็ตาม ตรัสเรียกว่า ผู้ถูกนาสนะ เข้าไปสู่ลัทธิเดียรถีย์ ตรัสเรียกว่า เขารีดเดียรถีย์.
[๑๕] สองพากย์ว่า ภายหลังนางจึงบอกอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า เมื่อก่อนดิฉันรู้จักภิกษุณีนั่นได้ดีทีเดียวว่า นางเป็นพี่หญิง น้องหญิง มีความประพฤติเช่นนี้ และมีความประพฤติเช่นนี้ แต่ดิฉันไม่โจทด้วยตน นั้น คือ ไม่โจทเอง.
คำว่า ไม่บอกแก่คณะ คือ ไม่บอกแก่ภิกษุณีอื่นๆ
[๑๖] บทว่า แม้ภิกษุณีนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.
คำว่า เป็นปาราชิก มีอธิบายว่า ใบไม้เหลืองหลุดจากขั้วแล้วไม่ควรเพื่อจะเป็นของเขียวสดขึ้นได้ ชื่อแม้ฉันใด ภิกษุณีก็ฉันนั้นแหละ รู้อยู่ว่าภิกษุณีล่วงปาราชิกธรรมแล้ว เมื่อเธอทอดธุระว่าจักไม่โจทด้วยตน จักไม่บอกแก่คณะดังนี้เท่านั้น เธอย่อมไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นธิดาของพระศากยบุตร เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า เป็นปาราชิก.
บทว่า หาสังวาสมิได้ ความว่า ที่ชื่อว่า สังวาส ได้แก่กรรมที่พึงทำร่วมกัน อุเทศที่พึงสวดร่วมกัน ความเป็นผู้มีสิกขาเสมอกัน นี้ชื่อว่าสังวาส สังวาสนั้นไม่มีร่วมกับภิกษุณีนั้น เพราะเหตุนั้น จึงตรัสว่า หาสังวาสมิได้.
อนาปัตติวาร
[๑๗] ภิกษุณีไม่บอกด้วยเกรงว่า ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท จักมีแก่สงฆ์ ๑ ไม่บอกด้วยเข้าใจว่า สงฆ์จักแตกกัน สงฆ์จักร้าวรานกัน ๑ ไม่บอกด้วยแน่ใจว่า ภิกษุณีนี้เป็นคนร้ายกาจ หยาบคาย จักทำอันตรายแก่ชีวิต หรือพรหมจรรย์ ๑ ไม่พบภิกษุณีอื่นๆ ที่สมควรจะบอก จึงไม่บอก ๑ ไม่ประสงค์จะปกปิด แต่ยังมิได้บอก ๑ ไม่บอกด้วยสำคัญว่า จักปรากฏด้วยการกระทำของเขาเอง ๑ ภิกษุณีวิกลจริต ๑ ภิกษุณีอาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ จบ.
ปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
อรรถกถาปาราชิกสิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในปาราชิกสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
แก้อรรถปาฐะบางตอนในทุติยปาราชิก
บทว่า กจฺจิโน สา ตัดบทเป็น กจฺจิ นุ สา แปลว่า ชะรอยนาง (จะมีครรภ์ทั้งเป็นภิกษุณีกระมัง?)
บทว่า อวณฺโณ แปลว่า มิใช่คุณ.
บทว่า อกิตฺติ แปลว่า การตำหนิ.
บทว่า อยโส ได้แก่ ความเสียบริวาร. อีกอย่างหนึ่ง ได้แก่ การติเตียนลับหลัง.
คำว่า สา วา อาโรเจติ ได้แก่ นางภิกษุณีผู้ซึ่งต้องปาราชิกแล้ว ไม่บอกด้วยตนเองก็ดี.
ข้อว่า อฏฺฐนฺนํ ปาราชิกานํอญฺญตรํ ได้แก่ ปาราชิก ๔ ที่สาธารณะกับภิกษุทั้งหลาย และเฉพาะปาราชิก ๔ ที่ไม่ทั่วไปอย่างใดอย่างหนึ่ง. และปาราชิกนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติในภายหลัง เพราะฉะนั้น จึงตรัสไว้ในวิภังค์ว่า อฏฺฐนฺนํ.
แต่บัณฑิตพึงทราบว่า พระสังคีติกาจารย์ทั้งหลายจัดตั้งปาราชิกนี้ไว้ในโอกาสนี้ ก็เพราะเป็นคู่กับสิกขาบทก่อน.
สองบทว่า ธุรํ นิกฺขิตฺตมตฺเต คือ พอเมื่อเธอทอดธุระเสีย.
ก็กถาพิสดารในสิกขาบทนี้ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังได้กล่าวแล้วในทุฏฐุลลสิกขาบท ในสัปปาณวรรคนั้นแล. แต่มีความแปลกกันเพียงเท่านี้ว่า จริงอยู่ ในทุฏฐุลลสิกขาบทนั้นเป็นปาจิตตีย์, ในบทนี้เป็นปาราชิก.
คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันทั้งนั้น.
แม้คำว่า วชฺชปฏิจฺฉาทิกา นี้ก็เป็นเพียงชื่อแห่งปาราชิกนี้เท่านั้น. เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ทรงวิจารณ์ไว้ในบทภาชนะ.
คำที่เหลือในสิกขาบทนี้ ตื้นทั้งนั้น.
สิกขาบทนี้มีการทอดธุระเป็นสมุฏฐาน เกิดขึ้นทางกายวาจากับจิต เป็นอกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต ทุกขเวทนา ดังนี้แล.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น