Translate

07 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๒ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

     [๑๐๒] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น ภิกษุณีหลายรูปด้วยกันจำพรรษาอยู่ในอาวาสใกล้หมู่บ้านแห่งหนึ่ง เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรและอิริยาบถ แต่มีผ้าเก่า มีจีวรเศร้าหมอง ได้พากันไปสู่พระนครสาวัตถี พวกอุบาสกอุบาสิกาเห็นภิกษุณีเหล่านั้นแล้วคิดว่า
    ภิกษุณีเหล่านี้เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัตรและอิริยาบถ แต่มีผ้าเก่า มีจีวรเศร้าหมอง ท่านเหล่านี้เห็นจักถูกผู้ร้ายแย่งชิง แล้วได้ถวายอกาลจีวรแก่ภิกษุณีสงฆ์
    ภิกษุณีถุลลนันทาอธิษฐานว่า กฐินพวกเรากรานแล้ว ผ้านี้เป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเอง. อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายพบเห็นภิกษุณีเหล่านั้นแล้วได้ถามว่า แม่เจ้าทั้งหลายได้จีวรแล้ว หรือ?
    ภิกษุณีเหล่านั้นตอบว่า อาวุโสทั้งหลาย พวกดิฉันไม่ได้จีวร เพราะแม่เจ้าถุลลนันทาอธิษฐานว่า กฐินพวกเรากรานแล้ว ผ้านี้เป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเอง.
    อุบาสกอุบาสิกาทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้อธิษฐานผ้าอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเองเล่า ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินอุบาสกอุบาสิกาเหล่านั้น พากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
    บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาจึงได้อธิษฐานผ้าอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเองเล่า ครั้นแล้ว ภิกษุณีเหล่านั้นได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย. ภิกษุทั้งหลายได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาอธิษฐานผ้าอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเอง จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายกราบทูล จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุณีถุลลนันทาจึงได้อฐิษฐานผ้าอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกันเองเล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็แลภิกษุณีทั้งหลายจงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-  พระบัญญัติ     ๒๗. ๒. อนึ่ง ภิกษุณีใด อธิษฐานผ้าอกาลจีวร ว่าเป็นกาลจีวร แล้วแจกกัน เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๑๐๓] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า อกาลจีวร คือ เมื่อไม่ได้กรานกฐิน จีวรเกิดได้ถึง ๑๑ เดือน เมื่อได้กรานกฐินแล้ว จีวรเกิดได้ตลอด ๗ เดือน จีวรที่เขาเจาะจงถวายแม้ในกาล นี้ก็ชื่อว่าอกาลจีวร.
    ภิกษุณีอธิษฐานว่าเป็นกาลจีวร แล้วให้แจกกัน เป็นทุกกฏในประโยค เป็นนิสสัคคีย์ด้วยได้จีวรมา ต้องเสียสละแก่สงฆ์ คณะ หรือภิกษุณีรูปหนึ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลจีวรเป็นนิสสัคคีย์นั้น ภิกษุณีพึงเสียสละอย่างนี้. วิธีเสียสละ 
เสียสละแก่สงฆ์
    ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ... แม่เจ้า เจ้าข้า อกาลจีวรผืนนี้ของข้าพเจ้าอธิษฐานว่าเป็นกาลจีวร แล้วแจกกัน เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละอกาลจีวรผืนนี้แก่สงฆ์ ... สงฆ์พึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
เสียสละแก่คณะ    ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุณีหลายรูป ... แม่เจ้าทั้งหลายพึงให้อกาลจีวรผืนนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
เสียสละแก่ภิกษุณีรูปหนึ่ง     ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุณีรูปหนึ่ง ... ข้าพเจ้าให้อกาลจีวรผืนนี้แก่แม่เจ้า ดังนี้.
บทภาชนีย์
ติกะนิสสัคคิยปาจิตตีย์
    [๑๐๔] อกาลจีวร ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นอกาลจีวร อธิษฐานเป็นกาลจีวรแล้วแจกกัน เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
     อกาลจีวร ภิกษุณีสงสัย อธิษฐานเป็นกาลจีวร แล้วแจกกัน เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    อกาลจีวร ภิกษุณีสำคัญว่ากาลจีวร อธิษฐานว่าเป็นกาลจีวร แล้วแจกกัน เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ทุกะทุกกฎกาลจีวร ภิกษุณีสำคัญว่า เป็นอกาลจีวร ต้องอาบัติทุกกฏ.  กาลจีวร ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติกาลจีวร ภิกษุณีสำคัญว่าเป็นกาลจีวร ไม่ต้องอาบัติ.
อนาปัตติวาร
     [๑๐๕] สำคัญอกาลจีวรว่าเป็นอกาลจีวร ให้แจกกัน ๑ สำคัญกาลจีวรว่าเป็นกาลจีวร ให้แจกกัน ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล. ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๒ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิสกัณฑ์ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๒
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๒ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า ทุจฺโจลา แปลว่า มีผ้าผิดสี. ความว่า มีผ้าเก่า.
บทว่า อปยฺยาหิ ตัดบทว่า อปิ อยฺยาหิ แปลว่า แม่เจ้าทั้งหลาย (ได้จีวรแล้ว) หรือ?
    สองบทว่า อาทิสฺส ทินฺนํ มีความว่า จีวรที่เขากล่าวถวายว่า พวกภิกษุณีผู้มาถึงแล้ว จงแบ่งกันเถิด ดังนี้บ้าง หรือกล่าวถวายว่า ข้าพเจ้าถวายผ้านี้แก่คณะ ถวายผ้านี้แก่ท่านทั้งหลาย ดังนี้บ้าง หรือถวายวางไว้ใกล้เท้า เพราะความต้องการจะถวายบ้าง
    ชื่อว่าเป็นจีวรที่เขาถวายเจาะจง จีวรนั่นจัดเป็นอกาลจีวรแม้ทั้งหมด. แต่จีวรที่ได้แล้วอย่างนี้ว่า ข้าพเจ้าถวายแก่แม่เจ้า พึงน้อมไปตามที่เขาถวายนั่นแหละ.
คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
    สิกขาบทนี้มีสมุฏฐาน ๓ เป็นกิริยา สัญญาวิโมกข์ สจิตตกะ โลกวัชชะ กายกรรม วจีกรรม อกุศลจิต มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

แม่เจ้าทั้งหลาย อนึ่ง ธรรมคือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านี้แล มาสู่อุเทศ.
 [๙๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ พากันสั่งสมบาตรไว้มากมาย ประชาชนเดินเที่ยวชมวิหารเห็นเข้าแล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้สั่งสมบาตรไว้มากมาย ท่านจักทำการขายบาตร หรือจักออกร้านค้าเครื่องภาชนะ. ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
    บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงพากันทำการสั่งสมบาตรเล่า ครั้นแล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแด่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ทำการสั่งสมบาตร จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้พากันทำการสั่งสมบาตรเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๒๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงทำการสั่งสมบาตร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๙๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า บาตร มีสองชนิด คือบาตรเหล็ก ๑ บาตรดินเผา ๑ ขนาดของบาตร บาตรมี ๓ ขนาด คือ บาตรขนาดใหญ่ ๑ บาตรขนาดกลาง ๑ บาตรขนาดเล็ก ๑
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดใหญ่ จุข้าวสุกแห่งข้าวสารกึ่งอาฬหก ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดกลาง จุข้าวสุกแห่งข้าวสารหนึ่งนาฬี ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น. 
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดเล็ก จุข้าวสุกแห่งข้าวสารหนึ่งปัตถะ ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น. 
    ใหญ่กว่านั้นไม่ใช่บาตร เล็กกว่านั้นก็ไม่ใช่บาตร.
     บทว่า พึงทำการสั่งสม คือ ไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้วิกัป.
     บาตรเป็นนิสสัคคิยะ คือ เป็นนิสสัคคีย์พร้อมกับเวลาอรุณขึ้น จำต้องเสียสละแก่สงฆ์คณะ หรือภิกษุณีรูปหนึ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลบาตรเป็นนิสสัคคีย์นั้น ภิกษุณีพึงเสียสละ อย่างนี้.
วิธีเสียสละ
 เสียสละแก่สงฆ์
   [๙๕] ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุณีผู้แก่พรรษากว่าทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าเจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้าล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละบาตรใบนี้แก่สงฆ์
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า แม่เจ้าเจ้าข้าขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บาตรใบนี้ของภิกษุณีมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้บาตรใบนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
 เสียสละแก่คณะ
    [๙๖] ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุณีหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุณีผู้แก่พรรษากว่าทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
    แม่เจ้า เจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้า ล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละบาตรใบนี้แก่แม่เจ้าทั้งหลาย.
    ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า ขอแม่เจ้าทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า บาตรใบนี้ของภิกษุณีมีชื่อนี้
         เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของแม่เจ้าทั้งหลายถึงที่แล้ว แม่เจ้าทั้งหลายพึงให้บาตรใบนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
 เสียสละแก่ภิกษุณีรูปหนึ่ง
    [๙๗] ภิกษุณีรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุณีรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า บาตรใบนี้ของดิฉัน ล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ
    ดิฉันสละบาตรใบนี้แก่แม่เจ้า ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้รับเสียสละนั้นพึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้บาตรใบนี้แก่แม่เจ้า ดังนี้.
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
    [๙๘] บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
     บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุณีสำคัญว่า อธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุณีสำคัญว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุณีสำคัญว่า สละให้ไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่สูญ ภิกษุณีสำคัญว่า สูญแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่หาย ภิกษุณีสำคัญว่า หายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่แตก ภิกษุณีสำคัญว่า แตกแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่ถูกลักไป ภิกษุณีสำคัญว่า ถูกลักไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะทุกกฎ
    [๙๙] บาตรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุณียังไม่ได้สละ ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสำคัญว่า ล่วงแล้ว ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสงสัย ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ล่วง ใช้สอย ไม่ต้องอาบัติ. อนาปัตติวาร     [๑๐๐] ภายในอรุณขึ้น ภิกษุณีอธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ สละให้ไป ๑ สูญ ๑ หาย ๑ แตก ๑ ถูกโขมยแย่งชิงเอาไป ๑ เพื่อนถือวิสาสะเอาไป ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 เรื่องไม่ยอมคืนบาตรให้
    [๑๐๑] สมัยต่อมา ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไม่ยอมคืนบาตรที่เสียสละให้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ภิกษุณีเสียสละแล้ว จะไม่คืนให้ไม่ได้ รูปใดไม่ยอมคืนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิสกัณฑ์ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑
อรรถกถาติงสกกัณฑ์
    ธรรมเหล่าใดชื่อว่านิสสัคคีย์ ๓๐ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศไว้แล้ว แก่พวกภิกษุณี บัดนี้ จะมีวรรณนานุกรม ติงสนิสสัคคิยธรรมเหล่านั้น ดังต่อไปนี้.
 อรรถกถาปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑
    จำพวกภาชนะ เรียกว่า อามัตตา ในคำว่า อามตฺติกาปณํ นี้. พวกชนผู้ขายภาชนะเหล่านั้น ตรัสเรียกว่า อามัตติกา. ร้านค้าของชนเหล่านั้น ชื่อว่า อามัตติกาปณะ.
 อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ออกร้านค้าขายภาชนะนั้น.
 สองบทว่า ปตฺตสนฺนิจฺจยํ กเรยฺย คือ พึงกระทำการสั่งสมบาตร. ความว่า เก็บบาตรไว้ไม่อธิษฐาน หรือไม่วิกัปตลอดวันหนึ่ง. 
 คำที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่ตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์นั่นแล. แต่มีความแปลกกันเพียงเท่านี้ คือในมหาวิภังค์นั้นได้บริหาร ๑๐ วัน ในสิกขาบทนี้ (บริหาร) แม้วันเดียวก็ไม่มี.
คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันนั่นแล.
    แม้สิกขาบทนี้ก็มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๑๐ เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา

     [๘๕] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ภิกษุณีถุลลนันทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้วยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า
 แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจรอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่น ที่มีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้ มีอาชีวะเช่นนี้ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้
       ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ ก็ยังมีในหมู่สงฆ์ ไม่เห็นสงฆ์ว่าอะไรภิกษุณีเหล่านั้น พวกท่านเท่านั้นถูกสงฆ์ว่ากล่าวด้วยความดูหมิ่น ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อดกลั้นด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแล
    อยู่คลุกคลีกันมีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนแม่เจ้าถุลลนันทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว จึงยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย
    แม่เจ้าทั้งหลาย จงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้เล่า.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุณีถุลลนันทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว ยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย
    แม่เจ้าทั้งหลาย จงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้ จริงหรือ?
 ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณีถุลลนันทาถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว ไฉนจึงยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย แม่เจ้าทั้งหลาย
     จงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้เล่า การกระทำของนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
    ก็แลภิกษุณีทั้งหลายพึงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:-พระบัญญัติ    ๒๑. ๑๐. อนึ่ง ภิกษุณีใด กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่นที่มีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้ มีอาชีวะเช่นนี้ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้
    ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ก็ยังมีในสงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุณีพวกนั้น สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่าน ด้วยความดูหมิ่น ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อดกลั้น
    ด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้
    ภิกษุณีนั้น อันภิกษุณีทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าอย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่นมีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้ มีอาชีวะเช่นนี้
    มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ ก็ยังมีในสงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุณีเหล่านั้น สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่านด้วยความดูหมิ่น ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อดกลั้น ด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ ว่าพี่น้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลีกัน
 มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลายดังนี้ แลภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้
 ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียวภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละวัตถุนั้น หากเธอถูกสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบอยู่ สละวัตถุนั้นเสีย สละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละภิกษุณีแม้นี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสส ชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติในเมื่อสวดสมนุภาสครบสามจบ. เรื่องภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
สิกขาบทวิภังค์
      [๘๖] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด 
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
   บทว่า กล่าวอย่างนี้ คือ กล่าวว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิดอย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่นที่มีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้ มีอาชีวะเช่นนี้ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ ก็ยังมีอยู่ในสงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุณีพวกนั้น สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่านเท่านั้น.
 บทว่า ด้วยความดูหมิ่น ได้แก่ การดูถูก. 
 บทว่า ด้วยความไม่สุภาพ ได้แก่ ความหยาบคาย.
 บทว่า ด้วยความไม่อดกลั้น ได้แก่ การโกรธเคือง. 
 บทว่า ด้วยความขู่เข็ญ ได้แก่ ความกำหราบ.
 บทว่า เพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแอ คือ มีพวกน้อย.
 สงฆ์ว่ากล่าวอย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีเกียรติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน
 แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้.
 บทว่า ภิกษุณีนั้น ได้แก่ ภิกษุณีรูปที่มักกล่าวเช่นนั้น.
 บทว่า อันภิกษุณีทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุณีพวกอื่น คือ จำพวกที่ได้เห็น ได้ทราบ เหล่านั้นพึงว่ากล่าวว่า แม่เจ้าอย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ... แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด
   สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้ พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม. หากนางสละได้ การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ ภิกษุณีทั้งหลายทราบแล้วไม่ว่ากล่าว ก็ต้องอาบัติทุกกฏ.
     ภิกษุณีนั้นอันภิกษุณีทั้งหลายพึงคุมตัวมาแม้สู่ท่ามกลางสงฆ์แล้วว่ากล่าวว่า แม่เจ้า ท่านอย่าได้กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ... แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด 
   สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้ พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม. หากนางสละได้ การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิธีสวดสมนุภาส
    [๘๗] ภิกษุณีนั้น อันสงฆ์พึงสวดสมนุภาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสมนุภาสนั้น พึงสวดอย่างนี้
    ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- กรรมวาจาสมนุภาส
    แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุณีมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้วยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่นที่มีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้ 
    มีอาชีวะเช่นนี้มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ ก็ยังมีในหมู่สงฆ์สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุณีพวกนั้น
        สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่านด้วยความดูหมิ่น ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อดกลั้นด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลีกันมีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์
       ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้
         นางยังไม่สละวัตถุนั้น ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุภาสภิกษุณีมีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น นี่เป็นบัญญัตติ
    แม่เจ้าทั้งหลาย ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุณีมีชื่อนี้ผู้นี้ ถูกสงฆ์สวดสมนุภาสแล้วยังกล่าวกะภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ว่า แม่เจ้าทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงอยู่คลุกคลีกันเถิด อย่าต่างคนต่างอยู่เลย ภิกษุณีแม้เหล่าอื่นที่มีอาจาระเช่นนี้ มีกิตติศัพท์เช่นนี้
    มีอาชีวะเช่นนี้มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์เช่นนี้ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกันเช่นนี้ ก็ยังมีอยู่ในหมู่สงฆ์ สงฆ์ไม่ว่ากล่าวอะไรภิกษุณีพวกนั้น
    สงฆ์ว่ากล่าวเฉพาะพวกท่านด้วยความดูหมิ่น ด้วยความไม่สุภาพ ด้วยความไม่อดกลั้นด้วยความขู่เข็ญ และเพราะความที่พวกท่านเป็นคนอ่อนแออย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแลอยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน
    แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียว แก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย ดังนี้นางยังไม่สละวัตถุนั้น สงฆ์สวดสมนุภาสภิกษุณีมีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น การสวดสมนุภาส ภิกษุณีมีชื่อนี้ เพื่อให้สละวัตถุนั้น ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแท้แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงพูด
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม
    ภิกษุณีมีชื่อนี้ อันสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว เพื่อให้สละวัตถุนั้นชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
[๘๘] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ. จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย. จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัย เพราะกรรมวาจาสองครั้ง ย่อมระงับ.
[๘๙] บทว่า แม้นี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.   บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติ ในเมื่อสวดสมนุภาสครบสามจบ คือ ต้องอาบัติเพราะสวดสมนุภาสจบครั้งที่สาม ไม่ใช่ต้องพร้อมกับการละเมิดวัตถุ.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ถูกขับออกจากหมู่.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัตเพื่ออาบัตินั้น ชักเข้าหาอาบัติเดิมเรียกเข้าหมู่ ไม่ใช่คณะมากรูปด้วยกัน ไม่ใช่ภิกษุณีรูปเดียว เพราะฉะนั้น จึงตรัสเรียกว่า สังฆาทิเสสคำว่าสังฆาทิเสสเป็นการขนานนาม คือ เป็นชื่อของอาบัตินิกายนั้นแล แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
ติกะสังฆาทิเสส
    [๙๐] กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส. กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
ติกะทุกกฎ
กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ. กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.  กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร    [๙๑] ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส ๑ ยอมสละ ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๑๐ จบ. 
อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเลสสิกขาบทที่ ๑๐
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๑๐ พึงทราบดังนี้ :-
    บทว่า เอวาจารา คือ ผู้มีอาจาระอย่างนี้. ความว่า มีอาจาระเช่นอย่างอาจาระของพวกท่าน.
ในบททั้งปวงก็มีนัยเช่นนี้.
    บทว่า อญฺญาย แปลว่า ด้วยความดูหมิ่น คือด้วยความรู้กดให้ต่ำ.
    บทว่า ปริภเวน ได้แก่ ด้วยความรู้เหยียดหยามอย่างนี้ว่า แม่พวกนี้จักกระทำอะไรได้?
    บทว่า อกฺขนฺติยา คือ ด้วยความไม่อดกลั้น. ความว่า ด้วยความโกรธเคือง.
    บทว่า เวภสฺสา คือ ด้วยความเป็นผู้มีเสียงขู่เข็ญ.
    ความว่า ด้วยการขู่ให้หวาดกลัวด้วยประกาศกำลังของตนๆ.
    บทว่า ทุพลฺยา คือ เพราะพวกท่านเป็นคนอ่อนแอ.
    บัณฑิตพึงเห็นอรรถสมุจจัยในบททั้งปวงอย่างนี้ว่า ด้วยความดูหมิ่นและด้วยความเหยียดหยาม.
บทว่า วิวิจฺจถ แปลว่า พวกท่านจงแยกกันอยู่เถิด.
คำที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้น ตื้นทั้งนั้นแล.
บทสรุป
    [๙๒] แม่เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๗ สิกขาบท ๑- ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล ๙ สิกขาบท ให้ต้องอาบัติเมื่อแรกทำ ๘ สิกขาบทให้ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาครบสามจบ
    ภิกษุณีล่วงสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งแล้ว ภิกษุณีนั้นต้องประพฤติปักขมานัตในสงฆ์สองฝ่าย ภิกษุณีประพฤติมานัต แล้วภิกษุณีสงฆ์มีคณะ ๒๐ อยู่ในสีมาใด พึงเรียกภิกษุณีนั้นเข้า
    หมู่ในสีมานั้น หากภิกษุณีสงฆ์มีคณะ ๒๐ หย่อนแม้รูปหนึ่ง พึงเรียกภิกษุณีนั้นเข้าหมู่ ภิกษุณีนั้นก็ไม่เป็นอันสงฆ์เรียกเข้าหมู่แล้ว และภิกษุณีเหล่านั้นควรถูกตำหนิ นี้เป็นความถูกต้องในกรรมนั้น.
    ข้าพเจ้าขอถามแม่เจ้าทั้งหลายในธรรมคือสังฆาทิเสสเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ
    ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สองว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ ข้าพเจ้าขอถามแม้ครั้งที่สามว่า ท่านทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วหรือ? แม่เจ้าทั้งหลายเป็นผู้บริสุทธิ์แล้วในธรรมคือ สังฆาทิเสสเหล่านี้ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้แล.
สัตตรสกัณฑ์ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ บทสรุป
อรรถกถาสรูปสังฆาทิเสส ๑๗
    ในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข อยฺยาโย สตฺตรส สงฺฆาทิเสสา นี้ บัณฑิตพึงทราบปฐมาปัตติกะ ๙ สิกขาบท เพิ่มจากมหาวิภังค์ ๓ สิกขาบทนี้ คือสัญจริตสิกขาบท ๑ ทุฏฐโทสะ ๒ สิกขาบท เข้าในลำดับแห่งปฐมาปัตติกะ ๖ สิกขาบท
    พึงทราบยาวตติยกะ ๘ สิกขาบท เพิ่มยาวตติยกะ ๔ สิกขาบท แม้จากมหาวิภังค์เข้าในลำดับแห่งยาวตติยกะ ๔ สิกขาบท. บัณฑิตพึงเห็นใจความในคำว่า อุทฺทิฏฺฐา โข เป็นต้นนี้ อย่างนี้ว่า
    ดูก่อนแม้เจ้าทั้งหลาย ธรรมคือสังฆาทิเสส ๑๗ ทั้งหมด ข้าพเจ้ายกขึ้นแสดงแล้วแล โดยมาตรว่า เป็นปาฏิโมกขุทเทส ด้วยประการอย่างนี้.
    คำที่เหลือตื้นทั้งนั้น เว้นแต่ปักขมานัต.
ส่วนปักขมานัตนั้นพวกเราจักพรรณนาโดยพิสดารในขันธกะแล.
สัตตรสกัณฑวรรณนาในภิกขุนีวิภังค์
ในอรรถกถาพระวินัย  ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.

06 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สิกขาบทที่ ๙ เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทา

    [๗๗] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอานาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี.
    ครั้งนั้น เหล่าภิกษุณีอันเตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทา ชอบอยู่คลุกคลีปนเปกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน.
    บรรดาภิกษุณีที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ... ต่างก็เพ่งโทษติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีจึงได้อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวก กันเล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
    พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีอยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน จริงหรือ?.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณี จึงได้ชอบอยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ชอบปกปิด   โทษของพรรคพวกกันเล่า การกระทำของพวกนางนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ     ๒๐. ๙. อนึ่ง ภิกษุณีทั้งหลายอยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน. ภิกษุณีเหล่านั้นอันภิกษุณีทั้งหลาย พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแลอยู่คลุกคลีกัน
    มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย แลภิกษุณีเหล่านั้น อันภิกษุณีทั้งหลายว่ากล่าวอยู่อย่างนี้ ยังยกย่องอยู่อย่างนั้นเทียว ภิกษุณีเหล่านั้น
    อันภิกษุณีทั้งหลาย พึงสวดสมนุภาสกว่าจะครบสามจบ เพื่อให้สละวัตถุนั้น หากเธอเหล่านั้นถูกสวดสมนุภาส กว่าจะครบสามจบอยู่ สละวัตถุนั้นเสียได้การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ภิกษุณีแม้เหล่านี้ก็ต้องธรรมคือสังฆาทิเสสชื่อนิสสารณียะ มีอันให้ต้องอาบัติในเมื่อสวดสมนุภาสครบสามจบ. 
เรื่องภิกษุณีอันเตวาสินีของภิกษุณีถุลลนันทา จบ.
 สิกขาบทวิภังค์
    [๗๘] บทว่า อนึ่ง ภิกษุณีทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสหมายสตรีผู้อุปสมบทแล้ว.     ที่ชื่อว่า อยู่คลุกคลีกัน คือ อยู่คลุกคลีด้วยการคลุกคลีทางกายและวาจาอันไม่สมควร.
บทว่า มีอาจาระทราม คือ ประกอบด้วยความประพฤติที่เลว. 
บทว่า มีกิตติศัพท์ไม่งาม คือ อื้อฉาวด้วยเสียงเล่าลือที่เสียหาย. 
บทว่า มีอาชีวะไม่ชอบ คือเลี้ยงชีวิตด้วยมิจฉาชีพต่ำช้า.
    บทว่า มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ คือ เมื่อสงฆ์ทำกรรมแก่เพื่อนกันย่อมคัดค้าน.    บทว่า ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน คือ ปกปิดความผิดของกันและกัน
    [๗๙] บทว่า ภิกษุณีเหล่านั้น ได้แก่ ภิกษุณีพวกที่อยู่คลุกคลีปะปนกัน.     บทว่า อันภิกษุณีทั้งหลาย ได้แก่ ภิกษุณีพวกอื่น คือพวกที่ได้เห็น ได้ทราบ เหล่านั้น พึงว่ากล่าวว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายอยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทรามมีกิตติศัพท์ไม่งาม
  มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน แม่เจ้าทั้งหลาย จงแยกกันอยู่เถิด สงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย
พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สอง
พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม
    หากภิกษุณีเหล่านั้นสละได้ การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ พวกภิกษุณีทราบแล้วไม่ว่ากล่าว ก็ต้องอาบัติทุกกฏ.
    ภิกษุณีเหล่านั้น อันภิกษุณีทั้งหลายพึงคุมตัวมาสู่ท่ามกลางสงฆ์ แล้วว่ากล่าวว่า พี่น้องหญิงทั้งหลายแล อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ ชอบปกปิดโทษของพรรคพวกกัน
    แม่เจ้าทั้งหลายจงแยกกันอยู่เถิดสงฆ์ย่อมสรรเสริญความสงัดอย่างเดียวแก่พี่น้องหญิงทั้งหลาย พึงกล่าวว่าแม้ครั้งที่สอง พึงว่ากล่าวแม้ครั้งที่สาม. หากภิกษุณีเหล่านั้นสละได้ การสละได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่สละ ต้องอาบัติทุกกฏ.
วิธีสวดสมนุภาส
    [๘๐] ภิกษุณีเหล่านั้น อันภิกษุณีสงฆ์พึงสวดสมนุภาส ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลวิธีสวดสมนุภาสนั้นพึงสวดอย่างนี้ อันภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
 กรรมวาจาสมนุภาส
    แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุณีทั้งหลายมีชื่อนี้ด้วย มีชื่อนี้ด้วย อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ชอบปกปิด
    โทษของพรรคพวกกัน เธอเหล่านั้นยังไม่สละวัตถุนั้นถ้าความพร้อมพรั่ง    ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสวดสมนุภาสภิกษุณีทั้งหลายมีชื่อนี้ด้วย มีชื่อนี้ด้วย เพื่อให้สละวัตถุนั้น นี่เป็นญัตติ.
     แม่เจ้า เจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ภิกษุณีทั้งหลายมีชื่อนี้ด้วย มีชื่อนี้ด้วย อยู่คลุกคลีกัน มีอาจาระทราม มีกิตติศัพท์ไม่งาม มีอาชีวะไม่ชอบ มักเบียดเบียนภิกษุณีสงฆ์ชอบปกปิด
    โทษของพรรคพวกกัน เธอเหล่านั้นยังไม่สละวัตถุนั้น สงฆ์สวดสมนุภาสภิกษุณีทั้งหลาย
    มีชื่อนี้ด้วย มีชื่อนี้ด้วย เพื่อให้สละวัตถุนั้น การสวดสมนุภาสภิกษุณีทั้งหลายมีชื่อนี้ด้วย เพื่อให้สละวัตถุนั้น ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่แม่เจ้าผู้ใด แม่เจ้าผู้นั้นพึงพูด
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สอง
ข้าพเจ้ากล่าวความนี้แม้ครั้งที่สาม
    ภิกษุณีทั้งหลายมีชื่อนี้ด้วย มีชื่อนี้ด้วย อันสงฆ์สวดสมนุภาสแล้ว เพื่อให้สละวัตถุนั้นชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
    [๘๑] จบญัตติ ต้องอาบัติทุกกฏ จบกรรมวาจาสองครั้ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย จบกรรมวาจาครั้งสุด ต้องอาบัติสังฆาทิเสส เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้ว อาบัติทุกกฏเพราะญัตติ อาบัติถุลลัจจัยเพราะกรรมวาจาสองครั้ง ย่อมระงับ.
    พึงสวดสมนุภาสภิกษุณี ๒-๓ รูปคราวเดียวกันได้ ไม่พึงสวดสมนุภาสภิกษุณีมากกว่านั้น.
    [๘๒] บทว่า ภิกษุแม้เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคตรัสเทียบเคียงภิกษุณีรูปก่อน.
    บทว่า มีอันให้ต้องอาบัติเมื่อสวดสมนุภาสครบสามจบ คือ ต้องอาบัติเพราะสวดสมนุภาสจบครั้งที่สาม ไม่ใช่ต้องพร้อมกับการละเมิดวัตถุ.
    ที่ชื่อว่า นิสสารณียะ ได้แก่ ถูกขับออกจากหมู่สงฆ์.
    บทว่า สังฆาทิเสส ความว่า สงฆ์เท่านั้นให้มานัต ... แม้เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่าสังฆาทิเสส.
บทภาชนีย์
ติกะสังฆาทิเสส
    [๘๓] กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.    กรรมเป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ไม่สละ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
ติกะทุกกฎ
     กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมเป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสงสัย ต้องอาบัติทุกกฏ.    กรรมไม่เป็นธรรม ภิกษุณีสำคัญว่า กรรมไม่เป็นธรรม ต้องอาบัติทุกกฏ.
อนาปัตติวาร    [๘๔] ยังไม่ถูกสวดสมนุภาส ๑ ยอมสละ ๑ วิกลจริต ๑ มีจิตฟุ้งซ่าน ๑ กระสับกระส่ายเพราะเวทนา ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙ จบ.
อรรถกถา ภิกขุนีวิภังค์ สัตตรสกัณฑ์ สังฆาทิเสสสิกขาบทที่ ๙
วินิจฉัยในสิกขาบทที่ ๙ พึงทราบดังนี้ :-
บทว่า สํสฏฺฐา คือ เป็นผู้คลุกคลีปนเปกัน.
บทว่า อนนุโลมิเกน คือ ไม่สมควรแก่พวกบรรพชิต.
    สามบทว่า กายิเกน วาจสิเกน สํสฏฺฐา มีความว่า ผู้คลุกคลีด้วยการคลุกคลีอันเป็นไปทางกายมีการซ้อมข้าว หุงข้าว บดของหอม ร้อยพวงดอกไม้เป็นต้น เพื่อพวกคฤหัสถ์ และ
 ด้วยการคลุกคลีกันอันเป็นไปทางวาจามีการรับส่งข่าวสาสน์และข่าวสาสน์ตอบและการชักสื่อเป็นต้น แก่พวกคฤหัสถ์.
    เกียรติศัพท์ของพวกภิกษุณีเหล่านี้เสียหาย เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้มีเกียรติศัพท์เสียหาย. ความเป็นอยู่ กล่าวคืออาชีพของพวกภิกษุณีเหล่านี้เลวทราม เพราะฉะนั้นจึงชื่อว่า ผู้มีอาชีพเลวทราม.
คำที่เหลือพร้อมทั้งสมุฏฐานเป็นต้นตื้นทั้งนั้น.