Translate

07 ตุลาคม 2567

พระไตรปิฎก พระวินัยปิฎก เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิยกัณฑ์ ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์

แม่เจ้าทั้งหลาย อนึ่ง ธรรมคือนิสสัคคิยปาจิตตีย์ ๓๐ สิกขาบทเหล่านี้แล มาสู่อุเทศ.
 [๙๓] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. 
    ครั้งนั้น ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ พากันสั่งสมบาตรไว้มากมาย ประชาชนเดินเที่ยวชมวิหารเห็นเข้าแล้วพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุณีทั้งหลายจึงได้สั่งสมบาตรไว้มากมาย ท่านจักทำการขายบาตร หรือจักออกร้านค้าเครื่องภาชนะ. ภิกษุณีทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่
    บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงพากันทำการสั่งสมบาตรเล่า ครั้นแล้วได้แจ้งเรื่องนั้นแด่ภิกษุทั้งหลายๆ ได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
ทรงสอบถาม
     พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า พวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์ทำการสั่งสมบาตร จริงหรือ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียนแล้วบัญญัติสิกขาบท
    พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนพวกภิกษุณีฉัพพัคคีย์จึงได้พากันทำการสั่งสมบาตรเล่า การกระทำของพวกนางนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
    ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุณีทั้งหลาย จงยกสิกขาบทนี้ขึ้นแสดงอย่างนี้ ว่าดังนี้:- พระบัญญัติ    ๒๖. ๑. อนึ่ง ภิกษุณีใด พึงทำการสั่งสมบาตร เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์. เรื่องภิกษุณีฉัพพัคคีย์ จบ.
สิกขาบทวิภังค์
    [๙๔] บทว่า อนึ่ง ... ใด ความว่า ผู้ใด คือ ผู้เช่นใด
    บทว่า ภิกษุณี ความว่า ที่ชื่อว่า ภิกษุณี เพราะอรรถว่าเป็นผู้ขอ ... นี้ชื่อว่า ภิกษุณีที่ทรงประสงค์ในอรรถนี้.
    ที่ชื่อว่า บาตร มีสองชนิด คือบาตรเหล็ก ๑ บาตรดินเผา ๑ ขนาดของบาตร บาตรมี ๓ ขนาด คือ บาตรขนาดใหญ่ ๑ บาตรขนาดกลาง ๑ บาตรขนาดเล็ก ๑
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดใหญ่ จุข้าวสุกแห่งข้าวสารกึ่งอาฬหก ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น.
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดกลาง จุข้าวสุกแห่งข้าวสารหนึ่งนาฬี ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น. 
    บาตรที่ชื่อว่าขนาดเล็ก จุข้าวสุกแห่งข้าวสารหนึ่งปัตถะ ของเคี้ยวเท่าส่วนที่สี่แห่งข้าวสุกและกับข้าวพอสมควรแก่ข้าวสุกนั้น. 
    ใหญ่กว่านั้นไม่ใช่บาตร เล็กกว่านั้นก็ไม่ใช่บาตร.
     บทว่า พึงทำการสั่งสม คือ ไม่ได้อธิษฐาน ไม่ได้วิกัป.
     บาตรเป็นนิสสัคคิยะ คือ เป็นนิสสัคคีย์พร้อมกับเวลาอรุณขึ้น จำต้องเสียสละแก่สงฆ์คณะ หรือภิกษุณีรูปหนึ่ง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลบาตรเป็นนิสสัคคีย์นั้น ภิกษุณีพึงเสียสละ อย่างนี้.
วิธีเสียสละ
 เสียสละแก่สงฆ์
   [๙๕] ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาสงฆ์ ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุณีผู้แก่พรรษากว่าทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้าเจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้าล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละบาตรใบนี้แก่สงฆ์
    ครั้นสละแล้วพึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถพึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า แม่เจ้าเจ้าข้าขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า บาตรใบนี้ของภิกษุณีมีชื่อนี้ เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้บาตรใบนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
 เสียสละแก่คณะ
    [๙๖] ภิกษุณีรูปนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุณีหลายรูป ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า กราบเท้าภิกษุณีผู้แก่พรรษากว่าทั้งหลาย แล้วนั่งกระโหย่ง ประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า
    แม่เจ้า เจ้าข้า บาตรใบนี้ของข้าพเจ้า ล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ ข้าพเจ้าสละบาตรใบนี้แก่แม่เจ้าทั้งหลาย.
    ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยญัตติกรรมวาจาว่า ขอแม่เจ้าทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า บาตรใบนี้ของภิกษุณีมีชื่อนี้
         เป็นของจำจะสละ เธอสละแล้วแก่แม่เจ้าทั้งหลาย ถ้าความพร้อมพรั่งของแม่เจ้าทั้งหลายถึงที่แล้ว แม่เจ้าทั้งหลายพึงให้บาตรใบนี้แก่ภิกษุณีมีชื่อนี้ ดังนี้.
 เสียสละแก่ภิกษุณีรูปหนึ่ง
    [๙๗] ภิกษุณีรูปนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุณีรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่งประนมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า แม่เจ้า เจ้าข้า บาตรใบนี้ของดิฉัน ล่วงราตรีแล้ว เป็นของจำจะสละ
    ดิฉันสละบาตรใบนี้แก่แม่เจ้า ครั้นสละแล้ว พึงแสดงอาบัติ ภิกษุณีผู้รับเสียสละนั้นพึงรับอาบัติ พึงคืนบาตรที่เสียสละให้ด้วยคำว่า ข้าพเจ้าให้บาตรใบนี้แก่แม่เจ้า ดังนี้.
บทภาชนีย์
นิสสัคคิยปาจิตตีย์
    [๙๘] บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ล่วงแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสงสัย เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
     บาตรล่วงราตรีแล้ว ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ล่วง เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้อธิษฐาน ภิกษุณีสำคัญว่า อธิษฐานแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้วิกัป ภิกษุณีสำคัญว่าวิกัปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่ได้สละให้ไป ภิกษุณีสำคัญว่า สละให้ไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรยังไม่สูญ ภิกษุณีสำคัญว่า สูญแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่หาย ภิกษุณีสำคัญว่า หายแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่แตก ภิกษุณีสำคัญว่า แตกแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
    บาตรไม่ถูกลักไป ภิกษุณีสำคัญว่า ถูกลักไปแล้ว เป็นนิสสัคคีย์ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
ติกะทุกกฎ
    [๙๙] บาตรเป็นนิสสัคคีย์ ภิกษุณียังไม่ได้สละ ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสำคัญว่า ล่วงแล้ว ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสงสัย ใช้สอย ต้องอาบัติทุกกฏ.
ไม่ต้องอาบัติ    บาตรยังไม่ล่วงราตรี ภิกษุณีสำคัญว่า ยังไม่ล่วง ใช้สอย ไม่ต้องอาบัติ. อนาปัตติวาร     [๑๐๐] ภายในอรุณขึ้น ภิกษุณีอธิษฐาน ๑ วิกัป ๑ สละให้ไป ๑ สูญ ๑ หาย ๑ แตก ๑ ถูกโขมยแย่งชิงเอาไป ๑ เพื่อนถือวิสาสะเอาไป ๑ วิกลจริต ๑ อาทิกัมมิกา ๑ ไม่ต้องอาบัติแล.
 เรื่องไม่ยอมคืนบาตรให้
    [๑๐๑] สมัยต่อมา ภิกษุณีฉัพพัคคีย์ไม่ยอมคืนบาตรที่เสียสละให้ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บาตรที่ภิกษุณีเสียสละแล้ว จะไม่คืนให้ไม่ได้ รูปใดไม่ยอมคืนให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑ จบ.

อรรถกา ภิกขุนีวิภังค์ นิสสัคคิสกัณฑ์ปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑
อรรถกถาติงสกกัณฑ์
    ธรรมเหล่าใดชื่อว่านิสสัคคีย์ ๓๐ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงประกาศไว้แล้ว แก่พวกภิกษุณี บัดนี้ จะมีวรรณนานุกรม ติงสนิสสัคคิยธรรมเหล่านั้น ดังต่อไปนี้.
 อรรถกถาปัตตวรรค สิกขาบทที่ ๑
    จำพวกภาชนะ เรียกว่า อามัตตา ในคำว่า อามตฺติกาปณํ นี้. พวกชนผู้ขายภาชนะเหล่านั้น ตรัสเรียกว่า อามัตติกา. ร้านค้าของชนเหล่านั้น ชื่อว่า อามัตติกาปณะ.
 อีกอย่างหนึ่ง ความว่า ออกร้านค้าขายภาชนะนั้น.
 สองบทว่า ปตฺตสนฺนิจฺจยํ กเรยฺย คือ พึงกระทำการสั่งสมบาตร. ความว่า เก็บบาตรไว้ไม่อธิษฐาน หรือไม่วิกัปตลอดวันหนึ่ง. 
 คำที่เหลือ บัณฑิตพึงทราบโดยนัยดังที่ตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์นั่นแล. แต่มีความแปลกกันเพียงเท่านี้ คือในมหาวิภังค์นั้นได้บริหาร ๑๐ วัน ในสิกขาบทนี้ (บริหาร) แม้วันเดียวก็ไม่มี.
คำที่เหลือเป็นเช่นเดียวกันนั่นแล.
    แม้สิกขาบทนี้ก็มีสมุฏฐานดุจกฐินสิกขาบท เกิดขึ้นทางกายกับวาจา ๑ ทางกายวาจากับจิต ๑ เป็นกิริยา โนสัญญาวิโมกข์ อจิตตกะ ปัณณัตติวัชชะ กายกรรม วจีกรรม มีจิต ๓ มีเวทนา ๓ ฉะนี้แล.

ไม่มีความคิดเห็น: