Translate

02 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุโปสถขันธกะ เรื่องปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เป็นต้น พระพุทธานุญาตวันประชุม

search-google ทำบุญ 
  [๑๔๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ เขตพระนครราชคฤห์. 
   ครั้งนั้น พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม. 
   คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม. พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใส ในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก. 
   ครั้งนั้น พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราช เสด็จไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระราชปริวิตกแห่งพระราชหฤทัยเกิดขึ้น อย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้ถึงวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ 
   พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใส ในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก ไฉนหนอพระคุณเจ้าทั้งหลาย
   พึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์บ้าง จึงท้าวเธอเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. 
   ท้าวเธอประทับนั่งเรียบร้อยแล้ว
   ได้ทูลข้อปริวิตกนั้นต่อพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า หม่อมฉันไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เดี๋ยวนี้พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ถึงวัน  ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ย่อมประชุมกันกล่าวธรรม
   คนทั้งหลายเข้าไปหาปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านั้นเพื่อฟังธรรม พวกเขาได้ความรัก ได้ความเลื่อมใส ในพวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชกอัญญเดียรถีย์ย่อมได้พรรคพวก ไฉนหนอ
   พระคุณเจ้าทั้งหลาย พึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์บ้าง หม่อมฉันขอประทานพระวโรกาส ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘  ค่ำ แห่งปักษ์บ้างเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงแสดงธรรมีกถา
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้พระเจ้าพิมพิสารจอมเสนามาคธราชทรงเห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว.
   ครั้นท้าวเธออันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจง ให้เห็นแจ้งสมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถาแล้ว เสด็จลุกจากที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค ทรงทำประทักษิณเสด็จกลับไป.
พระพุทธานุญาตวันประชุม
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ประชุมกัน 
   ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์.
ประชุมนั่งนิ่ง
   [๑๔๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายพูดกันว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์.    ภิกษุเหล่านั้นจึงประชุมกันในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์ 
   แล้วนั่งนิ่งเสีย. คนทั้งหลายเข้าไปหาภิกษุเหล่านั้นเพื่อฟังธรรม. พวกเขาต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรประชุมกัน
     ในวัน ๑๔ ค่ำ ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์
   จึงได้นั่งนิ่งเสียเหมือนสุกรอ้วนเล่า ธรรมเนียมภิกษุผู้ประชุมกัน ควรกล่าวธรรมมิใช่หรือ? ภิกษุทั้งหลายได้ยินพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระพุทธานุญาตให้กล่าวธรรม
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ประชุมกันกล่าวธรรม
   ในวัน ๑๔ ค่ำ  ๑๕ ค่ำ และ ๘ ค่ำ แห่งปักษ์.
พระพุทธานุญาตปาติโมกขุเทศ
   [๑๔๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จไป ณ ที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีพระปริวิตกแห่งพระทัยเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงอนุญาตสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาติโมกขุเทศของพวกเธอ ปาติโมกขุเทศนั้นจักเป็นอุโบสถกรรมของพวกเธอ.
   ครั้นเวลาสายัณห์ พระองค์เสด็จออกจากที่เร้นแล้ว ทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น 
     ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น 
   แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไปในที่สงัด<i>หลีกเร้นอยู่ ณ ตำบลนี้</i>ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า ไฉนหนอเราพึงอนุญาตสิกขาบทที่เราบัญญัติแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย ให้เป็นปาติโมกขุเทศของพวกเธอ  ปาติโมกขุเทศนั้นจักเป็นอุโบสถกรรมของพวกเธอ ดังนี้ 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล ภิกษุพึงสวดอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงทำอุโบสถ พึงสวดปาติโมกข์. 
   อะไรเป็นบุพพกิจของสงฆ์?
   ท่านทั้งหลายพึงบอกความบริสุทธิ์.
   ข้าพเจ้าจักสวดปาติโมกข์. พวกเราบรรดาที่มีอยู่ทั้งหมดจงฟัง จงใส่ใจซึ่งปาติโมกข์นั้นให้สำเร็จประโยชน์. ท่านผู้ใดมีอาบัติ ท่านผู้นั้นพึงเปิดเผย เมื่ออาบัติไม่มี พึงนิ่งอยู่.
          ก็ด้วยความเป็นผู้นิ่งแล
   ข้าพเจ้าจักทราบท่านทั้งหลายว่าเป็นผู้บริสุทธิ์. การสวดประกาศกว่าจะครบ ๓ จบ ในบริษัทเห็นปานนี้ย่อมเป็นเหมือนการกล่าวแก้เฉพาะรูป ที่ถูกถามผู้เดียวฉะนั้น. ก็ภิกษุรูปใด เมื่อสวดประกาศกว่าจะครบ ๓ จบ ระลึกได้ ไม่ยอมเปิดเผยอาบัติที่มีอยู่ สัมปชานมุสาวาทย่อมมีแก่ภิกษุรูปนั้น. 
   ท่านทั้งหลาย ก็สัมปชานมุสาวาท พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นธรรมทำอันตรายเพราะฉะนั้น ภิกษุต้องอาบัติแล้วระลึกได้ หวังความบริสุทธิ์ พึงเปิดเผยอาบัติที่มีอยู่.
   เพราะเปิดเผยอาบัติแล้ว ความผาสุกย่อมมีแก่เธอ.
   [๑๕๐] คำว่า ปาติโมกข์ นี้ เป็นเบื้องต้น เป็นประธาน เป็นประมุขแห่งกุศลธรรมทั้งหลาย เพราะเหตุนั้น จึงตรัสเรียกว่า ปาติโมกข์ คำว่า ท่านทั้งหลาย นี้ เป็นคำกล่าวที่อ่อนหวาน เป็นคำแสดงความเคารพ.
   คำว่า ท่านทั้งหลาย นี้ เป็นชื่อของถ้อยคำที่ประกอบด้วยความเคารพและประกอบด้วยความยำเกรง.
   คำว่า จักสวด คือจักบอก จักแสดง จักทำให้ปรากฏ จักริเริ่ม จักเปิดเผย จักจำแนก จักทำให้ตื้น จักประกาศ.
   บทว่า นั้น ตรัสเรียกปาติโมกข์. คำว่า ที่มีอยู่ทั้งหมด ความว่า ภิกษุในบริษัทนั้นมีจำนวนเท่าไร เป็นเถระก็ตาม นวกะก็ตาม มัชฌิมะก็ตาม เหล่านี้เรียกว่า ที่มีอยู่ทั้งหมด.
   คำว่า จงฟังให้สำเร็จประโยชน์ ความว่า จงตั้งใจ มนสิการ ประมวลเรื่องทั้งหมดด้วยใจ.
   คำว่า จงใส่ใจ ความว่า จงเป็นผู้มีจิตแน่วแน่ มีจิตไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตไม่ซัดส่าย ตั้งใจฟัง. คำว่า ท่านผู้ใดมีอาบัติ ความว่า ภิกษุเถระก็ตาม นวกะก็ตาม มัชฌิมะก็ตาม มีอาบัติ ๕ กอง ตัวใดตัวหนึ่ง มีอาบัติ ๗ กอง ตัวใดตัวหนึ่ง.
   คำว่า ท่านผู้นั้นพึงเปิดเผย ความว่า ภิกษุนั้นพึงแสดง พึงเปิดเผย พึงทำให้ตื้น พึงประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางคณะ หรือในบุคคลผู้หนึ่ง. อาบัติชื่อว่า ไม่มี คือ ภิกษุไม่ต้องอาบัติ หรือว่าต้อง แต่ออกแล้ว.
   คำว่า พึงนิ่งอยู่ คือพึงนิ่ง ไม่ต้องพูด.
คำว่า ข้าพเจ้าจักทราบว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ คือจักรู้ จักทรงจำไว้.
   คำว่า ย่อมเป็นเหมือนการกล่าวแก้ เฉพาะรูปที่ถูกถามผู้เดียว ความว่า พึงรู้ในบริษัทนั้นว่า  ถามเรา ดังนี้  เหมือนภิกษุรูปหนึ่งถูกภิกษุอีกรูปหนึ่งถาม พึงแก้ฉะนั้น.
   บริษัทที่ชื่อว่า เห็นปานนี้ ตรัสเรียกภิกษุบริษัท. คำว่า การสวดประกาศกว่าจะครบ ๓ จบ ความว่า สวดประกาศแม้ครั้งที่หนึ่ง สวดประกาศแม้ครั้งที่สอง สวดประกาศแม้ครั้งที่สาม.
   บทว่า ระลึกได้ คือรู้ จำได้. อาบัติที่ชื่อว่า มีอยู่ คือภิกษุต้องอาบัติแล้ว หรือต้องแล้วยังมิได้ออก.
   คำว่า ไม่ยอมเปิดเผย ความว่า ไม่ยอมแสดง ไม่ยอมเปิดเผย ไม่ยอมทำให้ตื้น ไม่ยอมประกาศในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางคณะ หรือในบุคคลผู้หนึ่ง.
   คำว่า สัมปชานมุสาวาท ย่อมมีแก่ภิกษุรูปนั้น คือ สัมปชานมุสาวาท เป็นอะไร? เป็นอาบัติทุกกฏ.
   คำว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เป็นธรรมอันตราย ความว่าเป็นธรรมทำอันตรายแก่อะไร?
   เป็นธรรม ทำอันตรายแก่การบรรลุปฐมฌาน เป็นธรรม ทำอันตรายแก่การบรรลุทุติยฌาน เป็นธรรม ทำอันตรายแก่การบรรลุตติยฌาน เป็นธรรม ทำอันตรายแก่การบรรลุจตุตถฌาน เป็นธรรม  ทำอันตรายแก่การบรรลุฌาน วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ เนกขัมมะ นิสสรณะ ปวิเวก กุศลธรรม.
   บทว่า เพราะฉะนั้น คือ เพราะเหตุดังนั้น.
   บทว่า ระลึกได้ คือรู้ จำได้.
   บทว่า หวังความบริสุทธิ์ คือประสงค์เพื่อออกจากอาบัติ ประสงค์เพื่อความหมดจด. อาบัติที่ชื่อว่า มีอยู่ คือภิกษุต้องอาบัติแล้ว หรือต้องแล้วยังมิได้ออก.
   คำว่า พึงเปิดเผย ความว่า พึงทำให้แจ้งในท่ามกลางสงฆ์ ท่ามกลางคณะ หรือในบุคคลผู้หนึ่ง.
คำว่า เพราะเปิดเผยอาบัติแล้ว ความผาสุกย่อมมีแก่เธอ ความว่า ความผาสุกมี เพื่ออะไร?  ความผาสุกมีเพื่อบรรลุปฐมฌาน ความผาสุกมีเพื่อบรรลุทุติยฌาน ความผาสุกมีเพื่อบรรลุตติยฌาน ความผาสุกมีเพื่อบรรลุจตุตถฌาน ความผาสุกมีเพื่อบรรลุฌาน  วิโมกข์ สมาธิ สมาบัติ เนกขัมมะ นิสสรณะ ปวิเวก กุศลธรรม.
สวดปาติโมกข์ในวันอุโบสถ
   [๑๕๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสวดปาติโมกข์แล้ว จึงสวดปาติโมกข์ทุกวัน. ภิกษุทั้งหลายพากันกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ทุกวัน รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ในวันอุโบสถ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายทราบว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการสวดปาติโมกข์ในวันอุโบสถแล้ว จึงสวดปาติโมกข์ปักษ์ละ ๓ ครั้ง คือ ในวัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ และวัน ๘ ค่ำ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์ปักษ์ละ ๓ ครั้ง รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้สวดปาติโมกข์ ปักษ์ละ ๑ ครั้ง คือ ในวัน ๑๔ ค่ำ หรือวัน ๑๕ ค่ำ
เรื่องพระฉัพพัคคีย์สวดปาติโมกข์
   [๑๕๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์สวดปาติโมกข์แก่บริษัทเท่าที่มีอยู่ คือเฉพาะบริษัทของตนๆ 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงสวดปาติโมกข์แก่บริษัทเท่าที่มีอยู่ คือเฉพาะบริษัทของตนๆ รูปใดสวด ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอุโบสถกรรมแก่ภิกษุทั้งหลาย ผู้พร้อมเพรียงกัน.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติอุโบสถกรรมแก่ภิกษุทั้งหลายผู้พร้อมเพรียงกัน ดังนี้ แล้วมีความดำริต่อไปว่า ความพร้อมเพรียงมีเพียงเท่าไรหนอแล มีเพียงอาวาสหนึ่ง หรือทั่วทั้งแผ่นดิน แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.    พระผู้มีพระภาค
   รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตความพร้อมเพรียง เพียงชั่วอาวาสเดียวเท่านั้น.
เรื่องพระมหากัปปินเถระดำริจะไม่ทำอุโบสถ
   [๑๕๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะพักอยู่ ณ มัททกุจฉิมฤคทายวัน เขตพระนครราชคฤห์.
   คราวหนึ่ง ท่านไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราควรไปทำอุโบสถ หรือไม่ควรไป ควรไปทำสังฆกรรม หรือไม่ควรไป โดยที่แท้เราเป็นผู้หมดจดแล้วด้วยความหมดจดอย่างยิ่ง. 
   ทีนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งจิตของท่านพระมหากัปปินะด้วยพระทัยของพระองค์ 
   แล้วได้ทรงหายพระองค์ไปในคิชฌกูฏบรรพตมาปรากฏอยู่ตรงหน้าท่านพระมหากัปปินะ ณ มัททกุจฉิมฤคทายวัน เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียดฉะนั้น แล้วพระองค์ประทับนั่งเหนือพุทธอาสนะที่เขาจัดถวาย. ฝ่ายท่านพระมหากัปปินะถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. พระผู้มีพระภาค
   จึงได้ตรัสคำนี้กะท่านพระมหากัปปินะผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่า ดูกรกัปปินะ เธอไปในที่สงัด หลีกเร้นอยู่ ได้มีความปริวิตกแห่งจิตเกิดขึ้นอย่างนี้ว่า เราควรไปทำอุโบสถ หรือไม่ควรไป ควรไปทำสังฆกรรม หรือไม่ควรไป โดยที่แท้ เราเป็นผู้หมดจดแล้วด้วยความหมดจดอย่างยิ่ง ดังนี้มิใช่หรือ?
ท่านพระมหากัปปินะทูลรับว่า เป็นอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ทั้งหลาย ถ้าพวกเธอไม่สักการะ ไม่เคารพ ไม่นับถือ ไม่บูชา ซึ่งอุโบสถ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใครเล่าจักสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ซึ่งอุโบสถ
   ดูกรพราหมณ์ เธอจงไปทำอุโบสถ จะไม่ไปไม่ได้ จงไปทำสังฆกรรม จะไม่ไปไม่ได้. ท่านพระมหากัปปินะรับสนองพระพุทธพจน์ว่า อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ท่านพระมหากัปปินะเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา แล้วได้ทรงหายพระองค์ไปในที่ตรงหน้าท่านพระมหากัปปินะ ณ มัททกุจฉิมฤคทายวัน มาปรากฏ ณ คิชฌกูฏบรรพต โดยรวดเร็ว เปรียบเหมือนบุรุษมีกำลัง เหยียดแขนที่คู้ หรือคู้แขนที่เหยียด ฉะนั้น.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ อุโปสถขันธกะ
เรื่องปริพาชกอัญญเดียรถีย์ เป็นต้น

อรรถกถาวินิจฉัยในอุโบสถขันธกะ
   ในบทว่า อญฺญติตฺถิยา นี้ มีวิเคราะห์ว่า ลัทธิ ท่านเรียกให้ชื่อว่าติตถะ แปลว่าท่า ท่าอื่นชื่ออัญญติตถะ, ท่าอื่นของชนเหล่านั้นมีอยู่ เหตุนั้น ชนเหล่านั้นจึงชื่อว่า อัญญเดียรถีย์. มีคำอธิบายว่า ผู้มีลัทธิอื่นจากลัทธิในศาสนานี้. 
   สองบทว่า ธมฺมํ ภาสนฺติ มีความว่า ย่อมชี้แจงถึงสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำของเหล่าอัญญเดียรถีย์นั้น. 
   สองบทว่า เต ลภนฺติ คือ มนุษย์เหล่านั้นย่อมได้. 
   บทว่า มูคสูกรา คือ เหมือน สุกรตัวอ้วน. 
   ในข้อว่า อนชฺฌาปนฺโน วา โหติ อาปชฺชิตฺวา วาวุฏฺฐิโต นี้ พึงทราบเนื้อความอย่างนี้ว่า ภิกษุไม่ต้องอาบัติใด หรือต้องแล้ว แต่ออกแล้ว อาบัตินี้ชื่อว่า อาบัติไม่มี. 
   ข้อว่า สมฺปชานมุสาวาโท กึ โหติ มีความว่า สัมปชานมุสาวาทที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า สัมปชานมุสาวาทย่อมมีแก่ภิกษุนั้น นี้ว่าโดยอาบัติเป็นอาบัติอะไร? คือ เป็นอาบัติชนิดไหน? 
   ข้อว่า ทุกฺกฏํ โหติ คือเป็นอาบัติทุกกฎ. 
   ก็อาบัติทุกกฎนั้นแล ผู้ศึกษาอย่าพึงเข้าใจว่า เป็นอาบัติตามลักษณะแห่งมุสาวาท แต่ควรทราบว่า เป็นอาบัติมีการไม่ทำในวจีทวารเป็นสมุฏฐาน ตามพระวาจาของพระผู้มีพระภาคเจ้า 
   อันที่จริงพระอุบาลีเถระก็ได้กล่าวว่า ภิกษุไม่บอกด้วยวาจากับมนุษย์ไรๆ (ผู้อยู่ใกล้) และไม่เอิ้นบอกกะชนเหล่าอื่น (ผู้อยู่ห่าง) แต่ต้องอาบัติมีวาจาเป็นสมุฏฐาน หาต้องอาบัติมีกายเป็นสมุฏฐานไม่ ปัญหาข้อนี้ผู้ฉลาดทั้งหลายคิดกันนัก. 
   บทว่า อนฺตรายิโก คือ ทำอันตราย. 
   ข้อว่า กิสฺส ผาสุ โหติ มีความว่า ความสำราญย่อมมีเพื่อประโยชน์อะไร? 
   ข้อว่า ปฐมสฺส ฌานสฺส อธิคมาย มีความว่า ความสำราญย่อมมี คือความสุขย่อมมี แก่ภิกษุนั้น เพื่อประโยชน์แก่ความบรรลุปฐมฌาน. 
   นัยในคุณวิเศษทั้งปวงมีทุติยฌานเป็นต้น ก็เหมือนกัน. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงปาติโมกขุทเทสครั้งแรก ทั้งอุทเทสทั้งนิทเทส ด้วยประการฉะนี้. 
   บทว่า เทวสิกํ ได้แก่ ทุกๆ วัน 
   หลายบทว่า จาตุทฺทเส วา ปณฺณรเส วา มีความว่า ในวันจาตุทฺทเส ๒ ครั้ง ในปักษ์ที่ ๓ และที่ ๗ แห่งฤดูอันหนึ่ง. ในวันปัณณรสี ๖ ครั้ง ในปักษ์ที่เหลือ จากนั้น อันนี้เป็นอรรถอันหนึ่งก่อน. 
   และอรรถนี้กล่าวด้วยมุ่งเอาจิตตามปกติ. 
   แต่เมื่อปัจจัยเห็นปานนั้นมี ก็สมควรจะสวดในวันจาตุททสีหรือวันปัณณรสี วันใดวันหนึ่งก็ได้ ตามพระบาลีว่า สกึ ปกฺขสฺส จาตุทฺทเส วา ปณฺณรเส วา. 
   ก็เนื้อความนี้ บัณฑิตพึงทราบแม้โดยพระบาลีว่า อุโบสถของภิกษุทั้งหลายผู้เจ้าถิ่นเป็นวันจาตุททสี, อุโบสถของภิกษุทั้งหลายผู้อาคันตุกะเป็นวันปัณณรสี, ถ้าภิกษุผู้เจ้าถิ่นมากกว่าภิกษุผู้อาคันตุกะต้องคล้อยตามภิกษุผู้เจ้าถิ่น.๑- 
๑- มหาวคฺค ปฐม. ๒๖๑.
อรรถกถาวินิจฉัยในอุโบสถขันธกะ จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ พระพุทธานุญาตให้บอกนิสสัย ๔ เรื่องภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียเป็นต้น

search-google ทำบุญ 
 [๑๔๓] ทันใดนั้นแหละ พึงวัดเงา พึงบอกประมาณแห่งฤดู พึงบอกส่วนแห่งวัน พึงบอกสังคีติ พึงบอกนิสสัย ๔ ว่าดังนี้:-
   ๑. บรรพชาอาศัยโภชนะ คือคำข้าวอันหาได้ด้วยกำลังปลีแข้ง<i>เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจน</i>ตลอดชีวิต. อติเรกลาภ คือภัตถวายสงฆ์ ภัตเฉพาะสงฆ์ การนิมนต์ ภัตถวายตามสลาก ภัตถวายในปักษ์ ภัตถวายในวันอุโบสถ ภัตถวายในวันปาฏิบท.
   ๒. บรรพชาอาศัยบังสุกุลจีวร เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภคือผ้าเปลือกไม้ ผ้าฝ้าย ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าป่าน ผ้าแกมกัน.
   ๓. บรรพชาอาศัยโคนต้นไม้เป็นเสนาสนะ เธอพึงอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภ คือวิหาร เรือนมุงแถบเดียว เรือนชั้น เรือนโล้น ถ้ำ.
   ๔. บรรพชาอาศัยมูตรเน่าเป็นยา เธอพึงทำอุตสาหะในข้อนั้นจนตลอดชีวิต. อติเรกลาภคือเนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย.   นิสสัย ๔ จบ.
อกรณียกิจ ๔
   [๑๔๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทภิกษุรูปหนึ่งแล้ว ทิ้งไว้แต่ลำพังแล้วหลีกไป. เธอเดินมาทีหลังแต่รูปเดียว ได้พบภรรยาเก่าเข้า ณ ระหว่างทาง.
   นางได้ถามว่า เวลานี้ท่านบวชแล้วหรือ?
   ภิกษุนั้นตอบว่า จ้ะ ฉันบวชแล้ว.   นางจึงพูดชวนว่า เมถุนธรรมพวกบรรพชิตหาได้ยาก นิมนต์ท่านมาเสพเมถุนธรรม.
ภิกษุนั้นได้เสพเมถุนธรรมในนางแล้ว ได้ไปถึงทีหลังช้าไป.
ภิกษุทั้งหลายถามว่าอาวุโส ท่านมัวทำอะไรชักช้าเช่นนี้.? 
   เธอได้แจ้งเรื่องนั้นแก่ภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระพุทธานุญาตให้บอกอกรณียกิจ ๔
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น 
   แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบทแล้วให้ภิกษุอยู่เป็นเพื่อน และให้บอกอกรณียกิจ ๔ ดังต่อไปนี้:-
   ๑. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงเสพเมถุนธรรม โดยที่สุดแม้ในสัตว์ดิรัจฉานตัวเมีย. ภิกษุใดเสพเมถุนธรรม 
ไม่เป็นสมณะ   ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร. 
   <i>เปรียบเหมือนบุรุษ ถูกตัดศีรษะแล้ว</i> ไม่อาจจะมีสรีระคุมกันนั้นเป็นอยู่ ภิกษุก็เหมือนกัน  เสพเมถุนธรรมแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร. การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
   ๒. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย โดยที่สุดหมายเอาถึงเส้นหญ้า. ภิกษุใดถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ 
   ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
   เปรียบเหมือนใบไม้เหลืองหล่นจากขั้วแล้วไม่อาจจะเป็นของเขียวสด. ภิกษุก็เหมือนกัน ถือเอาของอันเขาไม่ได้ให้ เป็นส่วนขโมย ได้ราคาบาทหนึ่งก็ดี ควรแก่ราคาบาทหนึ่งก็ดี เกินบาทหนึ่งก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
   การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
   ๓. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงแกล้งพรากสัตว์จากชีวิต โดยที่สุดหมายเอาถึงมดดำมดแดง. ภิกษุใดแกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิต โดยที่สุดหมายเอาถึงยังครรภ์ให้ตก ไม่เป็นสมณะ   ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
   เปรียบเหมือนศิลาหนาแตกสองเสี่ยงแล้วเป็นของกลับต่อกันไม่ได้. ภิกษุก็เหมือนกัน แกล้งพรากกายมนุษย์จากชีวิตแล้ว ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร. การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.
   ๔. อันภิกษุผู้อุปสมบทแล้ว ไม่พึงพูดอวดอุตตริมนุสสธรรม โดยที่สุดว่า เรายินดียิ่งในเรือนว่างเปล่า.
   ภิกษุใดมีความปรารถนาลามก  อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่จริง คือฌานก็ดี วิโมกข์ก็ดี สมาธิก็ดี สมาบัติก็ดี มรรคก็ดี ผลก็ดี ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
   เปรียบเหมือนต้นตาลมียอดด้วนแล้ว ไม่อาจจะงอกอีก ภิกษุก็เหมือนกัน มีความปรารถนาลามก อันความปรารถนาลามกครอบงำแล้ว พูดอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีอยู่ อันไม่เป็นจริง ไม่เป็นสมณะ ไม่เป็นเชื้อสายพระศากยบุตร.
   การนั้น เธอไม่พึงทำตลอดชีวิต.   อกรณียกิจ ๔ จบ.
เรื่องภิกษุผู้ถูกสงฺฆ์ยกเสีย เป็นต้น
   [๑๔๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งถูกสงฆ์ยกเสีย ฐานไม่เห็นอาบัติ ได้สึกแล้ว. เขากลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงวิธีปฏิบัติ ดังนี้:-
วิธีปฏิบัติในภิกษุผู้ถูกยกเสีย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ สึกไป. เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักเห็นอาบัตินั้นหรือ?
   ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงให้บรรพชา ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงให้บรรพชา.
   ครั้นให้บรรพชาแล้ว พึงถามว่า เจ้าจักเห็นอาบัตินั้นหรือ? ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงให้อุปสมบท.
   ครั้นให้อุปสมบทแล้ว พึงถามว่า ท่านจักเห็นอาบัตินั้นหรือ? ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักเห็นขอรับ พึงเรียกเข้าหมู่ ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่เห็นขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่.
ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงถามว่า ท่านเห็นอาบัตินั้นหรือ?
   ถ้าเห็น การเห็นได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่เห็น
   เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ยอมทำคืนอาบัติ สึกไป.
   เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก. 
   พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ? 
   ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักทำคืนขอรับ  พึงให้บรรพชา,
   ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืน ไม่พึงให้บรรพชา. ครั้นให้บรรพชาแล้ว พึงถามว่า เจ้าจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ?
   ถ้าเขาตอบว่า  กระผมจักทำคืนขอรับ  พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืนขอรับไม่พึงให้อุปสมบท. ครั้นให้อุปสมบทแล้ว พึงถามว่าท่านจักทำคืนอาบัตินั้นหรือ?
   ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักทำคืนขอรับ พึงเรียกเข้าหมู่, ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่ทำคืนขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่. ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงกล่าวว่า จงยอมทำคืนอาบัตินั้นเสีย. 
   ถ้าเธอยอมทำคืน การทำคืนได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ยอมทำคืน เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ก็ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ยอมสละทิฏฐิบาป สึกไป.
   เธอกลับมาขออุปสมบทต่อภิกษุทั้งหลายอีก.   พึงสอบถามเขาเช่นนี้ว่า เจ้าจักยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ?
   ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักยอมสละคืนขอรับ  พึงให้บรรพชา, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงให้บรรพชา. ครั้นให้บรรพชาแล้ว
     พึงถามว่า เจ้าจักยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ?
   ถ้าเขาตอบว่า  กระผมจักยอมสละคืนขอรับ พึงให้อุปสมบท, ถ้าเขาตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงให้อุปสมบท. ครั้นให้อุปสมบทแล้ว
      พึงถามว่า ท่านยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้นหรือ? 
   ถ้าเธอตอบว่า  กระผมจักยอมสละคืนขอรับพึงเรียกเข้าหมู่,   ถ้าเธอตอบว่า กระผมจักไม่ยอมสละคืนขอรับ ไม่พึงเรียกเข้าหมู่.
   ครั้นเรียกเข้าหมู่แล้ว พึงกล่าวว่า จงยอมสละคืนทิฏฐิบาปนั้น. ถ้าเธอยอมสละคืน การยอมสละคืนได้อย่างนี้ นั่นเป็นการดี ถ้าไม่ยอมสละคืน เมื่อได้สามัคคี พึงยกเสียอีก เมื่อไม่ได้สามัคคี ไม่เป็นอาบัติในเพราะสมโภคและอยู่ร่วมกัน.
วิธีปฏิบัติในภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสีย จบ.
มหาขันธกะที่ ๑ จบ.
อุปสมบท - กรรม

[๑๔๖] พระวินัยมีประโยชน์มาก คือ นำมาซึ่ง
ความสุขแก่พวกภิกษุ
   ผู้มีศีลเป็นที่รัก ข่มพวกที่มีความปรารถนาลามก ยกย่องพวกที่มีความละอายและทรงไว้ซึ่งพระศาสนา เป็นอารมณ์
   ของพระสัพพัญญชินเจ้า 
   ไม่เป็นวิสัยของพวกอื่น เป็นแดนเกษม อันพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว ไม่มีข้อที่น่าสงสัย ภิกษุผู้ฉลาดในขันธกะ วินัย บริวาร และมาติกาปฏิบัติด้วยปัญญาอันหลักแหลม  
   ชื่อว่าผู้ทำประโยชน์อันควร.
ชนใดไม่รู้จักโค ชนนั้นย่อมรักษาฝูงโคไม่ได้ฉันใด 
ภิกษุก็ฉันนั้น เมื่อไม่รู้จักศีล ไฉนเธอจะพึงรักษาสังวรไว้ได้.
   เมื่อพระสุตตันตะ และพระอภิธรรมเลอะเลือนไปก่อน แต่พระวินัยยังไม่เสื่อมสูญ พระศาสนาชื่อว่า ยังตั้งอยู่ต่อไป.
   เพราะเหตุแห่งการสังคายนานั้น 
   ข้าพเจ้าจักประมวลกล่าวโดยลำดับตามความรู้ 
ขอท่านทั้งหลายจงฟัง
   ข้าพเจ้ากล่าวเพื่อจะมิให้ข้อที่ทำได้ยาก 
   คือวัตถุ นิทาน อาบัติ นัยและเปยยาลเหลือลง ขอท่านทั้งหลาย จงทราบข้อนั้นโดยนัยเถิด
   เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิ์ เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้อชปาลนิโครธ เรื่องประทับอยู่ ณ ควงไม้ราชายตนพฤกษ์ เรื่องท้าวสหัมบดีพรหม เรื่องฤาษีอาฬาระ เรื่องฤาษีอุททกะ
   เรื่องอุปกาชีวก เรื่องภิกษุปัญจวัคคีย์ คือ โกณฑัญญะ วัปปะภัททิยะ มหานามะ อัสสชิ เรื่องยสกุลบุตร 
   เรื่องสหาย๔ คน เรื่องสหาย ๕๐ คน 
   เรื่องส่งพระอรหันต์ทั้งหมดไปในทิศต่างๆ 
   เรื่องมาร ๒ เรื่อง เรื่องภัททวัคคีย์กุมาร ๓๐
   เรื่องชฎิล ๓ พี่น้อง มีอุรุเวลกัสสปเป็นต้น
    เรื่องโรงบูชาไฟ 
   เรื่องท้าวมหาราช เรื่องท้าวสักกะ เรื่องท้าวมหาพรหม เรื่องประชาชนชาวอังคะ มคธะทั้งหมด เรื่องทรงชักผ้าบังสุกุล 
เรื่องสระโบกขรณี เรื่องศิลา เรื่องต้นกุ่ม 
เรื่องผึ่งผ้าบังสุกุลที่แผ่นศิลา เรื่องไม้หว้า เรื่องไม้มะม่วง 
   เรื่องไม้มะขามป้อม เรื่องทรงเก็บดอกไม้ปาริฉัตตกะ เรื่องชฎิลพวกอุรุเวลกัสสปผ่าฟืน เรื่องติดไฟ เรื่องดับไฟ เรื่องดำน้ำ 
   เรื่องกองไฟ เรื่องฝนตก เรื่องแม่น้ำคยา 
   เรื่องสวนตาลหนุ่ม เรื่องพระเจ้าแผ่นดินมคธ
   เรื่องอุปติสสะและโกลิตะ เรื่องกุลบุตรที่มีชื่อเสียงบวช
   เรื่องภิกษุนุ่งห่มไม่เรียบร้อย เรื่องประณาม 
   เรื่องพราหมณ์ซูบผอมหม่นหมอง เรื่องประพฤติอนาจาร เรื่องบวชเห็นแก่ท้อง เรื่องมาณพ เรื่องให้อุปสมบทด้วยคณะ 
เรื่องอุปัชฌายะมีพรรษาเดียวให้กุลบุตรบวช เรื่องอุปัชฌายะเขลา เรื่องอุปัชฌายะหลีกไป เรื่องถือนิสสัยกะอาจารย์มีพรรษา ๑๐ เรื่องอันเตวาสิกไม่ประพฤติชอบ เรื่องทรงอนุญาตให้ประณาม 
เรื่องอาจารย์เขลาให้นิสสัย เรื่องนิสสัยระงับ 
เรื่องภิกษุประกอบด้วยองค์ ๕ เรื่องภิกษุประกอบด้วยองค์ ๖ 
   เรื่องภิกษุเคยเป็นอัญญเดียรถีย์ เรื่องชีเปลือย เรื่องไม่โกนผม เรื่องชฎิลบูชาไฟ เรื่องอัญญเดียรถีย์ที่เป็นศากยะบวช 
   เรื่องอาพาธ ๕ อย่าง ในมคธรัฐ เรื่องราชภัฏบวช เรื่ององคุลิมาลโจร เรื่องพระเจ้าแผ่นดินมคธมีพระบรมราชานุญาตไว้ 
   เรื่องห้ามบวชนักโทษหนีเรือนจำ เรื่องห้ามบวชนักโทษที่ออกหมายสั่งจับ  เรื่องห้ามบวชคนถูก เฆี่ยนมีรอยหวายติดตัว เรื่องห้ามบวชคนถูกอาญาสักหมายโทษ เรื่องห้ามบวชคนมีหนี้สิน 
   เรื่องห้ามบวชทาส เรื่องบุตรชายช่างทอง 
   เรื่องเด็กชายอุบาลี เรื่องอหิวาตกโรค 
เรื่องตระกูลมีศรัทธา เรื่องสามเณรกัณฏกะ เรื่องทิศคับแคบ เรื่องถือนิสสัย เรื่องเด็กบรรพชา เรื่องสิกขาบทของสามเณร 
เรื่องสามเณรไม่เคารพภิกษุ เรื่องคำนึงว่าจะลงทัณฑกรรมอย่างไรหนอ เรื่องลงทัณฑกรรม คือห้ามสังฆารามทุกแห่ง เรื่องห้ามปาก
เรื่องไม่บอกพระอุปัชฌายะ เรื่องเกลี้ยกล่อมสามเณรไว้ใช้
   เรื่องสามเณรกัณฏกะ เรื่องห้ามอุปสมบทบัณเฑาะก์ คนลักเพศ เรื่องห้ามอุปสมบทคนเข้ารีตเดียรถีย์
   เรื่องห้ามอุปสมบทนาค คนฆ่ามารดา คนฆ่าบิดา คนฆ่าพระอรหันต์ คนทำร้ายภิกษุณี ภิกษุผู้ทำสังฆเภท คนทำร้ายพระพุทธเจ้าจนถึงห้อพระโลหิต อุภโตพยัญชนก
   เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีอุปัชฌายะ
   คนมีสงฆ์เป็นอุปัชฌายะ คนมีคณะเป็นอุปัชฌายะ คนมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌายะ เรื่องห้ามอุปสมบทคนไม่มีบาตร คนไม่มีจีวร คนไม่มีบาตร จีวรทั้งสองอย่าง เรื่องห้ามอุปสมบทคนยืมบาตรยืมจีวร ยืมทั้งบาตรจีวร รวม ๓ เรื่อง 
   เรื่องห้ามบรรพชาคนมือด้วน
   ห้ามบรรพชาคนเท้าด้วน ห้ามบรรพชาคนมือเท้าด้วน 
   ห้ามบรรพชาคนหูขาด ห้ามบรรพชาคนจมูกขาด ห้ามบรรพชาคนทั้งหูและจมูกขาด ห้ามบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ห้ามบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด ห้ามบรรพชาคนเอ็นขาด
   ห้ามบรรพชาคนมือเป็นแผ่น ห้ามบรรพชาคนค่อม 
   ห้ามบรรพชาคนเตี้ย ห้ามบรรพชาคนคอพอก 
   ห้ามบรรพชาคนถูกลงอาญาสักหมายโทษ ห้ามบรรพชาคนถูกเฆี่ยนมีรอยหวายติดตัว ห้ามบรรพชาคนมีหมายประกาศจับ ห้ามบรรพชาคนเท้าปุก ห้ามบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ห้ามบรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ห้ามบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว 
   ห้ามบรรพชาคนง่อย ห้ามบรรพชาคนกระจอก ห้ามบรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ห้ามบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ห้ามบรรพชาคนแก่ ห้ามบรรพชาคนตาบอด ๒ ข้าง ห้ามบรรพชาคนใบ้
   ห้ามบรรพชาคนหูหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ห้ามบรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก 
   เรื่องให้นิสสัยแก่อลัชชี เรื่องถือนิสสัยต่ออลัชชี 
   เรื่องเดินทางไกล เรื่องขอร้อง เรื่องพิจารณา 
   เรื่องจงมาสวด เรื่องแย่งกันอุปสมบทก่อน 
เรื่องอุปสมบทมีอุปัชฌายะองค์เดียว เรื่องพระกุมารกัสสป
   เรื่องอุปสัมบันปรากฏถูกโรคเบียดเบียน
   เรื่องอุปสัมปทาเปกขะยังมิได้สอนซ้อมสะทกสะท้าน 
   เรื่องสอนซ้อมในท่ามกลางสงฆ์นั้นแหละ เรื่องห้ามภิกษุเขลาสอนซ้อม เรื่องห้ามภิกษุยังไม่ได้รับสมมติสอนซ้อม เรื่องผู้สอนซ้อมกับอุปสัมปทาเปกขะมาพร้อมกัน เรื่องขอจงยกขึ้น
   เรื่องญัตติจตุตถกรรมอุปสัมปทา เรื่องบอกนิสสัย เรื่องละอุปสัมบันไว้แต่ลำพัง เรื่องภิกษุถูกสงฆ์ยกเสีย ๓ เรื่อง.
รวมเรื่องในขันธกะนี้ ๑๗๒ เรื่อง.
หัวข้อเรื่องในมหาขันธกะ จบ.

01 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ อุปสมบทกรรม สวดอุปสัมปทาเปกขะระบุโคตร อุปสมบทคู่ สวดถามอันตรายิกธรรม ๑๓ ข้อ อันตรายิกธรรม คำบอกบาตรจีวร

search-google ทำบุญ 
สวดอุปสัมปทาเปกขะระบุโคตร
   [๑๓๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมีอุปสัมปทาเปกขะ และท่านส่งทูตไปในสำนักท่านพระอานนท์ว่า 
   ท่านอานนท์จงมาสวดอุปสัมปทาเปกขะนี้. 
   ท่านพระอานนท์ตอบไปอย่างนี้ว่า เกล้ากระผม ไม่สามารถจะระบุนามของพระเถระได้ เพราะพระเถระเป็นที่เคารพของเกล้ากระผม. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สวดระบุโคตรได้.
อุปสมบทคู่
   [๑๔๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระมหากัสสปมีอุปสัมปทาเปกขะอยู่ ๒ คน. เธอทั้งสองแก่งแย่งกันว่า เราจักอุปสมบทก่อน เราจักอุปสมบทก่อน. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำอุปสัมปทาเปกขะ ๒ รูปในอนุสาวนาเดียวกัน.
อุปสมบทคราวละ ๓ คน
   สมัยต่อมา พระเถระหลายรูปต่างมีอุปสัมปทาเปกขะหลายคนด้วยกัน. พวกเธอ<i>ต่างแก่งแย่ง</i>กันว่า เราจักอุปสมบทก่อน เราจักอุปสมบทก่อน. พระเถระทั้งหลายจึงตัดสินว่า เอาเถอะ พวกเราจะทำอุปสัมปทาเปกขะทุกคนในอนุสาวนาเดียวกัน. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ทำอุปสัมปทาเปกขะ ในอนุสาวนาเดียวกันคราวละ ๒ รูป ๓ รูป แต่การสวดนั้นแล ต้องมีอุปัชฌาย์รูปเดียวกัน จะมีอุปัชฌาย์ต่างกันไม่ได้เป็นอันขาด.
   นับอายุ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์
พระกุมารกัสสปเป็นตัวอย่าง
   [๑๔๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระกุมารกัสสปมีอายุครบ ๒๐ ปีทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้ อุปสมบท. ต่อมาท่านได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า บุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปี ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ก็เรามีอายุครบ ๒๐ ทั้งอยู่ในครรภ์ จึงได้อุปสมบท จะเป็นอันอุปสมบทหรือไม่หนอ. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จิตดวงแรกใดเกิดแล้วในอุทรมารดา <i>วิญญาณดวงแรก</i>ปรากฏแล้ว อาศัยจิตดวงแรก วิญญาณดวงแรกนั้นนั่นแหละเป็นความเกิดของสัตว์นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อุปสมบทกุลบุตรมีอายุครบ ๒๐ ปี ทั้งอยู่ในครรภ์.
สวดถามอันตรายิกธรรม ๑๓ ข้อ
   [๑๔๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พวกกุลบุตรที่อุปสมบทแล้วปรากฏเป็นโรคเรื้อนก็มี <i>เป็นฝีก็มี</i> เป็นโรคกลากก็มี เป็นโรคมองคร่อก็มี เป็นโรคลมบ้าหมูก็มี. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ให้อุปสมบท ถามอันตรายิกธรรม ๑๓ ข้อ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงถามอุปสัมปทาเปกขะอย่างนี้:-
อันตรายิกธรรม
   อาพาธเห็นปานนี้ของเจ้ามีหรือ? คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู? เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดา บิดา อนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร?
สอนซ้อมก่อนถามอันตรายิกธรรม
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายถามอันตรายิกธรรมกะพวกอุปสัมปทาเปกขะ ที่ยังมิได้สอนซ้อม.  พวกอุปสัมปทาเปกขะย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน ไม่อาจจะตอบได้. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอนซ้อมก่อน แล้วจึงถามอันตรายิกธรรมทีหลัง.
   ภิกษุทั้งหลายสอนซ้อมในท่ามกลางสงฆ์นั้นนั่นแหละ.
   พวกอุปสัมปทาเปกขะย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้เหมือนอย่างเดิม.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สอนซ้อม ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วจึงถามอันตรายิกธรรมในท่ามกลางสงฆ์. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสอนซ้อมอุปสัมปทาเปกขะอย่างนี้:-
คำบอกบาตร จีวร
   พึงให้อุปสัมปทาเปกขะถืออุปัชฌาย์ก่อน ครั้นแล้วพึงบอกบาตรจีวรว่า นี้บาตรของเจ้า นี้ผ้าทาบของเจ้า นี้ผ้าห่มของเจ้า นี้ผ้านุ่งของเจ้า เจ้าจงไปยืน ณ โอกาสโน้น. ภิกษุทั้งหลายที่เขลา  ไม่ฉลาด ย่อมสอนซ้อม เหล่าอุปสัมปทาเปกขะที่ถูกสอนซ้อมไม่ดี ย่อมสะทกสะท้าน เก้อเขิน ไม่อาจตอบได้. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้เขลา  ไม่ฉลาด ไม่พึงสอนซ้อม รูปใดสอนซ้อม ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ สอนซ้อม.
   บรรดาภิกษุผู้ที่ยังไม่ได้รับสมมติ ย่อมสอนซ้อม. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุที่ยังไม่ได้รับสมมติ  ไม่พึงสอนซ้อม รูปใดสอนซ้อม ต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุที่ได้รับสมมติแล้วสอนซ้อม.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลพึงสมมติดังต่อไปนี้:-
วิธีสมมติภิกษุเป็นผู้สอนซ้อม
   ตนเองพึงสมมติตนก็ได้ หรือภิกษุรูปอื่น พึงสมมติภิกษุอื่นก็ได้. อย่างไรเล่า ตนเองพึงสมมติตนเอง?
 คือ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- 
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  
   ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้.
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว
ข้าพเจ้าพึงสอนซ้อมผู้มีชื่อนี้.
   อย่างนี้ ชื่อว่าตนเองสมมติตนเอง.
   อย่างไรเล่า ภิกษุรูปอื่น พึงสมมติภิกษุรูปอื่น? คือ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว ท่านผู้มีชื่อนี้พึงสอนซ้อมผู้มีชื่อนี้.
         อย่างนี้ ชื่อว่าภิกษุรูปอื่นสมมติภิกษุรูปอื่น.
   ภิกษุผู้ได้รับสมมติแล้วนั้น พึงเข้าไปหาอุปสัมปทาเปกขะ แล้วกล่าวอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำสอนซ้อมอันตรายิกธรรม
   แน่ะผู้มีชื่อนี้ เจ้าฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์ กาลจริงของเจ้า เมื่อท่านถามในท่ามกลางสงฆ์ถึงสิ่งอันเกิดแล้ว มีอยู่ พึงบอกว่า ไม่มี พึงบอกว่าไม่มี เจ้าอย่าสะทกสะท้านแล้วแล เจ้าอย่าได้เป็นผู้เก้อแล้วแล ภิกษุทั้งหลายจักถามเจ้าอย่างนี้
   อาพาธเห็นปานนี้ของเจ้ามีหรือ? คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู? เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือ มิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร?
   ภิกษุผู้สอนซ้อมกับอุปสัมปทาเปกขะเดินมาด้วยกัน แต่ทั้งสองไม่พึงเดินมาพร้อมกัน คือ ภิกษุผู้สอนซ้อมต้องมาก่อน แล้วประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
คำเรียกอุปสัมปทาเปกขะ เข้ามา
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้. ข้าพเจ้าสอนซ้อมเขาแล้ว. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. ขอผู้มีชื่อนี้พึงมา.
   พึงเรียกอุปสัมปทาเปกขะว่า เจ้าจงมา.
   พึงให้อุปสัมปทาเปกขะนั้นห่มผ้าเฉวียงบ่า ให้กราบเท้าภิกษุทั้งหลาย ให้นั่งกระหย่ง ให้ประคองอัญชลีแล้ว พึงให้ขออุปสมบทดังนี้:-
คำขออุปสมบท
   ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์  เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด  เจ้าข้า.   ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เป็นครั้งที่สอง เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด เจ้าข้า.   ข้าพเจ้าขออุปสมบทต่อสงฆ์ เป็นครั้งที่สาม เจ้าข้า ขอสงฆ์โปรดยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด เจ้าข้า.
คำสมมติตนเพื่อถามอันตรายิกธรรม
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา ว่าดังนี้:-   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้.
   ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. ข้าพเจ้าจะพึงถามอันตรายิกธรรมต่อผู้มีชื่อนี้ ดังนี้:-
   คำถามอันตรายิกธรรม แน่ะ ผู้มีชื่อนี้  เจ้าฟังนะ นี้เป็นกาลสัตย์ กาลจริงของเจ้า เราจะถามสิ่งที่เกิดแล้ว มีอยู่พึงบอกว่ามี ไม่มี พึงบอกว่าไม่มี อาพาธเห็นปานนี้ของเจ้ามีหรือ? คือ โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู? 
   เจ้าเป็นมนุษย์หรือ เป็นชายหรือ เป็นไทหรือ ไม่มีหนี้สินหรือมิใช่ราชภัฏหรือ มารดาบิดาอนุญาตแล้วหรือ มีปีครบ ๒๐ แล้วหรือ บาตรจีวรของเจ้ามีครบแล้วหรือ เจ้าชื่ออะไร อุปัชฌาย์ของเจ้าชื่ออะไร?
กรรมวาจาอุปสมบท
   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติจตุตถกรรมวาจา ว่าดังนี้:- ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย. บาตรจีวรของเขาครบแล้ว.
   ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว. สงฆ์พึงอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. นี้เป็นญัตติ.
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้ เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย. บาตรจีวรของเขาครบแล้ว. 
   ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สอง. ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย. 
   บาตรจีวรของเขาครบแล้ว. ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   ข้าพเจ้ากล่าวความนี้เป็นครั้งที่สาม. ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผู้มีชื่อนี้ผู้นี้เป็นอุปสัมปทาเปกขะของท่านผู้มีชื่อนี้ บริสุทธิ์แล้วจากอันตรายิกธรรมทั้งหลาย.
   บาตรจีวรของเขาครบแล้ว. ผู้มีชื่อนี้ขออุปสมบทต่อสงฆ์ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. สงฆ์อุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ. การอุปสมบทผู้มีชื่อนี้ มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด.
   ผู้มีชื่อนี้สงฆ์อุปสมบทแล้ว มีท่านผู้มีชื่อนี้เป็นอุปัชฌายะ ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ด้วยอย่างนี้.
อุปสมบทกรรม จบ.
อุปสมบท - กรรม

อรรถกถาเอกานุสสาวนากถา
   สองบทว่า โคตฺเตนปิอนุสฺสาเวตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุระบุโคตรสวดประกาศอย่างนี้ว่า ผู้มีชื่ออย่างนี้เพ่งอุปสมบทแก่พระมหากัสสปะ. 
   สองบทว่า เทฺว เอกานุสฺสาวเน มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุทำการสวดประกาศอุปสัมปทาเปกขะ ๒ คนรวมกันได้. อธิบายว่า เราอนุญาตให้อาจารย์ ๒ รูปอย่างนี้ 
   คือ อาจารย์รูป ๑ สำหรับอุปสัมปทาเปกขะคน ๑ อาจารย์อื่นสำหรับอุปสัมปทาเปกขะอีกคน ๑ หรืออาจารย์รูปเดียวสวดกรรมวาจาประกาศให้อุปสมบทในขณะเดียวกันได้. 
   คำว่า เทฺว เทฺว ตโย เอกานุสฺสาวเน กาตุตญฺจ โข เอเกน อุปชฺฌาเยน มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุทำการสวดประกาศชน ๒ คนหรือ ๓ คนรวมกันโดยนัยก่อนนั่นแล.
   และเราอนุญาตอนุสสาวนกิริยานั้นแลด้วยอุปัชฌาย์รูปเดียว. เพราะเหตุนั้น อุปสัมปทาเปกขะ ๒ คนหรือ ๓ คนอันอาจารย์รูปเดียว. พึงสวดประกาศ กรรมวาจา ๒ หรือ ๓ อันอาจารย์ ๒ รูปหรือ ๓ รูป พึงสวดด้วยลงมือพร้อมกันทีเดียวอย่างนี้ คือ อาจารย์รูป ๑ พึงสวดแก่อุปสัมปทาเปกขะรูป ๑ แยกๆ กันไป. 
   แต่ถ้าอาจารย์ก็ต่างรูป อุปัชฌาย์ก็ต่างรูปกัน คือพระติสสเถระสวดประกาศสัทธิวิหาริกของพระสุมนเถระ พระสุมนเถระสวดประกาศสัทธิวิหาริกของพระติสสเถระ และต่างเป็นคณปูรกะของกันและกัน อย่างนี้ควร. และถ้าอุปัชฌาย์ต่างรูปกัน 
   อาจารย์รูปเดียว อย่างนี้ชื่อว่าไม่ควร เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามไว้ว่า แต่เราไม่อนุญาตด้วยอุปัชฌาย์ต่างรูปกันเลย ดังนี้ จริงอยู่ การห้ามนี้หมายเอาคำบาลีนี้.
อรรถกถาอุปสัมปทายัตตวิธี
   พึงทราบวินิจฉัย ใน คำว่า ปฐมํ อุปชฺฌํ คาหาเปตพฺโพ นี้ต่อไป ภิกษุใดย่อมสอดส่องโทษและมิใช่โทษ เหตุนั้น 
   ภิกษุนั้นชื่ออุปัชฌาย์. อุปสัมปทาเปกขะนั้น อันภิกษุพึงให้ว่าถืออุปัชฌาย์นั้นอย่างนี้ว่า ขอท่านเป็นอุปัชฌาย์ของข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า.   บทว่า วิตฺถายนฺติ มีความว่า อุปสัมปทาเปกขะทั้งหลาย ย่อมเป็นผู้มีตัวแข็งทื่อ. สองบทว่า อุลฺลุมฺปตุ มํ 
   มีความว่า ขอสงฆ์ยกข้าพเจ้าขึ้นเถิด.
   ศัพท์ ตาวเทว มีความว่า ในเวลาติดต่อกับเวลาที่อุปสัมปทาเปกขะอุปสมบทแล้วทีเดียว. ข้อว่า ฉายา เมตพฺพา มีความว่า พึงวัดเงาว่าชั่วบุรุษ ๑ หรือว่า ๒ ชั่วบุรุษ 
   ข้อว่า อุตุปฺปมาณํ อาจิกฺขิตพฺพํ
   มีความว่า พึงบอกประมาณฤดูอย่างนี้ว่า ฤดูฝน ฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูนั่นเองชื่อประมาณแห่งฤดูในคำนี้. ถ้าฤดูทั้งหลายมีฤดูฝนเป็นต้นยังไม่เต็ม ฤดูใดของอุปสัมบันใดยังไม่เต็มด้วยวันมีประมาณเท่าใด,
   พึงกำหนดวันเหล่านั้น แห่งฤดูนั้น แล้วบอกส่วนแห่งวัน แก่อุปสัมบันนั้น. อีกประการหนึ่ง พึงบอกประมาณฤดูอย่างนี้ว่า ฤดูชื่อนี้ทั้งฤดูนั้นแลเต็มหรือยังไม่เต็ม พึงบอกส่วนแห่งวันอย่างนี้ว่า เช้าหรือเย็น. 
   บทว่า สงฺคีติ เป็นต้น มีความว่า พึงประมาณการบอกทั้งหมดมีบอกกำหนดเงาเป็นต้นนี้แลเข้าด้วยกันบอกอย่างนี้ว่า เธออันใครๆ 
ถามว่า ท่านได้ฤดูอะไร? เงาของท่านเท่าไร?
   ประมาณฤดูของท่านอย่างไร? ส่วนแห่งวันของท่านเท่าไร? ดังนี้ พึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าได้ฤดูชื่อนี้ คือฤดูฝนก็ตาม ฤดูหนาวก็ตาม ฤดูร้อนก็ตาม เงาของข้าพเจ้าเท่านี้ ประมาณฤดูเท่านี้ ส่วนแห่งวันเท่านี้. 
   บทว่า โอหาย ได้แก่ ทิ้ง.
   สองบทว่า ทุติยํทาตุํ มีความว่า เราอนุญาตให้ภิกษุให้เป็นเพื่อนแก่ภิกษุผู้อุปสมบทใหม่ ซึ่งจะไปสู่บริเวณจากโรงที่อุปสมบทและให้บอกอกรณียกิจ ๔. 
   บทว่า ปณฺฑุปลาโส ได้แก่ ใบไม้มีสีเหลือง.
   สองบทว่า พนฺธนา ปมุตฺโต ได้แก่ หล่นแล้วจากขั้ว. สองบทว่า อภพฺโพ หริตตฺตาย มีความว่า ไม่อาจเป็นของเขียวสดอีก. 
   สองบทว่า ปุถุสิลา ได้แก่ ศิลาใหญ่. 
   ข้อว่า อลพฺภมานาย สามคฺคิยา อนาปตฺติ สมฺโภเค สํวาเส มีความว่า ความพร้อมเพรียงเพื่อประโยชน์แก่การทำอุกเขปนียกรรมแก่ภิกษุนั้น อันภิกษุยังไม่ได้เพียงใด ไม่เป็นอาบัติในเพราะกินร่วม๑- และอยู่ร่วมต่างโดยทำอุโบสถ และปวารณาเป็นต้นกับภิกษุนั้น เพียงนั้น. 
   คำที่เหลือทุกแห่งนับว่าปรากฏแล้วแท้ เพราะเป็นคำที่จะพึงทราบได้ง่าย โดยทำนองที่กล่าวไว้แล้วในมหาวิภังค์ ด้วยประการฉะนี้. 
๑- สมฺโภเคติ ธมฺมสมฺโภเค อามิสสมฺโภเค 
        จาติ สารตฺถทีปนี.
       คำอธิบายความแห่งมหาขันธกะ อันประดับด้วย ๑๗๒ เรื่อง 
ในอรรถกถาแห่งพระวินัย 
ชื่อสมันตปาสาทิกา จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก

search-google ทำบุญ 
[๑๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีอุปัชฌาย์. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น
      แด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา
   ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้น แด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรมีสงฆ์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีคณะเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลาย อุปสมบทกุลบุตรมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีต
เดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนประทุษร้าย
ภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์.
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์
   อุปสมบทกุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดา
จนห้อพระโลหิตเป็นอุปัชฌาย์
   อุปสมบทกุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   กุลบุตรมีบัณเฑาะก์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีบุคคลลักเพศเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีภิกษุไปเข้ารีตเดียรถีย์เป็นอุปัชฌาย์ 
   ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีสัตว์ดิรัจฉานเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่ามารดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่าบิดาเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ... กุลบุตรมีคนฆ่าพระอรหันต์เป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ...
   กุลบุตรมีคนประทุษร้ายภิกษุณีเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ ...   กุลบุตรมีคนทำสังฆเภทเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้      กุลบุตรมีคนทำร้ายพระศาสดาจนห้อพระโลหิตเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้
   กุลบุตรมีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์ ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   [๑๓๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรผู้ไม่มีบาตร. พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรไม่มีบาตร ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ 
   รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรที่ยืมเขามา. เมื่ออุปสมบทแล้วเจ้าของก็นำบาตรคืนไป.
   พวกเธอเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ. 
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. 
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายกุลบุตรมีบาตรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ 
   รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีจีวรที่ยืมเขามา.
   เมื่ออุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำจีวรคืนไป.
   พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาต.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุลบุตรมีจีวรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอุปสมบทกุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา. 
   เมื่ออุปสมบทแล้ว เจ้าของก็นำบาตรและจีวรคืนไป.
   พวกเธอเปลือยกายเที่ยวรับบิณฑบาตด้วยมือ.
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า เที่ยวรับบิณฑบาตเหมือนพวกเดียรถีย์. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   กุลบุตรมีบาตรและจีวรที่ยืมเขามา ภิกษุไม่พึงอุปสมบทให้ รูปใดอุปสมบทให้ ต้องอาบัติทุกกฏ. บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก จบ.
บุคคลไม่ควรให้ บรรพชา ๓๒ จำพวก
   [๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน ... บรรพชาคนเท้าด้วน ... บรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน ... บรรพชาคนหูขาด ... บรรพชาคนจมูกแหว่ง
   บรรพชาคนทั้งหูขาดและจมูกแหว่ง ... บรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... บรรพชาคนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด ... บรรพชาคนเอ็นขาด ... บรรพชาคนมือเป็นแผ่น
   บรรพชาคนค่อม ... บรรพชาคนเตี้ย ... บรรพชาคนคอพอก ... บรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ... บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... บรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... บรรพชาคนเท้าปุก ... บรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง
   บรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ... บรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... บรรพชาคนง่อย ... บรรพชาคนกระจอก ... บรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต  ... บรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... บรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... บรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... บรรพชาคนใบ้ ... บรรพชาคนหูหนวก
   บรรพชาคนทั้งบอดและใบ้
   บรรพชาคนทั้งบอดและหนวก
   บรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก
   บรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุไม่พึงบรรพชาคนมือด้วน ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าด้วน ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน
   ไม่พึงบรรพชาคนหูขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนจมูกแหว่ง ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง
   ไม่พึงบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนเอ็นขาด
   ไม่พึงบรรพชาคนมือเป็นแผ่น ... ไม่พึงบรรพชาคนค่อม ...  ไม่พึงบรรพชาคนเตี้ย ... ไม่พึงบรรพชาคนคอพอก
   ไม่พึงบรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ...ไม่พึงบรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... ไม่พึงบรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าปุก ... ไม่พึงบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ... ไม่พึงบรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ
   ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... ไม่พึงบรรพชาคนง่อย ... ไม่พึงบรรพชาคนกระจอก ... ไม่พึงบรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ... ไม่พึงบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... ไม่พึงบรรพชาคนใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนหูหนวก
   ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก
รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก จบ.
ทายัชชภาณวารที่ ๙ จบ.
ทรงห้ามให้นิสสัยแก่อลัชชี
   [๑๓๖] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์ให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี รูปใดให้ต้องอาบัติทุกกฏ.
      สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี.
   ไม่ช้าไม่นานเท่าไรนัก
   แม้พวกเธอก็กลายเป็นพวกอลัชชี
   เป็นภิกษุเลวทราม. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี รูปใดอยู่ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ไม่พึงให้นิสสัยแก่ภิกษุพวกอลัชชี และไม่พึงอยู่อาศัยภิกษุพวกอลัชชี ทำอย่างไรหนอพวกเราจึงจะรู้ว่า
   เป็นภิกษุลัชชี หรืออลัชชี แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้รอ ๔-๕ วัน พอจะสืบสวนรู้ว่าภิกษุผู้ให้นิสสัยเป็นสภาคกัน.
 ภิกษุผู้ไม่ต้อง ถือนิสสัย
   [๑๓๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งเดินทางไกลไปโกศลชนบท. คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ดังนี้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัยแต่จำต้องเดินทางไกล จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เดินทางไกล เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   [๑๓๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุ ๒ รูปเดินทางไกลไปโกศลชนบท. เธอทั้งสองพักอยู่ ณ อาวาสแห่งหนึ่ง.
   ในภิกษุ ๒ รูปนั้น รูปหนึ่งอาพาธ จึงรูปที่อาพาธนั้นได้มีความดำริว่าพระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสัย แต่กำลังอาพาธ จะพึงปฏิบัติอย่างใดหนอแล. 
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธเมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ครั้งนั้น ภิกษุผู้พยาบาลไข้นั้นได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัย แต่ภิกษุรูปนี้ยังอาพาธ เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้พยาบาลไข้ เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัยถูกภิกษุอาพาธขอร้อง ไม่ต้องถือนิสสัยอยู่.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอยู่วัดป่า และเธอก็มีความผาสุกในเสนาสนะนั้น.คราวนั้นเธอได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะไม่ถือนิสสัยอยู่ไม่ได้ ก็เรามีหน้าที่ต้องถือนิสสัย แต่ยังอยู่วัดป่า และเราก็มีความผาสุกในเสนาสนะนี้ จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอแล.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร กำหนดการอยู่เป็นผาสุก เมื่อไม่ได้ผู้ให้นิสสัย ไม่ต้องถือนิสสัย ด้วยผูกใจว่า เมื่อใดมีภิกษุผู้ให้นิสสัยที่สมควร มาอยู่ จักอาศัยภิกษุนั้นอยู่.
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ

บุคคลไม่ควรให้ อุปสมบท ๒๐ จำพวก บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก
อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ
   หลายบทว่า เตน โข ปน สมเยน มีความว่า โดยสมัยใด สิกขาบทอันพระผู้มีพระภาคเจ้ายังมิได้ทรง
   บัญญัติแล้ว โดยสมัยนั้น.
  บทว่า อนุปชฺฌายกํ มีความว่า เว้นจากอุปัชฌาย์ทุกๆ อย่าง เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์.
   กุลบุตรทั้งหลายผู้อุปสมบทแล้วอย่างนั้น ย่อมไม่ได้ความสงเคราะห์โดยธรรม โดยอามิส
   เขาย่อมเสื่อมเท่านั้น ย่อมไม่เจริญ.
   หลายบทว่า น ภิกฺขเว อนุปชฺฌายโก เป็นต้น มีความว่า กุลบุตรชื่อผู้ไม่มีอุปัชฌาย์ เพราะไม่ให้ถืออุปัชฌาย์ ไม่พึงให้อุปสมบท. เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้น จำเดิมแต่ทรงบัญญัติสิกขาบท
   ว่า ภิกษุใดพึงให้อุปสมบท ภิกษุนั้นต้องทุกกฎ. ส่วนกรรมหากำเริบไม่. พระอาจารย์บางพวกกล่าวว่า กำเริบ คำของอาจารย์บางพวกนั้น ไม่ควรถือเอา. 
   แม้ในคำทั้งหลาย มีคำว่า สงฺเฆน อุปชฺฌาเยน เป็นต้น มีอุภโตพยัญชนกเป็นอุปัชฌาย์เป็นที่สุด ก็นัยนี้แล. 
   ข้อว่า อปตฺตกา หตฺเถสุ ปิณฺฑาย จรนฺติ มีความว่า ภิกษุทั้งหลายผู้ไม่มีบาตรย่อมเที่ยวไป เพื่อประโยชน์
   แก่บิณฑะอันตนจะได้ในมือทั้ง ๒.
   ข้อว่า เสยฺยถาปิ ติตฺถิยา มีความว่า เหมือนพวกเดียรถีย์มีชื่ออาชีวก.  จริงอยู่ เดียรถีย์เหล่านั้น ย่อมฉันบิณฑะอันตนคลุกด้วยแกงและกับใส่ไว้ในมือทั้ง ๒ นั้นเอง. 
   สองบทว่า อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส มีความว่า เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยอาการอย่างนั้นเท่านั้น. ส่วนกรรมไม่กำเริบแม้ในวัตถุว่าอจีวรกา เป็นต้น ก็นัยนี้แล. 
   บทว่า ยาจิตเกน มีความว่า ด้วยบาตรเป็นของยืมซึ่งอุปสัมปทาเปกขะอ้อนวอนยืมมาว่า ขอท่านจงให้เพียงที่ข้าพเจ้ากระทำการอุปสมบทเถิด. จริงอยู่ ย่อมเป็นอาบัติเฉพาะแก่ภิกษุผู้ให้อุปสมบทด้วยบาตรหรือจีวร หรือทั้งบาตรทั้งจีวร 
   เช่นนี้ แต่กรรมไม่กำเริบ.
   เพราะเหตุนั้น กุลบุตรผู้มีบาตรจีวรครบเท่านั้น จึงควรให้อุปสมบท. ถ้าของเขาไม่มี และอาจารย์อุปัชฌาย์อยากจะให้เขา หรือภิกษุเหล่าอื่นปรารถนาจะให้อาจารย์และอุปัชฌาย์
   หรือภิกษุเหล่าอื่นผู้ไม่เสียดาย พึงสละให้บาตรและจีวรที่ควรอธิษฐานได้. แต่จะให้บรรพชาเปกขะผู้ดังใบไม้เหลืองบวช ด้วยบาตรและจีวรแม้ที่ยืมมาสมควรอยู่, แม้ถือเอาด้วยวิสาสะในที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันแล้วให้บวชก็ควร. 
   แต่ถ้าปัณฑุปลาสนั้น เป็นผู้ถือบาตรที่ยังมิได้ระบมและผ้าที่ควรแก่จีวรมา, บาตรยังระบมอยู่และจีวรยังกระทำอยู่เพียงใด ควรจะให้อนามัฏฐบิณฑบาตแก่เขาผู้พักอยู่ในวิหารเพียงนั้น.
   ปัณฑุปลาสนั้นจะบริโภคในบาตร ก็ควร. 
   ในเวลาก่อนฉันอาหาร ส่วนแห่งอามิสเท่ากับส่วนของสามเณรอันภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้. 
   ส่วนการถือเสนาสนะและภัตต่างๆ มีสลากภัต อุทเทสภัตและนิมันตนภัตเป็นต้น ไม่สมควรให้.
   แม้ในเวลาภายหลังอาหาร ส่วนแห่งเภสัชมีน้ำมัน น้ำผึ้งและน้ำอ้อยเป็นต้น เท่ากับส่วนของสามเณร อันภิกษุผู้เป็นภัตตุทเทสก์สมควรจะให้. ถ้าเขาเป็นไข้ ภิกษุทั้งหลายควรจะทำยาให้เขา และควรทำการปรนนิบัติทั้งปวงแก่เขา
   เหมือนทำแก่สามเณร ฉะนี้แล.
อรรถกถาอนุปัชฌายกาทิวัตถุ จบ.
อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องคนมือด้วนเป็นต้นต่อไป :- 
   มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ฝ่ามือก็ดี ที่ข้อมือก็ดี ที่ศอกก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง 
   ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือขาด.
   เท้าข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ปลายเท้าก็ดี ที่ข้อเท้าก็ดี ที่แข้งก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเท้าขาด. ในมือและเท้าทั้ง ๔ โดยประการดังกล่าวแล้วนั่นแล มือและเท้าของผู้ใด ๒ หรือ ๓ หรือทั้งหมด เป็นอวัยวะขาดไป ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือและเท้าขาด. 
   หูของผู้ใด ข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างเป็นอวัยวะขาดไปที่เง่าหูก็ดี ที่ใบหูก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีหูขาด. แต่หูของผู้ใด ย่อมฉีกที่ตุ้มแห่งหู แต่เป็นอวัยวะที่อาจต่อให้ติดกันได้ ผู้นั้นพึงให้ต่อหูให้ติดแล้ว จึงให้บวช. จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะแหว่งวิ่นไปที่ดั้งจมูกก็ดี ที่ช่องจมูกข้างเดียวก็ดี ช่องจมูกทั้ง ๒ ก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีจมูกแหว่ง. แต่จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะที่อาจประสานให้ติดกันได้. ผู้นั้นพึงทำจมูกนั้นให้หายแล้วจึงให้บวช. 
   บุคคลที่ชื่อว่าผู้มีหูและจมูกแหว่ง พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอวัยวะทั้ง ๒.   นิ้วของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ไม่เห็นมีเล็บเหลือ ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเล็บด้วน แต่เล็บที่เหลือของผู้ใด แม้ประมาณเท่าเส้นด้ายยังปรากฏ จะให้ผู้นั้นบวชควรอยู่. 
   ในหัวแม่มือแม่เท้าทั้ง ๔ นิ้ว หัวแม่มือและแม่เท้าของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ตามนัยที่กล่าวแล้วในนิ้วผู้นั้นชื่อว่ามีง่าม มือง่ามเท้าขาด. 
   เอ็นใหญ่ที่ชื่อว่ากัณฑระของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไป ข้างหน้าก็ดี ข้างหลังก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเอ็นขาด บุคคลย่อมก้าวเดินด้วยปลายเท้าบ้าง ด้วยส้นเท้าบ้าง หรือไม่อาจยันเท้าลงตรงๆ ได้ ก็เพราะในเอ็นใหญ่เหล่านั้น แม้เอ็นหนึ่งขาดไป. 
   นิ้วมือของผู้ใด เป็นของติดกันเหมือนปีกค้างคาว ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือเป็นแผ่น. ภิกษุผู้ใคร่จะให้บุคคลนั้นบวช พึงผ่าหนังซึ่งมีในระหว่างนิ้ว เอาหนังในระหว่างออกทั้งหมด รักษาหายแล้วจึงให้บวช. แม้ผู้ใดมี ๖ นิ้ว ภิกษุผู้ใคร่จะให้ผู้นั้นบวชพึงตัดนิ้วที่เกินเสีย รักษาหายแล้วจึงให้บวช. 
   ผู้ใดจัดว่ามีร่างกายค่อม เพราะอกหรือหลัง หรือสีข้างโกง ผู้นั้นชื่อว่าคนค่อม. แต่อวัยวะน้อยใหญ่บางส่วนของผู้ใด โกงไปนิดหน่อย จะให้ผู้นั้นบวช สมควรอยู่. เพราะว่าพระมหาบุรุษเท่านั้นมีพระกายตรงดังกายพรหม สัตว์ที่เหลือชื่อว่าผู้ไม่ค่อมย่อมไม่มี. 
   คนมีขาสั้นก็ดี มีบั้นเอวสั้นก็ดี สั้นทั้ง ๒ ก็ดี ชื่อว่าคนเตี้ย. กายท่อนล่างตั้งแต่บั้นเอวลงมา แห่งคนขาสั้น เป็นของสั้น กายท่อนบนสมบูรณ์. กายท่อนบนตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไป แห่งคนบั้นเอวสั้น เป็นของสั้น กายท่อนล่างบริบูรณ์. 
   กายทั้ง ๒ ท่อน แห่งคนสั้นทั้ง ๒ เป็นของสั้น. ร่างกายย่อมกลมรอบคล้ายหม้อมีกะพุ้งใหญ่เหมือนร่างกายแห่งภูตทั้งหลาย เพราะกายทั้ง ๒ ท่อนเหล่าไรเล่าเป็นของสั้น จะให้ชนนั้นแม้ทั้ง ๓ ชนิดบวช ย่อมไม่ควร. ที่คอแห่งผู้ใด มีพอกดังลูกฟัก ผู้นั้นชื่อว่าคนคอพอก. และคำนี้สักว่าแสดง แต่เมื่อมีพอกที่ประเทศอันใดอันหนึ่ง ก็ไม่ควรให้บวช. 
วินิจฉัยในคำว่า คลคณฺฑี นั้น พึงทราบ
ตามนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ ปพฺพาเชตพฺโพ นั่นแล
   คำใดที่จะพึงกล่าวในคนมีรอยแผลเป็น คนถูกเฆี่ยนด้วยหวายและคนถูกเขียนไว้ คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในข้อทั้งหลายมีข้อว่า น ภิกฺขเว ลกฺขณาหโต เป็นต้นนั่นแล. 
   คนมีเท้าเป็นตุ้ม ท่านเรียกว่าคนตีนปุก. เท้าของผู้ใดอูมเกิดเป็นตุ้มแข็ง ผู้นั้นไม่ควรให้บวช แต่เท้าของผู้ใด ยังไม่ทันจับแข็ง เป็นของที่อาจผูกเครื่องรัดแช่ไว้ในหลุมน้ำ กลบด้วยทรายเปียกน้ำให้เต็มให้เหี่ยวยุบลงจนเส้นเอ็นปรากฏ และแข้งเป็นเหมือนกระบอกน้ำมัน จะทำเท้าของผู้นั้นให้เป็นเช่นนี้ แล้วให้เขาบวชควรอยู่.
ทรงห้ามให้นิสสัยแก่อลัชชีเป็นต้น
อรรถกถานิสสยคหณกถา
   ในคำว่า อลชฺชีนํ นิสฺสาย วสนฺติ นี้ :- 
   บทว่า อลชฺชีนํ เป็นฉัฏฐีวิภัตติ ใช้ในอรรถแห่งทุติยาวิภัตติ. ความว่า ภิกษุทั้งหลายพึ่งบุคคลผู้อลัชชีทั้งหลายอยู่. 
   คำว่า ยาว ภิกฺขูสภาคตํ ชานามิ มีความว่า เราจะทราบความที่ภิกษุผู้ให้นิสัยเป็นผู้ถูกส่วนกับภิกษุทั้งหลาย คือความเป็นผู้มีละอายเพียงไร. เพราะเหตุนั้น ภิกษุผู้ถึงฐานะใหม่ แม้อันภิกษุไรๆ กล่าวว่า ภิกษุ เธอจงมาถือนิสัย ดังนี้ พึงพิจารณาข้อที่ภิกษุผู้ให้นิสัยเป็นผู้มีความละอาย ๔-๕ วันแล้ว จึงค่อยถือนิสัย. 
   ถ้าได้ฟังในสำนักแห่งภิกษุทั้งหลายว่า พระเถระเป็นลัชชี เป็นผู้ปรารถนาจะถือในวันที่ตนมาทีเดียว. ฝ่ายพระเถระกล่าวว่า คุณจงรอก่อน คุณอยู่จักรู้ ดังนี้ แล้วตรวจดูอาจาระเสีย ๒-๓ วันแล้วจึงให้นิสัย การทำอย่างนี้ ย่อมควร. 
   โดยปกติ ภิกษุผู้ไปสู่สถานเป็นที่ถือนิสัย ต้องถือนิสัยในวันนั้นทีเดียว แม้วันเดียว ก็คุ้มไม่ได้. ถ้าในปฐมยาม อาจารย์ไม่มีโอกาส เมื่อไม่ได้โอกาสจะนอนด้วยผูกใจไว้ว่า เราจักถือในเวลาใกล้รุ่ง ถึงอรุณขึ้นแล้วไม่รู้ ไม่เป็นอาบัติ. แต่ถ้าไม่ทำความผูกใจว่า เราจักถือ แล้วนอน เป็นทุกกฎในเวลาอรุณขึ้น. 
   ภิกษุไปสู่สถานที่ไม่เคยไป ปรารถนาจะค้าง ๒-๓ วันแล้วไปไม่ต้องถือนิสัยอยู่ก็ได้. แต่เมื่อทำอาลัยว่า เราจักค้าง ๗ วันต้องถือนิสัย. ถ้าพระเถระพูดว่า จะมีประโยชน์อะไรด้วยนิสัยสำหรับผู้ค้าง ๗ วัน. เธอเป็นอันได้บริหาร จำเดิมแต่กาลที่พระเถระห้ามไป
๑- วินย. มหาคฺค. ทุติย. ๒๖๔ 
   บทว่า นิสฺสยกรณีโย มีความว่า เราเป็นผู้มีการถือนิสัยเป็นกิจควรทำ. อธิบายว่า นิสัยอันเราพึงทำ คือพึงถือ. 
   สองบทว่า นิสฺสยํ อลภมาเนน มีความว่า เมื่อไม่มีภิกษุผู้ให้นิสัยซึ่งเดินทางไปกับตน เธอชื่อว่าย่อมไม่ได้นิสัย อันภิกษุผู้ไม่ได้อย่างนั้น ไม่ต้องถือนิสัยไปได้สิ้นวันแม้มาก ถ้าเข้าไปสู่อาวาสบางตำบลซึ่งตนเคยถือนิสัยอยู่แม้ในกาลก่อน 
   แม้จะค้างคืนเดียว ก็ต้องถือนิสัย. พักอยู่ในระหว่างทางหรือหาพวกอยู่ ๒-๓ วัน ไม่เป็นอาบัติ. แต่ภายในพรรษาต้องอยู่ประจำที่ และต้องถือนิสัย. แต่ไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้ไปในเรือ แต่ไม่ได้นิสัยในเมื่อฤดูฝนแม้มาแล้ว. 
   บทว่า ยาจิยมาเนน มีความว่า ผู้อันภิกษุไข้นั้นออกปากขอ ถ้าภิกษุไข้แม้เธอบอกว่า ท่านจงออกปากขอกะเรา ดังนี้ แต่ไม่ยอมออกปากขอ เพราะมานะ เธอพึงไป. 
   สองบทว่า ผาสุ โหติ มีความว่า ความสำราญ มีด้วยอำนาจแห่งการได้เฉพาะซึ่งสมถะและวิปัสสนา. อันที่จริง พระโสดาบันย่อมไม่ได้เลยซึ่งบริหารนี้ พระสกทาคามีพระอนาคามีและพระอรหันต์ ก็ไม่ได้ บุคคลผู้มีปกติได้สมาธิหรือวิปัสสนาอันแก่กล้าแล้ว
   ย่อมไม่ได้บริหารนี้. อันคำที่จะพึงกล่าวย่อมไม่มีในพาลปุถุชน ผู้ละเลยกัมมัฏฐานเสียแท้. แต่ว่าสมถะก็ดี วิปัสสนาก็ดี ของภิกษุใดแล ยังเป็นคุณชาติอ่อน ภิกษุนี้ย่อมได้บริหารนี้. 
   แม้ปวารณาสงเคราะห์๒- พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงอนุญาตแก่ภิกษุผู้มีสมถะและวิปัสสนายังอ่อนนี้เท่านั้น. เพราะเหตุนั้น บุคคลนี้ แม้เมื่ออาจารย์ปวารณาแล้วไปแล้วด้วยล่วง ๓ เดือน จะทำความผูกใจว่า เมื่อใด ภิกษุผู้ให้นิสัยซึ่งสมควรจักมา 
   เมื่อนั้น เราจักอาศัยภิกษุนั้นอยู่ แล้วไม่ถือนิสัยอยู่จนถึงวันอาสาฬหปุณณมีดิถีเพ็ญเดือน ๘ อีกก็ควร. แต่ถ้าในอาสาฬหมาส อาจารย์ไม่มา ควรไปในที่ซึ่งตนจะได้นิสัย. 
๒- คือทรงอนุญาตให้เลื่อนปวารณาไปทำ
ในวันเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง.
อรรถกถานิสสยคหณกถา จบ.