Translate

12 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษา ถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียนเป็นต้น

   หัวข้อประจำขันธกะ  [๒๒๓] ๑. เรื่องจำพรรษา  ๒. เรื่องจำพรรษาในเวลาไหน  ๓. เรื่องวันเข้าพรรษามี
   เท่าไร  ๔. เรื่องเที่ยวจาริกในระหว่างพรรษา  ๕. เรื่องไม่ประสงค์จำพรรษา  ๖. เรื่องแกล้งไม่
   จำพรรษา  ๗. เรื่องทรงเลื่อนกาลฝน  ๘. เรื่องอุบาสกสร้างวิหาร   ๙. เรื่องภิกษุอาพาธ  ๑๐. เรื่อง
   มารดา บิดา พี่ชายน้องชาย พี่หญิงน้องหญิง ญาติและบุรุษผู้ภักดีต่อภิกษุป่วยไข้  ๑๑. เรื่องวิหาร
   ชำรุด  ๑๒. เรื่องสัตว์ร้ายเบียดเบียน  ๑๓. เรื่องงูเบียดเบียน  ๑๔. เรื่องพวกโจรเบียดเบียน ๑๕. เรื่องปิศาจรบกวน  ๑๖. เรื่องหมู่บ้านประสบอัคคีภัย  ๑๗. เรื่องเสนาสนะถูกไฟไหม้
๑๘. เรื่องหมู่บ้านประสบอุทกภัย
   ๑๙. เรื่องเสนาสนะถูกน้ำท่วม  ๒๐. เรื่องชาวบ้านพากันอพยพ
๒๑. เรื่องผู้ที่เป็นทายกมีจำนวนมากกว่า  ๒๒. เรื่องไม่ได้โภชนะอันเศร้าหมองหรือประณีต ไม่ได้โภชนะและเภสัชอันสบาย  ไม่ได้อุปัฏฐากที่สมควร  ๒๓. เรื่องถูกสตรีนิมนต์
   ๒๔. เรื่องถูกหญิงแพศยานิมนต์  ๒๕. เรื่องถูกหญิงสาวเทื้อนิมนต์  ๒๖. เรื่องถูกบัณเฑาะก์นิมนต์  ๒๗. เรื่อง
ถูกพวกญาตินิมนต์  ๒๘. เรื่องถูกพระราชานิมนต์
   ๒๙. เรื่องถูกพวกโจรนิมนต์  ๓๐.  เรื่องถูก
พวกนักเลงนิมนต์  ๓๑. เรื่องพบขุมทรัพย์  ๓๒. เรื่องทำลายสงฆ์ ๘ วิธี  ๓๓. เรื่องจำพรรษาในหมู่โคต่าง
   ๓๔. เรื่องจำพรรษาในหมู่เกวียน ๓๕. เรื่องจำพรรษาในเรือ  ๓๖.  เรื่องจำพรรษาในโพรงไม้  ๓๗. เรื่องจำพรรษาบนค่าคบไม้  ๓๘. เรื่องจำพรรษาในที่แจ้ง  ๓๙. เรื่องภิกษุไม่มี
   เสนาสนะจำพรรษา  ๔๐. เรื่องจำพรรษาในกระท่อมผี  ๔๑. เรื่องจำพรรษาในร่ม  ๔๒. เรื่อง
   จำพรรษาในตุ่ม  ๔๓. เรื่องตั้งกติกา  ๔๔. เรื่องให้ปฏิญาณ  ๔๕.  เรื่องทำอุโบสถนอกวิหาร ๔๖. เรื่องวันจำพรรษาต้น  ๔๗. เรื่องวันจำพรรษาหลัง  ๔๘. เรื่องไม่มีกิจจำเป็นหลีกไป  ๔๙. เรื่อง
มีกิจจำเป็นหลีกไป  ๕๐. เรื่องพักอยู่ ๒-๓ วัน  ๕๑.  เรื่องหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ ๕๒. เรื่อง
   ยังอีก ๗ วันจะถึงวันปวารณา  จะมาก็ตาม ไม่มาก็ตาม.
   พึงพิจารณาแนวฉบับ ตามลำดับหัวข้อเรื่อง.
ในขันธกะนี้มี ๕๒ เรื่อง
   [๒๑๔] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ถูกเหล่าสัตว์ร้ายเบียดเบียน  มันจับเอาไปได้บ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง.
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่อง
   นั้น แด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:- ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้วถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียน มันจับเอาไป
   ได้บ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง.  พวกเธอพึงหลีกไปด้วยความสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ถูกงูเบียดเบียน มันขบกัดเอาบ้าง หนีมันรอดมาได้บ้าง.
   พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว พวกโจรเบียดเบียน มันปล้นบ้าง
   รุมตีบ้าง. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ถูกพวกปิศาจรบกวน
   มันเข้าสิงบ้าง พาเอาไปบ้าง. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า  นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว หมู่บ้านประสบ อัคคีภัย. ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยบิณฑบาต. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เสนาสนะถูกไฟไหม้. ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อนด้วยเสนาสนะ.  พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย
ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว หมู่บ้านประสบอุทกภัย. ภิกษุทั้งหลายลำบากด้วยบิณฑบาต. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า
 นั่นแลอันตราย  ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง เมื่อภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เสนาสนะถูกน้ำท่วม. ภิกษุทั้งหลายเดือดร้อนด้วยเสนาสนะ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า 
นั่นแลอันตราย  ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   [๒๑๕] ก็โดยสมัยนั้นแล  เมื่อภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่ง ชาวบ้านอพยพไปเพราะพวกโจรภัย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้าน.  ชาวบ้านแยกกันเป็นสองพวก.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้านที่มากกว่า.  ชาวบ้านที่มากกว่าเป็นผู้ไม่มีศรัทธา
   ไม่เลื่อมใส. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระพุทธเจ้า.  พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
      เราอนุญาตให้ไปตามชาวบ้านที่มีศรัทธาเลื่อมใส.
   [๒๑๖] ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในอาวาสแห่งหนึ่งในโกศลชนบท ไม่ได้โภชนาหารอันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ  จึงกราบทูล
   เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
    พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว  ไม่ได้โภชนาหารอันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ. พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า
 นั่นแลอันตราย  ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว  ได้โภชนาหารอันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ แต่ไม่ได้โภชนาหารอันเป็นที่สบาย  พวกเธอ
   พึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว  ได้โภชนาหารอันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ  และได้โภชนาหารอันเป็นที่สบาย
   แต่ไม่ได้เภสัชอันเป็นที่สบาย  พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย  ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุทั้งหลายในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว  ได้โภชนาหารอันเศร้าหมองหรือประณีต บริบูรณ์ตามต้องการ ได้โภชนาหารอันเป็นที่สบาย  ได้เภสัชอันเป็นที่สบาย แต่ไม่ได้อุปัฏฐากที่สมควร  พวกเธอพึงหลีกไปด้วยสำคัญว่า นั่นแลอันตราย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว  สตรีนิมนต์ว่า ขอท่านจงมาเถิดเจ้าข้า ดิฉันจะถวาย เงิน ทอง นา สวน พ่อโค แม่โค ทาส ทาสี แก่ท่าน จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาของท่าน ดิฉันจะยอมเป็นภรรยาของท่าน หรือ
มิฉะนั้น จะนำสตรีอื่นมาให้เป็นภรรยาของท่าน.
   ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็วนัก สักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย
   ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว หญิงแพศยานิมนต์ .... หญิงสาวเทื้อนิมนต์
.... บัณเฑาะก์นิมนต์ .... พวกญาตินิมนต์
พระราชาทั้งหลายนิมนต์ .... พวกโจรนิมนต์
   พวกนักเลงนิมนต์ว่า ขอท่านมาเถิด ขอรับ พวกข้าพเจ้าจักถวาย เงิน ทอง นา สวน พ่อโค แม่โค ทาส ทาสี แก่ท่าน จะยกลูกสาวให้เป็นภรรยาท่าน หรือจะนำสตรีอื่นมาให้เป็นภรรยาของท่าน.
   ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็วนัก สักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้ พึงหลีกไปเสีย
ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว พบทรัพย์ไม่มีเจ้าของ. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า จิตเป็นธรรมชาติกลับกลอกเร็วนักสักหน่อยจะเป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์ของเราก็ได้
พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว เห็นภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า  พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเราอยู่พร้อมหน้า สงฆ์อย่าแตกกันเลย พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้
   ว่า พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก เมื่อเรายังอยู่พร้อมหน้า สงฆ์อย่าแตกกันเลย พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้นภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้
   ว่าภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้
   พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
   ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็นมิตรของภิกษุเหล่านั้น เป็นมิตรกับเรา เราจักบอกกับภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่เราบอกแล้ว
   นั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้นภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว.  ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก
   พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว.
   ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุที่เป็นมิตรของภิกษุเหล่านั้นเป็นมิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุเหล่านั้น ภิกษุที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า อาวุโสทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกท่านอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้
   พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้นภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียตะกายเพื่อทำลายสงฆ์. ในเรื่องนั้น ถ้าภิกษุจะคิด
   อย่างนี้ว่าภิกษุณีเหล่านั้นล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกัน กำลังตะเกียกตะกายเพื่อทำลายสงฆ์.
   ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้
   ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นมิใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณีที่เป็นมิตรของภิกษุเหล่านั้น เป็นมิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่เราบอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า
   ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกันได้ทำลายสงฆ์แล้ว.  ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้
   ว่า ภิกษุณีเหล่านั้น ล้วนเป็นมิตรของเรา เราจักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่าการทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้ พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติ แต่พรรษาขาด.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้จำพรรษาแล้ว ได้สดับข่าวว่า ในอาวาสชื่อโน้น ภิกษุณีมากรูปด้วยกัน ได้ทำลายสงฆ์แล้ว.  ในเรื่องนั้น  ถ้าภิกษุจะคิดอย่างนี้ว่า ภิกษุณีเหล่านั้นไม่ใช่มิตรของเราเลย แต่ภิกษุณีที่เป็นมิตรของภิกษุณีเหล่านั้น เป็นมิตรกับเรา เราจักบอกภิกษุณีเหล่านั้น ภิกษุณีที่เรา
   บอกแล้วนั้น จักว่ากล่าวพวกเธอว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า การทำลายสงฆ์เป็นกรรมหนักนัก พวกน้องหญิงอย่าพอใจทำลายสงฆ์เลย ดังนี้
   พวกเธอจักทำตาม จักเชื่อฟังคำของเรา จักเงี่ยโสตลงสดับ พึงหลีกไปเสีย ไม่ต้องอาบัติแต่พรรษาขาด
อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษา จบ.
จำพรรษาในสถานที่ต่างๆ
   [๒๑๗] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งใคร่จำพรรษาในหมู่โคต่าง. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่โคต่างได้.  หมู่โคต่างย้ายไป. ภิกษุทั้งหลาย
   กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้เดินทางไปกับหมู่โคต่างได้. สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่งเมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทางไปกับพวกเกวียน. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตให้จำพรรษาในหมู่พวกเกวียนได้.
   สมัยต่อมา ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อจวนถึงวันเข้าพรรษา ใคร่จะเดินทางไปกับเรือ ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษาในเรือได้.
จำพรรษาในสถานที่ไม่สมควร
  [๒๑๘] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งจำพรรษาในโพรงไม้. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพวกปิศาจ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาค  ตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในโพรงไม้ รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาบนค่าคบไม้.  คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ  ติเตียน โพนทะนาว่า เหมือนพรานเนื้อ. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาบนค่าคบไม้ รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   [๒๑๙] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในที่แจ้ง. เมื่อฝนตกก็พากันวิ่งเข้าไปสู่โพรงไม้บ้าง สู่ชายคาบ้าง. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในที่แจ้ง รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายหาเสนาสนะไม่ได้ จำพรรษา เดือดร้อนด้วยความหนาวบ้าง ด้วยความร้อนบ้าง  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุไม่มีเสนาสนะไม่พึงจำพรรษา รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ. สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในกระท่อมผี. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า  เหมือนพวกสัปเหร่อ.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาค  ตรัสห้ามว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในกระท่อมผี รูปใดจำต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในร่ม. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกคนเลี้ยงวัว.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในร่ม รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา ภิกษุทั้งหลายจำพรรษาในตุ่ม. คนทั้งหลายพากันเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าเหมือนพวกเดียรถีย์.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสห้ามว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงจำพรรษาในตุ่ม รูปใดจำ ต้องอาบัติทุกกฏ.
ตั้งกติกาไม่เป็นธรรมในระหว่างพรรษา
   [๒๒๐] ก็โดยสมัยนั้นแล พระสงฆ์ในพระนครสาวัตถีได้ตั้งกติกาไว้ว่า ในระหว่างพรรษา ห้ามไม่ให้บรรพชา.
   หลานชายของนางวิสาขา  มิคารมาตา  ได้เข้าไปหาภิกษุทั้งหลายแล้วขอบรรพชา. ภิกษุทั้งหลายบอกอย่างนี้ว่า คุณ พระสงฆ์ได้ตั้งกติกาไว้แล้วว่า ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้บรรพชาคุณ จงรออยู่จนกว่าภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาเสร็จแล้ว
   จึงจะบวชให้. ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาแล้ว ได้บอกหลานชายของนางวิสาขา มิคารมาตาว่า อาวุโส บัดนี้ ท่านจงมาบวชเถิด. เขาจึงเรียนอย่างนี้ว่า ท่านขอรับ ถ้ากระผม
   จักได้บวชแล้วไซร้ จะพึงยินดียิ่ง แต่เดี๋ยวนี้กระผม
ยังไม่บวชละ
   นางวิสาขา มิคารมาตาจึงได้เพ่งโทษ ติเตียน  โพนทะนาว่า ไฉนพระคุณเจ้าทั้งหลาย จึงได้ตั้งกติกาไว้เช่นนี้ว่า  ในระหว่างพรรษาห้ามไม่ให้บรรพชา กาลเช่นไรเล่า จึงไม่ควร
ประพฤติธรรม.
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินนางเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาค ตรัสห้ามภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงตั้งกติกา เช่นนี้ว่า ในระหว่างพรรษา ห้ามไม่ให้บรรพชา รูปใดตั้ง ต้องอาบัติทุกกฏ.
จำพรรษาในอาวาส ๒ แห่ง
   [๒๒๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตร ถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. ท่านไปสู่อาวาสนั้น ในระหว่างทาง ได้พบอาวาส ๒ แห่ง มีจีวรมาก จึงคิดว่า ไฉนหนอ เราจะพึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนี้   เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรเป็นอันมากก็จักบังเกิดแก่เรา ดังนี้
   เราจึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนั้น.  พระเจ้าปเสนทิโกศล ทรงเพ่งโทษ ติเตียน  โพนทะนาว่า พระคุณเจ้าอุปนนทศากยบุตร ให้ปฏิญาณแก่เราว่าจะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนการพูดเท็จ 
   ทรงสรรเสริญกิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จ  โดยอเนกปริยายมิใช่หรือ?  ภิกษุทั้งหลายได้ยินท้าวเธอทรงเพ่งโทษ  ติเตียน
โพนทะนาอยู่. บรรดาที่เป็นผู้มักน้อย
   ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ท่านพระอุปนนทศากยบุตรถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนการพูดเท็จ ทรงสรรเสริญกิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จ
   โดยอเนกปริยาย มิใช่หรือ? ดังนี้  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น   พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ประชุมภิกษุสงฆ์.  ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้นแล้วทรงสอบถามท่านพระอุปนนทศากยบุตรว่า ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอถวายปฏิญาณแก่
   พระเจ้าปเสนทิโกศลว่า จะอยู่จำพรรษา แล้วทำให้คลาดจริงหรือ? ท่านอุปนนทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า. พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ
   เธอถวายปฏิญาณแก่พระเจ้าปเสนทิโกศลว่าจะจำพรรษา ไฉนจึงได้ทำให้คลาดเสียเล่า? เราติเตียนการพูดเท็จ  สรรเสริญกิริยาที่เว้นจากการพูดเท็จ โดยอเนกปริยายแล้วมิใช่หรือ?
   การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส .... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนา
   นี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น  พบอาวาส ๒ แห่งมีจีวรมาก  ในระหว่างทางจึงคิดอย่างนี้ว่า  ไฉนหนอ เราจะพึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนี้ เมื่อเป็นเช่นนี้ จีวรเป็นอันมากก็จักบังเกิดแก่เรา ดังนี้. เธอจึงจำพรรษาในอาวาส ๒ แห่งนั้น.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏและเธอต้องอาบัติทุกกฏ. เพราะรับคำ &@ปฏิญาณจำพรรษาต้น
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้ กวาดบริเวณ.
   เธอไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอมีกิจจำเป็น  หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ  จึงเข้าวิหาร จัดหาเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.  เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  ไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.  เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.  เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน 
   แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ. เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ  และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.  เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้น ของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหารจัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้ กวาดบริเวณ.  ยังอีก ๗ วัน  จะถึงวัน
   ปวารณา เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสีย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม. วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏและเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า   จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น. เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ  จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ  ตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้ กวาดบริเวณ.  เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง  ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น  เธอไปสู่อาวาสนั้น  ทำอุโบสถถึงวันแรม ๑ ค่ำ  จึงเข้าวิหารจัดหาเสนาสนะ  ตั้งน้ำฉันน้ำใช้ กวาดบริเวณ.  เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว ....
เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.
เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ   และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน  แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.  เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถถึงวันแรม ๑ ค่ำ  จึงเข้าสู่วิหารจัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. ยังอีก ๗ วัน จะถึงวันปวารณา เธอมีกิจจำเป็นหลีกไป.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม.  วันจำพรรษาต้นของภิกษุนั้นปรากฏ  และเธอ
   ไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ. &@ปฏิญาณจำพรรษาหลัง
   [๒๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร  ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัด เสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ.
      เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ได้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง.  เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้  กวาดบริเวณ.  เธอมีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว .... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
.... เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.
   เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง.
   เธอไปสู่อาวาสนั้น ทำอุโบสถภายนอกวิหาร ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้  กวาดบริเวณ.  เธอพักอยู่ ๒-๓ วัน แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหะกรณียะ.
   เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นปรากฏและเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง ....
   ยังอีก ๗ วัน จะครบ ๔ เดือน  อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุท  เธอมีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ภิกษุนั้นจะมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม.  วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง.  เธอเข้าไปสู่อาวาสนั้น  ทำอุโบสถ ถึงวันแรม ๑ ค่ำ จึงเข้าวิหาร จัดเสนาสนะ ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ กวาดบริเวณ. เธอไม่มีกิจจำเป็น หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว
.... เธอมีกิจจำเป็น  หลีกไปเสียในวันนั้นทีเดียว
.... เธอพักอยู่  ๒-๓ วัน  ไม่มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
.... เธอพักอยู่  ๒-๓ วัน  มีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย
.... เธอพักอยู่  ๒-๓ วัน  แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.   เธออยู่ภายนอกพ้น ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาหลังของเธอไม่ปรากฏ และเธอต้องอาบัติทุกกฏ เพราะรับคำ.
.... เธอพักอยู่  ๒-๓ วัน  แล้วหลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะ.  เธอกลับมาภายใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นปรากฏ  และเธอไม่ต้องอาบัติ เพราะรับคำ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ให้ปฏิญาณไว้ว่า  จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง ....
.... ยังอีก ๗ วันจะครบ ๔ เดือน  อันเป็นที่บานแห่งดอกโกมุท  เธอมีกิจจำเป็นหลีกไปเสีย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุนั้นจักมาสู่อาวาสนั้นก็ตาม ไม่มาก็ตาม.   วันจำพรรษาหลังของภิกษุนั้นปรากฏ และเธอไม่ต้องอาบัติ  เพราะรับคำ.
 วัสสูปนายิกขันธกะ  ที่ ๓ จบ.
อรรถกถา มหาวรรคภภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ
 อันตรายของภิกษุผู้จำพรรษาเป็นต้น
อรรถกถาวัอันตรายเป็นเหตุหลีกไป

   บทว่า ปริปาเตนฺติปิ ความว่า พาลมฤคทั้งหลายมาแล้วโดยรอบ ย่อมให้หนีไปบ้าง ยังความกลัวให้เกิดขึ้นบ้าง ปลงเสียจากชีวิตบ้าง. 
   บทว่า อาวิสนฺติ คือ ปีศาจทั้งหลาย ย่อมเข้าสิงสรีระ. วินิจฉัยในข้อว่า เยน คาโม เตนคนฺตุํ เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าชาวบ้านเขาไปตั้งอยู่ไม่ไกล ภิกษุพึงเที่ยวไปบิณฑบาตในบ้านนั้นแล้ว กลับมายังวัด จำพรรษาเถิด. ถ้าชาวบ้านไปไกล ก็พึงรับอรุณในวัดโดยวาระ ๗ วัน ถ้าไม่สามารถเพื่อจะรับอรุณในวัดโดยวาระ ๗ วันได้ ก็พึงอยู่ในที่แห่งภิกษุผู้เป็นสภาคกันในบ้านนั้นเถิด. 
   ถ้าว่ามนุษย์ทั้งหลายถวายสลากภัตเป็นต้นตามที่เคยมา พึงบอกกะเขาว่า เรามิได้อยู่ในวัดนั้น. แต่เมื่อเขาพากันกล่าวว่า ข้าพเจ้าทั้งหลายมิได้ถวายแก่วัดหรือแก่ปราสาท พระผู้เป็นเจ้าอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าก็นิมนต์ฉันเถิด ดังนี้ ภิกษุพึงฉันได้ตามสบาย ภัตนั้นย่อมถึงพวกเธอแท้. ก็เมื่อทายกเขากล่าวว่า พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจงแจกกันฉันในที่อยู่ของพระผู้เป็นเจ้าเถิด ดังนี้ ภิกษุอยู่ ณ ที่ใด พึงนำไป ณ ที่นั้น แล้วพึงแจกกันตามลำดับพรรษาฉันเถิด. 
   ถ้าพวกทายกถวายผ้าจำนำพรรษา ในเวลาที่ภิกษุปวารณาเสร็จแล้ว ผิว่าภิกษุทั้งหลายรับอรุณโดยวาระ ๗ วัน พึงรับเถิด. แต่ภิกษุผู้พรรษาขาด พึงบอกว่า เราทั้งหลายมิได้จำพรรษาในวัดนั้น เราขาดพรรษา ถ้าเขากล่าวว่า เสนาสนะของพวกข้าพเจ้า ท่านให้ถึงแก่พระผู้เป็นเจ้าเหล่าใด พระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นจงรับเถิด ดังนี้ ภิกษุควรรับ. 
   ส่วนของควรแจกกันได้มีจีวรเป็นต้น ที่ภิกษุขนย้ายมาที่ในสถานใหม่นี้ด้วยคิดว่า เก็บไว้ในวัดจะฉิบหายเสีย ควรไปอปโลกน์แจกกันในวัดเดิมนั้น. นัยแม้ในของสงฆ์อันเกิดขึ้นในวัดนั้นเป็นต้นว่า นาและสวนที่ทายกมอบให้ไว้แก่กัปปิยการกทั้งหลายว่า ท่านทั้งหลายจงถวายปัจจัย ๔ แก่พระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายจากมูลค่าแห่งนาและสวนนี้. ก็นัยนี้เหมือนกัน. 
   ก็ของสงฆ์ที่ควรแจกกันได้ จะอยู่ในภายในวัดหรือภายนอกสีมาก็ตามที ของที่ควรแจกกันได้นั้น ไม่ควรอปโลกน์แจกแก่ภิกษุ ผู้ตั้งอยู่ภายนอกสีมา. แต่ของสงฆ์ซึ่งเป็นของควรแจกกันได้ อันตั้งอยู่ในเขตทั้ง ๒ สมควรแท้ที่จะอปโลกน์แจกแก่ภิกษุผู้ตั้งอยู่ในภายในสีมา. 
วินิจฉัยในข้อว่า สงฺโฆ ภินฺโน นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   เมื่อสงฆ์แตกกันแล้ว กิจที่ควรไปทำย่อมไม่มี แต่คำว่า แตกกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอาสงฆ์ที่ภิกษุระแวงว่า จะแตกกัน. วินิจฉัยในข้อว่า สมฺพหุลาหิ ภิกฺขุนีหิ สงฺโฆ ภินฺโน นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
บัณฑิตไม่พึงเห็นว่า สงฆ์อันภิกษุณีทั้งหลายทำลายแล้ว. 
   จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนอุบาลี ภิกษุณีทำลายสงฆ์หาได้ไม่. ความระแวงมีอยู่ว่า อันภิกษุทั้งหลายพึงอาศัยภิกษุณีเหล่านั้น กระทำพวกเธอให้เป็นกำลังอุดหนุนแล้ว พึงทำลายสงฆ์หมู่ใด. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาสงฆ์หมู่นั้น ตรัสคำนี้ว่า สงฆ์อันภิกษุณีเป็นอันมากทำลายแล้ว. 
สถานที่อยู่ของนายโคบาลทั้งหลาย ชื่อว่าพวกโคต่าง. 
วินิจฉัยในข้อว่า เยน วโช นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
เมื่อภิกษุไปกับพวกโคต่างไม่เป็นอาบัติเพราะพรรษาขาด. 
   บทว่า อุปกฏฺฐาย คือใกล้เข้ามาแล้ว. 
   วินิจฉัยในข้อว่า สตฺเถ วสฺสํอุปคนฺตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในวันเข้าพรรษา ภิกษุนั้นพึงบอกพวกอุบาสกว่า อาตมาได้กระท่อม จึงจะควร. 
   ถ้าอุบาสกทำถวาย พึงเข้าไปในกระท่อมนั้น แล้วกล่าวว่า อิธ วสฺสํ อุเปมิ เราเข้าพรรษาในที่นี้ ดังนี้ ๓ ครั้ง. 
   ถ้าเขาไม่ทำถวายไซร้ พึงเข้าจำพรรษาในภายใต้เกวียน ที่ตั้งอยู่โดยท่วงทีอย่างศาลา. เมื่อไม่ได้แม้ซึ่งที่เช่นนั้น พึงทำความอาลัยเถิด. แต่จะเข้าจำพรรษาในหมู่เกวียนไม่ควร. เพียงจิตตุปบาทที่คิดว่า เราจักจำพรรษาในที่นี้ ก็จัดว่าอาลัย.
   ถ้าว่าหมู่เกวียนยังเดินทางอยู่ ถึงวันปวารณาเข้า พึงปวารณาในหมู่เกวียนนั้นนั่นแล. 
   ถ้าหมู่เกวียนถึงที่ที่ภิกษุปรารถนาแล้วในภายในพรรษาแล้วเลยไป ภิกษุพึงอยู่ในที่ที่ตนปรารถนา แล้วปวารณากับภิกษุทั้งหลายในที่นั้นเถิด.   ถ้าแม้หมู่เกวียนหยุดอยู่ในบ้านแห่งหนึ่งก็ดี แยกกันไปก็ดี ในระหว่างทางภายในพรรษานั้นเอง ก็พึงอยู่กับภิกษุทั้งหลายในบ้านนั้นแล แล้วปวารณาเถิด. ยังไม่ได้ปวารณา จะไปต่อไปจากที่นั้นไม่ควร. 
   แม้เมื่อจะจำพรรษาในเรือ ก็ควรเข้าจำในประทุนเหมือนกัน เมื่อหาประทุนไม่ได้ พึงทำความอาลัยเถิด.   ถ้าเรืออยู่เฉพาะในทะเลตลอดภายใน ๓ เดือน ก็พึงปวารณาในเรือนั้นเถิด. 
ลำดับนั้นถ้าเรือถึงฝั่งเข้า ฝ่ายภิกษุนี้เป็นผู้ต้องการจะไปต่อไป จะไป ไม่ควร. พึงอยู่ในบ้านที่เรือจอดนั้นแล แล้วปวารณากับภิกษุทั้งหลายเถิด. 
   ถ้าแม้ว่าเรือจะไปในที่อื่นตามริมฝั่งเท่านั้น แต่ภิกษุอยากจะอยู่ในบ้านที่เรือถึงเข้าก่อนนั้นแล เรือจงไปเถิด ภิกษุพึงอยู่ในบ้านนั้นแล แล้วปวารณากับภิกษุทั้งหลายเถิด. 
   ใน ๓ สถาน คือในพวกโคต่าง ในหมู่เกวียน ในเรือ ไม่มีอาบัติ เพราะขาดพรรษา ทั้งได้เพื่อปวารณาด้วยปวารณาฉะนี้แล.  ส่วนในเรื่องทั้งหลาย มีเรื่องว่า ภิกษุทั้งหลายเป็นผู้เดือดร้อนด้วยสัตว์ร้ายเป็นต้น มีสังฆเภทเป็นที่สุด ซึ่งมีมาแล้วในหนหลัง ไม่เป็นอาบัติอย่างเดียว แต่ภิกษุไม่ได้เพื่อปวารณา. 
บทว่า ปิสาจิลฺลิกา คือ ปีศาจนั่นเอง ชื่อว่าปีศาจิลลิกา. 
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว รุกฺขสุสิเร นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   จะจำพรรษาในโพรงไม้ล้วนเท่านั้นไม่ควร. แต่จะทำกุฎีมุงบังด้วยแผ่นกระดานติดประตูสำหรับเข้าออกในภายในโรงโพรงไม้ใหญ่แล้ว จำพรรษา ควรอยู่. แม้จะตัดต้นไม้ สับฟากปูเรียบไว้ ทำกระท่อมมีกระดานมุงบังบนตอไม้แล้วจำพรรษาก็ควรเหมือนกัน. 
วินิจฉัยแม้ในข้อว่า รุกฺขวิฏปิยา นี้ พึงทราบดังนี้ว่า :- 
   จะจำพรรษาสักว่าบนค่าคบไม้ล้วนไม่ควร. แต่ว่าพึงผูกเป็นร้านบนค่าคบไม้ที่ใหญ่ แล้วทำให้เป็นห้องมุงบังด้วยกระดานบนร้านนั้นแล้วจำพรรษาเถิด. 
   บทว่า อเสนาสนิเกน ความว่า เสนาสนะที่มุงแล้วด้วยเครื่องมุง ๕ ชนิด๑- ชนิดใดชนิดหนึ่ง ติดประตูสำหรับเปิดปิดได้ของภิกษุใดไม่มี ภิกษุนั้นไม่ควรจำพรรษา. 
๑- ฎีกาสารตฺถทีปนีว่า ปญฺจนฺนํ ฉทนานนฺติ 
ติณปณฺณอิฏฺ ฐกสิลาสุธาสงฺขาตานํปญฺจนฺนํ ฉทนานํ. 
วินิจฉัยในข้อว่า น ภิกฺขเว ฉวกุฏิกาย นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   กระท่อมต่างชนิดมีเตียงมีแม่แคร่เป็นต้น ชื่อกระท่อมผี. จะจำพรรษาในกระท่อมผีนั้นไม่ควร. ก็แต่ว่าจะทำกระท่อมชนิดอื่นในป่าช้า แล้วจำพรรษา ควรอยู่. 
   พึงทราบวินิจฉัยแม้ในข้อว่า น ภิกฺขเว ฉตฺเต นี้ ดังนี้ :-    จะปักร่มไว้ใน ๔ เสา ทำฝารอบ ติดตะปูไว้แล้ว จำพรรษาก็ควร. กุฎีนั้นชื่อกุฎีร่ม. 
วินิจฉัยแม้ในบทว่า จาฏิยา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   จะทำกุฎีด้วยกระเบื้องอย่างใหญ่ ตามนัยที่กล่าวแล้วในเรื่องร่ม จำพรรษาก็ควร.
เนื้อความแม้ในข้อว่า เอวรูปา กติกา นี้ มีดังนี้ :- 
   กติกาแม้อื่นที่ไม่เป็นธรรมเช่นนี้อันใด กติกานั้นไม่ควรทำ. ลักษณะแห่งกติกานั้น อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้แล้วในมหาวิภังค์. ข้อว่า วสฺสาวาโส ปฏิสฺสุโต โหติ ปุริมิกาย มีความว่า พระอุปนนทศากยบุตรได้ทำปฏิญญาว่า เราจักจำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น ณ อาวาสของท่านทั้งหลาย. 
   ข้อว่า ปุริมิกา จ น ปญฺญายติ ความว่า การจำพรรษาในอาวาสซึ่งได้ปฏิญญาไว้หาปรากฏไม่.  วินิจฉัยในข้อว่า ปฏิสฺสเว จ อาปตฺติ ทุกฺกฏสฺส นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ย่อมเป็นอาบัติเพราะรับคำนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงจำพรรษาในที่นี้ตลอด ๓ เดือนนี้ ดังนี้ อย่างเดียวเท่านั้นหามิได้ ย่อมเป็นอาบัติทุกกฎ เพราะรับคำนั้นๆ แม้โดยนัยเป็นต้นอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายจงรับภิกษาตลอด ๓ เดือนนี้ ข้าพเจ้าแม้ทั้ง ๒
   จักอยู่ในที่นี้ จักให้แสดงรวมกัน. ก็ปฏิสสวทุกกฎนั้นแล ย่อมมีเพราะเหตุคือแกล้งกล่าวให้คลาดในภายหลัง ของภิกษุผู้มีจิตบริสุทธิ์ในชั้นต้น. แต่สำหรับภิกษุผู้มีจิตไม่บริสุทธิ์
   ในชั้นเดิม ควรปรับทุกกฎกับปาจิตตีย์ คือทุกกฎเพราะรับคำ ปาจิตตีย์เพราะแกล้งกล่าวให้คลาด. วินิจฉัยในข้อทั้งหลายมีข้อว่า โส ตทเหว อกรณีโย เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าว่าภิกษุไม่เข้าจำพรรษา หลีกไปเสียก็ดี เข้าจำพรรษาแล้วยัง ๗ วันให้ล่วงไปภายนอกอาวาสก็ดี วันเข้าพรรษาต้นของเธอไม่ปรากฏด้วย เธอต้องอาบัติเพราะรับคำด้วย.
   แต่ว่าไม่เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้เข้าพรรษาแล้ว ไม่ทันให้อรุณขึ้น แม้หลีกไปด้วยสัตตาหกรณียะในวันนั้นทีเดียว กลับมาภายใน ๗ วัน ก็ถ้อยคำที่ควรกล่าวอะไร จะพึงมีแก่ภิกษุผู้จำพรรษาแล้ว ๒-๓ วัน สัตตาหะไปเสียแล้วกลับมาภายใน ๗ วัน. วินิจฉัยแม้ในข้อว่า ทฺวิหติหํ วิสตฺวา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   พึงทราบว่า ขาดพรรษาเพราะล่วงอุปจาระไป ด้วยทอดอาลัยไปเสีย ไม่คิดกลับเท่านั้น. ถ้ายังมีความอาลัยว่า เราจักอยู่ ณ ที่นี้ แต่ไม่เข้าพรรษา เพราะระลึกไม่ได้ เสนาสนะที่
   เธอถือเอาแล้ว ก็เป็นอันถือเอาด้วยดี เธอไม่ขาดพรรษา ย่อมได้เพื่อปวารณาแท้. วินิจฉัยในข้อว่า สตฺตาหํ อนาคตาย ปวารณาย นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ย่อมควรเพื่อจะไป จำเดิมแต่วันขึ้น ๙ ค่ำ จะกลับมาก็ตาม ไม่กลับมาก็ตาม ไม่เป็นอาบัติ. 
คำที่เหลือเป็นคำตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
 อรรถกถาวัสสูปนายิกขันธก จบ.

11 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ เรื่องภิกษุหลายรูป เป็นต้น การจำพรรษา ๒ อย่าง

search-google ทำบุญ
   [๒๐๕] โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน อันเป็นสถานที่พระราชทานเหยื่อแก่กระแต
   เขตพระนครราชคฤห์. ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคยังมิได้ทรงบัญญัติการจำพรรษาแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นเที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน. 
   คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ  ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร จึงได้เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกปริพาชกอัญญเดียรถีย์เหล่านี้เป็นผู้กล่าวธรรมอันต่ำทราม
   ยังพัก ยังอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน อนึ่ง ฝูงนกเหล่านี้เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้ และพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรเหล่านี้ เที่ยวจาริกไปตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน  เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด
   เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ จำนวนมากให้ถึงความวอดวาย. ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น  ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้จำพรรษา.
การจำพรรษา ๒ อย่าง
  [๒๐๖] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า  พวกเราพึงจำพรรษาเมื่อไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 
   เราอนุญาตให้จำพรรษา ในฤดูฝน.
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายคิดกันว่า วันเข้าพรรษามีกี่วันหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. 
   พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  วันเข้าพรรษานี้มี ๒ คือ ปุริมิกาวันเข้าพรรษาต้น ๑ ปัจฉิมิกา วันเข้าพรรษาหลัง ๑ เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้ววันหนึ่ง 
   พึงเข้าพรรษาต้น  เมื่อพระจันทร์เพ็ญเสวยฤกษ์อาสาฬหะล่วงไปแล้วเดือนหนึ่งพึงเข้าพรรษาหลัง ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันเข้าพรรษามี ๒ วันเท่านี้แล.
พระฉัพพัคคีย์เที่ยวจาริกทุกเวลา
   [๒๐๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์จำพรรษาแล้ว ยังเที่ยวจาริกในระหว่างพรรษา. คนทั้งหลายจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาเช่นนั้นแหละว่า ไฉนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตรจึงได้เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะยังสัตว์เล็กๆ 
   มีจำนวนมากให้ถึงความวอดวายเล่า ก็พวกอัญญเดียรถีย์เหล่านี้ เป็นผู้กล่าวธรรมอันต่ำทราม ยังพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน  อนึ่ง ฝูงนกเหล่านี้เล่าก็ยังทำรังบนยอดไม้แล้วพักอาศัยอยู่ประจำตลอดฤดูฝน  ส่วนพระสมณะเชื้อสายพระศากยบุตร เหล่านี้
   เที่ยวจาริกตลอดฤดูหนาว ฤดูร้อน และฤดูฝน  เหยียบย่ำติณชาติอันเขียวสด เบียดเบียนอินทรีย์อย่างหนึ่งซึ่งมีชีวะ ยังสัตว์เล็กๆ ซึ่งมีจำนวนมากให้ถึงความวอดวาย. ภิกษุทั้งหลายได้ยินคนพวกนั้นเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา.
   บรรดาที่เป็นผู้มักน้อยต่างก็เพ่งโทษ ติเตียนโพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์จำพรรษาแล้ว จึงได้เที่ยวจาริกระหว่างพรรษาเล่า จึงภิกษุเหล่านั้นกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น  ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก รูปใดหลีกไป ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระฉัพพัคคีย์ไม่จำพรรษา
   [๒๐๘] ก็โดยสมัยนั้นแล   พระฉัพพัคคีย์ไม่ประสงค์จะจำพรรษา
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  
   พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจะไม่จำพรรษาไม่ได้ รูปใดไม่จำพรรษา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   สมัยต่อมา พระฉัพพัคคีย์ ไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา แกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสีย.
   ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งห้ามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ประสงค์จะจำพรรษาในวันเข้าพรรษา ไม่พึงแกล้งล่วงเลยอาวาสไปเสียรูปใดล่วงเลยไปเสีย ต้องอาบัติทุกกฏ.
เลื่อนกาลฝน
   [๒๐๙] ก็โดยสมัยนั้นแล  พระเจ้าพิมพิสาร จอมเสนามาคธราช มีพระราชประสงค์จะทรงเลื่อนกาลฝนออกไป 
   จึงทรงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ถ้ากระไร ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายพึงจำพรรษาในชุณหปักษ์อันจะมาถึง. ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้คล้อยตามพระเจ้าแผ่นดิน.
อรรถกถา มหาวรรคภภาค ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ
 เรื่องภิกษุหลายรูป การจำพรรษา ๒ อย่าง เป็นต้น
อรรถกถาวัสสูปนายิกขันธกะ

   วินิจฉัยในเรื่องวัสสูปนายิกขันธกะ พึงทราบดังนี้ :- 
   บทว่า อปฺปญฺญตฺโต ได้แก่ ยังมิได้ทรงอนุญาต หรือว่ายังมิได้ทรงจัด. สองบทว่า เตธ ภิกฺขู ได้แก่ ภิกษุทั้งหลายนั้น. อิธ ศัพท์ เป็นเพียงนิบาต. 
   สัตว์ทั้งหลายผู้อาจไปในอากาศชื่อว่านก.  บทว่า สงฺกาสยิสฺสนฺติ ความว่า นกทั้งหลาย ก็จักขวนขวายน้อยอยู่ประจำที่. 
สองบทว่า สงฺฆาตํ อาปาเทนฺตา ได้แก่ ให้ถึงความพินาศ. 
   หลายบทว่า วสฺสาเน วสฺสํอุปคนฺตุํ ความว่า เพื่อเข้าจำพรรษาตลอด ๓ เดือนในฤดูฝน.  หลายบทว่า กติ นุ โข วสฺสูปนายิกา ความว่า วันเข้าพรรษามีเท่าไรหนอ? 
วินิจฉัยในคำว่า อุปรชฺชุคตาย อาสาฬฺหิยา พึงทราบดังนี้ :- 
   วัน ๑ แห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่า มีวัน ๑ ล่วงไปแล้ว. เมื่อดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้นล่วงไปแล้ว คือก้าวล่วงแล้ววัน ๑. อธิบายว่า ในวันแรมค่ำ ๑ 
   แม้ในนัยที่ ๒ ก็มีความว่า เดือน ๑ แห่งดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น ซึ่งล่วงไปแล้ว เพราะเหตุนั้น ดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้น จึงชื่อว่ามีเดือน ๑ ล่วงไปแล้ว. เมื่อดิถีเพ็ญเดือนอาสาฬหะนั้นล่วงไปแล้ว คือก้าวล่วงแล้วเดือน ๑. 
   อธิบายว่า เมื่อเดือน ๑ เต็มบริบูรณ์. เพราะเหตุนั้น ในวันแรมค่ำ ๑ ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน ๘ หรือในวันแรมค่ำ ๑ ซึ่งถัดจากวันกลางเดือน ๙ จากเพ็ญเดือน ๘ นั่นแล อันภิกษุผู้จะจำพรรษา พึงจัดแจงวิหารแล้วตั้งน้ำฉันน้ำใช้ไว้ 
   พึงทำสามีจิกรรมมีกราบไหว้พระเจดีย์เป็นต้นทั้งปวงให้เสร็จแล้ว พึงเปล่งวาจาว่า อิมสฺมึ วิหาเร อิมํ เตมาสํ วสฺสํ อุเปมิ ดังนี้ ครั้ง ๑ หรือ ๒ ครั้งแล้ว จำพรรษาเถิด. 
วินิจฉัยในคำว่า โย ปกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :-  พึงทราบว่า ต้องอาบัติ เพราะไม่มีอาลัย หรือเพราะให้อรุณขึ้นในที่อื่น. 
วินิจฉัยในคำว่า โย อติกฺกเมยฺย นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
    พึงทราบว่า เป็นอาบัติหลายตัว ด้วยนับวัด. 
   ก็ถ้าว่า ในวันนั้น เธอเข้าไปยังอุปจารวัด ๑๐๐ ตำบลแล้วเลยไปเสีย พึงทราบว่า เป็นอาบัติ ๑๐๐ ตัว แต่ถ้าว่า เลยอุปจารวัดไปแล้ว แต่ยังไม่ทันเข้าอุปจารวัดอื่น กลับมาเสีย พึงทราบว่า ต้องอาบัติตัวเดียวเท่านั้น. ภิกษุผู้ไม่จำพรรษาต้น เพราะอันตรายบางอย่างต้องจำพรรษาหลัง. 
สองบทว่า วสฺสํ อุกฺกฑฺฒิตุกาโม ความว่า มีพระประสงค์จะเลื่อนเดือนต้นฤดูฝนออกไป. อธิบายว่า มีพระประสงค์จะไม่นับเดือน ๙ จะให้นับเป็นเดือน ๘ อีก. 
สองบทว่า อาคเม ชุณฺเห มีอธิบายว่า ในเดือนอธิกมาส. 
   วินิจฉัยในข้อว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุํ นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตเพื่ออนุวัตรตาม ด้วยทรงทำในพระหฤทัยว่า ชื่อว่าความเสื่อมเสียสักนิดหน่อย ย่อมไม่มีแก่ภิกษุทั้งหลาย เพราะเลื่อนกาลฝนออกไป.
   เพราะฉะนั้น ภิกษุควรอนุวัตรตามในกรรมที่เป็นธรรมอย่างอื่นได้ แต่ไม่ควรอนุวัตรตามแก่ใครๆ ในกรรมอันไม่เป็นธรรมฉะนี้แล.
เรื่อง ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ
หัว ทายกสร้างวิหารเป็นต้นถวาย

   [๒๑๐] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในพระนครราชคฤห์ ตามพระพุทธาภิรมย์แล้ว เสด็จจาริกไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกไปโดยลำดับ ลุถึงพระนครสาวัตถี.
   ทราบว่า พระองค์ประทับอยู่ ณ  พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น.
   ก็โดยสมัยนั้นแล  อุบาสกชื่ออุเทนได้ให้สร้างวิหารอุทิศต่อสงฆ์ไว้ในโกศลชนบท. เขาได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายจงมา ข้าพเจ้าปรารถนา จะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายตอบไปอย่างนี้ว่า ท่านอุบาสก พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า ภิกษุจำพรรษา ไม่อยู่ให้ตลอด ๓ เดือนต้น หรือ ๓ เดือนหลัง  ไม่พึงหลีกไปสู่จาริก ขออุบาสก
   อุเทนจงรอชั่วระยะเวลาที่ภิกษุทั้งหลายจำพรรษา  ออกพรรษาแล้วจึงจักไปได้  แต่ถ้าท่านจะมีกรณียกิจรีบด่วน  จงให้ประดิษฐานวิหารไว้ในสำนักภิกษุเจ้าถิ่น ในโกศลชนบทนั้นนั่นแหละ.
   อุบาสกอุเทนจึงเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนเมื่อเราส่งทูตไปแล้ว พระคุณเจ้าทั้งหลายจึงได้ไม่มาเล่า เราก็เป็นทายก เป็นผู้ก่อสร้าง เป็นผู้บำรุงสงฆ์.
   ภิกษุทั้งหลายได้ยินอุบาสกอุเทนเพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาอยู่ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   ลำดับนั้น  พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา  เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  แม้เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต บุคคล ๗ จำพวก
   คือ ภิกษุ ภิกษุณีสิกขมานา สามเณร สามเณรี อุบาสก อุบาสิกา ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคล ๗ จำพวกนี้
   ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา เราไม่อนุญาต พึงกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน
   ฟังธรรมและพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น ....  ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .... ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ...  ได้ให้สร้างบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างโรงน้ำ .... ได้ให้สร้างเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ  ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ ....
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วย
   สัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมาก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน
ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุรูปหนึ่ง 
ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ
ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงน้ำ
ได้ให้สร้างเรือนไฟ .... ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วย
   สัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็อุบาสกในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุณีสงฆ์
 อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน . อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง
 อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง
 อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน . อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง
 อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง .
 ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น .
 ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ ....
 ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม ....
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ ...
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี 
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ .
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี ... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนา พระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสกในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างนิเวศน์เพื่อประโยชน์ตน
 ได้ให้สร้างเรือนนอน  ได้ให้สร้างโรงเก็บของ
 ได้ให้สร้างร้าน .... ได้ให้สร้างโรงกลม ...
 ได้ให้สร้างร้านค้า .... ได้ให้สร้างโรงร้านค้า
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ ....
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน ....
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .... ได้ให้สร้างโรงครัว .
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างเรือนไฟ .. ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .. ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
   อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดี จะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี
เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะก็ดี.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะนี้ จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่าเขามีกิจหรือกรณียะ อย่างใดอย่างหนึ่งก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลาย
   ว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหะกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระผู้เป็นเจ้าทั้งหลายมา  ดิฉันปรารถนาจะถวายทานฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา
   พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนาง
   ไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียวอุทิศสงฆ์
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน
 ได้ให้สร้างโรงไฟ .. ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี ..ได้ให้สร้างที่จงกรม 
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ได้ให้สร้างบ่อน้ำ ..
 ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ . ได้ให้สร้างเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ข้าพเจ้าปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา 
   พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน
 อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง .... อุทิศภิกษุณีสงฆ์
 อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง
อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน  อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง
อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง
อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง
 ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
ได้ให้สร้างเรือนโล้น .... ได้ให้สร้างถ้ำ
 ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างเรือนไฟ .... ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .. ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง อุบาสิกาในศาสนานี้ได้
   ให้สร้างนิเวศน์ เพื่อประโยชน์ตน
 ได้ให้สร้างเรือนนอน .. ได้ให้สร้างโรงเก็บของ
 ได้ให้สร้างร้าน .... ได้ให้สร้างโรงกลม ...
 ได้ให้สร้างร้านค้า .... ได้ให้สร้างโรงร้านค้า
 ได้ให้สร้างเรือนชั้น .... ได้ให้สร้างเรือนโล้น
 ได้ให้สร้างถ้ำ .... ได้ให้สร้างบริเวณ ....
 ได้ให้สร้างซุ้ม .... ได้ให้สร้างโรงฉัน ....
 ได้ให้สร้างโรงไฟ ... ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี
 ได้ให้สร้างวัจจกุฎี .... ได้ให้สร้างที่จงกรม
 ได้ให้สร้างโรงจงกรม ... ได้ให้สร้างบ่อน้ำ
 ได้ให้สร้างโรงน้ำ .... ได้ให้สร้างเรือนไฟ 
 ได้ให้สร้างโรงเรือนไฟ ได้ให้สร้างสระโบกขรณี
 ได้ให้สร้างมณฑป .... ได้ให้สร้างอาราม
 ได้ให้สร้างอารามวัตถุ
   อนึ่ง จะมีการมงคลแก่บุตรก็ดี จะมีการมงคลแก่ธิดาก็ดี เขาเจ็บไข้ก็ดี จะกล่าวพระสุตตันตะที่รู้เฉพาะก็ดี.  ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   จักได้เรียนพระสุตตันตะนี้ไว้ โดยวิธีที่พระสุตตันตะนี้จะไม่เสื่อมสูญไปเสีย หรือว่า เขามีกิจ หรือกรณียะอย่างหนึ่งอย่างใดก็ดี. ถ้าเขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนา
   จะถวายทาน ฟังธรรม และ
   พบเห็น ภิกษุทั้งหลาย. เมื่อนางส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไปพึงกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้ได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์
 ภิกษุณีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สิกขมานาได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สามเณรได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
 สามเณรีได้ให้สร้างวิหารอุทิศสงฆ์ ....
อุทิศภิกษุมากรูปด้วยกัน อุทิศภิกษุรูปหนึ่ง
อุทิศภิกษุณีสงฆ์ อุทิศภิกษุณีมากรูปด้วยกัน
อุทิศภิกษุณีรูปหนึ่ง อุทิศสิกขมานามากรูปด้วยกัน
อุทิศสิกขมานารูปหนึ่ง อุทิศสามเณรมากรูปด้วยกัน
อุทิศสามเณรรูปหนึ่ง อุทิศสามเณรีมากรูปด้วยกัน
อุทิศสามเณรีรูปหนึ่ง ....
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรีในศาสนานี้ได้
  ให้สร้างวิหารเพื่อประโยชน์ตน
.... ได้ให้สร้างเรือนมุงแถบเดียว ได้ให้สร้างเรือนชั้น
.... ได้ให้สร้างเรือนโล้น ได้ให้สร้างถ้ำ
.... ได้ให้สร้างบริเวณ .... ได้ให้สร้างซุ้ม
 ได้ให้สร้างโรงฉัน .... ได้ให้สร้างโรงไฟ
 ได้ให้สร้างกัปปิยกุฎี .... ได้ให้สร้างวัจจกุฎี
 ได้ให้สร้างที่จงกรม .... ได้ให้สร้างโรงจงกรม
 ได้ให้สร้างบ่อน้ำ .... ได้ให้สร้างโรงบ่อน้ำ .
 ได้ให้สร้างสระโบกขรณี .... ได้ให้สร้างมณฑป
 ได้ให้สร้างอาราม .... ได้ให้สร้างอารามวัตถุ.
   ถ้านางส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ขออาราธนาพระ-
*คุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาจะถวายทาน ฟังธรรม และพบเห็นภิกษุทั้งหลาย.  เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อนางไม่ส่งมา ก็ไม่พึงไป พึงกลับใน ๗ วัน.
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะสหธรรมิก ๕
   [๒๑๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่งอาพาธ. เธอได้ส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา สหธรรมิก ๕ คือ 
     ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อสหธรรมิก ๕ นี้ แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุ
   ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในศาสนานี้อาพาธ ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิดแก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา
   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ
   ได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักระงับความกระสัน หรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดขึ้นแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความรำคาญบังเกิดแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา 
   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะ
   ได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความรำคาญหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความเห็นผิดบังเกิดแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผม
   ปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิด จักวานภิกษุอื่นให้ช่วยเปลื้อง หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติควรอยู่ปริวาส.  ถ้าเธอพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองต้องคารุกาบัติควรอยู่ปริวาส  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้ปาริวาส จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา   กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติเดิม จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรมานัต.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรมานัต  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนา
   การมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้มานัต จักช่วยสวด
   หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองเป็นผู้ควรอัพภาน  ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่ง
       ทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้
   จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม  คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม  ปฏิสารณียกรรม  หรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่กระผม ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ สงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   อนึ่ง ภิกษุนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรมหรืออุกเขปนียกรรมแล้ว.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่กระผมแล้ว ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้
   ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมาพึงไปด้วยตั้งใจว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ ภิกษุนั้นพึงประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสีย แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยภิกษุณี
   ๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุณีในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนา
   การมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความกระสันบังเกิดแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักระงับ
   ความกระสันหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยระงับ หรือจักทำธรรมกถา แก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความรำคาญบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความรำคาญบังเกิดแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
      ดิฉัน ปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักบรรเทาความรำคาญหรือจักวานภิกษุอื่นให้ช่วยบรรเทา หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความเห็นผิดบังเกิดแก่ภิกษุณีในศาสนานี้.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ความเห็นผิดบังเกิดแก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วย สัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักเปลื้องความเห็นผิด จักวานภิกษุอื่นให้ช่วยเปลื้อง หรือจักทำธรรมกถาแก่ภิกษุณีนั้น แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ต้องครุกาบัติ  ควรมานัต.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองต้องครุกาบัติ ควรมานัต  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้มานัต  แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็นผู้ควรชักเข้าหาอาบัติเดิม  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายชักเข้าหาอาบัติเดิม  แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุณีในศาสนานี้เป็นผู้ควรอัพภาน. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองเป็นผู้ควรอัพภาน  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
   ดิฉัน ปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมาก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้
   จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อัพภาน แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรม  คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรมปัพพาชนียกรรม  ปฏิสารณียกรรม  หรืออุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุณีในศาสนานี้.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์เป็นผู้ใคร่เพื่อทำกรรมแก่ดิฉัน ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า ด้วยวิธีอย่างไรหนอ สงฆ์จึงจะไม่ทำกรรม หรือพึงน้อมไปเพื่อกรรมสถานเบา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. 
   อนึ่ง ภิกษุณีนั้นได้ถูกสงฆ์ทำกรรม คือ ตัชชนียกรรม นิยสกรรม ปัพพาชนียกรรม ปฏิสารณียกรรม  หรือ อุกเขปนียกรรมแล้ว.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า สงฆ์ได้ทำกรรมแก่ดิฉันแล้ว ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ ภิกษุณีนั้นพึงประพฤติชอบ หายเย่อหยิ่ง ประพฤติแก้ตัวได้ สงฆ์จะได้ระงับกรรมนั้นเสีย แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสิกขมานา
   ๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สิกขมานาในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนัก ภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช  จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สิกขมานาในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
สิกขาของสิกขมานาในศาสนานี้กำเริบ.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่าสิกขาของดิฉันกำเริบแล้ว  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
       ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สิกขมานาในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองใคร่จะอุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา
       ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท  จักช่วยสวดหรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณร
   ๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สามเณรในศาสนานี้อาพาธ. ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองอาพาธ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
 สามเณรเป็นผู้ใคร่จะถามปี.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะถามปี ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา  กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย  ดูกรภิกษุทั้งหลายแม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักถาม หรือจักบอก แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง สามเณรในศาสนานี้เป็นผู้ใคร่จะอุปสมบท.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า กระผมเองใคร่จะอุปสมบท ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้  จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้อุปสมบท  จักช่วยสวด หรือจักเป็นคณะปูรกะ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
สัตตาหกรณียะเนื่องด้วยสามเณรี
   ๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สามเณรีในศาสนานี้อาพาธ.  ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉันเองอาพาธ ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา
   ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต  คิลานเภสัช  จักถามอาการ หรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ความกระสันบังเกิดแก่สามเณรีในศาสนานี้ ....
 ความรำคาญบังเกิด .... ความเห็นผิดบังเกิด
 สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะถามปี ....
   สามเณรีเป็นผู้ใคร่จะสมาทานสิกขา.
   ถ้าเธอจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ดิฉัน
เองใคร่จะสมาทานสิกขา  ขออาราธนาพระคุณเจ้าทั้งหลายมา  ดิฉันปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. 
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   แม้เมื่อเธอมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเธอส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักทำการขวนขวายให้สมาทานสิกขา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   [๒๑๒] ก็โดยสมัยนั้นแล มารดาของภิกษุรูปหนึ่งได้ป่วยไข้.  นางส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร จึงภิกษุนั้นได้ดำริว่า พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า เมื่อบุคคล ๗ จำพวกส่งทูตมา
   ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขา ไม่ส่งทูตมา จะไปไม่ได้ สำหรับสหธรรมิก ๕ แม้มิได้ส่งทูตมาก็ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา ก็นี่มารดาของเรากำลังป่วยไข้ และท่านก็มิใช่อุบาสิกา  เราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗ จำพวก แม้มิได้ส่งทูตมา  เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา  บุคคล ๗ จำพวก
   คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี มารดาและบิดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อบุคคล ๗จำพวกนี้
   แม้มิได้ส่งทูตมา เราอนุญาตให้ไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไยเมื่อเขาส่งทูตมา แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มารดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้เป็นบุตรว่า ดิฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของบุตร.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   แม้เมื่อนางมิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อนางส่งทูตมา  พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต  คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการหรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง 
   บิดาของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนัก ภิกษุผู้เป็นบุตรว่า   ฉันเองป่วยไข้ ขอบุตรของฉันจงมา ฉันปรารถนาการมาของบุตร.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้
   เมื่อเขามิได้ส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ จะต้องกล่าวไปไย เมื่อเขาส่งทูตมา พึงไปด้วยตั้งใจว่า จักแสวงหาคิลานภัต คิลานุปัฐากภัต คิลานเภสัช จักถามอาการหรือจักพยาบาล แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง 
   พี่ชายน้องชายของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้.  ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุผู้พี่ชายน้องชายว่า กระผมเองป่วยไข้ ขอพี่ชายน้องชายของกระผมจงมา กระผมปรารถนาการมา
   ของพี่ชายน้องชาย.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง
   พี่หญิงน้องหญิงของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า ดิฉันเองป่วยไข้  ขอพี่ชายน้องชายของดิฉันจงมา ดิฉันปรารถนาการมาของพี่ชายน้องชาย.  ดูกร
   ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขาส่งทูตมา ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ญาติของภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้. ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ ขอพระคุณเจ้าจงมา กระผมปรารถนาการมาของพระคุณเจ้า. ดูกร
   ภิกษุทั้งหลายเมื่อเขาส่งทูตมา  ก็พึงไปด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไปแต่ต้องกลับใน ๗ วัน. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง บุรุษผู้ภักดีต่อภิกษุในศาสนานี้ป่วยไข้.
   ถ้าเขาจะพึงส่งทูตไปในสำนักภิกษุว่า กระผมเองป่วยไข้ ขออาราธนาภิกษุทั้งหลายมา กระผมปรารถนาการมาของภิกษุทั้งหลาย. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อเขาส่งทูตมาก็พึงไป
   ด้วยสัตตาหกรณียะได้ แต่เมื่อเขาไม่ส่งทูตมา ก็ไม่พึงไป แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.
ทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะเพราะกิจของสงฆ์
             [๒๑๓] ก็โดยสมัยนั้นแล มหาวิหารของสงฆ์ชำรุดลง อุบาสกคนหนึ่งได้ให้ตัดเครื่องทัพพสัมภาระไว้ในป่า.
   เขาส่งทูตไปในสำนักภิกษุทั้งหลายว่า ถ้าพระคุณเจ้าทั้งหลาย จะพึงขนเครื่องทัพพสัมภาระนั้นไปได้  กระผมขอ
   ถวายเครื่องทัพพสัมภาระนั้น.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูล
เรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ไปได้เพราะกรณียะของสงฆ์ แต่ต้องกลับใน ๗ วัน.   เรื่องทรงอนุญาตสัตตาหกรณียะ จบ.
วัสสาวาสภาณวารที่ ๑ จบ