Translate

14 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ มีความสงสัยปวารณา ฝืนใจทำปวารณา

search-google ทำบุญ
   [๒๓๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นมากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่ายังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยัง
   ไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย  เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลาย ว่าดังนี้:-
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. พวกเธอต้องปวารณาใหม่  ภิกษุที่ปวารณาแล้ว  ไม่ต้องอาบัติ.
๒.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.   พวกที่เหลือ พึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๓.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือ พึงปวารณาต่อไป.
  พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่. ภิกษุที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน.  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๖. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนน้อยกว่า.  ภิกษุที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  ภิกษุพวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๗. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.
   พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.
   เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี แต่บริษัทยังไม่ทัน
ลุกไป  ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่ ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๘. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
๙. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๐. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรมมีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่ มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
   มีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน ....
๑๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่าภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลัง พึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกันปวารณา.  เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า.
   ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
๑๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนเท่ากัน ....
๑๕. ดูกรภิกษุทั้งหลาย .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า. ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ไม่ต้องอาบัติ.
ปวารณาไม่ต้องอาบัติ ๑๕ ข้อ จบ.
ปวารณาเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ [๒๓๔]
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่
   ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.
   พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัย
เป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๓. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า  ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. นอกนั้นพึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสำคัญว่าเป็นธรรม  มีความสำคัญว่าเป็นวินัยเป็นหมู่  มีความสำคัญว่าพร้อมกัน ปวารณา. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๖. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๗. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี  บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๘. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๙. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จพอดี  บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้นมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง 
มีจำนวนมากกว่า
๑๑. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๑๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. เมื่อพวกเธอปวารณาเสร็จ  บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๑๔. ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.  พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
ปวารณาเป็นหมู่สำคัญว่าพร้อมกัน ๑๕ ข้อ จบ.
มีความสงสัยปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๕]
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ
   เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา.  พวกเธอมีความสงสัยว่า พวกเราปวารณากันจะสมควรหรือไม่สมควร
   หนอ  ดังนี้  แล้วยังขืนปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
   มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒. ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้วเป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่ยังไม่มา. พวกเธอมีความสงสัยว่า  พวกเราปวารณากันจะสมควรหรือไม่สมควรหนอ ดังนี้  แล้วยังขืนปวารณา. พอพวกเธอปวารณาเสร็จ  ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง
มีจำนวนมากกว่า ....
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗.บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐.บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้วต้องอาบัติทุกกฏ.
มีความสงสัยปวารณา  ๑๕ ข้อ จบ.
ฝืนใจทำปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๖]
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุ
   เจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา แต่ฝืนใจทำปวารณา  ด้วยเข้าใจว่า พวกเราปวารณากัน สมควรแท้ จะไม่สมควรก็หามิได้. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว. พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติทุกกฏ.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมี
   ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น ที่ยังไม่มา แต่ฝืนใจทำปวารณา ด้วยเข้าใจว่าพวกเราปวารณากันสมควรแท้ จะไม่สมควรก็หามิได้. พอพวกเธอปวารณาเสร็จ ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗.บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐. .... บริษัทบางพวกลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓.บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.
   พวกที่ปวารณาแล้วต้องอาบัติทุกกฏ.
ฝืนใจทำปวารณา ๑๕ ข้อ จบ.
มุ่งความแตกร้าวปวารณา ๑๕ ข้อ [๒๓๗]
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่น ในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวก
   อื่นที่    ยังไม่มา  และมุ่งความแตกร้าวว่า ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ  ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น  ดังนี้ จึงปวารณา. เมื่อพวกเธอกำลังปวารณา
   ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า.  ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า
๓. .... ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้ว เป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่เหลือพึงปวารณาต่อไป.
   พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ มากรูปด้วยกัน  แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอรู้อยู่ว่า  ยังมีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นที่ยังไม่มา และมุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ ขอภิกษุเหล่านั้นจงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น  ดังนี้
   จึงปวารณา. พวกเธอปวารณาเสร็จ
ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึงมีจำนวนมากกว่า
๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๖.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๗. .... บริษัทยังไม่ทันลุกไป ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๘.ขณะนั้น  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๙.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๐.บริษัทบางพวกลุกไปแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า ....
๑๑.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๒.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า
๑๓. .... บริษัทลุกไปหมดแล้ว ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนมากกว่า. ภิกษุเหล่านั้นต้องปวารณาใหม่.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
๑๔.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนเท่ากัน
๑๕.ขณะนั้น มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นมาถึง มีจำนวนน้อยกว่า ภิกษุพวกที่ปวารณาแล้วเป็นอันปวารณาดีแล้ว.
   พวกที่มาทีหลังพึงปวารณาในสำนักพวกเธอ.  พวกที่ปวารณาแล้ว ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
มุ่งความแตกร้าวปวารณา ๑๕ ข้อ จบ.
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ
   [๒๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้มากรูปด้วยกัน แต่ประชุมกัน ๕ รูปบ้าง เกินกว่าบ้าง.  พวกเธอไม่ทราบว่า มีภิกษุ
เจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา ....
   พวกเธอไม่ทราบว่า  มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น
เข้ามา   ในสีมาแล้ว พวกเธอไม่เห็นภิกษุเจ้าถิ่น
   พวกอื่นที่กำลังเข้ามาในสีมา พวกเธอไม่เห็น
ภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่น   เข้ามาภายในสีมาแล้ว พวก
   เธอไม่ได้ยินว่า  มีภิกษุ
เจ้าถิ่นพวกอื่นกำลังเข้ามาภายในสีมา พวกเธอไม่ได้ยินว่า
มีภิกษุเจ้าถิ่นพวกอื่นเข้ามาภายในสีมาแล้ว ....
   โดยนัย ๑๗๕ ติกะ ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุเจ้าถิ่น ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะ ภิกษุอาคันตุกะกับภิกษุอาคันตุกะ รวมเป็น ๗๐๐ ติกะ โดยเปยยาลมุข.
เปยยาลมุข ๗๐๐ ติกะ จบ.
ภิกษุเจ้าถิ่นกับภิกษุอาคันตุกะนับวันปวารณาต่างกัน
   [๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๔ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่าพวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตร
   พวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุอาคันตุกะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๔ ค่ำ. ถ้าพวกเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น.
   ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุอาคันตุกะพึงอนุวัตรพวกภิกษุเจ้าถิ่น. ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงอนุวัตรพวกภิกษุอาคันตุกะ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็นวัน ๑ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑๕ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า. พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนา
   ก็ไม่ให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ.  พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.
   ถ้ามีจำนวนเท่ากัน พวกภิกษุเจ้าถิ่นไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ พวกภิกษุอาคันตุกะพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.  ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ หรือพึงไปเสียนอกสีมา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง วันปวารณาของพวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เป็น ๑๕ ค่ำ ของพวกภิกษุอาคันตุกะเป็น ๑ ค่ำ. ถ้าพวกภิกษุเจ้าถิ่นมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้
   ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไปเสียนอกสีมา. ถ้ามีจำนวนเท่ากัน. พวกภิกษุอาคันตุกะพึงให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น หรือพึงไปเสียนอกสีมา.
   ถ้าพวกภิกษุอาคันตุกะมีจำนวนมากกว่า พวกภิกษุอาคันตุกะไม่ปรารถนาก็ไม่ต้องให้ความสามัคคีแก่พวกภิกษุเจ้าถิ่น  พวกภิกษุเจ้าถิ่นพึงไปปวารณานอกสีมาเถิด.
ปวารณาของภิกษุที่สงสัยเป็นต้น
   [๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น  ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น   เตียง  ตั่ง ฟูก  หมอน จัดไว้ได้ระเบียบ  น้ำฉัน น้ำใช้ จัดหาไว้เป็นอันดี  บริเวณกวาดสะอาดสะอ้าน ครั้นแล้ว มีความสงสัยว่า  พวก
   ภิกษุเจ้าถิ่นมีหรือไม่มีหนอ?
   พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่เที่ยวค้นหา
ครั้นแล้ว ขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหาแล้วแต่ไม่พบ
   จึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ. พวกเธอมีความสงสัย
ได้ค้นหาแล้วพบ จึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหาแล้วพบ ครั้นแล้ว
แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. พวกเธอมี
   ความสงสัยได้ค้นหา   แล้วพบ  ครั้นแล้วมุ่ง
ความแตกร้าวว่า ขอภิกษุพวกนั้น จงเสื่อมสูญ
    จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วย
   ภิกษุพวกนั้น ดังนี้จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้ยินอาการเจ้าถิ่น ลักษณะเจ้าถิ่น เครื่องหมายเจ้าถิ่น  สิ่งที่แสดงเจ้าถิ่น ของพวกภิกษุเจ้าถิ่น  ได้ยินเสียงเท้าของพวกภิกษุเจ้าถิ่นกำลังเดินจงกรม
   ได้ยินเสียงท่องสาธยาย  เสียงไอ เสียงจาม  ครั้นแล้วมีความสงสัยว่าพวกภิกษุเจ้าถิ่นยังมีหรือไม่มีหนอ?
   พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา  ครั้นแล้วขืนปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้วไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ  ครั้นพบแล้วจึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วจึงแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้วมุ่งความแตกร้าว ว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา
   ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้เห็นอาการอาคันตุกะ ลักษณะอาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้เห็น บาตร จีวร  ผ้านิสีทนะ อันเป็นของภิกษุพวกอื่น ได้เห็นรอยน้ำล้างเท้า  ครั้นแล้วมีความสงสัย   ว่าพวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่หนอ?
.... พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา
   ครั้นแล้วขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ. พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว ไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา
   ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ  ครั้นพบแล้ว จึงปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ ครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้ จึงปวารณา
   ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้ยินอาการอาคันตุกะ ลักษณะอาคันตุกะ เครื่องหมายอาคันตุกะ สิ่งที่แสดงอาคันตุกะ ของพวกภิกษุอาคันตุกะ ได้ยินเสียงเท้าของ
   พวกภิกษุอาคันตุกะกำลังเดินมา
   ได้ยินเสียงรองเท้ากระทบ ได้ยินเสียงไอ เสียงจาม
   ครั้นแล้วมีความสงสัยว่า พวกภิกษุอาคันตุกะยังมีหรือไม่หนอ?  พวกเธอมีความสงสัยแต่ไม่ค้นหา ครั้นแล้วขืนปวารณา    ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว ไม่พบ ครั้นแล้วจึงปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ  ครั้นพบแล้ว ได้ปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา  ครั้นค้นหาแล้ว จึงพบ ครั้นพบแล้ว ได้แยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอมีความสงสัยได้ค้นหา ครั้นค้นหาแล้วจึงพบ ครั้นพบแล้ว มุ่งความแตกร้าวว่า  ขอภิกษุเหล่านั้นจงเสื่อมสูญ จงพินาศ จะประโยชน์อะไรด้วยภิกษุเหล่านั้น ดังนี้
   จึงปวารณา ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
ภิกษุสมานสังวาสเป็นต้นปวารณา
   [๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่นซึ่งเป็นนานาสังวาส. พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม 
   ครั้นแล้วจึงปวารณาร่วมกัน  ไม่ต้องอาบัติ.
.... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
.... พวกเธอได้ไต่ถาม  ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุอาคันตุกะในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุเจ้าถิ่นซึ่งเป็นสมานสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา  ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้ได้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งเป็นนานาสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นสมานสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ไม่ต้องอาบัติ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้ว ไม่รังเกียจ  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วไม่รังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง พวกภิกษุเจ้าถิ่นในศาสนานี้เห็นพวกภิกษุอาคันตุกะซึ่งเป็นสมานสังวาส.  พวกเธอกลับได้ความเห็นว่าเป็นนานาสังวาส  ครั้นแล้วก็ไม่ไต่ถาม  ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน
   ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วแยกกันปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   .... พวกเธอได้ไต่ถาม ครั้นไต่ถามแล้วรังเกียจ ครั้นแล้วปวารณาร่วมกัน ไม่ต้องอาบัติ.
ไม่ควรไปไหนในวันปวารณา
   [๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสที่มีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส  หรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส  หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นมิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุไม่ครบจำนวน  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา  ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสมีภิกษุซึ่งครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวนสู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน ....
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เมื่อถึงวันปวารณา   ไม่พึงไปจากอาวาส หรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  ซึ่งเป็นที่อยู่ของภิกษุผู้เป็นนานาสังวาส  นอกจากไปเป็นคณะสงฆ์ นอกจากมีอันตราย.
&@สถานที่ควรไปในวันปวารณา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา ภิกษุพึงไปจากอาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาส ที่มีภิกษุครบจำนวน
.... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  ซึ่งเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากถิ่นที่มิใช่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน
.... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
.... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าเราสามารถจะไปถึงในวันนี้แหละ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อถึงวันปวารณา พึงไปจากอาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส ซึ่งมีภิกษุครบจำนวน  สู่อาวาสที่มีภิกษุครบจำนวน .... สู่ถิ่นที่มิใช่อาวาส ....
.... สู่อาวาสหรือถิ่นที่มิใช่อาวาส  อันเป็นที่อยู่ของพวกภิกษุผู้เป็นสมานสังวาส ที่รู้ว่าจะสามารถไปถึงในวันนี้แหละ.
&@บุคคลที่ควรเว้นในปวารณา
   [๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสิกขมานานั่งอยู่ด้วย ....
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรนั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีสามเณรีนั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้บอกลาสิกขาแล้วนั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ต้องอันติมวัตถุนั่งอยู่ด้วย รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ นั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม. ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัตินั่งอยู่ด้วย .... ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามกนั่งอยู่ด้วย 
        รูปใดปวารณา พึงปรับอาบัติตามธรรม.
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีบัณเฑาะก์นั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนลักเพศนั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุผู้เข้ารีตเดียรถีย์นั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนคล้ายดิรัจฉานนั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่ามารดานั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าบิดานั่งอยู่ด้วย
ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนฆ่าพระอรหันต์นั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนประทุษร้ายภิกษุณีนั่งอยู่ด้วย ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีภิกษุทำลายสงฆ์นั่งอยู่ด้วย
   ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีคนทำร้ายพระศาสดาถึงห้อพระโลหิตนั่งอยู่ด้วย .... ไม่พึงปวารณาในบริษัทที่มีอุภโตพยัญชนกนั่งอยู่ด้วย  รูปใดปวารณา  ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงปวารณา ด้วยการให้ปวารณาค้างคราว  นอกจากบริษัทยังไม่ลุกไป.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง  ภิกษุไม่พึงปวารณาในดิถีมิใช่วันปวารณา  นอกจากวันสังฆสามัคคี. ภาณวารที่ ๒ จบ.

13 พฤศจิกายน 2567

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ พระพุทธานุญาตให้มอบปวารณา เป็นต้น หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ

search-google ทำบุญ
[๒๒๙] ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   พวกเธอจงประชุมกัน  สงฆ์จักปวารณา. เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว  ภิกษุรูปหนึ่งได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า  ยังมีภิกษุอาพาธอยู่  เธอมาไม่ได้พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุอาพาธมอบปวารณา.
วิธีมอบปวารณา
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล พึงมอบอย่างนี้:-  ภิกษุอาพาธนั้น พึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง  ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่งประคองอัญชลีแล้วกล่าวมอบปวารณาอย่างนี้ว่า:-
   ข้าพเจ้าขอมอบปวารณา ขอท่านจงนำปวารณาของข้าพเจ้าไป  ขอท่านจงปวารณาแทนข้าพเจ้า
   ภิกษุรับด้วยกาย  รับด้วยวาจา  รับด้วยกายด้วยวาจาก็ได้  เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว.
   ไม่รับด้วยกาย  ไม่รับด้วยวาจา ไม่รับด้วยกายด้วยวาจา   ไม่เป็นอันภิกษุอาพาธมอบปวารณา. หากได้ภิกษุผู้รับอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้  ภิกษุทั้งหลาย พึงใช้เตียงหรือตั่ง หามภิกษุอาพาธนั้นมาในท่ามกลางสงฆ์แล้วปวารณา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  หากพวกภิกษุผู้พยาบาลไข้  มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า หากพวกเราจักย้ายภิกษุอาพาธ อาพาธจักกำเริบหนัก หรือมิฉะนั้นจักถึงมรณภาพ ดังนี้
   ไม่พึงย้ายภิกษุอาพาธ สงฆ์พึงไปปวารณาในสำนักภิกษุอาพาธนั้นแต่สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา  หากขืนปวารณาต้องอาบัติทุกกฏ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสียจากที่นั้นแล ภิกษุอาพาธพึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว  หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ณ ที่นั้นแหละ ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นสามเณร
ปฏิญาณเป็นผู้บอกลาสิกขา ปฏิญาณเป็นผู้ต้องอันติมวัตถุ
ปฏิญาณเป็นผู้วิกลจริต  ปฏิญาณเป็นผู้มีจิตฟุ้งซ่าน
ปฏิญาณเป็นผู้กระสับกระส่ายเพราะเวทนา 
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่เห็นอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่ทำคืนอาบัติ
ปฏิญาณเป็นผู้ถูกสงฆ์ยกเสียฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันลามก
ปฏิญาณเป็นบัณเฑาะก์ ปฏิญาณเป็นไถยสังวาส
ปฏิญาณเป็นผู้เข้ารีตเดียรถีย์  ปฏิญาณเป็นดิรัจฉาน
ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่ามารดา ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าบิดา
  ปฏิญาณเป็นผู้ฆ่าพระอรหันต์  ปฏิญาณเป็นผู้ประทุษร้ายภิกษุณี ปฏิญาณเป็นผู้ทำลายสงฆ์
   ปฏิญาณเป็นผู้ทำร้ายพระศาสดาจนถึงห้อพระโลหิต  ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก
   ภิกษุอาพาธจึงมอบปวารณาแก่รูปอื่น. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาหลบไปเสีย ในระหว่างทาง  ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาสึกเสีย ในระหว่างทาง ถึงมรณภาพ
ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาไม่เป็นอันนำมา.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลบไปเสีย  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว สึกเสีย ถึงมรณภาพ ปฏิญาณเป็นอุภโตพยัญชนก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว หลับเสียมิได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เข้าสมาบัติ  มิได้บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว เผลอไปไม่ได้บอก  ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว ภิกษุผู้นำปวารณา  ไม่ต้องอาบัติ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุอาพาธมอบปวารณาแล้ว หากภิกษุผู้นำปวารณาเข้าประชุมสงฆ์ แล้ว แกล้งไม่บอก ปวารณาเป็นอันนำมาแล้ว แต่ภิกษุผู้นำปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในวันปวารณา เราอนุญาตให้ภิกษุผู้มอบปวารณา มอบฉันทะด้วย เผื่อสงฆ์จะมีกรณียกิจ.
หมู่ญาติเป็นต้นจับภิกษุ
  [๒๓๐] ก็โดยสมัยนั้นแล ถึงวันปวารณา หมู่ญาติได้จับภิกษุรูปหนึ่งไว้.  ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า 
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ในวันปวารณา  พวกญาติจับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  หมู่ญาติเหล่านั้น  อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย 
   ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุรูปนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ หมู่ญาติเหล่านั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลายขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน  พอภิกษุรูปนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้  พึงว่ากล่าวอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณานำภิกษุนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  ถ้าได้ การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรค  ไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ในวันปวารณา พระราชาทั้งหลายได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้ พวกโจรได้จับ พวกนักเลงได้จับ  พวกภิกษุที่เป็นข้าศึกได้จับภิกษุในศาสนานี้ไว้.  พวกนั้น
   อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว  อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย ขอพวกท่านกรุณาปล่อยภิกษุนี้สักครู่หนึ่ง พอภิกษุรูปนี้ปวารณาเสร็จ. หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้น อันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณารออยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งสักครู่ก่อน พอภิกษุนี้มอบปวารณาเสร็จ.
   หากได้การขอร้องอย่างนี้ นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ พวกนั้นอันภิกษุทั้งหลายพึงว่ากล่าว อย่างนี้ว่า  ท่านทั้งหลาย  ขอพวกท่านกรุณาพาภิกษุรูปนี้ไปนอกสีมาสักครู่หนึ่ง
   พอสงฆ์ปวารณาเสร็จ.  หากได้การขอร้องอย่างนี้  นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ สงฆ์เป็นวรรคไม่พึงปวารณา หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
ปวารณาเป็นการสงฆ์
   [๒๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  พึงปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๕ รูป  จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์.
   ปวารณาเป็นการคณะสมัยต่อมา ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ก็พวกเรามีอยู่เพียง ๔ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน.
   วิธีทำคณะปวารณาดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
ญัตติกรรมวาจา
   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า  วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
คำปวารณา
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงฆ์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟัง ก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ผมปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
คณะปวารณา (พระ ๓ รูป)
   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณามีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ก็พวกเรามีอยู่ด้วยกัน ๓ รูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน
วิธีทำคณะปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็แลภิกษุทั้งหลายพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้ภิกษุเหล่านั้นทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่า
ญัตติกรรมวาจา
   ขอท่านทั้งหลายจงฟังข้าพเจ้า
   วันนี้เป็นวันปวารณา  ถ้าความพร้อมพรั่งของท่านทั้งหลายถึงที่แล้ว เราทั้งหลายพึงปวารณากันเถิด. ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้ว  กล่าวคำ ปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้นอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
คำปวารณา
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง  ประคองอัญชลีแล้ว กล่าวคำปวารณาต่อภิกษุเหล่านั้น อย่างนี้ว่า
   ท่านเจ้าข้า  ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี
   ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า
   ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อท่านทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
คณะปวารณา (พระ ๒ รูป)
   สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๒ รูป จึงภิกษุทั้งสองนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓  รูป 
   ปวารณาต่อกัน ก็เรามีอยู่ด้วยกันสองรูป จะพึงปวารณากันอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นพระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน.
วิธีทำปวารณา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   ก็แลภิกษุทั้งสองพึงปวารณาอย่างนี้:- ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้นวกอย่างนี้ ว่าดังนี้:- เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สอง ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัย ก็ดี  ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอ  ฉันปวารณาต่อเธอ แม้ครั้งที่สาม  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอเธอจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง   ประคองอัญชลี  แล้วกล่าวคำปวารณาต่อภิกษุผู้เถระอย่างนี้ ว่าดังนี้:- ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน  แม้ครั้งที่สอง  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่าน ผมปวารณาต่อท่าน แม้ครั้งที่สาม ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัย ก็ดี
   ขอท่านจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวผม
ผมเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
อธิษฐานปวารณา สมัยต่อมา  ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา มีภิกษุอยู่รูปเดียว  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตให้ภิกษุ ๕ รูป ปวารณาเป็นการสงฆ์ ให้ภิกษุ ๔ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๓ รูป ปวารณาต่อกัน ให้ภิกษุ ๒ รูป ปวารณาต่อกัน
   ก็เรามีอยู่รูปเดียวจะพึงปวารณากันได้อย่างไรหนอ. ภิกษุทั้งหลาย กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา  มีภิกษุในศาสนานี้อยู่รูปเดียว.
   ภิกษุนั้นพึงกวาดสถานที่เป็นที่ไปมาแห่งภิกษุทั้งหลาย คือ จะเป็นโรงฉัน มณฑปหรือโคนต้นไม้  ก็ตาม แล้วจัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้  ปูอาสนะ ตามประทีป แล้วนั่งรออยู่. หากมีภิกษุเหล่าอื่นมา พึงปวารณาร่วมกับพวกเธอ หากไม่มีมา พึงอธิษฐานว่า ปวารณาของเรา วันนี้ หากไม่อธิษฐาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๕ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๔ รูปปวารณาเป็นการสงฆ์ไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๔ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๓ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้ หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในอาวาสที่มีภิกษุอยู่ด้วยกัน ๓ รูป  จะนำปวารณาของภิกษุรูปหนึ่งมาแล้ว ๒ รูปปวารณาต่อกันไม่ได้  หากขืนปวารณา ต้องอาบัติทุกกฏ.
แสดงอาบัติก่อนปวารณา
   [๒๓๒] ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งต้องอาบัติ ในวันปวารณา.  เธอได้คิดสงสัยในขณะนั้นว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัวไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ภิกษุในศาสนานี้  ต้องอาบัติในวันปวารณา.  ภิกษุนั้นพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
ท่าน ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้ ผมแสดงคืนอาบัตินั้น
ภิกษุผู้รับพึงถามว่า ท่านเห็นหรือ?
ภิกษุผู้แสดงพึงตอบว่า ครับ ผมเห็น.
ภิกษุผู้รับพึงบอกว่า  ท่านพึงสำรวมต่อไป.
สงสัยในอาบัติ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ถึงวันปวารณา ภิกษุในศาสนานี้มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงเข้าไปหาภิกษุรูปหนึ่ง ห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลี แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า
   ท่าน  ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้  จักหมดสงสัยเมื่อใด  จักทำคืนอาบัตินั้น เมื่อนั้น  ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่สงสัยนั้นเป็นปัจจัย
กำลังปวารณา ระลึกอาบัติได้
   ก็โดยสมัยนั้นแล  ภิกษุรูปหนึ่งกำลังปวารณา  ระลึกอาบัติได้  จึงภิกษุนั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุมีอาบัติติดตัว ไม่พึงปวารณา ดังนี้ ก็เราเป็นผู้ต้องอาบัติแล้ว  จะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ.
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุในศาสนานี้  กำลังปวารณาระลึกอาบัติได้.
     เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมต้องอาบัติมีชื่อนี้   ลุกจากที่นี้แล้ว จักทำคืนอาบัตินั้น ครั้นแล้วพึงปวารณาแต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา เพราะข้อที่ระลึกอาบัติได้นั้นเป็นปัจจัย.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุในศาสนานี้ กำลังปวารณา มีความสงสัยในอาบัติ. เธอพึงบอกภิกษุใกล้เคียงอย่างนี้ว่า
   อาวุโส ผมมีความสงสัยในอาบัติมีชื่อนี้ จักหมดสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น ครั้นแล้ว พึงปวารณา แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา   เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
สงฆ์ต้องสภาคาบัติ  ก็โดยสมัยนั้นแล ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ จึงภิกษุเหล่านั้นได้มีความปริวิตกว่า  พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ว่า  ภิกษุจะแสดงสภาคาบัติไม่ได้ จะรับแสดงสภาคาบัติก็ไม่ได้
   ก็สงฆ์หมู่นี้ทั้งหมดต้องสภาคาบัติ  พวกเราจะพึงปฏิบัติอย่างไรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็ในอาวาสแห่งหนึ่ง ถึงวันปวารณา สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ต้องสภาคาบัติ.
   พวกเธอพึงส่งภิกษุรูปหนึ่งไปสู่อาวาสใกล้เคียงพอจะกลับมาทัน ในวันนั้น ด้วยสั่งว่า  อาวุโส คุณจงไปทำคืนอาบัตินั้นแล้วมา   พวกเราจักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักคุณ.  ถ้าได้ภิกษุเช่นนั้น  อย่างนี้นั่นเป็นการดี  หากไม่ได้ ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
ญัตติกรรมวาจา
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้ต้องสภาคาบัติ  เมื่อใดพบภิกษุรูปอื่นผู้บริสุทธิ์ ไม่มีอาบัติ  เมื่อนั้นสงฆ์จักทำคืนอาบัตินั้นในสำนักภิกษุรูปนั้น
   ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่ต้องสภาคาบัตินั้นเป็นปัจจัย.
 🤨สงสัยในสภาคาบัติ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  อนึ่ง ในอาวาสแห่งหนึ่งถึงวันปวารณา  สงฆ์ทั้งหมดในศาสนานี้ มีความสงสัยในสภาคาบัติ  ภิกษุผู้ฉลาด  ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจาว่าดังนี้:-
ญัตติกรรมวาจา 
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า  สงฆ์ทั้งหมดนี้มีความสงสัยในสภาคาบัติ จักหมดความสงสัยเมื่อใด จักทำคืนอาบัตินั้นเมื่อนั้น. ครั้นแล้วพึงปวารณา  แต่ไม่พึงทำอันตรายแก่ปวารณา  เพราะข้อที่มีความสงสัยนั้นเป็นปัจจัย.
ปฐมภาณวาร  จบ.

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ ปวารณาขันธกะ เรื่องภิกษุหลายรูป เป็นต้น

search-google ทำบุญ
   [๒๒๔] โดยสมัยนั้นแล  พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี  เขตพระนครสาวัตถี.  ครั้งนั้น ภิกษุมากรูปด้วยกัน ซึ่งเคยเห็นร่วมคบหากันมา  
   จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง ในโกศลชนบท จึงภิกษุเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ พวกเราจึงพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และ จะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต  ครั้นแล้วได้ปรึกษากันต่อไปว่า  หากพวกเราจะไม่พึงทักทายจะไม่พึงปราศรัยซึ่งกันและกัน 
   รูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านก่อน  รูปนั้นพึงปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้าไว้ ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาตเตรียมตั้งไว้ จัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้
   รูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านทีหลัง หากอาหารที่รูปก่อนฉันแล้วยังมีเหลือ ถ้าต้องการพึงฉัน
   ถ้าไม่ต้องการ  ก็พึงเททิ้งเสียในสถานอันปราศจากของสีเขียวสด หรือเทล้างเสียในน้ำที่ปราศจากตัวสัตว์  รูปนั้นพึงรื้ออาสนะ  พึงเก็บน้ำล้างเท้า  ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้า  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาตเก็บไว้ เก็บน้ำฉัน น้ำใช้
   กวาดหอฉัน  รูปใดเห็นหม้อน้ำฉัน  หม้อน้ำใช้ หม้อน้ำชำระ ว่างเปล่า  รูปนั้นพึงจัดหาไว้  หากภิกษุนั้นไม่สามารถ 
   พึงกวักมือเรียกเพื่อนมาช่วยเหลือกัน แต่ไม่พึงเปล่งวาจาเพราะเหตุนั้นเลย ด้วยวิธีอย่างนี้แล  พวกเราจึงจะพร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน  อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต.
   ครั้นแล้วภิกษุเหล่านั้น  ไม่ทักทาย  ไม่ปราศรัยต่อกันและกัน   ภิกษุรูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านก่อน
   ภิกษุรูปนั้นปูอาสนะ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาต เตรียมตั้งไว้ จัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้ ภิกษุรูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านทีหลัง หากอาหารที่รูปก่อนฉันแล้วยังมีเหลือ ถ้าต้องการ ก็ฉัน 
   ถ้าไม่ต้องการก็เททิ้งเสียในสถานที่อันปราศจากของเขียวสด  หรือเทล้างเสียในน้ำอันปราศจากตัวสัตว์   ภิกษุรูปนั้นรื้ออาสนะ  เก็บน้ำล้างเท้า  ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้า  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาตเก็บไว้ เก็บน้ำฉันน้ำใช้
   กวาดหอฉัน  ภิกษุรูปใดเห็นหม้อน้ำฉัน  หม้อน้ำใช้  หรือหม้อน้ำชำระว่างเปล่า  ภิกษุรูปนั้นก็จัดหาไว้  หากภิกษุนั้นไม่สามารถ  ก็กวักมือเรียกเพื่อนภิกษุมาช่วยเหลือกัน  แต่ไม่เปล่งวาจา เพราะเหตุนั้นเลย.
ธรรมเนียมเข้าเฝ้าพระพุทธองค์
   [๒๒๕]  ก็การที่ภิกษุทั้งหลายออกพรรษาแล้ว เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค  นั่นเป็นประเพณี. ครั้นภิกษุเหล่านั้นจำพรรษาโดยล่วงไตรมาศแล้วเก็บงำเสนาสนะถือบาตรจีวร  หลีกไปโดยมรรคาอันจะไปสู่พระนครสาวัตถี ถึงพระนครสาวัตถีและพระเชตวัน  อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีโดยลำดับแล้ว เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   อนึ่ง  การที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย  ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลาย นั่นเป็นพุทธประเพณี.   ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ร่างกายของพวกเธอยังพอทนได้หรือ ยังพอให้เป็นไปได้หรือ  พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน ไม่วิวาทกัน  อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต  หรือ?
   ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ยังพอทนได้ พระพุทธเจ้าข้า  ยังพอให้เป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง  พวกข้าพระพุทธเจ้าเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน  อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต  พระพุทธเจ้าข้า.
พุทธประเพณี
   พระตถาคตทั้งหลาย ทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี  ทรงทราบอยู่ ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม  ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม  พระตถาคตทั้งหลายย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์  ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์  ในสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ.
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ย่อมทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่างหนึ่ง  จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่
   พระสาวกทั้งหลายอย่างหนึ่ง. ครั้งนั้น  พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต ด้วยวิธีการอย่างไร?
   ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า  พระพุทธเจ้าข้า  พวกข้าพระพุทธเจ้า  บรรดาที่นั่งเฝ้า ณ ที่นี้เป็นภิกษุซึ่งเคยเห็นคบหากันมา  จำนวนมากด้วยกัน  ได้จำพรรษาอยู่ในอาวาสแห่งหนึ่ง
   ในโกศลชนบท  พวกข้าพระพุทธเจ้าเหล่านั้นได้ปรึกษากันว่า  ด้วยวิธีอย่างไรหนอ  พวกเราจึงจะพร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน  อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต   พวกข้าพระพุทธเจ้านั้นได้ปรึกษากันต่อไปว่า  หากพวกเราจะไม่พึงทักทาย จะไม่พึงปราศรัยซึ่งกันและกัน
   รูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านก่อน  รูปนั้นพึงปูอาสนะ  จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาต เตรียมตั้งไว้  จัดตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้
   รูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านทีหลัง หากอาหารที่รูปก่อนฉันแล้วยังมีเหลือ  ถ้าต้องการพึงฉัน  ถ้าไม่ต้องการ ก็พึงเททิ้งเสียในสถานอันปราศจากของเขียวสด   หรือเทล้างเสียในน้ำที่ปราศจากตัวสัตว์  รูปนั้นพึงรื้ออาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้า ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาตเก็บไว้ เก็บน้ำฉันน้ำใช้ กวาดหอฉัน รูปใดเห็นหม้อน้ำฉัน  หม้อน้ำใช้ หม้อน้ำชำระว่างเปล่า รูปนั้นพึงจัดหาไว้
   หากภิกษุนั้นไม่สามารถ  พึงกวักมือเรียกเพื่อนมาช่วยเหลือกัน  แต่ไม่พึงเปล่งวาจาเพราะเหตุนั้นเลย ด้วยวิธีอย่างนี้แล  พวกเราจึงจะพร้อมเพรียงกัน ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และจะไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาตพระพุทธเจ้าข้า  ครั้นแล้วพวกข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ทักทาย  ไม่ปราศรัยต่อกันและกัน
   ภิกษุรูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านก่อน ภิกษุรูปนั้นย่อมปูอาสนะไว้ จัดหาน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า กระเบื้องเช็ดเท้าไว้  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาต  เตรียมตั้งไว้ จัดตั้งน้ำฉัน  น้ำใช้ไว้  ภิกษุรูปใดบิณฑบาตกลับจากบ้านทีหลัง  หากอาหารที่รูปก่อนฉันแล้วยังมีเหลือ ถ้าต้องการก็ฉัน  ถ้าไม่ต้องการ  
   ก็เททิ้งเสียในสถานอันปราศจากของเขียวสด  หรือเทล้างเสียในน้ำอันปราศจากตัวสัตว์ ภิกษุรูปนั้นย่อมรื้ออาสนะ เก็บน้ำล้างเท้า ตั่งรองเท้า  กระเบื้องเช็ดเท้า  ล้างภาชนะสำหรับถ่ายบิณฑบาตเก็บไว้  เก็บน้ำฉันน้ำใช้  กวาดหอฉัน  ภิกษุรูปใดเห็นหม้อน้ำฉัน  หม้อน้ำใช้ หรือหม้อน้ำชำระว่างเปล่า
   ภิกษุรูปนั้นก็จัดหาไว้ หากภิกษุรูปนั้นไม่สามารถก็กวักมือเรียกเพื่อนมาช่วยเหลือกัน แต่ไม่พึงเปล่งวาจาเพราะเหตุนั้นเลย ด้วยวิธีอย่างนี้แล  พวกข้าพุทธเจ้าจึงเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน  ปรองดองกัน  ไม่วิวาทกัน  อยู่จำพรรษาเป็นผาสุก  และไม่ต้องลำบากด้วยบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า.
ทรงติเตียน
   [๒๒๖] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาไม่ผาสุกเลย ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก 
   ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาอย่างปศุสัตว์อยู่ร่วมกันแท้ๆ  ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษา อย่างแพะอยู่ร่วมกันแท้ๆ ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก ข่าวว่า โมฆบุรุษพวกนี้เป็นผู้อยู่จำพรรษาอย่างคนประมาทอยู่ร่วมกันแท้ๆ ยังยืนยันว่าอยู่จำพรรษาเป็นผาสุก.
ทรงห้ามมูตวัตร ติตถิยสมาทาน
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เหตุไฉน  โมฆบุรุษพวกนี้จึงได้ถือมูควัตร  ซึ่งพวกเดียรถีย์ถือกัน การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้น  นั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
   ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุไม่พึงสมาทานมูควัตรที่พวกเดียรถีย์สมาทานกัน  รูปใดสมาทาน ต้องอาบัติทุกกฏ.
   พระพุทธธานุญาตปวารณาดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลายอยู่จำพรรษา แล้วปวารณาด้วยเหตุ ๓ สถาน คือ ด้วยได้เห็น ๑  ด้วยได้ฟัง ๑ ด้วยสงสัย ๑ การปวารณานั้นจักเป็นวิธีเหมาะสมเพื่อว่ากล่าวกันและกัน  เป็นวิธีออกจากอาบัติ เป็นวิธีเคารพพระวินัยของพวกเธอ.
  วิธีปวารณาดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็แลพวกเธอพึงปวารณา อย่างนี้:-   ภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ  พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติกรรมวาจา  ว่าดังนี้:-
สัพพสังคาหิกาญัตติ
   ท่านเจ้าข้า  ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วันนี้เป็นวันปวารณา ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา.
   ภิกษุผู้เถระพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณาอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
เตวาจิกาปวารณา
   เธอทั้งหลาย  ฉันปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอทั้งหลาย แม้ครั้งที่สอง  ฉันปวารณาต่อสงฆ์  ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี  ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   เธอทั้งหลาย  แม้ครั้งที่สาม ฉันปวารณาต่อสงฆ์  ด้วยได้เห็นก็ดี   ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี  ขอเธอทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวฉัน  ฉันเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
   ภิกษุผู้นวกะพึงห่มผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่า  นั่งกระโหย่ง ประคองอัญชลีแล้วกล่าวปวารณาอย่างนี้ ว่าดังนี้:-
   ท่านเจ้าข้า ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์  ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี  ด้วยสงสัยก็ดี ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่านเจ้าข้า แม้ครั้งที่สอง ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี  ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า  ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย
   ท่านเจ้าข้า  แม้ครั้งที่สาม  ข้าพเจ้าปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี  ขอท่านทั้งหลายจงอาศัยความกรุณาว่ากล่าวข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นอยู่จักทำคืนเสีย.
พระพุทธานุญาตให้นั่งกระโหย่งปวารณา
   [๒๒๗] ก็โดยสมัยนั้นแล พระฉัพพัคคีย์เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ยังนั่งอยู่บนอาสนะ.  บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย  ต่างก็เพ่งโทษ  ติเตียน  โพนทะนาว่า ไฉนพระฉัพพัคคีย์  เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่   จึงได้นั่งอยู่บนอาสนะเล่าแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ข่าวว่าพระฉัพพัคคีย์ เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่  ยังนั่งบนอาสนะ จริงหรือ?
   ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ไฉนโมฆบุรุษพวกนั้น  เมื่อภิกษุผู้เถระทั้งหลายนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ จึงได้นั่งอยู่บนอาสนะเล่า การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
   ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา  รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบรรดาภิกษุผู้เถระนั่งกระโหย่งปวารณาอยู่ ภิกษุไม่พึงนั่งบนอาสนะ  รูปใดนั่งต้องอาบัติทุกกฏ ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุทุกรูปนั่งกระโหย่งปวารณา.
   สมัยต่อมา  พระเถระรูปหนึ่งชรา ทุพพลภาพ นั่งกระหย่งรอคอยอยู่ จนกว่าภิกษุทั้งหลายจะปวารณาเสร็จทุกรูป  ได้เป็นลมล้มลง. ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้นั่งกระโหย่งในระหว่างที่ยังปวารณา และอนุญาตให้ภิกษุปวารณาแล้วนั่งบนอาสนะ.
วันปวารณามี ๒
   [๒๒๘] ครั้งนั้นแล  ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า  วันปวารณามีกี่วัน?  จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันปวารณานี้มี ๒ คือ วัน ๑๔ ค่ำ วัน ๑๕ ค่ำ ดูกรภิกษุทั้งหลาย วันปวารณามี ๒ เท่านี้แล.
อาการที่ทำปวารณามี ๔
   ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายสงสัยว่า อาการที่ทำปวารณามีเท่าไรหนอ? จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.  พระผู้มีพระภาครับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า  ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาการที่ทำปวารณานี้มี ๔ คือ  การทำปวารณาเป็นวรรคโดยอธรรม ๑ การทำปวารณาพร้อมเพรียงกันโดยอธรรม ๑ การทำปวารณาเป็นวรรคโดยธรรม ๑  การทำปวารณาพร้อมเพรียงกันโดยธรรม ๑.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ในการทำปวารณา ๔ นั้น  การทำปวารณานี้ใดเป็นวรรคโดยอธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น  ไม่ควรทำ  และเราก็ไม่อนุญาต.
   การทำปวารณานี้ใดที่พร้อมเพรียงกันโดยอธรรม การทำปวารณาเห็นปานนั้น ไม่ควรทำและเราก็ไม่อนุญาต.
   การทำปวารณานี้ใดที่เป็นวรรคโดยธรรม   การทำปวารณาเห็นปานนั้น ไม่ควรทำ และเราก็ไม่อนุญาต.
   การทำปวารณานี้ใดที่พร้อมเพรียงกันโดยธรรม  การทำปวารณาเห็นปานนั้น  ควรทำและเราก็อนุญาต.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะเหตุนั้นแล  พวกเธอพึงทำในใจว่า  จักทำปวารณากรรมชนิดที่พร้อมเพรียงกันโดยธรรม  ดังนี้  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้แล.

อรรถกถามหาวรรคภาค ๑ ปวารณาขันธกะ
เรื่องภิกษุหลายรูปเป็นต้น
อรรถกถาปวารณาขันธกะ
   วินิจฉัยในปวารณาขันธกะ. วินิจฉัยในข้อว่า เนว อาลเปยฺยาม น สลฺลเปยฺยาม นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   คำแรกชื่อว่าคำทัก คำหลังๆ ชื่อว่า คำปราศรัย. บทว่า หตฺถวิลงฺฆเกน ได้แก่ด้วยการช่วยกันใช้มือยก. บทว่า ปสุสํวาสํ คือการอยู่ร่วมกันดังการอยู่ร่วมของเหล่าปศุสัตว์. 
   จริงอยู่ แม้เหล่าปศุสัตว์ย่อมไม่บอกความสุขและทุกข์ที่เกิดขึ้นแก่ตนแก่กันและกัน ไม่ทำการปฏิสันถารฉันใด แม้ภิกษุเหล่านั้นก็ได้ทำฉันนั้น. เพราะเหตุนั้น ความอยู่ร่วมกันของภิกษุเหล่านั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า เป็นการอยู่ร่วมกันดังการอยู่ร่วมของเหล่าปศุสัตว์. 
      นัยในบททั้งปวงเหมือนกัน. 
   ข้อว่า น ภิกฺขเว มูควตฺตํ ติตฺถิยสมาทานํ เป็นต้น มีความว่า ภิกษุไม่พึงกระทำการสมาทานวัตรเช่นนี้ว่า เราทั้งหลายไม่พึงพูดกันตลอดไตรมาสนี้.
      เพราะว่า นั่นเป็นกติกาที่ไม่ชอบธรรม. 
   ข้อที่ภิกษุมาผ่อนผันพูดกะกันและกัน ชื่อว่า อญฺญมญฺญานุโลมตา. จริงอยู่ ภิกษุย่อมเป็นผู้อาจว่ากล่าวอะไรๆ กะภิกษุผู้สั่งไว้ว่า ขอท่านผู้มีอายุจงว่ากล่าวข้าพเจ้าเถิด, แต่หาอาจว่ากล่าวภิกษุนอกจากนี้ไม่ ความยังกันและกันให้ออกจากอาบัติทั้งหลาย ชื่ออาปัตติวุฏฐานตา, ความที่ภิกษุมาตั้งพระวินัยไว้เป็นหลักประพฤติ ชื่อว่าวินยปุเรกขารตา. 
   จริงอยู่ ภิกษุผู้กล่าวอยู่ว่า ขอท่านผู้มีอายุจงว่ากล่าวข้าพเจ้าเถิด ดังนี้ สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า เธอจักออกจากอาบัติ และเธอย่อมตั้งพระวินัยไว้เป็นหลักอยู่.
ปวรณาวิธี
   ญัตติอันได้นามว่า สัพพสังคาหิกานี้ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, อชฺช ปวารณา, ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สงฺโฆ ปวาเรยฺย แปลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า วันนี้
   เป็นวันปวารณา ถ้าว่า ความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ดังนี้. ก็เมื่อสวดประกาศอย่างนี้แล้ว สงฆ์จะปวารณา ๓ ครั้ง ๒ ครั้งและครั้งเดียวก็ควร แต่จะปวารณาให้ภิกษุมีพรรษาเท่ากัน ปวารณาพร้อมกันเท่านั้นไม่ควร. 
   อนึ่ง เมื่อสวดประกาศว่า เตวาจิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า สงฆ์พึงปวารณา ๓ ครั้ง ดังนี้ ต้องปวารณา ๓ ครั้งเท่านั้นจึงควร จะปวารณาอย่างอื่น หาควรไม่. เมื่อสวดประกาศว่า เทฺววาจิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า สงฆ์พึงปวารณา ๒ ครั้ง ดังนี้จะปวารณา ๒ ครั้งหรือ ๓ ครั้งก็ควร แต่จะปวารณาเพียงครั้งเดียว และปวารณามีพรรษาเท่ากัน หาควรไม่. ก็เมื่อสวด
   ประกาศว่า เอกวาจิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า สงฆ์พึงปวารณาครั้งเดียว ดังนี้ จะปวารณาครั้งเดียว ๒ ครั้งหรือ ๓ ครั้งก็ควร. แต่จะปวารณามีพรรษาเท่ากันเท่านั้น หาควรไม่. เมื่อสวดประกาศว่า สมานวสฺสิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า พึงปวารณามีพรรษาเท่ากัน ดังนี้ ย่อมควรทุกวิธี. 
บทว่า อจฺฉนฺติ คือ เป็นผู้นั่งอยู่นั่นเอง หาลุกขึ้นไม่. 
บทว่า ตทนนฺตรา คือ ตลอดกาลระหว่างปวารณานั้น. 
   อธิบายว่า ตลอดกาลเท่าที่ตนจะปวารณานั้น.    วินิจฉัยในข้อว่า จาตุทฺทสิกา จ ปณฺณรสิกา จ นี้ พึงทราบดังนี้ :-  ในดิถีที่ ๑๔ พึงทำบุรพกิจอย่างนี้ว่า อชฺช ปวารณา จาตุทฺทสี แปลว่า ปวารณาวันนี้ ๑๔ ค่ำ. ในดิถีที่ ๑๕ พึงทำบุรพกิจอย่างนี้ว่า อชฺช ปวารณา ปณฺณรสี แปลว่า ปวารณาวันนี้ ๑๕ ค่ำ.
ปวรณากรรม
   วินิจฉัยในปวารณากรรม พึงทราบดังนี้ :-
   ถ้าว่า เมื่อภิกษุ ๕ รูปอยู่ในวัดเดียวกัน ๔ รูปนำปวารณาของรูปหนึ่งมาแล้วตั้งคณญัตติ ปวารณา, เมื่อ ๔ รูป หรือ ๓ รูปอยู่ในวัดเดียวกัน, ๓ รูป หรือ ๒ รูปนำปวารณาของรูปหนึ่งมา ตั้งสังฆญัตติแล้ว ปวารณา, นี้จัดว่าปวารณากรรมเป็นวรรคโดยอธรรมทั้งหมด. 
   ก็ถ้าว่า ภิกษุ ๕ รูปประชุมพร้อมกันแม้ทั้งหมด ตั้งคณญัตติแล้วปวารณา; เมื่ออยู่ด้วยกัน ๔ รูป หรือ ๓ รูป หรือ ๒ รูปประชุมพร้อมกันตั้งสังฆญัตติแล้วปวารณา; นี้จัดว่าปวารณากรรมพร้อมเพรียงโดยอธรรมทั้งหมด. ถ้าว่า เมื่ออยู่ด้วยกัน
   ๕ รูป ๔ รูปนำปวารณาของรูปหนึ่งมา ตั้งสังฆญัตติแล้ว ปวารณา; เมื่ออยู่ด้วยกัน ๔ รูปหรือ ๓ รูป, ๓ รูปหรือ ๒ รูปนำปวารณาของรูปหนึ่งมา ตั้งคณญัตติแล้ว ปวารณา; นี้จัดว่าปวารณากรรมเป็นวรรคโดยธรรมทั้งหมด. 
   แต่ถ้าว่า ภิกษุ ๕ รูปประชุมพร้อมกันแม้ทั้งหมด ตั้งสังฆญัตติแล้ว ปวารณา, ๔ รูปหรือ ๓ รูปประชุมพร้อมกันตั้งคณญัตติแล้ว ปวารณา, ๒ รูปปวารณากะกันและกัน, อยู่รูปเดียวทำอธิษฐานปวารณา นี้จัดว่าปวารณากรรมพร้อมเพรียงโดยธรรมทั้งหมด. .
มอบปวรณา          วินิจฉัยในข้อว่า ทินฺนา โหติ ปวารณา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   เมื่อภิกษุผู้อาพาธมอบปวารณาอย่างนี้แล้ว ภิกษุผู้นำปวารณามาพึงเข้าไปหาสงฆ์ปวารณาอย่างนี้ว่า 
   ติสฺโส ภนฺเต ภิกฺขุ สงฺฆํ ปวาเรติ ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา, วทตุ ตํ ภนฺเต สงฺโฆ อนุกมฺปํ อุปาทาย, ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสติ. ทุติยมฺปิ ภนฺเต ฯเปฯ ตติยมฺปิ ภนฺเต ติสฺโส ภิกฺขุ สงฆ์ ปวาเรติ ฯเปฯ ปสฺสนฺโต ปฏิกฺกริสฺสติ. 
   แปลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ภิกษุชื่อติสสะปวารณาต่อสงฆ์ ด้วยได้เห็นก็ดี ด้วยได้ฟังก็ดี ด้วยสงสัยก็ดี ขอสงฆ์จงอาลัยความกรุณาว่ากล่าวเธอ เธอเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ แม้ครั้งที่ ๓ ภิกษุชื่อติสสะปวารณาต่อสงฆ์ ฯลฯ เธอเห็นอยู่จักทำคืนเสีย. 
   แต่ถ้าภิกษุผู้มอบปวารณาเป็นผู้แก่กว่า ภิกษุผู้นำพึงกล่าวว่า อายสฺมา ภนฺเต ติสฺโส แปลว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญท่านติสสะ ดังนี้. ด้วยอาการอย่างนี้แลเป็นอันภิกษุผู้นำปวารณา ได้ปวารณาแล้ว เพื่อประโยชน์แก่ภิกษุผู้มอบปวารณานั้น.
มอยฉันทะ        วินิจฉัยในข้อ ปวารณํ เทนฺเตน ฉนฺทํปิทาตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- การมอบฉันทะพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้ว ในอุโบสถขันธกะเถิด. 
   และแม้ในปวารณาขันธกะนี้การมอบฉันทะ ย่อมมีเพื่อประโยชน์แก่สังฆกรรมที่เหลือ เพราะฉะนั้น ถ้าว่า เมื่อมอบปวารณา ย่อมมอบฉันทะด้วย เมื่อปวารณาได้นำมาแล้วบอกแล้วตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล ทั้งภิกษุนั้นทั้งสงฆ์ย่อมเป็นอันได้
   ปวารณาแล้วทีเดียว. ถ้าภิกษุผู้ลงไม่ได้ มอบแต่ปวารณาเท่านั้น หาได้มอบฉันทะไม่ เมื่อปวารณาของเธอได้บอกแล้ว และสงฆ์ได้ปวารณาเสร็จแล้ว ย่อมเป็นอันภิกษุทั้งปวงปวารณาดีแล้ว แต่กรรมอย่างอื่นย่อมกำเริบ. แต่ถ้าภิกษุผู้ลงไม่ได้
   มอบแต่ฉันทะเท่านั้น ไม่มอบปวารณา ปวารณาและกรรมที่เหลือของสงฆ์หากำเริบไม่ ส่วนภิกษุนั้นไม่จัดว่าได้ปวารณา. ก็ในวันปวารณา แม้ภิกษุผู้อธิษฐานปวารณาในภายนอกสีมาแล้วจึงมา ก็ควรให้ฉันทะ ปวารณากรรมของสงฆ์จึงจะไม่กำเริบเพราะเธอ.
อธิษฐานปวรณา    วินิจฉัยในข้อว่า อชฺช เม ปวารณา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ถ้าวันปวารณาเป็น ๑๔ ค่ำ ภิกษุผู้อยู่รูปเดียวพึงอธิษฐานอย่างนี้ว่า อชฺช เม ปวารณา จาตุทฺทสี แปลว่า ปวารณาของเราวันนี้ ๑๔ ค่ำ, ถ้าเป็นวัน ๑๕ ค่ำพึงอธิษฐานอย่างนี้ว่า อชฺช เม ปวารณา ปณฺณรสี แปลว่า ปวารณาของเราวันนี้ ๑๕ ค่ำ. 
คำว่า ตทหุปวารณาย อาปตฺตึ เป็นต้น
   มีนัยดังกล่าวแล้วนั่นแล.
   ข้อว่า ปุน ปวาเรตพฺพํ 
   มีความว่า พึงทำบุพกิจแล้วตั้งญัตติ ปวารณาตั้งแต่พระสังฆเถระลงมาอีก. คำที่เหลือพึงทราบตามนัยที่กล่าวไว้แล้วในอุโบสถขันธกวรรณนาเถิด.
อดิเรกานุวัตติกถา    วินิจฉัยในข้อว่า อาคนฺตุเกหิ อาวาสิกานํ อนุวตฺติตพฺพํ พึงทราบดังนี้ :- พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่น พึงทำบุพกิจว่า อชฺช ปวารณา จาตุทฺทสี นั้นแล.
   แม้ในปวารณาวัน ๑๕ ค่ำก็มีนัยเช่นเดียวกัน. 
   ในบทที่สุดแห่งพระบาลีนั้นว่า อาวาสิเกหิ นิสฺสีมํ คนฺตฺวา ปวาเรตพฺพํ มีวินิจฉัยนอกบาลี ดังนี้ : 
   ถ้าว่าภิกษุ ๕ รูปจำพรรษาในวัสสูปนายิกาต้น, อีก ๕ รูปจำพรรษาในวัสสูปนายิกาหลัง เมื่อภิกษุพวกแรกตั้งญัตติปวารณาแล้ว ภิกษุพวกหลังพึงทำปาริสุทธิอุโบสถในสำนักของเธอ อย่าพึงตั้งญัตติ ๒ อย่างในโรงอุโบสถเดียวกัน. แม้ถ้าว่า
มีภิกษุ ๔ รูป ๓ รูป ๒ รูปหรือรูปเดียวก็ตาม จำพรรษาในวัสสูปนายิกหลัง มีนัยเช่นเดียวกัน. หากว่าภิกษุผู้จำพรรษาต้น ๔ รูป, แม้วันเข้าพรรษาหลังจะมี ๔ รูป ๓ รูปหรือรูปเดียวก็ตาม มีนัยเหมือนกัน. ถึงแม้ว่าในวันเข้าพรรษาต้นมี ๓ รูป แม้ในวันเข้าพรรษาหลังมี ๓ รูป ๒ รูปหรือรูปเดียวก็ตาม มีนัยเหมือนกัน. 
   ก็นี้เป็นลักษณะในปวารณาธิการนี้ :- 
   ถ้าว่า ภิกษุผู้จำพรรษาในวันเข้าพรรษาหลัง น้อยกว่าภิกษุผู้จำพรรษาในวันเข้าพรรษาต้น หรือเท่าๆ กันและให้ครบคณะสังฆปวารณาได้ พึงตั้งญัตติด้วยอำนาจสังฆปวารณา. 
   อนึ่ง ถ้าในวัสสูปนายิกาต้นมีภิกษุ ๓ รูป ในวัสสูปนายิกาหลังมีเพียงรูปเดียว รวมกันเข้าเป็น ๔ รูป ภิกษุ ๔ รูปจะตั้งญัตติเป็นการสงฆ์แล้วปวารณาหาควรไม่. แต่ภิกษุผู้จำพรรษาหลังนั้น เป็นคณะปูรกะของคณะญัตติได้อยู่. เพราะฉะนั้น ภิกษุผู้จำพรรษาต้น ๓ รูปพึงตั้งญัตติแล้วปวารณาเป็นการคณะ ภิกษุนอกนั้นพึงทำปาริสุทธิอุโบสถในสำนักของภิกษุเหล่านั้น. 
   ในวัสสูปนายิกาต้นมี ๒ รูป ในวัสสูปนายิกาหลังมี ๒ หรือรูปเดียว ก็มีนัยเหมือนกัน. 
   ในวัสสูปนายิกาต้นมีรูปเดียว ในวัสสูปนายิกาหลังก็มีรูปเดียว รูปหนึ่งพึงปวารณาในสำนักของอีกรูปหนึ่ง ฝ่ายอีกรูปหนึ่งพึงทำปาริสุทธิอุโบสถ. ถ้าว่า ภิกษุผู้เข้าพรรษาหลัง
   มีมากกว่าภิกษุผู้เข้าพรรษาต้นแม้เพียงรูปเดียว ฝ่ายภิกษุพวกข้างน้อยกว่า พึงสวดปาติโมกข์ก่อน แล้วปวารณาในสำนักของภิกษุฝ่ายข้างมากกว่าต่อภายหลัง. 
   ส่วนในวันปวารณาที่ครบ ๔ เดือนในเดือน ๑๒ ถ้าว่าภิกษุผู้เข้าพรรษาหลังมากกว่าภิกษุผู้จำพรรษาต้นซึ่งได้ปวารณาแล้วในวันมหาปวารณา หรือมีจำนวนเท่าๆ กัน พวกภิกษุผู้จำพรรษาหลัง พึงตั้งปวารณาญัตติแล้วปวารณา. เมื่อพวกเธอได้
   ปวารณากันเสร็จแล้ว, ฝ่ายพวกภิกษุผู้จำพรรษาต้น พึงทำปาริสุทธิอุโบสถในสำนักของพวกเธอในภายหลัง. ถ้าภิกษุผู้ปวารณาแล้ว ในวันมหาปวารณามีมาก ภิกษุผู้จำพรรษาหลังมีน้อยหรือมีรูปเดียว เมื่อพวกภิกษุผู้จำพรรษาต้นสวดปาติโมกข์เสร็จแล้ว ภิกษุผู้จำพรรษาหลังนั้นพึงปวารณาในสำนักของพวกเธอ.
สามัคคีปวรณา     วินิจฉัยในข้อว่า น จ ภิกฺขเว อปฺปวารณาย ปวาเรตพฺพํ อญฺญตฺร สงฺฆสามคฺคิยา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ความพร้อมเพรียงพึงทราบว่า เป็นเช่นกับความพร้อมเพรียงของภิกษุชาวเมืองโกสัมพีเถิด. ก็แลพึงทำบุพกิจในกาลแห่งสามัคคีปวารณานี้ อย่างนี้ว่า อชฺช ปวารณา สามคฺคี แปลว่า ปวารณาวันนี้ เป็นคราวปรองดองกัน. ฝ่ายภิกษุเหล่าใดงด
   ปวารณาเสียเพราะเหตุเล็กน้อย ซึ่งไม่สำคัญอะไร แล้วเป็นผู้พร้อมเพรียงกันเข้าได้, ภิกษุเหล่านั้นพึงทำปวารณาในวันปวารณาเท่านั้น. ฝ่ายภิกษุทั้งหลายผู้จะทำสามัคคีปวารณา พึงงดวันปฐมปวารณาเสีย พึงทำในระหว่างนี้ คือตั้งแต่แรมค่ำหนึ่งไปจนถึงกลางเดือน ๑๒ ซึ่งเป็นวันครบ ๔ เดือน จะทำภายหลังหรือก่อนกำหนดนั้นไม่ควร.
ญัตติวิธาน     วินิจฉัยในข้อว่า เทฺววาจิกํปวาเรตุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   เฉพาะภิกษุผู้ตั้งญัตติ พึงกล่าวว่า ยทิ สงฺฆสฺส ปตฺตกลฺลํ, สงฺโฆ เทฺววาจิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงปวารณา ๒ หน. 
   ในการปวารณาหนเดียว พึงกล่าวว่า เอกวาจิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า พึงปวารณาหนเดียว. 
   เฉพาะในการปวารณามีพรรษาเท่ากัน พึงกล่าวว่า สมานวสฺสิกํ ปวาเรยฺย แปลว่า พึงปวารณามีพรรษาเท่ากัน ก็แลในการปวารณามีพรรษาเท่ากันนี้ ภิกษุผู้มีพรรษาเท่ากันแม้มากรูป ย่อมได้เพื่อปวารณาพร้อมกัน.
  การงดปวารณา      วินิจฉัยในข้อว่า ภาสิตาย ลปิตาย อปริโยสิตาย นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   การงดปวารณา ๒ อย่าง คือ
งดครอบไปอย่างหนึ่ง งดเป็นส่วนบุคคลอย่างหนึ่ง.
   การงดปวารณามี ๒ อย่างนั้น
ในการงดครอบทั่วไป มีวินิจฉัยว่า 
   กรรมวาจาที่สวดว่าเรื่อยไปตั้งแต่ สุ อักษรจนถึง เร อักษร ว่า สุณาตุ เม ภนฺเต สงฺโฆ, ฯเปฯ สงฺโฆ เตวาจิกํ ปวาเร ดังนี้ ปวารณายังไม่จัดว่าจบก่อน. 
   ในระหว่างนี้ เมื่อภิกษุงดไว้แม้ในบทหนึ่ง ปวารณาเป็นอันงด. ต่อเมื่อถึง ย อักษรแล้ว ปวารณาเป็นอันจบ เพราะเหตุนั้น เมื่อภิกษุงดไว้ตั้งแต่ ย อักษรนั้นไป ปวารณาไม่จัดว่าได้งด. 
   ส่วนในการงด เป็นส่วนบุคคล มีวินิจฉัยว่า 
   คำปวารณาอันภิกษุกล่าวว่าเรื่อยไปตั้งแต่ สํ อักษรจนถึง ฏิ อักษร อันเป็นตัวท้ายแห่งอักษรทั้งปวงนี้ว่า สงฺฆํ ภนฺเต ปวาเรมิ ฯเปฯ ทุติยมฺปิ ฯเปฯ ตติยมฺปิ ภนฺเต สงฺฆํ ปวาเรมิ ทิฏฺเฐน วา สุเตน วา ปริสงฺกาย วา ฯเปฯ ปสฺสนฺโต ปฏิ ดังนี้, 
   ปวารณายังไม่จัดว่าจบก่อน. ในระหว่างนี้ เมื่อภิกษุงดไว้แม้ในบทอันหนึ่ง ปวารณาย่อมเป็นอันงด. ต่อเมื่อกล่าวบทว่า กริสฺสามิ แล้ว ปวารณาเป็นอันจบแล้วแท้, ก็เพราะเหตุใด เมื่อกล่าวบทว่า กริสฺสามิ แล้วปวารณาจึงชื่อว่าเป็นอันจบแล้วแท้ เพราะเหตุนั้น เมื่อถึงบทอันหนึ่งว่า กริสฺสามิ แล้ว ปวารณาอันภิกษุงดไว้ ไม่จัดว่าเป็นอันงดเลยด้วยประการฉะนี้. 
   ใน เทวฺวาจิกา เอกวาจิกา และ สมานวสฺสิกา มีนัยเหมือนกัน.  จริงอยู่ อักษรมี ฏิ เป็นที่สุด จำเดิมแต่ สํ มาทีเดียว ย่อมเป็นเขตแห่งการงดในปวารณาแม้เหล่านี้ ฉะนี้แล.  บทว่า อนุยุญฺชิยมาโน มีความว่า ภิกษุนั้นอันภิกษุทั้งหลายทำการไต่สวนถามอยู่ ตามนัยที่ตรัสไว้ข้างหน้าว่า ท่านงดปวารณานั้น เพราะเหตุไร? 
   บทว่า โอมทฺทิตฺวา มีความว่า สงฆ์พึงกล่าวคำเหล่านี้ว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าทำความบาดหมางเลย ดังนี้เป็นอาทิ ห้ามปรามเสียแล้วจึงปวารณา. 
   จริงอยู่ การห้ามปรามด้วยถ้อยคำ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประสงค์แล้วว่า โอมทฺทนา ในบทว่า โอมทฺทิตฺวา นี้. 
   สองบทว่า อนุทฺธํสิตํ ปฏิชานาติ มีความว่า ภิกษุผู้โจทก์นั้นปฏิญญาอย่างนี้ว่า ภิกษุนี้ข้าพเจ้าตามจำกัด คือโจทแล้ว ด้วยอาบัติปาราชิกไม่มีมูล.  บทว่า ยถาธมฺมํ มีความว่า สงฆ์พึงให้ปรับปาจิตตีย์ เพราะตามกำจัดด้วยสังฆาทิเสส พึงให้ปรับทุกกฎ เพราะตามกำจัดด้วยวีติกกมะนอกจากนี้. 
   บทว่า นาเสตฺวา มีความว่า สงฆ์พึงนาสนาภิกษุผู้จำเลยเสียด้วยลิงคนาสนา. ภิกษุผู้จำเลยนั้น อันสงฆ์พึงสั่งเพียงเท่านี้ว่า อาบัตินั้น พึงเป็นโทษอันเธอทำคืนตามธรรม แล้วพึงกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงปวารณาเถิด แต่อย่าพึงกล่าวคำนี้ว่า อาบัติชื่อโน้น เพราะว่าคำนั้นย่อมเป็นทางแห่งความทะเลาะ. 
วินิจฉัยในข้อว่า อิทํ วตฺถุํ ปญฺญายติ น ปุคฺคโล นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ได้ยินว่า พวกโจรจับปลาทั้งหลายจากสระโบกขรณี ในวัดป่าปิ้งกินแล้วไป ภิกษุนั้นเห็นประการแปลกนั้น กำหนดหมายเอาว่า กรรมนี้พึงเป็นของภิกษุ จึงกล่าวอย่างนั้น. 
   ในข้อว่า วตฺถุํ ฐเปตฺวา สงฺโฆ ปวาเรยฺย นี้ มีเนื้อความดังนี้ว่า เราทั้งหลายจักรู้จักตัวบุคคลนั้น ในเวลาใด จักโจทบุคคลนั้น ในเวลานั้น แต่บัดนี้สงฆ์จงปวารณาเถิด. 
   ข้อว่า อิทาเนว นํ วเทหิ มีความว่า หากท่านรังเกียจบุคคลบางคนด้วยวัตถุนี้. ท่านจงระบุตัวบุคคลนั้น ในบัดนี้แล. หากเธอระบุ สงฆ์พึงไต่สวนบุคคลนั้นแล้ว จึงปวารณา; หากเธอไม่ระบุ สงฆ์พึงกล่าวว่า เราจักพิจารณาแล้วจักรู้ ดังนี้ ปวารณาเถิด.
วินิจฉัยในข้อว่า อยํ ปุคฺคโล ปญฺญายติ นวตฺถุํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ภิกษุรูปหนึ่งบูชาพระเจดีย์ด้วยระเบียบของหอมและเครื่องชะโลมทาก็ดี, ฉันยาดองอริฏฐะก็ดี, กลิ่นตัวของเธอเป็นของคล้ายกับสิ่งเหล่านั้น ภิกษุนั้นหมายเอากลิ่นนั้น เมื่อประกาศวัตถุว่า กลิ่นของภิกษุนี้ จึงกล่าวอย่างนั้น. 
   ข้อว่า ปุคฺคลํ ฐเปตฺวา สงฺโฆ ปวาเรยฺย มีความว่า สงฆ์จงเว้นบุคคลนั่นเสีย ปวารณาเถิด. 
   ข้อว่า อิทาเนว นํ วเทหิ มีความว่า ท่านจงเว้นบุคคลใดจงกล่าวโทษของบุคคลนั้น ในบัดนี้แล. หากภิกษุนั้นกล่าวว่า โทษของบุคคลนั้นเป็นอย่างนี้ สงฆ์พึงชำระบุคคลนั้นให้เรียบร้อยแล้ว จึงปวารณา; แต่ถ้าเธอกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ทราบ สงฆ์พึงกล่าวว่าเราจักพิจารณาแล้วจักรู้ ดังนี้ ปวารณาเถิด. 
   ข้อว่า อิทํ วตฺถุญฺจ ปุคฺคโล จ ปญฺญายติ มีความว่า ภิกษุนั้นได้เห็นที่ซึ่งพวกโจรจับปลาปิ้งกิน และสถานที่อาบด้วยของหอมเป็นต้น ตามนัยก่อนนั่นเอง เมื่อสำคัญว่า นี่คงเป็นกรรมของบรรพชิตจึงกล่าวอย่างนั้น. 
   ข้อว่า อิทาเนว นํ วเทหิ มีความว่า ท่านจะบอกตัวบุคคลที่ท่านรังเกียจด้วยวัตถุนั้น ในบัดนี้แล. ก็แลจำเดิมแต่กาลที่ได้เห็นแล้ว เพราะเห็นวัตถุและบุคคลครบทั้งสองนี้ สงฆ์ต้องวินิจฉัยก่อน จึงปวารณาได้.  สองบทว่า กลฺลํ วจนาย มีความว่า สมควรโจท ด้วยคำโจทที่สมควร.๑- 
   ถามว่า เพราะเหตุไร?
   ตอบว่า เพราะวัตถุยังมิได้วินิจฉัยก่อนแต่ปวารณา และเพราะบุคคลซึ่งได้เห็นแล้ว ถูกโจทภายหลังแต่ปวารณา. 
๑- ปาฐะในอรรถกถาเป็น กลฺลโจเทตุํ วฏฺฏติ 
แต่น่าจะเป็น กลฺลํ โจทนาย โจเทตุํ วฏฺฏติ แปลว่า สมควรเพื่อการโจท คือควรที่จะโจท. 
   ข้อว่า อุกฺโกกฏนกํ ปาจิตฺติยํ มีความว่า จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลายเห็นวัตถุและบุคคลครบทั้งสองนี้แล้ว วินิจฉัยเสร็จก่อนแต่ปวารณาแล้ว จึงปวารณา เพราะฉะนั้น จึงเป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้รื้อปวารณานั้นอีก. 
วินิจฉัยในข้อว่า เทฺว ตโย อุโปสเถ จาตุทฺทสิเก กาตุํ นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   ๒ อุโบสถ คือที่ ๔ กับที่ ๕ เป็นจาตุททสี. อนึ่ง อุโบสถที่ ๓ แม้ตามปกติ ย่อมเป็นจาตุททสีเหมือนกันฉะนี้แล. เพราะเหตุนั้น ๒ อุโบสถ คือที่ ๓ กับที่ ๔ หรือ ๓ อุโบสถ คือที่ ๓ ที่ ๔ ที่ ๕ ควรทำให้เป็นจาตุททสี หากว่าเมื่อทำอุโบสถที่ ๔ ซึ่งเป็นปัณณรสีอุโบสถ ภิกษุผู้ก่อความบาดหมางนั้นฟังด้วยไซร้ พึงทำอุโบสถที่ ๕ ให้เป็นจาตุททสี. ๒ อุโบสถย่อมเป็นจาตุททสี
   แม้ด้วยประการอย่างนี้. เมื่อทำอย่างนั้น ภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านี้จักปวารณาสำหรับปัณณรสีปวารณาในวัน ๑๓ ค่ำหรือ ๑๔ ค่ำของภิกษุผู้ก่อความบาดหมางกัน. 
   ก็แลเมื่อจะปวารณาอย่างนั้น พึงวางเหล่าสามเณรไว้ภายนอกสีมา ได้ฟังว่า ภิกษุก่อความบาดหมางกันเหล่านั้นพากันมา พึงรีบประชุมกันปวารณาเสียเร็วๆ เพื่อแสดงความข้อนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุทั้งหลายผู้ก่อความบาดหมางกัน ทำความทะเลาะกัน
   ก่อการวิวาทกันทำความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ พากันมาสู่อาวาส, ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้น พึงประชุมปวารณากันเสียเร็วๆ, ครั้นปวารณาเสร็จแล้ว พึงพูดกะพวกเธอว่า ผู้มีอายุ พวกเราปวารณาแล้วแล พวกท่านสำคัญอย่างใด จงกระทำอย่างนั้นเถิด. 
   บทว่า อสํวิหิตา มีความว่า ผู้มิได้จัดแจง คือมิได้ทำการตระเตรียม เพื่อต้องการ จะให้ทราบการมา อธิบายว่า เป็นผู้อันพวกเจ้าถิ่นหาทันรู้ไม่. 
   สองบทว่า เตสํ วิกฺขิตฺวา มีความว่า พวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นพึงทำให้ตายใจเสีย โดยนัยเป็นต้นว่า พวกท่านเป็นผู้เหน็ดเหนื่อยมา จงพักเสียสักครู่เถิด.
   แล้วลอบออกไปปวารณาเสียนอกสีมา. 
   บทว่า โน เจ สเภถ มีความว่า หากว่า ไม่พึงได้เพื่อออกไปนอกสีมาไซร้. เป็นผู้ถูกพวกสามเณรและภิกษุหนุ่ม ของเหล่าภิกษุผู้ก่อความบาดหมางกัน คอยตามติดไปมิได้ขาดเลย. 
   สองบทว่า อาคเม ชุณฺเห มีความว่า ภิกษุทั้งหลายหมายเอาชุณหปักษ์ที่จะมาถึงใด ตั้งญัตติว่า เราทั้งหลายพึงปวารณาในชุณหปักษ์ที่จะมาถึง ดังนี้ ในชุณหปักษ์ที่จะมาถึงนั้น. 
   ข้อว่า โกมุทิยา จาตุมฺมาสินิยา อกามา ปวาเรตพฺพํ มีความว่า ภิกษุผู้เจ้าถิ่นเหล่านั้นต้องปวารณาแน่แท้ จะล่วงเลยวันเพ็ญที่ครบ ๔ เดือนปวารณาย่อมไม่ได้เลย.  หลายบทว่า เตหิ เจ ภิกฺขเว ภิกฺขูหิ ปวาริยมาเน มีความว่า เมื่อสงฆ์อันภิกษุเหล่านั้นปวารณาอยู่ ในวันเพ็ญที่ครบ ๔ เดือน อย่างนั้น.
  ปวารณาสงเคราะห์
   สองบทว่า อญฺญตโร ผาสุวิหาโร ได้แก่ สมถะอย่างอ่อนหรือวิปัสสนาอย่างอ่อน. 
   ข้อว่า ปริพาหิรา ภวิสฺสาม มีความว่า เราทั้งหลาย เมื่อไม่สามารถให้ภาวนานุโยคพร้อมมูลได้ เพราะความแตกแยกกันไปแห่งที่พักกลางคืนและที่พักกลางวันเป็นต้น ซึ่งไม่ประจำที่ จักเป็นผู้เหินห่าง จากธรรมเครื่องอยู่สำราญนี้. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้ามการมอบฉันทะ
   ด้วยคำนี้ว่า ภิกษุทั้งหลายต้องประชุมในที่เดียวกันทั้งหมดทีเดียว. พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส
   คำว่า เตหิ เจ ภิกฺขเว. เป็นอาทิ ก็เพื่อแสดงว่า จริงอยู่ การมอบฉันทะย่อมไม่ควรในฐานะเหล่านี้ คือในคราวที่ทำความพร้อมเพรียงแห่งสงฆ์ผู้แตกกัน ๑ ในคราวระงับอธิกรณ์ด้วยติณวัตถารกวินัย ๑ ในปวารณาสังคหะนี้ ๑. 
   ก็ขึ้นชื่อว่าปวารณาสังคหะนี้ ไม่ควรให้แก่ภิกษุผู้ละทิ้งกัมมัฏฐานพวกหนึ่ง ภิกษุผู้มีสมถะและวิปัสสนาแก่กล้าแล้วพวกหนึ่ง ภิกษุผู้เป็นอริยบุคคลมีโสดาบันเป็นต้นพวกหนึ่ง ก็ภิกษุผู้ได้สมถะอย่างอ่อนและวิปัสสนาอย่างอ่อน 
   จะมีทั้งหมดหรือมีครึ่งจำนวนหรือมีบุคคลเดียวก็ตามที ปวารณาสังคหะนั้นควรให้แท้ด้วยอำนาจแห่งภิกษุแม้รูปเดียว เมื่อสงฆ์ให้ปวารณาสังคหะแล้ว มีบริหารตลอดภายในกาลฝนเดียว ภิกษุอาคันตุกะย่อมไม่ได้เพื่อถือเสนาสนะของภิกษุเหล่านั้น ทั้งภิกษุเหล่านั้น ไม่พึงเป็นผู้ขาดพรรษาด้วย ก็แลครั้นปวารณาแล้ว ย่อมได้เพื่อหลีกไปสู่ที่จาริกในระหว่างด้วย. 
คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้น ฉะนี้แล.
อรรถกถาปวารณาขันธกะ จบ.