Translate

01 ธันวาคม 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ กฐินขันธกะ ภิกษุปาไฐยรัฐเดินทางเข้าเฝ้า เป็นต้น ภิกษุปาไฐยรัฐเดินทางเข้าเฝ้า

Google Workspace logo
 ทำบุญ 
   See also
   [๙๕] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถี. ครั้งนั้น ภิกษุปาไฐยรัฐจำนวน ๓๐ รูป ล้วนถืออารัญญิกธุดงค์ บิณฑปาติกธุดงค์ และเตจีวริกธุดงค์ เดินทางไปพระนครสาวัตถีเพื่อเฝ้า
พระผู้มีพระภาค เมื่อจวน ถึงวันเข้าพรรษา ไม่สามารถจะเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัตถี จึงจำพรรษา ณ เมืองสาเกต ในระหว่างทาง ภิกษุเหล่านั้นจำพรรษามีใจรัญจวนว่า พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ใกล้ๆ เรา ระยะทางห่างเพียง 
๖ โยชน์ แต่พวกเราก็ไม่ได้เฝ้าพระองค์ ครั้นล่วงไตรมาส ภิกษุ เหล่านั้นออกพรรษาทำปวารณาเสร็จแล้ว เมื่อฝนยังตกชุก พื้นภูมิภาคเต็มไปด้วยน้ำ เป็นหล่มเลน มีจีวรชุ่มชื้นด้วยน้ำ ลำบากกาย เดินทางไปถึงพระนครสาวัตถี พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก
คหบดี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. การที่พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงปราศรัยกับพระอาคันตุกะทั้งหลายนั่นเป็น พุทธประเพณี.
 พุทธประเพณี
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสถามภิกษุเหล่านั้นว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอยังพอ ทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ พวกเธอเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาตหรือ? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า
พวกข้าพระพุทธเจ้ายังพอทนได้ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้ พระพุทธเจ้าข้า อนึ่ง ข้าพระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้พร้อมเพรียงกัน ร่วมใจกัน ไม่วิวาทกัน จำ พรรษาเป็นผาสุก และไม่ลำบากด้วยบิณฑบาต พระพุทธเจ้าข้า พวกข้าพระพุทธเจ้าในชุมนุมนี้ เป็นภิกษุ
ปาไฐยรัฐ จำนวน ๓๐ รูป เดินทางมาพระนครสาวัตถี เพื่อเฝ้าพระผู้มีพระภาค เมื่อจวน ถึงวันเข้าพรรษา ไม่สามารถจะเดินทางให้ทันวันเข้าพรรษาในพระนครสาวัตถี จึงจำพรรษา ณ เมือง สาเกต ในระหว่างทาง พวกข้าพระพุทธเจ้านั้นจำพรรษามีใจรัญจวนว่า
พระผู้มีพระภาคประทับ อยู่ใกล้ๆ เรา ระยะทางห่างเพียง ๖ โยชน์ แต่พวกเราก็ไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาค ครั้นล่วง ไตรมาส พวกข้าพระพุทธเจ้าออกพรรษาทำปวารณาเสร็จแล้ว เมื่อฝนยังตกชุก พื้นภูมิภาคเต็ม ไปด้วยน้ำ เป็นหล่มเลน มีจีวรชุ่มชื้นด้วยน้ำ ลำบาก
กาย เดินทางมา พระพุทธเจ้าข้า.
 พระพุทธานุญาตให้กรานกฐิน
 [๙๖] ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาค ทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะ เหตุแรกเกิดนั้น แล้วรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุทั้งหลาย ผู้จำพรรษาแล้วได้กรานกฐิน พวกเธอผู้ได้กรานกฐินแล้ว จักได้อานิสงส์ ๕
   ประการ คือ ๑. เที่ยวไปไหนไม่ต้องบอกลา ๒. ไม่ต้องถือไตรจีวรไปครบสำรับ ๓. ฉันคณะโภชน์ได้ ๔. ทรงอติเรกจีวรไว้ได้ตามปรารถนา ๕. จีวรอันเกิดขึ้น ณ ที่นั้นจักได้แก่
พวกเธอ   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๕ ประการนี้ จักได้แก่เธอทั้งหลายผู้ได้กรานกฐินแล้ว.
 วิธีกรานกฐิน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แล สงฆ์พึงกรานกฐินอย่างนี้ คือภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศ ให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
 กรรมวาจาให้ผ้ากฐิน
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินผืนนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ ถ้าความพร้อมพรั่ง ของสงฆ์ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อกรานกฐิน นี้เป็นญัตติ ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ผ้ากฐินผืนนี้เกิดแล้วแก่สงฆ์ สงฆ์ให้ผ้ากฐิน ผืนนี้แก่ภิกษุมีชื่อ
นี้เพื่อกรานกฐิน การให้ผ้ากฐินผืนนี้แก่ภิกษุชื่อนี้ เพื่อกรานกฐิน ชอบ แก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด ผ้ากฐินผืนนี้ สงฆ์ให้แล้วแก่ภิกษุมีชื่อนี้ เพื่อกรานกฐิน ชอบแก่สงฆ์ เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรงความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้.
 ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล กฐินเป็นอันกราน อย่างนี้ไม่เป็นอันกราน.

กฐินไม่เป็นอันกราน
[๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า กฐินไม่เป็นอันกราน คือ:-
   ๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงขีดรอย
   ๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงซักผ้า
   ๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงกะผ้า
   ๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงตัดผ้า
   ๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเนาผ้า
   ๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงเย็บด้น
   ๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำลูกดุม
   ๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงทำรังดุม
   ๙. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาต
   ๑๐. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงประกอบผ้าอนุวาตด้านหน้า
   ๑๑. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงดามผ้า
   ๑๒. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยอาการเพียงย้อมเป็นสีหม่นเท่านั้น
   ๑๓. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ทำนิมิตได้มา
   ๑๔. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่พูดเลียบเคียงได้มา
   ๑๕. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ยืมเขามา
   ๑๖. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เก็บไว้ค้างคืน
   ๑๗. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่เป็นนิสสัคคีย์
   ๑๘. กฐินไม่เป็นอันกราน ด้วยผ้าที่มิได้ทำกัปปะพินทุ
   ๑๙. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจากผ้าสังฆาฏิเสีย
   ๒๐. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจากผ้าอุตราสงค์เสีย
   ๒๑. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจากผ้าอันตรวาสกเสีย
   ๒๒. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจากจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกิน ๕ ซึ่งตัดดีแล้ว ทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
   ๒๓. กฐินไม่เป็นอันกราน เว้นจากการกรานแห่งบุคคล
   ๒๔. กฐินไม่เป็นอันกรานโดยชอบ ถ้าภิกษุผู้อยู่นอกสีมาอนุโมทนากฐินนั้น แม้อย่างนี้กฐินก็ชื่อว่าไม่เป็นอันกราน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล กฐินไม่เป็นอันกราน.
&@กฐินเป็นอันกราน
   [๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างไรเล่า กฐินเป็นอันกราน คือ:-
   ๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าใหม่
   ๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเทียมใหม่
   ๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าเก่า
   ๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าบังสุกุล
   ๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ตกตามร้าน
   ๖. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ทำนิมิตได้มา
   ๗. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้พูดเลียบเคียงได้มา
   ๘. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้ยืมเขามา
   ๙. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้เก็บไว้ค้างคืน
   ๑๐. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ไม่ได้เป็นนิสสัคคีย์
   ๑๑. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าที่ทำกัปปะพินทุแล้ว
   ๑๒. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าสังฆาฏิ
   ๑๓. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอุตราสงค์
   ๑๔. กฐินเป็นอันกราน ด้วยผ้าอันตรวาสก
   ๑๕. กฐินเป็นอันกราน ด้วยจีวรมีขันธ์ ๕ หรือเกิน ๕ ซึ่งตัดดีแล้ว ทำให้มีมณฑลเสร็จในวันนั้น
   ๑๖. กฐินเป็นอันกราน เพราะการแห่งบุคคล
   ๑๗. กฐินเป็นอันกราน ถ้าภิกษุอยู่ในสีมาอนุโมทนากฐินนั้น แม้อย่างนี้ กฐินก็ชื่อว่าเป็นอันกราน.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล กฐินเป็นอันกราน.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ กฐินขันธกะ ภิกษุปาไถยรัฐเดินทางเข้าเฝ้าเป็นต้น
[๙๗] เรื่องภิกษุชาวเมืองปาเฐยยะ
วินิจฉัยในกฐินขันธกะ พึงทราบดังนี้ :-
   บทว่า ปาเฐยฺยกา มีความว่า เป็นชาวจังหวัดปาเฐยยะ. 
   มีคำอธิบายว่า ทางด้านทิศตะวันตกในแคว้นโกศล มีจังหวัดชื่อปาเฐยยะ, ภิกษุเหล่านั้นมีปกติอยู่ในจังหวัดนั้น. คำว่า ปาเฐยฺยกา นั้น เป็นชื่อของพวกพระภัททวัคคิยเถระ ซึ่งเป็นพี่น้องร่วมพระบิดาของพระเจ้าโกศล. ในพระเถระ ๓๐ รูปนั้น รูปที่เป็นใหญ่กว่าทุกๆ รูป เป็นพระอนาคามี, รูปที่ด้อยกว่าทุกๆ รูป
เป็นพระโสดาบัน, ที่เป็นพระอรหันต์หรือปุถุชน แม้องค์เดียวก็ไม่มี. 
   บทว่า อารญฺญกา มีความว่า มีปกติอยู่ป่า ด้วยอำนาจสมาทานธุดงค์, ไม่ใช่สักว่าอยู่ป่า. ถึงในข้อที่ภิกษุเหล่านั้นเป็นผู้ถือบิณฑบาตเป็นต้น ก็มีนัยเหมือนกัน. 
   อันที่จริง คำว่า มีปกติอยู่ป่า นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจธุดงค์ที่เป็นประธาน แต่ภิกษุเหล่านี้สมาทานธุดงค์ทั้ง ๑๓ ทีเดียว. 
   บทว่า อุทกสงฺคเห มีความว่า เมื่อภูมิภาคถูกน้ำท่วม คือขังแช่แล้ว. 
   อธิบายว่า ทั้งที่ดอนทั้งที่ลุ่ม เป็นที่มีน้ำเป็นอันเดียวกัน. 
   บทว่า อุทกจิกฺขลฺเล มีความว่า ในที่ซึ่งเธอทั้งหลายเหยียบแล้วเหยียบแล้ว น้ำโคลนย่อมกระฉูดขึ้นถึงตะโพก, ทางลื่นเช่นนี้. 
   บทว่า โอกปุณฺเณหิ มีความว่า ชุ่มโชกด้วยน้ำ. 
 ได้ยินว่า จีวรของพวกเธอ มีเนื้อแน่น, น้ำซึ่งตกที่จีวรเหล่านั้น จึงไม่ไหลไปเพราะเป็นผ้าเนื้อแน่น, ย่อมติดค้างอยู่เหมือนห่อผูกไว้ เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า มีจีวรชุ่มโชกด้วยน้ำ. ปาฐะว่า โอฆปุณฺเณหิ ก็มี. 
 วินิจฉัยในคำว่า อวิวทมานา วสฺสํ วสิมฺหา นี้ พึงทราบดังนี้ :-
ภิกษุเหล่านั้นอยู่ไม่ผาสุก เพราะไม่มีความสำราญด้วยเสนาสนะในฐานที่ตนเป็นอาคันตุกะ และเพราะเป็นผู้กระวนกระวายในใจ ด้วยไม่ได้เฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะฉะนั้น พวกเธอจึงไม่ทูลว่า พวกข้าพระองค์ไม่วิวาทกัน จำพรรษาเป็นผาสุก. 
   ข้อว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสอนอนมตัคคิยกถาแก่ภิกษุเหล่านั้น. เธอทั้งหมดเทียว ได้บรรลุพระอรหัตในเวลาจบกถา แล้วได้เหาะไปในอากาศ จากที่ซึ่งตนนั่งทีเดียว.
   พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายหมายเอาอนมตัคคิยกถานั้นกล่าวว่า ธมฺมึ กถํ กตฺวา ภายหลัง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงดำริว่า ถ้าการกรานกฐิน จักได้เป็นการที่เราได้บัญญัติแล้วไซร้ ภิกษุเหล่านั้นจะเก็บจีวรไว้ผืนหนึ่งแล้วมากับอันตรวาสกและอุตราสงค์จะไม่ต้องลำบากอย่างนั้น ; ก็ธรรมดาการกรานกฐินนี้
   อันพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ ทรงบัญญัติแล้ว ดังนี้. มีพระประสงค์จะทรงอนุญาตการกรานกฐิน จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมา, ก็แล ครั้นตรัสเรียกมาแล้ว จึงตรัสคำว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว เป็นอาทิ.
ว่าด้วยอานิสงส์ ๕
วินิจฉัยในคำนั้น พึงทราบดังนี้ :- 
   ในคำว่า อตฺถตกฐินานํ โว นี้ โว อักษร สักว่านิบาต. ความว่า ผู้กรานกฐินแล้ว. 
   จริงอยู่ เมื่อเป็นอย่างนั้น คำว่า โส เนสํ ภวิสฺสติ ข้างหน้า จึงจะสมกัน. 
   อีกอย่างหนึ่ง บทว่า โว นี้ เป็นฉัฏฐีวิภัตตินั่นเอง. ส่วนในคำว่า โส เนสํ นี้ มีความว่า จีวรที่เกิดขึ้นนั้น จักเป็นของภิกษุทั้งหลาย ผู้กรานกฐินแล้วเทียว. 
   บรรดาอานิสงส์ ๕ นั้น ข้อว่า อนามนฺตจาโร มีความว่า กฐินอันสงฆ์ยังไม่รื้อ๑- เพียงใด, การเที่ยวไปไม่บอกลา จักควรเพียงนั้น คือจักไม่เป็นอาบัติเพราะจาริตตสิกขาบท. 
   ข้อว่า อสมาทานจาโร ได้แก่ เที่ยวไปไม่ต้องเอาไตรจีวรไปด้วย. 
   ความว่า การอยู่ปราศจากจีวร จักควร. 
   ข้อว่า คณโภชนํ มีความว่า แม้การฉันคณโภชน์ จักควร. 
  ข้อว่า ยาวทตฺถจีวรํ มีความว่า ต้องการด้วยจีวรเท่าใด, จีวรเท่านั้น ไม่ต้องอธิษฐาน ไม่ต้องวิกัป จักควร. 
   ข้อว่า โย จ ตตฺถ จีวรุปฺปาโท มีความว่า จะเป็นจีวรของภิกษุสามเณรผู้มรณภาพในสีมาที่ได้กรานกฐินแล้วนั้น หรือจีวรที่ทายกถวายเฉพาะสงฆ์ หรือจีวรที่จ่ายมาด้วยค่ากัลปนาของสงฆ์ ซึ่งเกิดขึ้นในสีมานั้น ก็ตามที, จีวรใดเป็นของสงฆ์เกิดขึ้นด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง, จีวรนั้น จักเป็นของพวกเธอ. 
๑- อุพฺภต แปลตามพากย์เขมรว่า เดาะ. 
ว่าด้วยผู้ได้กรานกฐิน
วินิจฉัยในคำว่า เอวญฺจ ปน ภิกฺขเว กฐินํ อตฺถริตพฺพํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   ในมหาปัจจรีแก้ว่า ถามว่า ใครได้กรานกฐิน ใครไม่ได้? 
   ตอบว่า ว่าด้วยอำนาจแห่งจำนวนก่อน. ภิกษุ ๕ รูปเป็นอย่างต่ำย่อมได้กราน, อย่างสูงแม้แสนก็ได้. หย่อน ๕ รูป ไม่ได้. 
ว่าด้วยอำนาจภิกษุผู้จำพรรษา.   ภิกษุผู้จำพรรษาในปุริมพรรษา ปวารณาในวันปฐมปวารณาแล้ว ย่อมได้, ภิกษุผู้มีพรรษาขาดหรือจำพรรษาในปัจฉิมพรรษา ย่อมไม่ได้. แม้ภิกษุที่จำพรรษาในวัดอื่นก็ไม่ได้. และภิกษุทั้งปวงผู้จำพรรษาหลัง เป็นคณปูรกะของภิกษุผู้จำพรรษาต้นก็ได้, แต่พวกเธอไม่ได้อานิสงส์ ; อานิสงส์ย่อมสำเร็จแก่พวกภิกษุนอกนี้เท่านั้น. 
   ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้นมี ๔ รูปหรือ ๓ รูปหรือ ๒ รูปหรือรูปเดียว, พึงนิมนต์ภิกษุผู้จำพรรษาหลังมาเพิ่มให้ครบคณะแล้ว กรานกฐินเถิด. ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้นมี ๔ รูป, มีสามเณรอายุครบอยู่รูปหนึ่ง, หากสามเณรนั้นอุปสมบทในพรรษาหลัง, เธอเป็นคณปูรกะได้ ทั้งได้อานิสงส์ด้วย. 
   แม้ในข้อว่า มีภิกษุ ๓ สามเณร ๒, มีภิกษุ ๒ สามเณร ๓, มีภิกษุรูปเดียว สามเณร ๔ นี้ ก็มีนัยอย่างนี้แล. ถ้าภิกษุผู้จำพรรษาต้น ไม่เข้าใจในการกรานกฐิน, พึงหาพระเถระผู้กล่าวคัมภีร์ขันธกะ ซึ่งเข้าใจในการกรานกฐิน นิมนต์มา : ท่านสอนให้สวดกรรมวาจา ให้กรานกฐิน แล้วรับทานแล้วจักไป. ส่วนอานิสงส์ย่อมสำเร็จแก่ภิกษุนอกนี้เท่านั้น. 
ว่าด้วยผู้ถวายกฐิน กฐิน ใครถวาย จึงใช้ได้? 
   บุคคลผู้ใดผู้หนึ่งจะเป็นเทวดาหรือมนุษย์หรือสหธรรมิกทั้ง ๕#- คนใดคนหนึ่งถวายก็ใช้ได้. 
   ธรรมเนียมของผู้ถวายกฐิน มีอยู่ ; ถ้าเขาไม่รู้ธรรมเนียมนั้น.
   จึงถามว่า กฐินควรถวายอย่างไร เจ้าข้า ภิกษุพึงบอกเขาอย่างนี้ว่า ควรถวายผ้าพอทำไตรจีวรผืนใดผืนหนึ่งได้ในเวลากลางวันว่า พวกข้าพเจ้าถวายผ้ากฐินจีวร, ควรถวายเข็มเท่านี้เล่มด้ายเท่านี้ น้ำย้อมเท่านี้ เพื่อทำจีวรนั้นและถวายยาคูและภัตแก่พวกภิกษุเท่านี้รูปผู้ช่วยทำ. ฝ่ายภิกษุผู้จะกรานกฐินพึงกรานกฐินซึ่งเกิดขึ้นโดยธรรมโดยชอบ. เมื่อจะกราน ต้องรู้จักธรรมเนียม. 
   จริงอยู่ แม้ผ้าที่เปื้อนน้ำข้าว โดยสืบเนื่องมาแต่เรื่องช่างหูกทีเดียว ก็ใช้ไม่ได้, แม้ผ้าเก่าก็ใช้ไม่ได้ ; เพราะฉะนั้นได้ผ้าสำหรับกรานกฐินแล้ว ต้องซักให้สะอาด ตระเตรียมเครื่องมือสำหรับทำจีวรมีเข็มเป็นต้นไว้แล้ว พร้อมด้วยภิกษุทั้งหลาย ช่วยกันเย็บย้อมจีวรที่เย็บเสร็จ ให้กัปปพินทุแล้ว กรานกฐินในวันนั้นทีเดียว. ถ้ากฐินนั้นยังไม่ทันได้กราน, ผู้อื่นนำผ้ากฐินมา ; และถวายผ้าอานิสงส์กฐินอื่นๆ เป็นอันมาก, ผู้ใดถวายอานิสงส์มาก, พึงกรานด้วยผ้ากฐินของผู้นั้นเถิด. แต่ต้องชี้แจงให้ทายกอีกฝ่ายหนึ่งยินยอม. 
- สหธรรมิก ๕ คือ ภิกษุ ภิกษุณี สิกขมานา สามเณร สามเณรี.
ว่าด้วยผู้ควรกราน ก็กฐิน ใครควรกราน? 
   สงฆ์ให้จีวรกฐินแก่ภิกษุใด, ภิกษุนั้นควรกราน. 
ก็สงฆ์ควรให้ใครเล่า? 
   ภิกษุใดมีจีวรเก่า ควรให้แก่ภิกษุนั้น. ถ้าภิกษุมีจีวรเก่าหลายรูปพึงให้แก่ผู้เฒ่า. ในหมู่ผู้เฒ่าเล่า ภิกษุใดเป็นมหาบุรุษสามารถทำจีวรเสร็จทันกรานในวันนั้น, ควรให้แก่ภิกษุนั้น ถ้าผู้เฒ่าไม่สามารถ ; ภิกษุผู้อ่อนกว่าสามารถ พึงให้แก่เธอ. แต่สงฆ์ควรทำความสงเคราะห์แก่พระมหาเถระ, เพราะฉะนั้น สงฆ์พึงเรียนท่านว่า ขอท่านจงรับเถิด, พวกข้าพเจ้าจักช่วยทำถวาย.
   ในไตรจีวรผืนใดคร่ำคร่า, ควรให้เพื่อประโยชน์แก่ผืนนั้น. ตามปกติ พระมหาเถระครองจีวรสองชั้น พึงให้เพื่อพอทำได้สองชั้น. ถ้าแม้ท่านครองจีวรชั้นเดียวแต่เนื้อแน่น, แต่ผ้ากฐินเนื้อบาง พึงให้ให้พอสองชั้นทีเดียว เพื่อจะได้เหมาะสมทรง. ถึงแม้ท่านพูดอยู่ว่า เมื่อไม่ได้เราก็จะครองชั้นเดียว ก็ควรให้สองชั้น, แต่ถ้าภิกษุใดเป็นผู้มีปกติโลภ ไม่ควรให้แก่ภิกษุนั้น. 
   ท่านผู้รับนั้นเล่า ก็ไม่ควรรับด้วยคิดว่า เรากรานกฐินแล้ว ภายหลังจักเลาะออกทำเป็นจีวรสองผืน.
ว่าด้วยกฐินวัตร
   ก็แล เพื่อจะแสดงวิธีที่จะพึงให้แก่ภิกษุที่สงฆ์จะให้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารถนาว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แล กฐินอันภิกษุพึงกรานอย่างนี้ ดังนี้แล้ว จึงตรัสกรรมวาจาสำหรับให้ก่อน มีคำว่า สุณาตุ เม ภนฺเต เป็นต้น. 
   ก็เมื่อกฐินอันสงฆ์ให้อย่างนี้แล้ว หากผ้ากฐินนั้นเป็นของมีบริกรรมเสร็จสรรพแล้ว อย่างนั้นนั่นเป็นการดี. หากมีบริกรรมยังไม่สำเร็จ แม้ภิกษุรูปหนึ่งจะไม่ช่วยทำด้วยถือตัวว่า เราเป็นเถระ หรือว่า เราเป็นพหุสสุตะ ดังนี้ไม่ได้ การซักเย็บและย้อม ภิกษุทั้งหมดต้องประชุมช่วยกันให้สำเร็จ ก็ข้อนี้ ชื่อกฐินวัตรที่พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญ. 
   จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพระนามว่าปทุมุตตระ ก็ได้ทรงทำกฐินวัตรมาแล้ว ในอดีตกาล. ได้ยินว่า พระอัครสาวกของพระองค์ชื่อสุชาตเถระ ได้รับกฐิน. พระศาสดาได้ทรงนั่งทำกฐินวัตรนั้น พร้อมด้วยภิกษุหกล้านแปดแสนรูป.
วิธีกราน
   อันภิกษุผู้กราน พึงถือเอาผ้ากฐินที่ทำเสร็จสรรพแล้วกรานกฐินตามวิธีท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์บริวาร๑- มีคำเป็นต้นว่า ถ้าประสงค์จะกรานกฐินด้วยสังฆาฏิ พึงถอนสังฆาฏิเก่า อธิษฐานสังฆาฏิใหม่ พึงลั่นวาจาว่า ข้าพเจ้ากรานกฐิน ด้วยสังฆาฏินี้
   ก็แล ครั้นกรานแล้ว พึงให้ภิกษุทั้งหลายอนุโมทนา ตามวิธีที่ท่านกล่าวไว้ในคัมภีร์บริวาร๒- มีคำเป็นอาทิอย่างนี้แลว่า ภิกษุผู้กรานกฐินนั้น พึงเข้าไปหาสงฆ์กระทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมมือ กล่าวอย่างนี้ว่า อตฺถตํ ภนฺเต สงฺฆสฺส กฐินํ ธมฺมิโก กฐินตฺถาโร อนุโมทถ
   ท่านเจ้าข้า กฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม ขอท่านทั้งหลายอนุโมทนาเถิด, ภิกษุผู้อนุโมทนาเหล่านี้ พึงทำผ้าอุตราสงค์เฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประณมมือกล่าวอย่างนี้ว่า ผู้มีอายุกฐินของสงฆ์กรานแล้ว การกรานกฐินเป็นธรรม เราอนุโมทนา ; ฝ่ายพวกภิกษุนอกนี้ พึงอนุโมทนากฐินเป็นภิกษุทุกๆ รูปกรานแล้ว ด้วยประการอย่างนี้. 
   แท้จริง ในคัมภีร์บริวาร๓- ท่านกล่าวว่า กฐินเป็นอันบุคคลสองฝ่าย คือ ผู้กรานหนึ่ง ผู้อนุโมทนาหนึ่ง กรานแล้ว. ทั้งได้กล่าวไว้อีกว่า สงฆ์หาได้กรานกฐินไม่ คณะหาได้กรานกฐินไม่ บุคคลกรานกฐิน ; แต่พระสงฆ์อนุโมทนา เพราะคณะอนุโมทนา เพราะบุคคลกราน กฐินได้ชื่อว่า สงฆ์ได้กราน คณะได้กราน บุคคลได้กราน. 
   ก็เมื่อกฐินกรานแล้วอย่างนั้น ถ้าแล พวกทายกถวายอานิสงส์ที่นำมาพร้อมกับกฐินจีวรว่า ภิกษุรูปใดได้รับผ้ากฐินของพวกข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุรูปนั้น ดังนี้ ภิกษุสงฆ์ไม่เป็นใหญ่. ถ้าเขาไม่ทันได้สั่งเสียไว้ ถวายแล้วก็ไป ภิกษุสงฆ์เป็นใหญ่ ; เพราะเหตุนั้น ถ้าแม้จีวรที่เหลือทั้งหลาย ของภิกษุผู้กรานเป็นของชำรุด สงฆ์พึงอปโลกน์ให้ผ้าเพื่อประโยชน์แก่จีวร แม้เหล่านั้น.
   ส่วนกรรมวาจาคงใช้ได้ครั้งเดียวเท่านั้น. ผ้าอานิสงส์กฐินที่ยังเหลือ พึงแจกกันโดยลำดับแห่งผ้าจำนำพรรษา. เพราะไม่มีลำดับ พึงแจกตั้งแต่เถรอาสน์ลงมา. คุรุภัณฑ์ไม่ควรแจก. แต่ถ้าในสีมาเดียวมีหลายวิหาร ต้องให้ภิกษุทั้งปวงประชุมกรานกฐินในที่เดียวกัน ; จะกรานกันเป็นแผนกๆ ไม่ควร. 
๑- ปริวาร. ๔๓๕.  ๒- ปริวาร. ๔๓๒.  ๓- นัย - ปริวาร. ๔๓๘.
อนัตถตาการและอัตถตาการ
   ก็บัดนี้ เพื่อจะแสดงวิธีที่กฐินจะเป็นอันกราน และไม่เป็นอันกรานโดยพิสดาร พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็แลกฐินเป็นอันกรานแล้วด้วยอย่างนี้ ไม่เป็นอันกรานแล้วด้วยอย่างนี้ เมื่อจะทรงแสดงอกรณียกิจ มหาภูมิกะและอนัตถตลักขณะก่อน จึงทรงแสดงอาการ ๒๔ มีคำว่า อุลฺลิขิตมตฺเตน เป็นต้น. 
   ต่อจากนั้นไป เมื่อจะทรงแสดงอัตถตลักขณะ จึงทรงแสดงอาการ ๑๗ มีคำว่า อหเตน อตฺถตํ เป็นอาทิ. จริงอยู่ แม้ในคัมภีร์บริวาร ท่านก็ได้กล่าวลักษณะอย่างนี้เหมือนกันว่า กฐินไม่เป็นอันกรานด้วยอาการ ๒๔ กฐินเป็นอันกรานด้วยอาการ ๑๗. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อุลฺลิขิตมตฺเตน ได้แก่ ด้วยสักว่ากะประมาณด้านยาวและด้านกว้าง. จริงอยู่ เมื่อจะกะประมาณ ย่อมใช้เล็บเป็นต้นกรีด แสดงที่กำหนดตัดอันนั้น หรือที่หน้าผากเป็นต้นเพื่อจำประเทศนั้นๆ เพราะเหตุนั้น การกะประมาณนั้นพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า สักว่ายกขึ้นจด. 
   บทว่า โธวนมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าซักผ้ากฐิน.
   บทว่า จีวรวิจารณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่ากะอย่างนี้ว่า จงเป็นจีวร ๕ ขัณฑ์ หรือว่าจงเป็นจีวร ๗ ขัณฑ์ หรือว่าจงเป็นจีวร ๙ ขัณฑ์ หรือว่าจงเป็นจีวร ๑๑ ขัณฑ์. 
   บทว่า เฉทนมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าตัดผ้าตามที่กะไว้แล้ว. 
   บทว่า พนฺธนมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าเนาด้วยด้ายเนา. 
   บทว่า โอวฏฺฏิยกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าเย็บตามยาวตามแนวด้ายที่เนา. 
   บทว่า กณฺฑูสกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าติดห่วงผ้า. 
   บทว่า ทฬฺหีกมฺมกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าเย็บผ้าดามสองผืนติดปะกันเข้า. 
 อีกอย่างหนึ่ง มีความว่า ด้วยสักว่าเย็บผ้ากฐิน ทำให้เป็นผ้าดามท้องแห่งผ้าดามผืนแรกที่เชื่อมติดไว้แล้ว ดังนี้บ้าง. 
   ในมหาปัจจรีกล่าวว่า ด้วยติดผ้ารองจีวรปกติ. ส่วนในกุรุนทีกล่าวว่า ด้วยสักว่าเชื่อมผ้าดามท้องเข้า เพื่อทำจีวรที่เย็บไว้ชั้นเดียวตามปกติให้เป็นสองชั้น. 
   บทว่า อนุวาตกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าติดอนุวาตด้านยาว. 
   บทว่า ปริภณฺฑกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าติดอนุวาตด้านกว้าง. 
   บทว่า โอวฏฺเฏยฺยกรณมตฺเตน คือ ด้วยสักว่าเพิ่มผ้าดามเข้า. 
 อีกอย่างหนึ่ง ด้วยสักว่าถือเอาผ้าจากจีวรกฐิน ติดเข้าที่ผ้าจีวรกฐินผืนอื่น. 
   บทว่า กมฺพลมทฺทนมตฺเตน คือ ด้วยจีวรที่ใส่ลงในน้ำย้อมเพียงครั้งเดียว มีสีดังงาช้าง หรือมีสีดังใบไม้เหลือง. แต่ถ้าแม้ย้อมครั้งเดียวหรือสองครั้ง ก็ได้สี ใช้ได้. 
   บทว่า นิมิตฺตกเตน คือ ด้วยผ้าที่ภิกษุทำนิมิตอย่างนี้ว่า เราจักกรานกฐินด้วยผ้านี้. จริงอยู่ ในคัมภีร์บริวารท่านกล่าวไว้เพียงเท่านี้ แต่ในอรรถกถาทั้งหลายกล่าวว่า ด้วยผ้าที่ภิกษุทำนิมิตได้มาอย่างนี้ว่า ผ้านี้ดี อาจกรานกฐินด้วยผ้านี้ได้. 
   บทว่า ปริกถากเตน คือ ด้วยผ้าที่ภิกษุให้เกิดขึ้นด้วยพูดเลียบเคียงอย่างนี้ว่า การถวายผ้ากฐิน สมควรอยู่ ทายกเจ้าของกฐินย่อมได้บุญมาก ขึ้นชื่อว่า ผ้ากฐิน เป็นของบริสุทธิ์จริงๆ จึงจะสมควร แม้มารดาของตน ก็ไม่ควรออกปากขอ ต้องเป็นดังผ้าที่ลอยมาจากอากาศนั่นแล จึงจะเหมาะ. 
   บทว่า กุกฺกุกเตน คือ ด้วยผ้าที่ยืมมา.
   ในบทว่า สนฺนิธิกเตน นี้ สันนิธิมี ๒ อย่าง คือกรณสันนิธิ ๑ นิจยสันนิธิ ๑. ในสันนิธิ ๒ อย่างนั้น การเก็บไว้ทำ ไม่ทำเสียให้เสร็จในวันนั้นทีเดียว ชื่อกรณสันนิธิ. สงฆ์ได้ผ้ากฐินในวันนี้ แต่ถวายในวันรุ่งขึ้น นี้ชื่อนิจยสันนิธิ. 
   บทว่า นิสฺสคฺคิเยน คือ ด้วยผ้าที่ข้ามราตรี. 
 แม้ในคัมภีร์บริวาร ท่านก็กล่าวว่า ผ้าที่ภิกษุกำลังทำอยู่ อรุณขึ้นมาชื่อผ้านิสสัคคีย์.
        บทว่า อกปฺปกเตน คือ ด้วยผ้าที่ไม่ได้ทำกัปปพินททุ. 
 ในข้อว่า อญฺญตฺร สงฺฆาฏิยา เป็นต้น มีความว่า กฐินที่กรานด้วยผ้าลาดเป็นต้น ซึ่งเป็นผ้าอื่น นอกจากผ้าสังฆาฏิ ผ้าอุตราสงค์และผ้าอันตรวาสก ไม่เป็นอันกราน. 
   ข้อว่า อญฺญตฺร ปญฺจเกน วา อติเรกปญฺจเกน วา มีความว่า กฐินที่กรานด้วยผ้าที่ทำเป็น ๕ ขัณฑ์ หรือเกินกว่า ๕ ขัณฑ์ แสดงมหามณฑลและอัฑฒณฑลเท่านั้น จึงใช้ได้. ด้วยว่า เมื่อทำอย่างนั้น จีวรเป็นอันทำได้มณฑล เว้นจีวรนั้นเสีย กฐินที่กรานด้วยผ้าอื่นที่ไม่ได้ตัด หรือด้วยผ้าที่มีขัณฑ์ ๒ มีขัณฑ์ ๓ มีขัณฑ์ ๔ ใช้ไม่ได้. 
   ข้อว่า อญฺญตฺร ปุคฺคลสฺส อตฺถารา มีความว่า กฐิน ไม่เป็นอันกราน ด้วยการกรานของสงฆ์ หรือของคณะอื่น เพราะเว้นการกรานของบุคคลเสีย. 
   ข้อว่า นิสฺสีมฏฺโฐ อนุโมทติ มีความว่า ภิกษุผู้อยู่ภายนอกอุปจารสีมาอนุโมทนา. 
   บทว่า อหเตน คือ ด้วยผ้าที่ยังไม่ได้ใช้. 
   บทว่า อหตกปฺเปน คือ ด้วยผ้าเทียมใหม่ คือที่ซักแล้วครั้งเดียวหรือ ๒ ครั้ง. 
   บทว่า ปิโลติกาย คือ ด้วยผ้าเก่า. 
   บทว่า ปํสุกูเลน คือ ด้วยผ้าบังสุกุลที่เกิดในเขต ๒๓. 
 ในกุรุนทีและมหาปัจจรี แก้ว่า ได้แก่ ด้วยจีวรที่ภิกษุผู้ถือบังสุกุลทำด้วยผ้าที่ตนเที่ยวขอได้มา. 
   บทว่า อาปณิเกน มีความว่า ทายกเก็บผ้าเก่าที่ตกตามประตูร้านตลาด ถวายเพื่อประโยชน์แก่กฐิน กฐินที่กรานแล้วแม้ด้วยผ้านั้นย่อมใช้ได้. 
   บทที่เหลือพึงทราบโดยความแผกจากที่กล่าวแล้ว. แต่ในทีนี้ในอรรถกถามากหลายได้กล่าวคำเป็นต้นว่า ธรรมเท่าไรย่อมเกิดพร้อมกับการกรานกฐิน คำนั้นทั้งหมด พระธรรมสังคาหกาจารย์ทั้งหลายได้ยกขึ้นสู่บาลีในคัมภีร์บริวารไว้แล้วแล เพราะฉะนั้น พึงทราบตามนัยที่มาแล้วในคัมภีร์บริวารนั้นเถิด. เพราะว่าข้อความไรๆ แห่งการกรานกฐินจะเสียหายไป เพราะไม่กล่าวคำนั้นไว้ในที่นี้ก็หามิได้.
ว่าด้วยการรื้อกฐิน๑-  ๑- กฐินุทฺธาร การเดาะกฐิน ก็ว่า. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงการกรานกฐินอย่างนี้แล้ว บัดนี้จะทรงแสดงการรื้อจึงตรัสคำว่า กถญฺจ ภิกฺขเว อุพฺภตํ โหติ กฐินํ เป็นต้น แปลว่า ภิกษุทั้งหลาย ก็กฐินจะเป็นอันรื้ออย่างไร? 
วินิจฉัยในคำนั้น พึงทราบดังนี้ :- 
   มาติกา นั้นได้แก่ หัวข้อ. อธิบายว่า แม่บท. 
   จริงอยู่ หัวข้อ ๘ นั้น ยังการรื้อกฐินให้เกิด. 
 ในมาติกาเหล่านั้น ที่ชื่อว่า ปักกมนันติกา เพราะมีความหลีกไปเป็นที่สุด. ถึงมาติกาที่เหลือ ก็พึงทราบอย่างนี้. 
   บทว่า น ปจฺจเสฺสํ มีความว่า เราจักไม่มาอีก.
 ก็ในการรื้อกฐินมีการหลีกไปเป็นที่สุดนี้ จีวรปลิโพธขาดก่อน อาวาสปลิโพธขาดทีหลัง. จริงอยู่ เมื่อภิกษุหลีกไปเสียอย่างนั้น จีวรปลิโพธย่อมขาดในภายในสีมาทีเดียว, อาวาสปลิโพธิ ขาดในเมื่อล่วงสีมาไป. 
   อันที่จริง ถึงในคัมภีร์บริวาร ท่านก็กล่าวว่า :- 
   การรื้อกฐิน มีการหลีกไปเป็นที่สุด 
   พระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพระอาทิตย์ตรัสไว้แล้ว, 
   เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่า เราจักทิ้งอาวาส 
   นี้เสียละ ดังนี้ จีวรปลิโพธขาดก่อน อาวาส 
          ปลิโพธขาดทีหลัง. 
   สองบทว่า จีวรํ อาทาย มีความว่า ถือเอาจีวรที่ยังไม่ทำ (หลีกไป) 
   บทว่า พหิสีมาคตสฺส มีความว่า ไปสู่วัดอื่นที่ใกล้เคียง. 
   สองบทว่า เอวํ โหติ มีความว่า ความรำพึงอย่างนั้นย่อมมีเพราะได้เห็นเสนาสนะที่ผาสุก หรือสหายสมบัติในวัดนั้น. 
   ส่วนการรื้อกฐินมีความเสร็จเป็นที่สุดนี้ อาวาสปลิโพธขาดก่อน. 
 จริงอยู่ อาวาสปลิโพธนั้น ย่อมขาด ในเมื่อสักว่าเกิดความคิดในจิตขึ้นว่า เราจักไม่กลับมาละ เท่านั้น. 
   อันที่จริง ถึงในคัมภีร์บริวาร ท่านก็กล่าวว่า :-   การรื้อกฐินมีความเสร็จเป็นที่สุด 
   พระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพระอาทิตย์ตรัสไว้แล้ว. 
   เมื่อภิกษุหลีกไปด้วยคิดว่า เราจักทิ้งอาวาส 
   นี้เสียละ ดังนี้ อาวาสปลิโพธขาดก่อน 
   จีวรปลิโพธขาดต่อเมื่อจีวรเสร็จแล้ว. 
แม้ในการแจกมาติกาที่เหลือ พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้ แต่ในมาติกาที่เหลือมีแปลกกันดังนี้ :- 
ในการรื้อกฐินมีความตกลงใจเป็นที่สุด ปลิโพธิทั้งสองย่อมขาดพร้อมกัน ในเมื่อมาตรว่าความคิดเกิดขึ้นว่า เราจักไม่ให้ทำจีวรนี้ละ เราจักไม่กลับมาละ ดังนี้ทีเดียว. 
   แท้จริง (ในคัมภีร์บริวาร) ท่านก็กล่าวไว้ว่า :- 
   การรื้อกฐินมีความตกลงใจเป็นที่สุด 
   พระสุคตเจ้าผู้เป็นเผ่าพระอาทิตย์ตรัสไว้แล้ว, 
   เมื่อภิกษุหลีกไปด้วย คิดว่า เราจักทิ้งอาวาส 
   นี้เสียละ ดังนี้ ปลิโพธทั้งสองขาดไม่ก่อน 
            ไม่หลังกัน.
    ความขาดปลิโพธในการรื้อกฐินทั้งปวง พึงทราบโดยนัยอย่างนี้ :- 
   ก็แล ความขาดปลิโพธินั้น บัณฑิตอาจทราบได้ตามนัยที่กล่าวนี้และตามที่มีมาในคัมภีร์บริวาร, เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่กล่าวโดยพิสดาร. ส่วนความสังเขปในกฐินุทธาร ๕ มี นาสนนฺติกา เป็นต้นนี้ ดังนี้ :- 
   ในการรื้อกฐินที่มีความเสียเป็นที่สุด อาวาสปลิโพธขาดก่อน เมื่อจีวรเสีย จีวรปลิโพธจึงขาด. 
   ที่มีการฟังเป็นที่สุด จีวรปลิโพธขาดก่อน อาวาสปลิโพธิขาดพร้อมกับการฟังของภิกษุนั้น. 
   ที่มีความสิ้นหวังเป็นที่สุด อาวาสปลิโพธขาดก่อน, จีวรปลิโพธขาด ต่อเมื่อสิ้นความหวังจะได้จีวรแล้ว. 
   ก็การรื้อกฐินมีความสิ้นหวังเป็นที่สุดนี้ มีหลายประเภท มีการแสดงคลุกคละกันไปกับการรื้อนอกจากนี้ โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุย่อมได้ในที่ซึ่งไม่ได้หวัง, ไม่ได้ในที่ซึ่งหวัง, เธอมีความรำพึงอย่างนี้ว่า เราจักทำจีวรนี้ในที่นี้ละ, จักไม่กลับละ ดังนี้, เพราะฉะนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงแยกตรัสให้พิสดารข้างหน้า, ไม่ตรัสไว้ในลำดับนี้. แต่ได้ตรัสการรื้อกฐินมีความก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุด เป็นลำดับแห่งการรื้อกฐินมีการฟังเป็นที่สุดในลำดับนี้. 
   ในการรื้อกฐินที่มีความก้าวล่วงสีมาเป็นที่สุดนั้น จีวรปลิโพธขาดก่อน, อาวาสปลิโพธย่อมขาดต่อภิกษุนั้นอยู่นอกสีมา. 
   ในการรื้อกฐินที่มีการรื้อพร้อมกัน ปลิโพธ ๒ ขาดไม่ก่อนไม่หลังกัน. 
   พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงแสดงกฐินุทธาร ๗ ในอาทายวารอย่างนี้แล้ว, จึงทรงแสดงกฐินุทธาร ๗ เหล่านั้นแลอีกแห่งจีวรที่ภิกษุทำค้างไว้ ในสมาทายวารบ้าง ตามที่เหมาะในอาทายสมาทายวารบ้าง. 
   เบื้องหน้าแต่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงกฐินุทธารทั้งหลาย ซึ่งสมด้วยนัยเป็นต้นว่าอนธิฏฺฐิเตน ซึ่งพาดพึงถึงวิธีว่า เราจักไม่กลับ ดังนี้เท่านั้น, ไม่พาดถึงวิธีนี้ เราจักกลับภายในสีมา เราจักไม่กลับ ดังนี้เลย. 
   เบื้องหน้าแต่นั้น ครั้นทรงแสดงกฐินุทธารที่มีความสิ้นหวังเป็นที่สุดหลายครั้ง โดยนัยอันคลุกคละกับกฐินุทธารนอกนี้ ด้วยนัยเป็นต้นว่า จีวราสาย ปกฺกมติ แล้วทรงแสดงกฐินุทธารทั้งหลายที่สมควรในมาติกามี นิฏฺฐานนฺติกา เป็นอาทิ เนื่องด้วยภิกษุผู้ไปสู่ทิศ และเนื่องด้วยภิกษุผู้มีความอยู่สำราญอีก. 
   ครั้นทรงแสดงกฐินุทธารโดยประเภทอย่างนี้แล้ว, บัดนี้ จะทรงแสดงปลิโพธซึ่งเป็นปฏิปักษ์แก่ปลิโพธทั้งหลาย ที่ตรัสไว้ว่า :- 
   ปลิโพธทั้งหลาย ย่อมขาดด้วยกฐินุทธารนั้นๆ ดังนี้ จึงตรัสคำว่า ภิกษุทั้งหลาย ปลิโพธแห่งกฐินมีองค์ ๒ เหล่านี้ ดังนี้ เป็นอาทิ. 
   บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า จตฺเตน มีความว่า อาวาสนั้นเป็นสถานอันภิกษุสละแล้ว ด้วยความสละอันใด, ชื่อความสละอันนั้น, ด้วยความสละนั้น. 
   แม้ในความวางและความปล่อยก็นัยนี้แล 
   คำที่เหลือทุกๆ สถาน ตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.

อรรถกถากฐินขันธกะ จบ.

30 พฤศจิกายน 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔ เป็นต้น วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ

 
Google Workspace logo 
 ทำบุญ 
   [๙๔ ]
หัวข้อประจำขันธกะ
    ๑. เรื่องอาพาธที่เกิดชุมในฤดูสารท ๒. เรื่องฉันเภสัชนอกกาล ๓. เรื่องน้ำมันเปลวสัตว์เป็นยา ๔. เรื่องรากไม้ที่เป็นตัวยา ๕. เรื่องรากไม้ทำยาผง ๖. เรื่องน้ำฝาด ๗. เรื่องใบไม้ ๘. เรื่องผลไม้ ๙. เรื่องยางไม้ ๑๐. เรื่องเกลือ
   ๑๑. เรื่องมูลโค ๑๒. เรื่องยาผงและวัตถุเครื่องร่อนยา ๑๓. เรื่องเนื้อดิบเลือดสด ๑๔. เรื่องยาตา ๑๕. เรื่องเครื่องยาผสมกับยาตา ๑๖. เรื่องกลักยาตา กลักยาตาชนิดต่างๆ และกลักยาตาไม่มีฝาปิด ๑๗. เรื่องไม้ป้ายยาตา ๑๘. เรื่องภาชนะเก็บไม้ป้ายยาตา
   ถุงกลักยาตา และเชือกผูกเป็นสายสะพาย ๑๙. เรื่องน้ำมันหุงมันทาศีรษะ ๒๐. เรื่องการนัตถุ์ ๒๑. เรื่องกล้องนัตถุ์ยา ๒๒. เรื่องสูดควัน กล้องสูดควัน ฝาปิดกล้องสูดควัน ๒๓. เรื่องถุงเก็บกล้องสูดควัน ๒๔. เรื่องน้ำมันหุง ๒๕. เรื่องน้ำเมาที่ผสมในน้ำมันที่หุง
   ๒๖. เรื่องน้ำมันเจือน้ำเมามาก ๒๗. เรื่องน้ำมันเจือน้ำเมามากใช้เป็นยาทา ๒๘. เรื่องลักจั่น ๒๙. เรื่องเข้ากระโจม ๓๐. เรื่องรมด้วยใบไม้ต่างๆ ๓๑. เรื่องการรมใหญ่และเอาใบไม้มาต้มรม ๓๒. เรื่องอ่างน้ำ ๓๓. เรื่องระบายเลือดออก ๓๔. เรื่องกรอกโลหิต
ด้วยเขา ๓๕. เรื่องยาทาเท้า ๓๖. เรื่องปรุงน้ำมันทาเท้า ๓๗. เรื่องผ่าฝี ๓๘. เรื่องชะแผลด้วยน้ำฝาด ๓๙. เรื่องงาที่บดแล้ว ๔๐. เรื่องยาพอกแผล ๔๑. เรื่องผ้าพันแผล ๔๒. เรื่องชะแผลด้วยน้ำแป้งพรรณผักกาด ๔๓. เรื่องรมแผลด้วยควัน ๔๔. เรื่องตัดเนื้องอก
ด้วยก้อนเกลือ ๔๕. เรื่องน้ำมันทาแผล ๔๖. เรื่องผ้าปิดกันน้ำมันเยิ้ม ๔๗. เรื่องยามหาวิกัฏ ๔๘. เรื่องรับประเคน ๔๙. เรื่องดื่มน้ำเจือคูถและหยิบคูถเมื่อกำลังถ่าย ๕๐. เรื่องดื่มน้ำที่ละลายจากดินติดผาลไถ ๕๑. เรื่องดื่มน้ำด่างอามิส ๕๒. เรื่องดื่มน้ำสมอดองมูตร
   ๕๓. เรื่องทาของหอม ๕๔. เรื่องดื่มยาถ่าย ๕๕. เรื่องน้ำข้าวใส ๕๖. เรื่องน้ำถั่วเขียวต้มที่ไม่ข้น ๕๗. เรื่องน้ำถั่วเขียวที่ข้นนิดหน่อย ๕๘. เรื่องน้ำเนื้อต้ม ๕๙. เรื่องชำระเงื้อมเขา และพระราชทานคนทำการวัด ๖๐. เรื่องฉันเภสัชที่เก็บไว้ ๗ วัน
   ๖๑. เรื่องน้ำอ้อย ๖๒. เรื่องถั่วเขียว ๖๓. เรื่องยาดองโลณโสจิรกะ ๖๔. เรื่องอามิสที่หุงต้มเอง ๖๕. เรื่องภัตตาหารที่ต้องอุ่น ๖๖. เรื่องให้เก็บที่หุงต้มอามิส ในภายในและหุงต้มเอง เมื่อคราวอัตคัดอาหารต่อไปอีก ๖๗. เรื่องรับประเคนผลไม้ที่เป็น
   อุคคหิตได้ ๖๘. เรื่องถวายงา ๖๙. เรื่องของขบฉันที่รับประเคนไว้ตอนเช้า ๗๐. เรื่องเป็นไข้ตัวร้อน ๗๑. เรื่องฉันผลไม้ที่ปล้อนเมล็ดออก ๗๒. เรื่องริดสีดวงทวาร ๗๓. เรื่องสัตถกรรมและวัตถิกรรม ๗๔. เรื่องอุบาสิกาสุปปิยา ๗๕. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อ
มนุษย์   ๗๖. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อช้าง ๗๗. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อม้า ๗๘. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อสุนัข ๗๙. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้องู ๘๐. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อราชสีห์ ๘๑. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือโคร่ง ๘๒. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือเหลือง ๘๓. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อหมี
   ๘๔. เรื่องทรงห้ามฉันเนื้อเสือดาว ๘๕. เรื่องคอยโอกาสถวายภัตร และข้าวยาคู ๘๖. เรื่องมหาอำมาตย์เริ่มเลื่อมใส เป็นต้นเหตุให้ทรงห้ามภิกษุรับนิมนต์ไว้แห่งหนึ่งแล้วไปฉันในที่อื่น ๘๗. เรื่องถวายงา น้ำอ้อย ๘๘. เรื่องทรงรับอาคารพักแรม
   ๘๙. เรื่องมหาอำมาตย์สุนีธะและวัสสการะ ๙๐. เรื่องแม่น้ำคงคา ๙๑. เรื่องเสด็จตำบลบ้านโกฏิ ทรงแสดงอริยสัจจกถา ๙๒. เรื่องนางอัมพปาลีคณิกา ๙๓. เรื่องเจ้าลิจฉวี ๙๔. เรื่องอุทิศมังสะ ๙๕. เรื่องพระนครเวสาลีหาอาหารได้ง่าย ๙๖. เรื่องทรงห้ามอามิส
ที่เป็นอันโตวุตถะเป็นต้นใหม่    ๙๗. เรื่องฝนตั้งเค้า ๙๘. เรื่องพระโสชะอาพาธ ๙๙. เรื่องเมณฑกะคหบดี ถวายปัญจโครสกับเสบียงเดินทาง ๑๐๐. เรื่องเกณิยชฎิลถวายน้ำอัฏฐบาน คือ น้ำผลมะม่วง น้ำผลหว้า น้ำกล้วยมีเมล็ด น้ำกล้วยไม่มีเมล็ด
   น้ำผลทราง น้ำผลจันทน์ น้ำเหง้าบัว น้ำผลมะปราง ๑๐๑. เรื่องโรชะมัลลกษัตริย์ถวายผักสดและของขบฉันที่สำเร็จด้วยแป้ง ๑๐๒. เรื่องภิกษุช่างกัลบกในเมืองอาตุมา ๑๐๓. เรื่องผลไม้ดาดดื่นในพระนครสาวัตถี ๑๐๔. เรื่องพืช ๑๐๕. เรื่องเกิดสงสัยในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่าง ๑๐๖. เรื่องกาลิกระคน.
หัวข้อประจำขันธกะ จบ.
[๙๒] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายเกิดความรังเกียจในพระบัญญัติบางสิ่งบางอย่างว่าสิ่งใดหนอ พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้ สิ่งไรไม่ได้ทรงอนุญาต จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
วัตถุเป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ
   พระผู้มีพระภาคได้ตรัสประทานสำหรับอ้าง ๔ ข้อ ดังต่อไปนี้:-  ๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๒. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งที่เราไม่ได้ห้ามไว้ว่า สิ่งนี้ไม่ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควรขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย
๓. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ไม่ควร ขัดกับสิ่งที่ควร สิ่งนั้นไม่ควรแก่เธอทั้งหลาย
๔. ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งใดที่เราไม่ได้อนุญาตไว้ว่า สิ่งนี้ควร หากสิ่งนั้นเข้ากับสิ่งที่ควร ขัดกับสิ่งที่ไม่ควร สิ่งนั้นควรแก่เธอทั้งหลาย.
พระพุทธานุญาตกาลิกระคน
   [๙๓] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายได้มีความปริวิตกว่า ยามกาลิกระคนกับยาวกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ สัตตาหกาลิกระคนกับยาวกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ ยาวชีวิกระคนกับยาวกาลิกควรหรือไม่ควรหนอ สัตตาหกาลิกระคนกับยามกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ ยาวชีวิก
ระคน กับยามกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ ยาวชีวิกระคนกับสัตตาหกาลิก ควรหรือไม่ควรหนอ แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัส ว่าดังนี้:-
๑. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยามกาลิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรในกาลไม่ควรในวิกาล
๒. สัตตาหกาลิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรในกาล ไม่ควรในวิกาล
๓. ยาวชีวิกระคนกับยาวกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรในกาล ไม่ควรในวิกาล
๔. สัตตาหกาลิกระคนกับยามกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรชั่วยาม ล่วงยามแล้ว
ไม่ควร.
๕. ยาวชีวิกระคนกับยามกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรชั่วยาม ล่วงยามแล้วไม่ควร.
๖. ยาวชีวิกระคนกับสัตตาหกาลิกที่รับประเคนในวันนั้น ควรตลอด ๗ วัน ล่วง ๗ วัน แล้วไม่ควร.
เภสัชชขันธกะ ที่ ๖ จบ. ในขันธกะมี ๑๐๖ เรื่อง

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ พระพุทธานุญาตมหาประเทศ ๔ เป็นต้น
มหาปเทส ๔ 
เพื่อประโยชน์ที่ภิกษุทั้งหลายจะได้ถือไว้เป็นแบบ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสมหาปเทส (คือ หลักสำหรับอ้างใหญ่) ๔ ข้อเหล่านี้ว่า ยํ ภิกฺขเว มยา อิทํ น กปฺปติ เป็นต้น. พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลาย เมื่อถือเอาสูตรสอบสวนดูในมหาปเทสนั้น ได้เห็นความข้อนี้ว่า :- 
   ด้วยพระบาลีว่า ฐเปตฺวา ธญฺญผลรสํ นี้ ธัญญชาติ ๗ ชนิดเป็นอันห้ามแล้วว่า ไม่ควรในปัจฉาภัต. มหาผล ๙ อย่าง คือ ผลตาล ผลมะพร้าว ผลขนุน ผลสาเก น้ำเต้า ฟักเขียว แตงไท แตงโม ฟักทอง เป็นอันทรงห้าม และอปรัณณชาติทุกชนิด มีคติอย่าง
ธัญญชาติเหมือนกัน. มหาผลและอปรัณณชาตินั้น ไม่ได้ทรงห้ามไว้ก็จริง ถึงกระนั้น ย่อมเข้ากับสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ, เพราะเหตุนั้น จึงไม่ควรในปัจฉาภัต. 
   น้ำปานะ ๘ อย่าง ทรงอนุญาตไว้ น้ำปานะแห่งผลไม้เล็กมีหวาย มะขาม มะงั่ว มะขวิด สะคร้อและเล็บเหนี่ยวเป็นต้น มีคติอย่างอัฏฐบานแท้ น้ำปานะแห่งผลไม้เหล่านั้น ไม่ได้ทรงอนุญาตไว้ก็จริง. ถึงกระนั้น ย่อมเข้ากับสิ่งที่เป็นกัปปิยะ เพราะฉะนั้น จึงควร. 
   ในกุรุนทีแก้ว่า จริงอยู่ เว้นรสแห่งเมล็ดข้าวกับทั้งสิ่งที่อนุโลมเสียแล้ว ขึ้นชื่อว่านํ้าผลไม้อื่นที่ไม่ควร ย่อมไม่มี น้ำผลไม้ทุกชนิดเป็นยามกาลิกแท้. 
   จีวรพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๖ ชนิด. จีวรอื่นอีก ๖ ชนิดที่อนุโลมจีวรเหล่านั้น คือผ้าทุกุละ ผ้าแคว้นปัตตุนนะ ผ้าเมืองจีน ผ้าเมืองแขก ผ้าสำเร็จด้วยฤทธิ์ ผ้าเทวดาให้ พระธรรมสังคาหกเถระทั้งหลายอนุญาตแล้ว. 
   บรรดาผ้าเหล่านั้น ผ้าปัตตุนนะนั้นได้แก่ ผ้าที่เกิดด้วยไหมในปัตตุนประเทศ. ผ้า ๒ ชนิด เรียกตามชื่อของประเทศนั่นเอง. ผ้า ๓ ชนิดนั้น อนุโลมผ้าไหม ผ้าทุกุละ อนุโลมผ้าป่าน นอกจากนี้ ๒ ชนิด อนุโลมผ้าฝ่ายหรือผ้าทุกอย่าง. 
   บาตรพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม ๑๑ อย่าง อนุญาต ๒ อย่าง คือบาตรเหล็ก บาตรดิน. ภาชนะ ๓ อย่าง คือ ภาชนะเหล็ก ภาชนะดิน ภาชนะทองแดง อนุโลมแก่บาตรนั้นแล. 
   กระติกน้ำ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอนุญาตไว้ ๓ อย่าง คือ กระติกโลหะ กระติกไม้ กระติกผลไม้. ภาชนะน้ำ ๓ อย่าง คือ คนโทน้ำ ขันทองห้าว หม้อตักน้ำ อนุโลมกระติกน้ำ ๓ อย่างนั้นแล. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า สังข์สำหรับใส่น้ำฉัน และขันน้ำ อนุโลมแก่กระติกเหล่านั้น.
   ประคดเอวทรงอนุญาตไว้ ๒ ชนิด คือ ประคดทอเป็นแผ่น ประคด ไส้สุกร ประคดเอวที่ทำด้วยผืนผ้า และด้วยเชือกอนุโลมประคด ๒ ชนิดนั้น 
   ร่มทรงอนุญาตไว้ ๓ ชนิด คือ ร่มขาว ร่มรำแพน ร่มใบไม้, ร่มใบไม้ใบเดียว อนุโลมตามร่ม ๓ ชนิดนั้นเอง แม้ของอื่นๆ ที่เข้ากับสิ่งที่ควรและไม่ควร ผู้ปฏิบัติพึงพิจารณาดูบาลีและอรรถกถาแล้วทราบตามนัยนี้เถิด.
ว่าด้วยกาลิกระคนกัน
   คำว่า ตทหุปฏิคฺคหิตํ กาเล กปฺปติ เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสหมายเอารสที่เจือกันทุกอย่าง. ก็ถ้าน้ำปานะเป็นของที่รับประเคนปนกับมะพร้าวทั้งผล ยังไม่ได้ปอกเปลือก เอามะพร้าวออกเสียแล้ว น้ำปานะนั้นควรแม้ในเวลาวิกาล. 
   พวกทายกถวายข้าวปายาสเย็น วางก้อนสัปปิไว้ข้างบน เนยใสไม่ปนกับข้าวปายาส จะเอาเนยใสนั้นออกไว้ฉัน ๗ วันก็ควร.   แม้ในสัตตาหกาลิกที่เหลือ มีน้ำผึ้งและน้ำตาลที่เป็นแท่งเป็นต้นก็นัยนี้แล.   พวกทายกถวายบิณฑบาต ประดับด้วยกระวานและลูกจันทน์
เป็นต้นบ้าง กระวานและลูกจันทน์เป็นต้นนั้น พึงยกออกล้างไว้ฉันได้ตลอดชีวิต ในขิงที่เขาใส่ในยาคูถวายเป็นต้นก็ดี ในชะเอมที่เขาใส่แม้ในน้ำมันเป็นอาทิ แล้วถวายเป็นต้นก็ดี มีนัยเหมือนกันแล.   กาลิกใดๆ เป็นของมีรสระคนปนกันไม่ได้อย่างนั้น กาลิกนั้นๆ แม้
รับประเคนรวมกัน ล้างหรือปอกเสียจนบริสุทธิ์แล้วฉัน ด้วยอำนาจแห่งกาลของกาลิกนั้นๆ ย่อมควร. แต่ถ้ากาลิกใดเป็นของมีรสแทรกกันได้ ปนกันได้ กาลิกนั้นย่อมไม่ควร. 
   จริงอยู่ ยาวกาลิกย่อมชักกาลิกทั้ง ๓ มียามาลิกเป็นต้น ซึ่งมีรสเจือกับตน เข้าสู่สภาพของตน ถึงยามกาลิกก็ชักกาลิกแม้ ๒ มีสัตตาหกาลิกเป็นต้นเข้าสู่สภาพของตน สัตตาหกาลิกเล่า ย่อมชักยาวชีวิกที่ระคนเข้ากับตน เข้าสู่สภาพของตนเหมือนกัน เพราะฉะนั้น
พึงทราบสันนิษฐานว่า ยาวชีวิกที่รับประเคนในวันนั้นก็ดี รับประเคนในวันก่อนๆ ก็ดี ปนกับสัตตาหกาลิกนั้น ซึ่งรับประเคนในวันนั้น ควรเพียง ๗ วัน ปนกับสัตตาหกาลิกที่รับประเคนไว้ ๒ วัน ควรเพียง ๖ วัน ปนกับสัตตาหกาลิกที่รับประเคนไว้ ๓ วัน ควรเพียง ๕ วัน
ปนกับสัตตาหกาลิกที่รับประเคนไว้ ๗ วัน ควรในวันนั้นเท่านั้น ก็เพราะเหตุนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงไม่ตรัสว่า ภิกษุทั้งหลาย ยาวชีวิกที่รับประเคนในวันนั้น ปนกับสัตตาหกาลิก ควร ๗ วัน ตรัสว่า ยาวชีวิกที่รับประเคนแล้ว คือปนกับสัตตาหกาลิก ควร ๗ วัน
   ก็เมื่อกาลิก ๓ นี้ก้าวล่วงกาล ยาม และ ๗ วัน พึงทราบอาบัติด้วยอำนาจวิกาลโภชนสิกขาบท สันนิธิสิกขาบทและเภสัชชสิกขาบท. 
   ก็แลในกาลิก ๔ นี้ กาลิก ๒ คือ ยาวกาลิก ๑ ยามกาลิก ๑ นี้เท่านั้นเป็นอันโตวุตถะด้วย เป็นสันนิธิการกะด้วย แต่สัตตาหกาลิกและยาวชีวิก แม้จะเก็บไว้ในอกัปปิยกุฏิ ก็ควร. ทั้งไม่ให้เกิดสันนิธิด้วย ดังนี้แล.      คำที่เหลือในที่ทั้งปวงตื้นทั้งนั้นฉะนี้แล.
อรรถกถาเภสัชชขันธกะ จบ.

29 พฤศจิกายน 2567

พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๕ มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ เรื่องเกณิยชฎิล เป็นต้น พระพุทธานุญาตผักและแป้ง

Google Workspace logo 
 ทำบุญ 
   [๘๖] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จพระพุทธดำเนินผ่านระยะทางโดยลำดับ เสด็จถึงอาปณนิคมแล้ว เกณิยชฎิลได้สดับข่าวถนัดแน่ว่า ท่านผู้เจริญ พระสมณโคดม ศากยบุตรทรงผนวชจากศากยตระกูล เสด็จโดยลำดับถึงอาปณนิคมแล้ว ก็เพราะกิตติศัพท์อันงามของท่าน
   พระโคดมพระองค์นั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นทรงเป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ทรงบรรลุวิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของทวยเทพและมนุษย์
เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระองค์ทรงทำโลกนี้พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลกให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เอง แล้วทรงสั่งสอนหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ ทวยเทพและมนุษย์ให้รู้ ทรงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่าม
กลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์พร้อมทั้งอรรถ ทั้งพยัญชนะครบบริบูรณ์บริสุทธิ์ อนึ่ง การเห็นพระอรหันต์ทั้งหลายเห็นปานนั้นเป็นความดี.
   หลังจากนั้น เกณิยชฎิลได้ดำริว่า เราจะให้นำอะไรไปถวายพระสมณโคดมดีหนอ จึงได้ดำริต่อไปว่า บรรดาฤษีผู้เป็นบุรพาจารย์ของพวกพราหมณ์ คือ ฤษีอัฏฐกะ ฤษีวามกะ ฤษีวามเทวะ ฤษีเวสสามิตตะ ฤษียมตัคคิ ฤษีอังคีรสะ ฤษีภารทวาชะ ฤษีวาเสฏฐะ
ฤษีกัสสปะ ฤษีภคุ ซึ่งเป็นผู้ผูกมนต์มาก่อนพวกพราหมณ์ในบัดนี้ ขับตามกล่าวตามซึ่งบทมนต์ของเก่านี้ ที่ท่านขับแล้วบอกว่า รวบรวมไว้แล้ว กล่าวได้ถูกต้อง บอกได้ถูกต้องตามที่กล่าวไว้บอกไว้ เป็นผู้เว้นฉันในราตรี งดฉันในเวลาวิกาล ฤษีเหล่านั้นได้ยินดีน้ำปานะเห็น
ปานนี้ แม้พระสมณะโคดมก็เว้นฉันในราตรี งดฉันในเวลาวิกาล ก็ควรจะยินดีน้ำปานะเห็นปานนี้บ้าง แล้วสั่งให้ตกแต่งน้ำปานะเป็นอันมาก ให้คนหาบไปถึงพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้วได้ทูลปราศรัยพอให้เป็น
ที่บันเทิง เป็นที่ระลึกถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
แล้วกราบทูลอาราธนา พระผู้มีพระภาคว่า ขอท่านพระโคดมโปรดทรงรับน้ำปานะของข้าพระเจ้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เกณิยะ ถ้าเช่นนั้นจงถวายแก่ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่ยอมรับประเคน พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย จงรับประเคนฉันเถิด ครั้งนั้น เกณิยชฎิลได้อังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยน้ำปานะ
อันมากด้วยมือของตนจนยังพระผู้มีพระภาคผู้ล้างพระหัตถ์ นำพระหัตถ์จากบาตรให้ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   พระผู้มีพระภาคได้ทรงชี้แจงให้เกณิยชฎิลผู้นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริงด้วยธรรมีกถา.
   ครั้งนั้น เกณิยชฎิลอันพระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้เห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคว่า ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศล
และปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนว่า เกณิยะ ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์.   เกณิยชฎิล ได้ทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเป็นคำรบที่สองว่า แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และข้าพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์ก็จริง 
ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่านพระโคดมพร้อมกับภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญกุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสเตือนเกณิยะว่า ภิกษุสงฆ์มีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และท่านก็เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่พราหมณ์.   เกณิยชฎิล ก็ได้กราบทูลอาราธนาพระผู้มีพระภาคเป็นคำรบสามว่า แม้ภิกษุสงฆ์จะมีมากถึง ๑,๒๕๐ รูป และข้าพระพุทธเจ้าได้เลื่อมใสยิ่งนักในหมู่
พราหมณ์ก็จริง ถึงอย่างนั้น ก็ขอท่านพระโคดมพร้อมภิกษุสงฆ์ จงทรงพระกรุณาโปรดรับภัตตาหารของข้าพระพุทธเจ้า เพื่อเจริญบุญ
กุศลและปิติปราโมทย์ในวันพรุ่งนี้ด้วยเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคทรงรับอาราธนาโดยดุษณีภาพ ครั้นเกณิยชฎิลทราบอาการ รับอาราธนาของพระผู้มีพระภาคแล้ว ลุกจากที่นั่งกลับไป.
พระพุทธานุญาตน้ำอัฏฐบาน
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถา ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ ชนิด คือ น้ำปานะทำด้วยผลมะม่วง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลหว้า ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วย
มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะทราง ๑ น้ำปานะทำด้วยผลจันทน์หรือองุ่น ๑ น้ำปานะทำด้วยเหง้าบัว ๑ น้ำปานะทำด้วยผลมะปรางหรือลิ้นจี่ ๑.  ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำผลไม้ทุกชนิด เว้นน้ำต้มเมล็ดข้าวเปลือก.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำใบไม้ทุกชนิด เว้นน้ำผักดอง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำดอกไม้ทุกชนิด เว้นน้ำดอกมะทราง.
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำอ้อยสด.
   ครั้งนั้น เกณิยชฎิลสั่งให้ตกแต่งของเคี้ยวของฉันอันประณีต ณ อาศรมของตนโดยผ่านราตรีนั้น แล้วให้คนกราบทูลภัตกาลแด่พระผู้มีพระภาคว่า ถึงเวลาแล้ว ท่านพระโคดม ภัตตาหารเสร็จแล้ว ขณะนั้นเป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงครองอันตรวาสก แล้วถือบาตร
จีวรเสด็จพระพุทธดำเนินไปทางอาศรมของเกณิยชฎิล ครั้นถึงแล้ว ประทับนั่งเหนือพระพุทธอาสน์ที่เขาจัดถวาย พร้อมกับภิกษุสงฆ์ จึงเกณิยชฎิลอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ด้วยของเคี้ยว ของฉันอันประณีต ด้วยมือของตน จนพระผู้มีพระภาคเสวยเสร็จ
นำพระหัตถ์จากบาตร ห้ามภัตรแล้ว ได้นั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.  พระผู้มีพระภาค ได้ทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิลด้วยคาถาเหล่านี้ ว่าดังนี้:- [๘๗]
   ยัญทั้งหลายมีการบูชาไฟเป็นหัวหน้า สาวิตติฉันท์
เป็นยอดของฉันทศาสตร์ พระมหาราชเจ้าเป็นประมุขของ
มนุษยนิกร สมุทรสาครเป็นประธานของแม่น้ำทั้งหลาย
   ดวงจันทร์ใหญ่กว่าดวงดาวนักษัตรในอากาศ ดวงภาณุมาศ ใหญ่กว่าบรรดาสิ่งของที่มีแสงร้อนทั้งหลาย ฉันใด พระสงฆ์ ย่อมเป็นใหญ่สำหรับทายกผู้หวังบุญบำเพ็ญทานอยู่ ฉันนั้น.
   ครั้นพระผู้มีพระภาคทรงอนุโมทนาเกณิยชฎิล ด้วยคาถาเหล่านี้แล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
เตรียมการต้อนรับพระพุทธเจ้า
   [๘๘] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อาปณนิคมตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จจาริกไปทางพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป.   พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนครกุสินารา ได้ทรงทราบข่าวแน่ถนัดว่า พระผู้มีพระภาคกำลัง
เสด็จมาพระนครกุสินารา พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป มัลลกษัตริย์เหล่านั้นได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้ใดไม่ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาค จะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์ สมัยนั้น โรชะมัลลกษัตริย์เป็นพระสหายของพระอานนท์
   ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครกุสินาราแล้ว พวกมัลลกษัตริย์ชาวพระนครกุสินาราได้จัดการต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์รับเสด็จพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่พัก ทรงอภิวาทแล้วประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
   ท่านพระอานนท์ได้ปราศรัยกะโรชะมัลลกษัตริย์ผู้ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งว่าท่านโรชะ การรับเสด็จพระผู้มีพระภาคของท่านโอฬารแท้.
   โรชะมัลลกษัตริย์ตรัสว่า พระคุณเจ้าอานนท์ พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี ไม่ได้ทำให้ข้าพเจ้าใหญ่โต พวกญาติต่างหากได้ตั้งกติกาไว้ว่า ผู้ใดไม่ต้อนรับเสด็จพระผู้มีพระภาค จะต้องถูกปรับสินไหมเป็นเงิน ๕๐๐ กษาปณ์ ข้าพเจ้านั้นแลได้ต้อนรับเสด็จ
พระผู้มีพระภาคเช่นนี้ เพราะกลัวพวกญาติปรับสินไหม.
   ทันใดท่านพระอานนท์แสดงความไม่พอใจว่า ไฉน โรชะมัลลกษัตริย์จึงได้ตรัสอย่างนี้แล้วเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถวายบังคม นั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า โรชะมัลลกษัตริย์ผู้นี้ เป็นคนมีชื่อเสียง
มีคนรู้จักมากและความเลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ ของคนที่มีผู้รู้จักมากเช่นนี้ มีอิทธิพลมากนัก ขอประทานพระวโรกาส ขอพระองค์ทรงกรุณาโปรดบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้ด้วย
เถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรอานนท์ การที่จะบันดาลให้โรชะมัลลกษัตริย์เลื่อมใสในพระธรรมวินัยนี้นั้น ตถาคตทำได้ไม่ยากเลย.
   ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงแผ่เมตตาจิตไปยังโรชะมัลลกษัตริย์ แล้วทรงลุกจากที่ประทับเสด็จเข้าพระวิหาร ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ อันพระเมตตาจิตของพระผู้มีพระภาคถูกต้องแล้วได้เที่ยวค้นหาตามวิหาร ตามบริเวณทั่วทุกแห่ง ดุจโคแม่ลูกอ่อน แล้วตรัสถามภิกษุ
ทั้งหลายว่า   ท่านเจ้าข้า เวลานี้ พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ประทับอยู่ที่ไหนเพราะข้าพเจ้าใคร่จะเฝ้าพระองค์.
   ภิกษุทั้งหลายถวายพระพรว่า ท่านโรชะ พระวิหารนั่นเขาปิดพระทวารเสียแล้ว ขอท่านโปรดสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหารนั้น ค่อยๆ ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้วทรงเคาะพระทวารเถิด พระผู้มีพระภาคจักทรงเปิดพระทวารรับท่าน ถวายพระพร.
โรชะมัลลกษัตริย์ได้ธรรมจักษุ
   ขณะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ทรงสงบเสียง เสด็จเข้าไปทางพระวิหารซึ่งปิดพระทวารเสียแล้วนั้น ค่อยๆ ย่องเข้าไปที่หน้ามุข ทรงกระแอมแล้วเคาะบานพระทวาร พระผู้มีพระภาคทรงเปิดพระทวารรับ จึงโรชะมัลลกษัตริย์เสด็จเข้าพระวิหาร ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
แล้ว ประทับนั่งเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ทรงแสดงอนุปุพพิกถาแก่โรชะมัลลกษัตริย์ คือ ทรงประกาศ ทานกถา ศีลกถา สัคคกถา โทษ ความต่ำทราม ความเศร้าหมองของกามทั้งหลาย และอานิสงส์ในความออกจากกาม ขณะเมื่อพระองค์ทรง
ทราบว่า โรชะมัลลกษัตริย์มีจิตคล่อง มีจิตอ่อน มีจิตปราศจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิตผ่องใสแล้ว จึงทรงประกาศพระธรรมเทศนา ที่พระพุทธเจ้าทั้งหลายทรงยกขึ้นแสดงด้วยพระองค์เอง คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ดวงตาเห็นธรรมปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้
บังเกิดแก่โรชะมัลลกษัตริย์ ณ สถานที่ประทับนั้นแลว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ดุจผ้าที่สะอาดปราศจากมลทินควรรับน้ำย้อมด้วยดี ฉะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ได้ทรงเห็นธรรมแล้ว ได้ทรงบรรลุธรรมแล้ว ได้รู้ธรรมแจ่มแจ้ง ได้
หยั่งลงสู่ธรรมแล้ว ข้ามความสงสัยได้แล้ว ปราศจากถ้อยคำแสดงความสงสัย ถึงความเป็นผู้องอาจไม่ต้องเชื่อผู้อื่นในคำสอนของพระศาสดาได้กราบทูลคำนี้แด่พระผู้มีพระภาคว่า ขอประทานพระวโรกาส ขอพระคุณเจ้าทั้งหลายโปรดรับจีวรบิณฑบาต เสนาสนะ
และคิลานปัจจัยเภสัชบริขาร ของข้าพระพุทธเจ้าผู้เดียว อย่ารับของคนอื่น. พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโรชะ แม้อริยบุคคลผู้ได้เห็นธรรมแล้วด้วยญาณของพระเสขะ ด้วยทัสสนะของพระเสขะเหมือนอย่างท่าน ก็คงมีความปรารภอย่างนี้ว่า โอ พระคุณเจ้าทั้งหลายคงกรุณารับ
จีวร บิณฑบาต เสนาสนะคิลานปัจจัยเภสัชบริขารของพวกเราเท่านั้น คงไม่รับของผู้อื่นเป็นแน่ เพราะฉะนั้นแล ภิกษุทั้งหลายจักรับปัจจัยของท่านด้วย ของคนอื่นด้วย.
   ก็โดยสมัยนั้นแล ประชาชนทั้งหลายได้จัดตั้งลำดับภัตตาหารอันประณีตไว้ที่นครกุสินารา ครั้นโรชะมัลลกษัตริย์ไม่ได้ลำดับที่จะถวายภัตตาหารจึงได้ทรงดำริว่า ไฉนหนอ เราพึงตรวจดูโรงอาหาร สิ่งใดไม่มีในโรงอาหาร เราพึงตกแต่งสิ่งนั้นถวาย ครั้นแล้วทรง
ตรวจดูในโรงอาหาร ไม่ทอดพระเนตรเห็นของ ๒ อย่าง คือผักสด ๑ ของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ๑ จึงเสด็จเข้าไปหาท่านพระอานนท์ ครั้นแล้วได้ทูลหารือว่า ท่านพระอานนท์เจ้าข้า เมื่อข้าพเจ้าไม่ได้ลำดับที่จะถวายภัตตาหาร ณ สถานที่แห่งนี้ ได้มีความดำริว่า ไฉนหนอ
เราพึงตรวจดูโรงอาหาร สิ่งใด ไม่มีในโรงอาหาร เราพึงตกแต่งสิ่งนั้นถวาย ท่านพระอานนท์เจ้าข้า ข้าพเจ้านั้นเมื่อตรวจดูโรงอาหาร ไม่ได้เห็นของ ๒ อย่าง คือผักสด ๑ ของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ๑ หากข้าพเจ้าพึงตกแต่งผักสดและของขบฉันที่ทำด้วยแป้งถวาย พระ
ผู้มีพระภาคจะพึงทรงรับของข้าพเจ้าหรือไม่ เจ้าข้า?
   ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า ท่านโรชะ ถ้ากระนั้นอาตมาจะทูลถามพระผู้มีพระภาคดูแล้วได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า อานนท์ ถ้าเช่นนั้นจงให้เขาตกแต่งเถิด. ท่านพระอานนท์ถวายพระพรว่า ท่านโรชะ ถ้ากระนั้น ท่านจงตกแต่งถวาย.   โรชะมัลลกษัตริย์ จึงสั่งให้ตกแต่งผักสด และของขบเคี้ยวที่ทำด้วยแป้งเป็นอันมาก โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว น้อมถวายแด่
พระผู้มีพระภาคพลางกราบทูลว่า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรดรับผักสด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้ง ของข้าพระพุทธเจ้าเถิด พระพุทธเจ้าข้า.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรโรชะ ถ้าเช่นนั้น จงถวายภิกษุทั้งหลาย ภิกษุทั้งหลายรังเกียจ ไม่รับประเคน พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงรับประเคนฉันเถิด.
   ขณะนั้น โรชะมัลลกษัตริย์ ทรงอังคาสภิกษุสงฆ์มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุขด้วยผักสด และของขบฉันที่ทำด้วยแป้งมากมาย ด้วยพระหัตถ์ของพระองค์ จนยังพระผู้มีพระภาคผู้ล้างพระหัตถ์แล้วทรงนำพระหัตถ์จากบาตร ให้ห้ามภัตแล้ว ได้ประทับเฝ้าอยู่ ณ ที่ควรส่วน
ข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้โรชะมัลลกษัตริย์ผู้นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ทรงเห็นแจ้ง สมาทาน อาจหาญ ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาแล้ว ทรงลุกจากที่ประทับเสด็จกลับ.
พระพุทธานุญาตผักและแป้ง
   ภายหลังพระผู้มีพระภาคทรงทำธรรมีกถาแล้ว ในเพราะเหตุเป็นเค้ามูลนั้น ในเพราะเหตุแรกเกิดนั้น แล้วตรัสอนุญาตแก่ภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผักสดทุกชนิด
และของขบฉันที่ทำด้วยแป้งทุกชนิด.
เรื่องวุฒบรรพชิต
   [๘๙] ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ในพระนครกุสินาราตามพระพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จพระพุทธดำเนินทางอาตุมานครพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป สมัยนั้น มีภิกษุบวชภายแก่รูปหนึ่ง เคยเป็นช่างกัลบก อาศัยอยู่ในอาตุมานคร เธอมี
บุตรชายสองคน เป็นเด็กพูดจาอ่อนหวาน มีไหวพริบดี ขยันแข็งแรง มีฝีมือยอดเยี่ยมในการช่างกัลบกของตน ดีเท่าอาจารย์ เธอได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จมาสู่อาตุมานคร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ รูป ครั้นแล้วได้แจ้งความประสงค์
อันนั้นแก่บุตรทั้งสองนั้นว่า พ่อทั้งหลายข่าวว่า พระผู้มีพระภาคกำลังเสด็จสู่อาตุมานคร พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๑,๒๕๐ ไปเถิด พ่อทั้งสอง จงถือเครื่องมือตัดผม และโกนผม กับทะนานและถุง เที่ยวไปตัดและโกนผม ตามบ้านเรือนทุกแห่ง แลกเกลือบ้าง
น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง พ่อจักทำยาคูที่ดื่มได้ถวายพระผู้มีพระภาคผู้เสด็จมาถึงแล้ว.
   บุตรชายทั้งสองรับคำสั่งของหลวงพ่อว่า จะปฏิบัติเช่นนั้น แล้วถือเครื่องมือตัดผมโกนผมกับทะนานและถุง เที่ยวไปตัดและโกนผมตามบ้านเรือนทุกแห่ง แลกเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง ชาวบ้านเห็นเด็กสองคนนั้นพูดจาอ่อนหวาน มีไหวพริบดี
แม้ผู้ที่  ไม่ประสงค์จะให้ตัดและโกนผม ก็ให้ตัดให้โกนผม ถึงให้ตัดให้โกนผมแล้ว ก็ให้ค่าแรงมาก เป็นอันว่าเด็กทั้งสองคนนั้นเก็บรวบรวมเกลือบ้าง น้ำมันบ้าง ข้าวสารบ้าง ของขบฉันบ้าง ได้เป็นอันมาก.
   ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ เสด็จถึงอาตุมานครแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่ภูสาคารเขตอาตุมานครนั้น จึงพระขรัวตานั้น สั่งให้คนตกแต่งข้าวยาคูเป็นอันมาก โดยผ่านราตรีนั้นแล้ว น้อมถวายพระผู้มีพระภาคกราบทูลว่า พระพุทธเจ้าข้า ขอพระผู้มีพระภาคจงโปรดรับข้าวยาคูของข้าพระพุทธเจ้า.
พุทธประเพณี
   พระตถาคตทั้งหลายทรงทราบอยู่ ย่อมตรัสถามก็มี ทรงทราบอยู่ ย่อมไม่ตรัสถามก็มี ทรงทราบกาลแล้วตรัสถาม ทรงทราบกาลแล้วไม่ตรัสถาม พระตถาคตทั้งหลาย ย่อมตรัสถามสิ่งที่ประกอบด้วยประโยชน์ ไม่ตรัสถามสิ่งที่ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ สิ่งที่ไม่
ประกอบด้วยประโยชน์ พระองค์ทรงกำจัดด้วยข้อปฏิบัติ พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทั้งหลาย ทรงสอบถามภิกษุทั้งหลายด้วยอาการ ๒ อย่าง คือ จักทรงแสดงธรรมอย่าง ๑ จักทรงบัญญัติสิกขาบทแก่พระสาวกทั้งหลายอย่าง ๑.
   ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามพระขรัวตานั้นว่า ดูกรภิกษุ ข้าวยาคูนี้เธอได้มาจากไหน พระขรัวตาจึงกราบทูลเรื่องนั้นให้ทรงทราบทุกประการ. 
ห้ามภิกษุผู้เคยเป็นช่างกัลบกเก็บรักษามีดโกน
   พระผู้มีพระภาคทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ การกระทำของเธอนั่นไม่เหมาะ ไม่สม ไม่ควร ไม่ใช่กิจของสมณะ ใช้ไม่ได้ ไม่ควรทำ ไฉนเธอบวชแล้วจึงได้ชักจูงทายกในสิ่งอัน ไม่ควรเล่า การกระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส
.... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรพชิตไม่พึงชักจูงทายกในสิ่งอันไม่ควร รูปใดชักจูง ต้องอาบัติทุกกฏ.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
   อนึ่ง ภิกษุผู้เคยเป็นช่างกัลบก ไม่พึงเก็บรักษาเครื่องตัดโกนผมไว้สำหรับตัว รูปใดเก็บรักษาไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ.
พระพุทธานุญาตผลไม้
   [๙๐] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อาตุมานครตามพระพุทธาภิรมย์ แล้วเสด็จพุทธดำเนินไปทางพระนครสาวัตถี เสด็จจาริกโดยลำดับ ถึงพระนครสาวัตถีแล้ว ทราบว่าพระองค์ประทับอยู่ที่พระเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิกคหบดี เขตพระนครสาวัตถีนั้น
   เวลานั้น ของขบฉันคือผลไม้ในนครสาวัตถีมีดาดดื่นมาก จึงภิกษุทั้งหลายได้มีความสงสัยว่า ของขบฉันคือผลไม้ พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตไว้แล้วหรือมิได้ทรงอนุญาต แล้วได้กราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตผลไม้ทุกชนิด.
พืชของสงฆ์และของบุคคล
   [๙๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พืชของสงฆ์เขาเพาะปลูกในที่ของบุคคล พืชของบุคคลเขาเพาะปลูกในที่ของสงฆ์ ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค.
   พระผู้มีพระภาคตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พืชของสงฆ์ที่เพาะปลูกในที่ของบุคคล พึงให้ส่วนแบ่ง แล้วบริโภค พืชของบุคคลที่เพาะปลูกในที่ของสงฆ์ พึงให้ส่วนแบ่งแล้วบริโภค.

อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๒ เภสัชชขันธกะ เรื่องเกณียชฎิลเป็นต้น
ว่าด้วยน้ำอัฏฐบาน
   สองบทว่า กาเชหิ คาหาเปตฺวา มีความว่า ใช้คนให้ขนหม้อน้ำผลพุทราซึ่งปรุงดีแล้ว พันหม้อด้วยหาบห้าร้อย.   คำว่า เอตสฺมึ นิทาเน เอตสฺมึ ปกรเณ ธมฺมึ กถํ กตฺวา มีความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำธรรมีกถา โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย ดีละ
   เมื่อเธอไม่ดื่มน้ำปานะ ชื่อว่าไม่ยังวาทะให้เกิดขึ้นว่า พวกสาวกของพระสมณโคดม เป็นผู้มักมากด้วยปัจจัย, และชื่อว่าได้ทำความเคารพในเรา, และชื่อว่า ท่านทั้งหลายได้ยังความเคารพอันดีให้เกิดแก่เรา เราเลื่อมใสเป็นอย่างดี ด้วยเหตุนี้ ของท่านทั้งหลาย
   ด้วยประการอย่างนี้ แล้วตรัสคำเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตน้ำปานะ ๘ อย่าง.   บรรดาน้ำปานะ ๘ อย่างนั้น อัมพปานะนั้นได้แก่น้ำปานะที่ทำด้วยน้ำผลมะม่วงดิบหรือสุก. ในมะม่วงดิบและมะม่วงสุก ๒ อย่างนั้น เมื่อจะทำด้วยมะม่วงดิบ พึงทุบ
   มะม่วงอ่อนแช่น้ำ ผึ่งแดดให้สุกด้วยแสงอาทิตย์ แล้วกรอง ปรุงด้วยน้ำผึ้ง น้ำตาลกรวดและการบูรเป็นต้น ที่รับประเคนในวันนั้น. อัมพปานะที่ภิกษุทำอย่างนี้ ย่อมควรในปุเรภัตเท่านั้น. ส่วนอัมพปานะที่พวกอนุปสัมบันทำ ซึ่งภิกษุได้มารับประเคนในปุเรภัต
   ย่อมควร แม้ด้วยบริโภคเจืออามิสในปุเรภัต, ที่รับประเคนในปัจฉาภัต ย่อมควร โดยบริโภคปราศจากอามิส จนถึงเวลาอรุณขึ้น. ในน้ำปานะทุกชนิดก็นัยนี้. 
   อนึ่ง ในน้ำปานะเหล่านั้น ชัมพุปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยผลหว้า. 
โจจปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยผลกล้วยมีเมล็ด. 
โมจปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยผลกล้วยไม่มีเมล็ด. 
มธุกปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยรสชาติแห่งผล
มะซาง. และมธุกปานะนั้น เจือน้ำจึงควร ล้วนๆ ไม่สมควร. 
มุททิกปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่เขาคั้นผลจันทน์ในน้ำทำเหมือนอัมพปานะ. 
สาลุกปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่เขาคั้นเง่าอุบลแดงและอุบลเขียวเป็นต้นทำ. 
ผารุสกปานะ นั้นได้แก่ น้ำปานะที่ทำด้วยผลมะปราง อย่างอัมพปานะ. 
อัฏฐบานเหล่านี้ เย็นก็ดี สุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ดี ย่อมควร. สุกด้วยไฟไม่ควร.
ว่าด้วยรส ๔ อย่าง
   ธัญญผลรส นั้นได้แก่ รสแห่งข้าว ๗ ชนิด.๑- 
   ฑากรส นั้นได้แก่ รสแห่งผักที่สุก. 
   จริงอยู่ รสแห่งผักที่เป็นยาวกาลิก ย่อมควรในปุเรภัตเท่านั้น. รสแห่งผักที่เป็นยาวชีวิกที่สุกพร้อมกับเนยใสเป็นต้น ที่รับประเคนเก็บไว้ ควรฉันได้เจ็ดวัน. แต่ถ้ารสแห่งผักนั้นสุกด้วยน้ำล้วน ควรฉันได้จนตลอดชีวิต. ภิกษุจะต้มผักที่เป็นยาวชีวิกนั้นให้สุก พร้อมกับ
   นมสดเป็นต้นเองไม่ควร. แม้ที่ชนเหล่าอื่นให้สุกแล้ว ย่อมนับว่ารสผักเหมือนกัน. ส่วนในกุรุนทีแก้ว่า รสแม้แห่งผักซึ่งเป็นยาวกาลิก ที่คั้นในน้ำเย็นทำก็ดี สุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ดี ย่อมควร. 
๑- ๑. สาลิ (ศาลิ) ข้าวสาลี Rice. ๒. วีหิ (วฺรีหิ) ข้าวเปลือก Rice. Pabby. ๓. กุทรูส (กุทรุษ) หญ้ากับแก้ ข้าวชนิดหนึ่ง A kind of grain ๔. โคธูม (โคธูม) ข้าวละมาน Wheat. ๕. วรก (วรก) ลูกเดือย The bean Phaseolus triblobus. ๖. ยว (ยว) ข้าวยวะ Corn barleys. ๗. กงฺค หรือ กงฺคุ (กงฺคุ) ข้าวฟ่าง Panic seed
วินิจฉัยในข้อว่า ฐเปตฺวา มธุกปุปฺผรสํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
   รสดอกมะซางจะสุกด้วยไฟ หรือสุกด้วยแสงอาทิตย์ก็ตามย่อมไม่ควรในปัจฉาภัต ชนทั้งหลายถือเอารสดอกไม้อันใดซึ่งสุกแล้ว ทำให้เป็นน้ำเมา รสแห่งดอกไม้นั้น ย่อมไม่ควรแต่ต้น แม้ในปุเรภัต. ส่วนดอกมะซาง จะสดหรือแห้ง หรือคั่วแล้ว หรือคลุกน้ำอ้อยแล้วก็ตาม
ที เขายังไม่ทำให้เป็นน้ำเมา จำเดิมแต่ดอกชนิดใด ดอกชนิดนั้นทั้งหมด ย่อมควรในปุเรภัต รสอ้อยที่ไม่มีกาก ควรในปัจฉาภัต. รส ๔ อย่างเหล่านี้ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าเมื่อทรงอนุญาตน้ำปานะ ได้ทรงอนุญาตไว้ด้วยประการฉะนี้แล.
ว่าด้วยผักและแป้ง
เรื่องแห่งมัลละชื่อโรชะ ชัดเจนแล้วทั้งนั้น. 
   บรรดาบทเหล่านั้นสองบทว่า สพฺพญฺจ ฑากํได้แก่ ผักชนิดใดชนิดหนึ่ง ซึ่งทอดด้วยเนยใสเป็นต้นก็ดี ไม่ได้ทอดก็ดี. 
   สองบทว่า สงฺครํ อกํสุ มีความว่า ได้ทำข้อบังคับ. 
   หลายบทว่า อุฬารํ โข เต อิทํ มีความว่า การต้อนรับพระผู้มีพระภาคเจ้าของท่านนี้ เป็นกิจดีแล. 
   หลายบทว่า นาหํ ภนฺเต อานนฺท พหุกโต มีความว่า เจ้าโรชะนั้นแสดงว่า เราจะได้มาที่นี่ด้วยความเลื่อมใสและความนับถือมาก ซึ่งเป็นไปในพระพุทธเจ้าเป็นต้นหามิได้.
เรื่องวุฑฒบรรพชิตเป็นต้น เรื่องภิกษุเคยเป็นช่างโกนผม               
   บทว่า มญฺชุกา ได้แก่ เป็นผู้มีถ้อยคำไพเราะ. 
   บทว่า ปฏิภาเณยฺยกา มีความว่า เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยไหวพริบในศิลปะของตน. 
บทว่า ทกฺขา เป็นผู้ฉลาดหรือเป็นผู้ไม่เกียจคร้าน. 
บทว่า ปริโยทาตสิปฺปา ได้แก่ ผู้มีศิลปะหาโทษมิได้ 
บทว่า นาฬิยาวาปเกน ได้แก่ ทะนานและถุง. 
   มีคำอธิบายว่า ชนทั้งหลายย่อมกรอก คือย่อมใส่ข้าวสารที่ได้แล้วๆ ในภาชนะใด ภาชนะนั้นชื่ออาวาปกะ แปลว่า ถุง. 
วินิจฉัยในคำว่า น ภิกฺขเว นหาปิตปุพฺเพน ขุรภณฺฑํ นี้พึงทราบดังนี้ :- 
   ภิกษุผู้เคยเป็นช่างโกนผม ไม่ควรเก็บรักษามีดโกนไว้เลย แต่จะปลงผมด้วยมีดโกนเป็นของผู้อื่น ควรอยู่. ถ้าจะถือเอาค่าจ้างปลง ไม่ควร. ภิกษุใดไม่เคยเป็นช่างโกนผม แม้ภิกษุนั้นจะรักษามีดโกนไว้ ย่อมควร ถึงแม้จะถือเอามีดโกนเล่มนั้นหรือเล่มอื่นปลงผม ก็ควร. 
สองบทว่า ภาคํ ทตฺวา มีความว่า พึงให้ส่วนที่ ๑๐. 
   ได้ยินว่า การให้ส่วนที่ ๑๐ นี้เป็นธรรมเนียมเก่าในชมพูทวีป เพราะเหตุนั้น พึงแบ่งเป็น ๑๐ ส่วนแล้วให้แก่พวกเจ้าของที่ดินส่วนหนึ่ง.