Translate

06 มกราคม 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ วินัยกถา อรรถกถา เรื่องภิกษุแจกของที่ไม่ควรแจก เป็นต้น ของที่ไม่ควรแจก ๕ หมวด

วินัยกถา
   [๒๘๔] สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสวินัยกถาแก่ภิกษุทั้งหลายโดยอเนกปริยาย คือทรงพรรณนาคุณของวินัย คุณของการเรียนวินัย ทรงสรรเสริญคุณของท่านพระอุบาลีโดยเฉพาะเจาะจง ภิกษุทั้งหลายหารือกันว่า พระผู้มีพระภาคตรัสวินัยกถาแก่ภิกษุทั้งหลายโดยอเนกปริยาย คือ ทรงพรรณนาคุณของวินัย
คุณของการเรียนวินัย ทรงสรรเสริญคุณของท่านพระอุบาลีโดยเฉพาะเจาะจง อย่ากระนั้นเลย พวกเราจงเรียนพระวินัย ในสำนักท่านพระอุบาลีกันเถิด ก็แลภิกษุเหล่านั้นมากมาย ทั้งเถระ ทั้งนวกะ ทั้งมัชฌิมะ ต่างพากันเรียนพระวินัยในสำนักท่านพระอุบาลี ท่านพระอุบาลียืนสอนด้วยความเคารพพระเถระทั้งหลายแม้
พระเถระทั้งหลายก็ยืนเรียนด้วยความเคารพธรรม บรรดาภิกษุเหล่านั้น พระเถระและท่านพระอุบาลี ย่อมเมื่อยล้า ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุนวกะผู้สอนนั่งบนอาสนะเสมอกันหรือสูงกว่าได้ ด้วยความเคารพธรรม ให้ภิกษุเถระผู้เรียนนั่งบนอาสนะเสมอกันหรือต่ำกว่าได้ ด้วยความเคารพธรรม ฯ
   [๒๘๕] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายเป็นอันมากยืนรับการสอนในสำนักท่านพระอุบาลี ย่อมเมื่อยล้า จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุมีอาสนะเสมอกัน นั่งรวมกันได้ ฯ
   [๒๘๖] ต่อมา ภิกษุทั้งหลายมีความสงสัยว่า ภิกษุชื่อว่ามีอาสนะ
เสมอกันด้วยคุณสมบัติเพียงเท่าไร จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เราอนุญาตให้ภิกษุระหว่าง ๓ พรรษา นั่งรวมกันได้ ฯ
   [๒๘๗] สมัยนั้น ภิกษุหลายรูปมีอาสนะเสมอกันนั่งร่วมเตียงเดียวกัน ทำเตียงหัก นั่งร่วมตั่งเดียวกัน ทำตั่งหัก จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเตียงละ ๓ รูป ตั่งละ ๓ รูป แม้ภิกษุ ๓ รูปนั่งลงบนเตียง ก็ทำเตียงหัก นั่งลงบนตั่ง ก็ทำตั่งหัก ภิกษุเหล่านั้น
จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตเตียงละ ๒ รูป ตั่งละ ๒ รูป ฯ
   [๒๘๘] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายนั่งลงบนอาสนะยาวร่วมกับภิกษุผู้มีอาสนะไม่เสมอกัน ก็รังเกียจ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นั่งบนอาสนะยาวร่วมกับภิกษุที่มีอาสนะไม่เสมอกันได้ เว้นบัณเฑาะก์ มาตุคาม อุภโตพยัญชนก ฯ
   [๒๘๙] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายมีความสงสัยว่า อาสนะยาวที่สุดมีกำหนดเท่าไร ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตอาสนะยาวที่สุดมีกำหนดนั่งได้ ๓ รูป ฯ
   [๒๙๐] สมัยนั้น นางวิสาขา มิคารมารดาใคร่จะให้สร้างปราสาทมีเฉลียงประดุจเทริดที่ตั้งอยู่บนกระพองช้างถวายพระสงฆ์ ครั้งนั้นภิกษุทั้งหลายมีความสงสัยว่า พระผู้มีพระภาคทรงอนุญาตการใช้สอยปราสาทหรือไม่ทรงอนุญาตหนอจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตการใช้สอยปราสาททุกอย่าง ฯ
   [๒๙๑] สมัยนั้น สมเด็จพระอัยยิกาของพระเจ้าปเสนทิโกศลทิวงคต เพราะพระนางทิวงคต เครื่องอกัปปิยภัณฑ์เป็นอันมากบังเกิดแก่สงฆ์ คือ เก้าอี้นอน เตียงใหญ่ ผ้าโกเชาว์ขนยาว เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะวิจิตรด้วยลวดลาย เครื่องลาดที่ทำด้วยขนแกะสีขาว เครื่องลาดที่มีสัณฐานเป็นช่อดอกไม้
เครื่องลาดที่ยัดนุ่น เครื่องลาดขนแกะวิจิตรด้วยรูปสัตว์ร้ายมีสีหะและเสือเป็นต้น เครื่องลาดขนแกะมีขนตั้ง เครื่องลาดขนแกะมีขนข้างเดียว เครื่องลาดทองและเงินแกมไหม เครื่องลาดไหมขลิบทองและเงิน เครื่องลาดขนแกะจุนางฟ้อน ๑๖ คน เครื่องลาดหลังช้างเครื่องลาดหลังม้า เครื่องลาดในรถ เครื่องลาดที่
ทำด้วยหนังสัตว์ชื่ออชินะอันมีขนอ่อนนุ่ม เครื่องลาดอย่างดีที่ทำด้วยหนังชะมด เครื่องลาดมีเพดาน เครื่องลาดมีหมอนข้าง ภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ตัดเท้าเก้าอี้นอนแล้วใช้สอยได้ เตียงใหญ่ทำลายรูปสัตว์ร้ายเสียแล้วใช้สอยได้ ฟูกที่ยัดนุ่นรื้อแล้วทำเป็นหมอน นอกนั้นทำเป็นเครื่องลาดพื้น ฯ
เรื่องภิกษุแจกของที่ไม่ควรแจก
   [๒๙๒] สมัยนั้น ภิกษุเจ้าถิ่นในอาวาสใกล้บ้านแห่งหนึ่งไม่ห่างจากพระนครสาวัตถี เป็นผู้จัดเสนาสนะแก่ภิกษุอาคันตุกะและภิกษุผู้เตรียมเดินทางย่อมลำบาก ภิกษุเหล่านั้นจึงปรึกษากันว่าท่านทั้งหลาย บัดนี้พวกเรา จัดเสนาสนะแก่ภิกษุอาคันตุกะและภิกษุผู้เตรียมเดินทาง ย่อมลำบาก เราตกลงจะมอบเสนาสนะ
ของสงฆ์ทั้งหมดแก่ภิกษุรูปหนึ่ง เราจักใช้สอยเสนาสนะของเธอ ภิกษุเหล่านั้นได้มอบหมายเสนาสนะของสงฆ์ทุกๆ อย่าง แก่ภิกษุรูปหนึ่ง ภิกษุอาคันตุกะได้กล่าวคำนี้กะภิกษุเจ้าถิ่นเหล่านั้นว่า ท่านทั้งหลาย โปรดจัดเสนาสนะให้พวกผม ภิกษุเจ้าถิ่นตอบว่า เสนาสนะของสงฆ์ไม่มี ขอรับ พวกผมมอบแก่ภิกษุรูปหนึ่งหมดแล้ว
 ท่านอาคันตุกะ ก็พวกท่านแจกจ่ายเสนาสนะของสงฆ์หรือ ขอรับ
             เจ้าถิ่น เป็นเช่นนั้น ขอรับ
             บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่า ไฉนภิกษุจึงได้แจกจ่ายเสนาสนะของสงฆ์เล่า จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค
             พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าพวกภิกษุแจกจ่ายเสนาสนะของสงฆ์ จริงหรือ
             ภิกษุทั้งหลายทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ของที่ไม่ควรแจก ๕ หมวด
             พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงแจกจ่ายเสนาสนะของสงฆ์เล่า การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ของที่ไม่ควร
แจกจ่าย ๕ หมวดนี้อันภิกษุไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้สงฆ์คณะหรือบุคคล แจกจ่ายไปแล้วก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   ของไม่ควรแจกจ่าย ๕ หมวด อะไรบ้าง คืออาราม พื้นที่อาราม นี้เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่ายหมวดที่ ๑ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   วิหาร พื้นที่วิหาร นี้เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่ายหมวดที่ ๒ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   เตียง ตั่ง ฟูก หมอน นี้เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่ายหมวดที่ ๓ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่านนี้เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่าย หมวดที่ ๔ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย หญ้าสามัญ ดิน เครื่องไม้ เครื่องดิน นี้เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่าย หมวดที่ ๕ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ของที่ไม่ควรแจกจ่ายมี ๕ หมวดนี้แล สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
เรื่องภิกษุแบ่งของที่ไม่ควรแบ่ง
   [๒๙๓] ครั้นพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระนครสาวัตถีตามพุทธาภิรมย์แล้วเสด็จจาริกทางกิฏาคิรีชนบท พร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ทั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะได้ทราบข่าวว่า พระผู้มีพระภาคเสด็จมาสู่กิฏาคิรีชนบท พร้อมกับภิกษุสงฆ์
หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ทั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ท่านทั้งหลายพวกเราตกลงแบ่งเสนาสนะของสงฆ์ให้หมด เพราะพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะมีความปรารถนาลามก ไปสู่อำนาจแห่งความปรารถนาอันชั่วช้า พวกเราจะได้ไม่ต้องจัดหาเสนาสนะถวายท่าน ภิกษุเหล่านั้นได้แบ่งเสนาสนะของสงฆ์หมดแล้ว
   ครั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกโดยลำดับ ได้ถึงชนบทกิฏาคิรีแล้ว จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงไปหาภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะแล้วบอกอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเสด็จมาพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ประมาณ ๕๐๐ รูป ทั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ ขอท่าน
จงช่วยจัดหาเสนาสนะถวายพระผู้มีพระภาค ภิกษุสงฆ์ และพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ ภิกษุเหล่านั้นรับสนองพระดำรัสแล้วเข้าไปหาภิกษุพวกพระอัสสชิ และพระปุนัพพสุกะ ครั้นแล้วได้แจ้งว่า ท่านทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคเสด็จมาพร้อมกับภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ทั้งพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ
   ก็แล พวกท่านจงจัดหาเสนาสนะถวายพระผู้มีพระภาค ภิกษุสงฆ์ และพระสารีบุตรพระโมคคัลลานะ ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะตอบว่า ท่านทั้งหลาย เสนาสนะของสงฆ์ไม่มี พวกผมแบ่งกันหมดแล้วพระผู้มีพระภาคเสด็จมาดีแล้ว พระองค์ทรงพระประสงค์จะประทับในวิหารใดก็จักประทับในวิหารนั้น พระ
สารีบุตรและพระโมคคัลลานะ มีความปรารถนาลามกไปสู่อำนาจของความปรารถนาอันชั่วช้า พวกผมจักไม่จัดหาเสนาสนะถวายท่าน
             ภิ. ท่านทั้งหลาย พวกท่านแบ่งเสนาสนะของสงฆ์หรือ
             อ. เป็นเช่นนั้น ขอรับ
             บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนาว่าไฉน ภิกษุพวกพระอัสสชิและพระปุนัพพสุกะจึงได้แบ่งเสนาสนะของสงฆ์เล่า แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ...
   พระผู้มีพระภาคทรงสอบถามว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข่าวว่าภิกษุพวกอัสสชิและปุนัพพสุกะ แบ่งเสนาสนะของสงฆ์ จริงหรือ
   ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า
ของที่ไม่ควรแบ่ง ๕ หมวด
   พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า ทรงติเตียนว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ไฉนภิกษุโมฆบุรุษเหล่านั้น จึงได้แบ่งเสนาสนะของสงฆ์เล่า การกระทำของโมฆบุรุษเหล่านั้นนั่นไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถารับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ของที่ไม่ควรแบ่งมี
๕ หมวดนี้ สงฆ์ก็ดีคณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่ง แม้แบ่งไปแล้วก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ของไม่ควรแบ่ง ๕ หมวด อะไรบ้าง คืออาราม พื้นที่อาราม นี้เป็นของไม่ควรแบ่งหมวดที่ ๑ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่งแม้แบ่งแล้ว ก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   วิหาร พื้นที่วิหาร นี้เป็นของไม่ควรแบ่งหมวดที่ ๒ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่ง แม้แบ่งแล้ว ก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   เตียง ตั่ง ฟูก หมอน นี้เป็นของไม่ควรแบ่งหมวดที่ ๓ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่ง แม้แบ่งแล้ว ก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระถางโลหะ กระทะโลหะ มีด ขวาน ผึ่ง จอบ สว่านนี้เป็นของไม่ควรแบ่งหมวดที่ ๔ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่ง แม้แบ่งแล้วก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   เถาวัลย์ ไม้ไผ่ หญ้าปล้อง หญ้ามุงกระต่าย หญ้าสามัญ ดิน เครื่องไม้เครื่องดิน นี้เป็นของไม่ควรแบ่งหมวดที่ ๕ สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่งแม้แบ่งแล้ว ก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย ของที่ไม่ควรแบ่ง ๕ หมวดนี้แล สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแบ่ง แม้แบ่งแล้ว ก็ไม่เป็นอันแบ่ง รูปใดแบ่ง ต้องอาบัติถุลลัจจัย ฯ
 เตียงตั่งจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม โดยที่สุดมีเท้าเพียง ๔ นิ้ว แม้ที่พวกเด็กชาวบ้านซึ่งยังเล่นในโรงฝุ่นทำ ย่อมเป็นครุภัณฑ์ จำเดิม แต่เวลาที่ถวายสงฆ์แล้ว. 
 แม้ถ้าพระราชาและราชมหาอมาตย์เป็นต้น ถวายเพียงคราวเดียวเท่านั้น ตั้งร้อยเตียงหรือพันเตียง, เตียงที่เป็นกัปปิยะทั้งหมดพึงรับไว้.
 ครั้นรับแล้วพึงแจกตามลำดับผู้แก่ ว่า ท่านจงใช้สอยโดยเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์. อย่าให้เป็นส่วนตัวบุคคล. แม้จะตั้งเตียงที่เกินไว้ในเรือนคลังเป็นต้นแล้วเก็บบาตรจีวร ก็ควร. 
 เตียงที่เขาถวายนอกสีมา ว่า ข้าพเจ้าถวายแก่สงฆ์ ดังนี้ พึงให้ไว้ในสถานที่อยู่ของพระสังฆเถระ. ถ้าในสถานที่อยู่ของพระสังฆเถระนั้น มีเตียงมาก, ไม่มีการที่ต้องใช้เตียง ;
              ในสถานที่อยู่ของภิกษุใด มีการที่ต้องใช้เตียง, พึงให้ไว้ในสถานที่อยู่ของภิกษุนั้นสั่งว่า ท่านจงใช้สอยเป็นเครื่องใช้สอยของสงฆ์. 
               เตียงมีราคามาก คือ ตีราคาตั้งร้อยหรือพันกหาปณะ จะแลกเตียงอื่น ย่อมได้ตั้งร้อยเตียง ควรแลกเอาไว้. มิใช่แต่เตียงเดียวเท่านั้น แม้อาราม อารามวัตถุ วิหาร
วิหารวัตถุ ตั่ง ฟูกและหมอน ก็ควรแลก. แม้ในตั่งฟูกและหมอนก็นัยนี้. แม้ในเตียงตั่งฟูกหมอนเหล่านี้ สิ่งที่เป็นกัปปิยะและอกัปปิยะ มีนัยดังกล่วแล้วนั่นแล.
ในกัปปิยะและอกัปปิยะนั้น ที่เป็นอกัปปิยะไม่ควรใช้สอย. ที่เป็นกัปปิยะ พึงใช้สอยเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์. ที่เป็นอกัปปิยะหรือที่เป็นกัปปิยะมีค่ามาก พึงแลกเอาวัตถุที่กล่าวแล้วไว้. ขึ้นชื่อว่าฟูกและหมอน ที่ไม่จัดเป็นครุภัณฑ์ ย่อมไม่มี. ครุภัณฑ์ ๓ อย่างนี้ คือ หม้อโลหะ อ่างโลหะ กระทะโลหะจะใหญ่หรือเล็กก็ตาม โดยที่สุดแม้จุน้ำเพียงฟายมือหนึ่ง ย่อมเป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน. ส่วนขวดโลหะที่ทำด้วยเหล็ก ทองแดง สำริด ทองเหลืองอย่างใดอย่างหนึ่ง จุน้ำได้บาทหนึ่ง ในเกาะสิงหล แจกกันได้. ที่ชื่อว่าบาทหนึ่ง จุน้ำประมาณ ๕ ทะนานมคธ. ที่จุน้ำเกินกว่านั้น เป็นครุภัณฑ์, ภาชนะโลหะที่มาในบาลีเท่านี้ก่อน. ส่วนน้ำเต้าทอง กระโถน กระบวย ทัพพี ช้อน ถาด จาน ชาม ผอบ อั้งโล่และทัพพีตักควันเป็นต้น แม้มิได้มาในบาลี จะเล็กหรือใหญjก็ตาม เป็นครุภัณฑ์หมดทุกอย่าง. แต่ภัณฑะเหล่านี้ คือ บาตรเล็ก ภาชนะทองแดง เป็นของควรแจกกัน ได้ ภาชนะกาววาวที่ทำด้วยสำริดหรือทองเหลือง ควรใช้สอยเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์ หรือเป็นคิหิวิกัติ ไม่ควรใช้สอย เป็นเครื่องใช้ส่วนตัวบุคคล. ในมหาปัจจรีแก้ว่า ภาชนะสำริดเป็นต้น ที่เขาถวายสงฆ์จะรักษาไว้ใช้เองไม่ควร, พึงใช้สอยโดยทำนองคิหิวิกัติเท่านั้น ส่วนในส่งขอโลหะที่เป็นกัปปิยะแม้อื่น ยกเว้นภาชนะกาววาวเสีย กล่องยาตา ไม้ป้ายยาตา ไม้ควักหู เข็ม เหล็กจาร มีดน้อย เหล็ก หมาด กุญแจ ลูกดาล ห่วงไม้เท้า กล้องยานัตถุ์ สว่าน รางโลหะ แผ่นโลหะ แท่งโลหะ สิ่งของโลหะที่ทำค้างไว้แม้อย่างอื่น เป็นของควรแจกกันได้. ส่วนกล้องยาสูบ ภาชนะโลหะ โคมมีด้าม โคมตั้ง โคมแขวน รูปสตรี รูปบุรุษ และรูปสัตว์เดียรัจฉานหรือสิ่งของโลหะเหล่าอื่น พึงติดไว้ตามฝาหรือหลังคาหรือบานประตูเป็นต้น, สิ่งของโลหะทั้งปวง โดยที่สุดจนกระทั่งตะปู ย่อมเป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน แม้ตนเองได้มาก็ไม่ควรเก็บไว้ใช้อย่างเครื่องใช้ส่วนตัวบุคคล. ควรใช้อย่างเครื่องใช้ของสงฆ์ หรือใช้เป็นคิหิวิกัติ. แม้ในสิ่งของดีบุก ก็มีนัยเหมือนกัน. จานและขันเป็นต้นที่ทำด้วยหินอ่อน เป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน, ส่วนหม้อหรือภาชนะน้ำมันที่ใหญ่ เกินกว่าจุน้ำมันบาทหนึ่งขึ้นไปเท่านั้น เป็นครุภัณฑ์. ภาชนะทองคำ เงิน นาก และแก้วผลึก และเป็นคิหิวิกัติ ก็ไม่ควร, ไม่จำต้องกล่าวถึงใช้อย่างเครื่องใช้ของสงฆ์ หรืออย่างเครื่องใช้ส่วนตัวบุคคล. แต่ด้วยเครื่องใช้สำหรับเสนาสนะ สิ่งของทุกอย่างทั้งที่ควรจับต้อง ทั้งที่ไม่ควรจับต้อง จะใช้สอยก็ควร. ในมีดเป็นต้น มีดที่ไม่อาจใช้ทำการใหญ่อย่างอื่นได้ ยกการตัดไม้สีฟัน หรือการปอกอ้อยเสีย เป็นของควรแจกกันได้. มีดที่ทำด้วยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งใหญ่กว่านั้น เป็นครุภัณฑ์. ส่วนขวาน โดยที่สุดแม้เป็นขวานสำหรับตัดเอ็นของพวกแพทย์ย่อมเป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน.  ในผึ่งมีวินิจฉัยเช่นขวานนั่นเอง. ส่วนผึ่งที่ทำโดยสังเขปว่า เป็นอาวุธ เป็นอนามาส.
จอบโดยที่สุด แม้ขนาด ๔ นิ้ว ย่อมเป็นครุภัณฑ์แท้. สิ่ว มีปากเป็นเหลี่ยมก็ดี มีปากเป็นรางก็ดี โดยที่สุดแม้เหล็กเจาะด้ามไม้กวาด เป็นของเข้าด้ามไว้ เป็นครุภัณฑ์แท้. แต่เหล็กเจาะด้ามไม้กวาด ไม่มีด้าม มีแต่ตัวเท่านั้น เป็นของอาจใส่ฝักรักษาไว้ได้ เป็นของควรแจก. แม้เหล็กแหลมก็สงเคราะห์ด้วยสิ่งนั่นเอง. มีดเป็นต้น เป็นของที่ชนเหล่าใดถวายไว้ในวิหาร, ถ้าชนเหล่านั้น เมื่อถูกไฟไหม้เรือน หรือถูกโจรปล้น จึงกล่าวว่า ท่านผู้เจริญจงให้เครื่องมือแก่พวก ข้าพเจ้าเถิด, แล้วจักคืนให้อีก, ควรให้. ถ้าเขานำมาส่ง. อย่าพึงห้าม, แม้เขาไม่นำมาส่งก็ไม่พึงทวง. เครื่องมือที่ทำด้วยโลหะทุกอย่าง มีทั่ง ค้อน คีมและคันชั่งเป็นต้น ของช่างไม้ ช่างกลึง ช่างสาน ช่างแก้วและช่างบุบาตร เป็นครุภัณฑ์ จำเดิมแต่กาลที่ ถวายสงฆ์แล้ว. แม้ในเครื่องมือของช่างดีบุก ช่างหนังก็มีนัยเหมือนกัน. ส่วนความที่แปลกกันดังนี้ :- เครื่องมือเหล่านี้ คือ ในพวกเครื่องมือของช่างดีบุกเล่า มีดตัดดีบุก ในพวกเครื่องมือของช่างทองมีดตัดทอง ในพวกเครื่องมือของช่างหนัง มีดเล็กสำหรับตัดหนังที่ฟอกแล้ว เป็นสิ่งที่ควรแจก. แม้ในเครื่องมือของกัลบกและช่างชุน เว้นกรรไกรใหญ่ แหนบใหญ่และมีดใหญ่เสีย ควรแจกทุกอย่าง. กรรไกรใหญ่เป็นต้น เป็นครุภัณฑ์. วินิจฉัยในเถาวัลย์เป็นต้น พึงทราบดังนี้ :- เถาวัลย์ชนิดหนึ่ง มีหวายเป็นต้น ประมาณเพียงครึ่งแขน ที่เขาถวายสงฆ์ก็ตาม ที่เกิดขึ้นในธรณีสงฆ์นั้นก็ตาม ซึ่งสงฆ์รักษาปกครองไว้ เป็นครุภัณฑ์. เถาวัลย์นั้น เมื่อการงานของสงฆ์และการงานที่เจดีย์ทำเสร็จแล้ว ถ้าเป็นของเหลือ, จะน้อมเข้าไปในการงานส่วนตัวบุคคลบ้าง ก็ควร. แต่ถ้าเถาวัลลิ์ที่สงฆ์ไม่รักษา ไม่เป็นครุภัณฑ์เลย. เชือกหรือพวนที่ทำเสร็จด้วยด้าย ปอ ป่าน เสี้ยนมะพร้าวและหนังก็ดี เชือกเกลียวเดียวหรือ ๒ เกลียว ที่เขาฟั่นป่านหรือเสี้ยนมะพร้าวทำก็ดี ย่อมเป็นครุภัณฑ์ จำเดิมแต่เวลาที่เขาถวายสงฆ์แล้ว. ส่วนด้ายที่เขามิได้ฟั่นถวาย และปอป่านแลเสี้ยนมะพร้าวแจกกันได้. อนึ่ง เชือกและพวนเป็นต้นเหล่านั้น เป็นของ ที่ชนเหล่าใดถวาย, ชนเหล่านั้นจะยืมไปด้วยกรณียกิจของตน ไม่ควรหวงห้าม. ไม้ไผ่ชนิดใดชนิดหนึ่ง โดยที่สุดแม้ขนาดเท่าเข็มไม้#- ยาว ๘ นิ้ว ที่เขาถวายสงฆ์ หรือที่เกิดในธรณีสงฆ์นั้น ซึ่งสงฆ์รักษาปกครองไว้ เป็นครุภัณฑ์. สุจิทณฺฑก เข็มไม้ (สำหรับเย็บของใหญ่ เช่นใบเรือ) ไม้กลัด (?). เมื่อการงานของสงฆ์และการงานที่เจดีย์ทำเสร็จแล้ว แม้ไม้ไผ่นั้นยังเหลือ จะใช้ในการงานเป็นส่วนตัวบุคคล ก็ควร. ก็ในภัณฑะ คือ ไม้ไผ่นี้ ของเช่นนี้ คือ กระบอกน้ำมันจุน้ำมันบาทหนึ่ง ไม้เท้า คานรองเท้า คันร่ม ซี่ร่ม เป็นของแจกันได้. พวกชาวบ้านผู้ถูกไฟไหม้เรือนฉวยเอาไป ไม่ควรห้าม. เมื่อภิกษุจะถือเอาไม้ไผ่ที่สงฆ์รักษาปกครอง ต้องทำถาวรวัตถุที่เท่ากัน หรือเกินกว่าโดยที่สุดทำผาติกรรมถือเอา ต้องใช้สอยในวัดนั้นเท่านั้น. ในเลาที่จะไป ต้องเก็บไว้ในที่อยู่ของสงฆ์ ก่อน จึงค่อยไป. ภิกษุผู้ถือเอาไปด้วยความหลงลืม ต้องส่งคืน. ไปสู่ประเทศอื่นแล้ว พึงเก็บไว้ในที่อยู่ของสงฆ์ในวัดที่ไปถึงเข้า. หญ้านั้น คือ หญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่นอกจากหญ้ามุงกระต่ายและหญ้าปล้อง. ก็ในที่ใด ไม่มีหญ้า, ในที่นั้น เขามุงด้วยใบไม้ เพราะฉะนั้น แม้ใบไม้ก็สงเคราะห์ด้วยหญ้าเหมือนกัน. ในหญ้ามุงกระต่ายเป็นต้น หญ้าชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้มีประมาณกำมือหนึ่ง แม้ในใบไม้มีใบตาลเป็นต้น แม้ใบเดียว ที่เขาถวายสงฆ์หรือที่เกิดในธรณีสงฆ์นั้น หรือเป็นหญ้าที่เกิดแต่สวนหญ้าของสงฆ์ภายนอกอาราม ซึ่งสงฆ์รักษาปกครอง เป็นครุภัณฑ์. เมื่อการงานของสงฆ์ หรือการงานที่เจดีย์ทำเสร็จแล้ว หญ้าแม้นั้นยังเหลือ จะใช้ในการงานเป็นส่วนตัวบุคคล ก็ควร. พวกชาวบ้านผู้ถูกไฟไหม้ เรือนฉวยเอาไป ไม่ควรห้าม. ในลานเปล่า แม้ขนาดเพียง ๘ นิ้ว ก็เป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน, ดินเหนียว จะเป็นดินธรรมดาหรือดิน ๕ สี หรือปูนขาวก็ตามที หรือบรรดายางสนและชันเป็นต้น ยางชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่เขานำมาถวายในที่ซึ่งหาได้ยากก็ดี ที่เกิดในธรณีสงฆ์นั้นก็ดี ขนาดเท่าผลตาลสุก ซึ่งสงฆ์รักษาปกครองไว้ เป็นครุภัณฑ์. เมื่อการงานของสงฆ์ หรือการงานของเจดีย์ทำเสร็จแล้ว ยางแม้นั้นที่เหลือ จะใช้ในการงานเป็นส่วนตัวบุคคล ก็ควร. ส่วนหิงคุ รง หรดาล มโนศิลาและแร่พลวง เป็นของควรแจกกัน. วินิจฉัยในสิ่งของคือไม้ พึงทราบดังนี้ :- ในกรุนทีแก้ว่า ภัณฑะไม้ชนิดใดชนิดหนึ่ง แม้ขนาดเท่าเข็มไม้ยาว ๘ นิ้ว เขาถวายสงฆ์ในที่ซึ่งหาได้ยาก หรือเกิดในธรณีสงฆ์นั้น ซึ่งสงฆ์รักษาคุ้มครอง นี้เป็นครุภัณฑ์. ส่วนในมหาอรรถกถา สงเคราะห์ของแปลกที่ทำด้วยวัตถุเป็นต้นว่า ไม้จริง ไม่ไผ่ หนัง และศิลา แม้ทุกอย่างด้วยภัณฑะไม้ แล้วกล่าววินิจฉัยแห่งภัณฑะไม้ จำเดิมแต่บาลีนี้ว่า เตน โข ปน สมเยน สงฺฆสฺส อาสนฺทิโก อุปฺปนฺโน โหติ. ในมหาอรรถกถานั้น ไขความดังนี้ :- ในของเหล่านี้ก่อน คือ ตั่ง ๔ เหลี่ยมจตุรัส ตั่งมีพนัก ๓ ด้าน ตั่งหวาย ตั่งสามัญ ตั่งขาทราย ตั่งก้านมะขามป้อม ตั่งมีพนักด้านเดียว ตั่งกระดาน เก้าอี้ ตั่งยัดฟาง ชนิดใดชนิดหนึ่ง เล็กหรือใหญ่ก็ตาม ที่เขาถวายสงฆ์แล้ว เป็นครุภัณฑ์. อนึ่ง แม้ตั่งที่ยัดด้วยใบตองเป็นต้น สงเคราะห์ในตั่งเหล่านั้นด้วยตั่งยัดฟาง. เก้าอี้ที่หุ้มด้วยหนังเสือโคร่งก็ดี บุด้วยรูปสัตว์ร้ายก็ดี ขลิบด้วยรัตนะก็ดี เป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน. ในของเหล่านั้น คือ กระดานจงกรม กระดานยาว กระดานซักจีวร กระดานรองทุบ ตลุมพุกสำหรับทุบ เขียงรองตัดไม้สีฟัน ไม้ค้อน ถังไม้ รางย้อม กระโถน สมุกไม้จริง หรือสมุกงา หรือสมุกไม้ไผ่ มีเท้าก็ตาม ไม่มีเท้าก็ตาม หีบ ขวดมีขนาดไม่เกินจุน้ำ บาทหนึ่ง รางน้ำ ไหน้ำ กระบวย ทัพพี ขันน้ำ สังข์ตักน้ำ ชนิดใดชนิดหนึ่งที่ถวายสงฆ์แล้ว เป็นครุภัณฑ์, ส่วนภาชนะที่ทำด้วยสังข์แจกกันได้. หม้อน้ำที่ทำด้วยไม้ ก็เหมือนกัน. เสวียนเช็ดเท้า จะทำด้วยไม้หรือทำด้วยใบตาลเป็นต้นก็ตามที เป็นครุภัณฑ์ทั้งหมด. ในของเหล่านี้ คือ เชิงบาตร ฝาบาตร พัดใบตาล พัดวีชนี ผอบ กระเช้า ไม้กวาดด้ามยาว ไม้กวาดด้ามสั้น อย่างใดอย่างหนึ่ง จะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม ทำด้วยของอย่างใดอย่างหนึ่ง มีไม้จริง ไม้ไผ่ ใบไม้และหนังเป็นต้น เป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน. บรรดาเครื่องมือเรือนมีเสา ขื่อ บันได และกระดานเป็นต้น เครื่องเรือนอย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งทำด้วยไม้ก็ตาม ทำด้วยศิลาก็ตาม เสื่อลำแพนชนิดใดชนิดหนึ่งที่เขาถวายสงฆ์แล้ว เป็นครุภัณฑ์สมควรทำให้เป็นเครื่องลาดพื้น. ส่วนหนังแพะ ซึ่งแม้มีคติอย่างเครื่องปูลาด ก็เป็นครุภัณฑ์เหมือนกัน. หนังที่เป็นกัปปิยะ เป็นของควรแจกกันได้. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า หนังทุกชนิดมีขนาดเท่าเตียง เป็นครุภัณฑ์. ครก สาก กระด้ง หินบด ลูกหินบด รางศิลา อ่างศิลา ภัณฑะของช่างหูกเป็นอาทิทุกอย่างมีกระสวย ฟึมและกระทอเป็นต้น เครื่องทำนาทุกอย่าง ล้อเลื่อนทุกอย่าง เป็นครุภัณฑ์ทั้งนั้น. เท้าเตียง แม่แคร่เตียง เท้าตั่ง แม่แคร่ตั่ง ด้ามมีดและสว่านเป็นต้น ในของเหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่งซึ่งถากค้างไว้ยังไม่ทันเสร็จ แจกกันได้ แต่ที่ถากเกลี้ยงเกลาแล้ว เป็นครุภัณฑ์. อนึ่ง ของเช่นนี้ คือ ด้ามมีดที่ทรงอนุญาต ด้ามลแะปีกกลด ไม้เท้า รองเท้า ไม้สีไฟ กระบอกกรอง กระติกน้ำทรงมะขามป้อม หม้อน้ำทรงมะขามป้อม กระติกน้ำลูกน้ำเต้า หม้อน้ำหนัง หม้อน้ำทรงน้ำเต้า กระติกน้ำทำด้วยเขา จุน้ำไม่เกินบาทหนึ่ง แจกกันได้ทุกอย่าง เขื่องกว่านั้นเป็นครุภัณฑ์. งาช้างหรือเขาชนิดใดชนิดหนึ่ง ยังมิได้เกลา คงอยู่อย่างเดิม แจกกันได้. ในเท้าเตียงเป็นต้น ที่ทำด้วยงาช้างและเขาเหล่านั้น มีวินิจฉัยเช่นกับที่มีมาแล้วในหนหลังนั่นเอง. ของเช่นนี้ คือ กลักใส่หิงคุ กลักใส่ยาตา แม้ถากเกลาเสร็จแล้ว ลูกดุม รังดุม แท่นยาตา ด้ามยาตา กราดกวาดน้ำ ทุกอย่างแจกันได้ทั้งนั้น. วินิจฉัยในของที่ทำด้วยดิน พึงทราบดังนี้ :- เครื่องอุปโภคและบริโภคของมนุษย์ทั้งปวง คือภาชนะดิน มีหม้อฝาละมีเป็นต้น กระถางสำหรับระบมบาตร เชิงกราน ปล่องควัน โคมมีด้าม โคมตั้ง อิฐสำหรับก่อ กระเบื้องสำหรับมุง กระเบื้องหลบ เป็นครุภัณฑ์ จำเดิมแต่เวลาที่ถวายสงฆ์แล้ว. ก็ในของที่ทำด้วยดินนี้ ของเช่นนี้ คือ หม้อ บาตร ภาชนะ คนโทปากกว้าง คนโทสามัญ ขนาดเขื่องไม่เกินกว่าจุน้ำบาทหนึ่ง เป็นของที่แจกกันได้. อนึ่ง แม้ในของโลหะ พึงทราบวินิจฉัยเหมือนในของดิน. คนโทน้ำบวกเข้ากับส่วนที่แจกกันได้เหมือนกัน. อนุปุพพีกถาในครุภัณฑ์นี้ เท่านี้.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๗ จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ ภิกษุผู้ควรได้รับสมมติเป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ เป็นต้น กรรมวาจาสมมติ การให้ถือเสนาสนะ ๓ อย่าง

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๒๗๗] ครั้งนั้น ภิกษุทั้งหลายหารือกันว่า ใครพึงให้ถือเสนาสนะแล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้สมมติภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๕ เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ คือ:-
 ๑. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความชอบพอ
 ๒. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความเกลียดชัง
 ๓. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความงมงาย
 ๔. ไม่ถึงความลำเอียงเพราะความกลัว และ
 ๕. รู้เสนาสนะที่ให้ถือแล้วและยังไม่ให้ถือ ฯ
วิธีสมมติ 
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็แลสงฆ์พึงสมมติอย่างนี้ พึงขอร้องภิกษุก่อน ครั้นแล้วภิกษุผู้ฉลาด ผู้สามารถ พึงประกาศให้สงฆ์ทราบด้วยญัตติทุติยกรรมวาจา ว่าดังนี้:-
กรรมวาจาสมมติ
   ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า ถ้าความพร้อมพรั่งของสงฆ์
ถึงที่แล้ว สงฆ์พึงสมมติภิกษุมีชื่อนี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะนี้เป็นญัตติ
 ท่านเจ้าข้า ขอสงฆ์จงฟังข้าพเจ้า สงฆ์สมมติ
 ภิกษุมีชื่อ นี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ การสมมติ
 ภิกษุมีชื่อนี้เป็นผู้ให้ถือเสนาสนะ ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงเป็นผู้นิ่ง ไม่ชอบแก่ท่านผู้ใด ท่านผู้นั้นพึงพูด
 ภิกษุมีชื่อนี้ สงฆ์สมมติให้เป็นผู้ถือเสนาสนะ
 แล้ว ชอบแก่สงฆ์เหตุนั้นจึงนิ่ง ข้าพเจ้าทรง
ความนี้ไว้ ด้วยอย่างนี้ ฯ
   [๒๗๙] ต่อมา ภิกษุทั้งหลายผู้ให้ถือเสนาสนะหารือกันว่า เราจะพึงให้ถือเสนาสนะอย่างไรหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่าดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้นับภิกษุก่อน ครั้นแล้วนับที่นอน ครั้นแล้วจึงให้ถือตามจำนวนที่นอน เมื่อให้ถือตามจำนวนที่นอนๆ เหลือมาก ... ตรัสว่าดูกร
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือตามจำนวนวิหาร เมื่อให้ถือตามจำนวนวิหารๆ ก็ยังเหลือเป็นอันมาก ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ถือตามจำนวนบริเวณ เมื่อให้ถือตามจำนวนบริเวณๆ ก็ยังเหลืออีกมาก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ๆ ส่วนซ้ำอีก เมื่อให้ถือส่วนซ้ำอีกแล้ว ภิกษุรูปอื่นมา ไม่ปรารถนาก็อย่าพึงให้
   [๒๘๐] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาถือเสนาสนะภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงให้ภิกษุผู้อยู่นอกสีมาถือเสนาสนะ รูปใดให้ถือ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   [๒๘๑] สมัยนั้น ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะแล้วหวงกันไว้ตลอดเวลาภิกษุทั้งหลายกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุถือเสนาสนะแล้ว ไม่พึงหวงกันไว้ตลอดทุกเวลา รูปใดหวงกันไว้ ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
   ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้หวงกันไว้ได้ตลอดพรรษา ๓ เดือนหวงกันไว้ตลอดฤดูกาลไม่ได้ ฯ
การให้ถือเสนาสนะ ๓ อย่าง
   [๒๘๒] ต่อมา ภิกษุทั้งหลายหารือกันว่า การให้ถือเสนาสนะมีกี่อย่างหนอ จึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาคๆ ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย การให้ถือเสนาสนะมี ๓ อย่างนี้ คือ ให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา ๑ ให้ถือเมื่อวันเข้าพรรษาหลัง ๑ ให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น ๑ การให้ถือเมื่อวันเข้าปุริมพรรษา
พึงให้ถือในวันแรม ๑ ค่ำเดือนอาสาฬหะ การให้ถือในวันเข้าพรรษาหลัง พึงให้ถือเมื่อเดือนอาสาฬหะล่วงแล้ว ๑ เดือน การให้ถือในระหว่างพ้นจากนั้น พึงให้ถือในวันต่อจากวันปวารณา คือแรม ๑ ค่ำ เพื่ออยู่จำพรรษาต่อไป การให้ถือเสนาสนะมี ๓ อย่างนี้แล ฯ
ภาณวาร ที่ ๒ จบ
ชนทั้งหลายสร้างสถูปแล้ว ให้ภิกษุรับผ้าจำพรรษา. ธรรมดาสถูปไม่ใช่เสนาสนะ, พึงโอนให้ภิกษุผู้จำพรรษาที่ต้นไม้หรือมณฑปซึ่งใกล้สถูปนั้น รับไป. ภิกษุนั้นพึงปรนนิบัติเจดีย์. แม้ในต้นโพธิ์ เรือนโพธิ์ เรือนปฏิมา ร้านไม้กวาด ร้านเก็บไม้ เวจกุฏี ซุ้มประตู กุฏีน้ำ โรงน้ำ และโรงไม้สีไฟ ก็มีนัยเหมือนกัน. ส่วนหอฉัน เป็นเสนาสนะแท้, เพราะเหตุนั้น สมควรกำหนดให้ภิกษุรูปเดียว หรือหลายรูปถือหอฉันนั้น. คำทั้งปวงนี้ ท่านกล่าวพิสดารในมหาปัจจรี. อันภิกษุผู้เสนาสนคาหาปกะ พึงให้ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะ ตั้งแต่อรุณแห่งวันปาฏิบท๑- ไปจนถึงเพียงที่อรุณใหม่ยังไม่แตก. จริงอยู่ ความกำหนดกาลนี้ เป็นเขตแห่งการถือเสนาสนะ. หากว่า เมื่อให้ภิกษุทั้งหลายถือเสนาสนะแต่เช้า ภิกษุอื่นผู้มีใจลังเลมาขอเสนาสนะ. ภิกษุผู้เสนาสนคาหาปกะพึงบอกว่า ท่านผู้เจริญ เสนาสนะถือกันเสร็จแล้ว สงฆ์เข้าพรรษาแล้ว สำนักเป็นที่น่ารื่นรมย์ บรรดาที่ต่างๆ มีโคนไม้เป็นต้น ท่านปรารถนาจะอยู่ในที่ใด จงอยู่ในที่นั้นเถิด. ภิกษุทั้งหลายผู้เข้าพรรษา พึงบอกภิกษุทั้งหลาย ผู้ตั้งวัตรประจำภายในพรรษาแล้วจำพรรษาว่า ท่านทั้งหลายจงผูกไม้กวาดไว้. ถ้าด้ามและซี่เป็นของหาได้ง่าย ; ควรผูกไม้กวาดไว้รูปละ ๕-๖ อัน หรือผูกไม้กวาดด้ามไว้ รูปละ ๒-๓ อัน. ถ้าเป็นของหายาก พึงผูกไม้กวาดด้ามไว้รูปละอัน สามเณรทั้งหลาย พึงตอกคบเพลิงไว้ ๕-๖ อัน. พึงทำการประพรมด้วยน้ำฝาดในสถานที่อยู่. ก็แล เมื่อจะตั้งวัตร ไม่พึงตั้งวัตรที่ไม่เป็นธรรมเห็นปานนี้ว่า อย่าเรียนเอง อย่าให้ผู้อื่นเรียน อย่าทำการสาธยาย อย่าให้บรรพชา อย่าให้อุปสมบท อย่าให้นิสัย อย่าทำธัมมัสสวนะ เพราะว่า พวกเราทั้งหมดนี้ ยังเป็นผู้มีธรรมเครื่องเนิ่นช้า จักเป็นผู้ไม่มีธรรมเครื่องเนิ่นช้าทำสมณธรรมเท่านั้น หรือว่า ภิกษุทุกรูปจงสมาทานธุดงค์ ๑๓ อย่าสำเร็จการนอน จงให้คืนและวันล่วงไปด้วยการยืนและจงกรม จงถือมูควัตร๒- แม้ต้องไปด้วยสัตตาหกรณียะ อย่าได้ภัณฑะที่สงฆ์ควรแจก. ๑- วันแรม ๑ ค่ำแห่งเดือนนั้นๆ นับเป็นวันต้นเดือนของชาวมคธ เพราะนับวันเพ็ญเป็นวันสิ้นเดือน. ๒- ถือการนิ่งไม่พูดกัน คล้ายคนใบ้. แต่พึงกระทำอย่างนี้ คือ พึงทำวัตรเห็นปานนี้ว่า ธรรมดาปริยัติธรรมย่อมยังสัทธรรมแม้ ๓ อย่างให้ตั้งมั่น เพราะเหตุนั้น ท่านทั้งหลายจงเรียนบาลี จงให้เรียนบาลีโดยเคารพ จงสาธยายโดยเคารพ อย่าเบียดเสียดภิกษุทั้งหลายผู้อยู่ในเรือนบำเพ็ญเพียร จงนั่งภายในสำนัก เรียนบาลี ให้เรียนบาลี ทำการสาธยาย จงทำการฟังธรรมให้สำเร็จ เมื่อให้บรรพชา ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้บรรพชา เมื่ออุปสมบท ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้อุปสมบท เมื่อให้นิสัย ต้องชำระให้เรียบร้อยแล้วจึงให้นิสัย ด้วยว่า กุลบุตรแม้ผู้เดียวได้บรรพชาและอุปสมบทแล้ว จักดำรงพระศาสนาทั้งมวลไว้ได้ จงสมาทานธุดงค์เท่าที่ สามารถจะสมาทานได้ด้วยเรี่ยวแรงของตน, ขึ้นชื่อว่าตลอดภายในพรรษานี้ ต้องเป็นผู้ไม่ประมาท ต้องปรารภความเพียร ตลอดทั้งวัน และในปฐมยาม มัชฌิมยามและปัจฉิมยามแห่งราตรี, ถึงพระมหาเถระทั้งหลายแต่เก่าก่อนก็ได้ตัดกังวลทุกอย่างเสีย บำเพ็ญวัตรคือกัมมัฏฐานภาวนาที่จะพึงประพฤติผู้เดียวใน ภายในพรรษา. สมควรรู้ประมาณในถ้อยคำที่จะพึงกล่าว กระทำกถาวัตถุ ๑๐ ประการ อสุภะ ๑๐ ประการ อนุสติ ๑๐ ประการ และกถาปรารภอารมณ์ ๓๘. สมควรทำวัตรแก่พวกภิกษุอาคันตุกะ, สมควรอปโลกน์ให้แก่ภิกษุทั้งหลายผู้ไปด้วยสัตตาหกรณียะ. อีกประการหนึ่ง พึงเตือนภิกษุทั้งหลายว่า อย่ากล่าวถ้อยคำแย้งกับคำส่อเสียดและคำหยาบ, ต้องนึกถึงศีลทุกๆ วัน อย่าให้อารักขกัมมัฏฐาน ๔ เสื่อมคลาย จงเป็นผู้มากด้วยมนสิการอยู่. พึงบอกธรรมเนียมเคี้ยวไม้สีฟัน พึงบอกวัตรคือมรรยาท. เมื่อกำลังไหว้พระเจดีย์หรือต้นโพธิ์ก็ดี เมื่อกำลังบูชาด้วยของหอมและมาลัยก็ดี เมื่อกำลังเอาบาตรเข้าถลกก็ดี ไม่ควรบอก. พึงบอกธรรมเนียมเที่ยวบิณฑบาต อย่ากล่าวถ้อยคำพาดพิงถึงปัจจัย หรือถ้อยคำไม่ถูกส่วนกัน กับชนทั้งหลายภายในบ้าน. พึงบอกนิยานิกกถาแม้มากเห็นปานนี้บ้างว่า ต้องเป็นผู้ระวังอินทรีย์ ต้องบำเพ็ญขันธวัตรและเสขิยวัตร ฉะนี้แล. อนึ่ง ในวันเข้าพรรษาหลัง และเมื่อประกาศเวลาสงฆ์ประชุมกันแล้ว ใครๆ นำผ้ายาว ๑๒ ศอกมาถวายเป็นผ้าจำนำพรรษา ถ้าว่าภิกษุอาคันตุกะเป็นสังฆเถระ พึงถวายแก่ท่าน. ถ้าเป็นนวกะ ภิกษุผู้ได้รับสมมติพึงเรียนพระสังเถระว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าท่านต้องการ ท่านจงสละส่วนที่ ๑ เสีย ถือเอาผ้านี้ ; ไม่พึงให้แก่ท่านผู้ไม่ยอมสละ. ก็ถ้าว่า ท่านยอมสละส่วนที่ให้ถือเอาก่อนแล้วถือเอาไซร้ พึงสับเปลี่ยนกัน จำเดิมแต่พระเถระที่ ๒ ไปโดยอุบายนี้แล แล้วให้แก่อาคันตุกะในที่ซึ่งถึงเข้า. หากว่า ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษาก่อนได้ๆ ผ้า ๒ ผืนหรือ ๓ ผืนหรือ ๔ ผืนหรือ ๕ ผืน. พึงให้เธอ ยอมสละผ้าที่ได้ไปแล้วๆ โดยอุบายนั้น แล้วจึงให้ภิกษุอาคันตุกะ จนกว่าจะเท่ากัน. ก็แล เมื่อภิกษุอาคันตุกะนั้น ได้ส่วนเท่ากันแล้ว ส่วนย่อมที่ยังเหลือ พึงแถมให้ในเถรอาสน์. สมควรจะทำกติกากันไว้ว่า เมื่อลาภเกิดขึ้นแล้ว จะเต็มใจเแจกกันตามลำดับที่มีอยู่. ถ้าเป็นสมัยที่มีภิกษาฝืดเคือง ภิกษุทั้งหลายผู้เข้าพรรษาในวัสสูปนายิกาทั้ง ๒ ลำบากด้วยภิกษา จึงพูดกันว่า ผู้มีอายุ ก็พวกเราอยู่ในที่นี้ ย่อมลำบากดวยกันทั้งหมด, ดีละ เราแบ่งกันเป็น ๒ ส่วน. ที่แห่งญาติและคนปวารณา ของภิกษุเหล่าใดมีอยู่ ภิกษุเหล่านั้นจงอยู่ในที่แห่งญาติและคน ปวารณานั้นแล้ว จงมาปวารณาถือเอาผ้าจำนำพรรษาที่ถึงแก่ตน. ในภิกษุเหล่านั้น ภิกษุเหล่าใดอยู่ในที่แห่งญาติและคนปวารณานั้น แล้วมาเพื่อปวารณา, พึงทำอปโลกนกรรมให้ผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุเหล่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้ยินดีอยู่ก็หาได้เป็นเจ้าของแห่งผ้าจำนำ แล้วมาเพื่อปวารณา, พึงทำอปโลกนกรรมให้ผ้าจำนำพรรษาแก่ภิกษุเหล่านั้น. จริงอยู่ ภิกษุเหล่านั้น แม้ยินดีอยู่ก็หาได้เป็นเจ้าของแห่งผ้าจำนำพรรษาไม่ ฝ่ายพวกภิกษุผู้เจ้าถิ่นแม้บ่นอยู่ว่า จะไม่ให้ ย่อมไม่ได้เหมือนกัน. แต่ในกุรุนทีแก้ว่า ภิกษุทั้งหลายจะพึงทำกติกาวัตรกันว่า หากว่า ยาคูและภัตรในที่นี้ จะไม่เพียงพอแก่พวกเราทั่วกันไซร้, ท่านทั้งหลายจงอยู่ ในที่แห่งภิกษุผู้ชอบพอกันแล้วจงมา, จักได้ผ้าจำพรรษาที่ถึงแก่พวกท่าน. ถ้าภิกษุรูปหนึ่ง ค้านกติกาวัตรนั้นไซร้, เป็นอันคัดค้านชอบ. ถ้าไม่ค้าน กติกาเป็นอันทำชอบ ; ภายหลังต้องอปโลกน์ให้แก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้อยู่ในที่แห่งญาติและคนปวารณาแล้วมาแล้ว,ในเวลาอปโลกน์ไม่ยอมให้ค้าน. ท่านกล่าวอีกว่า ก็ถ้าว่า เมื่อผ้าจำนำพรรษาไม่ถึงแก่ภิกษุบางพวกในบรรดาภิกษุผู้จำพรรษา, ภิกษุทั้งหลายพึงทำกติกากันว่า สงฆ์ยินดีจะให้ ผ้าจำนำพรรษาของภิกษุผู้ขาดพรรษา และผ้าจำนำพรรษาซึ่งเกิดขึ้นในบัดนี้ แก่ภิกษุเหล่านี้. เมื่อได้ตั้งกติกาไว้อย่างนี้แล้ว ผ้าจำนำพรรษาย่อมเป็นเหมือนได้ให้ พวกเธอถือเอาแล้วเหมือนกัน ; ทั้งต้องให้ผ้าที่เกิดขึ้นแล้วๆ แก่พวกเธอด้วย. ภิกษุผู้จัดตั้งน้ำฉันปัดกวาดทางไปวิหาร ลานเจดีย์ และลานโพธิ์เป็นต้น รดน้ำที่ต้นโพธิ์ตลอดไตรมาแล้วหลีกไปเสียก็ได้ ลาสิกขาเสียก็ดี คงได้ผ้าจำนำพรรษาเหมือนกัน. เพราะผ้าจำพรรษานั้นอันภิกษุนั้น ได้แล้วดุจทำให้เป็นค่าจ้าง. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ส่วนผ้าจำนำพรรษาที่เป็นของสงฆ์ซึ่งทำอปโลกนกรรมแล้วแจกกัน แม้ภิกษุลาสิกขาภายในพรรษา ย่อมได้เหมือนกัน แต่ไม่ยอมให้ถือเอาด้วยอำนาจปัจจัย. หากว่า ภิกษุผู้จำพรรษาเสร็จแล้วเตรียมจะไปสู่ทิศ ได้ถือเอากัปปิยภัณฑ์แต่บางสิ่งจากมือของภิกษุผู้อยู่ในอาวาสแล้วสั่งว่า ผ้าจำนำพรรษาของเรามีในสกุลโน้น ท่านจงถือเอาผ้าจำนำพรรษานั้นที่ถึงแล้ว ดังนี้แล้ว ลาสิกขาบทเสียในที่ซึ่งตนไปแล้ว. ผ้าจำนำพรรษาย่อมเป็นของสงฆ์ แต่ถ้าภิกษุนั้นให้พาพวกชาวบ้านรับรองต่อหน้าแล้วจึงไป ภิกษุผู้อยู่อาวาสย่อมได้. เมื่อทายกสั่งไว้ว่า ข้าพเจ้าทั้งหลาย ถวายผ้าจำนำพรรษานี้ แก่ภิกษุผู้จำพรรษาแล้ว ในเสนาสนะของพวกข้าพเจ้า, เสนาสนะนั้น อันเสนาสนะคาหาปกะให้ภิกษุใดถือเอา, ย่อมเป็นของภิกษุนั้นแล. ก็ถ้าว่า บุตรและธิดาเป็นต้นของเจ้าของเสนาสนะนำผ้าเป็นอันมากมากล่าวว่า ท่านทั้งหลายจงให้ในเสนาสนะของพวกข้าพเจ้า ดังนี้ เพื่อต้องการจะให้เป็นที่พอใจของเจ้าของเสนาสนะ สำหรับภิกษุผู้จำพรรษาในเสนาสนะนั้น พึงให้ผืนเดียวเท่านั้น, ผ้าที่เหลือเป็นของสงฆ์, พึงให้ภิกษุทั้งหลายถือตามลำดับผ้าจำนำพรรษา. เมื่อลำดับไม่มี พึงให้ถือเอาตั้งแต่เถรอาสน์ลงมา. แม้ในผ้าจำพรรษา ที่ทายกนำผ้าจำนวนมากมาด้วยจิตเลื่อมใสซึ่งอาศัยภิกษุผู้จำพรรษาในเสนาสนะนั่นแลเกิดขึ้นแล้ว ถวายว่า ข้าพเจ้าถวายแก่เสนาสนะ ดังนี้ ก็มีนัยเหมือนกัน. ก็ถ้าว่า ทายกวางไว้แทบเท้าแล้วกล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ภิกษุนั่น ; ผ้าทั้งหมดย่อมเป็นของภิกษุนั้นเท่านั้น. ในเรือนของทายกคนหนึ่ง มีผ้าจำนำพรรษา ๒ ผืน ส่วนที่ ๑ เป็นของที่ให้สามเณรถือเอาแล้ว ส่วนที่ ๒ ต้องให้ในเถรอาสน์. ทายกนั้นส่งผ้าสาฎก ๑๐ สอกผืนหนึ่ง ๘ ศอกผืนหนึ่ง มาว่า ท่านจงถวายผ้าจำนำพรรษาที่ถึงแล้วแก่ภิกษุทั้งหลาย. พึงเลือกให้ส่วนดีแก่สามเณร แล้วให้ส่วนรองในเถรอาสน์. แต่ถ้า เขานำไปเรือนทั้ง ๒ รูป ให้ฉันแล้ว วางไว้แทบเท้าเองทีเดียว ; ผืนใดเขาถวายแล้วแก่รูปใด ผืนนั้นแลย่อมเป็นของรูปนั้น ต่อแต่นี้ไป เป็นนัยที่มาแล้วในมหาปจจรี. ผ้าจำนำพรรษาในเรือนแห่งทายกคนหนึ่ง ถึงแก่สามเณรหนุ่ม. ถ้าเขาถามว่า ผ้าจำนำพรรษาของข้าพเจ้าถึงแก่ใคร? อย่าบอกว่า ถึงแก่สามเณร พึงบอกว่า ท่านจักทราบในเวลาถวายแล้ว ในวันถวายพึงส่งพระมหาเถระรูปหนึ่งไปนำเอามา.๓- หากว่า ผ้าจำนำพรรษาถึงแก่ผู้ใด ผู้นั้นลาสิกขาเสียหรือมรณภาพเสียไซร้, และชาวบ้านเขาถามว่า ผ้าจำนำพรรษาของพวกข้าพเจ้าถึงแก่ใคร, พึงบอกแก่เขาตามเป็นจริง. ถ้าว่า เขากล่าวว่า ข้าพเจ้าถวายแก่ท่าน ; ผ้านั้นย่อมถึงแก่ภิกษุนั้น. ถ้าเขาถวายแก่สงฆ์หรือแก่คณะ. ย่อมถึงแก่สงฆ์หรือแก่คณะ. หากว่า ภิกษุทั้งหลายผู้จำพรรษา เป็นผู้ทรงผ้าบังสุกุลล้วนทั้งนั้น ; ผ้าจำนำพรรษาที่เขานำมาถวายแล้ว พึงทำให้เป็นเสนาสนบริขารเก็บไว้, หรือพึงทำให้เป็นหมอนเป็นต้นเสีย ฉะนี้แล. นี้เป็นวัตรสำหรับผู้เจ้าถิ่น. ๓- ทำอย่างนี้ไม่เป็น อุชุปฏิปนฺโน กระมัง? เสนาสนคาหวินิจฉัย จบ
เรื่องพระอุปนนท์หวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง[๒๘๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ท่านพระอุปนนทศากยบุตร ถือเสนาสนะ ไว้ในเขตพระนครสาวัตถีแล้ว ได้ไปสู่อาวาสใกล้ตำบลบ้านแห่งหนึ่ง และได้ถือ เสนาสนะในอาวาสนั้นอีก จึงภิกษุเหล่านั้นปรึกษากันว่า ท่านทั้งหลาย ท่าน พระอุปนนทศากยบุตรรูปนี้ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อการวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ถ้าเธอจักอยู่จำพรรษาในอาวาสนี้ พวกเรา ทุกรูปจักอยู่ไม่ผาสุก ผิฉะนั้น เราจะถามเธอ จึงภิกษุเหล่านั้นได้ถามท่าน พระอุปนนทศากยบุตรว่า ท่านอุปนนท์ ท่านถือเสนาสนะในพระนครสาวัตถีแล้วมิใช่หรือ อุ. ถูกละ ขอรับ ภิ. ท่านอุปนนท์ ก็ท่านรูปเดียว เหตุไรจึงหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่งเล่า อุ. ผมจะละที่นี่ไปเดี๋ยวนี้ละ ขอรับ จะถือเอาที่พระนครสาวัตถีนั้น บรรดาภิกษุที่เป็นผู้มักน้อย สันโดษ ... ต่างก็เพ่งโทษ ติเตียน โพนทะนา ว่า ไฉนท่านพระอุปนนทศากยบุตรรูปเดียว จึงได้หวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่ง แล้วกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค ... ทรงสอบถามว่า ดูกรอุปนนท์ ข่าวว่าเธอรูปเดียวหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่ง จริงหรือ ท่านพระอุปนนทศากยบุตรทูลรับว่า จริง พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงติเตียนว่า ดูกรโมฆบุรุษ ไฉนเธอผู้เดียว จึงหวงกันเสนาสนะไว้ถึงสองแห่งเล่า เธอถือในที่นั้นแล้ว ละในที่นี้ ถือใน ที่นี้แล้ว ละในที่นั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เธอก็เป็นคนอยู่ภายนอกทั้งสองแห่ง การ กระทำของเธอนั่น ไม่เป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ... ครั้นแล้วทรงทำธรรมีกถา รับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุรูปเดียวไม่พึงหวงกันเสนาสนะไว้สองแห่ง รูปใดหวงกัน ต้องอาบัติทุกกฏ ฯ
อรรถกถา จุลวรรค ภาค ๒ เสนาสนะขันธกะ เรื่องพระอุปนนท์หวงกันเสนาสนะไว้ ๒ แห่ง
[ว่าด้วยการถือเสนาสนะระงับ]
ในคำว่า ตตฺถ ตยา โมฆปุริส คหิตํ, อิธ มุกฺกํ, อิธ คหิตํ, ตตฺร มุกฺกํ นี้ พึงทราบดังนี้ :- เสนาสนะใดในกรุงสาวัตถีนั้น อันเธอถือเอาแล้ว เสนาสนะนั้น ย่อมเป็นอันเธอผู้ถืออยู่นั่นแล สละเสียแล้วในคามกาวาสนี้. อนึ่ง เมื่อเธอกล่าวอยู่ว่า ผู้มีอายุ บัดนี้เราสละเสนาสนะในคามกาวาสนี้ ดังนี้ เสนาสนะนั้น เป็นอันเธอสละแล้วแม้ในคามกาวาสนั้น ด้วยประการอย่างนี้ เธอเป็นคนภายนอกในอาวาสทั้ง ๒. ส่วนวินิจฉัยในคำนี้ พึงทราบดังนี้ :- การถือย่อมระงับเพราะการถือ. อาลัยย่อมระงับเพราะการถือ. การถือย่อมระงับเพราะอาลัย. อาลัยย่อมระงับเพราะอาลัย. อย่างไร? ภิกษุบางรูปในศาสนานี้ ถือเสนาสนะในวัดหนึ่งแล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้นอีก ในวันเข้าพรรษา, การถือครั้งแรกของภิกษุนั้น ย่อมระงับเพราะการถือ (ครั้งหลัง) นี้. ภิกษุอีกรูปหนึ่งกระทำเพียงอาลัยว่า เราจักอยู่ในวัดนี้ แล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้นแล. อาลัยที่มีก่อนของภิกษุนั้น ย่อมระงับเพราะการถือนี้. รูปหนึ่งถือเสนาสนะหรือทำอาลัยว่า เราจักอยู่ในที่นี้ แล้วไปสู่วัดใกล้เคียง ถือเสนาสนะในวัดนั้น หรือทำอาลัยว่า บัดนี้ เราจักอยู่ในที่นี้แล ; ด้วยประการอย่างนี้ การถือของเธอ ย่อมระงับเพราะอาลัยบ้าง อาลัยของเธอย่อมระงับเพราะอาลัยบ้าง. ภิกษุย่อมตั้งอยู่ในการถือหรือในอาลัยครั้งหลังๆ ในที่ทั้งปวง. อนึ่ง ภิกษุใด ถือเสนาสนะในวัดหนึ่งแล้ว ไปด้วยคิดว่า เราจักอยู่ในวัดอื่น ; ในขณะที่ภิกษุนั้นก้าวล่วงอุปจารสีมาไป การถือเสนาสนะย่อมระงับ. แต่หากว่า ภิกษุไปด้วยตั้งใจว่า ถ้าในวัดนั้นจักมีความสำราญ เราจักอยู่, ถ้าไม่มี เราจักมา ดังนี้ ทราบว่าไม่มีความสำราญ จึงกลับมาในภายหลัง เช่นนี้สมควร.