Translate

03 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร วีสติวาร สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑ วินัยวารที่ ๑๒ กุศลวารที่ ๑๓ จักรเปยยาล ยัตถวารที่ ๑๔ , ๑๕ - ๒๐

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑
[๘๙๔] สมถะคือสัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัยคือสมถะ.
   สมถะคือเยภุยยสิกา เยภุยยสิกาคือสมถะ.
   สมถะคือสติวินัย สติวินัยคือสมถะ.
   สมถะคืออมูฬหวินัย อมูฬหวินัยคือสมถะ.
   สมถะคือปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะคือสมถะ.
   สมถะคือตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกาคือสมถะ.
   สมถะคือติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะคือสมถะ.
 สมถะเหล่านี้ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะเป็นสมถะ, มิใช่เป็นสัมมุขาวินัย, สัมมุขาวินัยเป็นสมถะและเป็นสัมมุขาวินัย.
 สมถะเหล่านี้ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัยเป็นสมถะ, มิใช่เป็นเยภุยยสิกา, เยภุยยสิกาเป็นสมถะและเป็นเยภุยยสิกา.
 สมถะเหล่านี้ คือ อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกาเป็นสมถะ, มิใช่เป็นสติวินัย, สติวินัยเป็นสมถะและเป็นสติวินัย.
 สมถะเหล่านี้ คือ ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัยเป็นสมถะ, มิใช่เป็นอมูฬหวินัย, อมูฬหวินัยเป็นสมถะและเป็นอมูฬหวินัย.
 สมถะเหล่านี้ คือ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัยเป็นสมถะ, มิใช่เป็นปฏิญญาตกรณะ, ปฏิญญาตกรณะเป็นสมถะและเป็น ปฏิญญาตกรณะ.
 สมถะเหล่านี้ คือ ติณวัตถารกะ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะเป็นสมถะ, มิใช่เป็นตัสสปาปิยสิกา, ตัสสปาปิยสิกาเป็นสมถะและเป็น ตัสสปาปิยสิกา.
 สมถะเหล่านี้ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกาเป็นสมถะ, มิใช่เป็นติณวัตถารกะ, ติณวัตถารกะเป็นสมถะและเป็นติณวัตถารกะ.
   [๘๙๕] วินัยคือสัมมุขาวินัย สัมมุขาวินัยคือวินัย. วินัยคือเยภุยยสิกา เยภุยยสิกาคือวินัย. วินัยคือสติวินัย สติวินัยคือวินัย วินัยคืออมูฬหวินัย อมูฬหวินัยคือวินัย. วินัยคือปฏิญญาตกรณะ ปฏิญญาตกรณะคือวินัย. วินัยคือตัสสปาปิยสิกา ตัสสปาปิยสิกาคือวินัย. วินัยคือติณวัตถารกะ ติณวัตถารกะคือวินัย.  สมถสัมมุขาวินัยวารที่ ๑๑ จบ
วินัยวารที่ ๑๒
   [๘๙๖] วินัย บางอย่างเป็นสัมมุขาวินัย บางอย่างไม่เป็นสัมมุขาวินัย, สัมมุขาวินัยเป็นวินัย และเป็นสัมมุขาวินัย.
   วินัยบางอย่างเป็นเยภุยยสิกา บางอย่างไม่เป็นเยภุยยสิกา, เยภุยยสิกาเป็นวินัย และเป็นเยภุยยสิกา.
   วินัยบางอย่างเป็นสติวินัย บางอย่างไม่เป็นสติวินัย, สติวินัยเป็นวินัย และเป็นสติวินัย.
   วินัยบางอย่างเป็นอมูฬหวินัย บางอย่างไม่เป็นอมูฬหวินัย, อมูฬหวินัยเป็นวินัย และเป็นอมูฬหวินัย.
   วินัยบางอย่างเป็นปฏิญญาตกรณะ บางอย่างไม่เป็นปฏิญญาตกรณะ, ปฏิญญาตกรณะเป็นวินัย และเป็นปฏิญญาตกรณะ.
   วินัยบางอย่างเป็นตัสสปาปิยสิกา บางอย่างไม่เป็นตัสสปาปิยสิกา, ตัสสปาปิยสิกาเป็นวินัย และเป็นตัสสปาปิยสิกา.
   วินัยบางอย่างเป็นติณวัตถารกะ บางอย่างไม่เป็นติณวัตถารกะ, ติณวัตถารกะเป็นวินัยและเป็นติณวัตถารกะ.  วินัยวารที่ ๑๒ จบ
กุศลวารที่ ๑๓
[๘๙๗] สัมมุขาวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 เยภุยยสิกา เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 สติวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 อมูฬหวินัย เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 ปฏิญญาตกรณะ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 ตัสสปาปิยสิกา เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
 ติณวัตถารกะ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
      สัมมุขาวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต, สัมมุขาวินัยเป็นอกุศล ไม่มี.
      เยภุยยสิกา บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      สติวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      อมูฬหวินัย บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      ปฏิญญาตกรณะ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      ตัสสปาปิยสิกา บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      ติณวัตถารกะ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      [๘๙๘] วิวาทาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต. อนุวาทาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต. อาปัตตาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต. กิจจาธิกรณ์ เป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต.
      วิวาทาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      อนุวาทาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.
      อาปัตตาธิกรณ์ บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต. อาปัตตาธิกรณ์ เป็นกุศลไม่มี.
      กิจจาธิกรณ์ บางทีเป็นกุศล บางทีเป็นอกุศล บางทีเป็นอัพยากฤต.    กุศลวารที่ ๑๓ จบ
จักรเปยยาล ยัตถวารที่ ๑๔
   [๘๙๙] เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด เยภุยยสิกาใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะไม่ได้.
   สติวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สติวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะและเยภุยยสิกาไม่ได้.
   อมูฬหวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด อมูฬหาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา และสติวินัยไม่ได้.
   ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด ปฏิญญาตกรณะใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย และอมูฬหวินัยไม่ได้.
   ตัสสปาปิยสิกาใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด ตัสสปาปิยสิกาใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และปฏิญญาตกรณะไม่ได้.
   ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยใช้ได้ ณ ที่ใด ติณวัตถารกะใช้ได้ ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นใช้เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกาไม่ได้.
   [๙๐๐] เยภุยยสิกามี ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยมี ณ ที่ใด เยภุยยสิกามี ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นไม่มีสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ.
   สติวินัยมี ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยมี ณ ที่ใด สติวินัยมี ณ ที่นั้น ณ ที่นั้นไม่มีอมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกา คือ (จัดสัมมุขาวินัยเป็นมูล) ... ติณวัตถารกะมี ณ ที่ใด สัมมุขาวินัยมี ณ ที่นั้น สัมมุขาวินัยมี ณ ที่ใด ติณวัตถารกะมี ณ ที่นั้น
   ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๖ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑.
   ถ. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๓ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๗ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๗ อย่าง คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.    สัมมันติวาร ที่ ๑๗ จบ
สัมมันตินสัมมันติวาร ที่ ๑๘
   [๙๐๔] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร? อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร? อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร? กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑
   อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑.
   กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ สัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยสมถะ ๖ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์กับอนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑
   ถ. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๕ คือ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อนุวาทาธิกรณ์กับอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๖ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ เยภุยยสิกา.
   ถ. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อนุวาทาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ เยภุยยสิกา ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อาปัตตาธิกรณ์กับกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และอาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๗ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๕ คือสัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑  ตัสสปาปิยสิกา ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
   ถ. อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ ๖ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑ ไม่ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ เยภุยยสิกา.
   ถ. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะเท่าไร ไม่ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
   ต. วิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ และกิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๗ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ตัสสปาปิยสิกา ๑ ติณวัตถารกะ ๑.  สัมมันตินสัมมันติวาร ที่ ๑๘ จบ
สมถาธิกรณวาร ที่ ๑๙
   [๙๐๕] ถามว่า สมถะระงับด้วยสมถะ สมถะระงับด้วยอธิกรณ์ อธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์ระงับด้วยอธิกรณ์ หรือ?
   ตอบว่า สมถะบางอย่างระงับด้วยสมถะ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ สมถะบางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
   [๙๐๖] ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างระงับด้วยสมถะ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ?
   ตอบว่า เยภุยยสิกา ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ.
   สติวินัย ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยอมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ และเยภุยยสิกา.
   อมูฬหวินัย ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา และสติวินัย.
   ปฏิญญาตกรณะ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย และอมูฬหวินัย.
   ตัสสปาปิยสิกา ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และปฏิญญาตกรณะ.
   ติณวัตถารกะ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ และตัสสปาปิยสิกา.
   อย่างนี้ สมถะบางอย่างระงับด้วยสมถะ อย่างนี้ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ.
   [๙๐๗] ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างไร สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์?
   ตอบว่า สัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   เยภุยยสิกา ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   สติวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   อมูฬหวินัย ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   ปฏิญญาตกรณะ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   ตัสสปาปิยสิกา ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   ติณวัตถารกะ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   อย่างนี้ สมถะบางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างนี้ สมถะบางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
   [๙๐๘] ถามว่า อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ?
    ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย และเยภุยยสิกา ไม่ระงับด้วยสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ.
    อนุวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย และตัสสปาปิยสิกาไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ และติณวัตถารกะ.
    อาปัตตาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ และติณวัตถารกะ ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย และตัสสปาปิยสิกา.
    กิจจาธิกรณ์ ระงับด้วยสัมมุขาวินัย ไม่ระงับด้วยเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา และติณวัตถารกะ.
    อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยสมถะ อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยสมถะ.
   [๙๐๙] ถามว่า อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์ อย่างไร อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์?
   ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
   อนุวาทาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
             อาปัตตาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
             กิจจาธิกรณ์ ไม่ระงับด้วยวิวาทาธิกรณ์ อนุวาทาธิกรณ์ อาปัตตาธิกรณ์ แต่ระงับด้วยกิจจาธิกรณ์.
             อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างระงับด้วยอธิกรณ์. อย่างนี้ อธิกรณ์บางอย่างไม่ระงับด้วยอธิกรณ์.
             [๙๑๐] สมถะทั้ง ๖ อย่าง อธิกรณ์ทั้ง ๔ อย่าง ระงับด้วยสัมมุขาวินัย แต่สัมมุขาวินัย
ไม่ระงับด้วยอะไร.
                            สมถาธิกรณวาร ที่ ๑๙ จบ
             ๕สมุฏฐานปติวาร ที่ ๒๐
             [๙๑๑] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด?
             ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือวิวาทาธิกรณ์
อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดขึ้นได้.
             มีอุปมาเหมือนอะไร?
             เหมือนภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมวิวาทกันว่า
             นี้ เป็นธรรม นี้ ไม่เป็นธรรม
             นี้ เป็นวินัย นี้ ไม่เป็นวินัย
             นี้ พระตถาคตเจ้าตรัสภาษิตไว้ นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ตรัสภาษิตไว้
             นี้ พระตถาคตเจ้าทรงประพฤติมา นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงประพฤติมา
             นี้ พระตถาคตเจ้าทรงบัญญัติไว้ นี้ พระตถาคตเจ้าไม่ได้ทรงบัญญัติไว้
             นี้ เป็นอาบัติ นี้ ไม่เป็นอาบัติ
             นี้ เป็นอาบัติเบา นี้ เป็นอาบัติหนัก
             นี้ เป็นอาบัติที่มีส่วนเหลือ นี้ เป็นอาบัติหาส่วนเหลือมิได้
             นี้ เป็นอาบัติชั่วหยาบ นี้ เป็นอาบัติไม่ชั่วหยาบ
             ความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความทุ่มเถียง การกล่าวต่างกัน การ
กล่าวโดยประการอื่น การพูดเพื่อความกลัดกลุ้มใจ ความหมายมั่นในเรื่องนั้น อันใด นี้เรียกว่า
วิวาทาธิกรณ์. สงฆ์วิวาทกันในวิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์. เมื่อวิวาทกัน ย่อมโจท
จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์. เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์. สงฆ์ทำกรรมตามอาบัตินั้น
จัดเป็นกิจจาธิกรณ์.
             เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
             [๙๑๒] ถามว่า อนุวาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด?
             ตอบว่า อนุวาทาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือ
อนุวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้.
             มีอุปมาเหมือนอะไร?
             เหมือนภิกษุทั้งหลายในธรรมวินัยนี้ ย่อมโจทภิกษุด้วยศีลวิบัติ อาจารวิบัติ ทิฏฐิวิบัติ
หรืออาชีววิบัติ การโจท การกล่าวหา การฟ้องร้อง การประท้วง ความเป็นผู้คล้อยตาม การ
ทำความอุตสาหะโจท การตามเพิ่มกำลังให้ ในเรื่องนั้น อันใด นี้เรียกว่า อนุวาทาธิกรณ์.
             สงฆ์ย่อมวิวาทกันในอนุวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์. เมื่อวิวาทย่อมโจท จัดเป็น
อนุวาทาธิกรณ์. เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์. สงฆ์ทำกรรมตามอาบัตินั้น
จัดเป็นกิจจาธิกรณ์.
             เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้.
             [๙๑๓] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด?
             ตอบว่า อาปัตตาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือ
อาปัตตาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดขึ้นได้.
             มีอุปมาเหมือนอะไร?
             เหมือนกองอาบัติทั้ง ๕ ชื่ออาปัตตาธิกรณ์ กองอาบัติทั้ง ๗ ก็ชื่ออาปัตตาธิกรณ์ นี้
เรียกว่า อาปัตตาธิกรณ์.
             สงฆ์ย่อมวิวาทกันในอาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ เมื่อวิวาท ย่อมโจท จัดเป็น
อนุวาทาธิกรณ์. เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์. สงฆ์ย่อมทำกรรมตามอาบัตินั้น
จัดเป็นกิจจาธิกรณ์.
ค้นหาหนังอนงค์ (2024)  Home > Comedy หนังตลกขำขัน 2024 |HD THAI
อนงค์ (2024) My Boo
“โจ” เกมเมอร์หนุ่มดวงตก ได้รับมรดกเป็นบ้านที่มีผีเจ้าของ
บ้านคนเก่า “อนงค์” แถมมาด้วย แต่คนก็ไม่ยอมหนี ผีก็
ไม่ยอมไป คนกับผีเลยจับมือกันเปิดบ้านผีสิงให้คนมาเที่ยว
เล่นแถมยังได้เห็นความน่ารักของผีบ้านนี้มากขึ้นทุกวัน
จนเกิดเป็นความรัก
เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้. [๙๑๔] ถามว่า กิจจาธิกรณ์ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด? ตอบว่า กิจจาธิกรณ์ไม่ยังอธิกรณ์ ๔ ข้อไหนให้เกิด แต่เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้. มีอุปมาเหมือนอะไร? เหมือนความมีแห่งกรรมที่จะพึงทำ ความมีแห่งกิจที่จะต้องทำ แห่งสงฆ์ อันใด คือ อปโลกนกรรม ญัตติกรรม ญัตติทุติยกรรม ญัตติจตุตถกรรม นี้เรียกว่า กิจจาธิกรณ์. สงฆ์ย่อมวิวาทกันในกิจจาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์. เมื่อวิวาท ย่อมโจท จัดเป็น อนุวาทาธิกรณ์. เมื่อโจท ย่อมต้องอาบัติ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์. สงฆ์ย่อมทำกรรมตามอาบัติ นั้น จัดเป็นกิจจาธิกรณ์. เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ อธิกรณ์ทั้ง ๔ ย่อมเกิดได้อย่างนี้. สมุฏฐาเปติวาร ที่ ๒๐ จบ  สมถเภท 
             [๙๑๕] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน? แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน?
นับเนื่องถึงอธิกรณ์ข้อไหน? สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน?
             อนุวาทาธิกรณ์จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน? แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน? นับเนื่องถึง
อธิกรณ์ข้อไหน? สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน?
             อาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน? แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน? นับเนื่องถึง
อธิกรณ์ข้อไหน? สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน?
             กิจจาธิกรณ์ จัดเป็นอธิกรณ์ ๔ ข้อไหน? แอบอิงอธิกรณ์ข้อไหน? นับเนื่องถึง
อธิกรณ์ข้อไหน? สงเคราะห์ด้วยอธิกรณ์ข้อไหน?
             ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ จัดเป็นวิวาทาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. แอบอิงวิวาทาธิกรณ์
นับเนื่องถึงวิวาทาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยวิวาทาธิกรณ์.
             อนุวาทาธิกรณ์ จัดเป็นอนุวาทาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. แอบอิงอนุวาทาธิกรณ์
นับเนื่องถึงอนุวาทาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยอนุวาทาธิกรณ์.
             อาปัตตาธิกรณ์ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. แอบอิงอาปัตตาธิกรณ์ นับ
เนื่องถึงอาปัตตาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยอาปัตตาธิกรณ์.
             กิจจาธิกรณ์ จัดเป็นกิจจาธิกรณ์บรรดาอธิกรณ์ ๔. แอบอิงกิจจาธิกรณ์ นับเนื่องถึง
กิจจาธิกรณ์ สงเคราะห์ด้วยกิจจาธิกรณ์.
             [๙๑๖] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? อิงอาศัยสมถะ
เท่าไร? นับเนื่องในสมถะเท่าไร? สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร? ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
             อนุวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? อิงอาศัยสมถะเท่าไร? นับ
เนื่องในสมถะเท่าไร? สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร? ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
             อาปัตตาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? อิงอาศัยสมถะเท่าไร? นับ
เนื่องในสมถะเท่าไร? สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร? ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
             กิจจาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗? อิงอาศัยสมถะเท่าไร? นับเนื่อง
ในสมถะเท่าไร? สงเคราะห์ด้วยสมถะเท่าไร? ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
             ตอบว่า วิวาทาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๒ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๒ นับเนื่อง
ในสมถะ ๒ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๒ ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ สัมมุขาวินัย ๑ เยภุยยสิกา ๑.
             อนุวาทาธิกรณ์  บ่งถึงสมถะ ๔ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๔ นับเนื่องในสมถะ
๔ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ สัมมุขาวินัย ๑ สติวินัย ๑ อมูฬหวินัย ๑
ตัสสปาปิยสิกา ๑.
             อาปัตตาธิกรณ์  บ่งถึงสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๓ นับเนื่องในสมถะ
๓ สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๓ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ สัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณ-
*วัตถารกะ ๑.
             กิจจาธิกรณ์ บ่งถึงสมถะ ๑ บรรดาสมถะ ๗ อิงอาศัยสมถะ ๑ นับเนื่องในสมถะ ๑
สงเคราะห์ด้วยสมถะ ๑ ระงับด้วยสมถะ ๑ คือ สัมมุขาวินัย.
                           สมถเภท จบ
               วีสติวาร จบ
หัวข้อประจำวาร 
             [๙๑๗] ปริยายวาร ๑ สาธารณวาร ๑ ตัพภาคิยวาร ๑ สมถสาธารณวาร ๑ สมถตัพ
ภาคิยวาร ๑ สมถสัมมุขาวินัยวาร ๑ วินัยวาร ๑ กุศลวาร ๑ ยัตถวาร ๑ สมยวาร ๑ สังสัฏฐวาร ๑
สัมมันติวาร ๑ นสัมมันติวาร ๑ สมถาธิกรณวาร ๑ สมุฏฐาเปติวาร ๑ อธิกรณ์บ่งถึงอธิกรณ์ ๑ฯ
                            หัวข้อประจำวาร จบ

02 กุมภาพันธ์ 2568

‘’บุญ”

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
   ผู้ที่เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรมว่ากรรมดีนั้น ย่อมมีผลตอบสนองดี คือความสุขความสวัสดีแก่ผู้กระทำ กรรมชั่วมีผลตอบสนองในด้านที่ไม่ดีแก่ผู้กระทำ คือ ความทุกข์ความเดือดร้อน ย่อมเป็นผู้รู้จักหลีกเลี่ยงการทำกรรมชั่ว ขวนขวายทำกรรมดี กรรมดี ก็คือบุญ นั่นเอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่มีศรัทธา พร้อมทั้งมีความรู้ถูกต้อง  ในเรื่องกรรมดีกรรมชั่ว ย่อมรู้จักทำสิ่งที่เป็นบุญ 
      “บุญ” เป็นธรรมชาติฝ่ายตรงข้ามกับ”บาป” มิใช่เป็นฝ่ายตรงข้ามกับ”กรรม” ผู้ที่ไม่ได้เรียน ไม่ได้สดับฟังเรื่องบุญ ก็จะเข้าใจเกี่ยวกับคำว่าบุญไขว้เขว
      คำว่า “บุญ” ก็เข้าใจไปอย่างหนึ่ง คำว่า “กรรม” ก็เข้าใจไปอย่างหนึ่ง
      คำว่า “กรรม” ก็เข้าใจไปอย่างหนึ่ง คือ เข้าใจว่า ถ้าเป็นการทำไม่ดีแล้วก็เรียกว่า “กรรม” ถ้าเป็นการทำดีจึงจะเรียกว่า “บุญ” จึงมักพูดคู่กันไปว่า “บุญกรรม” หรือ “แล้วแต่บุญแต่กรรม” อย่างนี้ เป็นต้น ทำให้คนฟันหรือคนอ่านได้ยินหรือไปเห็นข้อเห็นเช่นนี้ ก็มักเข้าใจผิดว่า บุญเป็นฝ่ายดี ส่วนกรรม
เป็นฝ่ายชั่ว เกิดความเข้าใจผิดแน่ชัดยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อมีการกล่าวแยกกันเป็นแต่ละอย่าง คือ เวลาพูดถึงกรรมอย่างเดียว จะพูดถึงในด้านที่ไม่ดีแน่นอน เช่นว่า “คนนั้นทำกรรมเอาไว้มาก เวลานี้ได้รับความทุกข์ความเดือดร้อน นั่นเป็นเพราะกรรมตามสนอง” แต่เวลาพูดถึงสิ่งที่ทำให้คนนั้นคนนี้มีความสุขความสวัสดี
จะพูดถึงแต่บุญเดียวว่า “เขาเป็นคนมีบุญเสียจริงหนอ” อย่างนี้ เป็นต้น 
      นี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นชัดว่า..... แม้แต่ชื่อ แม้แต่ศัพท์ ก็ยังขาดความเข้าใจที่ถูกต้อง บุญนั้นหาได้คู่กับกรรมไม่ บุญมาคู่กับบาปต่างหาก ส่วนกรรมคือการกระทำเป็นคำกลางๆ ดีก็ได้ ถ้าการกระทำนั้นดี เป็นกรรมดี ก็เรียกว่า “กุศลกรรม” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “บุญ” ให้ผลเป็นสุข ถ้าการกระทำนั้น
ไม่ดีหรือชั่ว เป็นกรรมชั่ว ก็เรียกว่า “อกุศลกรรม” หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า “บาป” ให้ผลเป็นทุกข์เพราะฉะนั้น บุญก็คือกรรมดีนั่นเอง ส่วนบาปคือกรรมชั่ว 
      เรื่องเกี่ยวกับบุญ ยังมีการเข้าใจผิดไปอีกประการหนึ่งว่า ถ้าหากได้ให้แก่คนที่น่าเคารพน่าบูชา เช่น พ่อแม่ ครูอาจารย์ หรือพระภิกษุสงฆ์ จึงจะเรียกว่า “บุญ” แต่ถ้าหากเป็นการให้แก่คนทั่วๆ ไปที่ไม่ใช่เป็นคนที่น่าเคารพน่าบูชาหรือน่าสรรเสริญ เช่น ให้แก่คนขอทาน เป็นต้น ก็จะเรียกว่า “ทาน” แสดงว่ามี
ความเข้าใจว่า บุญก็อย่างหนึ่ง ทานก็อย่างหนึ่ง นี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า คนไทยผู้นับถือพระพุทธศาสนา แม้ประสงค์จะทำบุญ... หลีกเลี่ยงบาป แต่ก็หาได้รู้จักบุญ-บาปเท่าที่ควรไม่ การที่พูดว่า “อย่าคิดแต่ทำบุญอย่างเดียวเลย โปรดคิดทำทานด้วยเถิดคนที่ยากไร้อนาถารอรับการช่วยเหลือยังมีอยู่มากมาย”
อย่างนี้เป็นต้นนั้น แสดงว่าคนพูดเข้าใจว่า ทานเป็นคนละอย่างกับบุญแน่ ๆ และทานเป็นของต่ำกว่าบุญ 

ทาน เป็นบุญอย่างหนึ่งแห่งบุญ 10 อย่าง

      ในตำราทางพุทธศาสนา ท่านกล่าวว่า บุญมี 10 อย่าง ทานก็เป็นอย่างหนึ่งในบรรดาบุญ 10 อย่าง เพราะฉะนั้น ทานก็ไม่ได้แยกไปต่างหากจากบุญ เป็นเพียงประเภทหนึ่งของบุญเท่านั้น บุญยังมีมากกว่าทานอีก กล่าวคือ ศีลก็เป็นบุญ ภาวนาก็เป็นบุญ เพราะฉะนั้นจะพูดแยกได้อย่างไรว่า ถ้าหากให้แก่คน
      ขอทานก็เรียกให้ทาน ถ้าถวายพระก็เรียกว่าทำบุญ นอกจากจะไม่ทราบความหมายของบุญของทานแล้ว ก็ยังบอกให้ทราบถึงความเข้าใจผิดอีกประการหนึ่งว่า บุญนั้นเป็นเรื่องของการให้เท่านั้น ถ้าไม่มีอะไรจะให้ใคร โดยเฉพาะพระก็ไม่เรียกว่าเป็นการทำบุญ ความเข้าใจผิดเช่นนี้ไม่ทราบว่าได้มาจากไหน เห็นทีว่าคงจะ
ได้มาจากพระภิกษุนั่นแหละ เพราะท่านมักสอนอย่างนี้ คือ เวลาสอนให้ฆราวาสทำบุญ ก็มักจะแนะนำให้เขาสละ ให้บริจาค ไม่ค่อยชี้แนะให้เขาบำเพ็ญบุญ ในด้านอื่นเลย เช่น ให้รักษาศีล อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ เป็นต้น มีแต่เรียกร้องให้เขาสละและบริจาค บอกว่าอย่างนี้แหละเป็นการทำบุญ เป็นอันว่าไม่ถูกต้อง
      คนฟังก็พลอยได้ความรู้ที่ผิดๆ ไปด้วย
      ถ้าหากถือเอาตามนั้น เชื่อตามนั้น ความจริงจะให้แก่พระภิกษุก็ตาม ให้แก่คนขอทานก็ตาม ให้แก่ใครๆ ก็ตาม เมื่อเป็นการให้ก็ชื่อว่าทานทั้งนั้น เป็นบุญอย่างหนึ่งในบรรดา 10 อย่าง คำว่า “ทาน “ นี้ บางทีไม่ต้องอาศัยสิ่งของเลยก็เป็นทานได้ ในที่นี้จะกล่าวในส่วนที่ยังเข้าใจคลาดเคลื่อนกันอยู่ ที่ผู้รู้ทั่วๆ
ไปไม่ค่อยจะกล่าวถึง ไม่เฉพาะคนทั่วๆ ไปเท่านั้น แม้แต่คนที่ศึกษาธรรมะเรียนพระอภิธรรม ก็ยังพูดอย่างนั้นว่า ถ้าหากไม่มีอะไรจะให้ใคร ก็ทำได้แต่บุญข้ออื่น ยกเว้นข้อทาน ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ความจริงไม่มีเงินสักบาทเดียว ไม่มีสิ่งของอะไรจะให้ใครเลย เป็นคนยากจนเข็ญใจ ก็สามารถทำทานได้ บางทีอาจจะดีกว่าเศรษฐีทั้งหลายเสียอีก ซึ่งจะได้อธิบายต่อไปนะค่ะ

บุญ 10 อย่าง

      เนื่องจากยังมีความเข้าใจเรื่องบุญสับสนอยู่มาก จึงขอโอกาสอธิบายตามที่ได้ค้นมาจากตำราทางพระพุทธศาสนา ว่าบุญมี 10 อย่าง ดังนี้ คือ  ทาน การให้ รวมทั้งการแบ่งปัน 
   ศีล ความไม่ประพฤติละเมิด คือความสำรวมทางกาย ทางวาจา 
   ภาวนา คือ การอบรมจิตทางสมถะและทางวิปัสสนา ที่เรียกว่า สมถะภาวนาและวิปัสสนาภาวนา 
   อปจายนะ แปลว่า ความเป็นผู้นอบน้อม คือการนอบน้อมต่อผู้ที่ควรนอบน้อม
   เวยยาวัจจะ ได้แก่การขวนขวายในกิจที่ควรทำ 
   ปัตติทาน การให้บุญที่ตนถึงแล้วแก่คนอื่น 
   ปัตตานุโมทนา คือ อนุโมทนา ได้แก่ยินดีด้วย ในบุญที่คนอื่นเขาถึงแล้วคือทำแล้ว 
      ธัมมัสสวนะ ธัมมัสสวนะ การฟังธรรม 
      ธัมมเทศนา การแสดงธรรม 
   ทิฏฐุชุกรรม แปลว่า การกระทำความเห็นให้ตรง เป็นเพียงโวหาร ความจริงก็คือ สัมมาทิฏฐิความเห็นชอบ นั่นเอง ในที่บางแห่งจึงใช้คำว่า “สัมมาทิฏฐิ” 
      จะเห็นว่า บุญมีมากมาย รวมทั้งทานนี้ด้วย ขึ้นชื่อว่า “บุญ” ย่อมสงเคราะห์ในบุญกิริยา 10 นี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง บุญอื่นนอกไปจากบุญ 10 อย่างนี้ ไม่มีอีกแล้ว

ความหมายของคำว่า บุญ

   คำว่า “บุญ” มาจากศัพท์ “ปุญฺญ” มาจาก ปุ ธาตุ ที่แปลว่า “ชำระ” เพราะฉะนั้น ท่านจึงได้ทำความหมายของคำไว้ว่า อตฺตสนฺตานํ ปุนาติ โสเธตีติ ปุญฺญํ แปลว่า ชื่อว่า บุญ เพราะมีความหมายว่า “ชำระ” ดังนี้ ชำระในที่นี้ ก็คือทำให้หมดจด คือทำสันดานของตนให้หมดจดจากมลทิน เครื่องเศร้าหมอง
อันได้แก่ ราคะ โทสะ โมหะ มลทิน ก็คือ สนิม เครื่องเศร้าหมอง หรือเครื่องแปดเปื้อนสันดานในที่นี้ คือ จิตสันดาน ความสืบต่อของจิตของแต่ละคน  ผู้ใดเจริญบุญทั้งหลายมีทานเป็นต้น ก็จะจะชำระสันดานของบุคคลนั้นให้หมดจด ส่วนจะหมดจดจากอะไร ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของบุญ ไม่ใช่บุญอย่างใดอย่างหนึ่ง
ก็จะทำให้จิตสันดานหมดจดจากราคะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งได้ไปเสียทั้งหมด ไม่ใช่อย่างนั้น “บุญ” มาจาก ปุร ธาตุ ที่มีอรรถว่า “เต็ม” ก็ได้ คือว่า ชื่อว่า “บุญ” โดยความหมายว่า “เป็นของที่ควรทำให้เต็ม” ก็ได้ คือ ถ้ายังไม่มีก็ทำให้มีขึ้นมา มีแล้วนิดหน่อยยังไม่เต็ม ก็ต้องทำให้เต็มให้บริบูรณ์
      เรียกว่า “บุญ” ที่ว่ามานี้เป็นเครื่องวัดประการแรกว่า การกระทำของเรานี้ควรจะเรียกว่าบุญได้หรือไม่ ความหมายทั้งสองนี้ ไม่ใช่ให้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าเป็นบุญแล้วก็ย่อมได้ความหมายทั้งสองอย่าง เป็นของที่ควรทำให้เต็มให้บริบูรณ์ด้วย เป็นเครื่องชำระจิตสันดานให้หมดจดด้วยนะค่ะ 

บุญหลักพิจารณาว่าเป็นบุญหรือไม่

   เราจะทำความดีอะไร จะเป็นทานก็ตาม เป็นศีลก็ตาม การกระทำนั้นมีลักษณะ เป็นการชำระสันดานให้หมดจดหรือไม่ ถ้าใช่ก็ชื่อว่าเป็นบุญ ถ้าไม่ใช่ก็ไม่ว่าชื่อว่าบุญ ถ้าหากว่าประกอบด้วยความต้องการแล้วจึงให้ทาน ประสงค์ผลเฉพาะหน้า ที่จะได้ในเวลานั้น เช่น ชื่อเสียงเกียรติยศ คำสรรเสริญเป็นต้นก็ย่อมไม่
เกิดการชำระจิตสันดานให้หมดจดได้  ความอยากได้เป็นราคะหรือโลภะอยู่แล้ว เพราะฉะนั้น แม้ทำแก่พระสงฆ์ หรือบริจาคให้แก่วัด ถ้าทำด้วยความต้องการ ในสิ่งที่แลกเปลี่ยนแล้ว ก็ไม่เห็นว่าจะเป็นได้อย่างไร จิตใจเสียสละไม่เกิดขึ้นเลยตั้งแต่ต้น เพราะพอมีเครื่องล่อใจจึงได้ทำ เช่นว่าทางวัดจะเรี่ยไรเอาเงินไป
ทำอะไรก็ตาม ต่อให้เป็นวัตถุปูชนียสถานทางพระพุทธศาสนา แต่มีเครื่องล่อใจ เช่นว่า ถ้าทำด้วยจำนวนเงินเท่านี้ก็จะได้เหรียญ ที่มีลักษณะอย่างนี้ มีเนื้อผสมอย่างนี้ แต่ถ้าหากทำบุญด้วยเงินมากกว่านั้นก็จะได้ของตอบแทน หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ดีกว่า อย่างนี้เป็นต้น พร้อมทั้งโฆษณาสรรพคุณในสิ่งที่จะให้ เป็น
เครื่องตอบแทน ทำให้เกิดอยากได้ พออยากได้แล้วก็บริจาคเงิน นั่นเป็นบุญที่ตรงไหนกันค่ะ บางคนบอกว่าทำเพื่อภพหน้าชาติหน้า เพราะเป็นคนเชื่อกรรมเชื่อผลของกรรม อันนี้ต้องทราบว่าทำอะไรแล้วไปสู่ภพหน้าได้ สำคัญอยู่ที่ตรงนี้ แต่นี่โลภะออกหน้าเป็นสำคัญ อย่างไร ๆ ก็ไม่ใช่บุญ เพราะว่าถ้าไม่ได้ (สิ่งล่อ) แล้วก็จะไม่ทำถ้าได้จึงจะทำ 
      อย่าลืมว่า คำว่า “บุญ” คือ ธรรมชาติ ที่ชำระจิตสันดานให้หมดจด เวลานี้เกิดความไม่หมดจดขึ้นมา .. คือเกิดความโลภขึ้นมาแล้ว บางทีเกิดความไม่หมดจดขึ้นมา คือเกิดความโลภขึ้นมาแล้ว บางทีก่อนหน้านั้นอาจจะหมดจดอยู่แล้วก็ได้ แต่พอได้ยินคำโฆษณาในคราวที่เขาเรี่ยไรต้องการเงิน ทำให้เกิดโลภ
ขึ้นมาแล้วจึงทำ ด้วยความอยากได้สิ่งตอบแทน ก็กลายเป็นว่ามีมลทินขึ้นมา เห็นชัดๆว่า เกิดราคะ เกิดความต้องการ เกิดความปรารถนาขึ้น ซึ่งก็ทราบกันอยู่ว่า เป็นลักษณะของอกุศลประเภทหนึ่ง ที่ท่านเรียกว่า "ตัณหา" เวลานั้นจิตใจไม่สะอาดหมดจดเลยแสดงว่าไม่มีบุญอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นสำคัญเอาเองว่าเป็นบุญ 
      นี่เป็นเครื่องยืนยันว่า ไม่รู้จักบุญ บุญอยู่ที่ตรงไหนก็ไม่ทราบ การให้เพราะต้องการบุญ เป็นบุญหรือไม่ ถ้าหากว่าเราไม่ต้องการวัตถุเครื่องตอบแทนเลย ต้องการบุญเท่านั้น การกระทำ (เกี่ยวกับการให้) จะนับว่าเป็นบุญหรือไม่ เช่น ได้ยินได้ฟังพระท่านเทศน์สอนว่า บุญ เป็นของที่ควรจะได้ เป็นของที่ควรปรารถนา
เป็นของดี อย่างนี้แล้วก็สละบริจาค เพราะต้องการบุญที่ท่านสรรเสริญนั้น การสละบริจาคแม้อย่างนี้ก็ไม่นับว่าเป็นบุญ เหตุใดจึงไม่นับว่าเป็นบุญทั้งๆ ที่มีการให้จริงๆ สมมุติว่าเป็นวัตถุสิ่งของ เช่น เหรียญรุ่นใดรุ่นหนึ่ง เป็นต้น ผู้บริจาคอยากได้ก็บริจาคเงิน ก็เห็นชัดว่าต้องการตอบแทน ผลอันนั้นก็พอจะมองเห็นได้ว่าไม่
หมดจด มีมลทินคือความอยากได้นั้น ถึงกระนั้นก็พึงทราบว่า แม้ทำเพราะต้องการบุญเท่านั้น การกระทำนั้นก็ไม่ชื่อว่าบุญนั่นแหละ เพราะเกิดความอยากได้บุญนั่นเอง 
      คนส่วนมากเข้าใจผิดว่า “บุญ” เป็นของดี ของวิเศษที่ควรได้อีกอย่างหนึ่ง การกระทำ (มีการให้เป็นต้น) นั้น ยังไม่ใช่ตัวบุญ เพียงแต่เป็นเหตุที่จะได้มา ซึ่งของดีของวิเศษที่เรียกว่า “บุญ” อีกทีหนึ่ง 
      ความจริง การให้นั้นนั่นแหละเป็นบุญอยู่แล้ว ทางศาสนาท่านแยกประเภทไว้แล้วว่า บุญมี 10 อย่าง มีทานเป็นต้น ทานคือการให้ พอมีการให้เกิดขึ้นก็เป็นบุญแล้ว แต่ไปเข้าใจผิดว่า การให้ก็ยังไม่ใช่บุญแต่เป็นเหตุให้ได้บุญ จึงมองบุญว่าเป็นผลที่น่าได้ขึ้นมา การกระทำจึงเกิดมลทินไม่สะอาด 
      เดี๋ยวนี้มีแต่อย่างนี้ คนบริจาคก็โลภ อยากได้ผลตอบแทน ที่เรียกว่า “บุญ” คนเรี่ยไรก็โลภ อยากเงินมาก ๆ เป็นอันว่าจิตสันดานทั้งสองฝ่ายนั้น ไม่หมดจดบริสุทธิ์เลย การเรี่ยไรเกิดขึ้นแต่ละครั้ง ก่อให้เกิดการกระทำที่เรียกว่า ไม่ใช่บุญ แต่ทว่าเป็นอกุศล คือมีโลภะเกิดขึ้น เป็นเช่นนี้จริง ๆ 
      ในตำราท่านได้กล่าวถึงบุญประเภทที่มีกิเลสแวดล้อมไว้ก็จริงอยู่.. กล่าวคือ ท่านแบ่งระยะเวลาเกี่ยวกับทาน ไว้เป็น 3 กาล คือ 
      กาลก่อนให้ อันได้แก่เวลาที่ตระเตรียมข้าวของ เครื่องอุปโภคบริโภคไว้ เพื่อจะให้แก่ผู้รับในเวลาต่อมา
      กาลกำลังให้ คือ เวลาที่มอบวัตถุทานแก่ผู้รับ มีพระภิกษุเป็นต้น 
      กาลภายหลังจากที่ได้ทำนั้น ถ้าหากก่อนหน้าจะลงมือให้จริงๆ ขณะตระเตรียมวัตถุข้าวของต่าง ๆ เพื่อถวายพระอยู่นั้น มีแต่ความอยากได้สิ่งตอบแทน คือ วัตถุมงคลต่าง ๆ คำสรรเสริญ หรือการได้ไปสวรรค์ หรือแม้แต่บุญ หลังทำก็มีแต่ความปลาบปลื้มใจ ในวัตถุมงคลที่ได้มา หรือว่าในอันจะได้ยินแต่คำสรรเสริญ จะได้ขึ้นสวรรค์ เป็นต้น 
      มีใจบริสุทธิ์ มุ่งจะสงเคราะห์ผู้รับอย่างเดียว ไม่แลเหลียวถึงผลตอบแทนเลย ก็เฉพาะในกาลกำลังให้กำลังถวาย ในมือผู้รับเพียงกาลเดียวเท่านั้น: ก็ชื่อว่าเป็นบุญนี้ มีเฉพาะในกาลที่กำลังให้ เพียงกาลเดียวเท่านั้น.. และบุญนี้ถูกแวดล้อมด้วยกิเลสที่เกิดขึ้น ในกาลก่อนหน้า..และภายหลังนั่นเอง
      บุญอย่างนี้มีอานิสงส์น้อยไม่รุ่งเรือง  แต่เท่าที่ปรากฏให้เห็นเป็นส่วนมากนั้น แม้ขณะกำลังให้ก็มีความอยากได้ออกหน้า ใจสั่นยินดีในวัตถุมงคลที่เขาหยิบยื่นมาให้ หรือไม่ก็ปลาบปลื้มในคำสรรเสริญของผู้รับ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็เป็นอันว่า หาความเป็นบุญมิได้เลยทั้ง 3 กาล
      ความเข้าใจ “บุญ” ผิด เป็นอันตราย คนที่เข้าใจว่า การทำความดี มีทานเป็นต้น จะเป็นเหตุให้ได้บุญ บุญเป็นอีกอย่างหนึ่งนอกเหนือไปจากการกระทำของเขา พวกนี้เชื่อได้เลยทีเดียวว่า ถ้าพระสอนว่า ฆ่าสัตว์ได้บุญ เขาก็จะฆ่า ถ้าสอนกันมาแต่ไหน ๆ ว่าฆ่าสัตว์ก็ได้บุญ คือได้สิ่งตอบแทนที่น่าปรารถนา
เป็นของวิเศษ เป็นมงคลชีวิต เขาก็จะฆ่าสัตว์ เพราะเขาต้องการบุญ แม้ในลัทธิศาสนาอื่นก็ยังมีการสอนว่า การฆ่าสัตว์บุชายัญเป็นบุญหรือได้บุญ. 
      ถ้าเข้าใจอย่างนี้ ถือว่าเป็นผู้ที่มืดมนในเรื่องบุญ ไม่รู้ว่าความกรุณา ความมีเมตตาเยื่อใยในชีวิตสัตว์ ไม่มีจิตคิดเบียดเบียนชีวิตสัตว์เกิดขึ้น ความสวัสดี สุคติ โลกสวรรค์ เป็นผลของบุญ เพราะฉะนั้น ความเข้าใจผิดว่าฆ่าสัตว์ได้บุญ เป็นมิจฉาทิฏฐิ แปลว่า ความเห็นผิด มีแต่จะนำมาซึ่งความทุกข์ ความเดือดร้อน

ทานการให้ – 

ทาน (การให้) เป็นไปด้วยอำนาจของเหตุ 2 อย่างคือ
                   จิตคิดบูชา         ความกรุณา 
 การให้แด่ท่านที่มีคุณทั้งหลาย เช่น พ่อ แม่ ครูอาจารย์ พระภิกษุสงฆ์ เป็นต้น ในโอกาสที่เหมาะสม ทานชนิดนี้สำเร็จเพราะจิตคิดบูชา คือบูชาคุณของบุคคล อีกอย่างหนึ่ง ให้ด้วยกรุณา คือเห็นทุกข์ของคนอื่น ก็เกิดกรุณาสงสาร ใคร่จะช่วยเหลือบำบัดทุกข์ ด้วยการให้และการแบ่งปันเครื่องอุปโภคบริโภคทรัพย์สิน
เงินทองของตนให้ไป อย่างนี้เรียกว่า ทานสำเร็จด้วยกรุณา บางสูตรกล่าวไว้ว่า แม้เมตตาก็เป็นเหตุให้คนขวนขวายในทานเหมือนกัน คือพอเกิดจิตเยื่อใจใคร่ประโยชน์สุขต่อผู้อื่น แล้วก็ให้ทาน ในเวลาให้ทาน ความเป็น“บุญ”ไม่ใช่อยู่ตรงที่เป็นสิ่งที่จะพึงได้ แต่ “บุญ” อยู่ตรงที่เหตุที่ให้ทำอย่างนั้น คือจิตใจที่คิดบูชา
บ้าง ความกรุณาสงสารบ้าง บุคคลจะรู้จักว่าเป็นบุญหรือไม่ก็ตาม ถ้าหากว่าการให้นั้นเกิดขึ้นจากเหตุเหล่านี้ ก็ชื่อว่าบุญเกิดขึ้น ก็เป็นอันว่า เมื่อมีการมอบของให้ผู้มีคุณ หรือผู้มีทุกข์.. บุญอยู่ที่จิตคิดบูชาประการหนึ่ง อยู่ที่กรุณาประการหนึ่ง ซึ่งเป็นไปร่วมกับเจตนาที่คิดสละ 
   จริงอยู่ ที่ท่านบอกว่า เจตนาที่คิดสละบริจาค เรียกว่า “ทาน” แต่ทั้งนี้จะต้องไปเป็น ไปร่วมกับความคิดบูชาหรือความกรุณาอย่างใดอย่างหนึ่ง เจตนานั้นถึงจะนับว่า เป็นทานได้ เพราะถ้าสละด้วยความคิดอย่างอื่น เช่น เพื่อเป็นที่โปรดปรานของผู้รับ เป็นต้น ก็ไม่ชื่อว่า ทาน” เมื่อไม่เป็นทานก็ไม่ชื่อว่า “บุญ”

ทานที่ไม่ต้องอาศัยสิ่งของ

      มีทานที่ไม่ต้องอาศัยวัตถุสิ่งของ นั่นคือ การให้ความรู้แก่คนอื่นในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เป็นประโยชน์ เป็นการให้ความรู้เป็นทาน สงเคราะห์เป็น “ธรรมทาน” อีกอย่างหนึ่ง สมมุติว่ามีผู้ประพฤติผิด ผู้อยู่ในฐานะที่จะลงโทษได้ จะเอาชีวิตเขาก็ได้ เกิดกรุณาสงสารว่า ครอบครัวผู้ทำผิดจะพลอดเดือดร้อน ไปด้วย
ก็งดเว้นไม่เอาชีวิต เรียกว่า “อภัยทาน” แม้การให้อย่างอื่น เช่น ให้แรงกายของตน ก็ชื่อว่าทาน บุญไม่ขึ้นกับจำนวนเงินหรือปริมาณสิ่งของที่ให้ บุญที่เกี่ยวกับทานนี้ จะนับว่ามากน้อย ไม่ได้อยู่ที่จำนวนเงินหรือปริมาณสิ่งของที่สละ ให้แก่คนอื่นเลย ให้มากได้บุญน้อยก็มี ให้น้อยได้บุญมากก็มี ดังเรื่องในธรรมบทว่า
      มีเศรษฐีผู้หนึ่ง มีทรัพย์หลายสิบโกฏิ ปรารถนาจะทำบุญ ถวายภัตตาหารพระภิกษุสงฆ์แต่ทว่า ถ้าจะทำด้วยตนเอง ก็ต้องขวนขวายมาก ต้องตื่นแต่เช้า มาจัดแจงสำรับข้าวปลาอาหารเป็นต้น จึงมอบให้บ่าว (คนรับใช้) ทำแทนทุกอย่าง รวมทั้งอาหารหวานคาว สำหรับถวายพระภิกษุสงฆ์ ต่อมาทั้งสองคน
ได้ละโลกนี้ไปแล้ว นายได้เข้าถึงสวรรค์ชั้นต่ำ แต่บ่าวได้เข้าถึงสวรรค์ชั้นสูง ทั้งๆ ที่บ่าวไม่ต้องจ่ายเงินในการนี้เลย 
      นี้เป็นเครื่องชี้ให้เห็นว่า จิตใจในการให้นั้นสำคัญกว่าวัตถุ เนื่องจากบ่าวกระตือรือร้นและมีความเลื่อมใสเต็มเปี่ยม ส่วนนายนั้นแม้มีจิตทำบุญ แต่กลัวลำบาก ถ้าหากต้องลงมือทำเอง แสดงว่าศรัทธา ความขวนขวายในการบุญมีกำลังน้อยนิดบุญของ 2 คนนี้ จึงส่งผลให้ไปสวรรค์ชั้นที่ต่างกัน 
      เพราะฉะนั้น บุญจะได้มากหรือน้อย ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนเงินทองเลย บางคนไม่ได้ทำ ไม่มีโอกาสทำ หรือไม่มีเงินทองจะทำ แต่เห็นคนอื่นทำ แล้วเกิดจิตอนุโมทนาเปี่ยมล้นว่า คนผู้นี้ได้ถวายอาหารหวานคาว ใส่บาตรพระที่เป็นพระอรหันต์ นึกอนุโมทนาและยินดีด้วยกับคนที่มีโอกาส ได้ใส่บาตรให้พระอรหันต์
กำลังของบุญ คือ อนุโมทนาของเขา มีกำลังมากว่าของผู้ใส่บาตรก็ได้ ซึ่งเห็นว่าเป็นเพียงพระทั่วๆ ไปที่ไม่ต่างจากรูปอื่น เป็นต้น ท่านจะได้เข้าใจหลักของกรรมและการกระทำทานที่มีประโยชน์ได้อย่างชัดเจน
จากที่มา : ขอขอบคุณ อ.บุษกร เมธางกูร ประธาน มูลนิธิอภิธรรมมูลนิธิ Go back to the Main Page 
Last updated: 07/10/03

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร วีสติวาร อธิกรณปัจจยวาร ที่ ๕ ปริยายวาร ที่ ๖ สาธารณวารที่ ๗ ตัพภาคิยวารที่ ๘ วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
อธิกรณปัจจยวาร ที่ ๕
   [๘๗๘] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
 ตอบว่า เพราะปัจจัย คือวิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ คือ
   ๑. ด่าอุปสัมบัน ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
   ๒. ด่าอนุปสัมบัน ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ วิวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๒ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติหนึ่ง บรรดาวิบัติ ๔ คืออาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๒ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิดแต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต
มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจา และจิต ๑. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๗๙] ถามว่า พระปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
 ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๓ คือ
๑. ภิกษุโจทภิกษุด้วยปาราชิกธรรมอันไม่มีมูล ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
๒. โจทด้วยอาบัติสังฆาทิเสสอันไม่มีมูล ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
๓. โจทด้วยอาจารวิบัติอันไม่มีมูล ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ อนุวาทาธิกรณ์ต้องอาบัติ ๓ เหล่านี้.
 ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๓ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐาน ๓ บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ บางทีเกิด
แต่กายกับจิต มิใช่วาจา ๑ บางทีเกิดแต่วาจากับจิต มิใช่กาย ๑ บางทีเกิดแต่กาย วาจาและจิต ๑ จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑.
   [๘๘๐] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ คือ
 ๑. ภิกษุณีรู้อยู่ปกปิดปาราชิกธรรม ต้องอาบัติปาราชิก.
 ๒. สงสัยปกปิด ต้องอาบัติถุลลัจจัย.
 ๓. ภิกษุปกปิดอาบัติสังฆาทิเสส ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
 ๔. ปกปิดอาจารวิบัติ ต้องอาบัติทุกกฏ.
เพราะปัจจัย คือ อาปัตตาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๔ เหล่านี้.
   ถามว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
   ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๔ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ. เกิดด้วยสมุฏฐานอันหนึ่ง
บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจาและจิต. จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
   [๘๘๑] ถามว่า เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติเท่าไร?
ตอบว่า เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ คือ
 ๑. ภิกษุณีประพฤติตามภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร ไม่สละกรรมเพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ จบญัตติ เป็นทุกกฏ.
 ๒. จบกรรมวาจา ๒ ครั้ง เป็นถุลลัจจัย.
 ๓. จบกรรมวาจาครั้งสุดท้าย ต้องอาบัติปาราชิก
 ๔. ภิกษุประพฤติตามภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ ไม่สละกรรมเพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติสังฆาทิเสส.
 ๕. ไม่สละทิฏฐิลามก เพราะสวดประกาศห้ามครบ ๓ จบ ต้องอาบัติปาจิตตีย์.
เพราะปัจจัย คือ กิจจาธิกรณ์ ต้องอาบัติ ๕ เหล่านี้.
   ถามว่า อาบัติเหล่านั้น จัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? ... ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
   ตอบว่า อาบัติเหล่านั้นจัดเป็นวิบัติ ๒ บรรดาวิบัติ ๔ คือ บางทีเป็นศีลวิบัติ บางทีเป็นอาจารวิบัติ. สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติ ๕ บรรดากองอาบัติ ๗ คือ บางทีด้วยกองอาบัติปาราชิก บางทีด้วยกองอาบัติสังฆาทิเสส บางทีด้วยกองอาบัติถุลลัจจัย บางทีด้วยกองอาบัติปาจิตตีย์ บางทีด้วยกองอาบัติทุกกฏ.
   เกิดด้วยสมุฏฐานหนึ่ง บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ คือ เกิดแต่กายวาจา และจิต จัดเป็นอาปัตตาธิกรณ์ บรรดาอธิกรณ์ ๔. ระงับด้วยสมถะ ๓ บรรดาสมถะ ๗ คือ บางทีด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญตกรณะ ๑ บางทีด้วยสัมมุขาวินัยกับติณวัตถารกะ ๑
   [๘๘๒] ถามว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัตินอกนั้นจัดเป็นวิบัติเท่าไร บรรดาวิบัติ ๔? สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติเท่าไร บรรดากองอาบัติ ๗? เกิดด้วยสมุฏฐานเท่าไร บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖? จัดเป็นอธิกรณ์อะไร บรรดาอธิกรณ์ ๔? ระงับด้วยสมถะเท่าไร บรรดาสมถะ ๗?
 ตอบว่า เว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสีย อาบัตินอกนั้นไม่จัดเป็นวิบัติข้อไหนบรรดาวิบัติ ๔ ไม่สงเคราะห์ด้วยกองอาบัติไหน บรรดากองอาบัติ ๗ ไม่เกิดด้วยสมุฏฐานไหน บรรดาสมุฏฐานอาบัติ ๖ ไม่จัดเป็นอธิกรณ์ข้อไหน บรรดาอธิกรณ์ ๔ ไม่ระงับด้วยสมถะข้อไหน บรรดาสมถะ ๗ ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร? เพราะเว้นอาบัติ ๗ และเว้นกองอาบัติ ๗ เสียไม่มีอาบัติอย่างอื่นอีก.   อธิกรณปัจจยวาร ที่ ๕ จบ อนันตรเปยยาล จบ
หัวข้อบอกวาร
   [๘๘๓] กติปุจฉาวาร ๑ สมุฏฐานวาร ๑ กตาปัตติวาร ๑ อาปัตติสมุฏฐานวาร ๑ วิปัตติวาร ๑ กับอธิกรณวาร ๑ฯ
ปริยายวาร ที่ ๖
       [๘๘๔] วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร? วิวาทาธิกรณ์ ระงับด้วยสมถะ เท่าไร?
       อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร? อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการเท่าไร? อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน? มีฐานเท่าไร? มีวัตถุเท่าไร? มีภูมิเท่าไร? มีเหตุเท่าไร? มีมูลเท่าไร? กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร? กิจจาธิกรณ์ย่อมระงับด้วยสมถะเท่าไร?
 [๘๘๕] ถามว่า วิวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
       ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
       ถ. มีฐานเท่าไร?
 ต. มีฐาน คือ เรื่องทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
       ถ. มีวัตถุเท่าไร?
 ต. มีวัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
       ถ. มีภูมิเท่าไร?
 ต. มีภูมิ คือ วัตถุทำความแตกร้าวกัน ๑๘.
       ถ. มีเหตุเท่าไร?
       ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
       ถ. มีมูลเท่าไร?
       ต. มีมูล ๑๒.
       ถ. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการเท่าไร?
       ต. ภิกษุวิวาทกันด้วยอาการ ๒ คือ เห็นว่าเป็นธรรม ๑ เห็นว่าไม่เป็นธรรม ๑.
       ถ. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       ต. วิวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๒ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยเยภุยยสิกา ๑
[๘๘๖] ถามว่า อนุวาทาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
       ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
       ถ. มีฐานเท่าไร?
       ต. มีฐาน คือ วิบัติ ๔.
       ถ. มีวัตถุเท่าไร?
       ต. มีวัตถุ คือ วิบัติ ๔.
       ถ. มีภูมิเท่าไร?
       ต. มีภูมิ คือ วิบัติ ๔.
       ถ. มีเหตุเท่าไร?
       ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
       ถ. มีมูลเท่าไร?
       ต. มีมูล ๑๔.
       ถ. ภิกษุโจทด้วยอาการเท่าไร?
       ต. ภิกษุโจทด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยวัตถุ ๑ ด้วยอาบัติ ๑.
       ถ. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       ต. อนุวาทาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๔ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยสติวินัย ๑ ด้วยอมูฬหวินัย ๑ ด้วยตัสสปาปิยสิกา ๑.
 [๘๘๗] ถามว่า อาปัตตาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
       ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
             ถ. มีฐานเท่าไร?
             ต. มีฐาน คือ กองอาบัติ ๗.
             ถ. มีวัตถุเท่าไร?
             ต. มีวัตถุ คือ กองอาบัติ ๗.
             ถ. มีภูมิเท่าไร?
             ต. มีภูมิ คือ กองอาบัติ ๗.
             ถ. มีเหตุเท่าไร?
             ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
             ถ. มีมูลเท่าไร?
             ต. มีมูล คือ สมุฏฐานอาบัติ ๖.
             ถ. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการเท่าไร?
             ต. ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๖ คือ ไม่ละอาย ๑ ไม่รู้ ๑ สงสัยแล้วขืนทำ ๑ สำคัญว่าควรในของไม่ควร ๑ สำคัญว่าไม่ควรในของควร ๑ ลืมสติ ๑.
             ถ. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
             ต. อาปัตตาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๓ คือ ด้วยสัมมุขาวินัย ๑ ด้วยปฏิญญาตกรณะ ๑ ด้วยติณวัตถารกะ ๑.
             [๘๘๘] ถามว่า กิจจาธิกรณ์มีอะไรเป็นประธาน?
             ตอบว่า มีความโลภ ความโกรธ ความหลง เป็นประธาน มีความไม่โลภ ความไม่โกรธ ความไม่หลง เป็นประธาน.
             ถ. มีฐานเท่าไร?
             ต. มีฐาน คือ กรรม ๔.
             ถ. มีวัตถุเท่าไร?
             ต. มีวัตถุ คือ กรรม ๔.
             ถ. มีภูมิเท่าไร?
             ต. มีภูมิ คือ กรรม ๔.
             ถ. มีเหตุเท่าไร?
             ต. มีเหตุ ๙ คือ กุศลเหตุ ๓ อกุศลเหตุ ๓ อัพยากตเหตุ ๓.
             ถ. มีมูลเท่าไร?
             ต. มีมูล ๑ คือ สงฆ์.
             ถ. กิจเกิดด้วยอาการเท่าไร?
             ต. กิจเกิดด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยญัตติ ๑ ด้วยอปโลกน์. ๑
       ถ. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะเท่าไร?
       ต. กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะอย่างหนึ่ง คือ ด้วยสัมมุขาวินัย.
       [๘๘๙] ถามว่าสมถะ มีเท่าไร?
       ตอบว่า สมถะมี ๗ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ เยภุยยสิกา ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ สมถะมี ๗ เหล่านี้.
       ถ. บางทีสมถะ ๗ เหล่านี้ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุโดยปริยาย หรือ?
       ต. บางทีเป็นได้ ก็บางทีเป็นได้อย่างไร? คือ วิวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๒ อนุวาทาธิกรณ์มีสมถะ ๔ อาปัตตาธิกรณ์มีสมถะ ๓ กิจจาธิกรณ์มีสมถะ ๑ อย่างนี้ที่สมถะ ๗ เป็นสมถะ ๑๐ สมถะ ๑๐ เป็นสมถะ ๗ ด้วยอำนาจวัตถุโดยปริยาย.  ปริยายวารที่ ๖ จบ
สาธารณวารที่ ๗
   [๘๙๐] ถามว่า สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์? สมถะเท่าไร ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์?
   ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา. สมถะ ๕ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่วิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
   สมถะ ๔ อย่าง ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา. สมถะ ๓ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ.
   สมถะ ๓ อย่าง ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ. สมถะ ๔ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่อาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา.
   สมถะอย่างหนึ่ง ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย. สมถะ ๖ อย่าง ไม่ทั่วไปแก่กิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.   สาธารณวารที่ ๗ จบ
ตัพภาคิยวารที่ ๘
   [๘๙๑] ถามว่า สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไรเป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์? สมณะเท่าไร เป็นไปในส่วนอื่นแห่ง
อาปัตตาธิกรณ์? สมถะเท่าไร เป็นไปในส่วนนั้นแห่งกิจจาธิกรณ์? สมถะเท่าไรเป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์?
   ตอบว่า สมถะ ๒ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือสัมมุขาวินัย เยภุยยสิกา. สมถะ ๕ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งวิวาทาธิกรณ์ คือ สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
   สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา. สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอนุวาทาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ.
   สมถะ ๓ อย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย ปฏิญญาตกรณะ ติณวัตถารกะ. สมถะ ๔ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอาปัตตาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ตัสสปาปิยสิกา.
   สมถะอย่างหนึ่ง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ สัมมุขาวินัย. สมถะ ๖ อย่าง เป็นไปในส่วนอื่นแห่งกิจจาธิกรณ์ คือ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.   ตัพภาคิยวารที่ ๘ จบ
วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ
   [๘๙๒] สมถะทั่วไปแก่สมถะ สมถะไม่ทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ สมถะบางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ.
   ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างทั่วไปแก่สมถะ อย่างไร สมถะบางอย่างไม่ทั่วไปแก่สมถะ?
   ตอบว่า เยภุยยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
   สติวินัย  ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา. อมูฬหวินัย ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย.
   ปฏิญญาตกรณะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย. ตัสสปาปิยสิกา ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ.
   ติณวัตถารกะ ทั่วไปแก่สัมมุขาวินัย ไม่ทั่วไปแก่เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา.
   สมถะบางอย่าง ทั่วไปแก่สมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่าง ไม่ทั่วไปแก่สมถะอย่างนี้.   วารที่ ๙ ว่าด้วยสมถะทั่วไปแก่สมถะ จบ

วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ
      [๘๙๓] สมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ.
       ถามว่า อย่างไร สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ อย่างไร สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วนอื่นแห่งสมถะ?
       ตอบว่า เยภุยยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งสติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ.
       สติวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งอมูฬหวินัยปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา.
       อมูฬหวินัยเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย.
       ปฏิญญาตกรณะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งตัสสปาปิยสิกา ติณวัตถารกะ เยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย.
             ตัสสปาปิยสิกาเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งติณวัตถาร
กะเยภุยยสิกา สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ.
             ติณวัตถารกะ เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสัมมุขาวินัย เป็นไปในส่วนอื่นแห่งเยภุยยสิกา
สติวินัย อมูฬหวินัย ปฏิญญาตกรณะ ตัสสปาปิยสิกา.
             สมถะบางอย่าง เป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะอย่างนี้ สมถะบางอย่างเป็นไปในส่วน
อื่นแห่งสมถะอย่างนี้.
                             วารที่ ๑๐ ว่าด้วยสมถะเป็นไปในส่วนนั้นแห่งสมถะ จบ
5.5 · IMDb นรกยึดไฟลต์ พ.ศ. 2568 ‧ กระตุกขวัญ/อาชญากรรม
‧ 1 ชม. 30 นาที (Flight Risk) 2025 ‧ Thriller/Crime ‧ 1h 30m|HD THAI 
ดูหนังออนไลน์ Flight Risk (2025) นรกยึดไฟลต์
กับเรื่องราวของตำรวจอากาศสาว (มิเชลล์ ด็อกเคอรี) ที่ต้องพาผู้ร้าย
สำคัญ (โทเฟอร์ เกรซ) บินข้ามฟ้าผ่านดินแดนรกร้างของรัฐอะแลสกา
แต่การเดินทางครั้งนี้ต้องเปลี่ยนมาเป็นการเอาชีวิตรอดเมื่อนักบินบน
เครื่องที่เหมือนจะธรรมดาคือวายร้ายตัวฉกาจมากด้วยทักษะสุด
อันตราย(มาร์ก วาห์ลเบิร์ก) ที่ต้องการสังหารพยาน
เพื่อปิดปาก มหึมาความมันส์บนน่านฟ้ากว่า 10,000 ฟุตจึงได้เปิดฉาก