Translate

04 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๓ ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคทรงพระชนม์อยู่เป็นต้น ว่าด้วยวัตถุแห่งการโจทเป็นต้น ว่าด้วยภิกขุโง่และฉลาดเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยพระผู้มีพระภาคทรงพระชนม์อยู่เป็นต้น
     [๙๕๔] มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ ภิกษุจึงต้อง เมื่อปรินิพพานแล้ว ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคปรินิพพานแล้ว ภิกษุจึงต้อง เมื่อยังทรงพระชนม์ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ เมื่อพระผู้มีพระภาคยังทรงพระชนม์ก็ดี ปรินิพพานแล้วก็ดี ภิกษุต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาล หาต้องในเวลาวิกาลไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในเวลาวิกาล หาต้องในกาลไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาล และในเวลาวิกาล.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางคืน หาต้องในกลางวันไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางวัน หาต้องในกลางคืนไม่
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกลางคืน และกลางวัน.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๑๐ จึงต้อง มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษาหย่อน ๑๐ จึงต้อง มีพรรษา ๑๐ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๑๐ และมีพรรษาหย่อน ๑๐ ก็ต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๕ จึงต้อง มีพรรษาหย่อน ๕ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษาหย่อน ๕ จึงต้อง มีพรรษา ๕ ไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีพรรษา ๕ และมีพรรษาหย่อน ๕ ก็ต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นกุศล จึงต้อง มีจิตเป็นอกุศลไม่ต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอกุศล จึงต้อง มีจิตเป็นกุศลไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุมีจิตเป็นอัพยากฤต จึงต้อง.
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยสุขเวทนา จึงต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยทุกขเวทนา จึงต้อง
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุพรั่งพร้อมด้วยอทุกขมสุขเวทนา จึงต้อง.
ว่าด้วยวัตถุแห่งการโจทเป็นต้น
   [๙๕๕] วัตถุแห่งการโจทมี ๓ คือ เห็น ๑ ได้ยิน ๑ รังเกียจ ๑.
   การให้จับสลากมี ๓ คือ ปกปิด ๑ เปิดเผย ๑ กระซิบที่หู ๑.
   ข้อห้ามมี ๓ คือ ความมักมาก ๑ ความไม่สันโดษ ๑ ความไม่ขัดเกลา ๑.
   ข้ออนุญาตมี ๓ คือ ความมักน้อย ๑ ความสันโดษ ๑ ความขัดเกลา ๑.
   ข้อห้ามแม้อื่นอีก ๓ คือ ความมักมาก ๑ ความไม่สันโดษ ๑ ความไม่รู้จักประมาณ ๑.
   ข้ออนุญาตมี ๓ คือ ความมักน้อย ๑ ความสันโดษ ๑ ความรู้จักประมาณ ๑.
   บัญญัติมี ๓ คือ บัญญัติ ๑ อนุบัญญัติ ๑ อนุปันนบัญญัติ ๑.
   บัญญัติแม้อื่นอีก ๓ คือ สัพพัตถบัญญัติ ๑ ปเทสบัญญัติ ๑ สาธารณบัญญัติ ๑.
   บัญญัติแม้อื่นอีก ๓ คือ อสาธารณบัญญัติ ๑ เอกโตบัญญัติ ๑ อุภโตบัญญัติ ๑.
ว่าด้วยภิกขุโง่และฉลาดเป็นต้น
   [๙๕๖] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้โง่ จึงต้อง เป็นผู้ฉลาดไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้ฉลาด จึงต้อง เป็นผู้โง่ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุเป็นผู้ทั้งโง่ทั้งฉลาด จึงต้อง.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในกาฬปักษ์ ไม่ต้องในชุณหปักษ์
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องในชุณหปักษ์ ไม่ต้องในกาฬปักษ์
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งในกาฬปักษ์ และชุณหปักษ์.
   มีอยู่ การเข้าพรรษาย่อมควรในกาฬปักษ์ หาควรในชุณหปักษ์ไม่
   มีอยู่ ปวารณาในวันมหาปวารณา ย่อมควรในชุณหปักษ์ หาควรในกาฬปักษ์ไม่
   มีอยู่ สังฆกิจที่เหลือ ย่อมควรทั้งในกาฬปักษ์และชุณหปักษ์.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูหนาว ไม่ต้องในฤดูร้อนและในฤดูฝน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูร้อน ไม่ต้องในฤดูหนาวและในฤดูฝน
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุย่อมต้องในฤดูฝน ไม่ต้องในฤดูร้อนและในฤดูหนาว.
 มีอยู่ อาบัติ สงฆ์ต้อง คณะ และบุคคล ไม่ต้อง
 มีอยู่ อาบัติ คณะต้อง สงฆ์ และบุคคล ไม่ต้อง
 มีอยู่ อาบัติ บุคคลต้อง สงฆ์ และคณะ ไม่ต้อง.
   มีอยู่ สังฆอุโบสถและสังฆปวารณา ควรแก่สงฆ์ ไม่ควรแก่คณะ และบุคคล
   มีอยู่ คณะอุโบสถ และคณะปวารณา ควรแก่คณะ ไม่ควรแก่สงฆ์ และบุคคล
   มีอยู่ อธิษฐานอุโบสถ และอธิษฐานปวารณา ควรแก่บุคคล ไม่ควรแก่สงฆ์ และคณะ.
ว่าด้วยการปิดเป็นต้น
   [๙๕๗] การปิดมี ๓ คือ ปิดวัตถุ ไม่ปิดอาบัติ ๑ ปิดอาบัติ ไม่ปิดวัตถุ ๑ ปิดทั้งวัตถุและอาบัติ ๑.
   เครื่องปกปิดมี ๓ คือ เครื่องปกปิด คือ เรือนไฟ ๑ เครื่องปกปิด คือ น้ำ ๑ เครื่องปกปิด คือ ผ้า ๑.
   สิ่งที่กำบังไม่เปิดเผยนำไปมี ๓ คือ มาตุคาม กำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑ มนต์ของพวกพราหมณ์กำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑ มิจฉาทิฏฐิกำบังไม่เปิดเผยนำไป ๑.
   สิ่งที่เปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรืองมี ๓ คือ ดวงจันทร์เปิดเผย ไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑ ดวงอาทิตย์เปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑ ธรรมวินัยอันพระตถาคตเจ้า ประกาศแล้วเปิดเผยไม่กำบังจึงรุ่งเรือง ๑.
   การให้ถือเสนาสนะมี ๓ คือ ให้ถือในวันเข้าพรรษาต้น ๑ ให้ถือในวันเข้าพรรษาหลัง ๑ ให้ถือพ้นระหว่างนั้น ๑.
ว่าด้วยอาพาธเป็นต้น
   [๙๕๘] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธ จึงต้อง ไม่อาพาธ ไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่อาพาธ จึงต้อง อาพาธไม่ต้อง
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุอาพาธและไม่อาพาธก็ต้อง.
ว่าด้วยงดปาติโมกข์เป็นต้น
   [๙๕๙] การงดปาติโมกข์ ไม่เป็นธรรมมี ๓ การงดปาติโมกข์ เป็นธรรมมี ๓.
   ปริวาสมี ๓ คือ ปฏิจฉันนปริวาส ๑ อัปปฏิจฉันนปริวาส ๑ สุทธันตปริวาส ๑.
   มานัตมี ๓ คือ ปฏิจฉันนมานัต ๑ อัปปฏิจฉันนมานัต ๑ ปักขมานัต ๑.
   รัตติเฉทของภิกษุผู้อยู่ปริวาสมี ๓ คือ อยู่ร่วม ๑ อยู่ปราศ ๑ ไม่บอก ๑.
ว่าด้วยต้องอาบัติภายในเป็นต้น
   [๙๖๐] มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายใน ไม่ต้องภายนอก
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายนอก ไม่ต้องภายใน
มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งภายในทั้งภายนอก.
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายในสีมา ไม่ต้องภายนอกสีมา
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องภายนอกสีมา ไม่ต้องภายในสีมา
   มีอยู่ อาบัติ ภิกษุต้องทั้งภายในสีมา ทั้งภายนอกสีมา.
ว่าด้วยต้องอาบัติด้วยอาการ ๓ อย่างเป็นต้น
   [๙๖๑] ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๓ อย่าง คือ ต้องด้วยกาย ๑ ต้องด้วยวาจา ๑ ต้องด้วยกายวาจา ๑.
   ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๓ คือ ต้องในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ต้องในท่ามกลางคณะ ๑ ต้องในสำนักบุคคล ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการ ๓ คือ ออกด้วยกาย ๑ ออกด้วยวาจา ๑ ออกด้วยกายวาจา ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการแม้อื่นอีก ๓ คือ ออกในท่ามกลางสงฆ์ ๑ ออกในท่ามกลางคณะ ๑ ออกในสำนักบุคคล ๑.
   ให้อมูฬหวินัยไม่เป็นธรรมมี ๓ ให้อมูฬหวินัยเป็นธรรมมี ๓.
ว่าด้วยข้อที่สงฆ์จำนงเป็นต้น
   [๙๖๒] ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงตัชชนียกรรม คือเป็นผู้ก่อความบาดหมาง จ่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาลไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้คลุกคลีกับคฤหัสถ์ ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงนิยสกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมางก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงปัพพาชนียกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ๑ ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ เป็นผู้ประทุษร้ายสกุล มีความประพฤติเลวทราม ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงปฏิสารณียกรรม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ด่าบริภาษคฤหัสถ์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่เห็นอาบัติ คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ต้องอาบัติแล้วไม่ปรารถนาจะเห็นอาบัติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่ทำคืนอาบัติ คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ต้องอาบัติแล้วไม่ปรารถนาจะทำคืนอาบัติ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงลงอุกเขปนียกรรม ฐานไม่สละคืนทิฏฐิอันเลวทราม คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาล ไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ ไม่ปรารถนาจะสละคืนทิฏฐิอันเลวทราม ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์จำนงอยู่ พึงตั้งใจจับให้มั่น คือ เป็นผู้ก่อความบาดหมาง ก่อความทะเลาะ ก่อความวิวาท ก่อความอื้อฉาว ก่ออธิกรณ์ในสงฆ์ ๑ เป็นพาลไม่ฉลาด มีอาบัติมาก มีมรรยาทไม่สมควร ๑ คลุกคลีกับคฤหัสถ์ด้วยการคลุกคลีอันไม่สมควร ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้มีศีลวิบัติในอธิศีล ๑ เป็นผู้มีอาจารวิบัติในอัชฌาจาร ๑ เป็นผู้มีทิฏฐิวิบัติในอติทิฏฐิ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการเล่นทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยอนาจารทั้งทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยการลบล้างทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทางกาย ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทางวาจา ๑ เป็นผู้ประกอบด้วยมิจฉาชีพทั้งทางกายและวาจา ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ ต้องอาบัติ ถูกสงฆ์ลงโทษแล้ว ทำการอุปสมบท ๑ ให้นิสัย ๑ ให้สามเณรอุปัฏฐาก ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ สงฆ์ลงโทษเพราะอาบัติใดต้องอาบัตินั้น ๑ ต้องอาบัติอื่นอันเช่นกัน ๑ ต้องอาบัติอันเลวทรามกว่านั้น ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์แม้อื่นอีก ๓ สงฆ์พึงลงโทษ คือ พูดติพระพุทธเจ้า ๑ พูดติพระธรรม ๑ พูดติพระสงฆ์ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ งดอุโบสถ ณ ท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์พึงกำจัดเสียว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าก่อความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท แล้วทำอุโบสถ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ งดปวารณา ณ ท่ามกลางสงฆ์ สงฆ์พึงกำจัดเสียว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าก่อความบาดหมาง ความทะเลาะ ความแก่งแย่ง ความวิวาท แล้วทำปวารณา คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงให้สังฆสมมติอะไรๆ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงว่ากล่าว คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ สงฆ์ไม่พึงแต่งตั้งไว้ในตำแหน่งในหัวหน้าอะไร คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ภิกษุทั้งหลายไม่พึงอาศัยอยู่ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงให้นิสัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ จะให้ทำโอกาส ไม่ควรทำโอกาส คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงเชื่อถือคำให้การ คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันใครๆ ไม่พึงถามวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงถามวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงตอบวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงตอบวินัย คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงให้คำซักถาม คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ อันภิกษุทั้งหลายไม่พึงสนทนาวินัยด้วยกัน คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.
   ภิกษุประกอบด้วยองค์ ๓ ไม่พึงให้กุลบุตรอุปสมบท ไม่พึงให้นิสัย ไม่พึงให้สามเณรอุปัฏฐาก คือ เป็นอลัชชี ๑ เป็นพาล ๑ ไม่เป็นปกตัตตะ ๑.

ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น
   [๙๖๓] อุโบสถมี ๓ คือ อุโบสถวันสิบสี่ ๑ อุโบสถวันสิบห้า ๑ อุโบสถสามัคคี ๑. อุโบสถแม้อื่นอีก ๓ คือ สังฆอุโบสถ ๑ คณะอุโบสถ ๑ ปุคคลอุโบสถ ๑. อุโบสถแม้อื่นอีก ๓ คือ สุตตุทเทศ ๑ ปาริสุทธิอุโบสถ ๑ อธิษฐานอุโบสถ ๑.
       ปวารณามี ๓ คือ ปวารณาวันสิบสี่ ๑ ปวารณาวันสิบห้า ๑ ปวารณาสามัคคี ๑. ปวารณาแม้อื่นอีก ๓ คือ สังฆปวารณา ๑ คณะปวารณา ๑ ปุคคลปวารณา ๑. ปวารณาแม้อื่นอีก ๓ คือ ปวารณา ๓ หน ๑ ปวารณา ๒ หน ๑ ปวารณามีพรรษา
เท่ากัน ๑.
       บุคคลไปอบายไปนรกมี ๓ คือ ไม่เป็นพรหมจารี แต่ปฏิญญาว่าเป็นพรหมจารี ไม่ละปฏิญญาข้อนี้ ๑ โจทพรหมจารีผู้บริสุทธิ์ ผู้ประพฤติพรหมจรรย์บริสุทธิ์ ด้วยอพรหมจรรย์อันไม่มีมูล ๑ มีปกติกล่าวอย่างนี้ มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า กามทั้งหลายไม่มีโทษ ถึงความเป็นผู้หมกมุ่นในกามทั้งหลาย ๑.
       อกุศลมูลมี ๓ คือ อกุศลมูล คือโลภะ ๑ อกุศลมูล คือ โทสะ ๑ อกุศลมูลคือโมหะ ๑.
       กุศลมูลมี ๓ คือ กุศลมูล คือ อโลภะ ๑ กุศลมูล คือ อโทสะ ๑ กุศลมูลคืออโมหะ ๑.
       ทุจริตมี ๓ คือ กายทุจริต ๑ วจีทุจริต ๑ มโนทุจริต ๑.
       สุจริตมี ๓ คือ กายสุจริต ๑ วจีสุจริต ๑ มโนสุจริต ๑.
   พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติโภชนะ ๓ ในสกุล เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๓ คือ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก เพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อประสงค์ว่าพวกมักมากอย่า อาศัยฝักฝ่ายทำลายสงฆ์ ๑ เพื่อทรงอนุเคราะห์สกุล ๑.
   พระเทวทัตมีจิตอันอสัทธรรม ๓ อย่าง ครอบงำย่ำยี จึงเกิดในอบายตกนรกชั่วกัลป์ช่วยเหลือไม่ได้ คือความปรารถนาลามก ๑ ความมีมิตรชั่ว ๑ พอบรรลุคุณวิเศษเพียงขั้นต่ำก็เลิกเสียในระหว่าง ๑.
   สมมติมี ๑ คือ สมมติไม้เท้า ๑ สมมติสาแหรก ๑ สมมติไม้เท้าและสาแหรก ๑. เขียงรองเท้าที่ตั้งอยู่ประจำเลื่อนไปมาไม่ได้มี ๓ คือ เขียงรองเท้าถ่ายวัจจะ ๑ เขียงรองเท้าถ่ายปัสสาวะ ๑ เขียงรองเท้าสำหรับชำระ ๑.
   สิ่งของสำหรับถูเท้ามี ๓ คือ ก้อนกรวด ๑ กระเบื้องถ้วย ๑ ฟองน้ำทะเล ๑.    หมวด ๓ จบ
หัวข้อประจำหมวด
 [๙๖๔] ทรงพระชนม์ ๑ กาล ๑ กลางคืน ๑ พรรษาสิบ ๑ พรรษาห้า ๑ กุศลจิต ๑ เวทนา ๑ วัตถุแห่งการโจท ๑ สลาก ๑ ข้อห้าม ๒ อย่าง ๑ ข้อบัญญัติ ๑ ข้อบัญญัติอื่นอีก
๒ อย่าง ๑ โง่ ๑ กาฬปักษ์ ๑ ควร ๑ ฤดูหนาว ๑ สงฆ์ ๑ แก่สงฆ์ ๑ การปิด ๑ เครื่อง ปกปิด ๑ สิ่งกำบัง ๑ สิ่งเปิดเผย ๑ เสนาสนะ ๑ อาพาธ ๑ ปาติโมกข์ ๑ ปริวาส ๑ มานัต ๑ ปริวาสิกภิกษุ ๑ ภายใน ๑ ภายในสีมา ๑ ต้องอาบัติ ๑ ต้องอาบัติอีก ๑ ออกจากอาบัติ ๑ ออกจากอาบัติอื่นอีก ๑ อมูฬหวินัย ๒ อย่าง ๑ ตัชชนียกรรม ๑ นิยสกรรม ๑ ปัพพานียกรรม ๑ ปฏิสารณียกรรม ๑ ไม่เห็นอาบัติ ๑ ไม่ทำคืนอาบัติ ๑ ไม่สละคืนทิฏฐิ ๑ จับให้มั่น ๑ กรรม ๑ อธิศีล ๑ คะนอง ๑ อนาจาร ๑ ลบล้าง ๑ อาชีวะ ๑ ต้องอาบัติ ๑ ต้องอาบัติเช่นนั้น ๑ พูดติ ๑ งดอุโบสถ ๑ งดปวารณา ๑ สมมติ ๑ ว่ากล่าว ๑ หัวหน้า ๑ ไม่อาศัยอยู่ ๑ ไม่ให้ นิสัย ๑ ไม่ทำโอกาส ๑ ไม่ทำการไต่สวน ๑ ไม่ถาม ๒ อย่าง ๑ ไม่ตอบ ๒ อย่าง ๑ แม้ซัก ถามก็ไม่พึงให้ ๑ สนทนา ๑ อุปสมบท ๑ นิสัย ๑ ให้สามเณรอุปัฏฐาก ๑ อุโบสถ ๓ หมวด ๓ อย่าง ๑ ปวารณา ๓ หมวด ๓ อย่าง ๑ เกิดในอบาย ๑ อกุศล ๑ กุศล ๑ ทุจริต ๑ สุจริต ๑ โภชนะ ๓ อย่าง ๑ อสัทธรรม ๑ สมมติ ๑ เขียงรองเท้า ๑ สิ่งของถูเท้า ๑ หัวข้อตามที่ กล่าวนี้รวมอยู่ในหมวด ๓.
หัวข้อประจำหมวด จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๓  [พรรณนาหมวด ๓]  วินิจฉัยในหมวด ๓ พึงทราบดังนี้ :-.  
       หลายบทว่า อตฺถาปตฺติ ติฏฺฐนฺเต ภควติ อาปชฺชติ มีความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายัง
ทรงอยู่ ภิกษุจึงต้องอาบัติใด อาบัตินั้นมีอยู่. มีนัยเหมือนกันทุกบท. 
       บรรดาอาบัติเหล่านั้น เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงอยู่ ภิกษุจึงต้องอาบัติ เพราะโลหิตุปบาท.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าปรินิพพานแล้ว ภิกษุจึงต้องยังทรงอยู่ไม่ต้องอาบัติ เพราะร้องเรียกพระเถระด้วย
วาทะว่า อาวุโส เป็นปัจจัย เพราะพระบาลีว่า อานนท์ ก็บัดนี้แล ภิกษุทั้งหลาย ย่อมร้องเรียกกันและกัน
ด้วยวาทะว่า อาวุโส โดยเวลาที่เราล่วงไปเสีย ท่านทั้งหลายไม่พึงร้องเรียกกันและกันอย่างนั้น, อานนท์
ภิกษุผู้เถระอันภิกษุผู้ใหม่ พึงร้องเรียกด้วยวาทะว่า ภทนฺเต หรือว่า อายสฺมา ดังนี้. 
        เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงอยู่ก็ตาม ปรินิพพานแล้วก็ตาม เว้นอาบัติ ๒ เหล่านี้เสีย
        ภิกษุย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
        เมื่อห้ามเสียแล้ว ฉันของเคี้ยวของฉันที่ไม่เป็นเดน ชื่อว่าต้องอาบัติในกาล หาต้องในวิกาลไม่.
แต่ย่อมต้องอาบัติเพราะวิกาลโภชน์ในวิกาล หาต้องในกาลไม่. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ทั้งในกาลและวิกาล. 
        ในเวลากลางคืน ย่อมต้องอาบัติเพราะนอนในเรือนร่วมกัน, ในเวลากลางวัน ย่อมต้องอาบัติ
เพราะไม่ปิดประตูเร้นอยู่. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ ทั้งกลางคืนและกลางวัน. 
               ภิกษุผู้พาล ไม่ฉลาด เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เรามีพรรษา ๑๐
เรามีพรรษาเกิน ๑๐ ผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ย่อมต้อง ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ไม่ต้อง. 
               ภิกษุใหม่หรือปูนกลาง เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เราเป็นบัณฑิต เราเป็น
คนฉลาด ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ย่อมต้อง ผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ไม่ต้อง. 
               ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๑๐ ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ภิกษุผู้พาล ไม่ฉลาด เมื่อไม่ถือนิสัยอยู่ ด้วยคิดว่า เรามีพรรษาครบ ๕ ผู้มีพรรษา
ครบ ๕ ย่อมต้อง. 
               ภิกษุใหม่ไม่ถือนิสัยอยู่ ด้วยคิดว่า เราเป็นบัณฑิต เป็นผู้ฉลาด ผู้มีพรรษา
หย่อน ๕ ย่อมต้อง. ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาครบ ๕ ทั้งภิกษุผู้มีพรรษาหย่อน ๕ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ภิกษุผู้มีจิตเป็นกุศล ย่อมต้องอาบัติเห็นปานนี้ คือ บอกธรรมกะอนุปสัมบันว่าโดยบท,
แสดงธรรมแก่มาตุคาม. 
               ภิกษุผู้มีจิตเป็นอกุศล ย่อมต้องอาบัติต่างโดยชนิด มีปาราชิก, สุกกวิสัฏฐิ,
กายสังสัคคะ, ทุฏฐุลละ, อัตตกามปาริจริยา, ทุฏฐโทสะ, สังฆเภทะ, ปหารทานะ, ตลสัตติกะ เป็นต้น. 
               ผู้มีจิตเป็นอัพยากฤต ย่อมต้องอาบัติ มีไม่แกล้งนอนในเรือนร่วมกันเป็นต้น.
พระอรหันต์ย่อมต้องอาบัติใด ภิกษุผู้มีจิตเป็นอัพยากฤต ย่อมต้องอาบัตินั้นทั้งหมด. 
               ภิกษุผู้พร้อมเพรียงด้วยสุขเวทนา ย่อมต้องอาบัติต่างชนิดมีเมถุนธรรมเป็นต้น.
ผู้พร้อมเพรียงด้วยทุกขเวทนา ย่อมต้องอาบัติต่างชนิดมีทุฏฐโทสะเป็นต้น. 
               ผู้พร้อมเพรียงด้วยสุขเวทนา ย่อมต้องอาบัติใด ภิกษุผู้มีตนมัธยัสถ์ (วางเฉย)
เมื่อต้องอาบัตินั้นแล ชื่อว่าผู้พร้อมเพรียงด้วยอทุกขมสุขเวทนาต้อง (อาบัติ).
               ข้อว่า ตโย ปฏิกฺเขปา มีความว่า ข้อห้าม ๓ อย่าง ของพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
คือ ความเป็นผู้มักมาก ความเป็นผู้ไม่สันโดษในปัจจัย ๔ ความไม่รักษาข้อปฏิบัติอันขูดเกลากิเลส,
ธรรม ๓ อย่างเหล่านี้แล อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้าทรงห้ามแล้ว. 
               ส่วนธรรม ๓ อย่าง มีความเป็นผู้มักน้อยเป็นต้น อันพระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า
ทรงอนุญาตแล้ว. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า ธรรม ๓ อย่าง ทรงอนุญาต. 
               ภิกษุให้บริษัทอุปัฏฐาก ด้วยคิดว่า เรามีพรรษาครบ ๑๐ ไม่ถือนิสัย ด้วยคิดว่า
เรามีพรรษาครบ ๕ ผู้โง่เขลาต้อง ผู้ฉลาดไม่ต้อง. 
               ผู้มีพรรษาหย่อน ๑๐ คิดว่า เราเป็นผู้ฉลาด เมื่อให้บริษัทอุปัฏฐาก เพราะความเป็น
พหุสุตบุคคล และผู้มีพรรษาหย่อน ๕ ไม่ถือนิสัย ผู้ฉลาดต้องผู้โง่เขลาไม่ต้อง. 
               ทั้งผู้ฉลาด ทั้งผู้โง่เขลา ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               เมื่อไม่เข้าพรรษา ย่อมต้องในกาฬปักข์ ไม่ต้องในชุณหปักข์. เมื่อไม่ปวารณาในวัน
มหาปวารณา ย่อมต้องในชุณหปักข์ ไม่ต้องในกาฬปักข์. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งในกาฬปักข์และชุณหปักข์.
               การเข้าพรรษา ย่อมสำเร็จในกาฬปักข์ ไม่สำเร็จในชุณหปักข์. 
               ปวารณาในวันมหาปวารณา ย่อมสำเร็จ ในชุณหปักข์ ไม่สำเร็จในกาฬปักข์. 
               สังฆกิจที่ทรงอนุญาตที่เหลือ ย่อมสำเร็จทั้งในกาฬปักข์และชุณหปักข์. 
               ภิกษุนุ่งผ้าอาบน้ำฝนที่วิกัปป์เก็บไว้ในวันปาฏิบทหลัง แต่เพ็ญเดือนกัตติกาหลัง ย่อมต้องในฤดูเหมันต์. 
               แต่ในกุรุนที กล่าวว่า ไม่ถอนในวันเพ็ญเดือนกัตติกาหลัง ย่อมต้องในฤดูเหมันต์.
คำในอรรถกถากุรุนทีแม้นั้นท่านกล่าวชอบ. เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้ว่า เราอนุญาตให้ภิกษุ
อธิษฐานตลอด ๔ เดือน ต่อแต่นั้นไป อนุญาตให้วิกัปป์. 
               เมื่อฤดูร้อนยังเหลือกว่า ๑ เดือน ภิกษุแสวงหา และเมื่อฤดูร้อนยังเหลือกว่ากึ่งเดือน
ภิกษุทำนุ่ง ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติในคิมหฤดู.
               เมื่อมีผ้าอาบน้ำฝน แต่เปลือยกายอาบน้ำฝน ชื่อว่าย่อมต้องอาบัติในฤดูฝน. 
               สงฆ์เมื่อทำปาริสุทธิอุโบสถหรืออธิษฐานอุโบสถ ย่อมต้องอาบัติ. 
               คณะเมื่อทำสุตตุทเทสและอธิฏฐานอุโบสถ ย่อมต้องอาบัติ. 
               ภิกษุผู้เดียว เมื่อทำสุตตุทเทส ย่อมต้องอาบัติ. แม้ในปวารณาก็นัยนี้แล.
               สังฆอุโบสถ และสังฆปวารณา ย่อมสำเร็จแก่สงฆ์เท่านั้น. 
               คณะอุโบสถ และคณะปวารณา ย่อมสำเร็จแก่คณะเท่านั้น. 
               อธิษฐานอุโบสถและอธิษฐานปวารณา ย่อมสำเร็จแก่บุคคลเท่านั้น.
                              [ว่าด้วยการปิด ๓ อย่างเป็นต้น]               
               เมื่อกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าต้องปาราชิก เป็นต้น ชื่อว่าปิดวัตถุ ไม่ปิดอาบัติ.
               เมื่อกล่าวคำว่า ข้าพเจ้าได้เสพเมถุนธรรม เป็นต้น ชื่อว่าปิดอาบัติไม่ปิดวัตถุ. 
               ภิกษุใด ไม่บอกวัตถุ ไม่บอกอาบัติ, ภิกษุนี้ ชื่อว่าปิดทั้งวัตถุทั้งอาบัติ. 
               ที่ชื่อว่าที่กำบัง เพราะปกปิดไว้. 
               ที่กำบัง คือเรือนไฟ ชื่อว่า ชนฺตาฆรปฏิจฺฉาทิ. แม้ในที่กำบังนอกนี้ ก็มีนัยเหมือนกัน. 
               ภิกษุผู้ปิดประตูอยู่ภายในเรือนไฟ ควรทำบริกรรม. แม้ภิกษุผู้แช่อยู่ในน้ำ
ก็ควรทำบริกรรมนั้นเหมือนกัน. แต่ไม่ควรขบเคี้ยวหรือฉันในสถานทั้ง ๒. 
               ของอันปกปิด คือ ผ้า ควรในที่ทั้งปวง. 
               ภิกษุผู้ปกปิด (กาย) ด้วยของปกปิด คือ ผ้านั้นแล้ว สมควรทำกิจทั้งปวง. 
               บทว่า วหนฺติ มีความว่า ย่อมไป คือย่อมออกไป ได้แก่ไม่ได้ความติเตียนหรือคำคัดค้าน.
ดวงจันทร์พ้นจากเมฆ หมอก ควัน ธุลีและราหูแล้ว เปิดเผยดี ย่อมรุ่งเรือง, อันสิ่งเหล่านั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง
กำบังแล้ว ย่อมไม่รุ่งเรือง. ดวงอาทิตย์ก็เหมือนกัน. แม้ธรรมวินัยที่ภิกษุเปิดเผยจำแนก แสดงอยู่แล
จึงรุ่งเรือง, ปกปิดไว้หารุ่งเรืองไม่.
                              [ว่าด้วยอาบัติที่ผู้อาพาธต้องเป็นต้น]           
               ภิกษุผู้อาพาธ เมื่อออกปากขอเภสัชอย่างอื่น ในเมื่อจำเป็นต้องทำด้วยเภสัชอย่างอื่น ย่อมต้อง (อาบัติ).
               ผู้ไม่อาพาธ เมื่อออกปากขอเภสัช ในเมื่อไม่จำเป็นต้องทำด้วยเภสัช ย่อมต้อง. 
               ภิกษุทั้งอาพาธและไม่อาพาธ ย่อมต้องอาบัติที่เหลือ. 
               ข้อว่า อนฺโต อาปชฺชติ โน พหิ มีความว่า เมื่อสำเร็จการนอนเข้าไปเบียด (ภิกษุเข้าไปก่อน) ย่อมต้อง. 
               ข้อว่า พหิ อาปชฺชติ โน อนฺโต มีความว่า เมื่อตั้งเตียงเป็นต้นของสงฆ์ไว้กลางแจ้งแล้วหลีกไป
ชื่อว่าย่อมต้องในภายนอก. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งภายในและภายนอก. 
               ข้อว่า อนฺโต สีมาย มีความว่า ภิกษุอาคันตุกะ เมื่อไม่แสดงอาคันตุกวัตร กางร่มสวมรองเท้า
เข้าสู่วิหาร แต่พอเข้าอุปจารสีมา ก็ต้อง. 
               ข้อว่า พหิ สีมาย มีความว่า ภิกษุเตรียมจะไป เมื่อไม่บำเพ็ญคมิกวัตร มีเก็บงำภัณฑะไม้เป็นต้น
หลีกไป แต่พอก้าวล่วงอุปจารสีมาก็ต้อง. ย่อมต้องอาบัติที่เหลือทั้งภายในสีมาและภายนอกสีมา.
                              [ว่าด้วยอาบัติที่ต้องในท่ามกลางสงฆ์เป็นต้น]
               เมื่อภิกษุผู้แก่กว่า มีอยู่ ภิกษุไม่ได้รับเผดียงกล่าวธรรมชื่อว่าต้องในท่ามกลางสงฆ์.
ในท่ามกลางคณะก็ดี ในสำนักบุคคลก็ดี ก็นัยนี้แล. 
               ออก (จากอาบัติ) ด้วยติณวัตถารกสมถะ ชื่อว่าออกด้วยกาย. 
               เมื่อภิกษุไม่ยังกายให้ไหว แสดงด้วยวาจา อาบัติชื่อว่าออกด้วยวาจา. 
               เมื่อทำกิริยาทางกายประกอบกับวาจาแสดง อาบัติชื่อว่าออกด้วยกายด้วยวาจา. 
               อาบัติที่เป็นทั้งเทสนาคามินีทั้งวุฏฐานคามินี ย่อมออกในท่ามกลางสงฆ์.
แต่ว่า เพราะอาบัติเป็นเทสนาคามินีเท่านั้น ย่อมออกในท่ามกลางคณะและบุคคล.
5.7/10 · IMDb เร็ว..แรง ทะลุไทเป พ.ศ. 2567 ‧ แอคชั่น/กระตุกขวัญ
‧ 1 ชม. 41 นาทีWeekend in Taipei 2024
‧ Action/Thriller ‧ 1h 41m|HD THAI 
ดูหนังออนไลน์ Weekend in Taipei (2024) เร็ว..แรง ทะลุไทเป

อดีตเจ้าหน้าที่สำนักงานปราบปรามยาเสพติด และอดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจ
สืบสวน ได้กลับมาย้อนรอยความรักของทั้งสองที่เมืองไทเป โดยที่
ไม่รู้เลยว่า ที่แห่งนี้มีอันตรายที่เป็นผลลัพธ์จากการกระทำในอดีตของ
ทั้งสองเฝ้ารออยู่
[ว่าด้วยองค์เป็นเหตุลงโทษและเพิ่มโทษ] สองบทว่า อาคาฬฺหาย เจเตยฺย มีความว่า สงฆ์พึงตั้งใจเพื่อความแน่นเข้า คือเพื่อความมั่นคง. อธิบายว่า สงฆ์เมื่อปรารถนา พึงลงอุกเขปนียกรรม แก่ภิกษุผู้ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมเป็นต้นแล้ว ไม่ยังวัตรให้เต็ม. ในคำว่า อลชฺชี จ โหติ พาโล จ อปกตตฺโต จ นี้ มีความว่า ไม่พึงลงโทษด้วยเหตุเพียงเท่านี้ ว่า ผู้นี้เป็น ผู้โง่ ไม่รู้จักธรรมและอธรรม หรือว่า ผู้นี้มิใช่ปกตัตต์ ไม่รู้จัก อาบัติและมิใช่อาบัติ. พึงลงโทษแก่ภิกษุผู้ต้องอาบัติ ซึ่งมี ความเป็นผู้โง่เป็นมูลและมีความเป็นไม่ใช่ผู้ปกตัตต์เป็นมูล. ผู้ต้องอาบัติ ๒ กอง ชื่อว่าผู้เสียศีลในอธิศีล. ผู้ต้องอาบัติ ๕ กอง ชื่อว่าผู้เสียอาจาระ. ผู้ประกอบด้วยอันตคาหิกทิฏฐิ ชื่อว่าผู้เสียทิฏฐิ. พึงลงโทษแก่ภิกษุเหล่านั้น ผู้ไม่เห็น ไม่ทำคืนอาบัติ และผู้ไม่ยอมสละทิฏฐิเท่านั้น. อนาจารต่างโดยชนิดมีเล่นการพนันเป็นต้น ด้วย เครื่องเล่นมีสกา๑- เป็นอาทิ ชื่อว่าเล่นทางกาย. อนาจารต่างโดยชนิดมีทำเปิงมางปากเป็นต้น ชื่อว่า เล่นทางวาจา. อนาจารทางทวารทั้ง ๒ ต่างโดยชนิดมีฟ้อนและขับ เป็นต้น ชื่อว่าเล่นทางวาจา. อนาจารทวารทั้ง ๒ ต่างโดยชนิดมีฟ้อนและขับ เป็นต้น ชื่อว่าเล่นทางกายและทางวาจา. ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในกายทวาร ชื่อว่าอนาจารทางกาย ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในวจีทวาร ชื่อว่าอนาจารทางวาจา ความก้าวล่วงสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในทวาร ทั้ง ๒ ชื่อว่าอนาจารทางกายทวารและทางวจีทวาร. สองบทว่า กายิเกน อุปฆาติเกน ได้แก่ ด้วยการไม่ศึกษาสิกขาบทที่ทรงบัญญัติในกายทวาร. จริงอยู่ ภิกษุใดไม่ศึกษาสิกขาบทนั้น ภิกษุนั้น ชื่อว่าผลาญสิกขาบทนั้น. เพราะเหตุนั้น การไม่ศึกษานั้น ของภิกษุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การผลาญเป็นไปทางกาย. แม้ใน ๒ สิกขาบทที่เหลือ ก็นัยนี้แล. ข้อว่า กายิเกน มิจฺฉาชีเวน ได้แก่ ด้วยการรับใช้ของคฤหัสถ์มีเดินส่งข่าวเป็นต้นก็ดี ด้วยเวชกรรมมีผ่าฝีเป็นต้นก็ดี. บทว่า วาจสิเกน ได้แก่ ด้วยรับหรือบอกข่าว (ของคฤหัสถ์) เป็นต้น. บทที่ ๓ ท่านกล่าวด้วยอำนาจประกอบบททั้ง ๒ เข้าด้วยกัน. หลายบทว่า อลํ ภิกฺขุ มา ภณฺฑนํ มีความว่า อย่าเลยภิกษุ เธออย่าทำความบาดหมาง อย่าทำความทะเลาะ อย่าทำความแก่งแย่ง อย่าก่อวิวาท. บทว่า น โวหริตพฺโพ ได้แก่ ไม่พึงว่ากล่าวอะไรเลย. จริงอยู่ ภิกษุทั้งหลาย ย่อมไม่สำคัญที่จะพึงฟังถ้อยคำของภิกษุเช่นนั้น แม้ว่ากล่าวอยู่. ข้อว่า น กิสฺมิญฺจิ ปจฺเจกฏฺฐาเน มีความว่า (ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ คือเป็นอลัชชีเป็นต้น) อันสงฆ์ไม่พึงตั้งไว้ในตำแหน่งหัวหน้าไรๆ คือแม้ ตำแหน่งเดียว มีถือพัด (อนุโมทนา) เป็นต้น. สองบทว่า โอกาสํ การาเปนฺตสฺส มีความว่า (ภิกษุผู้ประกอบด้วยองค์ ๓ คือเป็นอลัชชีเป็นต้น) ซึ่งขอโอกาสอยู่อย่างนี้ว่า ขอท่านจงให้โอกาส ข้าพเจ้าอยากพูดกะท่าน. ข้อว่า นาลํ โอกาสกมฺมํ กาตุํ มีความว่า โอกาสอันภิกษุไม่พึงทำว่า ท่านจักทำอะไร? ดังนี้. ข้อว่า สวจนียํ นาทาตพฺพํ มีความว่า คำให้การ ไม่ควรเชื่อถือ คือแม้ถ้อยคำ ก็ไม่ควรฟัง ไม่ควรไปในที่ซึ่งเธอประสงค์จะเกาะตัวไป. หลายบทว่า ตีหงฺเคหิ สมนฺนาคตสฺส ภิกฺขุโน วินโย มีความว่า ภิกษุนั้นย่อมรู้วินัยใด วินัยนั้นย่อมเป็นวินัยของเธอ วินัยนั้น อันสงฆ์ไม่พึงถาม. สองบทว่า อนุโยโค น ทาตพฺโพ มีความว่า สงฆ์ไม่พึงให้โอกาสเพื่อถาม แก่ภิกษุพาลนั้น ผู้ถามอยู่ว่า นี้ควรหรือ? เธออันสงฆ์พึงตอบว่า จงถามภิกษุอื่น. แม้ภิกษุใด ย่อมถามภิกษุนั้น ภิกษุนั้น อันภิกษุผู้บัณฑิตพึงกล่าวว่า ท่านจงถามภิกษุอื่น เพราะเหตุนั้น ภิกษุพาลนั้น อันภิกษุอื่นไม่พึงถามเลยทีเดียว คือคำถามของภิกษุพาลนั้น อันใครๆ ไม่พึงฟัง. สองบทว่า วินโย น สากจฺฉิตพฺโพ มีความว่า ปัญหาวินัยอันใครๆ ไม่พึงสนทนา คือเรื่องที่ควรหรือไม่ควร ก็ไม่พึงสนทนา (กับภิกษุพาลนั้น). ๑- ปาสกาทีหิ, ปาสก = Throw = ทอดลูกบาท - เล่นสกา [ว่าด้วยชาวอบาย ๓ พวกเป็นต้น] สองบทว่า อิทมปฺปหาย ได้แก่ ไม่สละลัทธิมีความเป็นผู้ปฏิญญาว่า ตนเป็นพรหมจารีบุคคลเป็นต้นนั่น. สองบทว่า สุทฺธํ พฺรหฺมจารึ ได้แก่ ภิกษุผู้ขีณาสพ. สองบทว่า ปาตพฺยตํ อาปชฺชติ ได้แก่ ถึงความเป็นผู้ตกไปคือการเสพ. แต่เพราะพระบาลีว่า อิทมปฺปหาย บุคคลนั้น พึงละความปฏิญญาว่าตนเป็นพรหมจารีบุคคลนั้นเสียแล้ว ขอขมาพระขีณาสพเสียว่า ข้าพเจ้า กล่าวเท็จ ขอท่านจงอดโทษแก่ข้าพเจ้า แล้วสละลัทธิที่ว่า โทษในกามทั้งหลายไม่มีเสีย ทำการชำระคติให้สะอาด. อกุศลทั้งหลายด้วย รากเหง้าทั้งหลาย ชื่อว่าอกุศลมูล. อีกอย่างหนึ่ง รากเหง้าของอกุศลทั้งหลาย ชื่อว่าอกุศลมูล. แม้ในกุศลมูล ก็นัยนี้แล. ความประพฤติชั่วหรือความประพฤติผิดรูป ชื่อว่าทุจริต. ความประพฤติเรียบร้อยหรือความประพฤติที่ดี ชื่อว่าสุจริต. ทุจริต ที่ทำด้วยกายอันเป็นทางสำหรับทำ ชื่อว่ากายทุจริต. ในบททั้งปวง ก็นัยนี้แล. คำที่เหลือ นับว่าชัดเจนแล้ว เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในที่นั้นๆ ฉะนี้แล. พรรณนาหมวด ๓ จบ.

03 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด ๒ ว่าด้วยสัญญาวิโมกข์เป็นต้น ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยสัญญาวิโมกข์เป็นต้น
   [๙๔๓] มีอยู่อาบัติเป็นสัญญาวิโมกข์ มีอยู่อาบัติมิใช่สัญญาวิโมกข์. มีอยู่อาบัติของภิกษุผู้ได้สมาบัติ มีอยู่อาบัติของภิกษุผู้ไม่ได้สมาบัติ. มีอยู่อาบัติเกี่ยวด้วยสัทธรรม มีอยู่ อาบัติไม่เกี่ยวด้วยสัทธรรม. มีอยู่อาบัติเกี่ยวด้วยบริขารของตน มีอยู่อาบัติเกี่ยวด้วยบริขารของผู้อื่น. มีอยู่อาบัติเกี่ยวด้วยบุคคล
คือตนเอง มีอยู่อาบัติเกี่ยวด้วยบุคคลอื่น. มีอยู่ภิกษุพูดจริงต้องอาบัติหนัก มีอยู่ภิกษุพูดเท็จต้องอาบัติเบา. มีอยู่ภิกษุพูดเท็จต้องอาบัติหนัก มีอยู่ภิกษุพูดจริงต้องอาบัติเบา. มีอยู่อาบัติภิกษุอยู่บนแผ่นดินจึงต้อง อยู่ในอากาศไม่ต้องมีอยู่อาบัติภิกษุอยู่ในอากาศจึงต้อง อยู่บนแผ่นดินไม่ต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุออกไป
จึงต้องเข้าไปไม่ต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุเข้าไปจึงต้อง ออกไปไม่ต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุถือเอาจึงต้องมีอยู่อาบัติภิกษุไม่ถือเอาจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุสมาทานจึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่สมาทานจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุทำจึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่ทำจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุให้จึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่ให้จึงต้อง.
   มีอยู่อาบัติภิกษุรับจึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่รับจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุต้องเพราะบริโภค มีอยู่อาบัติภิกษุต้อง เพราะไม่บริโภค. มีอยู่อาบัติภิกษุต้องในกลางคืนไม่ต้องในกลางวัน มีอยู่อาบัติภิกษุต้องในกลางวัน ไม่ต้องในกลางคืน. มีอยู่อาบัติภิกษุต้องเพราะอรุณขึ้น มีอยู่ อาบัติภิกษุต้องไม่ใช่เพราะอรุณขึ้น.
มีอยู่อาบัติภิกษุตัดจึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่ตัดจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุปิดจึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่ปิดจึงต้อง. มีอยู่อาบัติภิกษุทรงไว้จึงต้อง มีอยู่อาบัติภิกษุไม่ทรงไว้จึงต้อง.
ว่าด้วยอุโบสถเป็นต้น
       [๙๔๔] อุโบสถมี ๒ คืออุโบสถในวันสิบสี่ ๑ อุโบสถในวันสิบห้า ๑.
       ปวารณามี ๒ คือ ปวารณาในวันสิบสี่ ๑ ปวารณาในวันสิบห้า ๑.
       กรรมมี ๒ คือ อปโลกนกรรม ๑ ญัตติกรรม ๑. กรรมแม้อื่นอีกมี ๒ คือ ญัตติทุติยกรรม ๑ ญัตติจตุตถกรรม ๑.
   วัตถุแห่งกรรมมี ๒ คือวัตถุแห่งอปโลกนกรรม ๑ วัตถุแห่งญัตติกรรม ๑. วัตถุแห่งกรรมแม้อื่นอีกมี ๒ คือ วัตถุแห่งญัตติทุติยกรรม ๑ วัตถุแห่งญัตติจตุตถกรรม ๑.
   โทษแห่งกรรมมี ๒ คือ โทษแห่งอปโลกนกรรม ๑ โทษแห่งญัตติกรรม ๑. โทษแห่งกรรมแม้อื่นอีกมี ๒ คือ โทษแห่งญัตติทุติยกรรม ๑ โทษแห่งญัตติจตุตถกรรม ๑.
   สมบัติแห่งกรรมมี ๒ คือ สมบัติแห่งอปโลกนกรรม ๑ สมบัติแห่งญัตติกรรม ๑. สมบัติแห่งกรรมแม้อื่นอีกมี ๒ คือ สมบัติแห่งญัตติทุติยกรรม ๑ สมบัติแห่งญัตติจตุตถกรรม ๑.
   ภูมิของภิกษุนานาสังวาสมี ๒ คือ ตนเองทำตนให้มีสังวาสต่างกัน ๑ สงฆ์ผู้พร้อมเพรียงกันยกภิกษุนั้นเสีย เพราะไม่เห็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิ ๑.
   ภูมิของภิกษุสมานสังวาสมี ๒ คือ ตนเองทำตนให้มีสังวาสเสมอกัน ๑ สงฆ์พร้อมเพรียงกันเรียกภิกษุนั้นผู้ถูกยกวัตร เพราะไม่เห็นอาบัติ เพราะไม่ทำคืนอาบัติ หรือเพราะไม่สละทิฏฐิ เข้าหมู่ ๑.
ว่าด้วยปาราชิกเป็นต้น
      [๙๔๕] ปาราชิกมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑. สังฆาทิ เสสมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 ถุลลัจจัยมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 ปาจิตตีย์มี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 ปาฏิเทสนียะมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 ทุกกฏมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 ทุพภาสิตมี ๒ คือ ของภิกษุ ๑ ของภิกษุณี ๑.
 อาบัติของภิกษุมี ๗ ของภิกษุณีก็มี ๗.
 กองอาบัติของภิกษุมี ๗ ของภิกษุณีก็มี ๗.
      สงฆ์แตกกันด้วยอาการ ๒ คือ ด้วยกรรม ๑ ด้วยให้จับสลาก ๑.
ว่าด้วยบุคคล
   [๙๔๖] บุคคล ๒ พวก สงฆ์ไม่พึงอุปสมบท คือ ผู้มีกาลบกพร่อง ๑ ผู้มีอวัยวะบกพร่อง ๑.
   บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก สงฆ์ไม่พึงอุปสมบท คือ ผู้มีวัตถุวิบัติ ๑ ผู้มีการกระทำเสียหาย ๑.
   บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก สงฆ์ไม่พึงอุปสมบท คือ ผู้ไม่บริบูรณ์ ๑ ผู้บริบูรณ์ แต่ไม่ขออุปสมบท ๑.
   ไม่ควรอาศัยบุคคล ๒ พวกอยู่ คือ ผู้อลัชชี ๑ ผู้พาล ๑.
   ไม่ควรให้นิสัย แก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้อลัชชี ๑ ผู้ลัชชีแต่ไม่ขอ ๑.
   ควรให้นิสัย แก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้โง่ ๑ ผู้ลัชชีแต่ขอ ๑.
   บุคคล ๒ พวก ไม่ควรต้องอาบัติ คือ พระพุทธเจ้า ๑ พระปัจเจกพุทธเจ้า ๑.
   บุคคล ๒ พวก รวมต้องอาบัติ คือ ภิกษุ ๑ ภิกษุณี ๑.
   บุคคล ๒ พวก ไม่ควรแกล้งต้องอาบัติ คือ ภิกษุชั้นอริยบุคคล ๑ ภิกษุณีชั้นอริยบุคคล ๑.
   บุคคล ๒ พวก ควรแกล้งต้องอาบัติ คือ ภิกษุปุถุชน ๑ ภิกษุณีปุถุชน ๑.
   บุคคล ๒ พวก ไม่ควรแกล้งประพฤติล่วงวัตถุเป็นไปกับด้วยโทษ คือ ภิกษุชั้นอริยบุคคล ๑ ภิกษุณีชั้นอริยบุคคล ๑.
   บุคคล ๒ พวก ควรแกล้งประพฤติล่วงวัตถุเป็นไปกับด้วยโทษ คือ ภิกษุปุถุชน ๑ ภิกษุณีปุถุชน ๑.

ว่าด้วยคัดค้านเป็นต้น
   [๙๔๗] การคัดค้านมี ๒ คือ คัดค้านด้วยกาย ๑ คัดค้านด้วยวาจา ๑.
   การขับออกจากหมู่มี ๒ คือ มีอยู่ บุคคลยังไม่ถึงการขับออก ถ้าสงฆ์ขับบุคคลนั้นออก บางคนเป็นอันขับออกดีแล้ว ๑ บางคนเป็นอันขับออกไม่ดี ๑.
   การเรียกเข้าหมู่มี ๒ คือ มีอยู่ บุคคลยังไม่ถึงการเรียกเข้าหมู่ ถ้าสงฆ์เรียกบุคคลนั้นเข้าหมู่ บางคนเป็นอันเรียกเข้าหมู่ดีแล้ว ๑ บางคนเป็นอันเรียกเข้าหมู่ไม่ดี ๑.
   ปฏิญญามี ๒ คือ ปฏิญญาด้วยกาย ๑ ปฏิญญาด้วยวาจา ๑.
   การรับมี ๒ คือ รับด้วยกาย ๑ รับด้วยของเนื่องด้วยกาย ๑.
การห้ามมี ๒ คือ ห้ามด้วยกาย ๑ ห้ามด้วยวาจา ๑.
การลบล้างมี ๒ คือ ลบล้างสิกขา ๑ ลบล้างโภคะ ๑.
โจทมี ๒ คือ โจทด้วยกาย ๑ โจทด้วยวาจา ๑.
ว่าด้วยความกังวลเป็นต้น
   [๙๔๘] กฐินมีปลิโพธ ๒ คือ ปลิโพธในอาวาส ๑ ปลิโพธในจีวร ๑.
   กฐินไม่มีปลิโพธ ๒ คือ ไม่มีปลิโพธในอาวาส ๑ ไม่มีปลิโพธในจีวร ๑.
   จีวรมี ๒ คือ คหบดีจีวร ๑ บังสุกุลจีวร ๑.
   บาตรมี ๒ คือ บาตรเหล็ก ๑ บาตรดิน ๑.
   เชิงบาตรมี ๒ คือ เชิงบาตรทำด้วยดีบุก ๑ เชิงบาตรทำด้วยตะกั่ว ๑
   อธิษฐานบาตรมี ๒ คือ อธิษฐานด้วยกาย ๑ อธิษฐานด้วยวาจา ๑.
   อธิษฐานจีวรมี ๒ คือ อธิษฐานด้วยกาย ๑ อธิษฐานด้วยวาจา ๑.
   วิกัปมี ๒ คือ วิกัปต่อหน้า ๑ วิกัปลับหลัง ๑.
   วินัยมี ๒ คือ วินัยของภิกษุ ๑ วินัยของภิกษุณี ๑.
   อรรถที่สำเร็จในวินัยมี ๒ คือ ข้อบัญญัติ ๑ ข้ออนุโลมบัญญัติ ๑.
   วินัยมีความขัดเกลา ๒ คือ กำจัดสิ่งไม่ควรด้วยอริยมรรค ๑ ความทำพอประมาณในสิ่งที่ควร ๑ฯ
ว่าด้วยต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ อย่างเป็นต้น
   [๙๔๙] ภิกษุต้องอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ต้องด้วยกาย ๑ ต้องด้วยวาจา ๑.
   ภิกษุออกจากอาบัติด้วยอาการ ๒ คือ ออกด้วยกาย ๑ ออกด้วยวาจา ๑.
   ปริวาสมี ๒ คือ ปฏิจฉันนปริวาส ๑ อัปปฏิจฉันนปริวาส ๑.
   ปริวาสแม้อย่างอื่นมีอีก ๒ คือ สุทธันตปริวาส ๑ สโมธานปริวาส ๑.
   มานัตมี ๒ คือ ปฏิจฉันนมานัต ๑ อัปปฏิจฉันนมานัต ๑.
   มานัตแม้อย่างอื่นมีอีก ๒ คือ ปักขมานัต ๑ สโมธานมานัต ๑.
   รัตติเฉทของบุคคล ๒ คือ ของปริวาสิกภิกษุ ๑ ของมานัตจาริกภิกษุ ๑.

ว่าด้วยไม่เอื้อเฟื้อเป็นต้น
   [๙๕๐] ความไม่เอื้อเฟื้อมี ๒ คือ ไม่เอื้อเฟื้อต่อบุคคล ๑ ไม่เอื้อเฟื้อต่อธรรม ๑.
   เกลือมี ๒ ชนิด คือ เกลือเกิดแต่กำเนิด ๑ เกลือแต่น้ำด่าง ๑.
   เกลือแม้อื่นอีก ๒ ชนิด คือ เกลือทะเล ๑ เกลือดำ ๑.
   เกลือแม้อื่นอีก ๒ ชนิด คือ เกลือสินเธาว์ ๑ เกลือดินโปร่ง ๑.
   เกลือแม้อื่นอีก ๒ ชนิด คือ เกลือโรมกะ ๑ เกลือปักขัลลกะ ๑.
   บริโภคมี ๒ คือ บริโภคภายใน ๑ บริโภคภายนอก ๑.
   ด่ามี ๒ คือ ด่าอย่างคนเลว ๑ ด่าอย่างผู้ดี ๑.
   ส่อเสียดด้วยอาการ ๒ คือ เพื่อทำตนให้เป็นที่รัก ๑ เพื่อมุ่งทำลาย ๑.
   ภิกษุร่วมฉันเป็นหมู่ด้วยอาการ ๒ คือ เพราะเขานิมนต์ ๑ เพราะขอเขา ๑.
   วันเข้าพรรษามี ๒ คือ วันเข้าพรรษาต้น ๑ วันเข้าพรรษาหลัง ๑.
   งดปาติโมกข์ไม่เป็นธรรมมี ๒ งดปาติโมกข์เป็นธรรมมี ๒ ฯ
ว่าด้วยบุคคลพาลและบัณฑิต
   [๙๕๑] บุคคลพาลมี ๒ คือ ผู้รับภาระที่ยังไม่มาถึง ๑ ผู้ไม่รับภาระที่มาถึงแล้ว ๑
   บุคคลบัณฑิตมี ๒ คือ ผู้ไม่รับภาระที่ยังไม่มาถึง ๑ ผู้รับภาระที่มาถึงแล้ว ๑
   บุคคลพาลแม้อื่นอีก ๒ คือ ผู้สำคัญว่าควรในสิ่งที่ไม่ควร ๑ ผู้สำคัญว่าไม่ควรในสิ่งที่ควร ๑
   บุคคลบัณฑิตมี ๒ คือ ผู้สำคัญว่าไม่ควรในสิ่งที่ไม่ควร ๑ ผู้สำคัญว่าควรในสิ่งควร ๑
   บุคคลพาลแม้อื่นอีก ๒ คือ ผู้สำคัญในอนาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอนาบัติ ๑
   บุคคลบัณฑิตมี ๒ คือ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑ ผู้สำคัญในอนาบัติว่าเป็นอนาบัติ ๑
   บุคคลพาลแม้อื่นอีก ๒ คือ ผู้สำคัญในอธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ผู้สำคัญในธรรมว่าเป็นอธรรม ๑
   บุคคลบัณฑิตมี ๒ คือ ผู้สำคัญในอธรรมว่าเป็นอธรรม ๑ ผู้สำคัญในธรรมว่าเป็นธรรม ๑
   บุคคลพาลแม้อื่นอีก ๒ คือ ผู้สำคัญในสภาพมิใช่วินัยว่าเป็นวินัย ๑ ผู้สำคัญในวินัยว่าสภาพมิใช่วินัย ๑
   บุคคลบัณฑิตมี ๒ คือ ผู้สำคัญในสภาพมิใช่วินัยว่าสภาพมิใช่วินัย ๑ ผู้สำคัญในวินัยว่าวินัย ๑ ฯ
ว่าด้วยอาสวะ
   [๙๕๒] อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรประพฤติรังเกียจ ๑ ผู้ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ควรประพฤติรังเกียจ ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้ไม่ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ไม่ควรประพฤติรังเกียจ ๑ ผู้ประพฤติรังเกียจสิ่งที่ควรประพฤติรังเกียจ ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในสิ่งไม่ควรว่าควร ๑ ผู้สำคัญในสิ่งที่ควรว่าไม่ควร ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในสิ่งไม่ควรว่าไม่ควร ๑ ผู้สำคัญในสิ่งที่ควรว่าควร ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอนาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอนาบัติ ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอนาบัติ ๑ ผู้สำคัญในอาบัติว่าเป็นอาบัติ ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอธรรมว่าเป็นธรรม ๑ ผู้สำคัญในธรรมว่าเป็นอธรรม ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในอธรรมว่าเป็นอธรรม ๑ ผู้สำคัญในธรรมว่าเป็นธรรม ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมเจริญแก่บุคคลแม้อื่นอีก ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในสภาพมิใช่วินัยว่าวินัย ๑ ผู้สำคัญในวินัยว่าสภาพมิใช่วินัย ๑.
   อาสวะทั้งหลายย่อมไม่เจริญแก่บุคคล ๒ พวก คือ ผู้สำคัญในสภาพมิใช่วินัยว่าสภาพมิใช่วินัย ๑ ผู้สำคัญในวินัยว่าวินัย ๑.    หมวด ๒ จบ.
หัวข้อประจำหมวด
  [๙๕๓] สัญญา ๑ ศรัทธา ๑ สัทธรรม ๑ บริขาร ๑ บุคคล ๑ จริง ๑ ภูมิออกไป ๑ ถือเอา ๑ สมาทาน ๑ ทำ ๑ ให้ ๑ รับ ๑ บริโภค ๑ กลางคืน ๑ อรุณ ๑ ตัด ๑ ปกปิด ๑ ทรงไว้ ๑ อุโบสถ ๑ ปวารณา ๑ กรรม ๑ กรรมอื่นอีก ๑ วัตถุ ๑ วัตถุอื่นอีก ๑ โทษ ๑ โทษอื่นอีก ๑ สมบัติสองอย่าง ๑
   นานาสังวาสก์ ๑ สมานสังวาสก์ ปาราชิก ๑ สังฆาทิเสส ๑ ถุลลัจจัย ๑ ปาจิตตีย์ ๑ ปาฏิเทสนียะ ๑ ทุกกฏ ๑ ทุพภาสิต ๑ อาบัติเจ็ด ๑ กองอาบัติเจ็ด ๑ สงฆ์แตกกัน ๑ อุปสมบท ๑ อุปสมบทอีกสอง ๑ ไม่อาศัยอยู่ ๑ ไม่ให้ ๑ อภัพบุคคล ๑ ภัพบุคคล ๑ แกล้ง ๑ มีโทษ ๑ คัดค้าน ๑
   ขับออกจากหมู่ ๑ เรียกเข้าหมู่ ๑ ปฏิญญา ๑ รับ ๑ ห้าม ๑ ลบล้าง ๑ โจท ๑ กฐิน ๒ อย่าง ๑ จีวร ๑ บาตร ๑ เชิงบาตร ๑ อธิษฐาน ๒ อย่าง ๑ วิกัป ๑ วินัย ๑ อรรถที่สำเร็จในวินัย ๑ ความขัดเกลา ๑ ต้อง ๑ ออก ๑ ปริวาส ๒ อย่าง ๑ มานัต ๒ อย่าง ๑ รัตติเฉท ๑ ไม่เอื้อเฟื้อ ๑ เกลือ
๒ ชนิด ๑ เกลืออื่นอีก ๓ ชนิด ๑ บริโภค ๑ ด่า ๑ ส่อเสียด ๑ ฉันหมู่ ๑ วันจำพรรษา ๑ งดปาติโมกข์ ๑ ภาระ ๑ สมควร ๑ อนาบัติ ๑ อธรรม ๑ วินัย ๑ อาสวะ ๑.
หัวข้อประจำหมวด จบ
 อรรถกถา ปริวาร  เอกุตตริกะ หมวด ๒
เอกุตตริกวัณณนา วินิจฉัยในหมวด ๒ พึงทราบดังนี้ :-    [พรรณนาหมวด ๒] 
 อาบัติเป็นสจิตตกะ เป็นสัญญาวิโมกข์ อาบัติเป็นอจิตตกะ เป็นโนสัญญาวิโมกข์. 
 อาบัติเพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่จริง ชื่อว่าอาบัติของภิกษุผู้ได้สมาบัติ. 
 อาบัติเพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง ชื่อว่าอาบัติของภิกษุผู้ไม่ได้สมาบัติ. 
 อาบัติในปทโสธัมมสิกขาบทเป็นต้น ชื่อว่าอาบัติเนื่องโดยเฉพาะด้วยสัทธรรม. 
 อาบัติเพราะทุฏฐุลลวาจา ชื่อว่าอาบัติเนื่องโดยเฉพาะด้วยอสัทธรรม. 
   อาบัติเพราะบริโภคบริขารที่ไม่ควรอย่างนี้ คือ เพราะไม่เสียสละวัตถุ เป็นนิสสัคคีย์ก่อนบริโภค เพราะตากบาตรและจีวรไว้นาน เพราะไม่ซักจีวรที่โสมม เพราะไม่ระบมบาตรที่สนิมจับ ชื่อว่า อาบัติเนื่องโดยเฉพาะด้วยบริขารของตน. 
   อาบัติที่พึงต้อง ในเพราะไปเสียด้วยไม่บอกสั่งการที่วางบริขารมีเตียงและตั่งเป็นอาทิของสงฆ์ ไว้กลางแจ้งเป็นต้น ชื่อว่า อาบัติเนื่องโดยเฉพาะด้วยบริขารของผู้อื่น. 
   อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า เป็นอาบัติแก่ภิกษุผู้มีหลังอ่อน ผู้มีองคชาตยาว ผู้หนีบองคชาตด้วยขา ชื่อว่าอาบัติเนื่องโดยเฉพาะด้วยบุคคลคือตนเอง. 
   อาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส ในเพราะเมถุนธรรม กายสังสัคคะและให้ประหารเป็นอาทิ ชื่อว่าอาบัติเนื่องโดยตรงด้วยบุคคลอื่น. 
   ภิกษุเมื่อพูดจริงว่า หล่อนมีหงอน ย่อมต้องอาบัติหนัก. เมื่อพูดเท็จ ย่อมต้องอาบัติเบา โดยพระบาลีว่า เป็นปาจิตตีย์ ในเพราะสัมปชานมุสาวาท. 
   เมื่อพูดเท็จ เพราะอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่มีจริง ต้องอาบัติหนัก. เมื่อพูดจริง เพราะอวดอตุริมนุสธรรมที่มีจริง ต้องอาบัติเบา. 
   ภิกษุเมื่อนั่งอยู่ ณ ส่วนข้างหนึ่ง ภายในสีมา ด้วยตั้งใจว่า เราจักทำสังฆกรรมเป็นพวก ชื่อว่าอยู่บนแผ่นดิน ต้อง (อาบัติ). 
   ก็ถ้าว่า เธอพึงตั้งอยู่ในอากาศแม้เพียงองคุลีเดียว ไม่พึงต้อง; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อยู่ในอากาศ ไม่ต้อง. 
   เมื่อภิกษุเมื่อนั่งทับ ซึ่งเตียงหรือตั่ง อันมีเท้าเสียบในตัวบนร้านสูงซึ่งว่าอยู่ในอากาศ ต้อง (อาบัติ). 
   ก็ถ้าว่า เธอพึงตั้งเตียงและตั่งนั้นบนภาคพื้นแล้วจึงนอน ไม่พึงต้อง; เพราะฉะนั้น ท่านจึงกล่าวว่า อยู่บนภาคพื้น ไม่ต้อง. 
   ภิกษุผู้เตรียมจะไป เมื่อไม่ยังคมิยวัตรให้เต็มไปเสีย ชื่อว่าออกไปอยู่ ต้อง (อาบัติ) เข้าไปอยู่ ไม่ต้อง. 
   ภิกษุอาคันตุกะ ไม่ยังอาคันตุกวัตรให้เต็ม กางร่มสวมรองเท้าเข้าไปอยู่ ชื่อว่าเข้าไปอยู่ ต้อง (อาบัติ) ออกไปอยู่ ไม่ต้อง. 
   ภิกษุณี เมื่อถือเอาการชำระให้สะอาดด้วยน้ำ ลึกเกินไป ชื่อว่าถือเอาอยู่ ต้อง (อาบัติ). 
   ฝ่ายภิกษุ เมื่อไม่ถือเอาสีสำหรับทำให้เศร้าหมอง บริโภคจีวร ชื่อว่าไม่ถือเอาอยู่ ต้อง (อาบัติ). 
   เมื่อสมาทานวัตรของเดียรถีย์ มีมูควัตรเป็นต้น ชื่อว่าสมาทานอยู่ (อาบัติ).
      ฝ่ายภิกษุผู้อยู่ปริวาสเป็นต้นก็ดี ผู้ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมเป็นต้นก็ดี เมื่อไม่สมาทานวัตรของตน ชื่อว่าไม่สมาทานอยู่ ต้อง (อาบัติ). 
      คำที่ว่า มีอยู่ อาบัติ ภิกษุไม่สมาทานอยู่ ย่อมต้อง ดังนี้ท่านกล่าวหมายเอาภิกษุเหล่านั้น. 
      ภิกษุผู้เย็บจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติก็ดี ผู้ทำเวชกรรม ภัณฑาคาริกกรรมและจิตรกรรมก็ดี ชื่อว่าที่ทำอยู่ ต้อง (อาบัติ) ผู้ไม่ทำอุปัชฌายวัตรเป็นต้น ชื่อว่าไม่ทำอยู่ ต้อง (อาบัติ). 
      ภิกษุผู้ให้จีวรแก่ภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ชื่อว่าให้อยู่ ต้อง (อาบัติ). เมื่อไม่ให้บริขารมีจีวรเป็นต้น แก่สัทธิวิหาริกและอันเตวาสิก ชื่อว่าไม่ให้อยู่ ต้อง (อาบัติ). 
      เมื่อถือเอาจีวรของภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ ชื่อว่ารับอยู่ ต้อง (อาบัติ).
      เมื่อไม่ถือเอาซึ่งโอวาท โดยพระบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย โอวาทอันภิกษุณีไม่พึงรับไม่ได้ ดังนี้ ชื่อว่าไม่รับอยู่ ต้อง (อาบัติ).
   เมื่อไม่เสียสละนิสสัคคิยวัตถุก่อนบริโภค ชื่อว่าต้อง (อาบัติ) เพราะบริโภค. 
   เมื่อยังวาระผลัดสังฆาฏิซึ่งมี ๕ วัน ให้ก้าวล่วงไป ชื่อว่าต้อง (อาบัติ) เพราะไม่บริโภค. 
   ชื่อว่าย่อมต้อง (อาบัติ) ในราตรีเป็นที่นอนในเรือนร่วมกัน. เมื่อไม่ปิดประตู เร้นอยู่ ชื่อว่าต้องในกลางวัน ไม่ต้องในกลางคืน.
               เมื่อต้องอาบัติที่ตรัสไว้ เพราะก้าวล่วง ๑ ราตรี ๖ ราตรี ๗ วัน ๑๐ วันและเดือนหนึ่ง ชื่อว่าต้องเพราะอรุณขึ้น. 
               เมื่อห้ามข้าวแล้วฉัน ชื่อว่าต้อง ไม่ใช่เพราะอรุณขึ้น. 
               เมื่อตัดอยู่ซึ่งภูตคามและองคชาต ชื่อว่าตัดอยู่จึงต้อง. 
               เมื่อไม่ปลงผมและไม่ตัดเล็บ ชื่อว่าไม่ตัดอยู่จึงต้อง. 
               เมื่อปิดอาบัติไว้ ชื่อว่าปิดอยู่จึงต้อง. และชื่อว่าไม่ปกปิดอยู่ต้องอาบัตินี้ (ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส) ว่า อันภิกษุพึงปกปิดด้วยหญ้า
หรือใบไม้แล้วจึงไป ฝ่ายภิกษุผู้เปลือย อย่าพึงไปเลย ภิกษุใดไป ภิกษุนั้นต้องทุกกฏ. 
               เมื่อทรงไว้ ซึ่งผ้าคากรองเป็นต้น ชื่อว่าทรงไว้ จึงต้อง. 
               ชื่อว่าไม่ทรงไว้จึงต้องอาบัตินี้ (ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัส) ว่า ภิกษุบาตรนี้ เธอพึงทรงไว้จนกว่าจะแตก. 
               ข้อว่า อตฺตนา วา อตฺตานํ นานาสํวาสกํ กโรติ มีความว่า เมื่อสงฆ์ ๒ ฝ่ายนั่งในสีมาเดียวกัน ภิกษุนั่งในฝ่ายหนึ่ง ถือเอาลัทธิของ
อีกฝ่ายหนึ่ง ชื่อว่าตนเองทำตนเองให้เป็นนานาสังวาสก์ ของภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น ในฝ่ายที่ตนนั่งนั้น. ตนนั่งแล้วในสำนักของภิกษุ
เหล่าใด แม้เป็นคณปูรกะของภิกษุณีเหล่านั้น ชื่อว่าย่อมยังกรรมให้กำเริบ เพราะตนไม่มาเข้าหัตถบาสของอีกฝ่ายหนึ่ง. 
               แม้ในสมานสังวาสก์ก็มีนัยเหมือนกัน. จริงอยู่ ภิกษุนั้น ชอบใจลัทธิของพวกใด ย่อมเป็นสมานสังวาสก์ของพวกนั้น เป็นนานาสังวาสก์
ของอีกพวกหนึ่ง. 
               ข้อว่า สตฺต อาปตฺติโย สตฺต อาปตฺติกฺขนฺธา มีความว่า หมวด ๒ (แห่งอาบัติ) อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงด้วยอำนาจแห่ง
ชื่อว่า มี ๒ ชื่อเท่านั้น อย่างนี้ คือ ชื่อว่าอาบัติ เพราะเป็นวีติกกมะที่จะพึงต้องชื่อว่ากอง เพราะอรรถว่าเป็นที่อยู่. 
               วินิจฉัยในคำว่า กมฺเมน วา สลากคาเหน วา นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
               อุทเทสและกรรมเป็นอันเดียวกัน. โวหารอนุสาวนาและการจับสลากเป็นอันเดียวกัน. โวหารอนุสาวนาและการจับสลาก เป็นบุพภาค.
กรรมและอุทเทสเป็นสำคัญ. 
               บุคคลผู้มีอายุหย่อน ๒๐ ปี ชื่อว่าผู้มีกาลบกพร่อง. บุคคลผู้มีบรรพชา โทษต่างโดยชนิดมีผู้มีมือด้วนเป็นต้น ชื่อว่าผู้มีอวัยวะบกพร่อง. 
               บัณเฑาะก์ สัตว์ดิรัจฉาน และอุภโตพยัญชนก ชื่อว่าผู้มีวัตถุวิบัติ. 
               อภัพบุคคล ๘ ที่ยังเหลือ มีผู้ลักสังวาสเป็นต้น ชื่อว่าผู้มีความกระทำเสียหาย. 
               ผู้มีกรรมอันตนทำเสีย ชื่อว่าผู้มีความกระทำเสียหาย. อธิบายว่า ผู้ถึงฐานแห่งอภัพบุคคล เพราะกรรมของตนที่ทำเองในอัตภาพนี้ทีเดียว. 
               ผู้มีบาตรจีวรไม่ครบ ชื่อว่าผู้ไม่บริบูรณ์. บุคคลไม่ขออุปสมบทชื่อว่าบุคคลไม่ขอ. 
               สองบทว่า อลชฺชิสฺส จ พาลสฺส จ มีความว่า ภิกษุอลัชชีแม้หากว่าเป็นผู้ทรงพระไตรปิฎก ภิกษุพาล แม้หากว่า เป็นผู้มีพรรษา ๖๐ อัน
ภิกษุไม่พึงอาศัยอยู่ทั้ง ๒. 
               วินิจฉัยในคำว่า พาลสฺส จ อลชฺชิสฺส จ ยาจติ นี้ พึงทราบดังนี้ :- 
               นิสัยอันบุคคลผู้ให้นิสัย พึงให้ แม้ด้วยสั่งบังคับว่า เธอจงถือนิสัยในสำนักภิกษุผู้โง่. แต่พึงให้แก่ภิกษุลัชชีผู้ขออยู่แท้. 
               บทว่า สาติสารํ มีความว่า เมื่อประพฤติล่วงวัตถุใด ย่อมต้องอาบัติ วัตถุนั้นชื่อว่าเป็นไปกับด้วยโทษ. 
               การคัดค้าน ด้วยกายวิการ มีหัตถวิการเป็นอาทิ ชื่อว่าคัดค้านด้วยกาย. 
               ข้อว่า กาเยน วา ปฏิชานาติ ได้แก่ ปฏิญญาด้วยกายวิการมีหัตถวิการเป็นต้น. 
               การล้างผลาญ ชื่อว่าการเข้าไปทำร้าย. 
               การล้างผลาญสิกขา ชื่อว่าการเข้าไปทำร้ายสิกขา. 
               การล้างผลาญเครื่องบริโภค ชื่อว่าการเข้าไปทำร้ายโภคะ.
               ใน ๒ อย่างนั้น พึงทราบการล้างผลาญสิกขาของภิกษุผู้ไม่ศึกษาสิกขา ๓. พึงทราบการล้างผลาญโภคะ ของภิกษุผู้ใช้สอยเครื่องบริโภค
ของสงฆ์ หรือของบุคคลเสียหายไป. 
               ข้อว่า เทฺว เวนยิกา ได้แก่ อรรถ ๒ อย่างสำเร็จในวินัย. 
               ข้อที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติ ด้วยอำนาจวัตถุที่ควรและไม่ควรในวินัยปิฎกทั้งสิ้น ชื่อว่าข้อบัญญัติ. ที่ชื่อว่าอนุโลมบัญญัติ
พึงเห็นในมหาปเทส ๔. 
               การผลาญปัจจัยเสีย ชื่อว่ารื้อสะพาน. อธิบายว่า ภิกษุพึงทำกรรมอันไม่ควรด้วยจิตใด การที่ไม่ยังจิตแม้นั้นให้เกิดขึ้น ชื่อว่าการรื้อสะพานเสีย. 
               การกระทำโดยประมาณ คือโดยพอเหมาะ. อธิบายว่า ความตั้งอยู่ในความพอเหมาะ ชื่อว่าความเป็นผู้กระทำพอประมาณ. 
               ข้อว่า กาเยน อาปชฺชติ มีความว่า ต้องอาบัติที่เกิดทางกายทวาร ด้วยกาย. ต้องอาบัติที่เกิดทางวจีทวาร ด้วยวาจา. 
               ข้อว่า กาเยน วุฏฺฐาติ มีความว่า แม้เว้นการแสดงในติณวัตถารกสมถะเสีย ชื่อว่าย่อมออกด้วยกายเท่านั้น. แต่เมื่อแสดงแล้วออก
ชื่อว่าย่อมออกด้วยวาจา. 
               บริโภคด้วยการกลืนกิน ชื่อว่าบริโภคภายใน. การทาศีรษะเป็นอาทิ ชื่อว่าบริโภคภายนอก. 
               ข้อว่า อนาคตํ ภารํ วหติ มีความว่า ภิกษุผู้มิได้เป็นเถระ แต่นำภาระมีถือพัดและเชิญแสดงธรรมเป็นอาทิ ที่พระเถระทั้งหลายจะพึงนำ
คือเริ่มความเพียรที่จะรับภาระนั้น. 
               ข้อว่า อาคตํ ภารํ น วหติ มีความว่า ภิกษุผู้เป็นเถระ แต่ไม่ทำกิจของพระเถระ. อธิบายว่า ให้เสื่อมเสียกิจทั้งปวงมีอาทิอย่างนี้ว่า
ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้ภิกษุผู้เป็นเถระแสดงธรรมเองบ้าง, อนุญาตให้ภิกษุผู้เถระเชิญภิกษุอื่นบ้าง, ภิกษุทั้งหลาย
เราอนุญาตปาฏิโมกข์ให้เป็นกิจมีพระเถระเป็นใหญ่. 
               ข้อว่า น กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ กุกฺกุจฺจายติ มีความว่า ประพฤติรังเกียจ ทำสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ. 
               ข้อว่า กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ น กุกฺกุจฺจายติ มีความว่า ภิกษุไม่ประพฤติรังเกียจทำสิ่งที่น่ารังเกียจ. อธิบายว่า อาสวะทั้งหลายของภิกษุ ๒ พวก
นั่น ย่อมเพิ่มพูนทั้งกลางวันและกลางคืน. 
               เนื้อความแม้ในหมวด ๒ อันเป็นลำดับไป พึงทราบด้วยอำนาจแห่งเนื้อความ ที่ตรงกันข้ามกับที่กล่าวแล้ว. 
               บทที่เหลือ นับว่ามีเนื้อความชัดทั้งนั้น เพราะมีนัยดังกล่าวแล้วในบทนั้นๆ.
                              พรรณนาหมวด ๒ จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ภิกขุนีวิภังค์ ๑๖ มหาวาร เอกุตตริกะ หมวด ๑ ว่าด้วยธรรมก่ออาบัติเป็นต้น

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
ว่าด้วยธรรมก่ออาบัติเป็นต้น
   [๙๔๑] พึงรู้ธรรมที่ก่ออาบัติ. พึงรู้ธรรมที่ไม่ก่ออาบัติ. พึงรู้อาบัติ. พึงรู้อนาบัติ. พึงรู้อาบัติเบา. พึงรู้อาบัติหนัก. พึงรู้อาบัติมีส่วนเหลือ. พึงรู้อาบัติหาส่วนเหลือมิได้. พึงรู้อาบัติชั่วหยาบ. พึงรู้อาบัติไม่ชั่วหยาบ. พึงรู้อาบัติที่ทำคืนได้. พึงรู้อาบัติที่ทำคืนไม่ได้. พึงรู้อาบัติที่เป็นเทสนาคามินี.
   พึงรู้อาบัติที่ไม่เป็นเทสนาคามินี. พึงรู้อาบัติที่ทำอันตราย. พึงรู้อาบัติที่ไม่ทำอันตราย. พึงรู้อาบัติที่ทรงบัญญัติพร้อมทั้งโทษ. พึงรู้อาบัติที่ทรงบัญญัติไม่มีโทษ. พึงรู้อาบัติที่เกิดแต่การทำ. พึงรู้อาบัติที่เกิดแต่การไม่ทำ. พึงรู้อาบัติที่เกิดแต่การทำและไม่ทำ พึงรู้อาบัติก่อน. พึงรู้อาบัติหลัง.
   พึงรู้อาบัติระหว่างแห่งอาบัติก่อน. พึงรู้อาบัติระหว่างแห่งอาบัติหลัง. พึงรู้อาบัตินับเข้าในจำนวนที่แสดงแล้ว. พึงรู้อาบัติไม่นับเข้าในจำนวนที่แสดงแล้ว. พึงรู้บัญญัติ. พึงรู้อนุบัญญัติ. พึงรู้อนุปันนบัญญัติ. พึงรู้สัพพัตถบัญญัติ. พึงรู้ปเทสบัญญัติ. พึงรู้สาธารณบัญญัติ. พึงรู้อสาธารณบัญญัติ.
   พึงรู้เอกโตบัญญัติ. พึงรู้อุภโตบัญญัติ. พึงรู้อาบัติมีโทษหนัก. พึงรู้อาบัติมีโทษเบา. พึงรู้อาบัติที่เกี่ยวกับคฤหัสถ์. พึงรู้อาบัติที่ไม่เกี่ยวกับคฤหัสถ์. พึงรู้อาบัติที่แน่นอน. พึงรู้อาบัติที่ไม่แน่นอน. พึงรู้บุคคลผู้ทำทีแรก. พึงรู้บุคคลผู้ไม่ทำทีแรก. พึงรู้บุคคลผู้ต้องอาบัติไม่เป็นนิจ. พึงรู้บุคคลผู้ต้องอาบัติเนืองๆ.
   พึงรู้บุคคลผู้เป็นโจทก์. พึงรู้บุคคลผู้เป็นจำเลย. พึงรู้บุคคลผู้ฟ้องไม่เป็นธรรม. พึงรู้บุคคลผู้ถูกฟ้องไม่เป็นธรรม. พึงรู้บุคคลผู้ฟ้องเป็นธรรม. พึงรู้บุคคลผู้ถูกฟ้องเป็นธรรม. พึงรู้บุคคลผู้แน่นอน. พึงรู้บุคคลผู้ไม่แน่นอน. พึงรู้บุคคลผู้ควรต้องอาบัติ. พึงรู้บุคคลผู้ไม่ควรต้องอาบัติ. พึงรู้บุคคลผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร.
   พึงรู้บุคคลผู้ไม่ถูกสงฆ์ยกวัตร. พึงรู้บุคคลผู้ถูกนาสนะ. พึงรู้บุคคลผู้ไม่ถูกนาสนะ. พึงรู้บุคคลผู้มีสังวาสเสมอกัน. พึงรู้บุคคลผู้มีสังวาสต่างกัน. พึงรู้การงดปาติโมกข์ แล.   หมวด ๑ จบ

หัวข้อประจำหมวด
       [๙๔๒] ก่ออาบัติและไม่ก่ออาบัติ อาบัติและอนาบัติ อาบัติเบาและอาบัติหนัก อาบัติมีส่วนเหลือและอาบัติหาส่วนเหลือมิได้ อาบัติชั่วหยาบและไม่ชั่วหยาบ อาบัติทำคืนได้ และทำคืนไม่ได้ อาบัติแสดงได้และแสดงไม่ได้ อาบัติทำอันตรายและไม่ทำอันตราย อาบัติมีโทษและไม่มีโทษ อาบัติเกิดแต่การทำ
และไม่ทำ อาบัติเกิดแต่การทำด้วยการไม่ทำด้วย อาบัติที่ต้องก่อนและต้องหลังอันตราบัติ อาบัติที่นับเข้าในจำนวนและไม่นับเข้าในจำนวน บัญญัติและอนุบัญญัติ อนุปันนบัญญัติ สัพพัตถบัญญัติและปเทสบัญญัติ สาธารณบัญญัติและอสาธารณบัญญัติ เอกโตบัญญัติและอุภโตบัญญัติ อาบัติชั่วหยาบและไม่ชั่วหยาบ
อาบัติเกี่ยวกับคฤหัสถ์ และไม่เกี่ยวกับคฤหัสถ์ อาบัติแน่นอนและไม่แน่นอน บุคคลผู้ทำทีแรกและไม่ได้ทำทีแรก ผู้ต้องอาบัติไม่เป็นนิจ ผู้ต้องอาบัติเนืองๆ โจทก์และจำเลย ผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องไม่เป็นธรรม ผู้ฟ้องและผู้ถูกฟ้องเป็นธรรม ผู้แน่นอนและไม่แน่นอน ผู้ควรต้องอาบัติและไม่ควรต้องอาบัติ ผู้ถูกยกวัตร และไม่
ถูกยกวัตร ผู้ถูกนาสนะและไม่ถูกนาสนะ ผู้มีสังวาสเสมอกันและมีสังวาสต่างกัน การงด หัวข้อดังกล่าวนี้จัดเป็นหมวด ๑.
หัวข้อประจำหมวด จบ
อรรถกถา ปริวาร เอกุตตริกะ หมวด

เอกุตตริกวัณณนา วินิจฉัยในเอกุตตริกนัย มีคำว่า อาปตฺติกรา ธมฺมา ชานิตพฺพา เป็นอาทิ พึงทราบดังนี้ :- 
  [พรรณนาหมวด ๑]
   อาปัตติสมุฏฐาน ๖ ชื่อกรรมก่ออาบัติ. จริงอยู่ บุคคลย่อมต้องอาบัติ ด้วยอำนาจแห่งธรรมเหล่านั้น เพราะเหตุนั้น ธรรมเหล่านั้น ท่านจึงกล่าวว่าก่ออาบัติ. 
         สมถะ ๗ ชื่อธรรมก่ออาบัติ. 
         สองบทว่า อาปตฺติ ชานิตพฺพา ได้แก่ พึงรู้จักอาบัติที่ท่านกล่าวไว้ในสิกขาบทและวิภังค์นั้นๆ. 
         บทว่า อนาปตฺติ ได้แก่ พึงรู้จักอนาบัติที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุ ไม่เป็นอาบัติ แก่ภิกษุผู้ไม่ยินดีอยู่. 
         บทว่า ลหุกา ได้แก่ พึงรู้จักอาบัติ ๕ อย่าง โดยความหมดจดด้วยวินัยกรรมที่เบา. 
         บทว่า ครุกา ได้แก่ พึงรู้จักอาบัติสังฆาทิเสส โดยความหมดจด โดยวินัยกรรมที่หนัก และพึงรู้จักอาบัติปาราชิก โดยความเป็นอาบัติที่ไม่สามารถเพื่อน้อมเข้าไปสู่ความเป็นอนาบัติ โดยอาการไรๆ. 
         บทว่า สาวเสสา ได้แก่ พึงรู้จักอาบัติที่เหลือ เว้นปาราชิกเสีย. 
         บทว่า อนวเสสา ได้แก่ อาบัติปาราชิก. 
   อาบัติ ๒ กอง หยาบร้าย. อาบัติที่เหลือ ไม่หยาบร้าย. 
   อาบัติที่ยังทำคืนได้ ๒ หมวด เช่นกับอาบัติที่มีส่วนเหลือ ๒ หมวด อาบัติที่เป็นเทสนาคามินี ๒ หมวด รวมเข้ากับอาบัติเบา ๒ หมวด. 
   อาบัติทั้ง ๗ กอง ชื่อว่า ธรรมทำอันตราย. อาบัติที่ภิกษุแกล้งละเมิด ย่อมทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพาน เพราะฉะนั้น อาบัติที่ภิกษุแกล้งละเมิด จึงชื่อว่าทำอันตราย.
         ส่วนอาบัติที่มีโทษตามพระบัญญัติ อันภิกษุผู้ไม่รู้อยู่ละเมิดแล้วหาทำอันตรายแก่สวรรค์และนิพพานไม่ เพราะฉะนั้น อาบัติที่มีโทษตามพระบัญญัติ จึงชื่อว่าไม่ทำอันตราย. 
         ทางแห่งสวรรค์และนิพพาน อันอันตรายิกาบัติไม่ห้ามแล้ว แม้แก่ภิกษุผู้ต้องอันตรายิกาบัติแล้ว แสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินีเสีย ออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินีเสียแล้วถึงความบริสุทธิ์ และผู้ตั้งอยู่ในภูมิของสามเณรฉะนี้แล. 
         อาบัติที่มีโทษทางโลก ชื่อว่า อาบัติที่ทรงบัญญัติพร้อมทั้งโทษ. 
         อาบัติที่มีโทษตามพระบัญญัติ ชื่อว่า อาบัติที่ทรงบัญญัติไม่มีโทษ. 
         ภิกษุทำอยู่จึงต้องอาบัติใด อาบัตินั้น ชื่อว่าเกิดเพราะกระทำเหมือนอาบัติปาราชิก. 
         ภิกษุยังไม่ทำอยู่ จึงต้องอาบัติใด อาบัตินั้น ชื่อว่าเกิดเพราะไม่ทำเหมือนอาบัติที่ต้องเพราะไม่อธิษฐานจีวร. 
         ภิกษุทำอยู่ด้วย ไม่ทำอยู่ด้วย ย่อมต้องอาบัติใด อาบัตินั้น ชื่อว่าเกิดเพราะทำและไม่ทำ เหมือนอาบัติในกุฏการสิกขาบท. 
         อาบัติที่ต้องทีแรก ชื่อว่าปุพพาบัติ. อาบัติที่ภิกขุผู้อยู่ปริวาสเป็นต้น ต้องในภายหลัง ชื่อว่าอปราบัติ. 
         อันตราบัติแห่งวิธีเครื่องหมดจด อันสงฆ์ให้ในอาบัติเดิม ชื่อว่าอันตราบัติแห่งปุพพาบัติทั้งหลาย. 
         อันตราบัติแห่งวิธีเครื่องหมดจด กล่าวคืออัคฆสโมธาน ชื่อว่าอันตราบัติแห่งอปราบัติ. 
         ส่วนในกุรุนทีแก้ว่า อาบัติที่ต้องก่อน ชื่อปุพพาบัติ อาบัติที่ต้องในเวลาที่ควรแก่มานัตต์ ชื่ออปราบัติ อาบัติที่ต้องในปริวาส ชื่ออันตราบัติแห่งปุพพาบัติ อาบัติที่ต้องในขณะประพฤติมานัตต์ ชื่ออันตราบัติแห่งอปราบัติ. แม้คำนี้ ก็ถูกโดยปริยายอันหนึ่ง. 
         อาบัติใด อันภิกษุทำความทอดธุระแสดงเสีย ด้วยตั้งใจว่า เราจักไม่ต้องอีก อาบัตินั้น ชื่อว่าอันภิกษุแสดงแล้ว นับเข้าในจำนวน (อาบัติที่แสดงแล้ว). 
         อาบัติใด อันภิกษุไม่ทำความทอดธุระ แสดงเสียด้วยจิตที่ยังมีความอุกอาจ ไม่บริสุทธิ์ทีเดียว อาบัตินั้น ชื่อว่าอันภิกษุแสดงแล้ว ไม่นับเข้าในจำนวน. 
         จริงอยู่ อาบัตินี้แม้แสดงแล้ว ก็ไม่นับเข้าในจำนวนอาบัติที่แสดงแล้ว. ในวัตถุที่ ๘ ย่อมเป็นเฉพาะปาราชิก แก่ภิกษุณี. 
         ใน ๙ บท มีบทที่ว่า ปญฺญตฺติ ชานิตพฺพา เป็นอาทิ พึงทราบวินิจฉัย ตามนัยที่กล่าวแล้วในข้อถามถึงปฐมปาราชิกนั่นแล. 
         อาบัติหนัก ที่ทรงบัญญัติเพราะโทษล่ำ ชื่อว่าอาบัติมีโทษล่ำ
         อาบัติเบา ชื่อว่าอาบัติมีโทษไม่ล่ำ. 
         อาบัติของพระสุธัมมัตเถระ และอาบัติที่ต้องเพราะแกล้งทำคำรับที่เป็นธรรมให้คลาดเคลื่อน ชื่อว่าอาบัติเนื่องโดยตรงกับคฤหัสถ์. 
         อาบัติทั้งหลายที่เหลือ ชื่อว่าอาบัติไม่เนื่องโดยตรงกับคฤหัสถ์. 
         อาบัติที่นับว่าเป็นอนันตริยกรรม ๕ ชื่อว่าอาบัติเที่ยง. อาบัติที่เหลือชื่อว่าอาบัติไม่เที่ยง. 
         ภิกษุผู้เป็นต้นบัญญัติ มีพระสุทินนเถระเป็นต้น ชื่อว่าภิกษุผู้ทำทีแรก. ภิกษุผู้ก่ออนุบัญญัติ มีพระมักกฏีสมณะเป็นอาทิ ชื่อว่าภิกษุ ผู้ไม่ได้ทำทีแรก. 
         ภิกษุใด ต้องอาบัติในบางคราวบางครั้ง ภิกษุนั้น ชื่อว่าผู้ต้องอาบัติ ไม่เป็นนิตย์. 
   ภิกษุใด ต้องเป็นนิตย์ ภิกษุนั้น ชื่อว่าต้องอาบัติเนืองๆ. 
   ภิกษุใด ฟ้องภิกษุอื่นด้วยวัตถุหรืออาบัติ ภิกษุนั้น ชื่อว่าโจทก์. ฝ่ายภิกษุใด ถูกฟ้องอย่างนั้น ภิกษุนี้ ชื่อว่าจำเลย. 
   ภิกษุผู้ไม่ตั้งอยู่ในธรรม ๑๕ ประการ ฟ้องด้วยวัตถุไม่จริง ชื่อว่าผู้ฟ้องไม่เป็นธรรม. ภิกษุผู้จำเลยถูกโจทก์นั้นฟ้องอย่างนั้น ชื่อว่าผู้ถูกฟ้องไม่เป็นธรรม. 
 โจทก์และจำเลยที่เป็นธรรม พึงทราบโดยปริยายอันแผกกัน. 
   บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรมทั้งหลาย อันเที่ยงโดยความเป็นธรรมผิดก็ดี อันเที่ยงโดยความเป็นธรรมชอบก็ดี ชื่อว่าผู้เที่ยง. 
         บุคคลผู้แผกไป ชื่อว่าผู้ไม่เที่ยง. 
         พระสาวกทั้งหลาย ชื่อว่าผู้พอเพื่อต้องอาบัติ. พระพุทธเจ้าและพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ชื่อว่าผู้ไม่พอเพื่อต้องอาบัติ.
 บุคคลที่ถูกสงฆ์ลงอุกเขปนียกรรม ชื่อว่าผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร. 
         บุคคลที่ถูกสงฆ์ลงกรรม ๔ อย่างที่เหลือ มีตัชชนียกรรมเป็นต้น ชื่อว่าผู้ไม่ถูกสงฆ์ยกวัตร. 
         จริงอยู่ ภิกษุที่ถูกสงฆ์ลงตัชชนียกรรมเป็นต้นนี้ ไม่ยังอุโบสถหรือปวารณาหรือธรรมบริโภค หรืออามิสบริโภคให้กำเริบ. 
         เฉพาะบุคคลที่พระผู้มีพระภาคเจ้าให้ฉิบหายเสียด้วยลิงคนาสนาทัณฑกัมมนาสนาและสังวาสนาสนา อย่างนี้ว่า สงฆ์พึงยังเมตติยาภิกษุณีให้ฉิบหาย บุคคลผู้ประทุษร้ายพึงให้ฉิบหาย สมณุทเทสชื่อกัณฏกะ สงฆ์พึงให้ฉิบหาย ดังนี้ ชื่อว่าผู้ถูกนาสนา บุคคลทั้งปวงที่เหลือ ชื่อว่าผู้ไม่ถูกนาสนา. 
         ธรรมที่เป็นที่อยู่ร่วมกัน มีอุโบสถเป็นอาทิ กับบุคคลใดมีอยู่ บุคคลนี้ชื่อว่าผู้มีสังวาสเสมอกัน. บุคคลนอกนั้น ชื่อว่าผู้มีสังวาสต่างกัน. 
         บุคคลผู้มีสังวาสต่างกันนั้น มี ๒ พวก คือกัมมนานาสังวาสพวกหนึ่ง ลัทธินานาสังวาสพวกหนึ่ง. 
         สองบทว่า ฐปนํ ชานิตพฺพํ มีความว่า พึงทราบการงดปาฏิโมกข์ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้โดยนัยเป็นต้นว่า ภิกษุทั้งหลาย การงดปาฏิโมกข์ไม่เป็นธรรมอย่างหนึ่ง ฉะนี้แล.
 พรรณนาหมวด ๑ จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร ขันธกปุจฉา คำถามและคำตอบเกี่ยวกับอาบัติ

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
[๙๑๘] ข้าพเจ้าจักถามอุปสัมปทาขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบอุปสัมปทาขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๒ ตัว.
   [๙๑๙] ข้าพเจ้าจักถามอุโปสถขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบอุโปสถขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๒๐] ข้าพเจ้าจักถามวัสสูปนายิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบวัสสูปนายิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๒๑] ข้าพเจ้าจักถามปวารณาขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบปวารณาขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๒๒] ข้าพเจ้าจักถามจัมมสัญญุตตขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบจัมมสัญญุตตขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๒๓] ข้าพเจ้าจักถามเภสัชชขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบเภสัชชขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๒๔] ข้าพเจ้าจักถามกฐินขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบกฐินขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุดในกฐินขันธกะนั้นไม่มีปรับอาบัติ.
   [๙๒๕] ข้าพเจ้าจักถามจีวรสัญญุตตขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบจีวรสัญญุตตขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุดปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๒๖] ข้าพเจ้าจักถามจัมเปยยขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบจัมเปยยขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุดปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๒๗] ข้าพเจ้าจักถามโกสัมพิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบโกสัมพิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๒๘] ข้าพเจ้าจักถามกัมมขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบกัมมขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๒๙] ข้าพเจ้าจักถามปาริวาสิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบปาริวาสิกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๓๐] ข้าพเจ้าจักถามสมุจจยขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบสมุจจยขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๓๑] ข้าพเจ้าจักถามสมถขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบสมถขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๒ ตัว.
   [๙๓๒] ข้าพเจ้าจักถามขุททกวัตถุขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบขุททกวัตถุขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๓๓] ข้าพเจ้าจักถามเสนาสนขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบเสนาสนขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๓ ตัว.
   [๙๓๔] ข้าพเจ้าจักถามสังฆเภทขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบสังฆเภทขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๒ ตัว.
   [๙๓๕] ข้าพเจ้าจักถามขันธกะว่าด้วยสมาจาร พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบขันธกะว่าด้วยสมาจาร พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๓๖] ข้าพเจ้าจักถามขันธกะว่าด้วยปาติโมกข์ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศพระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบขันธกะว่าด้วยปาติโมกข์ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๑ ตัว.
   [๙๓๗] ข้าพเจ้าจักถามภิกขุนีขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบภิกขุนีขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติ ๒ ตัว.
   [๙๓๘] ข้าพเจ้าจักถามปัญจสติกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
   ข้าพเจ้าจักตอบปัญจสติกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุดในปัญจสติกขันธกะนั้น ไม่มีปรับอาบัติ.
  [๙๓๙] ข้าพเจ้าจักถามสัตตสติกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุด ปรับอาบัติเท่าไร?
  ข้าพเจ้าจักตอบสัตตสติกขันธกะ พร้อมทั้งนิทาน พร้อมทั้งนิเทศ พระบัญญัติสูงสุดในสัตตสติกขันธกะนั้น ไม่มีปรับอาบัติ.  ขันธกปุจฉาที่ ๑ จบ

หัวข้อประจำเรื่อง
       [๙๔๐] อุปสัมปทาขันธกะ ๑ อุโปสถขันธกะ ๑ วัสสูปนายิกขันธกะ ๑ ปวารณาขันธกะ ๑ จัมมขันธกะ ๑ เภสัชชขันธกะ ๑ กฐินขันธกะ ๑ จีวรขันธกะ ๑ จัมเปยยขันธกะ ๑ โกสัมพิกขันธกะ ๑ กัมมขันธกะ ๑ ปาริวาสิกขันธกะ ๑ สมุจจยขันธกะ ๑ สมถขันธกะ ๑
ขุททกขันธกะ ๑ เสนาสนขันธกะ ๑
      สังฆเภทขันธกะ ๑ สมาจารขันธกะ ๑ ปาติโมกขฐปนขันธกะ ๑ ภิกขุนีขันธกะ ๑ ปัญจสติกขันธกะ ๑ สัตตสติกขันธกะ ๑ฯ
หัวข้อประจำเรื่อง จบ

 อรรถกถา ปริวาร ขันธกปุจฉา คำถามและคำตอบเกี่ยวกับอาบัติ

ขันธกปุจฉาวัณณนา

   สองบทว่า อุปสมฺปทํ ปุจฺฉิสฺสํ มีความว่า ข้าพเจ้าจักถามถึงอุปสัมปทาขันธกะ. 
   สองบทว่า สนิทานํ สนิทฺเทสํ มีความว่า ข้าพเจ้าจักถามพร้อมด้วยต้นเหตุ และอธิบาย. 
   หลายบทว่า สมุกฺกฎฺฐปทานํ กติ อาปตฺติโย มีความว่า บทเหล่าใดเป็นบทอุกฤษฏ์ คือ เป็นบทสูงสุด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ในอุปสัมปทาขันธกะนั้น บทอุกฤษฏ์โดยย่อ มีอาบัติเท่าไร? 
   อาบัติใดๆ อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติด้วยบทใดๆ, อาบัตินั้นๆ ท่านกล่าวว่า อาบัติแห่งบทนั้นๆ. เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า บทสูงสุดทั้งหลาย มีอาบัติเท่าไร? 
   สองบทว่า เทฺว อาปตฺติโย มีความว่า เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ยังบุคคลมีอายุหย่อน ๒๐ ปีให้อุปสมบท, เป็นทุกกฏในบททั้งปวงที่เหลือ. 
   บทว่า ติสฺโส มีความว่า ในอุโปสถักขันธกะ มีอาบัติ ๓ อย่างนี้ คือ เป็นถุลลัจจัย เพราะทำอุโบสถแห่งภิกษุทั้งหลายผู้มุ่งความแตกกันเป็นใหญ่แก่ผู้กล่าวอยู่ว่า ภิกษุเหล่านี้ จงฉิบหาย. ภิกษุเหล่านี้ จงวอดวาย, ประโยชน์อะไร ด้วยภิกษุเหล่านั้น, เป็นปาจิตตีย์ แม้เพราะทำอุโบสถร่วมกับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร, เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   บทว่า เอกา มีความว่า ในวัสสูปนายิกขันธกะ มีอาบัติทุกกฏชนิดเดียวเท่านั้น. 
   บทว่า ติสฺโส มีความว่า แม้ในปวารณาขันธกะ ก็มีอาบัติ ๓ อย่างนี้ คือ เป็นถุลลัจจัย แก่ภิกษุผู้มุ่งความแตกกันเป็นใหญ่ ปวารณาอยู่, เป็นปาจิตตีย์ แก่ภิกษุผู้ปวารณากับภิกษุผู้ถูกสงฆ์ยกวัตร, เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   บทว่า ติสฺโส มีความว่า แม้ในจัมมสังยุตต์ ก็มีอาบัติ ๓ อย่างนี้ คือ เป็นปาจิตตีย์ แก่พวกภิกษุฉัพพัคคีย์ ผู้จับแม่โคสาวให้ (จมน้ำ) ตาย, เป็นถุลลัจจัย เพราะมีจิตกำหนัดถูกองคชาต, เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   แม้ในเภสัชชขันธกะ ก็มีอาบัติ ๓ อย่างนี้ คือ เป็นถุลลัจจัย (แก่ภิกษุผู้ทำสัตถกรรม) ใกล้ที่แคบประมาณ ๒ นิ้ว โดยรอบ (แห่งวัจจมัคค์และปัสสาวมัคค์), เป็นปาจิตตีย์ เพราะฉันโภชนยาคู, เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   กฐิน พระผู้มีพระภาคเจ้าเพียงแต่ทรงบัญญัติเท่านั้น, ไม่มีอาบัติในกฐินขันธกะนั้น. 
   ในจีวรสังยุตต์ มีอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ เป็นถุลลัจจัย เพราะจีวรคากรองและเปลือกไม้คากรอง, เป็นนิสสัคคิยปาจิตตีย์ เพราะอติเรกจีวร, เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   แม้ในจัมมเปยยักขันธกะ ก็มีอาบัติทุกกฏชนิดเดียวเท่านั้น. 
   แม้ในโกสัมพิกขันธกะ กัมมขันธกะ ปาริวาสิกขันธกะและสมุจจยขันธกะ ก็มีอาบัติทุกกฏชนิดเดียวเท่านั้น. 
   ในสมถขันธกะ มีอาบัติ ๒ เหล่านี้ คือ ภิกษุณีผู้มอบฉันทะย่อมบ่นว่า เธอต้องปาจิตตีย์ มีการบ่นว่าเป็นเหตุ เป็นทุกกฏเพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   ในขุททกวัตถุกขันธกะ มีอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ ภิกษุตัดองคชาตของตน ต้องถุลลัจจัย เป็นปาจิตตีย์ เพราะกลืนอาหารที่สำรอกออกมาค้างอยู่ในปาก เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   ในเสนาสนขันธกะ มีอาบัติ ๓ เหล่านี้ คือ เป็นถุลลัจจัยเพราะจำหน่ายครุภัณฑ์ เป็นปาจิตตีย์ เพราะฉุดคร่าออกจากสำนักของสงฆ์ เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   ในสังฆเภทักขันธกะ มีอาบัติ ๒ เหล่านี้ คือ เป็นถุลลัจจัยแก่ภิกษุผู้พลอยสนับสนุนภิกษุผู้ทำลายสงฆ์ เป็นปาจิตตีย์ เพราะคณโภชนะ. 
   ในวัตตขันธกะ ที่ท่านกล่าวว่า ข้าพเจ้าจักถามถึงสมาจาร มีอาบัติทุกกฏชนิดเดียวเท่านั้น. อาบัติทุกกฏนั้น เป็นเพราะความไม่เอื้อเฟื้อในวัตรทั้งปวง. 
   ในปาฏิโมกขัฏฐปนขันธกะ ก็เหมือนกัน. 
   ในภิกขุนีขันธกะ มีอาบัติ ๒ เหล่านี้ คือ เป็นปาจิตตีย์ เพราะไม่ปวารณา เป็นทุกกฏ เพราะบททั้งหลายที่เหลือ. 
   ในปัญจสติกขันธกะและสัตตสติกขันธกะ ท่านยกธรรมล้วนๆ ขึ้นสู่หมวด ไม่มีอาบัติในขันธกะทั้ง ๒ นั้น ฉะนี้แล.
               ขันธกปุจฉาวัณณนา จบ.