Translate

06 กุมภาพันธ์ 2568

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ อรรถกถา ปริวาร คาถาสังคณิกะ ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาเป็นต้น [ปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา]


อรรถกถา ปริวาร คาถาสังคณิกะ ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหาเป็นต้นปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา
               บาทคาถาว่า เอกํสํ จีวรํ กตฺวา มีความว่า ท่านกระทำจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง. อธิบายว่า ห่มอุตราสงค์เรียบร้อย. 
               บาทคาถาว่า ปคฺคณฺหิตฺวานอญฺชลึ มีความว่า ยกอัญชลีอันรุ่งเรืองด้วยประชุมแห่งนิ้วทั้ง ๑๐. 
               บาทคาถาว่า อาสึสมานรูโปว ความว่า ดูเหมือนจะมุ่งหวัง. 
               บาทคาถาว่า กิสฺส ตฺวํ อธิมาคโต มีความว่า ท่านปรารถนาประโยชน์อะไร มาในที่นี้ เพราะเหตุไร? 
               ใครกล่าวอย่างนี้? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า. ตรัสอย่างนั้นกะใคร? กะท่านพระอุบาลี. ท่านพระอุบาลี เข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าทูลถามคาถานี้ว่า (สิกขาบทที่ทรงบัญญัติ) ในวินัยทั้ง ๒ (ย่อมมาสู่อุทเทสในวันอุโบสถทั้งหลาย สิกขาบทเหล่านั้น มีเท่าไร? ทรงบัญญัติในนครเท่าไร?) ด้วยประการฉะนี้. 
               ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสคำว่า ปัญญาของท่านดีเป็นต้น ทรงตอบคำถามนั้นของท่าน. มีนัยเหมือนกันทุกปัญหา. 
               พระอุบาลีเถระทูลถามปัญหาทั้งปวงเหล่านี้ ในพุทธกาล ด้วยประการฉะนี้. พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตอบเอง. ส่วนในสังคีติกาล พระมหากัสสปเถระถาม พระอุบาลีเถระตอบ. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บาทคาถาว่า ภทฺทโก เต อุมฺมงฺโค มีความว่า ปัญญาของท่านดี. จริงอยู่ ปัญญาเรียกว่า อุมมังคะ เพราะผุดขึ้นจากมืด คืออวิชชาตั้งอยู่. 
               ศัพท์ว่า ตคฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถคือเหตุ. ความว่า ท่านถามเราเพราะเหตุใด เพราะเหตุนั้น เราจักตอบแก่ท่าน. 
               อีกอย่างหนึ่ง ศัพท์ว่า ตคฺฆ เป็นนิบาต ใช้ในอรรถ คือยอมรับ. จริงอยู่ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรับคำ ด้วยคำว่า เอาเถิด. นี้จึงตรัสว่า เราจักตอบ. 
               เฉพาะ ๓ สิกขาบทนี้ คือ ติดไฟผิง มือเปื้อนอามิส น้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวสุก ทรงบัญญัติในภัคคชนบท. 
               สองบทว่า ยนฺตฺวํ อปุจฺฉิมฺหา มีความว่า ข้าพเจ้าได้ทูลถามปัญหาใดกะพระองค์. 
               บทว่า อกิตฺตยิ คือ พระองค์ได้ตรัสแล้ว. 
               บทว่า โน คือ แก่ข้าพเจ้า. 
               สองบทว่า ตนฺตํ พฺยากตํ มีความว่า คำใดๆ อันข้าพเจ้าได้ทูลถามแล้ว คำนั้นๆ อันพระองค์ได้ทรงแก้แล้ว. 
               บทว่าอนญฺญถา ความว่า มิได้ทรงแก้บ่ายเบี่ยงโดยประการอื่น.
               [วิบัติ ๔]               
               ชื่อว่า สีลวิบัติ ย่อมไม่มีในปัญหาในคำว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ นี้ แม้โดยแท้ ถึงกระนั้น คำว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ นี้ ท่านกล่าวแล้ว ด้วยความเป็นผู้ประสงค์จะแก้ทุฏฐุลลาบัติ. 
               จริงอยู่ ในวิบัติ ๔ ทุฏฐุลลาบัติ สงเคราะห์ด้วยวิบัติ ๑ อทุฏฐุลลาบัติ สงเคราะห์ด้วยวิบัติ ๓. เพราะเหตุนั้น ท่านกล่าวว่า เย ทุฏฺฐุลฺลา สา สีลวิปตฺติ แล้ว จึงกล่าวว่า ปาราชิก สังฆาทิเสส เรียกว่า สีลวิบัติ เพื่อแสดงสีลวิบัตินั้นเอง โดยพิสดาร. 
               บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า ถุลฺลจฺจยํ เป็นอาทิ เพื่อแสดงอทุฏฐุลลาบัติด้วยอำนาจวิบัติ ๓. 
               ในคำเหล่านั้น คำว่า โย จายํ อกฺโกสติ หสฺสาธิปฺปาโย นี้ ท่านกล่าวเพื่อชี้วัตถุแห่งทุพภาสิต. 
               บทว่า อพฺภาจิกฺขติ มีความว่า เมื่อกล่าวว่า ข้าพเจ้ารู้ทั่วถึงธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงแล้วอย่างนั้น ชื่อว่ากล่าวตู่. 
               หลายบทว่า อยํ สา อาชีววิปตฺติสมฺมตา มีความว่า ชื่อว่าอาชีววิบัติ ที่ประมวลด้วย ๖ สิกขาบทนี้ สมมติว่าวิบัติที่ ๔ ฉะนี้แล. 
               คำถามว่า อทุฏฺฐุลฺลํ นี้ เป็นอันเฉลยแล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               [ประมวลสิกขาบท]               
               บัดนี้ ท่านกล่าวคำว่า เอกาทส เป็นอาทิ เพื่อเฉลยปัญหาที่ว่า เย จ ยาวตติยกา. ก็เพราะปัญหาที่ว่า เย จ ยาวตติยกา นี้ ท่านเฉลยแล้วด้วยอำนาจจำนวน อย่างนี้ว่า ยาวตติยกสิกขาบท ๑๑, เพราะฉะนั้น ท่านจึงถามอันตราปัญหาเหล่าอื่น มีคำว่า เฉทนกสิกขาบทมีเท่าใด? เป็นอาทิ ด้วยอำนาจสืบต่อแห่งจำนวนนั่นเอง. 
               ท่านกล่าวว่า ฉ เฉทนกานิ เป็นอาทิ ก็เพื่อเฉลยอันตราปัญหาเหล่านั้น. ในคำเฉลยนั้น คำว่า เภทนกสิกขาบท ๑ อุททาลนกสิกขาบท ๑ สิกขาบท ๑๖ ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบัญญัติว่า รู้อยู่ นี้แล ตรัสภายหลัง. 
               บทที่เหลือ ได้จำแนกไว้ในมหาวัคค์หมดแล้ว. 
               ก็ในคำที่ตรัสภายหลังนั้น สองบทว่า เอกํ เภทนกํ ได้แก่ สูจิฆรสิกขาบท. 
               สองบทว่า เอกํ อุทฺทาลนกํ ได้แก่ ตูโลนัทธมัญจปิฐสิกขาบท.
               บทว่า โสรส ได้แก่ โสฬส (คือ ๑๖). 
               สองบทว่า ชานนฺติปญฺญตฺตา ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสอย่างนี้ว่า รู้อยู่ ทรงบัญญัติแล้ว. 
               สิกขาบทเหล่านั้น พึงทราบอย่างนี้ คือ :- 
               ภิกษุรู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อตน รู้อยู่สำเร็จการนอนเบียดภิกษุผู้เข้าไปก่อน รู้อยู่ว่า น้ำมีตัวสัตว์ รดเองก็ตาม ใช้ให้รดก็ตาม ซึ่งหญ้าหรือดิน รู้อยู่ ฉันบิณฑบาต อันภิกษุณีแนะนำให้ถวาย รู้อยู่ มุ่งหมายจะยกโทษ พอเธอฉันแล้วเป็นปาจิตตีย์ รู้อยู่ บริโภคน้ำมีตัวสัตว์ รู้อยู่ ฟื้นอธิกรณ์ที่ตัดสินเสร็จแล้วโดยธรรม รู้อยู่ ปิดอาบัติชั่วหยาบ รู้อยู่ ยังบุคคลมีปีหย่อน ๒๐ ให้อุปสมบท รู้อยู่ ชักชวนแล้ว เดินทางสายเดียวกันกับพวกเกวียนพวกต่างที่เป็นโจร รู้อยู่ กินร่วมก็ดี ... กับภิกษุผู้กล่าวอย่างนั้น ยังไม่ได้ทำธรรมอันสมควร รู้อยู่ เกลี้ยกล่อมสมณุทเทสผู้ถูกให้นาสนะแล้ว อย่างนั้น รู้อยู่ น้อมลาภที่เขาน้อมไปจะถวายสงฆ์มาเพื่อบุคคล ภิกษุณี รู้อยู่ ไม่โจทด้วยตนเอง ซึ่งภิกษุณีผู้ล่วงธรรมถึงปาราชิก รู้อยู่ ว่าสตรีเป็นนางโจร อันชนทั้งหลายรู้ว่าต้องโทษประหาร ไม่บอก รู้อยู่ ไม่บอกก่อน เข้าไปสู่อารามที่มีภิกษุ.
               [จำแนกสิกขาบท]               
               บัดนี้ ท่านจะเฉลยปัญหาแรกนี้ว่า สาธารณํ อสาธารณํ จึงกล่าวคำว่า วีสํ เทฺว สตานิ เป็นอาทิ. 
               บรรดาสิกขาบทที่ทั่วไปและไม่ทั่วไปเหล่านั้น วินิจฉัยในสิกขาบททั้งหลายที่ไม่ทั่วไปด้วยเหล่าภิกษุณี พึงทราบดังนี้ :- 
               สองบทว่า ฉ สงฺฆาทิเสสา ได้แก่ สุกกวิสัฏฐิสิกขาบท ๑ กายสังสัคคสิกขาบท ๑ ทุฏฐุลลวาจสิกขาบท ๑ อัตตกามปาริจริยสิกขาบท ๑ กุฏิการสิกขาบท ๑ วิหารสิกขาบท ๑. 
               สองบทว่า เทฺวอนิยเตหิอฏฺฐิเม ได้แก่ สิกขาบทเหล่านี้รวมเป็น ๘ กับอนิยต ๒ สิกขาบท. 
               สองบทว่า นิสฺสคฺคิยา ทฺวาทส ได้แก่ สิกขาบท ๑๒ เหล่านี้ คือ จีวรโธวนะ ๑ จีวรปฏิคคหะ ๑ โกเสยยะ ๑ สุทธกาฬกะ ๑ เทวภาคะ ๑ ฉัพพัสสะ ๑ นิสีทนสันถัต ๑ โลมสิกขาบท ๒ ปฐมปัตตะ ๑ วัสสิกสาฏิกะ ๑ อารัญญกะ คือ สาสังกะ ๑. 
               สองบทว่า ทฺวาวีสติ ขุทฺทกา ได้แก่ สิกขา ๒๒ ที่ประกาศแล้วในขุททกกัณฑ์ เหล่านี้ คือ ภิกขุนีวัคค์ทั้งสิ้น ปรัมปรโภชนสิกขาบท อนติริตตสิกขาบท อภิหัฏฐุปวารณาสิกขาบท ปณีตโภชนสิกขาบท อเจลกสิกขาบท โอนวีสติวัสสสิกขาบท ทุฏฐุลลัจฉาทนสิกขาบท มาตุคามสังวิธานสิกขาบท อนิกขันตราชกสิกขาบท ไม่บอกลาภิกษุที่มีอยู่ เข้าบ้านในวิกาล นิสีทนสิกขาบท วัสสิกสาฏิกสิกขาบท. 
               วินิจฉัยแม้ในสิกขาบทที่ไม่ทั่วไป ด้วยภิกษุทั้งหลาย พึงทราบดังนี้ :- 
               หลายบทว่า สงฺฆมฺหา ทส นิสฺสเร ได้แก่ สิกขาบทที่ตรัสไว้ในวิภังค์อย่างนี้ว่า ๑๐ สิกขาบท อันสงฆ์พึงขับออกจากหมู่. แต่ ๑๐ สิกขาบทมาในมาติกาอย่างนี้ว่า สังฆาทิเสสที่ต้องเสีย. 
               สองบทว่า นิสฺสคฺคิยานิ ทฺวาทส ได้แก่ นิสสัคคีย์ที่ทรงจำแนกไว้ในภิกขุนีวิภังค์เท่านั้น. 
               แม้ขุททกสิกขาบท ก็ได้แก่ ขุททกสิกขาบทที่ทรงจำแนกในภิกขุนีวิภังค์นั้นเอง. 
               ปาฏิเทสนียะ ๘ ก็เหมือนกัน. สิกขา ๑๓๐ ของพวกภิกษุณี ไม่ทั่วไปด้วยภิกษุทั้งหลายอย่างนี้. 
               ในตอนที่แก้สิกขาบทที่ทั่วไปนี้ คำที่เหลือ ตื้นทั้งนั้น.
               [กองอาบัติที่ระงับไม่ได้]               
               บัดนี้ พระอุบาลีเถระ เมื่อจะแก้ปัญหานี้ว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะเหล่าใด? ดังนี้ จึงกล่าวว่า บุคคลผู้พ่ายแพ้ ๘ พวกแล เป็นอาทิ. 
               บรรดาบทเหล่านั้น ท่านแสดงข้อที่บุคคลผู้พ่าย ๘ พวกนั้นเป็นผู้มีภัยเฉพาะหน้า ด้วยบทว่า ทุราสทา นี้. 
               จริงอยู่ ผู้พ่ายเหล่านั้น เป็นราวกะงูเห่าเป็นต้น ยากที่จะเข้าใกล้ คือยากที่จะเข้าเคียง ยากที่จะเข้าหา อันบุคคลเกี่ยวข้องอยู่ ย่อมเป็นไปเพื่อตัดรากเหง้า. 
               บทว่า ตาลวตฺถุสมูปมา มีความว่า เปรียบสมด้วยการถอนต้นตาลหมดทั้งต้น กระทำให้เป็นสักว่าวัตถุแห่งตาล. ต้นตาลที่บุคคลกระทำให้เป็นสักว่าวัตถุ เป็นต้นไม้ที่กลับคืนเป็นปกติอีกไม่ได้ฉันใด บุคคลผู้พ่าย ๘ พวกนั้น ย่อมเป็นผู้กลับคืนอย่างเดิมอีกไม่ได้ฉันนั้น. 
               พระอุบาลีเถระ ครั้นแสดงอุปมาที่ทั่วไปอย่างนี้แล้ว จะแสดงอุปมาซึ่งกล่าวเฉพาะสำหรับผู้หนึ่งๆ อีก จึงกล่าวว่า เปรียบเหมือนใบไม้เหลือง เป็นอาทิ. 
               บาทคาถาว่า อวิรูฬฺหิ ภวนฺติ เต มีความว่า ใบไม้เหลืองเป็นอาทิเหล่านั่น เป็นของมีอันไม่งอกงาม โดยความเป็นของเขียวสดอีกเป็นต้น เป็นธรรมดาฉันใด, แม้บุคคลผู้พ่ายทั้งหลายก็ฉันนั้น ย่อมเป็นผู้ไม่งอกงามโดยความเป็นผู้มีศีลตามปกติอีกเป็นธรรมดา. 
               ในคำว่า ก็กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก ย่อมระงับด้วยสมถะเหล่าใดนี้ คำอย่างนี้ว่า กองอาบัติเป็นต้น อันท่านจำแนก คือปาราชิก ๘ เหล่านี้ก่อน ย่อมไม่ระงับด้วยสมถะเหล่าใดๆ เป็นอันแสดงแล้ว ด้วยคำมีประมาณเท่านี้.
               [กองอาบัติที่ระงับได้]               
               ส่วนคำว่า เตวีสํ สงฺฆาทิเสสา เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงอาบัติเครื่องจำแนกเป็นต้นที่ระงับได้. 
               บรรดาบทเหล่านั้น สองบทว่า ตีหิ สมเถหิ นี้ เป็นคำกล่าวครอบสมถะทั้งหมด. 
               จริงอยู่ สังฆาทิเสส ย่อมระงับด้วยสมถะ ๒ เท่านั้น, หาระงับด้วยติณวัตถารกสมถะไม่, ที่เหลือย่อมระงับด้วยสมถะทั้ง ๓. 
               คำว่า เทฺว อุโปสถา เทฺว ปวารณา นี้ ท่านกล่าวด้วยอำนาจภิกษุและภิกษุณี. จริงอยู่ คำนั่นท่านกล่าวแล้วด้วยอำนาจแสดงสักว่าส่วนอันท่านจำแนกเท่านั้น หาได้กล่าวด้วยอำนาจการระงับด้วยสมถะทั้งหลายไม่. 
               จริงอยู่ ส่วนอันท่านจำแนก อธิบายว่า ส่วนที่ควรแจกออก ๔ แม้เหล่านี้ คือ ภิกขุอุโบสถ ภิกขุณีอุโบสถ ภิกขุปวารณา ภิกขุณีปวารณา. 
               สองบทว่า จตฺตาริ กมฺมานิ ได้แก่ อุโบสถกรรม มีที่เป็นวรรคโดยอธรรมเป็นอาทิ. 
               หลายบทว่า ปญฺเจว อุทฺเทสา จตุโร ภวนฺติอนญฺญถา มีความว่า อุทเทสของภิกษุมี ๕ ของภิกษุณีมี ๔ โดยประการอื่น ไม่มี. 
               พึงทราบส่วนจำแนกแม้อื่นอีกเหล่านี้ คือ กองอาบัติมี ๗ อธิกรณ์ มี ๔, ก็ส่วนจำแนกเหล่านี้ ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย, เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวคำว่า สตฺตหิ สมเถหิ เป็นอาทิ. 
               อีกประการหนึ่ง อาบัติเหล่าใด อาศัยส่วนจำแนกแม้เหล่านี้แล คืออุโบสถ ๒ ปวารณา ๒ กรรม ๔ อุทเทส ๕ อุทเทส ๔ มี, อุทเทสโดยประการอื่น ไม่มี, เกิดขี้นโดยนัยเป็นต้นว่า นสฺสนฺเต เต วินสฺสนฺเต เต, อาบัติเหล่านั้น ย่อมระงับด้วยสมถะทั้งหลาย มีประการดังกล่าวแล้วนั่นแล, เพราะเหตุนั้น ส่วนจำแนกเหล่านั้น อันบัณฑิตพึงทราบว่า ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความระงับอาบัติทั้งหลายที่มีส่วนจำแนกนั้นเป็นมูลบ้าง. 
               สองบทว่า กิจฺจํ เอเกน มีความว่า กิจจาธิกรณ์ ย่อมระงับด้วยสมถะเดียว.
               [วิเคราะห์ปาราชิก]               
               พระอุบาลี ครั้นแก้ปัญหาทั้งปวงตามลำดับแห่งคำถามอย่างนี้แล้ว บัดนี้ จะแสดงเพียงคำอธิบายเฉพาะอย่าง แห่งกองอาบัติที่ประมวลไว้ในคำว่า อาปตฺติกฺขนฺธา จ ภวนฺติ สตฺต จึงกล่าวคำว่า ปาราชิกํ เป็นอาทิ. 
               บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถาที่ ๑ ว่า ปาราชิกํ เป็นต้น มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               บรรดาบุคคลปาราชิก อาบัติปาราชิก และสิกขาบทปาราชิก ชื่ออาบัติปาราชิกนี้ใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแล้ว, บุคคลผู้ต้องอาบัติปาราชิกนั้นย่อมเป็นผู้พ่าย คือ ถึงความแพ้ เป็นผู้เคลื่อน ผิด ตก อันความละเมิดทำให้ห่างจากสัทธรรม. เมื่อบุคคลนั้นไม่ถูกขับออก (จากหมู่) ก็ไม่มีสังวาส ต่างโดยอุโบสถและปวารณาเป็นต้นอีก. ด้วยเหตุนั้น ปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอย่างนั้น คือ เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า ปาราชิก. 
               ก็ในบทว่า ปาราชิกํ นี้ มีความสังเขปดังนี้ :- 
               บุคคลย่อมเป็นผู้พ่ายด้วยอาบัติปาราชิกนั้น เพราะเหตุนั้น อาบัติปาราชิกนั่น ท่านจึงกล่าวว่า ปาราชิก.
               [วิเคราะห์สังฆาทิเสส]               
               คำว่า สงฺโฆว เทติ ปริวาสํ เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงแต่เนื้อความเท่านั้น ไม่เอื้อเฟื้อพยัญชนะ แม้ในคาถาที่ ๒. 
               ก็ในบทว่า สงฺฆาทิเสโส เป็นอาทินี้ มีเนื้อความดังต่อไปนี้ :- 
               การออกจากอาบัตินั้นใด ของภิกษุผู้ต้องอาบัตินี้แล้วใคร่จะออก สงฆ์อันภิกษุนั้นพึงปรารถนา ในกรรมเบื้องต้นแห่งการออกจากอาบัตินั้น เพื่อประโยชน์แก่การให้ปริวาส และในกรรมที่เหลือจากกรรมเบื้องต้น คือในท่ามกลาง เพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตต์ หรือเพื่อประโยชน์แก่การให้มานัตต์กับมูลายปฏิกัสสนะ และในที่สุดเพื่อประโยชน์แก่อัพภาน. ก็ในกรรมทั้งหลายมีปริวาสกรรมเป็นต้นนี้ กรรมแม้อย่างหนึ่ง เว้นสงฆ์เสีย อันใครๆ ไม่อาจทำได้ ฉะนี้แล. 
               สงฆ์อันภิกษุพึงปรารถนาในกรรมเบื้องต้น และในกรรมที่เหลือแห่งกองอาบัตินั้น เหตุนั้น กองอาบัตินั้น ชื่อว่าสังฆาทิเสส.
               [วิเคราะห์อนิยต]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๓ พึงทราบดังนี้ :- 
               สองบทว่า อนิยโต น นิยโต มีความว่า เพราะไม่แน่ กองอาบัตินี้ จึงได้ชื่อว่าอนิยต. 
               คำที่ว่า ไม่แน่ นี้มีอะไรเป็นเหตุ? เพราะสิกขาบทนี้ ปรับอาบัติไม่จำกัดส่วนอันเดียว. อธิบายว่า สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนอันเดียวไม่ได้. 
               สิกขาบทนี้ ปรับอาบัติโดยส่วนเดียวไม่ได้อย่างไร? อย่างนี้ 
               บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง อันพระวินัยธรพึงปรับ. 
               จริงอยู่ ท่านกล่าวไว้ในอนิยตสิกขาบทนั้นว่า ภิกษุนั้น อันพระวินัยธรพึงปรับด้วยธรรม ๓ อย่างใดอย่างหนึ่ง. เพราะเหตุนั้น กองอาบัตินั้น ท่านจึงกล่าวว่า อนิยต คือ กล่าวว่า ไม่แน่. 
               เหมือนอย่างว่า บรรดาฐานะ ๓ ฐานะอันใดอันหนึ่ง ท่านกล่าวในกองอาบัตินั้น กองอาบัติ ชื่อว่าอนิยต ฉันใด. บรรดาฐาน ๒ ฐานะอันใดอันหนึ่ง ท่านกล่าวในกองอาบัติใด กองอาบัติแม้นั้น ก็ชื่อว่าอนิยตเหมือนกันฉันนั้น.
               [วิเคราะห์ถุลลัจจัย]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๔ พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า อจฺจโย เตน สโม นตฺถิ มีความว่า บรรดาโทษที่เป็นเทสนาคามี โทษที่ล่ำ เสมอด้วยถุลลัจจัยนั้นไม่มี ด้วยเหตุนั้น ความละเมิดนั้น ท่านจึงเรียกอย่างนั้น. อธิบายว่า ความละเมิดนั้น ท่านเรียกว่าถุลลัจจัยเพราะเป็นโทษล่ำ.
               [วิเคราะห์นิสสัคคีย์]               
               เนื้อความแห่งคาถาที่ ๕ พึงทราบดังนี้ :- 
               หลายบทว่า นิสฺสชฺชิตฺวา ยํ เทเสติ เตเนตํ มีความว่า ความละเมิดนั้น ท่านเรียกนิสสัคคิยะ เพราะต้องสละแล้วจึงแสดง.
               [วิเคราะห์ปาจิตตีย์]               
               เนื้อความคาถาที่ ๖ พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า ปาเตติ กุสลํ ธมฺมํ มีความว่า ความละเมิดนั้นยังกุศลจิตกล่าวคือกุศลธรรม ของบุคคลผู้แกล้งต้องให้ตกไป เพราะเหตุนั้น ความละเมิดนั้น ชื่อว่ายังจิตให้ตกไป เพราะฉะนั้น ความละเมิดนั้น ชื่อว่าปาจิตติยะ. 
               ก็ปาจิตติยะใด ย่อมยังจิตให้ตกไป, ปาจิตติยะนั้น ย่อมผิดต่ออริยมรรค และย่อมเป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต. เพราะเหตุนั้น คำว่า ผิดต่ออริยมรรค และคำว่า เป็นเหตุแห่งความลุ่มหลงแห่งจิต ท่านจึงกล่าวแล้ว.
               [วิเคราะห์ปาฏิเทสนียะ]               
               ในปาฏิเทสนียคาถาทั้งหลาย คำว่า ภิกษุเป็นผู้ไม่มีญาติ เป็นอาทิ ท่านกล่าวแล้ว เพื่อแสดงความกระทำความเป็นธรรมที่น่าติ ซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า แน่ะเธอ ฉันต้องธรรมที่น่าติ. ก็อาบัตินั้น ท่านเรียกว่าปาฏิเทสนียะ เพราะจะต้องแสดงคืน.
               [วิเคราะห์ทุกกฏ]               
               เนื้อความแห่งทุกกฏคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               คำว่า ผิด แย้ง พลาด นี้ทั้งหมด เป็นคำยักเรียก ทุกกฏที่กล่าวไว้ในคำนี้ว่า ยญฺจ ทุกฺกฏํ.                จริงอยู่ กรรมใด อันบุคคลทำไม่ดี หรือทำผิดรูป กรรมนั้น ชื่อว่าทุกกฏ. ก็ทุกกฏนั้นแล ชื่อว่าผิด เพราะเหตุที่ไม่ทำตามประการที่พระศาสดาตรัส ชื่อว่าแย้ง เพราะเป็นไปแย้งกุศล ชื่อว่าพลาด เพราะไม่ย่างขึ้นสู่ข้อปฏิบัติในอริยมรรค.                ส่วนคำว่า ยํ มนุสฺโส กเร นี้ แสดงข้อควรเปรียบในทุกกฏนี้. 
               เนื้อความแห่งคำนั้นว่า มนุษย์ในโลก ทำบาปใด ในที่แจ้งหรือในที่ลับ, บัณฑิตทั้งหลายประกาศบาปนั้นว่า ทุกกฏ ฉันใด, ทุกกฏแม้นี้ ก็ฉันนั้น ชื่อว่าบาป เพราะเป็นกรรมลามก อันพระพุทธเจ้าทรงเกลียด เพราะเหตุนั้น พึงทราบว่า ทุกกฏ.
               [วิเคราะห์ทุพภาสิต]               
               เนื้อความแห่งทุพภาสิตคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               บาทคาถาว่า ทุพฺภาสิตํทุราภฏฺฐํ มีความว่า บทใดอันภิกษุกล่าว คือพูด เจรจาชั่ว เหตุนั้น บทนั้น ชื่อว่าอันภิกษุกล่าวชั่ว. อธิบายว่า บทใดอันภิกษุกล่าวชั่ว บทนั้น เป็นทุพภาสิต. 
               มีคำที่จะพึงกล่าวให้ยิ่งน้อยหนึ่ง ; ความว่า อนึ่ง บทใด เศร้าหมอง บทนั้น เป็นบทเศร้าหมอง เพราะเหตุใด ; อนึ่ง วิญญูชนทั้งหลาย ย่อมติ เพราะเหตุใด ; อธิบายว่า ท่านผู้รู้แจ้งทั้งหลาย ติบทนั้น เพราะเหตุใด. 
               บาทคาถาว่า เตเนตํ อิติ วุจฺจติ มีความว่า เพราะความเป็นบทเศร้าหมอง และแม้เพราะความติแห่งวิญญูชนนั้น บทนั้น ท่านย่อมกล่าวอย่างนั้น คือ บทนั้น ท่านกล่าวว่า ทุพฺภาสิตํ.
               [วิเคราะห์เสขิยะ]               
               เนื้อความแห่งเสขิยคาถา พึงทราบดังนี้ :- 
               พระอุบาลีเถระแสดงความที่พระเสขะมี โดยนัยมีคำว่า อาทิ เจตํ จรณญฺจ เป็นต้น เพราะเหตุนั้น ในบทว่า เสขิยํ นี้ จึงมีเนื้อความสังเขปดังนี้ว่า นี้เป็นข้อควรศึกษาของพระเสขะ. 
               คำว่า ปาราชิกนฺติ ยํ วุตฺตํ เป็นอาทินี้ พึงทราบว่า ท่านกล่าวเพื่อแสดงเนื้อความ ที่มิได้สงเคราะห์ด้วยปัญหาที่ว่า ครุกลหุกญฺจาปิ เป็นต้น แต่สงเคราะห์ด้วยคำอ้อนวอนนี้ว่า หนฺท วากฺยํ สุโณม เต (เอาเถิด เราจะฟังคำของท่าน).
               [อุปมาแห่งอาบัติอนาบัติ]               
               แม้ในบทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ เป็นต้น ก็นัยนี้แล. 
               บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ฉนฺนมติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่มิได้มุงด้วยเครื่องมุงมีหญ้าเป็นต้น ย่อมเปียกก่อน. แต่เรือนกล่าวคืออาบัตินี้ อันภิกษุปิดไว้แล้ว ย่อมเปียก. 
             จริงอยู่ ภิกษุเมื่อปิดอาบัติแรกไว้ ย่อมต้องอาบัติอื่นใหม่. 
              สองบทว่า วิวฏํ นาติวสฺสติ มีความว่า เรือนที่ไม่เปิด คือมุงดีแล้ว ย่อมไม่เปียกฝนก่อน.
แต่เรือนกล่าวคืออนาบัตินี้ อันภิกษุเปิดแล้ว ย่อมไม่เปียก.
              จริงอยู่ ภิกษุเมื่อเปิดเผยอาบัติแรก แสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินีเสีย ออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินีเสีย
ย่อมประดิษฐานในส่วนหมดจด. เมื่อสำรวมต่อไป ย่อมไม่ต้องอาบัติอื่น.
              บาทคาถาว่า ตสฺมา ฉนฺนํ วิวเรถ มีความว่า เพราะเหตุนั้น เมื่อแสดงอาบัติที่เป็นเทสนาคามินี
และออกจากอาบัติที่เป็นวุฏฐานคามินี ชื่อว่าเปิดเผยอาบัติที่ปิดไว้. 
              บาทคาถาว่า เอวนฺตํ นาติวสฺสติ มีความว่า ก็เรือนกล่าวคืออาบัตินั่น อันภิกษุเปิดเผยแล้วอย่างนั้น
ย่อมไม่เปียก.
              บาทคาถาว่า คติ มิคานํ ปวนํ มีความว่า ป่าใหญ่ คือป่าที่หนาแน่นด้วยต้นไม้เป็นต้น เป็นคติ
คือเป็นที่พึ่งของมฤคทั้งหลายผู้อันพาล มฤคมีเสือโคร่งเป็นอาทิให้ล้มในกลางแจ้ง. มฤคเหล่านั้น ถึงป่านั้นแล้ว ย่อมโล่งใจ.
โดยนัยนี้แล อากาศเป็นทางไปของเหล่าปักษี, ความเสื่อมเป็นคติของธรรมทั้งหลาย คือว่า ความพินาศเป็นทางของสังขตธรรม
แม้ทั้งปวง เพราะอรรถว่าต้องถึงเข้าเป็นแน่. จริงอยู่ สังขตธรรมเหล่านั้น จะไม่ถึงความพินาศ สามารถทนอยู่หามิได้.
ส่วนนิพพานดำรงอยู่แม้นาน เป็นคติของพระอรหันต์. อธิบายว่า อนุปาทิเสสนิพพานธาตุ เป็นทางไปด้านเดียวของ
พระอรหันตขีณาสพ.
                             ปฐมคาถาสังคณิกวัณณนา จบ.

พระไตรปิฏก พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๘ ปริวาร [อัตถวเสปกรณ์] อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ [คาถาสังคณิกะ] ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหา

Google Workspace logo 
ทำบุญ 
อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ
   [๑๐๐๙] พระตถาคตทรงบัญญัติสิกขาบท แก่พระสาวกทั้งหลาย เพราะทรงอาศัยอำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการ คือ เพื่อความรับว่าดีแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อความผาสุกแห่งสงฆ์ ๑ เพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ๑ เพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ๑ เพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ๑ เพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิด
ในอนาคต ๑ เพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ๑ เพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ๑ เพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ๑ เพื่ออนุเคราะห์พระวินัย ๑.
   [๑๐๑๐] สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะ
อันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะ อันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อ
ความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนผู้ที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
   [๑๐๑๑] สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบันสิ่งใด
เป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย.
   [๑๐๑๒] สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะ
อันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งใดเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งนั้นเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์.
   [๑๐๑๓] สิ่งใดเป็นไปเพื่อข่มบุคคลผู้เก้อยาก ... สิ่งใดเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต ... สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส ...
   สิ่งใดเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม ...  สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นความรับว่าดีแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นความผาสุกแห่งสงฆ์ สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อข่มบุคคล
ผู้เก้อยาก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่ออยู่ผาสุกแห่งภิกษุผู้มีศีลเป็นที่รัก สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อป้องกันอาสวะอันจะบังเกิดในปัจจุบัน สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อกำจัดอาสวะอันจักบังเกิดในอนาคต สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย
สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสของชุมชนที่ยังไม่เลื่อมใส สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความเลื่อมใสยิ่งของชุมชนที่เลื่อมใสแล้ว สิ่งใดเป็นไปเพื่ออนุเคราะห์พระวินัย สิ่งนั้นเป็นไปเพื่อความตั้งมั่นแห่งพระสัทธรรม.
       [๑๐๑๔] อรรถหนึ่งร้อย ธรรมหนึ่งร้อย นิรุตติสองร้อย
ญาณสี่ร้อย มีในอัตถวเสปกรณ์.   อัตถวเสปกรณ์ จบ
 มหาวรรค จบ
หัวข้อประจำเรื่อง
       [๑๐๑๕]  หมวดธรรมเหล่านี้ของภิกษุ ๑๖ ของภิกษุณี ๑๖ คือ หมวด ๑ ถึงหมวด ๘ ในคำถามและปัจจัย และหมวด ๑ ถึงหมวด ๘ ในคำถามและปัจจัยอีก เปยยาล อันตราเภทและเอกุตตริกะ ปวารณา อัตถวเสปกรณ์สงเคราะห์เข้ามหาวรรค ฯ
หัวข้อประจำเรื่อง จบ
คาถาสังคณิกะ
ท่านพระอุบาลีเข้าเฝ้าทูลถามปัญหา
   ท่านพระอุบาลีกราบทูลว่า สิกขาบทที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้ในวินัยทั้งสอง ย่อมมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ สิกขาบทเหล่านั้น มีเท่าไร? ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนครกี่แห่ง?
   พ. ปัญญาของท่านดี ท่านสอบถามโดยแยบคาย เพราะฉะนั้นเราจักบอกแก่ท่านตามที่ท่านเป็นผู้ฉลาดถาม.
   สิกขาบทที่บัญญัติไว้ในวินัยทั้งสอง ย่อมมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถสิกขาบทเหล่านั้นมี ๓๕๐ สิกขาบท ตถาคตบัญญัติไว้ ณ พระนคร ๗ แห่ง.
   [๑๐๑๗] อุ. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนคร ๗ แห่งๆ ไหนบ้าง? ของพระองค์ได้โปรดแจ้งพระนคร ๗ แห่งนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้าๆ ได้ฟังทางแห่งพระดำรัสของพระองค์แล้ว จะปฏิบัติ ข้อนั้นจะพึงมีเพื่อความเกื้อกูลแก่พวกข้าพระพุทธเจ้า.
   พ. สิกขาบทเหล่านั้น บัญญัติไว้ ณ พระนครเวสาลี ๑ พระนครราชคฤห์ ๑ พระนครสาวัตถี ๑ พระนครอาฬวี ๑ พระนครโกสัมพี ๑ สักกชนบท ๑ ภัคคชนบท ๑.
สิกขาบทบัญญัติ
   [๑๐๑๘] อุ. สิกขาบทที่ทรงบัญญัติไว้ ณ พระนครเวสาลี มีเท่าไร? ณ พระนครราชคฤห์ มีเท่าไร? ณ พระนครสาวัตถี มีเท่าไร? ณ พระนครอาฬวี มีเท่าไร? ณ พระนครโกสัมพี มีเท่าไร? ณ สักกชนบท มีเท่าไร? ณ ภัคคชนบท มีเท่าไร? พระองค์อันข้าพระพุทธเจ้าทูลถามแล้ว ขอได้โปรดตอบข้อนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า.
   พ. สิกขาบทที่บัญญัติไว้ ในพระนครเวสาลีมี ๑๐ สิกขาบท. ในพระนครราชคฤห์มี ๒๑ สิกขาบท. ในพระนครสาวัตถี รวมทั้งหมด มี ๒๙๔ สิกขาบท. ในพระนครอาฬวี มี ๖ สิกขาบท. ในพระนครโกสัมพี มี ๘ สิกขาบท. ในสักกชนบทมี ๘ สิกขาบท. ในภัคคชนบท. มี ๓ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดได้บัญญัติไว้ในพระนครเวสาลี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นตามที่จะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยเสพเมถุน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฆ่ามนุษย์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยอวดอุตตริมนุสสธรรมที่ไม่มีจริง ๑ สิกขาบทว่าด้วยทรงอติเรกจีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยหล่อสันถัตด้วยขนเจียมดำล้วน ๑ สิกขาบทว่าด้วย
อวดอุตตริมนุสสธรรมที่มีจริง ๑ สิกขาบทว่าด้วยภัตรทีหลัง ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม้ชำระฟัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้ของเคี้ยวของฉันแก่อเจลก ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุณีด่าภิกษุ ๑ รวม สิกขาบทที่บัญญัติไว้ในพระนครเวสาลี เป็น ๑๐ สิกขาบท
   สิกขาบทเหล่าใดที่บัญญัติไว้ในพระนครราชคฤห์ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ตามที่จะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ ณ พระนครราชคฤห์ ๑ สิกขาบทว่าด้วยตามกำจัดภิกษุรวม ๒ สิกขาบทว่าด้วยทำลายสงฆ์และประพฤติตามรวม ๒,  สิกขาบทว่าด้วยรับอันตรวาสก ๑, สิกขาบท
ว่าด้วยแลกเปลี่ยนรูปิยะ ๑, สิกขาบทว่าด้วยขอด้าย ๑, สิกขาบทว่าด้วยบ่นว่า ๑, สิกขาบทว่าด้วยฉันโภชนะที่ภิกษุณีแนะให้เขาถวาย ๑ สิกขาบทว่าด้วยอาหารในโรงทาน ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันหมู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันในเวลาวิกาล ๑ สิกขาบทว่าด้วยเที่ยวไปในสกุล ๑ สิกขาบทว่าด้วยอาบน้ำ ๑ สิกขาบทว่า
ด้วยบวชคนมีอายุไม่ครบ ๑ สิกขาบทว่าด้วยให้จีวร ๑ สิกขาบทว่าด้วยฉันโภชนะที่ภิกษุณียืนสั่งเสีย ๑ สิกขาบทว่าด้วยเที่ยวยอดเขา ๑ สิกขาบทว่าด้วยจาริก  ๑ สิกขาบทเหล่านี้บัญญัติไว้ในพระนครราชคฤห์ รวมกับการให้ฉันทะในกรรมนั้นแหละ  เป็น ๒๑ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครสาวัตถี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ตามที่กล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ ของภิกษุณี สังฆาทิเลส ๑๖ อนิยต ๒ นิสสัคคียะ ๒๔ สิกขาบทที่เรียกว่าขุททกสิกขาบทมี ๑๕๖ สิกขาบทที่ควรติเตียน ๑๐ สิกขาบทเสขิยวัตร ๗๒ สิกขาบท รวม สิกขาบททั้งหมดที่บัญญัติไว้ ในพระนครสาวัตถี ๒๙๔ สิกขาบท.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครอาฬวี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยให้ทำกุฎี ๑ สิกขาบทว่าด้วยทำสันถัตเจือไหม ๑ สิกขาบทว่าด้วยนอนร่วมกับอนุปสัมบัน ๑ สิกขาบทว่าด้วยขุดดิน ๑ สิกขาบทว่าด้วยพรากภูตคาม ๑ สิกขาบทว่าด้วยน้ำมีตัวสัตว์เอารดหญ้าหรือดิน ๑ สิกขาบทเหล่านี้รวม ๖ สิกขาบท  บัญญัติไว้ในพระนครอาฬวี.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในพระนครโกสัมพี ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป สิกขาบทว่าด้วยให้ทำวิหารใหญ่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยภิกษุว่ายากสอนยาก ๑ สิกขาบทว่าด้วยแกล้งพูดคำอื่นกลบเกลื่อน ๑ สิกขาบทว่าด้วยกรอบประตู ๑ สิกขาบทว่าด้วยดื่มสุราเมรัย ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่เอื้อเฟื้อ ๑ สิกขาบทว่าด้วยว่ากล่าวโดยชอบธรรม ๑ รวมเป็น ๘ สิกขาบททั้งดื่มน้ำนม.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในสักกชนบท ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยให้ซักขนเจียม ๑ สิกขาบทว่าด้วยบาตรมีรอยร้าวหย่อน ๕ แห่ง ๑ สิกขาบทว่าด้วยสั่งสอนภิกษุณีถึงที่อยู่ ๑ สิกขาบทว่าด้วยขอเภสัช ๑ สิกขาบทว่าด้วยกล่องเข็ม ๑ สิกขาบทว่าด้วยเสนาสนะป่า ๑ รวม ๖
สิกขาบทนี้บัญญัติไว้ ณ พระนครกบิลพัสดุ์ สิกขาบทว่าด้วยทำความสะอาดด้วยน้ำ ๑ สิกขาบทว่าด้วยไม่รับโอวาท ๑ ตถาคตได้กล่าวไว้ในหมู่ภิกษุณี.
   สิกขาบทเหล่าใดบัญญัติไว้ในภัคคชนบท ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้น ดังจะกล่าวต่อไป. สิกขาบทว่าด้วยติดไฟผิง ๑ สิกขาบทว่าด้วยมือเปื้อนอามิส ๑ สิกขาบทว่าด้วยน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวสุก ๑ สิกขาบทเหล่านั้น คือ ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๗ นิสสัคคิยะ ๘ ขุททกะ ๓๒ ปาฏิเทสนียะสิกขาบทที่น่าติ ๒
เสขิยวัตร ๓ อันพระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ บัญญัติไว้ใน ๖ พระนคร รวม ๕๖ สิกขาบทในพระนครสาวัตถี พระโคดมผู้มียศ บัญญัติไว้ทั้งหมดรวม ๒๙๔ สิกขาบท.
ทรงพยากรณ์อาบัติหนักและอาบัติเบาเป็นต้น
   [๑๐๑๙] อุ. ข้าพระพุทธเจ้า ได้ทูลถามปัญหาข้อใดกะพระองค์ พระองค์ได้ ทรงแก้ปัญหาข้อนั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า ได้ทรงแก้ปัญหานั้นๆ โดยมิได้เป็นอย่างอื่น. ข้าพระพุทธเจ้า ขอทูลถามปัญหาข้ออื่นกะพระองค์ ขอพระองค์โปรดตอบปัญหานั้นต่อไป. คือ อาบัติหนัก ๑ อาบัติเบา  ๑ อาบัติมีส่วนเหลือ ๑ 
อาบัติไม่มีส่วนเหลือ ๑ อาบัติชั่วหยาบ ๑ อาบัติไม่ชั่วหยาบ ๑ สิกขาบทเป็นยาวตติยกะ ๑ สิกขาบททั่วไป ๑ สิกขาบทไม่ทั่วไป ๑ สิกขาบทที่จำแนกไว้ระงับด้วยสมถะเหล่าใด ๑ ขอพระองค์ได้โปรดชี้แจงสิกขาบทนี้แม้ทั้งมวล. พระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าจะฟังพระดำรัสของพระองค์.
   พ. อาบัติหนักมี ๓๑ ศีลวิบัติและอาจารวิบัติในอาบัติหนักเหล่านั้น อาบัติปาราชิกที่ไม่มีส่วนเหลือมี ๘ อาบัติใดหนัก อาบัตินั้นชั่วหยาบอาบัติใดชั่วหยาบ อาบัตินั้นเป็นศีลวิบัติ.  อาบัติปาราชิก อาบัติสังฆาทิเสส เรียกชื่อว่าศีลวิบัติ. อาบัติถุลลัจจัย ปาจิตติยะ ปาฏิเทสนียะ ทุกกฏทุพภาสิตคือด่าประสงค์จะล้อเล่น อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่า อาจารวิบัติ.
ทิฏฐิวิบัติ
   [๑๐๒๐] บุคคลมีปัญญาเขลา อันโมหะครอบงำ ถูกอสัทธรรมรุมล้อมย่อมถือทิฏฐิวิบัติกล่าวตู่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่าทิฏฐิวิบัติ.
อาชีววิบัติ
   [๑๐๒๑] ภิกษุผู้ปรารถนาลามก ถูกความอยากครอบงำ ย่อมอวดอุตตริมนุสสธรรม อันไม่มีไม่เป็นจริง เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุถึงความเที่ยวชักสื่อ เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ  ภิกษุกล่าวว่าภิกษุใดอยู่ในวิหารของท่านภิกษุนั้นเป็นอรหันต์ เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุณี
ขอโภชนะอันประณีตเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ ภิกษุไม่อาพาธขอแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์ตนมาฉัน เพราะเหตุอาชีวะ เพราะการณ์อาชีวะ อาบัตินี้นั้นรวมเรียกว่า อาชีววิบัติ.
ยาวตติยกะสิกขาบท
   [๑๐๒๒]  ยาวตติยกะสิกขาบท ๑๑ นั้น ท่านจงฟัง ดังจะกล่าวต่อไป อุกขิตตานุวัตติกสิกขาบท ๑ ยาวตติยกะสิกขาบท ๘ อริฏฐสิกขาบท ๑ จัณฑกาลิสิกขาบท ๑ สิกขาบทเหล่านี้นั้นชื่อยาวตติยกะสิกขาบท.
ทรงพยากรณ์เฉทนกสิกขาบทและเภทนกสิกขาบทเป็นต้น 
             [๑๐๒๓] อุ. สิกขาบทว่าด้วยการตัดมีเท่าไร? สิกขาบทว่าด้วยการทำลายมีเท่าไร?
สิกขาบทว่าด้วยการรื้อมีเท่าไร? สิกขาบทว่าเป็นปาจิตตีย์มิใช่อื่นมีเท่าไร? สิกขาบทว่าด้วยการ
สมมติภิกษุมีเท่าไร? สิกขาบทที่ว่าเป็นความชอบ มีเท่าไร? สิกขาบทที่ว่าอย่างยิ่งมีเท่าไร?
สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่งพระราชาผู้สูงศักดิ์ทรงบัญญัติว่ารู้อยู่ มีเท่าไร?
         พ. สิกขาบทว่าด้วยการตัดมี ๖ สิกขาบทว่าด้วยการทำลายมี ๑ สิกขาบทว่าด้วยการ
รื้อมี ๑ สิกขาบทที่ว่าเป็นปาจิตตีย์มิใช่อื่นมี ๔ สิกขาบทว่าด้วยการสมมติภิกษุมี ๔ สิกขาบท
ที่ว่าเป็นความชอบมี ๗ สิกขาบทที่ว่าอย่างยิ่งมี ๑๔ สิกขาบทที่พระพุทธเจ้าผู้เป็นเผ่าพันธุ์แห่ง
พระราชาผู้สูงศักดิ์บัญญัติไว้ว่ารู้อยู่มี ๑๖.
อรรถกถา ปริวาร อัตถวเสปกรณ์ อำนาจประโยชน์ ๑๐ ประการอัตถวเสปกรณวัณณนา  วินิจฉัยในอัตถวเสปกรณ์ พึงทราบดังนี้ :-
   ในคำว่า ทส อตฺถวเส เป็นต้น คำที่ควรกล่าว ได้กล่าวในวัณณนาแห่งปฐมปาราชิกแล้วแล.๑- 
   ในบททั้งหลายมีบทว่า ยํ สงฺฆสุฏฺฐุ ตํ สงฺฆผาสุ เป็นอาทิ บทต้นๆ เป็นเนื้อความของบทหลังๆ. 
   ก็ด้วยทำให้เป็นบทตั้งทีละบท ในทุก ๑๐ บท ประกอบ ๒๐ ครั้ง รวมร้อยบทนี้ใด ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสในคำว่า อรรถร้อยหนึ่ง ธรรมร้อยหนึ่ง เป็นต้น. พึงทราบอรรถร้อยหนึ่ง ด้วยอำนาจบทหลังๆ ในร้อยบทนั้น. พึงทราบร้อยธรรม ด้วยอำนาจบทต้นๆ. 
   อีกอย่างหนึ่ง สิกขาบทอันพระตถาคตทรงอำนาจประโยชน์ ๑๐ เหล่าใด ทรงบัญญัติแล้วแก่สาวกทั้งหลาย อำนาจประโยชน์ ๑๐ เหล่าใดอันข้าพเจ้าพรรณนาแล้ว ในอรรถกถาแห่งปฐมปาราชิกในหนหลัง โดยนัยมีอาทิอย่างนี้ว่า บรรดาอำนาจประโยชน์ ๑๐ นั้น ความเห็นชอบของสงฆ์ คือความยอมรับคำว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า ดุจความยอมรับคำในที่มาว่า ดีแล้ว เทวะ ชื่อว่าสังฆสุฏฐุตา. 
   ก็ภิกษุใด ยอมรับคำของพระตถาคต ความยอมรับคำนั้น ของภิกษุนั้น ย่อมมี เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข สิ้นกาลนาน เพราะเหตุนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้า เมื่อจะทรงกระทำให้แจ้งซึ่งเนื้อความนี้ว่า เราจักบัญญัติ เพื่อสงฆ์ยอมรับคำของเราว่า ดีแล้ว พระเจ้าข้า จักแสดงโทษในการที่ไม่ยอมรับ และอานิสงส์ในการที่
ยอมรับก่อนจึงจะบัญญัติ จักไม่บัญญัติกดขี่ด้วยหักหาญ ดังนี้ จึงตรัสว่า เพื่อเห็นชอบของสงฆ์. พึงทราบอรรถร้อยหนึ่งเพราะอำนาจประโยชน์เหล่านั้น มาแล้วในคัมภีร์บริวารนี้ ๑๐ ครั้ง และพึงทราบธรรมร้อยหนึ่ง ด้วยอำนาจบทที่ส่องอรรถนั้น.
   พึงทราบนิรุตติสองร้อยเหล่านี้ คือด้วยอำนาจแห่งนิรุตติที่ส่องอรรถ ร้อยนิรุตติ ด้วยอำนาจแห่งนิรุตติที่เป็นตัวธรรมดา ร้อยนิรุตติ. 
   และพึงทราบญาณสี่ร้อย คือ ร้อยญาณ ในร้อยอรรถ ร้อยญาณ ในในร้อยธรรม สองร้อยญาณ ในสองร้อยนิรุตติ. 
   จริงอยู่ คำใดที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ร้อยอรรถ ร้อยธรรม สองร้อยนิรุตติ รวมเป็นสี่ร้อยญาณ มีในอำนาจประโยชน์ที่เป็นเหตุเริ่มทำคำนี้ ทรงอาศัยอรรถเป็นต้นนั้น ตรัสแล้ว ฉะนี้แล. 
๑- สมนฺต.ปฐม. ๒๕๘.
พรรณนาอัตถวเสปกรณ์ จบ               
               มหาวัคควัณณนา
          ในอรรถกถาวินัย ชื่อสมันตปาสาทิกา จบแล้ว                  ด้วยประการฉะนี้
               จำนวนสิกขาบทของภิกษุเป็นต้น
    [๑๐๒๔] สิกขาบทของภิกษุมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถรวม ๒๒๐ สิกขาบท ของภิกษุณีมาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถรวม ๓๐๔ สิกขาบท.
                            สิกขาบทของภิกษุที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุณี มี ๔๖ สิกขาบท.
                            สิกขาบทของภิกษุณีที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุ มี ๑๓๐ สิกขาบท
                            สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ไม่ทั่วไปรวม ๑๗๖ สิกขาบท
                            สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกันมี ๑๗๔ สิกขาบท.
            ประเภทสิกขาบทของภิกษุ
   [๑๐๒๕] สิกขาบทของภิกษุ ๒๒๐ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ 
สังฆาทิเสส ๑๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๓๐ ถ้วน ขุททกะ ๙๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบท ของภิกษุ
   รวม ๒๒๐ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ.
            ประเภทสิกขาบทของภิกษุณี
   [๑๐๒๖] สิกขาบทของภิกษุณี ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๘
สังฆาทิเสส ๑๗นิสสัคคิยะ ๓๐ ถ้วน ขุททกะ ๑๖๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ เสขิยะ ๗๕ สิกขาบทของภิกษุณี
   รวม ๓๐๔ สิกขาบท มาสู่อุเทศทุกวันอุโบสถ.
            อสาธารณะสิกขาบทของภิกษุ
[๑๐๒๗] สิกขาบทของภิกษุ ที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุณี มี ๔๖ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. สังฆาทิเสส ๖ รวมทั้งอนิยต ๒
สิกขาบท เป็น ๘ นิสสัคคิยะ ๑๒ รวมกันเป็น ๒๐ ขุททกะ ๒๒ ปาฏิเทสนียะ ๔ สิกขาบทของภิกษุไม่ทั่วไปกับภิกษุณี
   รวม ๔๖ สิกขาบท.
                  อสาธารณะสิกขาบทของภิกษุณี
      [๑๐๒๘] สิกขาบทของภิกษุณี ที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุมี ๑๓๐ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ที่สงฆ์ขับออกจากหมู่ ๑๐ นิสสัคคิยะ ๑๒ ขุททกะ ๙๖ ปาฏิเทสนียะ ๘ สิกขาบทของภิกษุณีที่ไม่ทั่วไปกับภิกษุ รวม ๑๓๐.
                สิกขาบทที่ไม่ทั่วไปแก่สองฝ่าย
    [๑๐๒๙] สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ไม่ทั่วไปมี ๑๗๖ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๑๖ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๒๔ ขุททกะ ๑๑๘ ปาฏิเทสนียะ ๑๒ สิกขาบทของทั้งสอง ฝ่ายที่ไม่ทั่วไป รวม ๑๗๖.
              สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกัน
     [๑๐๓๐] สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกันมี ๑๗๔ ท่านจงฟังสิกขาบทเหล่านั้นดังจะกล่าวต่อไป. ปาราชิก ๔ สังฆาทิเสส ๗ นิสสัคคิยะ ๑๘ ขุททกะ ๗๐ ถ้วน เสขิยะ ๗๕ สิกขาบทของทั้งสองฝ่ายที่ศึกษาร่วมกัน รวม ๑๗๔ สิกขาบท.
               อาบัติที่ระงับไม่ได้
  [๑๐๓๑] บุคคลผู้ต้องปาราชิกเหล่าใด ๘ จำพวกไม่ควรเข้าใกล้ เปรียบเสมอด้วยโคนต้นตาล บุคคลผู้ต้องปาราชิกเหล่านั้น ย่อมไม่งอกงามเปรียบเหมือนใบไม้เหลือง ศิลาหนา คนศีรษะขาด ต้นตาลยอดด้วน ฉะนั้น.
               อาบัติที่ระงับได้
      [๑๐๓๒] สังฆาทิเสส ๒๓ อนิยต ๒ นิสสัคคิยะ ๔๒ ปาจิตตีย์ ๑๘๘ ปาฏิเทสนียะ ๑๒ เสขิยะ ๗๕ ระงับด้วยสมถะ ๓ คือสัมมุขาวินัย ๑ ปฏิญญาตกรณะ ๑ ติณวัตถารกะ ๑.
ส่วนที่ทรงจำแนก
     [๑๐๓๓] อุโบสถ ๓ ปวารณา ๒ กรรม ๔ อันพระชินเจ้าทรงแสดงแล้วอุเทศ ๕ และอุเทศ ๔ ย่อมไม่มีโดยประการอื่น และกองอาบัติมี ๗.
                อธิกรณ์
     [๑๐๓๔] อธิกรณ์ ๔ ระงับด้วยสมถะ ๗ คือ ระงับด้วยสมถะ ๒ ด้วยสมถะ ๔ ด้วยสมถะ ๓ แต่กิจจาธิกรณ์ระงับด้วยสมถะ ๑.
7.1/10 ·  ปีที่ฉาย :   เสียง : พากย์ไทย 0  ชั่วโมง 50 นาที 
ทิชา (2024) Ticha ‧ ละครโทรทัศน์|HD THAI 
Overview ตัวอย่าง Clips Reviews นักแสดง
เป็นเรื่องราวของ อู่ยี่ ลูกสาวคนเดียวของ โหย่ว แรงงานต่างด้าว ที่เข้ามาในประเทศไทยอย่างผิดกฎหมาย พวกเขาหวังว่าจะ เปลี่ยนแปลงชะตากรรมและมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่ทุกอย่างกลับไม่เป็นไปตาม ที่ฝัน เมื่อได้พบกับนายจ้าง บุษรา สาวไฮโซที่มีอิทธิพลในสังคม ชนชั้นสูง ด้วยความที่เธอทำแต่งานทำให้ พัดชัย ลูกชายสุดที่รัก ของเธอต้องเผชิญกับชีวิตอันโดดเดี่ยว แต่นั่นก็ไม่ยากเท่ากับที่อู่ยี่ และโหย่วต้องเผชิญเมื่อชีวิตของอู่ยี่ถูกกลั่นแกล้งการต่อสู้เพื่อแสวงหา ความยุติธรรมในนามของทิชา ก็ได้เริ่มต้นขึ้น