Translate

13 เมษายน 2568

/ ˈ k ɑːr t ər / คาร์เตอร์ (ชื่อ) ดูหนัง นักรบสงครามข้ามจักรวาล

อ่าน 3 นาที-
  คาร์เตอร์เป็นนามสกุลและอาจเป็นชื่อที่ตั้งให้ ก็ได้ คาร์เตอร์มีต้นกำเนิดมาจากภาษาไอริช สก็อตแลนด์และอังกฤษและเป็นชื่ออาชีพที่ใช้เรียกผู้ที่ขนส่งสินค้าด้วยเกวียนหรือรถบรรทุก และท้ายที่สุดแล้วมาจากคำว่า
 "cairt" ที่แปลว่าเกวียน ซึ่งยังคงใช้ในภาษาเกลิก คำศัพท์ภาษาเซลติกนี้มีรากศัพท์มาจากคำ ว่า "kars" หรือ "kart" ในภาษา โปรโต-อินโด-ยูโรเปียนซึ่งหมายถึงยานพาหนะที่มีล้อ นอกจากนี้ยังอาจปรากฏเป็นรูปแบบภาษาอังกฤษที่ย่อลงของMcCarter ที่ได้มาจากภาษาเกลิกไอริชและสก็อต
แลนด์ หรือ Mac Artair ในภาษาเกลิกสก็อตแลนด์ โดยที่ Mc แปลว่า "ลูกชายของ" ลักษณะและการออกเสียงของชื่อ Carter อาจเป็นรูปแบบภาษาอังกฤษที่แปลงมาจาก Mac Artúir, Cuirtéir, Cartúir, Cartúr หรือ Ó Cuirtéir ก็ได้ชื่อนี้ยังเกี่ยวข้องกับภาษา ละติน carettarius ที่แปล
ว่า   "คนขับรถเกวียน" ซึ่งได้รับอิทธิพลจากคำศัพท์ภาษาเซลติกและวิวัฒนาการมาเป็นภาษาฝรั่งเศสนอร์มัน ว่า "caretier" ในภาษาเกลิก คำว่า "cairt" ยังคงมีความหมายว่า "รถเข็น" และใช้ในบริบทที่คุ้นเคยและได้รับอิทธิพลจากรากศัพท์ภาษาเซลติกก่อนหน้านี้

ในอังกฤษการใช้ชื่อสกุล Carter ครั้งแรกสุดมีบันทึกว่าย้อนไปถึงปี 1192–1193 โดยมีหลักฐานคืออัศวินชาวนอร์มัน Rannulf le Caretier บันทึกไว้ใน Pipe RollsของHuntingdonshire บันทึกนี้ปรากฏในรัชสมัยของกษัตริย์ Richard Iหรือที่รู้จักกันในชื่อ Richard the Lionheart ซึ่งปกครองตั้งแต่ปี 1189 ถึง 1199 เกือบหนึ่งศตวรรษ
ต่อมา ในHundred Rolls ของปี 1273ซึ่งเป็นการสำรวจสำมะโนประชากรของเวลส์และอังกฤษ มีผู้ใช้ชื่อสกุลนี้คนแรกๆ จำนวน 6 คน ได้แก่ Jocius Catetarius ใน Oxfordshire, Juliana le Cartere ใน Cambridgeshire, Nicholas le Carter ใน Oxfordshire, John le
 Cartere ใน Norfolk, Robert le Caretter ใน Huntingdonshire และ Margaret le Careter ใน Huntingdonshire ภาษีรายหัวของ Yorkshireจากปี 1379 ระบุว่า Richardus Carter เป็นผู้ใช้ชื่อสกุลอีกคนหนึ่งในรูปแบบภาษาอังกฤษ
และผู้คนยังค้นหา 

ผลการค้นหา

นักรบสงครามข้ามจักรวาล พ.ศ. 2555 ‧ แอคชั่น/ผจญภัย ‧ 2 ชม. 12 นาที  ติดตาม  รีวิว
อดีตกัปตันสัมพันธมิตร จอห์น คาร์เตอร์ (เทย์เลอร์ คิทช์) ได้ถูก      ส่งตัวไปยังดาวอังคารอย่างน่าพิศวง (ซึ่งมีชื่อของโลกแห่งนี้ว่า "บาร์ซูม") ซึ่งเขาจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของความขัดแย้งระหว่างประเทศแห่งดาวเคราะห์ ซึ่งมีผู้นำอันประกอบด้วย ทาร์ส ทาร์คัส (วิลเลี่ยม เดโฟ) และเจ้าหญิงเดจา ธอริส (ลินน์ คอลลินส์) ซึ่งคาร์เตอร์ได้อุทิศตนเพื่อปกป้องบาร์ซูมและ
ประชาชนของอาณาจักรแห่งนี้ ภาพยนตร์ชุดนี้เป็นผลงานแบบคนแสดงชุดแรกของ แอนดรูว์ สแตนตัน ซึ่งเป็นผู้กำกับ/นักเขียน และร่วมเขียนโดย มาร์ค แอนดรู กับ ไมเคิล เชบอน ภาพยนตร์ชุดนี้สร้างโดย จิม มอร์ริส, โคลิน วิลสัน และ ลินซี่ย์ คอลลินส์ รวมถึงเพลงประกอบโดย ไมเคิล จีอาคีโน
Liked th

อ้างอิง

แก้
  1. ↑ กระโดดขึ้นไป:
    1.0 1.1 Boucher, Geoff (16 June 2011). "'John Carter': Andrew Stanton on Martian history, Comic-Con and … Monty Python?"Los Angeles Times. สืบค้นเมื่อ 22 June 2011.
  2. ↑ กระโดดขึ้นไป:
    2.0 2.1 Finke, Nikki (26 May 2011). "Disney Sets Date for 3D The Lion King"Deadline. สืบค้นเมื่อ 22 June2011. อ้างอิงผิดพลาด: ป้ายระบุ <ref> ไม่สมเหตุสมผล มีนิยามชื่อ "Deadline" หลายครั้งด้วยเนื้อหาต่างกัน
  3.  Eisenberg, Eric (2011-05-23). "John Carter Of Mars Now Just John Carter; Andrew Niccol's Now Retitled In Time"Cinema Blend. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2011-05-24. สืบค้นเมื่อ2011-05-24.
  4. ↑ กระโดดขึ้นไป:
    4.0 4.1 "John Carter – Teaser One Sheet Now Available"Jim Hill Media. 16 June 2011. สืบค้นเมื่อ 22 June 2011.
  5.  "John Carter Loses Mars"Coming Soon. 23 May 2011. สืบค้นเมื่อ22 June2011.
  6.  Lambie, Ryan (19 June 2011). "What We Know About John Carter"Den of Geek. สืบค้นเมื่อ 22 June 2011.
  7.  Tassi, Paul (11 March 2010). "Michael Giacchino Scoring John Carter of Mars"JoBlo. สืบค้นเมื่อ 23 June 2011.
  8. ↑ กระโดดขึ้นไป:
    8.0 8.1 Gallagher, Brian (12 June 2009). "Taylor Kitsch and Lynn Collins Sign Up for John Carter from Mars"MovieWeb. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-09-30. สืบค้นเมื่อ 22 June 2011.
  9.  Kit, Borys (2009-06-12). "Taylor Kitsch, Lynn Collins blast off to Mars"The Hollywood Reporter. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2009-06-15. สืบค้นเมื่อ 2009-06-12.
  10.  "Chaos Reigns! Willem Dafoe talks with Capone about ANTICHRIST, CIRQUE DU FREAK, DAYBREAKERS, and JOHN CARTER OF MARS!!!". Aintitcool.com. 2009-10-20. สืบค้นเมื่อ2010-10-07.
  11. ↑ กระโดดขึ้นไป:
    11.0 11.1 Internet Movie Database: John Carter, at http://www.imdb.com/title/tt0401729/
  12.  "Disney sets 'Frankenweenie,' 'John Carter of Mars' release dates". Heatvision.hollywoodreporter.com. 2010-08-09. คลังข้อมูลเก่าเก็บจากแหล่งเดิมเมื่อ 2012-06-30. สืบค้นเมื่อ2010-10-07.
  13.  Chitwood, Adam (February 5, 2012). "Super Bowl Movie Commercials: THE AVENGERS, BATTLESHIP, JOHN CARTER, THE LORAX, G.I. JOE 2, THE DICTATOR and More"Collider. สืบค้นเมื่อ February 7, 2012.
หลังจากการรุกรานไอร์แลนด์ของชาวนอร์มันในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 คา ร์เตอร์ซึ่งสืบเชื้อสายมาจากอังกฤษนิกายโรมันคาธอลิก ก็ได้เดินทางมาถึงไอร์แลนด์และตั้งรกรากอยู่ในเมืองที่มีกำแพงล้อมรอบซึ่งก่อตั้งโดยชาวนอร์มัน ชาว แองโกล-นอร์มัน เหล่านี้ ได้ผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมไอริชโดยรับเอาประเพณี ภาษา และศาสนาแบบเกลิกของไอริชมาใช้ จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกในประวัติศาสตร์ไอริชว่า " ไอริชมากกว่าชาวไอริชเอง " ชาวอังกฤษและชาวสก็อตโปรเตสแตนต์ที่เข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในไร่ ในไอร์แลนด์ในเวลาต่อมา ซึ่งเดินทางมาถึงระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 1550ถึง1700และส่วนใหญ่ตั้งถิ่นฐานในอัลสเตอร์ระหว่างการสร้างไร่ในอัลสเตอร์ได้ก่อตั้ง ชุมชน โปรเตสแตนต์อัลสเตอร์และยังคงเป็นชนชั้นและกลุ่มที่แตกต่าง
พระราชบัญญัติเมืองคิลเคนนีในปี ค.ศ. 1366 ซึ่งมุ่งหมายที่จะหยุดยั้งการเสื่อมถอยของตำแหน่งขุนนางแห่งไอร์แลนด์ใน สมัย ไฮเบอร์โน-น อร์มัน กำหนดให้ชาวอังกฤษหรือชาวไอริชทุกคนที่อาศัยอยู่ท่ามกลางชาวอังกฤษต้องใช้ภาษาอังกฤษและตั้งชื่อและปฏิบัติตามประเพณีภาษาอังกฤษ มิฉะนั้นจะถูกจำคุกและสูญเสียทรัพย์สิน ชาวไอริชที่อาศัยอยู่ในเดอะเพล กำหนด ให้ใช้นามสกุลภาษาอังกฤษตามชื่อเมือง สี อาชีพ หรือตำแหน่ง ซึ่งยังส่งผลต่อการแพร่กระจายของนามสกุลแบบแองโกลและแบบแองกลิไซซ์อีกด้วย 

ปัจจุบัน นามสกุลคาร์เตอร์เป็นนามสกุลที่พบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 44 ในสหรัฐอเมริกาและเป็นอันดับ 56 ในอังกฤษในไอร์แลนด์นามสกุลนี้จัดอยู่ในอันดับระหว่างMcGarryและCannonโดยพบมากที่สุดในCounty Laoisและเป็นนามสกุลที่พบมากที่สุดเป็นอันดับที่ 70 และยังปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนในเมืองดับลินคอร์กและลิเมอริกในสกอตแลนด์นามสกุลนี้พบมากที่สุดในเขตเฮบริดีสด้านนอก
นามสกุลคาร์เตอร์ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันโดยได้รับมาจากอดีตทาสหลังจากการปลดปล่อยทาสและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญครั้งที่ 13จากเจ้านายของพวกเขา (ซึ่งโดยทั่วไปมีเชื้อสายอังกฤษหรือสก็อตแลนด์) หรือผ่านการผสมผสานโดยสมัครใจระหว่างผู้อพยพชาวไอริชและชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่เป็นอิสระใน เมืองและชุมชน ทางตอนเหนือเช่นไฟว์พอยต์สและเซเนกาวิลเลจในนครนิวยอร์กและที่อื่นๆ ในสหรัฐอเมริกา ชื่อนี้พบได้ทั่วไปในหมู่ชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันที่สามารถสืบย้อนรากเหง้าของตนไปจนถึงภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาหรือแคริบเบียนตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 และก่อนหน้านั้น โดยผู้ถือนามสกุลคาร์เตอร์ในสหรัฐอเมริกาประมาณ 35% มีเชื้อสายแอฟริกันอเมริกัน และเป็นนามสกุลที่พบบ่อยที่สุดเป็นอันดับ 22 สำหรับคนอเมริกันเชื้อสายแอฟริกัน
บุคคลที่มีนามสกุล เอ
แอรอน คาร์เตอร์ (1987–2022) นักดนตรีชาวอเมริกัน
แอด คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2438–2500) นักเขียนการ์ตูนชาวอเมริกัน
อดัม คาร์เตอร์ (นักฟุตบอล) (เกิด พ.ศ. 2537) นักฟุตบอลออสเตรเลียนรูลส์จากออสเตรเลียตะวันตก
เอเดรียน คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2502) สถาปนิกชาวอังกฤษ
เอมี คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2529) นักเขียนชาวอเมริกัน
อัล คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2495) นักข่าวชาวอเมริกัน
อัลเฟรด วิลเลียมส์ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2437–2529) นักบินผู้เชี่ยวชาญชาวแคนาดา
อาลี คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2522) นักสนุกเกอร์อาชีพชาวอังกฤษ
Allen 'Big Al' Carter (1947–2008) ศิลปินชาวอเมริกัน
แอลลี่ คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2517) นักเขียนชาวอเมริกัน
อแมนดา คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2507) นักบาสเกตบอลพาราลิมปิกชาวออสเตรเลีย
Amon G. Carter (พ.ศ. 2422–2498) ผู้จัดพิมพ์หนังสือพิมพ์Fort Worth Star-Telegram
เอมี่ คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2510) บุตรคนเล็กของอดีตประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์แห่งสหรัฐอเมริกา และโรซาลินน์ ภรรยาของเขา
เอมี่ คาร์เตอร์ (นักการเมือง)นักการเมืองชาวอเมริกัน
แอนเดร คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2522) นักฟุตบอลชาวอเมริกัน
อังเดร คาร์เตอร์ที่ 2 (เกิด พ.ศ. 2543) นักฟุตบอลชาวอเมริกัน
แองเจลา คาร์เตอร์ (1940–1992) นักเขียนนวนิยายและนักข่าวชาวอังกฤษ
อานิตา คาร์เตอร์ (ค.ศ. 1933–1999) นักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน
แอนน์ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2479–2557) นักแสดงชาวอเมริกัน
แอนน์ คาร์เตอร์ (ผู้ก่อจลาจล) (เสียชีวิตในปี ค.ศ. 1629) นักเคลื่อนไหวชาวอังกฤษ
แอนน์ ฮิลล์ คาร์เตอร์ ลี (พ.ศ. 2316–2372) ชาวอเมริกัน มารดาของนายพลสมาพันธรัฐโรเบิร์ต อี. ลี
แอนสัน คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2517) นักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งอาชีพชาวแคนาดา
เอพี คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2434–2503) นักดนตรีคันทรีชาวอเมริกัน ผู้ก่อตั้งวงดนตรีคาร์เตอร์แฟมิลี่
เอพริล คาร์เตอร์นักวิชาการและนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวอังกฤษ
อาร์โนลด์ คาร์เตอร์ (ค.ศ. 1918–1989) นักเบสบอลชาวอเมริกัน
เอซา เอิร์ล คาร์เตอร์ (ค.ศ. 1925–1979) นักเขียนสุนทรพจน์ชาวอเมริกัน นักเขียนนวนิยายภายใต้นามแฝงว่า ฟอร์เรสต์ คาร์เตอร์
แอช คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2497–2565) นักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ศาสตราจารย์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ
แอชลีย์ คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2538) นักฟุตบอลชาวอังกฤษ
บี
แบร์รี ไวท์ (ชื่อเกิด แบร์รี ยูจีน คาร์เตอร์ พ.ศ. 2487–2546) นักร้องโซลและดิสโก้ชาวอเมริกัน
เบน คาร์เตอร์ (ค.ศ. 1939–2014) หรือที่รู้จักกันในชื่อเบน อัมมี เบน-อิสราเอลผู้ก่อตั้งชาวอเมริกันและผู้นำทางจิตวิญญาณของชาวอิสราเอลเชื้อสายแอฟริกันฮีบรูแห่งเยรูซาเล็ม
เบน คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2524) มือกลองชาวอังกฤษแห่งวงEvile
เบน คาร์เตอร์ (นักแสดง) (พ.ศ. 2453–2489) นักแสดงชาวอเมริกันและตัวแทนคัดเลือกนักแสดง
เบน คาร์เตอร์ (นักบาสเก็ตบอล) (เกิด พ.ศ. 2537) นักบาสเก็ตบอลชาวอเมริกัน-อิสราเอลในลีก Israel Basketball Premier League
เบนนี คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2450–2546) นักดนตรีแจ๊สชาวอเมริกัน
เบนนี่ คาร์เตอร์ (จิตรกร) (พ.ศ. 2486–2557) ศิลปินพื้นบ้านชาวอเมริกัน
เบอร์นาร์ด คาร์เตอร์ (นายธนาคาร) (พ.ศ. 2436–2504) ทหารและนายธนาคารชาวอเมริกัน
เบ็ตตี้ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2473–2541) นักร้องแจ๊สชาวอเมริกัน
บิล คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2509) นักเขียนและผู้กำกับสารคดีชาวอเมริกัน
บิลลี คาร์เตอร์ (ค.ศ. 1937–1988) น้องชายชาวอเมริกันของจิมมี คาร์เตอร์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา
บิลลี่ คาร์เตอร์ (นักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็ง) (เกิด พ.ศ. 2480) นักกีฬาฮอกกี้น้ำแข็งชาวแคนาดา
บลู ไอวี่ คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2555) นักร้องชาวอเมริกัน
โบ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2436–2507) นักดนตรีบลูส์ชาวอเมริกัน
บ็อบ คาร์เตอร์ (นักคริกเก็ต เกิดเมื่อปีพ.ศ. 2480)นักคริกเก็ตชาวอังกฤษจากวูร์สเตอร์เชียร์
บ็อบ คาร์เตอร์ (นักดนตรี) (พ.ศ. 2465–2536) นักเล่นกีตาร์เบสแจ๊สและนักเรียบเรียงชาวอเมริกัน
บ็อบบี้ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2482–2558) นักการเมืองชาวอเมริกันในรัฐเทนเนสซี
แบรนดอน คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2485) นักฟิสิกส์ทฤษฎีชาวออสเตรเลียผู้มีชื่อเสียงจากผลงานเกี่ยวกับคุณสมบัติของหลุมดำ
แบรนดอน คาร์เตอร์ (อเมริกันฟุตบอล) (เกิด พ.ศ. 2529) นักฟุตบอลและนักมวยปล้ำชาวอเมริกันที่รู้จักกันในชื่อTAC
เบรตต์ คาร์เตอร์ (นักการเมือง) (เกิด พ.ศ. 2515) นักการเมืองชาวอเมริกัน
เบรตต์ คาร์เตอร์ (รักบี้ลีก) (เกิด พ.ศ. 2532) นักฟุตบอลรักบี้ลีกชาวอังกฤษ
บัดดี้ คาร์เตอร์ (เกิด พ.ศ. 2500) สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐอเมริกาจากจอร์เจีย
บันชี่ คาร์เตอร์ (พ.ศ. 2485–2512) นักเคลื่อนไหวชาวอเมริกันในพรรคแบล็กแพนเธอร์

12 เมษายน 2568

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธ วรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร เรื่องอเจลกัสสปะ

👉 โดย :  mount.lyell.shrew    🙏 Be successful. A Prayer for Generosity 
พระไตรปิฎกเล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ ๑ [ฉบับมหาจุฬาฯ] ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค ๘. มหาสีหนาทสูตร ว่าด้วยการบันลืออย่างองอาจดังพญาราชสีห์ เรื่องอเจลกัสสปะ
      [๓๘๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
      สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กัณณกถล มฤคทายวัน เขตเมืองอุชุญญา ครั้งนั้น อเจลกัสสปะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค สนทนากับพระองค์พอคุ้นเคยแล้ว ยืนอยู่ ณ ที่สมควรแล้ว ทูลถามว่า “ท่านพระโคดม ข้าพระองค์ได้ยินมาว่า ‘พระสมณโคดมทรงตำหนิตบะทุกชนิด ทรงคัดค้านและ
ชี้โทษผู้บำเพ็ญตบะทั้งปวงว่าเป็นผู้มีอาชีวะเศร้าหมองโดยส่วนเดียว’ สมณพราหมณ์ที่กล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณโคดมทรงตำหนิตบะทุกชนิด ทรงคัดค้านและชี้โทษผู้บำเพ็ญตบะทั้งปวงว่าเป็นผู้มีอาชีวะเศร้าหมองโดยส่วนเดียว’ ชื่อว่าพูดตรงตามที่ท่านพระโคดมตรัสไว้ ไม่ชื่อว่ากล่าวตู่ท่านพระโคดมด้วยคำเท็จหรือ ชื่อว่าเป็น
ผู้พูดอย่างสมเหตุสมผลหรือไม่มีบ้างหรือที่คำเล่าลืออันชอบธรรมนั้นจะเป็นเหตุที่ควรตำหนิได้ เพราะพวกข้าพระองค์ไม่ประสงค์จะกล่าวตู่ท่านพระโคดมเลย”
      [๓๘๒] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “กัสสปะ สมณพราหมณ์ที่กล่าวว่า ‘พระสมณโคดมทรงตำหนิตบะทุกชนิด ทรงคัดค้านและชี้โทษผู้บำเพ็ญตบะทั้งปวงว่าเป็นผู้มีอาชีวะเศร้าหมองโดยส่วนเดียว’ ไม่ถือว่าพูดตรงตามที่เราพูด ทั้งไม่ถือว่ากล่าวตู่เราด้วยคำเท็จ ด้วยอาศัยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ เราจึงเห็น
บุคคล ผู้บำเพ็ญตบะบางคนในโลกนี้มีอาชีวะเศร้าหมอง หลังจากตายแล้ว ไปบังเกิดในอบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ก็มี
      [๓๘๓] ด้วยอาศัยตาทิพย์อันบริสุทธิ์เหนือมนุษย์ เราเห็นบุคคลผู้บำเพ็ญตบะบางคนในโลกนี้อยู่เป็นทุกข์เพราะบุญน้อย หลังจากตายแล้วไปบังเกิดใน
อบาย ทุคติ วินิบาต นรกก็มี ไปบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์ก็มี เรารู้การมา การไป การจุติและการบังเกิดของคนเหล่านั้นตามความเป็นจริงอย่างนี้ ไฉนเราจักตำหนิตบะทุกชนิด หรือคัดค้านและชี้โทษผู้บำเพ็ญตบะทั้งปวงว่า เป็นผู้มีอาชีวะเศร้าหมองโดยส่วนเดียวเล่า
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๑} 

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร] 

ว่าด้วยการไล่เลียงสอบสวน
      [๓๘๔] กัสสปะ มีสมณพราหมณ์บางพวกเป็น
บัณฑิต ทรงภูมิปัญญา มักโต้แย้ง มีท่าทางดังขมังธนู พวกเขาดูเหมือนจะกำจัดทิฏฐิได้ด้วยปัญญา สมณพราหมณ์เหล่านั้นมีทรรศนะตรงกับเราในบางเรื่อง ไม่ตรงกันกับเราในบางเรื่อง บางประเด็นที่พวกเขาว่าดี แม้เราก็ว่าดี บางประเด็นที่พวกเขาว่าไม่ดี แม้เราก็ว่าไม่ดี บางประเด็นที่พวกเขาว่าดี แต่เราว่าไม่ดี บาง
ประเด็น ที่พวกเขาว่าไม่ดี แต่เราว่าดี บางประเด็นที่เราว่าดี สมณพราหมณ์พวกอื่นก็ว่าดี บางประเด็นที่เราว่าไม่ดี สมณพราหมณ์พวกอื่นก็ว่าไม่ดี บางประเด็นที่เราว่าดี สมณพราหมณ์พวกอื่นกลับว่าไม่ดี บางประเด็นที่เราว่าไม่ดี สมณพราหมณ์พวกอื่นกลับว่าดี
ว่าด้วยการไล่เลียงสอบสวน
      [๓๘๕] กัสสปะ เราเข้าไปหาสมณพราหมณ์
เหล่านั้น แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ผู้มีอายุ เรื่องที่ทำให้พวกเรามีวัตรปฏิบัติไม่ตรงกันจงงดไว้ แต่ในเรื่องที่ตรงกันวิญญูชนเมื่อซักไซ้ไล่เลียงสอบสวน เปรียบเทียบศาสดากับศาสดา หมู่สาวกกับหมู่สาวกว่า ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นอกุศลก็จัดว่าเป็นอกุศล ที่มีโทษก็จัดว่ามีโทษที่ไม่ควรเสพก็จัดว่าไม่ควรเสพ ที่ไม่ประเสริฐก็จัดว่าไม่ประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายชั่วก็จัดว่าเป็นฝ่ายชั่ว ใครเล่าที่ละธรรมเหล่านี้ได้เด็ดขาด พระสมณโคดมหรือว่าคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’
      [๓๘๖] กัสสปะ เป็นไปได้ที่วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นอกุศลก็จัดว่าเป็นอกุศล ที่มีโทษก็จัดว่ามีโทษ ที่ไม่ควรเสพก็จัดว่าไม่ควรเสพ ที่ไม่ประเสริฐก็จัดว่าไม่ประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายชั่วก็จัดว่าเป็นฝ่ายชั่ว พระสมณโคดมละธรรมเหล่านี้ได้เด็ดขาด หรือว่าคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’ ในเรื่องนั้นวิญญูชนเมื่อซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนอย่างนี้ โดยมากจะสรรเสริญพวกเราฝ่ายเดียวเท่านั้น
      [๓๘๗] ยังมีอีก กัสสปะ วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนพวกเรา เปรียบเทียบศาสดากับศาสดา หมู่สาวกกับหมู่สาวกว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นกุศลก็จัดว่าเป็นกุศล ที่ไม่มีโทษก็จัดว่าไม่มีโทษ ที่ควรเสพก็จัดว่าควรเสพ ที่
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๒}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการไล่เลียงสอบสวน

ประเสริฐก็จัดว่าประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายดีก็จัดว่าเป็นฝ่ายดี ใครเล่าที่สมาทานประพฤติธรรมเหล่านี้ได้ครบถ้วน พระสมณโคดมหรือว่าคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’
      [๓๘๘] กัสสปะ เป็นไปได้ที่วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นกุศลก็จัดว่าเป็นกุศล ที่ไม่มีโทษก็จัดว่าไม่มีโทษ ที่ควรเสพก็จัดว่าควรเสพ ที่ประเสริฐก็จัดว่าประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายดีก็จัดว่าเป็นฝ่ายดี พระสมณโคดมสมาทานประพฤติธรรมเหล่านี้ได้ครบถ้วน หรือว่าคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’ ในเรื่องนั้น วิญญูชนเมื่อซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนอย่างนี้ โดยมากจะสรรเสริญพวกเราฝ่ายเดียวเท่านั้น
      [๓๘๙] ยังมีอีก กัสสปะ วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนพวกเรา เปรียบเทียบศาสดากับศาสดา หมู่สาวกกับหมู่สาวกว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นอกุศลก็จัดว่าเป็นอกุศล ที่มีโทษก็จัดว่ามีโทษ ที่ไม่ควรเสพก็จัดว่าไม่ควรเสพ ที่ไม่ประเสริฐ ก็จัดว่าไม่ประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายชั่วก็จัดว่าเป็นฝ่ายชั่ว ใครเล่าที่ละธรรมเหล่านี้ได้เด็ดขาด หมู่สาวกของพระสมณโคดมหรือว่าหมู่สาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’
      [๓๙๐] กัสสปะ เป็นไปได้ที่วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นอกุศลก็จัดว่าเป็นอกุศล ที่มีโทษก็จัดว่ามีโทษ ที่ไม่ควรเสพก็จัดว่าไม่ควรเสพ ที่ไม่ประเสริฐก็จัดว่าไม่ประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายชั่วก็จัดว่าเป็นฝ่ายชั่ว หมู่สาวกของพระสมณโคดมละธรรมเหล่านี้ได้เด็ดขาด หรือว่า หมู่สาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’ ในเรื่องนั้น วิญญูชนเมื่อซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนอย่างนี้ โดยมากจะสรรเสริญพวกเราฝ่ายเดียวเท่านั้น
      [๓๙๑] ยังมีอีก กัสสปะ วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนพวกเรา เปรียบเทียบศาสดากับศาสดา หมู่สาวกกับหมู่สาวกว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นกุศลก็จัดว่าเป็นกุศล ที่ไม่มีโทษก็จัดว่าไม่มีโทษ ที่ควรเสพก็จัดว่าควรเสพ ที่ประเสริฐก็จัดว่าประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายดีก็จัดว่าเป็นฝ่ายดี ใครเล่าที่สมาทาน ประพฤติธรรมเหล่านี้ได้ครบถ้วน หมู่สาวกของพระสมณโคดมหรือว่าหมู่สาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๓}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะ

      [๓๙๒] กัสสปะ เป็นไปได้ที่วิญญูชนเมื่อซักไซ้
ไล่เลียงสอบสวนจะพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ‘ธรรมของท่านเหล่านี้ส่วนใดที่เป็นกุศลก็จัดว่าเป็นกุศล ที่ไม่มีโทษก็จัดว่าไม่มีโทษ ที่ควรเสพก็จัดว่าควรเสพ ที่ประเสริฐก็จัดว่าประเสริฐ และที่เป็นฝ่ายดีก็จัดว่าเป็นฝ่ายดี หมู่สาวกของพระสมณโคดมสมาทานประพฤติธรรมเหล่านี้ได้ครบถ้วน หรือว่า หมู่สาวกของคณาจารย์ผู้เจริญเหล่าอื่นกันแน่’ ในเรื่องนั้น วิญญูชนเมื่อซักไซ้ไล่เลียงสอบสวนอย่างนี้ โดยมากจะสรรเสริญพวกเราฝ่ายเดียวเท่านั้น
อริยมรรคมีองค์ ๘
     [๓๙๓] กัสสปะ มีทาง มีข้อปฏิบัติ ที่ผู้ปฏิบัติ
ตาม จะรู้เองเห็นเองว่า ‘พระสมณโคดมตรัสถูกเวลา ตรัสคำจริง ตรัสอิงประโยชน์ ตรัสอิงธรรม ตรัสอิงวินัย’ กัสสปะ อะไรคือทาง อะไรคือข้อปฏิบัติ ที่ผู้ปฏิบัติตามจะรู้เองเห็นเองว่า ‘พระสมณโคดมตรัสถูกเวลา ตรัสคำจริง ตรัสอิงประโยชน์ ตรัสอิงธรรม ตรัสอิงวินัย’ มรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐเหล่านี้คือ
สัมมาทิฏฐิ(เห็นชอบ), สัมมาสังกัปปะ(ดำริชอบ), สัมมาวาจา(เจรจาชอบ), สัมมากัมมันตะ(กระทำชอบ), สัมมาอาชีวะ(เลี้ยงชีพชอบ), สัมมาวายามะ(พยายามชอบ), สัมมาสติ(ระลึกชอบ) และสัมมาสมาธิ(ตั้งจิตมั่นชอบ) กัสสปะ นี้แลคือทาง คือข้อปฏิบัติที่ผู้ปฏิบัติตามจะรู้เองเห็นเองว่า  พระสมณโคดมตรัสถูกเวลา ตรัสคำจริง ตรัสอิงประโยชน์ ตรัสอิงธรรม ตรัสอิงวินัย”
ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะ
      [๓๙๔] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้
อเจลกัสสปะกราบทูลว่า “ท่านพระโคดม การบำเพ็ญตบะที่นับว่าเป็นสามัญคุณ๑- และเป็นพรหมัญคุณ๒- ของสมณพราหมณ์แม้เหล่านี้ คือ เป็นอเจลก(ประพฤติเปลือยกาย) ไม่มีมารยาท เลียมือ เขาเชิญให้ไปรับอาหารก็ไม่ไป เขาเชิญให้หยุดรับอาหารก็ไม่หยุด ไม่รับอาหารที่เขาแบ่งไว้ ไม่รับอาหารที่เขาทำเจาะจง ไม่ยินดีอาหารที่เขาเชิญ ไม่รับ
@เชิงอรรถ : @ หมายถึง สมณกรรม ได้แก่การบำเพ็ญตบะ อันเป็นสิ่งที่ทำให้ความเป็นสมณะสมบูรณ์ ตามความเข้าใจ @ของคนยุคนั้น (ที.สี.อ. ๓๙๔/๒๙๒)
@ หมายถึง พราหมณกรรม ได้แก่ข้อปฏิบัติที่ทำให้เป็นพราหมณ์โดยสมบูรณ์ ตามความเข้าใจของคนยุค @นั้น (ที.สี.อ. ๓๙๔/๒๙๒)
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๔}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะ


อาหารจากปากหม้อ ไม่รับอาหารจากปากภาชนะ
ไม่รับอาหารคร่อมธรณีประตู
ไม่รับอาหารคร่อมท่อนไม้ ไม่รับอาหารคร่อมสาก
ไม่รับอาหารของคน ๒ คนที่กำลังบริโภค
ไม่รับอาหารของหญิงมีครรภ์ ไม่รับอาหารของหญิงผู้กำลังให้บุตรดื่มนม ไม่รับอาหารของหญิงที่คลอเคลียชาย ไม่รับอาหารที่นัดแนะกันทำไว้ ไม่รับอาหารในที่เลี้ยงสุนัข ไม่รับอาหารในที่มีแมลงวันไต่ตอมเป็นกลุ่มๆ ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ  ไม่ดื่มสุรา ไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดอง รับอาหารในเรือนหลังเดียว ยังชีพด้วยข้าว
คำเดียว รับอาหารในเรือน ๒ หลัง ยังชีพด้วยข้าว ๒ คำ รับอาหารในเรือน ๗ หลัง ยังชีพด้วยข้าว ๗ คำ ยังชีพด้วยอาหารในถาดน้อย ๑ ใบ ยังชีพด้วยอาหารในถาดน้อย ๒ ใบ ยังชีพด้วยอาหารในถาดน้อย ๗ ใบ กินอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ๑ วัน กินอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ๒ วัน กินอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน ๗ วัน ถือ๑- การบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อ
      [๓๙๕] การบำเพ็ญตบะที่นับว่าเป็นสามัญคุณและพรหมัญคุณของสมณพราหมณ์เหล่านั้น คือ กินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร กินลูกเดือยเป็นอาหาร กินกากข้าวเป็นอาหาร กินยางเป็นอาหาร กินสาหร่ายเป็นอาหาร กินรำเป็นอาหาร กินข้าวตังเป็นอาหาร กินกำยานเป็นอาหาร กินหญ้าเป็นอาหารกินโคมัยเป็นอาหาร กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นยังชีพ
      [๓๙๖] การบำเพ็ญตบะที่นับว่าเป็นสามัญคุณและพรหมัญคุณของสมณพราหมณ์เหล่านั้น คือ นุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน นุ่งห่มผ้าห่อศพ นุ่งห่มผ้าบังสุกุล นุ่งห่มผ้าเปลือกไม้ นุ่งห่มหนังเสือ นุ่งห่มหนังเสือมีเล็บ นุ่งห่มผ้าคากรอง๒- นุ่งห่มผ้าเปลือกปอกรอง นุ่งห่มผ้าผลไม้กรอง นุ่งห่มผ้ากัมพลผมมนุษย์
นุ่งห่มผ้ากัมพลขนสัตว์ นุ่งห่มผ้าขนปีกนกเค้า ถอนผมและหนวด คือ ถือการถอนผมและหนวด ยืนอย่างเดียวไม่ยอมนั่ง เดินกระโหย่ง คือ ถือการเดินกระโหย่ง (เหยียบพื้นไม่เต็มเท้า) นอนบนหนาม นอนบนแผ่นกระดาน นอนบนเนินดิน นอนตะแคงข้างเดียว เอาฝุ่นคลุกตัว อยู่กลางแจ้ง นั่งบนอาสนะตามที่ปูไว้
      บริโภคคูถคือ ถือการบริโภคคูถ ไม่ดื่มน้ำเย็น คือถือการไม่ดื่มน้ำเย็น อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ”
@เชิงอรรถ :  @ คำว่า ถือ ในที่นี้ แปลจากบาลีว่า อนุโยคมนุยุตฺต ซึ่งหมายถึง การยึดมั่นในวัตรปฏิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
@ ผ้าที่ถักทอด้วยหญ้าคา เป็นผ้าที่พวกฤๅษีใช้นุ่งห่ม {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๕}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะที่ไร้ประโยชน์

ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะที่ไร้ประโยชน์
[๓๙๗] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “กัสสปะ แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นอเจลกไม่มีมารยาท เลียมือ ฯลฯ ถือการบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อเช่นนี้ สีลสัมปทา จิตสัมปทา หรือปัญญาสัมปทาก็ยังไม่เป็นอันสมณพราหมณ์นั้นอบรมทำให้แจ้ง ที่แท้ เขายังห่างไกลจากสามัญคุณและพรหมัญคุณ ต่อเมื่อภิกษุเจริญเมตตา
จิตอันไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์๑- บ้าง
แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้กินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร ฯลฯ กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินผลไม้หล่นยังชีพ สีลสัมปทา จิตสัมปทาหรือปัญญาสัมปทาก็ยังไม่เป็นอันสมณพราหมณ์นั้นอบรมทำให้แจ้ง ที่แท้ เขายังห่างไกลจากสามัญคุณและพรหมัญคุณ ต่อเมื่อภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวรไม่มี
      ความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง
      แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้นุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน ฯลฯ อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ สีลสัมปทา จิตสัมปทา หรือปัญญาสัมปทาก็ยังไม่เป็นอันสมณพราหมณ์นั้นอบรมทำให้แจ้ง ที่แท้ เขายังห่างไกลจากสามัญคุณและพรหมัญคุณ ต่อเมื่อภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียน
      ทำให้แจ้ง เจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเองเข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง”
      [๓๙๘] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ อเจลกัสสปะกราบทูลว่า “ท่านพระโคดม สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก”
      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ข้อที่สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยากเป็นเรื่องปกติในโลก แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นอเจลก ไม่มีมารยาท
@เชิงอรรถ : @ พราหมณ์ ในที่นี้ หมายถึงพระอรหันต์ผู้สิ้นอาสวกิเลส
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๖}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะที่ไร้ประโยชน์

เลียมือ ฯลฯ ถือการบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อเช่นนี้ ถ้าสามัญคุณหรือพรหมัญคุณ ซึ่งถือว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยากจักมีได้ด้วยการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และด้วยการบำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’ เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดี
      แม้กระทั่งนางกุมภทาสีก็อาจจะทำสามัญคุณและพรหมัญคุณนั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘เอาเถอะ เราจะเป็นอเจลก ไม่มีมารยาท เลียมือ ฯลฯ ถือการบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อเช่นนี้’
      เพราะสามัญคุณหรือพรหมัญคุณจักได้ชื่อว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้นจากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’
      หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง
แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้กินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร ฯลฯ กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินผลไม้หล่นยังชีพ ถ้าสามัญคุณหรือพรหมัญคุณ ซึ่งถือว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยาก จักมีได้ด้วยการปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ และด้วยการบำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’
      เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดี แม้กระทั่งนางกุมภทาสีก็อาจจะทำสามัญคุณและพรหมัญคุณนั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘เอาเถอะ เราจะกินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร ฯลฯ กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินผลไม้หล่นยังชีพ’
      เพราะสามัญคุณหรือพรหมัญคุณจักได้ชื่อว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้นจากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’
      หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวรไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบันภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง
ด้วยการหลีกบาปด้วยตบะที่ไร้ประโยชน์
แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้นุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน ฯลฯ อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ ถ้าสามัญคุณหรือพรหมัญคุณซึ่งถือว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยาก จักมีได้ด้วยการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และด้วยการบำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก
      พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’ เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดี แม้กระทั่งนางกุมภทาสี ก็อาจจะทำสามัญคุณและพรหมัญคุณนั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘เอาเถอะ เราจะนุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน ฯลฯ อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ’
      เพราะสามัญคุณหรือพรหมัญคุณจักได้ชื่อว่าเป็นกิจที่ทำได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้นจากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า ‘สามัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก พรหมัญคุณเป็นกิจที่ทำได้ยาก’
      หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง”
      [๓๙๙] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ อเจลกัสสปะกราบทูลว่า “ท่านพระโคดม สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก”
      พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “ข้อที่สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยากเป็นเรื่องปกติในโลก แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นอเจลก ไม่มีมารยาท เลียมือ ฯลฯ
ถือการบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อเช่นนี้ ถ้าสมณะหรือพราหมณ์ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยากแสนยากจักมีได้ด้วยการปฏิบัติเพียงเล็กๆ น้อยๆ และด้วยการบำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’
เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดีแม้กระทั่งนางกุมภทาสีก็อาจรู้จักสมณะและพราหมณ์นั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘ผู้นี้เป็นอเจลก ไม่มีมารยาท เลียมือ ฯลฯ ถือการบริโภคอาหาร ๑๕ วันต่อ ๑ มื้อเช่นนี้’
ว่าด้วยการหลีกบาปด้วยตบะที่ไร้ประโยชน์
เพราะสมณะหรือพราหมณ์จักได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้นจากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’ หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติ
อันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุ
นี้เราเรียกว่า สมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง
             แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้กินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร
ฯลฯ กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินผลไม้หล่นยังชีพ ถ้าสมณะหรือพราหมณ์
ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยากแสนยากจักมีได้ด้วยการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และด้วยการ
บำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์
เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’
             เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดีแม้กระทั่งนางกุมภทาสีก็อาจรู้จักสมณะและ
พราหมณ์นั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘ผู้นี้กินผักดองเป็นอาหาร กินข้าวฟ่างเป็นอาหาร
ฯลฯ กินเหง้าและผลไม้ป่าเป็นอาหาร กินผลไม้หล่นยังชีพ’
             เพราะสมณะหรือพราหมณ์จักได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้น
จากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า
‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’ หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวร
ไม่มีความเบียดเบียน ทำให้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะ
อาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่าสมณะ
บ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง
             แม้ถ้าสมณพราหมณ์เป็นผู้นุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน ฯลฯ อาบน้ำ
วันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ ถ้าสมณะหรือพราหมณ์ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก
แสนยาก จักมีได้ด้วยการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และด้วยการบำเพ็ญตบะดังกล่าวนี้
แล้ว ก็ไม่ควรจะกล่าวว่า ‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’
{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๖๙}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้น

เพราะคหบดีหรือบุตรคหบดีแม้กระทั่งนางกุมภทาสีก็อาจรู้จักสมณะและ พราหมณ์นั้นได้ด้วยกล่าวว่า ‘ผู้นี้นุ่งห่มผ้าป่าน นุ่งห่มผ้าแกมกัน ฯลฯ อาบน้ำ วันละ ๓ ครั้ง คือถือการลงอาบน้ำ’ เพราะสมณะหรือพราหมณ์จักได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่รู้ได้ยากแสนยาก ก็ต่อเมื่อได้เว้น จากการปฏิบัติเล็กๆ น้อยๆ และจากการบำเพ็ญตบะเช่นนี้ ฉะนั้นจึงควรกล่าวว่า ‘สมณะเป็นผู้ที่รู้ได้ยาก พราหมณ์เป็นผู้ที่รู้ได้ยาก’ หากภิกษุเจริญเมตตาจิตอัน ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ทำให้รู้แจ้งเจโตวิมุตติ ปัญญาวิมุตติอันไม่มีอาสวะ เพราะอาสวะสิ้นไปด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน ภิกษุนี้เราเรียกว่า สมณะบ้าง ว่าพราหมณ์บ้าง”
ความสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นต้น
[๔๐๐] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ อเจลกัสสปะทูลถามว่า “ท่านพระ โคดม สีลสัมปทานั้นเป็นอย่างไร จิตสัมปทานั้นเป็นอย่างไร ปัญญาสัมปทานั้นเป็น อย่างไร” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า “กัสสปะ ตถาคตอุบัติขึ้นมาในโลกนี้ เป็น พระอรหันต์ ตรัสรู้ด้วยตนเองโดยชอบ ฯลฯ เห็นภัยในโทษแม้เพียงเล็กน้อย สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ประกอบด้วยกายกรรมและวจีกรรมอันเป็นกุศล มี อาชีวะบริสุทธิ์ สมบูรณ์ด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย สมบูรณ์ด้วย สติสัมปชัญญะ(และ)เป็นผู้สันโดษ [๔๐๑] ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ละ เว้นขาดจากการฆ่าสัตว์ วางทัณฑาวุธและศัสตราวุธ มีความละอาย มีความเอ็นดู มุ่งประโยชน์เกื้อกูลต่อสรรพสัตว์อยู่ ข้อนี้จัดเป็นสีลสัมปทาของภิกษุอย่างหนึ่ง ฯลฯ ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยศีลอย่างนี้ ย่อมไม่ประสบภัยอันตรายจากการสำรวมในศีล เลย เปรียบเหมือนกษัตริย์ผู้ได้รับมูรธาภิเษกเป็นพระราชา กำจัดข้าศึกได้แล้ว ย่อม ไม่ประสบภัยอันตรายจากข้าศึกเลย ภิกษุผู้สมบูรณ์ด้วยอริยสีลขันธ์อย่างนี้ ย่อม เสวยสุขอันไม่มีโทษในภายใน กัสสปะ ภิกษุชื่อว่าสมบูรณ์ด้วยศีลเป็นอย่างนี้แล นี้ แลเป็นสีลสัมปทา {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗๐}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยทรงบันลืออย่างองอาจดังพญาราชสีห์

ฯลฯ บรรลุปฐมฌานอยู่ บรรลุทุติยฌานอยู่ บรรลุตติยฌานอยู่ บรรลุ จตุตถฌานอยู่ นี้แลเป็นจิตสัมปทา เมื่อมีจิตเป็นสมาธิอย่างนี้ ฯลฯ ภิกษุน้อมจิตไปเพื่อญาณทัสสนะ ฯลฯ๑- รู้ชัด ว่า ... ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป นี้แลเป็นปัญญาสัมปทา กัสสปะ สีลสัมปทา จิตสัมปทา และปัญญาสัมปทาอย่างอื่นที่ยอดเยี่ยม กว่าและประณีตกว่าสีลสัมปทา จิตสัมปทา และปัญญาสัมปทานี้ไม่มีอีกแล้ว
ว่าด้วยทรงบันลืออย่างองอาจดังพญาราชสีห์
[๔๐๒] กัสสปะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดเรื่องศีล กล่าวสรรเสริญศีล มากมาย ศีลอันยอดเยี่ยมมีเท่าไร เรายังไม่เห็นผู้จะทัดเทียมเราได้ในเรื่องนั้น จะไป หาผู้ที่ยิ่งกว่าเราจากไหนเล่า ที่แท้ เราผู้เดียวเป็นผู้ล้ำเลิศในศีลอันยอดเยี่ยม คือ อธิศีล กัสสปะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดเรื่องตบะที่กีดกันกิเลส กล่าวสรรเสริญ ตบะที่กีดกันกิเลสมากมาย ตบะที่กีดกันกิเลสอย่างยอดเยี่ยมมีเท่าไร เรายังไม่เห็น ผู้จะทัดเทียมเราได้ในเรื่องนั้น จะไปหาผู้ที่ยิ่งกว่าเราจากไหนเล่า ที่แท้ เราผู้เดียว เป็นผู้ล้ำเลิศในตบะที่กีดกันกิเลสอันยอดเยี่ยม คืออธิเชคุจฉะ กัสสปะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดเรื่องปัญญา กล่าวสรรเสริญปัญญาไว้ มากมาย ปัญญาอันยอดเยี่ยมมีเท่าไร เรายังไม่เห็นผู้จะทัดเทียมเราได้ในเรื่องนั้น จะไปหาผู้ที่ยิ่งกว่าเราจากไหนเล่า ที่แท้ เราผู้เดียวเป็นผู้ล้ำเลิศในปัญญาอันยอด เยี่ยม คืออธิปัญญา กัสสปะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งพูดเรื่องความหลุดพ้น กล่าวสรรเสริญ ความหลุดพ้นไว้มากมาย ความหลุดพ้นอันยอดเยี่ยมมีเท่าไร เรายังไม่เห็นผู้จะ ทัดเทียมเราได้ในเรื่องนั้น จะไปหาผู้ที่ยิ่งกว่าเราจากไหนเล่า ที่แท้ เราผู้เดียวเป็นผู้ ล้ำเลิศในเรื่องความหลุดพ้น คืออธิวิมุตติ @เชิงอรรถ : @ ดูความเต็มในสามัญญผลสูตร ข้อ ๑๙๔-๒๔๙ {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗๑}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยทรงบันลืออย่างองอาจดังพญาราชสีห์

[๔๐๓] กัสสปะ เป็นไปได้ที่พวกปริพาชกอัญเดียรถีย์จะกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระ สมณโคดมทรงบันลือสีหนาท๑- แต่ทรงบันลือในเรือนว่างเท่านั้น ไม่ทรงบันลือใน บริษัท๒- เลย’ ท่านพึงบอกพวกเขาว่า ‘พวกท่านอย่ากล่าวอย่างนั้น พระสมณโคดม ทรงบันลือสีหนาทและทรงบันลือในบริษัทด้วย’ กัสสปะ เป็นไปได้ที่พวกปริพาชกอัญเดียรถีย์จะกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณ- โคดมทรงบันลือสีหนาทและทรงบันลือในบริษัท แต่ไม่ทรงบันลืออย่างองอาจ’ ท่าน พึงบอกพวกเขาว่า ‘พวกท่านอย่ากล่าวอย่างนั้น พระสมณโคดมทรงบันลือสีหนาท และทรงบันลือในบริษัท พร้อมทั้งทรงบันลืออย่างองอาจด้วย’ กัสสปะ เป็นไปได้ที่พวกปริพาชกอัญเดียรถีย์จะกล่าวอย่างนี้ว่า ‘พระสมณ- โคดมทรงบันลือสีหนาทและทรงบันลือในบริษัท พร้อมทั้งทรงบันลืออย่างองอาจ แต่เทวดาและมนุษย์ไม่ได้ทูลถามปัญหา ฯลฯ และเทวดาและมนุษย์ทูลถามปัญหา แต่พระองค์ก็ทรงตอบไม่ได้ ฯลฯ และพระองค์ทรงตอบได้ แต่ก็ทำให้ผู้ถามพอใจไม่ได้ ฯลฯ และพระองค์ทรงทำให้ผู้ถามพอใจได้ แต่พวกเขาก็ไม่สนใจฟัง ฯลฯ และพวก เขาสนใจฟัง แต่ก็ไม่เลื่อมใส ฯลฯ และพวกเขาเลื่อมใสแต่ก็ไม่แสดงออก ฯลฯ และ พวกเขาแสดงออก แต่ก็ไม่ปฏิบัติตาม ฯลฯ และพวกเขาปฏิบัติตาม แต่ก็ไม่ชื่นชม ยินดี’ ท่านพึงบอกพวกเขาว่า ‘พวกท่านอย่ากล่าวอย่างนั้น พระสมณโคดมทรง บันลือสีหนาท ทรงบันลือในบริษัทและทรงบันลืออย่างองอาจ เทวดาและมนุษย์พา กันทูลถามปัญหา พระองค์ทรงตอบได้ พระองค์ทรงทำให้ผู้ถามพอใจได้ พวกเขาก็ สนใจฟัง ฟังแล้วก็เลื่อมใส เลื่อมใสแล้วก็แสดงออก แสดงออกแล้วก็ปฏิบัติตาม เมื่อปฏิบัติตามต่างก็ชื่นชมยินดี’ @เชิงอรรถ : @ ทรงบันลือสีหนาท หมายถึง คำพูดที่ตรัสด้วยท่าทีองอาจดังพญาราชสีห์ ไม่ทรงหวั่นเกรงผู้ใด เพราะทรง @มั่นพระทัยในศีล สมาธิ ปัญญาของพระองค์ (ที.สี.ฏีกา ๑/๔๐๓/๔๓๒) @ บริษัท ในที่นี้หมายถึง กลุ่มของบุคคลหลายสถานะที่มาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า เพื่อต้องการจะฟังพระธรรม- @เทศนา มี ๘ กลุ่มคือ ขัตติยบริษัท พราหมณบริษัท คหบดีบริษัท สมณบริษัท จาตุมหาราชิกาบริษัท @ตาวติงสบริษัท มารบริษัท และพรหมบริษัท (ม.มู. ๑๒/๑๕๑/๑๑๒, ที.สี.อ. ๔๐๓/๒๙๗) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗๒}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการอยู่ปริวาสของเดียรถีย์

ว่าด้วยการอยู่ปริวาสของเดียรถีย์
[๔๐๔] กัสสปะ ครั้งหนึ่งเราอยู่ที่ภูเขาคิชฌกูฏ เขตกรุงราชคฤห์ เพื่อน พรหมจารีคนหนึ่งของท่านในกรุงราชคฤห์ชื่อนิโครธปริพาชก ได้ถามปัญหาเรื่อง ตบะที่กีดกันกิเลสอย่างยอดเยี่ยม เมื่อเราตอบคำถาม เขาก็ปลื้มใจเป็นอย่างมาก” อเจลกัสสปะทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีใครเล่าที่ฟังธรรมของพระผู้มี พระภาคแล้วจะไม่ปลื้มใจ แม้ข้าพระองค์ได้ฟังธรรมของพระผู้มีพระภาคเองแล้วก็ยัง ปลื้มใจเป็นอย่างมาก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจน ไพเราะยิ่งนัก ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระผู้มีพระภาคชัดเจนไพเราะยิ่งนัก พระผู้มีพระภาคทรงประกาศธรรมแจ่มแจ้งโดยประการต่างๆ เปรียบเหมือนบุคคล หงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่ผู้หลงทาง หรือตามประทีปในที่มืดโดย ตั้งใจว่า ผู้มีตาดีจักเห็นรูปได้ ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค พร้อมทั้งพระธรรม และพระสงฆ์เป็นสรณะ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์พึงได้บรรพชา พึงได้ อุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค” [๔๐๕] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า “กัสสปะ ผู้เคยเป็นอัญเดียรถีย์ประสงค์จะ บรรพชาอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส๑- ๔ เดือน หลังจาก ๔ เดือน ล่วงไปแล้ว เมื่อภิกษุพอใจก็จะให้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุ อนึ่ง ในเรื่องนี้เรา คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลด้วย” เขากราบทูลว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หากผู้เคยเป็นอัญเดียรถีย์ประสงค์จะ บรรพชาอุปสมบทในธรรมวินัยนี้ จะต้องอยู่ปริวาส ๔ เดือน หลังจาก ๔ เดือน ล่วงไปแล้ว เมื่อภิกษุพอใจก็จะให้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุ ข้าพระองค์จักขออยู่ ปริวาส ๔ ปี หลังจาก ๔ ปีล่วงไปแล้ว เมื่อภิกษุพอใจก็จะให้บรรพชาอุปสมบทเป็น ภิกษุ” @เชิงอรรถ : @ ปริวาสในพระสูตรนี้เรียกว่า ติตถิยปริวาส ได้แก่ ข้อบังคับนักบวชนอกพระพุทธศาสนาที่หันมาเลื่อมใส @พระธรรมวินัยแล้วประสงค์จะบวชเป็นภิกษุ ให้ขอปริวาสต่อสงฆ์ แล้วดำรงตนอย่างสามเณรครบ ๔ เดือน @จนสงฆ์พอใจจึงจะขออุปสมบทเป็นภิกษุได้ (ที.สี.อ. ๔๐๕/๒๙๙) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗๓}

พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค [๘. มหาสีหนาทสูตร]

ว่าด้วยการอยู่ปริวาสของเดียรถีย์

อเจลกัสสปะได้บรรพชาอุปสมบทในสำนักของพระผู้มีพระภาค เมื่อบวชแล้ว ไม่นาน จากไปอยู่ผู้เดียว ไม่ประมาท มีความเพียร มุ่งมั่นพระนิพพานอยู่ ไม่นาน นักก็ทำให้แจ้งที่สุดแห่งพรหมจรรย์๑- อันยอดเยี่ยม ที่เหล่ากุลบุตรผู้ออกจากเรือน ไปบวชเป็นบรรพชิตโดยชอบต้องการ ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง เข้าถึงอยู่ในปัจจุบัน รู้ชัดว่า ‘ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว๒- ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความ เป็นอย่างนี้อีกต่อไป’ จึงเป็นอันว่า ท่านพระกัสสปะได้เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่งในบรรดาพระ อรหันต์ทั้งหลาย
มหาสีหนาทสูตรที่ ๘ จบ
@เชิงอรรถ : @ ที่สุดแห่งพรหมจรรย์ หมายถึงจุดสุดท้ายของการประพฤติธรรม ในที่นี้หมายเอา พระอรหัตตผล อันเป็น @จุดหมายสูงสุดของมรรคพรหมจรรย์ (ที.สี.อ. ๔๐๕/๓๐๐) @ อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว หมายถึง กิจแห่งการปฏิบัติเพื่อทำลายอาสวกิเลสจบสิ้นสมบูรณ์แล้ว ไม่มีกิจ @ที่จะต้องทำเพื่อตนเอง แต่ยังมีหน้าที่เพื่อผู้อื่นอยู่ ผู้บรรลุถึงขั้นนี้ได้ชื่อว่า อเสขบุคคล (ที.สี.อ. ๒๔๘/๒๐๓) {ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : ๙ หน้า : ๑๗๔}